บทที่ 4 เปิดฉากวันวินาศสันตะโร
“ตื่นสายเลยนะไอ้ภาค เมื่อคืนสาวแหม่มไม่ยอมให้นอนหรือไง”
อทิตเปิดบทสนทนาขึ้นเมื่อเห็นว่าหนุ่มรุ่นน้องตื่นสายผิดปกติ มิหนำซ้ำหน้าตาก็ยังไม่สดใสเอาเสียเลย และเพราะลงมาทานอาหารเช้าสาย บรรยากาศของห้องอาหารของโรงแรมจึงมีคนค่อนข้างบางตา
“แหม่มบ้าอะไร ไม่ได้แอ้มเลยสักนิด”
“ว่าไงนะ”
อทิตถามย้ำ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ ภาติวัติเป็นหนุ่มหล่อที่อาจจะไม่ได้ถึงขั้นสถาปนาตัวเองเป็นเสือผู้หญิง แต่พฤติกรรมเปลี่ยนคู่ควงบ่อยบวกกับมีสาวๆ มาเสนอตัวให้ไม่ซ้ำหน้าก็ทำให้ชายหนุ่มเข้าข่ายนั้นอยู่เหมือนกัน แต่เพราะความลื่นเป็นปลาไหล เอาตัวรอดเก่ง และ ‘เลือกกิน’ ของเขาก็ช่วยให้ภาพลักษณ์ของภาติวัติ ปรมัติยังเป็นไฮโซหนุ่มทายาทธุรกิจพันล้านที่มีประวัติขาวใสไร้รอยด่างพร้อย
ซึ่งนั่นมันขัดกับความเป็นจริง เพราะถ้าหากรื้อใต้เตียงนักแข่งรถหนุ่มอนาคตไกลผู้นี้ออกมาดูล่ะก็คงจะไม่เจอแค่รอยด่างพร้อย แต่ที่เจอน่าจะเรียกว่า ‘ความดำมืด’ เลยมากกว่า
“มองผมแบบนั้นหมายความว่าไงพี่ทิต ทำเหมือนผมเป็นพวกหื่นขาดหญิงไม่ได้อย่างนั้นแหละ”
“หรือไม่จริง ถามไอ้นัฐกับไอ้ครามดูก็ได้” อทิตหากองหนุน
“ผมกำลังอึ้งอยู่เฮีย คนอย่างเฮียภาคเนี่ยนะ ไม่ได้แอ้มแหม่มเมื่อวาน” คีตภัทรโพล่งออกมาขณะที่มือถือแก้วกาแฟค้างไว้อย่างนั้น
ภาติวัติหรี่ตาลงอย่างไม่สบอารมณ์ อยู่ดีๆ เท้าก็เกิดอยากจะกระตุกโดนใครสักคนขึ้นมา ถ้าไม่ติดว่าเรื่องเมื่อคืนรบกวนจิตใจเขาเกินกว่าจะใส่ใจความยียวนกวนโทสะของคีตภัทรหรือแม้แต่ความขี้สงสัยของอทิต นาทีนี้เขารู้สึกได้ว่านัฐเป็นคนที่น่าคบที่สุด เพราะความสงบปากสงบคำของมัน
เสียเมื่อไหร่…
“ที่เฮียภาคทิ้งสาวแหม่มเพราะเจอสาวอื่นกลางทางหรือเปล่าเฮีย”
“เลิกเสือกเรื่องฉันแล้วไปกินข้าวซะไป” ภาติวัติสวนนัฐกลับทันควัน ทำเอาหนุ่มน้อยหน้าใสถึงกับรีบหุบปากแทบไม่ทัน
“หงุดหงิดไปอีก”
อทิตบ่นแค่นั้นก็หันไปจัดการกับอาหารตรงหน้า ส่วนคีตภัทรก็รีบชวนคุยเรื่องอื่นก่อนที่จะมีใครสักคนเจ็บเพราะเท้าของใครบางคน
ขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันตามประสาผู้ชาย การปรากฏตัวของหญิงสาวร่างบางหน้าตาอ่อนวัยก็ทำเอาบทสนทนาทั้งหมดทั้งมวลต้องหยุดชะงัก
“นี่มันแฟนคลับคลั่งรักของแกนี่หว่าไอ้ภาค” อทิตชี้ไปที่สาวร่างเล็กในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนห้าส่วน สวมรองเท้าผ้าใบ และพวกเขาจำเธอได้ในทันที
หญิงสาวไม่พูดพร่ำทำเพลง เธอยื่นกระดาษใบเล็กมาตรงหน้าภาติวัติโดยไม่สนสายตาคนอื่นๆ ในโต๊ะที่มองมาด้วยความไม่เข้าใจ
“อะไรของเธอ” ภาติวัติตีหน้าขรึม เชื่อได้เลยว่าตอนนี้เพื่อนร่วมแก๊งคงคิดไปในทางอกุศลแล้ว
“เบอร์โทร แล้วก็ไอดีไลน์ของฉัน กรุณาทำตามสัญญาด้วยนะคะ”
นิดานุชเอ่ยปากเจื้อยแจ้ว ท่าทีเด็ดเดี่ยวไม่เหมือนสาวน้อยขี้แยเมื่อคืนทำให้ภาติวัติรู้สึกเหมือนกำลังถูกหลอก เหมือนว่าเขากำลังจะเสียท่าให้ผู้หญิงที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ไม่รู้แม้แต่ชื่อ อันที่จริงเจ้าหล่อนบอกเขาไปแล้วหนหนึ่งแต่ยอมรับตรงๆ ว่าเขาจำไม่ได้เพราะไม่ได้ใส่ใจจะจำตั้งแต่แรก ใครจะคิดว่ากรรมจะเหวี่ยงให้เขาต้องมาพบกับเธอเกินหนึ่งครั้ง เป็นเวรกรรมที่สาหัสมากจริงๆ
“รับไปสิคะ” นิดานุชเร่ง เธอต้องใช้เวลาตั้งหลายชั่วโมงในการตัดใจจากสมุดบันทึกของเธอ ขนาดที่ก่อนผล็อยหลับไปตอนตีสามเธอยังไปยืนทอดอาลัยมองผืนน้ำอยู่ที่ระเบียงห้องนอนของตัวเองนานนับชั่วโมง เช่นนี้แล้วหญิงสาวจึงไม่ลังเลเลยที่จะรับความรับผิดชอบจากเขา คนที่ทำให้สมุดบันทึกของเธอต้องนอนอยู่ใต้ผืนน้ำเย็นชืดอย่างโดดเดี่ยวในต่างบ้านต่างเมืองเช่นนี้
นี่เธอไม่ให้เขาบวชให้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว…
ภาติวัติพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมา ไม่คิดเลยว่าชีวิตต้องมาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ เขาเอื้อมมือไปคว้ากระดาษมาอ่านเร็วๆ แล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้อ
“เรื่องค่าห้องคุณไม่ต้องมาจ่ายให้ฉันหรอกนะคะ ฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว ถ้ายังไงฉันจะรอคุณติดต่อกลับมา”
พูดจบเธอก็ยกมือสวัสดีชายหนุ่มทั้งสี่อย่างคนที่ถูกฝึกเรื่องมารยาทมาอย่างดี อันที่จริงเธออยากจะสะบัดหน้าหนีไปเฉยๆ ด้วยซ้ำเพราะครั้งแรกที่พบกันทุกคนทำท่าเหมือนจะฆ่าเธอ อย่างน้อยหนึ่งในนั้นก็ส่งมีดให้ภาติวัติ โดยที่อีกสองคนไม่มีใครคิดจะห้าม แต่เพราะนิสัยไม่ผูกใจเจ็บใครได้นานก็ทำให้เธอลืมเรื่องร้ายๆ คืนก่อนไปได้ง่ายดาย
จะถือเสียว่ามันเกิดจากความเข้าใจผิดก็แล้วกัน
ทุกอย่างผ่านมาและผ่านไปไวเหมือนพายุ หลังจากร่างบางของหญิงสาวที่เพิ่งพบเป็นหนที่สองเดินจากไป อทิต คีตภัทร และนัฐต่างหันมาจ้องภาติวัติเป็นตาเดียว
“ที่แท้เฮียภาคก็ทิ้งแหม่มเซ็กซี่ไปขยี้สาวไทยวัยใสนี่เอง” คีตภัทรพูดไปตามที่คิด
“ผู้หญิงสมัยนี้” อทิตพูดพลางโคลงศีรษะอย่างอ่อนใจ “นี่อายุเธอถึงสิบแปดหรือยังวะนั่น หนีพ่อหนีแม่มาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ระวังให้ดีนะไอ้ภาค ฉันไม่อยากไปเยี่ยมแกในคุกนะ ถึงแกจะมีเงินประกันตัวก็เถอะ แต่ชื่อเสียงเสียหายขึ้นมา พ่อแกเอาตาย”
“ไม่น่าถึงหรอกเฮียทิต สิบเจ็ดล่ะมั้งนั่น” นัฐหน้าเสียมากกว่าใครเพื่อน ไม่คิดว่าเรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้
ภาติวัติหลับตาลงอย่างสะกดกลั้นอารมณ์
ช่างแม่ง! ใครจะเข้าใจอย่างไรก็ช่างแม่งเถอะ
“ล่องเรือชีวิต ที่ลิขิตมาด้วยกัน แต่ละวัน แล้วแต่กรรมพาไป ไม่มีใครรู้ จะสิ้นสุดลงที่ใด จุดจบที่ปลายใครเศร้าใครสุขสันต์*”
นิดานุชเปิดเพลงเคล้าคลอกับอารมณ์หม่นๆ ในวันนี้ หลังจากเธออ่านบทวิจารณ์ของนักวิจารณ์นิรนามเป็นครั้งที่สามของวัน อารมณ์สุนทรีย์ก็ดำดิ่งลงไปอีกพันสองร้อยฟุต ขณะที่พยายามรวบรวมข้อมูลการแข่งรถขึ้นมาใหม่อีกครั้งซึ่งใช้เวลาสองสัปดาห์ก็ยังไม่ได้ถึงครึ่งหนึ่งของที่ถูกภาติวัติโยนทิ้งน้ำไป
คิดแล้วโมโห…
เธอไม่น่าเชื่อน้ำหน้าคนอย่างภาติวัติเลย เขามันก็แค่ผู้ชายหล่อแต่รูปจูบไม่ได้ จากตอนแรกที่เธอรู้จักเขาเพียงแค่ข้อมูลพื้นฐานจากสื่อต่างๆ ในฐานะที่เป็นประชากรหนึ่งในหกสิบห้าล้านคนที่แอบมองคนดังคนหนึ่งอย่างเงียบๆ เธอก็คิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์ไร้ที่ติ
นั่นเป็นความคิดที่ผิด…
ภาติวัติมีดีแค่เปลือกความเป็นคนรวย แท้จริงแล้วเขาเป็นผู้ชายที่แย่ที่สุดในโลก ใจร้าย ไร้ความเป็นสุภาพบุรุษ ผิดคำพูด ไม่ให้ความสำคัญกับคำสัญญา ห่วยที่สุด…
ทำไมเธอถึงได้ใสซื่อไปเชื่อว่าเขาจะรับผิดชอบทุกอย่างนะ!
จากวันนั้นถึงวันนี้ทุกอย่างยังเงียบไร้การติดต่อ ทั้งที่รายการแข่งรถจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า เช่นนี้แล้วเธอควรจะปล่อยให้ทุกอย่างเลือนหายไปเหมือนสมุดบันทึกที่ลอยไปกับสายน้ำ ทิ้งพระเอกนักแข่งรถไปเขียนพระเอกอาชีพอื่นที่เธอสัมผัสได้ง่ายกว่า หรือว่า…จะไปตามล่าสัญญาจากเขาดี
ดูเป็นไปไม่ได้ทั้งสองทาง เธอไม่สามารถทิ้งงานเขียนตัวเองกลางทางได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่รู้เลยว่าจะเข้าถึงตัวภาติวัติได้อย่างไร เพราะในประเทศไทยภาติวัติเป็นที่รู้จักของคนโดยมาก การเดินดุ่มๆ เข้าไปหาเขาเหมือนเมื่อครั้งที่อยู่สิงคโปร์ดูเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
“สวัสดีค่ะพี่เกน” นิดานุชกรอกเสียงเนือยๆ ลงไปในโทรศัพท์เมื่อเห็นชื่อบนหน้าจอแสดงสายเรียกเข้า เธอไม่ได้บอกเรื่องราวความพินาศของชีวิตตัวเองให้เกนหลงรู้ เพราะเชื่อได้เลยว่าถ้าหาก บ.ก. สาวรู้เข้าเธอจะต้องถูกสวดชุดใหญ่ อะไรๆ ที่ยากอยู่แล้วก็คงจะยากขึ้นไปอีก
“วันนี้จะไปอิมแพ็คฯ หรือเปล่า”
“คะ?” คำถามแบบไม่มีที่มาที่ไปทำเอานิดานุชย่นหัวคิ้วเข้าหากันทันที
“อ้าว! ก็วันนี้พ่อพระเอกของเราเขามางานอีเวนต์เปิดตัวรถรุ่นใหม่ที่เขาเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ไงล่ะ พี่คิดว่าฝันจะไปเสียอีกจะได้นัดเจอกัน พอดีสามีพี่เขาอยากไป พี่ก็ไม่ชอบดูอะไรพวกนี้เท่าไหร่เลยกะว่าระหว่างรอพ่อเจ้าประคุณเดินดูนั่นนี่ จะชวนฝันกินกาแฟเม้าท์มอยให้หายคิดถึงเสียหน่อย”
คำบอกเล่ายาวเหยียดของเกนหลงไม่ได้เข้าหูของนิดานุชเท่าไหร่ เพราะเธอรับรู้เพียงประโยคเดียวที่บอกว่าภาติวัติจะไปงานวันนี้
“ฝัน ฟังอยู่หรือเปล่า”
“เอ่อ ฟังค่ะ ฟัง” นิดานุชรีบตอบ ขณะที่สมองก็ทำงานอย่างหนัก เธอจะทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงตัวภาติวัติได้ นี่อาจเป็นหนทางเดียว ทำไมเธอไม่รู้เรื่องนี้ก่อนนะ
“แล้วฝันจะไปหรือเปล่าจ๊ะ”
“เอ่อ ไม่ได้ไปหรอกค่ะพี่เกน พอดีว่าฝันได้ข้อมูลมากพอสมควรแล้วน่ะค่ะ”
“เหรอ ไม่ใช่เพราะเราอายที่เอาหัวไปโหม่งถ้วยรางวัลเขาวันนั้นใช่ไหม”
“งื้อ พี่เกน ลืมมันไปได้แล้วค่ะ”
“ก็มันน่าขำนี่นา ฝันคิดว่าเขาจะจำฝันได้ไหม”
จำได้สิ หมอนั่นจำได้แม่นเสียด้วย
นิดานุชคิด แต่สิ่งที่พูดออกไปคือ… “ไม่หรอกมั้งคะ คนเป็นร้อย เขาคงจำฝันไม่ได้หรอก”
“เหรอ ถ้าเป็นพี่ พี่ว่าพี่จำได้นะ แหม! เหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นได้บ่อยเสียเมื่อไหร่”
“พี่เกนคะ ขอร้องล่ะ อย่าพูดถึงมันอีกเลยนะคะ” ยิ่งฟังยิ่งอยากเอาหัวโขกกำแพง ขายหน้าคนที่สนามแข่งนับร้อยว่าอายแล้ว ภาพถูกเผยแพร่ทางโทรทัศน์แบบนี้ไม่ต้องขายหน้าคนเป็นล้านเลยหรือ
“ก็ได้ๆ พี่ไม่พูดแล้วก็ได้ แต่นี่…ถ้าฝันเจอเขาอีกครั้ง ช่วยบอกพี่หน่อยนะ ว่าเขาจำฝันได้หรือเปล่า”
“พี่เกนคะ”
“โอเคๆ ไม่พูดแล้ว”
นิดานุชพ่นลมหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ แต่ก่อนจะหงุดหงิดไปมากกว่านี้ เธอต้องคิดถึงเรื่องอื่นที่สำคัญมากกว่า การมัวแต่คุยกับเกนหลงเรื่องเธอเอาหัวโหม่งถ้วยรางวัลเป็นการเสียเวลาเปล่า
“ถ้ายังไงฝากพี่เกนเก็บภาพมาเผื่อด้วยนะคะ”
“เฮ้อ! เสียดายจังที่ไม่ได้เจอฝัน แต่ไม่เป็นไร เราค่อยนัดเจอกันวันหลังก็ได้”
“ขอบคุณค่ะพี่เกน”
นิดานุชลดโทรศัพท์ลงหลังจากปลายสายขอวางไปแล้ว ใบหน้าของภาติวัติลอยเข้ามาในหัว เขายังคงใช้ชีวิตปกติโดยไม่สำนึกเลยว่าทำอะไรกับเธอไว้บ้าง ถ้าคิดจะแกล้งลืมกันง่ายๆ ก็ฝันไปเถอะ
ดวงตากลมโตฉายแววเด็ดเดี่ยวขึ้น “หมดเวลาพิสูจน์ความเชื่อมั่นในสัจจะของคุณแล้ว คุณภาติวัติ”
‘งานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 35’
นิดานุชมองป้ายใหญ่ยักษ์หน้าทางเข้างานด้วยหัวใจที่ร้อนเป็นไฟ แต่ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความเย็นเยียบของอาการหวาดหวั่นกล้าๆ กลัวๆ
เธอต้องไปพูดกับภาติวัติให้รู้เรื่องว่าเขาจะเอาอย่างไรกันแน่ หรือว่าเขาคิดว่าการที่แกล้งเงียบหายไปไม่ติดต่อมาเลยจะทำให้เธอลืมเรื่องที่เขาทำไว้ง่ายๆ แล้วท้อถอยไปเอง
ไม่มีวัน…
หลังจากส่งไลน์เช็กกับเกนหลงตลอดเวลา นิดานุชก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่งเมื่อรู้ว่า บ.ก. สาวรุ่นพี่กลับบ้านไปแล้ว เพราะเธอไม่อยากห่วงหน้าพะวงหลัง หากเกนหลงเห็นเธอที่งานจะต้องไม่พอใจแน่ๆ ที่รู้ว่าเธอมางานนี้แท้ๆ แต่กลับบอกว่าไม่มาเหมือนกับว่าไม่อยากพบหน้ากัน ทั้งที่ความจริงแล้วเธอมีเรื่องต้องสะสางกับพ่อนักแข่งรถไร้สัจจะต่างหาก
16.30 น.
บรรยากาศของบูธเปิดตัวรถยี่ห้อดังครึกครื้นเป็นพิเศษ ด้านหน้าเวทีเตี้ยๆ ถูกจับจองด้วยสาวน้อยสาวใหญ่เต็มพื้นที่จนไม่แน่ใจเลยว่าที่คนเยอะแบบนี้เพราะว่าพวกเธอมาดูรถหรือมาดูอะไรกันแน่
ไม่ต้องบอกก็รู้ ภาติวัติไม่ได้เป็นดารานักแสดงหรือนักร้องบอยแบนด์แต่เขาก็มีชื่อเสียงและเป็นขวัญใจในระดับเดียวกัน เพราะความสามารถในการแข่งรถที่มาพร้อมกับความหล่อเหลาและความร่ำรวยระดับเศรษฐีแถวหน้าของเมืองไทยทำให้เขากลายเป็นผู้ชายในฝันของหญิงสาวหลายคน และมันอาจจะรวมถึงเธอด้วยหากว่าเธอไม่รู้เช่นเห็นชาติเขาเสียก่อน
เสียงดนตรีดังกระหึ่มขึ้นเมื่อพิธีกรชายหญิงกล่าวเปิดตัวแบรนด์แอมบาสซาเดอร์คนสำคัญ แดนเซอร์สาวสวยในชุดที่ออกแบบให้ทันสมัยเหมือนมาจากโลกอนาคตขยับท่าทางประกอบเพลง และ…
ร่างสูงสง่าในชุดเรซซิ่งสูทสีแดงเดินออกมาพร้อมหนีบหมวกกันน็อคไว้แนบกับสะโพกสอบของเขา ดูเหมือนเป็นเครื่องแบบที่ขาดไม่ได้
ใบหน้าหล่อเหลาอย่างชายผู้มีเชื้อสายเอเชียผสมเสี้ยวยุโรป ดวงตาเรียวรี จมูกโด่ง และริมฝีปากหยักได้รูป เขายิ้มบางๆ ก่อนหันไปมองกล้องตัวโน้นทีตัวนี้ทีอย่างมืออาชีพ
สาวๆ พากันส่งเสียงกรี๊ดลั่นฮอลล์ ในขณะที่นิดานุชบอกไม่ถูกเลยว่าวินาทีแรกที่เห็นเขาเดินออกมาจากฉากหลังเวทีเธอรู้สึกอย่างไร รู้แต่เพียงว่าขนบนผิวหนังของเธอลุกเกรียวยิ่งกว่าเห็นวิญญาณเฮี้ยนเสียอีก
เขาไม่ใช่เทพบุตรอย่างที่ใครๆ เข้าใจ
หญิงสาวค่อยๆ เดินเข้าไปปะปนกับกลุ่มคนดูนับร้อยชีวิต เธอพยายามแทรกตัวเข้าไปให้ใกล้เวทีมากพอที่จะอยู่ในระดับสายตาของเขา อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าหากภาติวัติเห็นเธอแล้วเขาจะรู้สึกอย่างไร ถ้าเขาไม่แกล้งทำเป็นลืมเธอ เขาก็ต้องตกใจบ้างล่ะที่ได้เห็นหน้าคนที่เขาผิดสัญญา
และราวกับว่าเขาได้ยินความคิดเธอ ภาติวัติที่กำลังตอบคำถามเกี่ยวกับสมรรถนะของเครื่องยนต์หันมาสบตาเธอเข้าพอดิบพอดีอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นความบังเอิญ นิดานุชตกใจในแวบแรกแต่ก็มีสติมากพอที่จะมองเขากลับไปด้วยแววตาที่เธอตั้งใจทำให้คนมองรู้สึกเย็นยะเยือก ทว่าสิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออกกลับมานั้นไม่ได้เป็นไปในทางที่เธอคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้เลย เขาไม่ได้แกล้งจำเธอไม่ได้ ไม่ได้รู้สึกผิดหรือแม้แต่ตกใจที่เห็นเธอ นัยน์ตาสีนิลยังเปล่งประกายสดใส มิหนำซ้ำคิ้วเข้มยังกระตุกให้เธอสองครั้งติดอีกด้วย
คนแบบไหนกันที่ยังสู้หน้าคนที่ตัวเองเคยทำผิดต่อเขาได้โดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว นี่เขาคงเห็นว่าตัวเองสำคัญที่สุดในจักรวาล เรื่องของคนอื่นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
ถึงเขาจะหน้าด้านหน้าทนไม่มีความรู้สึกผิดสักเพียงใด แต่หากวันนี้เธอไม่ได้คุยกับเขาให้รู้เรื่องก็อย่ามาเรียกเธอว่านิดานุชอีกเลย!
ภาติวัติวางหมวกลงบนโต๊ะด้านหลังเวที นึกตลกสีหน้าของนิดานุชจนเกือบจะหัวเราะออกมา หลังกลับจากสิงคโปร์เขาก็ให้คนสืบประวัติของเธอทันที และเพียงข้ามวันเรื่องราวของหญิงสาวก็ถูกส่งถึงมือเขา
นิดานุชเป็นนักเขียนของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง มีผลงานออกมาแค่สามเรื่อง แต่จากข้อมูลทางเฟซบุ๊กดูเหมือนว่าเธอจะเอาจริงเอาจังด้านงานเขียนจนยึดเป็นอาชีพ ครอบครัวเดิมอยู่ที่จังหวัดราชบุรี ไม่มีพี่น้อง พ่อแม่เสียชีวิต ปัจจุบันพักอยู่ที่คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ฐานะเข้าขั้นมีเงิน และเธออายุยี่สิบสามไม่ใช่เด็กอายุสิบเจ็ด
“ไร้สาระ”
เขาไม่รู้ว่าจะหาคำไหนมานิยามพฤติกรรมของเธอได้ดีกว่าคำนี้จริงๆ
“คุณภาคว่าไงนะคะ”
ภาติวัติหยุดความคิดเรื่องนิดานุชไว้แค่นั้นเมื่อหญิงสาวที่เขาจำได้ว่าเป็นผู้จัดการบริษัทรถกำลังมองมาด้วยความสงสัยแกมสนอกสนใจจนเกินเหตุ แววตาเป็นประกายของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มต้องเบนสายตาไปทางอื่นด้วยความกระดาก
นี่นับเป็นเรื่องน่าอึดอัดใจอย่างหนึ่ง เพราะถึงเขาจะเหมือนผู้ชายทั่วไปที่ชื่นชอบผู้หญิง แต่การถูกหญิงสาวแปลกหน้ามองด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความปรารถนาอย่างโจ่งแจ้งเกินพอดีหลายต่อหลายครั้งก็ทำให้เขาเอียนได้เหมือนกัน
ชายหนุ่มเพียงแค่ยิ้มแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อเตรียมตัวเปลี่ยนชุด กระนั้นก็ยังมิวายถูกเหล่าพริตตี้สาวชม้ายชายตาจนพานให้ใบหน้าหล่อเหลาเรียบตึงเหมือนมีโคลนมาพอกหน้าไว้สักห้าชั้น
ร้ายไปกว่านั้น หลังจากเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเรียบร้อยเขาก็ต้องพบกับกองทัพแฟนคลับนับร้อยที่มารอส่ง แต่ช่วยไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรคนเหล่านี้ก็มาด้วยความชอบในตัวเขา การหนีไปโดยไม่คิดจะทักทายหรือมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ เลยก็ดูจะใจร้ายเกินไป
ระยะเวลาเพียงแค่สิบนาทีที่ภาติวัติแวะถ่ายรูปกับกลุ่มแฟนคลับ ชายหนุ่มรู้สึกว่าช่างยาวนาน กระนั้นเขาก็ยังไม่ลืมกวาดสายตาหานักเขียนสาว เขาคิดว่าเธอจะมายืนรอปะปนกับคนอื่นๆ ทว่ากลับไร้เงา
บางทีนิดานุชอาจจะถอดใจไปแล้ว…ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดี อย่างน้อยเขาก็ตัดเรื่องน่ารำคาญใจออกไปได้อีกหนึ่งอย่าง
หลังจากได้ความร่วมมือจากการ์ดและทีมจัดงานภาติวัติก็พาตัวเองมาถึงรถคู่ใจได้ภายในเวลาไม่นาน นาฬิกาบอกเวลาหนึ่งทุ่มตรง ชายหนุ่มกดปุ่มสตาร์ต เปิดเพลงที่ชอบและพารถออกจากซองเคลื่อนไปตามทางช้าๆ
แต่อยู่ๆ พื้นที่โล่งด้านหน้ากลับมีบางอย่างโผล่พรวดเข้ามาขวางจนเขาต้องเบรกรถกะทันหัน
“ฉิบ…”
นิดานุชตาเหลือก ตกใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตัวเองซึ่งมันเกือบทำให้เธอต้องพาตัวเองไปตาย หญิงสาวยืนหอบหายใจอยู่หน้าออดี้สีบรอนซ์เทา ไม่คิดเลยว่านักแข่งรถระดับประเทศจะเบรกรถได้ห่วยเพียงนี้ ระยะห่างแค่สองคืบทำให้หญิงสาวยืนตัวแข็งจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนขับเดินมาหยุดตรงหน้าเธอตอนไหน
“อยากตายหรือไง!”
เสียงกังวานดึงเธอให้ตื่นจากความตกตะลึง นิดานุชค่อยๆ หันมามองใบหน้าหล่อเหลาที่เรียบตึง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ดวงตาดุดันจับจ้องราวกับจะเผาเธอด้วยสายตา
“อย่าคิดว่าฉันจะยอมแพ้ง่ายๆ นะ คุณคิดที่จะไม่รับผิดชอบใช่ไหม”
คำกล่าวของนิดานุชบวกกับพฤติกรรมของเธอและภาติวัติเรียกร้องความสนใจให้คนที่กำลังเดินมาต้องหยุดมองอย่างช่วยไม่ได้
ภาติวัติเหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นว่าคนเริ่มทยอยเดินออกมาจากงานเยอะมากขึ้น ไม่รู้ว่ามีใครเห็นตอนที่นิดานุชกระโดดเข้ามาขวางรถเขาหรือไม่ ชายหนุ่มไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาเขาจึงตัดสินใจคว้าแขนคนอยากตายให้เดินมาที่รถก่อนดันตัวเธอเข้าไปนั่งตำแหน่งข้างคนขับ หญิงสาวไม่ได้มีท่าทีขัดขืนซ้ำยังเอาแต่มองเขาตาปริบๆ ก่อนปิดประตูรถภาติวัติจึงโน้มกายลงเพื่อหวังจะมองหน้าหญิงสาวให้เต็มตา
“ไปคุยกันที่อื่น”
อันที่จริงนิดานุชก็ตื่นเต้นจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ข้อแรก…เธอกำลังอยู่บนรถของนักแข่งรถระดับแชมป์เอเชีย แถมเขายังเป็นถึงลูกชายเจ้าของบริษัทผลิตเบียร์รายใหญ่ของประเทศ เป็นไฮโซพันล้านที่เธอไม่คาดฝันว่าชาตินี้จะได้เฉียดกายใกล้
ข้อสอง…เธอไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขาจะพาเธอไปต้มยำทำแกงที่ไหน
แทนที่เธอจะกลัวอย่างที่ควรจะเป็น กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ปรากฏแก่สายตามันชวนให้ตะลึงพรึงเพริดเกินกว่าจะรู้สึกอย่างอื่น
“สุดยอด”
หญิงสาวลูบไล้คอนโซลรถที่ถูกขัดจนเงาวับ ตรงกลางคือจอทัชสกรีนและแผงควบคุมมากมายละลานตา ดวงตากลมโตเป็นประกาย รู้สึกปานประหนึ่งว่ากำลังนั่งยานอวกาศสักลำ
จริงอยู่ว่าเธอเองก็เป็นลูกหลานเศรษฐีมีเงิน แต่บอกตามตรงว่าบ้านเธอไม่มีรถแบบนี้เลยสักคัน
ภาติวัติมองปฏิกิริยาของเธออย่างเหลือเชื่อ “เธอเต็มบาทหรือเปล่าเนี่ย ถามจริง”
คำถามห้วนไร้มารยาทของคนขับทำให้นิดานุชต้องหยุดชื่นชมรถหรูในทันที เธอกอดอก เชิดหน้ามองเขาอย่างเอาเรื่อง
“ฉันมีสติดีทุกอย่าง คุณต่างหากที่สติเลอะเลือน พูดอะไรไว้จำได้บ้างไหม”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องอะไร!” เสียงดังขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ เธอมองเขาเหมือนเห็นตัวประหลาดที่มาจากต่างโลก “ฉันไม่อยากเชื่อเลยนะว่าคุณจะลืมสัญญาที่คุณพูดไว้เหมือนคนความจำเสื่อม คุณบอกว่าจะรับผิดชอบที่โยนข้อมูลการเขียนนิยายของฉันลงน้ำ คุณจะให้บัตรดูการแข่งขัน จะให้สัมภาษณ์ จะพาไปดูโรงซ่อมบำรุง นี่อะไร…คุณเงียบหายไปเลย ทำอย่างที่พูดไม่ได้สักอย่าง ชดใช้ความผิดน่ะ คุณเข้าใจคำนี้บ้างไหม หรือว่าเกิดมารวยล้นฟ้าแล้วทำผิดต่อใครยังไงก็ได้”
“พอได้แล้วน่า” ภาติวัติต้องรีบตัดบท ไม่อยากฟังเธอร่ายยาวมากไปกว่านี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาต้องมาทนฟังใครไม่รู้ว่าเอาๆ อยู่แบบนี้ คิดแล้วยังเสียดายที่กไม่ได้จับหญิงสาวโยนทิ้งแม่น้ำไปพร้อมสมุดบันทึกของเธอด้วย
ชายหนุ่มทำสีหน้ายุ่งยากใจก่อนตัดใจเปิดช่องเก็บของด้านขวามือแล้วหยิบบัตรชมการแข่งขันคาร์ริ่งคัพที่กำลังจะมีขึ้นยื่นให้แบบส่งๆ “นี่ไงบัตร”
เห็นท่าทีของเขานิดานุชก็ยิ่งหงุดหงิด ภาติวัติทำเหมือนว่าเธอมาอ้อนวอนขอเศษทานจากเขา ทั้งที่ความจริงมันเป็นสิ่งที่เธอควรจะได้ หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นชำเลืองมองชายหนุ่มอย่างไม่ชอบใจ “ถ้าฉันไม่มาทวง คุณก็คงแกล้งเงียบหายไปเลยใช่ไหม”
ภาติวัติหรี่ตาลงอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ เขาละสายตาจากการจับจ้องถนนเบื้องหน้าเพื่อหันมาตอบคำถามของเธออย่างชัดถ้อยชัดคำ “ใช่!”
“นี่คุณ…”
“จะเอาไหม ไม่เอาจะได้โยนทิ้ง”
“เอาสิ” นิดานุชรีบคว้ากระดาษแผ่นเล็กมาถือไว้เอง “ทำไมคุณถึงได้ชอบโยนของทิ้งนักนะ”
คร้านจะสนใจเธออีก ภาติวัติหันกลับไปมองท้องถนนเบื้องหน้าอีกครั้ง แต่หางตาเขาก็เห็นว่าหญิงสาวตัวเล็กกำลังก้มหน้าก้มตาเก็บบัตรเข้าชมการแข่งรถอย่างดีในกระเป๋าสตางค์ ไม่สนใจว่าผมยาวสลวยของตัวเองจะร่วงลงมาปรกหน้าปรกตาหรือเปล่า อยู่ๆ ความรู้สึกผิดก็ปรากฏวูบขึ้นในใจ ทว่าครู่เดียวมันก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“เธอนี่เป็นคนแบบไหนกันนะ ทุ่มเทกับเรื่องไร้สาระจนเกินพอดีไปหรือเปล่า”
“นี่มันอาชีพของฉัน ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ รู้ไหมว่านักเขียนมีความสำคัญต่อโลกใบนี้มากแค่ไหน พวกเขาต่างเขียนเพื่อจรรโลงโลก ประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปียังคงอยู่ได้ส่วนหนึ่งก็เพราะนักเขียน พูดไปคนอย่างคุณก็คงไม่เข้าใจ”
“ใช่สิ ตั้งแต่เกิดมาฉันก็เพิ่งได้ฟังเรื่องเพ้อเจ้อแบบนี้เป็นครั้งแรก”
นิดานุชชะงักมือที่สาละวนกับกระเป๋าเพื่อเงยหน้าขึ้นตั้งท่าจะเถียงกลับ แต่เพราะเสี้ยวใบหน้าคร้ามคมที่จดจ่อกับการขับรถนั้นทำให้คำพูดทุกคำถูกกลืนหายไป
หล่อ
เบ้าตาลึก จมูกโด่งเป็นสัน คางยาวได้รูป และแนวเคราเขียวจางๆ เหมือนเพิ่งผ่านการโกนมาหมาดๆ หยุดลมหายใจของคนมองได้เหมือนมีเวทมนตร์
ให้ตายเถอะ…เธอไม่เคยอยู่ใกล้หนุ่มหล่อครบเครื่องในระยะไม่ถึงสองคืบแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต นี่ขนาดเธอรู้แก่ใจว่าเขานิสัยไม่ดี ใจเธอยังเผลอหวั่นไหวไปนิดๆ แล้ว ไม่แปลกที่สาวๆ มากมายจะคลั่งเขา ร้ายกาจจริงๆ
“วันนี้มันวันอะไรนะ ผู้หญิงแต่ละคนถึงได้เอาแต่จ้องหน้าฉัน…เหมือนอยากจะกิน”
คำพูดตรงไปตรงมาของนักแข่งรถหนุ่มทำให้นิดานุชหายใจสะดุด เธอแน่ใจว่ากิริยาของเธอต้องเสียทรงแน่ๆ แต่ทำอย่างไรได้ เธอยังปรับตัวให้ชินกับฮอร์โมนวัยสาวที่กำลังพลุ่งพล่านไม่ได้เลย
น่าขายหน้าชะมัดที่ไปมองเขาแบบนั้นจนเขารู้ตัวได้
นิดานุชแสร้งหันไปมองทิวทัศน์ด้านนอกรถแทนการแก้ตัว กระนั้นในใจยังอดค่อนแคะถึงความหลงตัวเองจนน่าหมั่นไส้ของเขาไม่ได้
“ผู้หญิงที่ไหนจะไปอยากกินคุณกัน” เธอบ่นเบาๆ แต่เขาได้ยินชัดทุกคำ
“ถามตัวเองสิ”
นิดานุชเม้มปาก ถ้าจะให้เถียงกันทั้งวันก็คงไม่มีวันรู้ผลแพ้ชนะ เธอเชื่อแล้วด้วยว่าความหล่อของผู้ชายลดลงได้เพราะปาก ฉะนั้นเธอจะไม่มัวไปเถียงกับเขาให้เสียเวลาเพราะเธอไม่ได้อยากกินเขา นั่นคือสิ่งที่รู้ดีแก่ใจ
แค่น้ำลายหกไปบ้าง…แต่ไม่มีทางกระเดือกลงคอแน่ๆ
“คุณจะมีคิวให้ฉันสัมภาษณ์ได้เมื่อไหร่คะ” นิดานุชเปลี่ยนเรื่อง
“สัมภาษณ์เหรอ ฉันคงจัดเวลาให้เธอเลยไม่ได้ มีอะไรก็ถามมาแล้วกัน”
“หมายความว่าไง”
“เธอก็เห็นว่าฉันยุ่งจนหัวหมุน จะให้เอาเวลาจากไหนมาแบ่งให้เธอสัมภาษณ์เป็นชั่วโมงๆ เธออยากรู้อะไรก็ถามมาสิ”
“บนรถเนี่ยนะ” เธอคงต้องบันทึกไปในหน้าประวัติของภาติวัติเพิ่มเติมแล้วว่านอกจากเขาจะเป็นคนหล่อ รวย มีความสามารถด้านการแข่งรถเป็นที่หนึ่งแล้ว เขายังมีนิสัยกะล่อนเจ้าเล่ห์ มากกลอุบาย พยายามหาช่องโหว่ของสัญญาเพื่อพลิกแพลงสถานการณ์ให้ตัวเองไม่ต้องทำตามข้อตกลงได้อย่างหน้ามึน นี่คงเป็นอุปนิสัยอย่างหนึ่งของนักธุรกิจกระมัง
“ใช่!”
ภาติวัติตอบขณะที่ริมฝีปากหยักยกยิ้มเหมือนวายร้ายก็มิปาน นิดานุชขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ถ้าเธออัดหน้านักแข่งรถชื่อดังกลางถนนจะกลายเป็นข่าวไหมนี่
“รีบถามมาสิ จะหมดเวลาแล้วนะ” เสียงทุ้มเร่งเร้า
นิดานุชสูดลมหายใจเข้าลึก เขาคงคิดว่าเธอจะหงุดหงิดรำคาญจนล้มเลิกความตั้งใจ ฝันไปเถอะ…
นักเขียนสาวจัดการกดโทรศัพท์เปิดเครื่องอัดเสียง กรอกคำถามลงไป
“ทำไมคุณถึงชอบการแข่งรถคะ”
ภาติวัติยิ้มให้กับคำถามพื้นๆ ของหญิงสาว อันที่จริงถ้านิดานุชฉลาดกว่านี้สักนิดเธอก็จะรู้ว่าคำถามแบบนี้เขาถูกถามโดยสื่อมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง การที่เธอเลือกถามในสิ่งที่คนทั่วไปยังรู้นั่นเท่ากับว่าเป็นการเสียเวลาเปล่า และมันทำให้เขาเริ่มสนุกกับการเล่นเกมกับเธอมากขึ้น คู่ต่อสู้อ่อนหัดแบบนี้ไม่ต้องกังวลถึงผลแพ้ชนะเลย
ถึงอย่างไรเขาก็หวงแหนพื้นที่ส่วนตัวเกินกว่าจะให้ใครมาก้าวก่ายได้ง่ายๆ ถ้าเธออยากรู้จักเขา เธอก็จะได้รู้ แต่สิ่งที่เธอรู้จะเป็นด้านที่ทำให้เธอไม่อยากเลือกเขาเป็นพระเอกนิยายของเธออีกเลย
ชายหนุ่มเคลื่อนรถมาเทียบฟุตบาธก่อนจะค่อยๆ หันมาตอบคำถาม
“เพราะฉันชอบความเร็ว”
“อธิบายเพิ่มด้วยค่ะ” เธอไม่ทันได้สงสัยว่าเขาจอดรถทำไม เพราะใจมัวแต่จดจ่อรอคำตอบ
“ขอโทษนะ หมดเวลาแล้ว”
เกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นบนใบหน้าเต็มไปหมด แต่ก่อนที่เธอจะงงไปมากกว่านี้ ภาพบรรยากาศรอบๆ ก็ทำให้เธอต้องตาเหลือก
“นี่มันคอนโดฯ ฉันนี่ คุณรู้ได้ไงว่าฉันพักที่นี่”
“คิดว่าเธอรู้เรื่องฉันได้คนเดียวหรือไง รู้สึกยังไงบ้างล่ะเวลาที่คนอื่นเขารู้เรื่องส่วนตัวของเธอโดยที่เธอไม่ได้อยากให้รู้ แล้วจะบอกอะไรให้นะ เธออาจจะพยายามมากมายเพื่อสืบเรื่องส่วนตัวของฉัน แต่ฉัน…แค่กระดิกนิ้วครั้งเดียวก็รู้แม้กระทั่งว่าเธอมีไฝตรงไหนบ้าง ทีนี้ลงไปได้แล้ว ฉันรีบ” ไม่พูดเปล่า ภาติวัติเอื้อมมืออ้อมร่างบางไปเปิดประตูให้
นิดานุชตัวแข็งทื่อเมื่อท่อนแขนกำยำพาดทับตัว
นี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมไออุ่นจากกายของเขาถึงได้ทำให้ร่างกายเธอชาเหมือนถูกแช่แข็งแบบนี้
* เพลง อาญารัก ขับร้องโดยหญิง ธิติกานต์ อาร์สยาม
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.