บทที่ 3
‘ทำแบบนี้เพื่ออะไรกันแน่’ วังเป้ยเล่อ ในห้องนอนของหย่งหลิน กงฮุ่ยสองมือกอดอกยืนประจันหน้ากับเขาเพื่อซักถามเหตุผล
‘ทำไมหรือ ไม่พอใจการจัดการของข้า หรือว่าชายาเจี่ยนอ๋องไม่ชอบใจสถานที่พักฟื้นที่ข้าจัดเตรียมไว้ให้นาง’ ชายหนุ่มนั่งผ่อนคลายอยู่ตรงขอบเตียง ถามอย่างไม่ทุกข์ร้อน
‘ท่านรู้ดีอยู่แก่ใจว่าที่ข้าถามหมายความถึงสิ่งใด! ท่านแม่ของข้าพอใจกับที่พักที่ท่านจัดเตรียมไว้ให้มาก ข้าเพียงแต่ไม่เข้าใจ ท่านต้องการอะไรถึงทำเช่นนี้’ นางสังเกตเห็นว่าห้องของเขาสะอาดสะอ้านเป็นอย่างยิ่ง ข้าวของทุกชิ้นจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ต่างจากเสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างของเขาที่ถูกรีดจนเรียบสนิทไม่พลาดแม้แต่ไหมเส้นเดียว รอยยับย่นเพียงเล็กน้อยก็หามีไม่ ดูท่าเขาจะหมกมุ่นกับความสะอาดมากทีเดียว
‘ทำอะไร’ ทั้งที่รู้แต่เขาก็ยังแสร้งถาม บนใบหน้ายังประดับรอยยิ้มเฉยชาดังเก่า
‘ท่าน!’ สีหน้าได้ใจเช่นนั้นเทียบกับสภาพเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในห้องแล้วช่างขัดแย้งกันยิ่งนัก!
‘อ่อ?’ ราวกับกำลังแสดงละคร ชายหนุ่มทำสีหน้าคล้ายนึกอะไรบางอย่างออก ‘เจ้าหมายถึง ข้ารู้ทั้งรู้ว่าเจ้าขายความบริสุทธิ์ให้กับข้า ทั้งยังหาเหตุผลอ่อนด้อยรับเจ้าเข้ามาอาศัยอยู่ในวังเป้ยเล่อ แปดส่วนคงเพราะประสงค์ร้าย แต่ไม่รู้ว่าเป็นแผนการอะไรกระมัง’ ชายหนุ่มเอนกายลงนอน แขนข้างหนึ่งยกขึ้นประคองศีรษะมองมาที่นาง
‘ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่’ นางถามอย่างหงุดหงิด
‘ข้าให้คนไปสืบดูแล้ว หลังจากคืนนั้นที่หอฉินไหว เจ้าก็ถูกชายาเจี่ยนอ๋องบังคับพาตัวกลับไป ดังนั้นข้าจึงเป็นบุรุษเพียงคนเดียวของเจ้า’ ชายหนุ่มพูดอย่างได้ใจ
สองแก้มของนางพลันแดงก่ำ ‘ท่านสืบเรื่องนี้เพื่ออะไร!’ พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมานางก็อับอายจนอยากตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด คืนนั้นหลังจากขายร่างกายตนเองไปแล้ว ท่านแม่ก็รีบตามมาจากนั้นก็ดุด่าสั่งสอนนางไปหนึ่งคำรบทั้งยังโกรธจนโรคกำเริบถึงขั้นสำนึกผิดและโทษตนเองจนลงจากเตียงไม่ไหว ไม่ยอมพูดคุยกับนางถึงหนึ่งเดือนเต็ม ทุกวันเอาแต่ร่ำไห้จนเมื่อเย็นวานอาการหอบกำเริบอีกนั่นแหละ หลังฟื้นคืนสติถึงได้เอ่ยปากพูดกับนางอีกครั้ง แต่ในถ้อยคำก็ยังแฝงความโกรธเคืองอยู่ไม่คลาย
‘จะเป็นสตรีของข้า เรื่องนี้ข้าย่อมต้องสืบให้ละเอียด’
‘ท่านว่าอะไรนะ ใครจะเป็นคนของท่าน’ นางถลึงตามองเขา
‘เจ้าอย่างไรล่ะ’
‘อะไรนะ!’
‘ข้าบอกว่าเจ้าต้องมาเป็นสตรีของข้า ข้าถูกใจเจ้าเสียแล้ว’ ชายหนุ่มมองท่าทางปากอ้าตาค้างของนางพลางประกาศออกไปอย่างไม่รีบร้อนราวกับกำลังยินดีเสียเต็มประดา
สีหน้าของนางเขียวคล้ำ ความโกรธพลันเข้ามาแทนที่ ‘เหลวไหล ใครจะไปเป็นสตรีของท่าน!’
สีหน้าโกรธเกรี้ยวเช่นนั้นยิ่งทำให้ใบหน้าของนางมีชีวิตชีวา หย่งหลินมองแล้วมองอีกอย่างชอบใจ น่าสนุกเสียจริง… ‘ข้าให้เวลาเจ้าตัดสินใจหนึ่งเดือน เจ้าจะปฏิเสธก็ย่อมได้’ สีหน้ามั่นใจเช่นนั้นช่างบาดนัยน์ตาเหลือเกิน!
‘ข้าไม่มีทางลดศักดิ์ศรีของตนเองแน่!’ นางย่อมรู้ดี คำว่าสตรีของเขาที่เอ่ยมามิได้หมายถึงสนมชายาของเขา แต่เป็นอนุฐานะต่ำศักดิ์ต่างหาก บุรุษผู้นี้ดูถูกเหยียดหยามนาง ถึงขั้นรังเกียจที่นางเคยอยู่หอคณิกา ทั่วร่างสกปรกโสมม นางไม่มีทางลดศักดิ์ศรีไปเป็นของเล่นของเขาหรอก!
‘อย่าเพิ่งรีบกล่าวเช่นนั้น เรื่องหลายเรื่องก็ล้วนแต่มีเหตุจำเป็นบังคับทั้งนั้น’ หย่งหลินยื่นมือออกไปเชยคางเรียวนุ่มเนียนของนางขึ้นพลางฉีกยิ้มชวนให้ขนลุกชัน
‘ท่าน!’
‘เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว ถึงอย่างไรข้าก็ให้เวลาเจ้าตัดสินใจหนึ่งเดือน ระหว่างนั้นเจ้าก็ถือว่าเป็นแขกของวัง สงบจิตสงบใจดูแลมารดาของเจ้าให้ดีเถิด นางคงไม่อาจรับความกระทบกระเทือนได้อีก โดยเฉพาะเรื่องอย่างเช่นแอบหนีออกไปกลางดึก หรืออาจร้ายแรงยิ่งกว่านั้น หากนางรับรู้เรื่องที่ไม่ควรจะรู้ ถึงเวลานั้นอาจไม่ใช่แค่หอบจนหายใจไม่ทัน ไม่แน่ว่าแม้แต่เลือดก็อาจกระอักออกมาด้วยก็ได้’ เขากล่าวแฝงนัย เตือนนางว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม และยิ่งอย่าได้คิดจะพามารดาหนีออกไปจากวังเป้ยเล่อ ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาอาจร้ายแรงกว่าที่คาด
จะบอกว่าขึ้นเรือโจรมาแล้วก็ไม่อาจลงไปได้อย่างนั้นหรือ เจ้าคนน่ารังเกียจ!
‘ข้าไม่มีทางทำให้ท่านสมหวังหรอก! ตกลง ข้าจะอยู่ที่นี่หนึ่งเดือน หลังจากนั้นหากข้ายังไม่รับปาก ท่านจะต้องปล่อยข้ากับท่านแม่ไปตามที่สัญญา’ นางกล่าวด้วยสายตาแรงกล้า
ชายหนุ่มหลับตาซ่อนประกายพราวระยับในแววตา ริมฝีปากยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ‘อืม ตกลงตามนี้’
เห็นสีหน้ามั่นใจจนชวนให้โมโหนั่นแล้ว นางก็นึกอยากจะกระชากคอเสื้อของเขาแล้วก็ต่อยใบหน้ากวนประสาทนั่นสักหมัด
‘หึ!’ เมื่อถลึงตามองชายหนุ่มที่กล่าวกันว่าถูกฝ่าบาทรักใคร่โปรดปรานจนเสียนิสัยผู้นี้จนหนำใจแล้ว กงฮุ่ยก็สาวเท้าก้าวจากไปอย่างขุ่นเคือง
รอจนนางจากไปแล้ว หย่งหลินถึงค่อยลืมตา รอยยิ้มยังไม่จางหายไป แต่ในแววตากลับแฝงประกายที่แทบใกล้เคียงกับความเหี้ยมเกรียมออกมา
จะปราบพยศสตรีนางนี้ต้องอาศัยเวลาอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ แต่ว่าเวลาของเขามีอีกมาก ทั้งเขายังว่างยิ่งนัก
‘เอ่อ…ท่าน…ท่านหญิง…ท่าน…คือว่า…’ หมอหลวงในยามนี้ไม่รู้ว่าควรจะเรียกอดีตท่านหญิงผู้นี้อย่างไรดี ถึงแม้จะถูกริบบรรดาศักดิ์ไปแล้ว แต่กระนั้นก็ยังคงเป็นเชื้อพระวงศ์ เขาอดกังวลไม่ได้ว่าควรจะเรียกขานอีกฝ่ายอย่างไรจึงจะเหมาะสม
‘ใต้เท้า ข้าไม่สนเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ในอดีตอีกแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นเพียงสามัญชนคนหนึ่ง อายุของท่านใกล้เคียงกับท่านแม่ของข้าก็เรียกข้าว่าฮุ่ยเอ๋อร์เหมือนอย่างท่านแม่ของข้าก็ได้เจ้าค่ะ’ เมื่อเห็นความลำบากใจของเขา กงฮุ่ยยิ้มขื่นพลางหาทางออกให้เขา
หมอหลวงถอนหายใจคำรบหนึ่ง ‘หากเจ้าว่าอย่างนั้น ข้าจะเรียกเจ้าว่าฮุ่ยเอ๋อร์ก็แล้วกัน’
‘เจ้าค่ะ’ หญิงสาวยิ้มอย่างเศร้าสร้อย ฐานันดรในอดีตก็ไม่ต่างจากดอกเบญจมาศในวันวาน* ต่อให้หวนนึกถึงแค่ไหนก็ไม่อาจหวนคืนมาได้อีก แทนที่จะเอาแต่จมปลักอยู่กับยศถาบรรดาศักดิ์ในอดีต ไม่สู้ขยันหมั่นเพียรเผชิญหน้ากับปัจจุบันจะดีกว่า
‘ฮุ่ยเอ๋อร์ ข้าตรวจอาการป่วยของมารดาเจ้าแล้ว นับว่าร้ายแรงไม่เบา หากไม่สงบใจพักฟื้นให้ดีๆ ก็สามารถกำเริบขึ้นมาอีกได้ทุกเมื่อ แต่หากกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะพรากชีวิตของนางไปด้วย’ ด้วยฐานะหมอหลวงอันดับหนึ่งในรัชกาลก่อน เขาจึงถูกองค์เป้ยเล่อมอบหมายให้มาตรวจรักษาโรคหอบหืดของชายาเจี่ยนอ๋อง เมื่อตรวจอาการแล้วจึงค่อยพบว่าอาการหนักไม่น้อย แม้แต่เขาเองก็ไม่อาจทำอันใดได้
กงฮุ่ยนิ่งไป ริมฝีปากพลันซีดเผือด ‘โรคของท่านแม่ข้า…รักษามิได้แล้วหรือเจ้าคะ’ นางถามเสียงสั่น
‘ยาก’
คำเพียงคำเดียวเหมือนผลักนางร่วงตกลงเหว ‘ยาก…’
หมอหลวงทนดูไม่ได้จึงเอ่ยปลอบใจ ‘เฮ้อ…สิ่งที่พวกเราทำได้ในตอนนี้ก็ได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามลิขิตฟ้า ให้นางใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลที่สุด ทานยาตรงเวลา มีแต่ทำเช่นนี้จึงจะรักษาชีวิตนางเอาไว้ได้’
‘เจ้าค่ะ…ข้าเข้าใจแล้ว ความจริงแล้วโรคของท่านแม่เรื้อรังมานานปี เมื่อก่อนตอนที่ท่านพ่อยังดำรงยศอยู่ ในบ้านยังพอมีเงินซื้อหยูกยาประคองโรคไว้ได้ แต่หลังจากท่านพ่อเกิดเรื่อง โรคของท่านแม่ก็ไม่ได้รับการรักษาจึงสาหัสขึ้น ตัวข้าที่เป็นบุตรสาวก็อกตัญญู…จึงยิ่งทำให้โรคของท่านแม่ทรุดลงเป็นเช่นนี้ ต้องโทษข้าที่ทำให้ท่านแม่โมโห…’
กงฮุ่ยสะอื้นไห้ ยามที่ถูกยึดทรัพย์ พวกนางถูกขับไล่ออกจากวังอ๋อง แม้แต่ปิ่นปักผมสักอันก็ไม่อาจนำติดตัวออกมาด้วย ยารักษาโรคหอบหืดที่จำเป็นของท่านแม่ก็ถูกยึดไปด้วยเช่นกัน เพราะความจำเป็นบีบบังคับ นางจึงคิดขายตัวช่วยมารดา ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อได้เงินค่ายามาแล้วกลับทำให้มารดาบันดาลโทสะจนกระทบถึงโรค จะว่าไปแล้ว นางนี่แหละที่เป็นคนร้ายทำให้อาการป่วยของมารดาต้องทรุดหนัก
‘เจ้าทำสิ่งใดลงไปอย่างนั้นหรือ เหตุใดจึงกล่าวว่าอาการป่วยของมารดาเจ้าทรุดลงเพราะถูกเจ้าทำให้โมโห’ หมอหลวงเห็นว่านางเองก็ปรนนิบัติมารดาอย่างกตัญญู เป็นเด็กสาวที่มีจิตใจอย่างฮุ่ยหลัน** ผู้หนึ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะแปลกใจว่านางจะทำเรื่องเสื่อมเสียใดให้มารดาไม่พอใจได้
‘ข้า…’ นางจนด้วยคำพูด ใบหน้าแดงระเรื่อ เรื่องที่นางขายตัวให้หย่งหลินจะพูดออกไปอย่างไม่รู้จักอายได้อย่างไร หญิงสาวไขว้นิ้วก่อนจะหาเหตุผลโกหกออกไป ‘ข้า…ข้าเป็นคนดื้อรั้น มักทำให้ท่านแม่หงุดหงิดใจเสมอ…ที่ข้ากล่าวถึงก็คือเรื่องนี้’ เพราะละอายใจ เสียงของนางจึงเบาจนไม่อาจเบาได้อีก
หมอหลวงได้ฟังก็ยิ้มเอ็นดูก่อนจะลูบศีรษะนาง
เด็กคนนี้กตัญญูรู้คุณ หายากยิ่งที่ถือกำเนิดอย่างสูงศักดิ์แต่กลับไม่มีแม้แต่ความเย่อหยิ่ง
‘มีบุตรธิดาคนใดบ้างที่มิเคยทะเลาะเบาะแว้งกับบิดามารดา เจ้าอย่าได้เอาภาระแบกไว้บนบ่ามากไปนักเลย โรคของมารดาเจ้าหาใช่โรคทั่วไป เพียงตั้งใจดูแลนางให้ดีๆ ก็พอแล้ว ที่เหลือคงได้แต่ปล่อยไปตามลิขิตฟ้า’ หมอหลวงพูดพลางหยัดกายลุกขึ้นเตรียมตัวจะจากไป
‘ใต้เท้า!’ กงฮุ่ยรีบเรียกเขาเอาไว้ ‘ถ้าหากตอนนี้ข้าพาท่านแม่ไปจากวังเป้ยเล่อ ท่านแม่จะรับไหวหรือไม่’ หากเป็นไปได้ นางยังคงคิดจะจากไป
หมอหลวงประหลาดใจ ‘เจ้าคิดจะไปจากวังเป้ยเล่อ? เพราะเหตุใดเล่า’ สภาพแวดล้อมของที่นี่ดีต่อการพักฟื้นของมารดานางอย่างมาก อีกทั้งองค์เป้ยเล่อยังยื่นมือช่วยเหลือพวกนางสองแม่ลูกอย่างหาได้ยากนัก เหตุใดนางจึงคิดจะไปเสียเล่า
‘เพราะว่า…เพราะว่าข้าไม่อยากรับความหวังดีจากองค์เป้ยเล่อโดยไร้ความชอบ จึง…จึงคิดจะจากไป’ นางกล่าวอย่างหลบเลี่ยง ไม่คิดจะเอ่ยแผนการร้ายของหย่งหลินออกมา
หมอหลวงเห็นสีหน้าร้อนตัวของนางก็พลันเกิดความสงสัยขึ้นอีกครั้ง คราแรกที่เขาได้ยินว่าองค์เป้ยเล่อรับตัวสองแม่ลูกที่ถูกเจี่ยนอ๋องทอดทิ้งเข้ามาอาศัยอยู่ในวังก็แปลกใจมากแล้ว องค์เป้ยเล่อหาใช่คนจิตใจดีมีเมตตาอะไร กลับรับสองแม่ลูกที่ตกระกำลำบากเข้ามาร่วมอาศัย เดิมทีเขาก็รู้สึกว่าเรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในอย่างแน่นอน ยิ่งเมื่อได้เห็นท่าทางของนาง เรื่องนี้ผิดปกติไม่ผิดจากที่คาด
แต่องค์เป้ยเล่อผู้นี้ฐานะมิใช่ธรรมดา เรื่องของเขามิใช่สิ่งที่ตนเองจะสอดมือเข้าไปยุ่งได้จึงทำได้เพียงเอ่ยเตือนอย่างเคร่งขรึม ‘อาการป่วยของมารดาเจ้าจะต้องพักฟื้นอย่างระวัง ให้หลีกเลี่ยงอารมณ์โกรธและการขยับเคลื่อนไหวที่มากเกินไป หากเจ้าคิดจะไปจากที่นี่ ให้มารดาของเจ้ากลับไปใช้ชีวิตตามมีตามเกิดอีกครั้ง ขอกล่าวตามตรง ข้าเกรงว่ามารดาที่อ่อนแอของเจ้าจะรับไม่ไหว’
กงฮุ่ยได้ฟังก็ปล่อยร่างทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ สองมือกำเป็นหมัดแน่นกดอยู่บนโต๊ะ ความโกรธเกรี้ยวกับความจนตรอกอันยากจะสลัดทิ้งจู่โจมนางอย่างไม่ปรานี นางอยากร้องไห้แต่น้ำตากลับไม่ไหลออกมา
ผ่านไปไม่กี่วัน กงฮุ่ยที่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่วังเป้ยเล่อยังไม่ทันได้ผ่อนคลายก็ต้องร้อนใจขึ้นมาอีกครั้ง
เป็นเพราะราตรีนี้อากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหัน มารดาต้องลมเย็น อาการหอบจึงกำเริบอีกครั้ง!
ได้ยินเสียงหอบหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างทรมานของมารดา หญิงสาวได้แต่แค้นใจที่ได้แต่ร้องไห้ไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดได้ ‘ท่านแม่ ท่านอดทนหน่อย อย่าได้ทิ้งข้าไว้…’ นางสะอื้นไห้จนพูดไม่เป็นคำด้วยจนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไร
แต่ชายาเจี่ยนอ๋องยังคงเอาแต่ยกมือกุมหน้าอกพลางขดร่างอย่างทรมานดังเก่า นางกำลังจะหายใจไม่ออก สองตาปูดโปนจ้องมองไปทางบุตรสาว แม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่อาจพูดออกมา
‘ท่านแม่!’ กงฮุ่ยกรีดร้องอย่างหวาดกลัว สองแขนกอดร่างของมารดาไว้แน่นราวกับว่าเมื่อทำเช่นนี้ก็จะไม่สูญเสียนางไป
ตอนที่ชายาเจี่ยนอ๋องกำลังจะขาดใจ หมอสามสี่คนก็รีบเร่งเข้ามาแกะมือของกงฮุ่ยออกก่อนจะเริ่มให้การรักษาอย่างชำนาญ
กงฮุ่ยถูกสาวใช้นางหนึ่งบังคับลากไปด้านข้าง เตาไฟหลายเตาที่กำลังเผาถ่านจนร้อนก็ถูกยกเข้ามาในห้อง หมอเขียนเทียบยาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีคนเข้ามารับเทียบยาออกไปด้านนอกเพื่อสั่งยา ต้มยา ไม่ถึงหนึ่งเค่อ* ยาก็ถูกยกมาป้อนให้ชายาเจี่ยนอ๋องดื่มลงท้องอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีสาวใช้อีกห้าหกนางคอยส่งผ้าขนหนูอุ่นๆ คอยเช็ดคราบสกปรกบนเสื้อผ้าหลังดื่มยารวมไปถึงคราบเหงื่อไคลให้นางไม่หยุด
ค่ำคืนอันยาวนาน คนสิบกว่าคนวิ่งเข้าออกวุ่นวายเพื่อยื้อชีวิตชายาเจี่ยนอ๋อง จนเมื่อแสงสีขาวของยามรุ่งสางปรากฏ สถานการณ์จึงค่อยนับว่าสงบลงในที่สุด
กงฮุ่ยทรุดนั่งอยู่ข้างเตียงของชายาเจี่ยนอ๋องราวกับเพิ่งผ่านสนามรบอันยากลำบากมาหมาดๆ สายตาจับจ้องมารดาที่ถูกโรคร้ายเคี่ยวกรำมาอย่างหนัก ความรู้สึกเหนื่อยล้าอันยากจะทานทนผุดขึ้นมาอีกครั้ง
นางไม่อาจไม่ยอมรับว่าตนเองไร้กำลังจะปกป้องดูแลมารดาโดยสิ้นเชิง น้ำตาของนางเป็นสิ่งที่ไร้ค่าที่สุด
ผนังห้องมั่นคงเงียบสงบที่ล้อมนางเอาไว้ทั้งสี่ด้าน เตาไฟที่กำลังเผาไหม้ให้ความอบอุ่น กลุ่มสาวใช้ที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องอย่างนิ่งสงบ ด้านนอกก็มีหมอคอยยกยาล้ำค่าควันลอยกรุ่นเข้ามาเป็นระยะ…
ทั้งหมดนี้เป็นน้ำใจที่บุรุษผู้นั้นจงใจมอบให้อย่างนั้นหรือ
ทุกอย่างเหล่านี้ก็เพียงเพื่อร่างกายของนาง เพื่อให้นางปรนนิบัติรับใช้อย่างนั้นหรือ
นางเหม่อลอยค่อยๆ ใช้ความคิดไปอย่างช้าๆ เวลาคล้ายผ่านไปแสนนาน ในที่สุดนางก็ได้ข้อสรุปหนึ่งอยู่ในใจ
ถ้าหากร่างกายเปื้อนราคีของนางสามารถแลกอายุขัยที่ยืนยาวของมารดาได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น นางยังจะลังเลสิ่งใดอีก ศักดิ์ศรีอันไร้ความหมายนั่นได้ปลิวหายไปตั้งแต่คืนนั้นที่นางก้าวเท้าเข้าไปในหอฉินไหวแล้วมิใช่หรือ
นางไม่อาจไม่ยอมรับ ไม่อาจไม่ก้มหัว ถึงอย่างไรนางก็สูญสิ้นทุกอย่างไปตั้งแต่ต้นแล้ว…
ห้องของหย่งหลิน
ใบหน้าของกงฮุ่ยแดงก่ำ สายตาจดจ้องอย่างตะลึงลานเมื่อเห็นสตรีสองนางในชุดบางเบากำลังอิงแอบอยู่ข้างกายเขา แขนอันนิ่มนวลราวไร้กระดูกเช่นนั้นลูบไล้อยู่บนร่างของชายหนุ่มอย่างยั่วเย้า
เมื่อนางเห็นภาพฉากนี้ก็ต้องกัดริมฝีปากอย่างสะท้านอายก่อนจะรีบเบนสายตาหนี หากมีสตรีอยู่ในห้อง เหตุใดถึงยังเรียกนางเข้ามาคุยในห้องอีก หรือเขาเจตนาต้องการทำให้นางอับอายกันแน่!
‘ข้าว่ารอสักประเดี๋ยวค่อยกลับมาคุยจะดีกว่า’ นางไม่คิดให้มากความก็รีบร้อนจะจากไป
‘ช้าก่อน’ ชายหนุ่มเอ่ยรั้งนางไว้อย่างไม่รีบร้อน ‘ถึงอย่างไรก็เข้ามาแล้ว ไฉนจึงรีบไปเสียเล่า’ หย่งหลินยิ้มบางๆ พลางปัดมือสตรีสองนางที่เกาะแกะอยู่บนหน้าอกของตนออก แต่พวกนางยังคงไม่ลดละ มือทั้งสองข้างไต่ขึ้นมาอีกครั้ง ครานี้ชายหนุ่มปล่อยไปตามแต่ใจ เสพสุขกับการหยอกเย้าของพวกนาง
‘ข้า…มาได้ไม่ถูกเวลานัก คิดว่าควรจะไปเสียดีกว่า’ ได้ยินเสียงหัวร่อต่อกระซิกของสตรีดังขึ้นจากทางด้านหลัง นางไม่แม้แต่จะกล้าหันกลับไปมอง
‘ใครบอกว่าเจ้ามาได้ไม่ถูกเวลา ถึงอย่างไรสิ่งที่เจ้าจะพูดมิใช่ว่าเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้วหรอกหรือ’
‘ท่าน!’ คำพูดของเขาทำให้นางโกรธจนหันกลับมาจะต่อว่า แต่เมื่อหันร่างกลับมาก็เห็นสตรีทั้งสองนางกำลังไล้เลียอยู่บนร่างของเขาอย่างมัวเมา นางพลันหน้าแดงก่ำไปจนถึงใบหู แต่บุรุษผู้นั้นกลับยกยิ้มมุมปากที่บางเบาราวกับไม่มีอย่างสนอกสนใจ ‘เหตุใดท่านถึงอยู่กับสตรีสองคนพร้อมกัน…ข้าหลงคิดว่าท่านเป็นโรครักสะอาด ไม่ชอบแตะต้องผู้อื่นเสียอีก คาดไม่ถึงว่าท่านจะมั่วราคะถึงเพียงนี้!’
ใบหน้าซีกหนึ่งของเขาซบอยู่กับทรวงอกอวบอิ่มของสตรีนางหนึ่ง สายตาจ้องมองดวงตาบวมช้ำเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยรวมไปถึงรอยคล้ำใต้ดวงตาของกงฮุ่ย ชายหนุ่มทำสีหน้าราวกับกำลังชื่นชมท่าทางรันทดของนาง ‘มั่วราคะ? หากมีสัมพันธ์กับสตรีเรียกว่ามั่วราคะ เช่นนั้นยามอยู่ที่หอฉินไหว ข้ากับเจ้าร่วมสัมพันธ์ นั่นไยมิเรียกว่ามั่วราคะเช่นกัน’ เขาถามกลับอย่างเสียดสี
นางกัดฟันไม่อาจทนรับ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดขอเพียงนางเอ่ยปาก เขาเป็นต้องตอกกลับมาอย่างเจ็บแสบเสียทุกคำ ไม่อย่างนั้นก็ต้องทำให้นางโมโหเดือดดาล
ฉับพลันนั้นนางก็เกิดความคิดขึ้นว่าบุรุษผู้นี้คงจะชอบเห็นนางโกรธเกรี้ยวมากกระมัง คราใดที่นางโกรธ แววตาของเขาที่มองนางก็มักลึกล้ำขึ้นจนไม่อาจคาดเดาได้
เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อเขาชอบทำให้นางโกรธ นางก็จะไม่ยอมเป็นอย่างที่เขาหวัง!
‘ในเมื่อองค์เป้ยเล่อไม่ขาดแคลนสตรี แล้วเหตุใดจึงยังต้องการข้าเสียให้ได้’ นางข่มโทสะเผชิญหน้ากับเขาอย่างเยือกเย็น
หย่งหลินผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่เห็นสีหน้าท่าทางยามโกรธของนางอีก ‘เจ้าคิดว่าสตรีเพียงไม่กี่คนสามารถทำให้ข้าพึงพอใจได้อย่างนั้นหรือ ตั้งแต่อายุยี่สิบปีก็มีนางข้าหลวงคอยชี้แนะข้า สตรีไม่จำเป็นต้องรังเกียจให้มาก ขอเพียงใช้เสพสุขได้ตามใจชอบก็พอแล้ว ยิ่งกว่านั้นเสด็จพ่อก็ทรงอนุญาตแล้ว สาวงามที่เข้าวังมาใหม่ ขอเพียงข้าต้องตา ล้วนแต่สามารถส่งขึ้นเตียงให้ข้าเล่นได้’
นางตกตะลึง ‘แต่เมื่อวันนั้นที่หอฉินไหว พี่น้องของท่านกล่าวว่า…’
‘พวกเขากล่าวว่าข้า ‘ถนอมตนดุจหยก’ มายี่สิบปีสินะ ก็จริง พวกเขากล่าวได้ถูกต้อง ข้าถนอมตนดุจหยกเปลี่ยนร่างกายนี้ให้เป็นดั่งหยกชั้นเลิศ ไม่อนุญาตให้ใครแตะต้องโดยง่าย ดังนั้นสตรีทั้งหมดในใต้หล้าขอเพียงข้าเอ่ยปากก็ล้วนเป็นของเล่นของข้าได้ทั้งนั้น แต่ข้าไม่ชมชอบของสกปรก จะเลือกสตรีก็ต้องเลือกอย่างพิถีพิถัน มิใช่ใครก็ได้ที่จะขึ้นเตียงของข้า รองรับร่างกายของข้า’ เขาพูดอย่างหยิ่งผยอง
พี่น้องเหล่านั้นของเขารู้เพียงเบื้องหน้าไม่รู้เบื้องหลัง ไหนเลยจะรู้ว่าผู้ที่ยิ่งเลือกมากเท่าไหร่ กับสตรีแล้วก็ยิ่งต้องการมากเท่านั้น เพียงความต้องการในด้านนี้ พี่น้องเหล่านั้นไม่รู้ว่ามีถึงระดับไหนก็แล้วไปเถิด
‘ท่านกำลังจะบอกข้าว่าอนาคตของข้าเป็นเพียงหนึ่งในอนุมากมายของท่านอย่างนั้นหรือ’ นางสูดหายใจเข้าลึก ก่อนเอ่ยถามอย่างอดสู
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มมั่นใจออกมา ‘เจ้าตกลงจะรั้งอยู่แล้วหรือ’ ยามที่ผลักสาวงามข้างกายออกไปสายตาของเขาไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แต่ครานี้สตรีเหล่านั้นกลับไม่กล้าวุ่นวายอีก ต่างฟุบร่างอยู่บนตักของเขาอย่างว่าง่าย รอให้เขา ‘จัดการ’
กงฮุ่ยลอบตระหนกในใจ บุรุษผู้นี้ลึกล้ำเกินไปไม่อาจหยั่ง กระทั่งสตรีข้างกายยังถูกบ่มเพาะจนรู้จักสังเกตคำพูดและสีหน้า
นางหลุบสายตาลงต่ำ รู้ดีว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติกล่าวคำว่า ‘ไม่’
‘ถูกต้อง’
‘เจ้าว่าอย่างไรนะ ข้าฟังไม่ค่อยถนัด ลองว่ามาอีกทีสิ’ เขาจงใจออกคำสั่งหมายใจให้นางอับอาย
นางข่มกลั้นอารมณ์ไม่ให้เกิดโทสะ ไม่มีทางให้เขาเห็นความโกรธที่เขาอยากจะเห็น ‘ข้า…ข้าตกลงจะรั้งอยู่…เป็นสตรีขององค์เป้ยเล่อ’ นางสูดหายใจเข้าลึกอีกครั้งจึงสามารถกล่าวจนจบอย่างราบรื่น
หย่งหลินจับจ้องท่าทางของนางนิ่งๆ แม้แต่สีหน้าเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาเฉียบคมของเขาไปได้ ดรุณีน้อยผู้นี้นับว่าฉลาด ในที่สุดก็สังเกตเห็นความชอบพิเศษของเขาเข้าจนได้ น่าเสียดายที่นางยังอ่อนเยาว์อยู่มาก อารมณ์ความรู้สึกหาใช่สิ่งที่บอกว่าจะควบคุมก็ควบคุมได้ ยามนี้เมื่อได้เห็นนางอดทนฝืนข่มโทสะลงไป ชั่วระยะเวลาสั้นๆ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปมาเสียจนเขา…เบิกบานสำราญใจจนแทบจะหัวเราะออกไปดังๆ
‘ดียิ่ง เช่นนั้นเจ้าก็รั้งอยู่ แต่ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ก่อน อยู่ที่นี่หาได้หมายความว่าเจ้าเป็นอนุของข้า ในวังแห่งนี้ไม่มีฐานะอนุภรรยาใดๆ ทั้งสิ้น จะมีก็แต่ของเล่นที่ใช้ระบายอารมณ์ใคร่ของข้าเท่านั้น และเจ้า ก็จะเป็นหนึ่งในนั้น’
ถึงอย่างไรกงฮุ่ยก็ยังเยาว์ ยังควบคุมความโกรธและอับอายของตนมิได้ สุดท้ายยังคงเดือดดาลจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
‘ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ องค์เป้ยเล่อ!’ นางกระแทกเสียงตอบรับ
ในดวงตาของเขาปรากฏแววยินดี ‘เข้าใจก็ดี วันนี้เจ้าออกไปก่อน อีกสักหลายวัน ข้าค่อยเรียกเจ้าเข้ามา’ กล่าวจบก็พลิกกายสะบัดแขน
สตรีทั้งสองที่อยู่ด้านข้างเมื่อเห็นเขาสวมกอดพวกนางอีกครั้งก็ขยับกายอย่างยินดี ทำหน้าที่ของพวกนางอย่างเต็มที่เพื่อให้นายท่านพึงพอใจ
กงฮุ่ยตะลึงมองอยู่กับที่ เมื่อเห็นภาพพวกเขาพัวพันรัดรึงอยู่เช่นนั้นก็ก้มหัวลงต่ำอย่างทนรับไม่ได้ พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
สตรีบนเตียงเห็นว่านางยังอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนก็เหลือบมองอย่างท้าทายคราหนึ่งก่อนจะพลิกกายขึ้นทาบทับบนแผ่นอกของหย่งหลิน แต่ไม่ทันระวังทำให้สตรีอีกคนถูกผลักออกไปจนกระเด็นล้มลงกับพื้น
กงฮุ่ยเห็นอีกฝ่ายตื่นตระหนกสีหน้าเปลี่ยนผันแทบจะร่ำไห้อยู่รอมร่อ จึงทนไม่ไหวคิดจะเข้าไปประคอง สตรีคนนั้นกลับผลักนางออกก่อนคิดจะปีนกลับขึ้นไปบนเตียงใหม่อีกครั้ง แต่เท้าเพิ่งจะเหยียบขึ้นไปก็ถูกขันทีที่ไม่ทราบว่าปรากฏตัวขึ้นจากที่ไหนคว้าตัวเอาไว้ เสื้อผ้ายังไม่ทันได้สวมก็ลากตัวนางออกไปนอกห้อง
ไม่ว่าสตรีผู้นั้นจะร้องไห้อ้อนวอนอย่างไร แต่หย่งหลินก็เพียงเหลือบมองเงาร่างนั้นอย่างนึกรังเกียจ ‘โสโครก!’
ได้ยินดังนั้น สตรีคนนั้นพลันแข็งทื่อไม่กล้าดิ้นรนอีก ปล่อยให้ขันทีลากตัวนางออกไป
กงฮุ่ยมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ‘ท่าน…นั่น…สตรีผู้นั้นก็แค่ตกลงจากเตียง บางทีอาจจะบาดเจ็บ ท่านไม่ควร…’
‘หุบปาก!’ ชายหนุ่มร้องสั่งสองคำด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ สีหน้าเย็นชาอย่างถึงที่สุด
นางพลันสะท้านนิ่งมองเขา
เขาหัวเราะเย้ยหยันคราหนึ่ง กับสตรีอีกคนที่ยังอยู่บนเตียงก็หมดสิ้นความสนใจ เขาโบกมือครั้งเดียวก็มีคนเข้ามาพาตัวสตรีผู้นั้นออกไป จากนั้นก็หันมาจ้องนาง ‘เป็นสตรีของข้าไม่อนุญาตให้แปดเปื้อนแม้แต่นิด ร่างกายไม่สะอาดยังกล้าคิดจะปีนขึ้นมาบนเตียงของข้า ฝันไปเถอะ!’ สีหน้าของเขามีแต่ความรังเกียจ
กงฮุ่ยพลันเข้าใจ บุรุษผู้นี้มิใช่เป็นโรครักสะอาดเพียงเท่านั้น แต่ถึงขั้นไม่ยอมให้มีรอยเปรอะเปื้อนแม้แต่น้อยนิด โดยเฉพาะกับผู้ที่ปรนนิบัติตนเองอย่างไม่ระมัดระวังก็สามารถจัดการด้วยวิธีที่แทบเข้าขั้นโหดร้าย
เมื่อนึกถึงอนาคตของตนเอง นางก็ลอบหลั่งเหงื่อเย็นออกมา ร่างกายพลันสั่นสะท้าน…
หลายวันต่อมา…
‘ได้ยินว่าเจ้าไม่ยอมอาบน้ำก่อนมาที่ห้องของข้า’ หย่งหลินสวมชุดคลุมสีครามเข้มจ้องมองสตรีตรงหน้าที่ไม่เชื่อฟังแม้แต่น้อย
‘ถูกต้อง ข้าไม่ยินยอม!’ นางสะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชา
‘เพราะเหตุใด’ ดวงตาทั้งคู่ของเขาขยับไหวจับจ้องความโกรธที่สังเกตเห็นได้
‘เพราะท่านหน้าไม่อายเกินไปแล้วน่ะสิ!’ นางไม่แม้แต่จะมองเขาก็หันกายไปอีกด้าน
ชายหนุ่มจ้องเงาหลังของผู้ที่กล้าทำก้าวร้าวต่อหน้าเขาคนนี้ นัยน์ตาของหย่งหลินพลันหดเล็กลง เป็นแค่สตรีที่เขาออกคำสั่งเพียงคำเดียวก็สังหารทิ้งได้แล้วแท้ๆ ไม่รู้ว่าไปเอาความกล้าจากที่ไหนขัดคำสั่งของเขา!
‘ข้าหน้าไม่อายอย่างไร’ เขาไม่โกรธแต่กลับแย้มยิ้มบาง
‘ก็ท่านสั่งให้พวกเขาอาบน้ำให้ข้าเสร็จก็ให้ใช้ผ้าเพียงผืนเดียวห่อข้าส่งขึ้นเตียงของท่าน เรื่องน่าอายเช่นนั้น ข้าไม่ทำ!’ ความดื้อดึงที่ฝังอยู่ในกระดูกถูกเขาเหยียดหยามคราหนึ่งก็ลุกฮือขึ้นต่อต้าน
ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้
ชายหนุ่มหย่อนกายลงนั่ง ท่าทีเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉย ‘หากคิดจะเป็นสตรีของข้า นี่ก็เป็นกฎที่ข้าตั้งเอาไว้ จะไม่มีสตรีคนใดขึ้นเตียงของข้าได้โดยที่ร่างกายสกปรก’
‘หากท่านรังเกียจที่ร่างกายข้าสกปรกก็อย่ามาแตะต้องข้า!’
เขาเหลือบมองนางอย่างเย็นชาคราหนึ่ง ‘สตรีของข้าจะต้องตรวจร่างกายให้ตรงตามกำหนดโดยไม่มีข้อยกเว้น อาบน้ำด้วยเครื่องหอมสม่ำเสมอ รอคอยให้ข้ามาถึง ขึ้นเตียงของข้าบนร่างจะต้องห้ามมีแม้แต่ฝุ่นผง หากเจ้าทำตามที่ว่านี้ไม่ได้ ข้าก็ไม่บังคับ แต่วังของข้าไม่ชุบเลี้ยงคนไร้ประโยชน์ หากเจ้าไร้คุณค่าให้ใช้สอย ยังจะรั้งอยู่ไปทำไม’
นางพลันตื่นตระหนกก่อนจะหันร่างกลับมามองเขา ‘ท่าน…คิดจะไล่ข้ากับท่านแม่เสียแล้วหรือ’
เขาจ้องนางตอบอย่างเย็นชา
กงฮุ่ยมองค้อนเขาทันที
‘ทำไมเล่า นี่มิใช่สิ่งที่เจ้าคิดอยากจะทำที่สุดหรอกหรือ ไปจากที่นี่ ไปจากข้า’ เขาหัวเราะหยัน
‘ข้า…’ เพื่อมารดา นางจะไปได้จริงๆ น่ะหรือ แล้วจะไปรอดหรือไม่
‘ไม่ไปหรือ’ เขามองนางอย่างพึงพอใจ
นางนิ่งมองเขาอย่างนั้น ไม่อาจบังคับตนเองให้พูดคำนั้นออกมาได้
‘เช่นนั้นก็อย่าทำให้บ่าวไพร่ต้องลำบากใจได้หรือไม่’
เมื่อเห็นใบหน้าประดับรอยยิ้มชั่วร้ายนั่นแล้ว กงฮุ่ยก็รู้ถึงความนัยที่แฝงอยู่เบื้องหลังได้อย่างชัดแจ้ง เขารู้ว่านางกำลังต่อสู้อย่างสัตว์ที่จนตรอก และเขาก็เพลิดเพลินกับการเป็นนักฝึกสัตว์ที่ได้หวดแส้เย้าแหย่นางหาความสำราญใจ
ดวงตาทั้งคู่ของนางปรากฏความหดหู่ขึ้นอย่างอดไม่อยู่ หยาดน้ำเอ่อคลอ
เผชิญหน้ากับท่าทางพ่ายแพ้ของนาง ในอกของหย่งหลินพลันเกิดความเบื่อหน่ายโดยไม่รู้สาเหตุ ‘เพราะเหตุใด’ ชายหนุ่มเบนสายตาออกไปไม่มองนางและไม่ยอมใจอ่อน เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยรู้จักคำว่าใจอ่อนนั้นเป็นเช่นไร
‘ข้า…ข้าทำไม่ได้’ กงฮุ่ยเอ่ยตอบด้วยร่างกายที่แข็งทื่อ แม้จะตั้งใจไว้ดิบดีแล้วว่าจะไม่แสดงความโกรธหรือหลั่งน้ำตาต่อหน้าเขาให้สมใจอีกฝ่ายอีก แต่ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับเขาจริงๆ ก็ทำได้ยากเย็นยิ่งนัก เหตุเพราะบุรุษผู้นี้รังแกกันเกินไปแล้ว!
ยังไม่ยอมถอยอีกหรือ สีหน้าของหย่งหลินพลันไม่น่ามอง ‘หึ! ทำไม่ได้ก็จากไปเสีย ข้าย่อมไม่รั้งไว้!’ เขาลุกขึ้นคิดจะจากไป แต่เพิ่งจะก้าวไปถึงประตูก็หยุดชะงักก่อนจะหันกลับมา บนใบหน้าคือรอยยิ้มชั่วร้ายที่นางคุ้นเคย
‘ตัวข้าไม่ทำการค้าที่ขาดทุน หากคิดจะไป ก็ต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายระหว่างที่พวกเจ้าสองแม่ลูกอาศัยอยู่ในวังของข้า!’
‘ชดใช้? ข้าไม่มีเงิน…แม้แต่ยาที่ซื้อด้วยเงินที่ข้าได้จากการขายตัวก็ยังอยู่ที่บ้านหลังเก่าทั้งหมด ท่าน…ท่านไม่ยอมให้ข้านำมาด้วย…’ รอยยิ้มของเขาทำให้นางพรั่นพรึงจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว
‘ข้ามิได้บอกว่าต้องการเงินของเจ้า’ เขายังคงเข้ามาใกล้
‘ไม่…ไม่ต้องการเงิน?’ นางไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่เงาร่างที่ขยับเข้ามาใกล้ก็ทำให้นางหวาดกลัวได้แล้ว นางเบี่ยงกายหลบไปทางด้านซ้ายของเขาดุจกระต่ายขาวที่กำลังตื่นกลัว หัวใจเต้นกระหน่ำ
ทว่าเพิ่งจะวิ่งได้ไม่กี่ก้าว ท่อนแขนแข็งแรงข้างหนึ่งก็คว้าเอวของนางเอาไว้ ขัดขวางแผนการหนีของนางอย่างง่ายดาย
‘จะไปไหน สิ่งที่ต้องชดใช้อย่างไรก็ต้องชดใช้!’ ชายหนุ่มเชยคางของนางขึ้น อาศัยจังหวะที่นางไม่ทันระวังตัว หย่งหลินใช้มือหนึ่งโน้มศีรษะนางให้เข้ามาใกล้ก่อนจะทาบทับริมฝีปากลงไปอย่างรวดเร็ว
จูบนี้ไม่เพียงทำให้กงฮุ่ยตื่นตระหนกแต่ยังทำให้หัวหน้าพ่อบ้านที่กำลังจะย่างเท้าเข้ามาในห้องจ้องตาถลนก่อนจะหันไปมองเต๋อซิ่งที่อยู่ด้านหลังในทันที แต่เต๋อซิ่งเพียงเลิกคิ้ว หาได้มีทีท่าประหลาดใจไม่
จุมพิตของหย่งหลินแฝงไว้ด้วยการลงโทษ นอกจากความหยาบคายแล้วก็ไร้ซึ่งความอ่อนโยนใดๆ กงฮุ่ยถูกจุมพิตจนเจ็บระบมไปหมดแต่ไม่ว่าอย่างไรก็สลัดท่อนแขนที่รัดแน่นราวกับเหล็กกล้านั้นไม่ได้ นางทำได้เพียงอ้าปากกัดเขาด้วยความโกรธ แต่ขณะที่คิดจะกัดลงไปเขากลับถอยออกไปเสียก่อน
‘คิดจะใช้ลูกไม้เดิมกัดข้าอย่างนั้นหรือ หึ! มีบทเรียนจากหอฉินไหวเมื่อคืนนั้นแล้ว เจ้ายังคิดว่าจะทำร้ายข้าได้อีกเป็นครั้งที่สองอย่างนั้นหรือ!’ เขาไล้เลียริมฝีปากที่อบอวลไปด้วยกลิ่นของนาง ดวงตาทั้งคู่เข้มขึ้น น้ำเสียงแหบพร่า
‘ท่านมันน่าขยะแขยง!’ เมื่อต้องเผชิญกับการบังคับใช้กำลังของเขา กงฮุ่ยก็เดือดดาลคว้าถ้วยชาที่วางอยู่บนโต๊ะขว้างใส่เขาอย่างไม่ทันยั้งคิด เสียดายที่โยนพลาด ถ้วยชาจึงหล่นลงที่แทบเท้าของเขาแตกออกเป็นเสี่ยง
คิ้วทั้งคู่ของชายหนุ่มขมวดมุ่น เป็นครั้งแรกที่สตรีกล้าเสียมารยาทเช่นนี้กับเขา ท่าทางเฉยชาไม่แยแสพลันหายไป ชายหนุ่มคว้าข้อมือของนางแล้วกระชากเข้าหาตัว ดวงตาและจมูกอยู่ใกล้นางในระยะประชิดจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจกระชั้นของนางรวมไปถึงหน้าอกนุ่มนิ่มที่แทบจะถูกบดขยี้กับแผงอกของเขา ความงามที่บ้าคลั่งนี้ทำให้เขาต้องตะลึงลานไปโดยมิรู้ตัว
‘เจ้าติดค้างข้า ข้าย่อมมีสิทธิ์เรียกร้องเอาคืน!’
กงฮุ่ยโกรธจนเสียสติ นางออกแรงคิดจะผลักเขา แต่ชายหนุ่มกลับปล่อยมือในตอนนั้นพอดีทำให้นางไม่ระวังเซถลาไปด้านหลังลื่นล้มลงกับพื้น
นางเจ็บจนลุกไม่ไหว หย่งหลินเห็นเช่นนั้นก็เย้ยหยันทีหนึ่งก่อนจะสะบัดแขนเสื้อจากไป เต๋อซิ่งที่คอยอยู่ด้านข้างก็ติดตามไปด้วยทันที
เมื่อเขาไปแล้ว หญิงสาวก็หลั่งน้ำตาร่ำไห้ออกมา
เจ้ามันเป็นปีศาจ เป็นอสุรกาย เป็นเทพหายนะ! นางร้องไห้ไปพลางก่นด่าไปพลาง
‘ท่าน…แม่นาง อย่าร้องไปเลย มารดาของเจ้าเพิ่งจะฟื้นคืนสติ พอตื่นขึ้นมาแล้วก็ร้องเรียกหาแต่เจ้า’ หัวหน้าพ่อบ้านสาวเท้าเข้าไปหานางก่อนจะย่อกายลงบอก นี่เป็นสาเหตุที่เขามาที่นี่ ไม่คาดว่าจะพบเจอเหตุการณ์สะเทือนขวัญเช่นนี้
‘ท่านแม่ฟื้นแล้ว!? ข้าจะรีบไปพบนางเดี๋ยวนี้!’ หญิงสาวรีบปาดน้ำตากระวีกระวาดลุกขึ้นจากพื้น แต่เพราะเมื่อครู่ลื่นล้มลงไปหนักไม่เบาทำเอาร่างของนางร้าวระบมจนทรงตัวไม่อยู่
หัวหน้าพ่อบ้านเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปประคองทำให้นางไม่ต้องล้มลงไปจูบพื้นอีกรอบ
‘ขอบคุณท่านแล้ว’ ถูกเขาพยุงขึ้นมา กงฮุ่ยกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้ง
‘มิต้องเกรงใจ ข้าเพียงแต่เห็นว่าเจ้าขยับไม่ไหวเท่านั้น ไม่สู้พักเอาแรงเสียหน่อยแล้วค่อยกลับไปพบมารดาของเจ้าเถิด เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปแจ้งมารดาของเจ้าว่าเจ้ากำลังยุ่ง คงกลับไปช้าสักหน่อย’
ได้ยินดังนั้นนางก็ซึ้งใจจนจมูกแดงเรื่อ ‘หัวหน้าพ่อบ้าน ท่านช่างเป็นคนดียิ่งนัก’ นางกล่าวอย่างซาบซึ้งใจ
หัวหน้าพ่อบ้านท่านนี้อายุอย่างต่ำก็ปาเข้าไปเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว เขาเป็นขันทีเฒ่าจากวังหลวงที่เคยปรนนิบัติฮ่องเต้มาก่อน เมื่อหย่งหลินเติบใหญ่ย้ายออกมาจากในวัง ฮ่องเต้ก็ตั้งใจส่งเขาให้มาดูแลจัดสรรวังที่พำนักของหย่งหลิน ด้วยเหตุนี้ฐานะของหัวหน้าพ่อบ้านในวังแห่งนี้จึงไม่เหมือนบ่าวไพร่ทั่วไปทั้งยังเป็นที่เคารพนบนอบของผู้คน แม้แต่หย่งหลินที่เจ้าเล่ห์แสนกลยามได้พบเขายังต้องลดความผยอง ไม่อาจก่อเรื่องจนเลยเถิด
‘เมื่อครู่ข้าได้ยินหมดแล้ว เจ้าคิดจะไปจากวังเป้ยเล่อหรือ’ หัวหน้าพ่อบ้านศีรษะขาวโพลน ยามฉีกยิ้มก็ทำให้ใบหน้ามีแต่รอยเหี่ยวย่นดูเหมือนท่านปู่ผู้ใจดีคนหนึ่ง
‘ข้า…’ นางก้มหน้า ยอมรับอย่างอับจนหนทาง
‘จะไปจริงๆ หรือ’
‘ท่านก็เห็นว่าเขาป่าเถื่อนกับข้าถึงเพียงไหน ข้าเลือกไม่ไปได้หรือ’ นางพูดพลางถอนใจ เมื่อนึกถึงอาการป่วยของมารดา บนบ่าก็ราวหนักอึ้งขึ้นพันชั่ง* นางไม่รู้เลยว่าต้องทำเช่นไร
หัวหน้าพ่อบ้านส่ายศีรษะ ‘สิ่งที่ข้าเห็นกลับเป็นองค์เป้ยเล่อผู้รักสะอาด สตรีคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ชำระกายให้สะอาด เขากลับควบคุมตนไม่อยู่คว้าคนเข้ามาจูบ นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน’ เขาพูดอย่างมั่นใจ
‘ควบคุมตนไม่อยู่?’
‘มิใช่หรือ หากมิใช่เพราะเหตุนั้น ไฉนอยู่ๆ จึงคว้าสตรีเข้ามาจูบเล่า’
นางนิ่งอึ้ง ‘แต่ว่า…ที่จริง…ที่หอฉินไหวข้ากับเขา…ตอนที่ยังไม่ได้ยืนยันความบริสุทธิ์เขา…ก็…ก็…’ นางเขินอายเกินกว่าจะพูดให้จบ ทิ้งไว้เพียงใบหน้าแดงก่ำ
หัวหน้าพ่อบ้านเองก็ทราบเรื่องนี้เช่นกัน ‘ตอนที่เต๋อซิ่งเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟัง ข้าเองก็ตกใจขนานใหญ่เช่นเดียวกัน เดิมทียังคิดไม่เชื่อ แต่วันนี้ได้เห็นองค์เป้ยเล่อจูบเจ้าอีกครั้ง ด้วยเห็นกับตา ข้ามิอาจไม่เชื่อ ได้แต่กล่าวว่าองค์เป้ยเล่อยอมรับเจ้า เจ้า…คงจะพิเศษมาก’ เขาครุ่นคิดหาคำอธิบาย
‘พิเศษ? หัวหน้าพ่อบ้านคงจะกล่าวคำไม่ครบกระมัง ข้าพิเศษ…โชคร้ายเป็นพิเศษน่ะสิ! เจ้านายของท่านชื่นชอบเห็นข้าโกรธขึ้ง ทำเหมือนว่าหากข้าโกรธเขาก็ยินดีปรีดาถึงได้หาเรื่องข้าอยู่นั่น เอาแต่พูดคำร้ายกาจทำให้ข้าโมโห ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่!’ นางฟ้องอย่างหงุดหงิด
ชายชราได้ฟังก็ขมวดคิ้ว ‘จริงหรือ’ องค์เป้ยเล่อซุกซน คิดว่าคงเห็นสตรีนางนี้เป็นที่ให้หยอกเย้าเล่นเสียแล้วกระมัง เพียงแต่อย่างไรเขาก็ยังไม่เข้าใจ องค์เป้ยเล่อเหตุไฉนจึงต้องตาต้องใจสาวน้อยนางหนึ่งได้
อีกทั้งเพิ่งพบหน้ากันครั้งแรก ทั้งที่เกลียดชังกันถึงเพียงนั้นแต่ก็คิดอยากได้นางมาครอบครองเสียแล้ว เรื่องนี้ถือว่าผิดจากที่แล้วมา แม้แต่ตาเฒ่าอย่างเขายังคาดเดาไม่ออกว่าเจ้านายน้อยกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่
แต่ทว่าหากมองจากมุมที่องค์เป้ยเล่อคว้าสตรีผู้นี้ขึ้นมาจูบ หรือว่าอุปนิสัยจะเกิดการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงนี้…เขาตื่นเต้นรอคอยเป็นอย่างยิ่ง!
‘อย่าถือสาการกระทำขององค์เป้ยเล่อไปเสียทุกเรื่องเลย ตอนนี้เจ้าควรจะกังวลเรื่องอาการป่วยของมารดาเจ้ามากกว่า ยามนี้หาใช่เวลาที่เจ้าควรจะอวดเก่งไม่ เกิดมารดาของเจ้ากล้าติดตามเจ้าไปจากที่นี่จริงๆ หากเกิดเรื่องร้ายใดขึ้น เจ้ามีแต่จะเสียใจภายหลัง’ ชายชราถือวิสาสะรั้งตัวนางไว้แทนผู้เป็นนายจึงจงใจพูดในแง่ร้าย
กงฮุ่ยได้ฟังก็หน้าสลดไปตามคาด มือทั้งสองกำชายแขนเสื้อแน่นพลางถอนใจอย่างสลดหดหู่ ‘ท่านพูดได้ถูกต้อง นี่หาใช่เวลามาอวดเก่ง ที่ข้าควรกังวลคือจะทำเช่นไรจึงจะทำให้ท่านแม่มีชีวิตอยู่ต่อไป…ท่านโปรดไปบอกบุรุษผู้นั้น ข้า…ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้ายินยอม…เชื่อฟังทำตามกฎของเขา’ นางยอมถอยให้อีกครั้ง แต่ท่าทางเศร้าสร้อยอับจนหนทางเช่นนั้นเมื่อเข้าสู่สายตาของชายชราก็ชวนให้รู้สึกสงสารเหลือแสน
‘ข้าเห็นว่าเจ้ากับข้ามีวาสนาต่อกัน หากคิดจะอาศัยอยู่ที่นี่ให้ยืนยาวและมีเกียรติ หัวหน้าพ่อบ้านอย่างข้าจะขอแนะนำเจ้าวิธีหนึ่ง อย่าปล่อยให้ตนเองกลายเป็นของเล่นขององค์เป้ยเล่อเด็ดขาด เจ้าต้องคิดหาทางให้เขาต้องการเจ้า หากมีหนทางอื่นที่ช่วยงานเขาได้ เจ้าย่อมได้เปลี่ยนแปลงฐานะ ต่อให้ยังถูกเขาควบคุมแต่ก็คงไม่ลำบากมากนัก’
‘คิดหาวิธีให้เขาต้องการข้านอกจากเรื่องบนเตียงเช่นนั้นหรือ’ นางทบทวนคำของชายชราอย่างแตกตื่น
‘อืม เชื่อข้า หากเจ้าช่วยเหลือองค์เป้ยเล่อได้ ข้าเองก็จะลองช่วยเจ้าดูสักครั้งเช่นกัน’
* ดอกเบญจมาศในวันวาน หมายถึงสิ่งที่ไร้ค่า ไร้ประโยชน์ มีที่มาจากเทศกาลฉงหยางซึ่งมีธรรมเนียมชมดอกเบญจมาศ แต่เมื่อวันเทศกาลผ่านพ้นไป ดอกเบญจมาศก็จะร่วงโรยไม่มีใครเห็นคุณค่าอีก
** จิตใจอย่างฮุ่ยหลัน เป็นสำนวน เปรียบเปรยถึงสตรีที่มีจิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่าง ‘ฮุ่ยซิน (หญ้าหอม)’ เนื้อแท้สูงส่งสง่างามอย่าง ‘หลันฮวา (ดอกกล้วยไม้)’
* เค่อ หน่วยนับเวลาของจีนที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที
* ชั่ง (ชั่งจีน) หรือจิน เป็นหน่วยชั่งของจีน ที่มีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม และยังนิยมใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.