บทที่ 5
“ฮุ่ยเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร ข้าได้ยินว่ามีแขกสูงศักดิ์มาที่วัง เจ้ามิต้องอยู่คอยกำกับดูแลหรือ” หัวหน้าพ่อบ้านชรามากแล้ว ได้แต่นอนอมโรคอยู่บนเตียง ร่างกายอ่อนแอ เมื่อเห็นนางก็มีสีหน้าประหลาดใจ
“องค์เป้ยเล่อสั่งให้สตรีนางอื่นๆ ออกไปรับหน้าแทนแล้ว เขากล่าวว่าข้า ‘ร่างกายไม่แข็งแรง’ ไม่ต้องไปรับใช้ที่โถงอีก” กงฮุ่ยตอบเสียงขึ้นจมูก ขอบตาแดงเรื่อ
เพิ่งจะร้องไห้มาหรือ “เจ้าไม่ดีใจที่องค์เป้ยเล่อไม่ให้เจ้าออกไปรับใช้ที่ห้องโถงแต่สั่งให้สตรีนางอื่นไปแทนเช่นนั้นหรือ” แปลกมาก เขาไม่เคยเห็นนางกินน้ำส้ม** มาก่อน วันนี้เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่
อีกอย่าง องค์เป้ยเล่อก็แปลกไปจากเดิม เขากลับให้สตรีที่เลี้ยงดูไว้ในตำหนักในมิเคยได้พบหน้าผู้คนออกมาต้อนรับแขกเหรื่อ เพื่อจุดประสงค์ใดกันเล่า
กงฮุ่ยนิ่งไปก่อนจะรีบส่ายหน้า ก้มศีรษะลงอย่างเศร้าสลด “มิใช่เช่นนั้น ข้าจะสนทำไมว่าบุรุษผู้นั้นจะเรียกผู้ใดไปรับใช้ ข้า…ท่านพ่อของข้ากำลังจะถูกประหารชีวิต”
“หา! เจี่ยนอ๋องถูกพบตัวแล้วหรือ” ชายชราตื่นตระหนก
“พบตัวแล้ว อีกทั้งถูกขังอยู่ในคุกได้หนึ่งเดือนแล้ว แต่เมื่อเย็นวานบุรุษผู้นั้นกลับเพิ่งมาบอกข้า เขารู้มาตั้งแต่แรกแต่กลับปิดบังข้ามานานขนาดนี้ รอจนอีกเดือนเดียวท่านพ่อก็จะถูกประหารจึงค่อยพูดออกมา เขาโหดเหี้ยมยิ่งนัก!” พูดไปพลางนางก็หลั่งน้ำตาด้วยความคับแค้นไปพลาง
พ่อลูกพลัดพรากจากกันมานานปีแม้แต่หน้าก็ยังไม่ได้พบ แต่กลับต้องรู้ข่าวร้ายว่าเขากำลังจะถูกประหาร เช่นนี้จะให้นางรับได้อย่างไร
“อย่าร้องเลย โทษของบิดาเจ้าถูกตัดสินไปนานแล้ว ต้องมีจุดจบเช่นนี้ เจ้าเองก็มิใช่ว่ารู้ดีอยู่แก่ใจหรอกหรือ” หัวหน้าพ่อบ้านเอ่ยปลอบ
“ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจแต่ก็ยังตัดใจมิได้อยู่ดี เขาเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของข้า หลังจากท่านแม่เสียไป เขาก็เป็นญาติเพียงคนเดียวที่ข้าเหลืออยู่ ได้ยินว่าเขากำลังจะถูกประหาร ข้าจะไม่รู้สึกรู้สาได้อย่างไร” นางร้องไห้อย่างปวดใจ หญิงสาวเห็นหัวหน้าพ่อบ้านไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่ มีเรื่องใดก็ล้วนเล่าให้เขาฟัง
“เฮ้อ…” เด็กคนนี้เป็นคนใจอ่อน ยิ่งกับญาติมิตรก็ยิ่งปกป้องดูแลไม่สนเหตุผลใด สี่ปีก่อนมารดาของนางด้วยความคิดถึงผู้เป็นสามีจึงแอบร่ำไห้คนเดียวตอนกลางดึก เป็นเหตุให้โรคหอบกำเริบจนถึงแก่ชีวิต ยามนั้นนางก็เอาแต่กอดร่างเย็นชืดของมารดาร่ำไห้หัวใจสลาย ทั้งเอาแต่พร่ำโทษว่าตนเองดูแลมารดาไม่ดี คิดจะตามมารดาลงไปในน้ำพุเหลือง* เพื่อแสดงความกตัญญู
ตอนนั้นโชคดีที่องค์เป้ยเล่อห้ามเอาไว้ได้ทัน ทั้งไม่รู้ว่าองค์เป้ยเล่อใช้วิธีการใดจึงทำให้เด็กคนนี้ยังรั้งอยู่ที่นี่แม้มารดาจะสิ้นไปแล้วก็ตาม จากนั้นด้วยการสอนสั่งที่ตนทุ่มเท นางจึงเริ่มเรียนรู้งานดูแลธุระภายในวังเป้ยเล่อทั้งหมด สุดท้ายก็รับตำแหน่งหัวหน้าแม่บ้านต่อจากเขาไป
เขาเข้าใจดีว่าหลายปีมานี้นางต้องเปลี่ยนสถานะจากท่านหญิงที่เป็นเชื้อพระวงศ์กลายมาเป็นผู้ยากไร้ที่ต่ำต้อยยิ่งกว่าสามัญชน จนมาเป็นหัวหน้าแม่บ้านในวังเป้ยเล่ออย่างทุกวันนี้ ระหว่างนั้นจะต้องขมขื่นเพียงใด อีกทั้งวันนี้ยังต้องมารับรู้ว่าบิดาที่เฝ้าคิดคำนึงถึงอยู่ทุกวันกำลังจะถูกประหาร คิดดูแล้วใจของนางจะต้องปวดร้าวมากอย่างแน่นอน
“ท่านหัวหน้าพ่อบ้าน ท่านคิดว่าข้าจะขอให้องค์เป้ยเล่อช่วยเหลือได้หรือไม่ ให้เขาขอฝ่าบาททรงละเว้น ฝ่าบาทโปรดปรานเขามาก ไม่แน่ว่าท่านพ่ออาจพอมีทางรอด…”
เมื่อเห็นแววตาเปี่ยมความหวังของนาง ชายชราได้แต่ส่ายหน้า “เจ้าจะลองดูก็ได้ แต่เจ้าก็รู้นิสัยขององค์เป้ยเล่อดี เขามิเคยเมตตาปรานีต่อผู้ใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอีกว่าความผิดในปีนั้นของบิดาเจ้าก็ร้ายแรงจนแทบสวรรค์พิโรธปวงชนประณาม เพราะเหตุนั้นหลังเกิดเรื่องถึงได้มิมีผู้ใดกล้ายื่นมือช่วยเหลือพวกเจ้าสองแม่ลูก ปล่อยให้พวกเจ้าอาศัยอยู่ข้างถนน ในสถานการณ์เช่นนี้ หากองค์เป้ยเล่อออกหน้าช่วยเหลือ เกรงว่าจะได้ไม่คุ้มเสียอีกทั้งถูกราษฎรเกลียดชัง”
หญิงสาวเผยสีหน้าสิ้นหวังออกมาก่อนที่จะเรียกสติของตนเองในพริบตา
นางจะต้องไม่หมดหวัง มีเพียงเช่นนี้ ท่านพ่อจึงจะพอมีโอกาสรอด
เพราะฉะนั้นนางจึงต้องเดิมพัน เดิมพันฐานะของตนในหัวใจของเขา ต่อให้เป็นแค่ของเล่นที่เขาโปรดปรานก็ไม่เป็นไร หากเขายอมทุ่มใจให้ของเล่นแม้เพียงสักเล็กน้อย เช่นนั้นนาง…ก็จะไม่เสียใจในภายหลัง
นั่นก็เป็นเพราะ…นางหวาดกลัวการสูญเสียเป็นที่สุด
“ข้าต้องการพบหน้าท่านพ่อสักครั้ง ขอองค์เป้ยเล่อโปรดช่วยเหลือด้วยเจ้าค่ะ!” ขณะที่หย่งหลินกำลังจะเข้านอน กงฮุ่ยก็รีบร้อนเข้าประตูมา
ชายหนุ่มที่กำลังจะถอดรองเท้าปักขอบเขียวจ้องมองนางอย่างไม่แปลกใจ ในวังแห่งนี้มีเพียงนางที่กล้าบุกเข้ามาในห้องของเขาอย่างไม่เกรงกลัว
แต่กระนั้นสีหน้าของเขาก็ขรึมลงเล็กน้อยก่อนจะกวักมือให้นาง “ในเมื่อมาแล้วก็ปรนนิบัติข้าเปลี่ยนชุดเถิด”
แม้จะร้อนใจจนแทบอยากกรีดร้องแต่กงฮุ่ยก็ทนเก็บเอาไว้พลางก้าวเข้าไปถอดรองเท้าให้เขาอย่างเชื่อฟัง “ช่วยเหลือท่านพ่อมิได้ อย่างน้อยให้ข้าได้พบหน้าเขาสักครั้งก็ยังดี ท่านคงไม่แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่ช่วยเหลือกระมังเจ้าคะ”
“พบหน้าแล้วอย่างไร อย่างไรก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี เจ้าก็ได้แต่ร้องไห้อยู่ครึ่งค่อนวันเท่านั้น” ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อทรงกีบม้า** ก่อนจะกางแขนทั้งสองข้างให้นางปลดเข็มขัด
แต่คราวนี้น้ำหนักมือของนางรุนแรงขึ้นด้วยความโกรธ “จะร้องไห้มันก็เรื่องของข้า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะพบหน้าท่านพ่อเป็นครั้งสุดท้ายให้ได้!”
เขาโน้มตัวลงมาเพื่อให้นางถอดผ้าคลุมไหล่ของเขาออก “เช่นนั้นก็ไปสิ”
“ท่าน!” ชายผู้นี้น่ารังเกียจยิ่งนัก รู้ทั้งรู้ว่าอาศัยแค่ฐานะของนางไม่อาจเข้าไปในคุกหลวงของศาลราชวงศ์ได้ อยากจะพบหน้าบิดาสักครั้งย่อมไม่มีหวัง! “ท่านไม่คิดจะช่วยจริงๆ หรือ” นางขึ้นเสียงถาม
“นี่เป็นท่าทีขอให้ช่วยหรือ อีกอย่าง นี่สมควรเป็นกิริยาที่หัวหน้าแม่บ้านใช้ปรนนิบัติผู้เป็นนาย?” สายตาของเขาเย็นเยียบ
นางอดกลั้นจนหน้าแดงก่ำ “ท่านมันเจ้าเล่ห์รังแกผู้อื่น!”
“รังแก?” ชายหนุ่มแค่นเสียง “ไม่ช่วยบ่าวไพร่คนหนึ่งก็ถูกกล่าวหาว่ารังแกผู้อื่นได้ด้วยหรือ”
นางเดือดดาลจนถึงขีดสุด ในใจกลับขื่นขมอย่างไร้สาเหตุ
สุดท้ายนางก็ยังพ่ายเดิมพันอย่างนั้นหรือ
หย่งหลินมองนาง มุมปากค่อยยกขึ้น กงฮุ่ยเห็นเช่นนั้นก็รีบขจัดอารมณ์ความรู้สึกออกไป สงบสติตนเองเสียใหม่
น่าชังนัก ตกหลุมพรางของเขาเข้าอีกแล้ว!
“ขอร้อง” นางฝืนข่มความโกรธเอ่ยเสียงเบา
เขากางแขนออกอย่างเกียจคร้านอีกครั้ง ท่าทางหยิ่งยโสเช่นนั้นชวนให้หงุดหงิดจนอยากแยกเขี้ยวยิงฟัน นางฝืนยิ้มออกมาพลางช่วยเขาถอดชุดคลุมขุนนางสีน้ำเงินเข้ม ด้านในยังมีเสื้อคลุมยาวอีกตัวหนึ่ง มือเล็กๆ ของหญิงสาวยื่นออกไปที่กระดุมเสื้อของเขา ขณะที่กำลังจะปลดออก สายตาของหย่งหลินก็เผลอมองไปที่ข้อมือของนาง คล้ายนึกอะไรขึ้นได้ ดวงตาพลันหม่นเข้ม รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก
“ไม่ต้องแล้ว ที่เหลือข้าจะทำเอง!” ชายหนุ่มพลันปัดมือของนางออก
หญิงสาวนิ่งงันไปด้วยสีหน้าเหลอหลา มองชายหนุ่มคล้ายกำลังโมโหเดินกลับไปนั่งที่เตียงดังเดิมไม่สนใจนางอีก
“ท่านไม่คิดจะช่วยจริงๆ อย่างนั้นหรือ” นางร้อนใจเกินกว่าจะสนว่าเขาโมโหด้วยเรื่องใดจึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“อืม” เขาตอบอย่างเชื่องช้า
“คำว่า อืม หมายถึงท่านจะช่วย?” นางพูดอย่างไม่อาย
“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ” เขายิ้มเจ้าเล่ห์พลางอิงร่างกับเสาเตียง
เทพหายนะ! นางกัดฟันพลางก้าวเข้าไปข้างหน้าเขาแล้วคุกเข่าลง
แต่หย่งหลินเพียงกำหมัดแน่นจากนั้นก็ทำราวกับมองไม่เห็น ยังคงจัดระเบียบชุดตัวในของตนเอง
กงฮุ่ยจ้องมองเขาอย่างอับจนหนทาง บุรุษผู้นี้ชื่นชอบการทรมานนางเหลือเกิน ไม่รู้ว่าชาติก่อนนางติดค้างอะไรเขากันแน่ถึงต้องทนรับการรังแกจากเขาเช่นนี้
“ข้าต้องทำอย่างไรท่านจึงจะยอมช่วยข้า” นางถอนใจเอ่ยถาม
เขาถึงค่อยเหลือบตาขึ้นมองนาง “ตัดใจเถิด คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางช่วยเจ้า” เป็นครั้งแรกที่เขาให้คำตอบกับนางอย่างตรงไปตรงมา
“เพราะเหตุใด”
“เพราะข้าเกลียดเขา”
“เกลียด? ท่านพ่อของข้าทำผิดต่อท่านหรือ” นางขมวดคิ้วมุ่น
“เปล่า” นัยน์ตาของเขาหดเล็กลง
“เช่นนั้นเพราะเหตุใด…”
“ออกไปได้แล้ว ข้าบอกว่าไม่ช่วยก็คือไม่ช่วย อย่าทำให้ข้าอารมณ์เสีย” พูดจบก็โบกมือไล่นางออกไปอย่างรำคาญใจ
ด้วยไม่คิดว่าเขาจะปฏิเสธเช่นนี้ ดวงตาของกงฮุ่ยพลันรื้นไปด้วยหยาดน้ำ
แต่ว่านางจะยอมแพ้เช่นนี้ไม่ได้ ท่านพ่อเหลือที่พึ่งแค่นางเท่านั้น!
ดังนั้นนางจึงคุกเข่าอยู่ที่พื้นไม่ยอมลุก ต้องการบังคับให้เขาช่วยให้ได้
ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็เพียงยกมือขึ้นกอดอก มองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังให้ ใช้วิธีเห็นแต่ทำเป็นไม่เห็น ตอบสนองด้วยการหมางเมิน
กงฮุ่ยนั่งคุกเข่าต่อไปคิดจะทำให้เขาตกลงให้ได้ ทั้งสองประจันหน้ากันเช่นนั้น แต่หย่งหลินกลับไม่ร้อนใจทั้งไม่รู้สึกสงสาร ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยปรบมือ บ่าวไพร่คนหนึ่งพลันก้าวเข้ามา ฝ่ายนั้นเหลือบมองสตรีที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นคราหนึ่งด้วยสีหน้าประหลาดใจแต่ก็ไม่กล้าถามวุ่นวาย เพียงเป่าเทียนในห้องให้ดับจากนั้นก็ล่าถอยออกไป
ทั้งห้องตกอยู่ในความมืด ไม่ถึงหนึ่งเค่อก็แว่วเสียงกรนเบาๆ ดังขึ้นจากบนเตียงนอนปะปนกับเสียงสะอื้นเงียบๆ และค่ำคืนนี้ก็ผ่านไปอย่างเคร่งเครียดเช่นนี้เอง
ท่ามกลางแสงอรุณยามเช้าตรู่ปรากฏเงาร่างบอบบางขึ้นที่หน้าคุกหลวงของศาลราชวงศ์
นางเหลียวซ้ายแลขวาอย่างร้อนรนแต่ไม่อาจหาโอกาสเข้าไปด้านในได้เลย
รู้ทั้งรู้ว่าบิดากำลังได้รับความลำบากอยู่ในนั้น นางกลับไร้หนทางได้พบหน้าเขา กงฮุ่ยรู้สึกสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด
ในเมื่อไม่มีทางอื่น นางได้แต่ควักเงินที่สู้เก็บหอมรอมริบมาช่วงหลายปีที่ผ่านมาออกจากแขนเสื้อแล้วก้าวเข้าไปหาผู้คุมที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู กัดฟันมอบเงินทั้งหมดให้อีกฝ่าย
ชายผู้นั้นกะน้ำหนักถุงเงินในมือ เหยียดริมฝีปากก่อนจะโยนส่งคืนให้นาง
“น้อยเกินไปหรือเจ้าคะ ถ้าหากไม่พอ ข้าสามารถกลับไปเอามาเพิ่มได้อีก ขอแค่ท่านยอมให้ข้าเข้าไปสักหนึ่งเค่อ” นางร้องขอ
“มิใช่ไม่พอ แต่เป็นเพราะพวกข้าได้รับคำสั่งห้ามมิให้เจ้าเข้าไปพบนักโทษ” ผู้คุมคนนั้นเองก็ไร้หนทางเช่นกัน
นางประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านรู้ว่าข้าเป็นใครอย่างนั้นหรือ”
“หัวหน้าแม่บ้านกงฮุ่ยจากวังเป้ยเล่อใช่หรือไม่” เพียงมองเขาก็รู้ว่านางคือใครทันที นางงดงามสมคำเล่าลือ แต่ได้ยินมาว่าอุปนิสัยสันโดษเอาแต่ใจ เข้มงวดกับผู้อื่นไปเสียหน่อย…
นางหรี่ดวงตาลง รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องใดขึ้น “องค์เป้ยเล่อเป็นผู้สั่งไม่ให้ผ่านเข้าไปสินะ”
บุรุษผู้นั้นไม่ช่วยนางก็แล้วไปเถิด แต่ถึงขั้นรั้งขานางเอาไว้เช่นนี้ มันจะเกินไปแล้ว!
ผู้คุมไม่ได้ปฏิเสธเพราะเบื้องบนเองก็ไม่ได้ออกคำสั่งให้พวกเขาปิดบัง
นางโกรธจนตัวสั่น รู้ดีว่าเมื่อบุรุษผู้นั้นต้องการขัดขวางต่อให้เสียเวลาอยู่ที่นี่ทั้งวันก็ไม่มีประโยชน์ จึงหันกายจะกลับวังคิดจะไปเอาเรื่องใครบางคน ไม่คาดว่าจะชนกับคนผู้หนึ่งเข้า
“น้าหลัน” หลังจากที่ปะทะกันเข้า คนทั้งสองต่างต้องประคองกันและกันมิให้ล้ม หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจึงค่อยเห็นว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด
“ฮุ่ยเอ๋อร์” ข่งหลันเพียงเห็นนางก็ตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านก็มาเยี่ยมท่านพ่อหรือ” ด้วยดีใจที่เห็นญาติสนิท กงฮุ่ยจึงเข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายอย่างตื่นเต้น หยาดน้ำตาคลอเบ้า
“อืม” ข่งหลันกลับแตกตื่น แม้แต่ร่างกายที่ถูกสวมกอดก็เกร็งแน่น
กงฮุ่ยไม่รู้สึกถึงความยินดีใดๆ ที่ได้กลับมาพบหน้ากันอีกจากนาง ในที่สุดก็พบว่าสีหน้าของนางไม่ถูกต้อง เมื่อสังเกตอีกฝ่ายอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็พบว่าเรือนผมของนางถูกเกล้าขึ้นอย่างประณีต บนร่างสวมชุดฉีจวงหรูหรา เครื่องประดับที่ข้อมือและหูทั้งสองข้าง รวมไปถึงที่ลำคอก็มาจากสินเดิมของมารดาก่อนที่จะแต่งเข้าวังอ๋อง
ของเหล่านี้ยามที่ถูกยึดทรัพย์มิใช่ว่าถูกทางการริบเข้าท้องพระคลังแล้วหรอกหรือ เหตุใดจึงมาอยู่บนร่างของนางได้
เมื่อรู้สึกถึงสายตาจับจ้องของนาง อดีตชายารองของเจี่ยนอ๋องอย่างข่งหลันเป็นต้องรีบดึงแขนกลับมาซ่อนไว้ด้านหลัง ส่วนสร้อยคอและต่างหูไม่อาจเก็บซ่อนได้จึงทำได้เพียงหดกายอย่างสั่นกลัว ก้มหน้าคางชิดอกไม่กล้าสบสายตาของอีกฝ่าย “มารดาของเจ้าก็มาหรือ” นางถามอย่างหวาดวิตก
“ท่านแม่จากไปตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อนแล้ว…” กงฮุ่ยเห็นผิวพรรณของนางยังคงนุ่มเนียนเปี่ยมเสน่ห์ดึงดูดดังเก่า ราวกับว่าหลายปีที่นางติดตามบิดาไปไม่เคยได้รับความลำบากใดๆ
“เอ๊ะ? พระชายา นาง…” ข่งหลันเบิกตากว้างอย่างตระหนก แต่พริบตาก็รีบก้มหน้าลงอีกครั้ง จึงไม่รู้ว่านางรู้สึกอย่างไรกับข่าวคราวนี้
“ท่าน…เข้าไปในคุกหลวงได้หรือไม่” กงฮุ่ยมองนางด้วยความผิดหวัง เกี่ยวกับการตายของมารดา นางกลับไม่ถามไถ่สักคำ
“ข้า…ให้คนมาติดสินบนไว้ ตอนนี้จึงกำลังจะเข้าไป” ข่งหลันแตะเส้นผมของตนเองไปมา เห็นได้ชัดว่าต้องการรีบสลัดนางออก
“ให้ข้าเข้าไปด้วยได้หรือไม่” กงฮุ่ยไม่มีกะจิตกะใจซักไซ้ท่าทางแปลกประหลาดของนางจึงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“เอ่อ…คิดจะพบบิดาของเจ้าเกรงว่าคงต้องรออีกสักพัก เงินที่ข้าจ่ายเพียงพอให้ข้าเข้าไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เจ้า…ไว้คราวหน้าเถิดนะ” ข่งหลันหัวเราะแห้งๆ
“เช่นนี้นี่เอง…ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ท่านพักที่ไหนหรือ อาศัยอยู่ที่เมืองหลวงเช่นกันหรือไม่ ไว้วันหน้าข้าจะไปเยี่ยมท่าน” ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบข่งหลัน นางอดอยากรู้ไม่ได้ว่าหลายปีมานี้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง
ข่งหลันสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นลนลาน “ข้า…ข้าอาศัยอยู่ที่บ้านของญาติ ครานี้บิดาของเจ้ากลับเมืองหลวงก็เพื่อตามหาเจ้ากับพระชายา…ทั้งถือโอกาสยืมเงินจากสหายเก่าในอดีตจึงไม่ทันระวังเผยร่องรอยจนถูกตามตัวพบ ข้าเป็นสตรีเพียงคนเดียว บนร่างไม่มีแม้แต่เงินทอง ดังนั้นจึงได้แต่คุกเข่าอ้อนวอนขออาศัยอยู่กับญาติชั่วคราว…ญาติของข้าไม่อยากพัวพันกับเรื่องยุ่งยาก ข้าคิดว่าระยะนี้…คงไม่สะดวกให้เจ้ามาเยี่ยม”
“แต่ว่าพวกเราไม่ได้พบกันเสียนาน…”
“ไม่คุยแล้ว บิดาของเจ้ากำลังรอข้าอยู่ หากถึงเวลาแล้วไม่เจอ เขาจะโกรธเอาได้ ข้าไปก่อนล่ะ มีธุระใดก็ค่อยคุยกันคราวหน้าเถิด” ข่งหลันรีบร้อนกล่าวลาก่อนจะผละตัวจากนางตรงดิ่งเข้าศาลราชวงศ์ไปไม่แม้แต่จะหันมามอง
กงฮุ่ยนิ่งมองเงาหลังรีบร้อนของนาง ในใจพลันเกิดความสงสัย
สองชั่วยามต่อมา ที่ด้านหน้าโรงเตี๊ยมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หรูหราที่สุด มีระดับที่สุดในเมืองหลวง กงฮุ่ยยืนเหม่อมองอยู่ที่นั่นนานสองนาน
ห้องพักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ใช่ว่าคนธรรมดาจะเข้าพักได้ เข้าพักคืนหนึ่งต้องจ่ายหนึ่งร้อยตำลึง แต่เมื่อหนึ่งเค่อที่แล้ว น้าหลันกลับเดินเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย อีกทั้งเมื่อเข้าไปแล้วก็มีคนยืนประสานมือค้อมกายรอต้อนรับพานางกลับไปที่ห้อง
นางถึงขั้นเข้าพักในสถานที่เช่นนี้ได้?
เพราะในใจเกิดความสงสัย กงฮุ่ยจึงซ่อนตัวรออยู่ที่ด้านนอกศาลราชวงศ์ หลังจากที่น้าหลันออกมาจากคุกแล้วนางก็สะกดรอยตามมา จึงได้เห็นอีกฝ่ายเดินเตร็ดเตร่อย่างไม่ทุกข์ร้อน ก่อนจะเลือกซื้อปิ่นปักผมมูลค่าไม่น้อยได้จึงค่อยกลับ
นางยิ่งเดินตามหัวใจก็ยิ่งหนักอึ้ง จนเมื่อน้าหลันเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมหรูหราราคาแพงแห่งนี้ นางถึงต้องยอมรับว่าตนเองถูกหลอก!
สตรีผู้นี้เห็นๆ อยู่ว่าใช้ชีวิตอย่างแสนสุขสบาย สวมทองใส่เงิน กินอยู่อย่างหรูหรา แต่กลับบอกว่านางกำลังตกระกำลำบากต้องอาศัยพักพิงบ้านของญาติ
หลังท่านพ่อทิ้งท่านแม่ไปก็คงจะใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อกับสตรีนางนี้กระมัง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ตัวเขาที่ไม่ขาดแคลนเสื้อผ้าอาหาร ไยจึงไม่มารับนางกับมารดา เพราะเหตุใดกัน!
หัวใจของนางหนาวยะเยือกเอาแต่ยืนทื่ออยู่หน้าโรงเตี๊ยมเช่นนั้น สายตาร้อนดุจเพลิงไหม้แต่หัวใจกลับเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง จนเมื่อคนงานในโรงเตี๊ยมมาเห็นเข้าก็รู้สึกว่านางแปลกประหลาดจึงออกมาขับไล่ พออีกฝ่ายเห็นว่านางยังคงนิ่งงันไม่ขยับเขยื้อนก็ออกแรงเพียงเบาๆ ผลักนาง ทว่ากลับทำให้นางเซถลาไปกับพื้นทันที
แม้ถูกผลักจนล้มแต่นางกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยสักนิด ผู้อื่นต้องการให้นางไป นางก็ไป ในสมองมีแต่ความว่างเปล่า นางขยับฝีเท้าก้าวออกไปอย่างเลื่อนลอย เร่ร่อนไปเรื่อยๆ ราวกับดวงวิญญาณไร้ญาติ
เดิมทีนางไม่อยากอยู่ตัวคนเดียว แต่ผู้ที่นางเห็นความสำคัญกลับไม่แม้แต่จะใส่ใจเลยสักนิดว่านางต้องการหรือไม่
เช่นนั้นก็จากไปเสียเถิด เพราะว่าไม่มีใครต้อนรับนางอีกแล้ว เพราะว่าคราวนี้…นางควรชินชากับความโดดเดี่ยวได้แล้ว
ตอนที่หย่งหลินหาตัวกงฮุ่ยพบก็เห็นนางอยู่ในสภาพจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
สองมือของชายหนุ่มประสานอยู่ที่ด้านหลัง เรียวคิ้วขมวดมุ่นพลางก้มลงมองหญิงสาวที่นั่งอยู่หน้าป้ายหลุมศพของชายาเจี่ยนอ๋องกลางดึกกลางดื่น
“เป็นอะไรไป เดินเที่ยวจนหนำใจแล้ว ก็ได้เวลากลับวังแล้วกระมัง”
นางเงยหน้า สายตามีแต่ความว่างเปล่า ชั่วขณะหนึ่งคล้ายนึกไม่ออกว่าเขาคือผู้ใด นางส่ายหน้าด้วยดวงตาเฉยชา
“ไม่ไปหรือ”
นางยังคงเอาแต่ส่ายหน้า
“ต้องไป เตรียมเก้าอี้!” เขาหันกายไปสั่งการ ฉับพลันก็มีบ่าวรับใช้ยกเก้าอี้ที่ไม่ทราบว่าไปเอามาจากที่ใดเข้ามาตั้ง บนเก้าอี้ยังต้องปูด้วยผ้าสะอาดจึงจะให้เขานั่งลงได้
“ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีโอกาสได้ชมจันทร์อยู่หน้าหลุมศพ ยามนี้หากมีสุราอบอุ่นร่างกายด้วยก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่” พูดจบหย่งหลินก็สั่งให้ข้ารับใช้ไปอุ่นสุรามากาหนึ่ง ไม่มีจอกสุรา เขาก็ดื่มเอาจากปากกาโดยตรงอย่างไม่แยแส
หญิงสาวที่นั่งอยู่บนพื้นไม่นานก็คืนสติกลับมาจนเห็นชัดถนัดตาว่าผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าของนางคือผู้ใด
“องค์เป้ยเล่อ…มาที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ”
ได้ยินเสียงแหบพร่าของนาง หย่งหลินพลันขมวดคิ้ว “คำพูดนี้ ข้าควรจะเป็นฝ่ายถามเจ้ามากกว่า มีฐานะรับผิดชอบงานในวังแต่กลับละทิ้งหน้าที่ หายตัวไปหนึ่งวันเต็มๆ เจ้าควรจะบอกกล่าวข้าสักคำมิใช่หรือไร” เมื่อเห็นผิวของนางแห้งกร้านจากการต้องสายลมสารทมาทั้งวัน คิ้วของชายหนุ่มก็ยิ่งขมวดแน่น
“ข้า…หายตัวไปหนึ่งวัน?” ยามนั้นกงฮุ่ยจึงค่อยรู้ตัวว่ารอบด้านมืดสนิท ส่วนตนเองก็นั่งแช่อยู่หน้าหลุมศพของมารดามาทั้งวัน “ข้า…เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้” นางถามอย่างโง่งม
“เพราะว่าเจ้าถูกคนที่ไว้ใจที่สุดหักหลังอย่างไรล่ะ เรื่องเช่นนี้มีออกถมเถไป เจ้าจะใส่ใจทำไม” เขาพูดอย่างไร้เยื่อใย
หญิงสาวได้ฟังคำก็พลันเงยหน้ามองเขา ดวงตาที่มืดมิดไร้แววพลันลุกวาวด้วยความโกรธ “ท่านรู้มาตั้งแต่แรก! รู้ว่าท่านพ่ออยู่ที่ไหน รู้ว่าพวกเขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเพียงใด แต่กลับปิดบังข้ามาตลอด”
เขาเลิกคิ้วและกล่าวตอบ “ถูกต้อง ข้ารู้ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว ก่อนเขาจะถูกยึดทรัพย์ก็เตรียมการซ่อนสมบัติเอาไว้กองใหญ่จากนั้นก็พาชายารองหนีไปเสวยสุขที่ซานตง แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า ข้าคร้านจะใส่ใจ แต่คราวนี้เขากลับเข้าเมืองหลวงอย่างไม่รู้จักกลัวตาย ปลอมตัวเป็นคหบดีใหญ่เล่นพนันอยู่ในบ่อน ถูกคนจำหน้าได้จึงโดนจับคาหนังคาเขา ได้แต่กล่าวว่าสวรรค์มีตา เวลาของเขามาถึงแล้ว สมควรถูกสวรรค์ลงโทษเสียที”
ได้ยินเช่นนั้นกงฮุ่ยก็ทึ่มทื่อไปทันที
นี่ก็คือบุรุษที่มารดาทุ่มเททุกอย่าง เสียสละตนเองเพื่อเขาอย่างนั้นหรือ!
ความยุติธรรมอยู่ที่ใด… ความยุติธรรมอยู่ที่ใดกัน…
น้ำตาที่แห้งเหือดไปทั้งวัน ในยามนั้นเองก็เก็บกดเอาไว้อีกไม่ไหวไหลพรั่งพรูออกมา
นางปวดใจยิ่งนัก เมื่อมองป้ายหลุมศพของมารดา นางหวังจะเก็บเรื่องนี้ไว้มิให้มารดารู้ แต่ยามที่ท่านแม่ลงไปยังแดนน้ำพุเหลืองก็สมควรได้รับรู้ว่าสามีที่นางเฝ้าปกป้องผู้นั้นเป็นคนไร้หัวจิตหัวใจและไร้มโนธรรมผู้หนึ่ง!
หญิงสาวก้าวเข้าไปอย่างยากลำบาก สองแขนโอบกอดป้ายหลุมศพก่อนจะร่ำไห้ออกมาสุดเสียง
“ท่านแม่ บุรุษผู้นั้นแม้แต่เรื่องที่ท่านป่วยตายไปก็ยังไม่รู้ ยามนั้นเขาคงกำลังเสวยสุขกับน้าหลันอยู่ที่ซานตง เป็นเศรษฐีใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี เขาหลงลืมพวกเราสองแม่ลูกจนหมดสิ้น เขาลืมไปแล้ว แม้แต่สักนิดก็ไม่เคยนึกถึง…” นางร่ำไห้อย่างเศร้าสลด กรีดร้องจนสุดเสียง สุดท้ายก็หายใจสะดุดจนสำลักออกมา
หย่งหลินเห็นเช่นนั้นก็เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะยืดกายเดินเข้าไปกุมไหล่ของนาง ช่วยตบหลังให้นางเบาๆ “บุรุษแล้งน้ำใจเห็นแก่ตัวผู้นี้เจ้ายังอยากจะพบหรือไม่ หากยังอยากพบ คราวนี้ข้าจะช่วยเจ้า” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนอย่างหาได้ยากยิ่ง
“ไม่พบ! ต่อให้เขาจะถูกประหารพรุ่งนี้ ข้าก็ไม่มีวันพบหน้าเขาอีก!” นางปาดน้ำตาอย่างคับแค้นใจ
“เช่นนั้นก็ดี ไม่พบก็ไม่พบ ลดเรื่องน่ารำคาญให้ข้าได้เรื่องหนึ่ง” ชายหนุ่มยิ้มบางๆ
เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น กงฮุ่ยพลันคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง
หรือบุรุษผู้นี้เป็นเพราะรู้อยู่แล้วว่าท่านพ่อเป็นคนเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรจึงไม่ยอมช่วยเหลือนาง?
เขา…กำลังปกป้องไม่ให้นางเจ็บปวดหากรับรู้ความจริงอย่างนั้นหรือ
เป็นเช่นนั้นหรือ เขามิใช่ชอบเห็นนางโกรธเกรี้ยว หรือไม่ก็ก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นหรอกหรือ
เขากำลังปกป้องนางใช่หรือไม่…ใช่หรือไม่…
“กลับได้หรือยัง” เมื่อรู้สึกถึงสายตาของนาง ชายหนุ่มพลันเบี่ยงกายเอ่ยถาม
“อืม” หลังจากร้องไห้หนึ่งยกใหญ่นางก็เหนื่อยแล้ว จึงพยักหน้าอย่างอ่อนล้า
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด”
หย่งหลินเดินออกจากสุสานไปก่อน นางก็เดินตามหลังเขาไปเงียบๆ คงเพราะเหนื่อยเกินไป ฝีเท้าจึงหนักอึ้งเล็กน้อย แต่เขาก็หาได้เดินเร็วไม่ เพียงก้าวเท้าไปอย่างเนิบช้า
ภายใต้แสงจันทร์สุกสกาว กงฮุ่ยจ้องมองเงาหลังของเขาไม่วางตา แผ่นหลังนี้สูงนัก ลาดไหล่ก็กว้าง ตั้งตรงประดุจขุนเขา…
คงเพราะมั่นใจว่าเขาคงไม่หันกลับมา นางจึงไม่แม้แต่จะปิดบังแววตาที่จ้องมองอย่างไม่ละไปไหน ทว่าหย่งหลินกลับรู้สึกได้จึงหันมามองและสบสายตากับนางพอดี หัวใจของนางพลันเต้นไม่เป็นระส่ำ สองแก้มแดงระเรื่อ แต่เขากลับแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ที่แฝงด้วยแผนการอันยากจะเข้าใจออกมา
** กินน้ำส้ม เป็นสำนวน หมายถึงอาการหึงหวง
* น้ำพุเหลือง (หวงเฉวียน) หมายถึงตาน้ำใต้ดินซึ่งปนเปื้อนทำให้น้ำมีสีเหลือง ชาวจีนมีคติความเชื่อว่าเป็นทางไปสู่ปรโลกหรือโลกหลังความตายของมนุษย์
** แขนเสื้อทรงกีบม้า มีลักษณะเป็นสอบแคบก่อนจะระบายออกตรงส่วนชายคล้ายกีบม้า ชายสูงศักดิ์ชาวแมนจูนิยมใส่เพื่อไม่ให้รุ่มร่าม สะดวกกับการทำงาน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.