บทที่ 5 กิ่งทองใบหยก
หลังจากที่ประสาทหลอนไปหลายวันเพราะเอาแต่วิตกกังวลว่าภาติวัติจะมีแผนร้ายอะไรอีกบ้าง นิดานุชก็กลับมาตั้งสติได้ทันวันแข่งของเขาพอดี
จริงอยู่ที่เธอรู้ว่าบ้านเขาอยู่ไหน มีงานอีเวนต์อะไร แข่งรถเมื่อไหร่ ไปไหนบ้าง เพราะแค่เธอรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์ข้อมูลก็หลั่งไหลมาท่วมจอยิ่งกว่าน้ำเหนือไหลบ่า แต่การที่เขารู้ที่อยู่ของเธอนั้นเป็นเรื่องน่าตกใจ เธอเป็นแค่ประชาชนตาดำๆ ไม่มีความสลักสำคัญ ไม่ได้อยู่ในที่แจ้ง และไม่เคยเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวในโซเชียลมีเดียเลยสักครั้ง มันทำให้หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าภาติวัติอาจให้คนสะกดรอยตามเธอ และตามวิสัยคนช่างจินตนาการก็อดคิดไปต่างๆ นานาไม่ได้
ถ้าหากเขาอยากให้เธอหายไปจากโลกใบนี้เล่า ทายาทมหาเศรษฐีอย่างเขาจะทำไม่ได้เชียวหรือ
แต่ความกลัวยังคงเป็นแค่จินตนาการของตัวเอง เพราะผ่านไปจนครบสัปดาห์ทุกอย่างก็ยังราบรื่นปกติ ซ้ำก่อนวันแข่งสองวันตั๋วเครื่องบินไปบุรีรัมย์พร้อมบัตรจองห้องพักยังถูกส่งมาให้เธอถึงคอนโดมิเนียม
ถึงอย่างไรเธอก็เชื่อว่าเขาคงรู้จักบาปบุญคุณโทษบ้างแหละน่า
ร่างเล็กในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนสวมแจ็กเก็ตสีน้ำเงินส่งบัตรให้กับพนักงานประจำสนาม ตรวจสอบครู่เดียวพนักงานคนเดิมก็ส่งบัตรใบใหม่ให้เธอคล้องคอ หน้าบัตรพิมพ์ว่า VIP พื้นหลังเป็นภาพเดียวกับโปสเตอร์โฆษณาการแข่งขัน
พนักงานชี้ให้เธอเดินขึ้นไปด้านบนซึ่งเป็นคนละส่วนกับที่นั่งครั้งก่อนที่เธอซื้อบัตรเข้าชมเอง คิดมาถึงตรงนี้ใบหน้าก็ร้อนผ่าว ครั้งก่อนเธอทำเรื่องขายหน้าที่นี่ หวังว่าคงจะไม่มีใครจำได้ว่ามีผู้หญิงเซอะซะคนหนึ่งเคยเอาหัวโหม่งถ้วยแชมป์ของนักแข่งรถมาก่อน
พอเข้าไปยังด้านในนิดานุชก็พบถึงความแตกต่างของที่นั่งแกรนด์สแตนด์กับที่นั่งบัตรราคาครึ่งหมื่น ภายในคือห้องกระจกขนาดยักษ์ เครื่องปรับอากาศทำงานเย็นฉ่ำ โต๊ะที่นั่งสะดวกสบาย มากไปกว่านั้นยังมีบริการอาหารบุฟเฟ่ต์และเครื่องดื่มทั้งร้อนและเย็น
ภายในพื้นที่ขนาดใหญ่จุผู้คนไม่หนาแน่นมากเกินไป บรรยากาศจึงดูค่อนข้างโล่งสบาย นิดานุชไม่ได้สนใจอาหารหรือเครื่องดื่มแม้สักนิด เธอมองหาที่เหมาะๆ เพื่อนั่งชมการแข่งขันได้ใกล้ที่สุด แต่ขณะที่สายตากำลังสอดส่ายหาที่ว่าง เสียงเรียกของใครบางคนก็ทำให้เธอต้องหยุดความคิดทุกอย่าง
“ฝัน”
นิดานุชหันไปตามเสียงเรียกและทันทีที่เห็นว่าคนเรียกเป็นใคร หญิงสาวก็แทบจะกลอกตาสักสิบแปดรอบอย่างสุดเซ็ง โลกใบนี้มันกลมไปหรือว่าเป็นกรรมของเธอที่ทำมาตั้งแต่ชาติปางก่อนที่เหวี่ยงให้ต้องพบเจอคนที่ไม่อยากพบเลยในชีวิต เธออยากจะเดินหนีแต่เพราะมันดูน่าเกลียดเกินไปจึงทำได้แค่ส่งยิ้มขืนๆ แล้วโบกมือให้ในแบบที่หลายคนอาจจะดูออกว่า ‘แสร้งทำ’ แต่เธอรู้ดีว่าคนตรงหน้าไม่มีทางรู้
“อ้าว! นา มาได้ไงแก”
“มากับแฟนน่ะสิ อยู่ตรงโน้นแน่ะ” นาวิกาชี้มือชี้ไม้ไปทางชายที่ยืนเลือกเครื่องดื่มอยู่ไม่ไกล
นิดานุชมองตามก็พบกับชายลักษณะรูปร่างสันทัด หน้าตาไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่ดูจากการแต่งกายก็พอรู้ว่าเป็นคนมีฐานะดี
ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เพราะสำหรับนาวิกา ผู้ชายที่สามารถคบกับเธอได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรวย
นิดานุชรู้ดี เพราะนาวิกาเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งความจริงแล้วเธอไม่ได้สนิทกับเจ้าหล่อนมากนัก เพียงแต่เรียนเอกเดียวกัน และได้คุยกันมากในวิชาที่เรียนคลาสใหญ่ซึ่งมักจะได้นั่งข้างกันประจำจากระบบการเรียงเลขที่ตามตัวอักษร
‘ภักดีสวัสดิมงคลกับไพศาลทรัพย์ทวี’
‘ฮะ?’ นิดานุชละสายตาจากหน้าหนังสือขึ้นมามองหน้าเจ้าของประโยคที่ไร้ประธาน กริยา กรรม อย่างไม่เข้าใจ
‘ก็นามสกุลของผู้ชายไง แกคิดว่านามสกุลไหนเวิร์กกว่ากัน ถ้าเป็นแก แกจะเลือกใคร’
นิดานุชนิ่วหน้าให้กับคำถามเหมือนคนไร้สมอง จริงอยู่ว่านาวิกาเป็นนักศึกษาสาวที่โดดเด่นมากคนหนึ่งในมหาวิทยาลัย เธอได้ตำแหน่งดาวคณะ ซ้ำยังเป็นหนึ่งในทีมเชียร์ลีดเดอร์ เป็นที่หมายปองของชายหนุ่มมากหน้าหลายตา แต่การเลือกผู้ชายจากนามสกุลนี่เป็นสกิลขั้นไหน โลกหมุนเร็วไปหรือว่าเธอตามไม่ทันกันแน่
‘แกถามเอาคำตอบหรือถามขำๆ เนี่ย’
‘ถามเอาคำตอบสิ สองคนนี้หน้าตาฐานะพอกัน รวยทั้งคู่ คนหนึ่งเป็นลูกเจ้าของร้านทอง อีกคนลูกเจ้าของเต็นท์รถ เลือกไม่ถูกเลยอ่ะแก’
‘ก็เลือกคนที่รักสิ’
‘โอ๊ย! ฝัน เพ้อเจ้อไปอีก นี่มันชีวิตจริงนะ ไม่ใช่นิยาย ความรักมันกินไม่ได้ไง ใครๆ เขาก็พูดกัน เออ! พอพูดถึงนิยายแล้วนึกได้ ฉันได้ยินมาว่าแกอยากเป็นนักเขียนเหรอ’
‘อือ…ฉันชอบ’
‘ลำบากตาย’
นี่เป็นเหตุผลข้อหนึ่งที่นิดานุชไม่ยินดีเลยสักนิดเมื่อได้พบเพื่อนเก่าอย่างนาวิกา เจ้าหล่อนวัดคุณค่าของคนที่วัตถุ มองคนแค่เปลือก ให้ความสำคัญกับเงินเหนือสิ่งอื่นใดทั้งที่ตอนนั้นอายุแค่สิบเก้าซึ่งเป็นวัยแห่งความรักและความฝัน ธรรมชาติของมนุษย์นั้นพอยิ่งโตขึ้นยิ่งเห็นคุณค่าของความรักน้อยลง และแทบจะไม่มีความฝัน
กับนาวิกา…เธอไม่แน่ใจเลยว่าตอนนี้จะยังมีเหลืออยู่หรือไม่
“กฤษคะ มานี่เร็ว” เธอกวักมือเรียกคนรักให้เดินเข้ามาร่วมวงสนทนา “นาเจอเพื่อนเก่าค่ะ ชื่อฝัน เป็นนักเขียน ทำงานอะไรก็ไม่รู้ ดูไม่มีความก้าวหน้า ไม่เห็นอนาคตเลย”
อะไรไม่ทราบที่ทำให้นิดานุชอยากจะฟาดฝ่ามือไปที่ริมฝีปากสีแดงสดนั่นเหลือเกิน แต่เพราะความเป็นผู้ดีที่ย่านวลแขปลูกฝังมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกทำให้เธอระงับอารมณ์ไว้ได้และยอมฟังนาวิกาฝอยต่อไปอีก
“ฝัน นี่คุณกฤษแฟนฉัน เป็นเจ้าของโรงแรมใจกลางเมืองบุรีรัมย์ ที่พักหรูหราที่สุดในย่านนี้เลยนะ นักแข่งระดับโลกก็พักที่นี่กันทั้งนั้น ว่างๆ ไปสิ ฉันมีส่วนลดให้”
“สวัสดีค่ะคุณกฤษ” นิดานุชรีบยกมือไหว้ชายคนรักของเพื่อนเพราะมั่นใจว่าชายหนุ่มอายุมากกว่า และเลี่ยงไม่ตอบประเด็นเรื่องโรงแรมหรูที่สุดในเมืองบุรีรัมย์
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณฝัน”
นาวิกายิ้มหน้าบาน สอดมือเข้าไปคล้องแขนคนรักแสดงความเป็นเจ้าของ
นิดานุชได้แต่เสมองทางอื่น การได้อวดแฟนนี่เป็นความสุขอันสูงสุดของนาวิกาเชียวล่ะ
“แล้วแกล่ะ มากับใคร”
“คนเดียว”
“นี่แกชอบดูแข่งรถถึงขนาดมาดูคนเดียวเลยเหรอ”
“อืม ชอบมาก” เธอตอบสั้นๆ
ยิ่งคุยนิดานุชก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย เธอไม่สามารถเสแสร้งแกล้งสนทนากับคนที่ตัวเองรู้สึกไม่อยากคุยด้วยได้อย่างปกติ เธอไม่เก่งเรื่องการแสดง ถ้าเป็นไปได้ก็อยากหายไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดหรือไม่ก็ภาวนาให้มีอะไรมาอุดปากเพื่อนสักที
แล้วเหมือนสวรรค์มีตา คำภาวนาของเธอเป็นผลเมื่อการปรากฏตัวของใครบางคนเบนความสนใจของนาวิกาไปจากเธอจนหมดสิ้น
“แอนนิต้า”
นิดานุชเผลอเรียกชื่อผู้มาใหม่เหมือนคนละเมอ ร่างระหงสวมชุดทะมัดทะแมงแต่ทว่ากลับดูเซ็กซี่เย้ายวนสะกดทุกสายตาให้ต้องหันไปมอง ราวกับว่ามีแม่เหล็กชนิดหนึ่งซึ่งมีแรงดึงดูดมหาศาลติดอยู่กับตัวเธอก็มิปาน
แอนนิต้าคือเจ้าของตำแหน่งมิสชาร์มมิ่งไทยแลนด์คนล่าสุด และเธอจะเป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดนางงามระดับโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ดูเหมือนว่าปีนี้เป็นปีที่คนไทยล้วนมีหวัง เพราะแอนนิต้าสวยครบเครื่อง การศึกษาสูง ควรค่าแก่การได้ตำแหน่งอย่างไม่มีข้อกังขา จนถึงขั้นเกิดกระแสแฮชแท็กในทวิตเตอร์ยาวนานนับสัปดาห์ว่า ‘แอนนิต้ามงลงแน่’ ยิ่งพอได้เห็นตัวจริงแบบนี้นิดานุชยิ่งรู้สึกว่าความงามของผู้หญิงที่เธอเคยพานพบมาทั้งหมดในชีวิตนั้นไร้ความหมายไปเลย
“สวยมากเลยอ่ะแก”
เสียงน่ารำคาญปลุกนิดานุชให้ตื่นจากมนตร์สะกด
“ใช่! สวยมาก” นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นด้วยกับนาวิกา
และไม่ทันจะหายจากอาการตกตะลึงจากเรื่องที่แอนนิต้าปรากฏตัวโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งนิดานุชและนาวิกาก็ต้องเบิกตากว้างมากกว่าเดิมเมื่อชายหนุ่มในชุดเรซซิ่งสูทสีแดงเบอร์เก้าสิบแปดก้าวขึ้นมาจากบันไดฝั่งด้านข้างสนาม
“แอนนี่” ภาติวัติเรียกนางงามสาว เจ้าหล่อนลดโทรศัพท์ลงก่อนหันไปยิ้มกระจ่างใสให้ชายหนุ่ม
“กรี๊ด! แก นั่นมันคุณภาค สุดยอดแชมป์คาร์ริ่งคัพ ตัวจริงหล่อมากกกก” นาวิกาเขย่าแขนนิดานุช ลากเสียงยาวเฟื้อยไม่เกรงใจแฟนหนุ่มเลยสักนิด
ขณะที่นิดานุชยืนตัวแข็งทื่อ มองชายหญิงทั้งสองยืนเคียงข้างกันตาไม่กะพริบ ใบหน้าสวยหล่อเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข เหมือนฉากหนังรักสักเรื่องที่พระเอกนางเอกโคตรเพอร์เฟ็กต์ ความสูงมากเกินไปของภาติวัติยามเมื่อยืนเคียงข้างเธอกลับกลายเป็นความสูงที่พอดิบพอดีเมื่อเขายืนเคียงข้างแอนนิต้า
อยู่ๆ ใจฝ่ายร้ายก็เกิดอิจฉาในความสมบูรณ์แบบของนางงามสาวกับนักแข่งรถหนุ่มจนเผลอหลุดปากเอ่ยถ้อยคำบางคำด้วยน้ำเสียงกระแหนะกระแหน
“กิ่งทองใบหยกไปไหม”
ดูเหมือนเสียงบ่นกระปอดกระแปดจะดังเหมือนแปดหลอด เพราะทันทีที่เธอพูดจบทุกเสียงในที่นั้นก็เงียบลง ภาติวัติหันมามองคนพูด ดวงตาเรียวรีหรี่ลงเหลือครึ่งเดียว
นิดานุชขนลุกเกรียวจนต้องยกมือลูบแขนตัวเอง
แบบนี้กระมังที่เขาเรียกว่าปากพาจน
เธอเสมองทางอื่น ยกมือเสยผมทัดหูทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่อาการเย็นสันหลังก็ไม่จางหายในขณะที่หางตาเห็นว่าเพื่อนที่พยายามยื้อบทสนทนากับเธอเมื่อครู่ค่อยๆ ถอยห่างออกไป
“พูดอะไรฮะ” ภาติวัติถาม เขาเห็นนิดานุชตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไม่คิดว่าหญิงสาวจะแสดงความคิดเห็นออกมาเสียงดังเพียงนี้
“ฉะ…ฉะ…ฉัน ฉันบอกว่าคุณทั้งสองเหมาะสมกันเหมือนกิ่งทองใบหยกน่ะค่ะ”
“เหรอ” ภาติวัติหัวเราะในลำคอ รู้ว่าเธอไม่ได้คิดแบบนั้นแต่คร้านจะหาความ เขาหันไปสนใจบัตรที่เธอคล้องอยู่ด้วยการดึงมันขึ้นมาดู
นิดานุชได้แต่กะพริบตาปริบๆ ยืนนิ่งไม่กล้าขยับเพราะระยะห่างระหว่างเธอกับเขาน้อยเกินไป ยิ่งเขาดึงสายคล้องบัตรก็ยิ่งเหมือนรั้งตัวให้เข้าไปใกล้ หญิงสาวแทบจะหมดลมไปง่ายๆ เพราะหายใจไม่สะดวก
“เอาบัตรนี่ไปด้วย” ภาติวัติบอกพร้อมกับหยิบบัตรลักษณะเดียวกันออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วคล้องคอให้อีกใบ
“บัตรอะไรคะ”
“พิตวอล์ก”
“คือ…”
“บัตรนี้เธอสามารถเดินลงไปด้านล่างได้ ข้างล่างเรียกว่าพิต มีรถแข่งของทุกทีม นักแข่ง ช่าง วิศวะ อะไหล่เครื่องยนต์ ล้อรถ” ชายหนุ่มพยายามร่าย แต่สุดท้ายจึงได้แค่บอกว่า “ทุกอย่างเลย”
“ขอบคุณค่ะ” นิดานุชยกมือไหว้เหมือนเด็กได้รับของจากผู้ใหญ่ เธอก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความบนหน้าบัตรจนไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลา
ร่างสูงหันหลังเดินกลับไปหาแอนนิต้าอีกครั้ง เขาแตะข้อศอกเธอเบาๆ อย่างสุภาพ ก่อนกระซิบบอกบางอย่างท่าทางสนิทสนม
นิดานุชผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งใจที่เวลานี้ทุกคนเลิกมองเธอแล้วหันไปสนใจภาติวัติกับแอนนิต้าดังเดิม
เธอหันหลังกลับไปหาที่นั่งของตัวเองพร้อมๆ กับที่ภาติวัติเดินลงไปในส่วนที่เรียกว่าพิต ด้านแอนนิต้ามีพนักงานกุลีกุจอมาต้อนรับดูแลก่อนพาไปนั่งในโซนด้านใน
“ฝัน เดี๋ยวก่อนสิ”
นาวิการั้งแขนนิดานุชไว้ หญิงสาวปรับสีหน้ายุ่งยากใจให้เป็นปกติก่อนหันมายิ้มให้เพื่อนเก่า “ว่าไงนา มีอะไรอีกเหรอ จะถึงเวลาแข่งแล้วนะ”
“เธอรู้จักกับคุณภาคด้วยเหรอ ไม่น่าเชื่อเลยนะ คนละระดับกันเลย”
คราวนี้นิดานุชพ่นลมหายใจออกมาอย่างเก็บอาการไม่อยู่อีกต่อไป ดูถูกกันแบบนี้ไม่รู้หรือไงว่าเธอมีเงินสดในบัญชีถึงยี่สิบล้านบาทไทย เข้าขั้นเศรษฐีเชียวนะ
คิดแล้วน่าโมโห…เดี๋ยวแม่ก็เอาสมุดบัญชีฟาดปากซะเลย
“ใช่นา ฉันรู้จักเขา รู้จักดีเสียด้วย” รู้ตั้งแต่วันเกิด เลขที่บ้าน การศึกษาตลอดจนกีฬาที่ชอบเล่น แค่ค้นในอินเตอร์เน็ตก็เจอแล้ว “บัตรนี่เขาก็ให้ฉันมา ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่มีปัญญาซื้อหรอกแก ตั๋วตั้งครึ่งหมื่น ค่าเครื่องบินค่าที่พักอะไรเขาก็จัดการทุกอย่าง น่ารักเนาะ”
ใบหน้าสวยที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางชาดิก
นิดานุชอยากจะหัวเราะออกมา นี่คือวิธีการแก้เผ็ดคนอย่างนาวิกาที่ดีที่สุด หล่อนต้องการให้คนอื่นอิจฉาเพราะตัวเองเป็นคนขี้อิจฉา คนพวกนี้จะเป็นทุกข์เมื่อเห็นคนอื่นมีความสุขหรือได้ดีกว่า
ช่างน่าสงสาร
หลังจากสลัดเพื่อนเก่าหลุดได้แล้วนิดานุชก็พาตัวเองไปนั่งด้านหน้าติดกับกระจกใสเพื่อให้มองเห็นการแข่งได้ชัดเจนที่สุด จ่ายมากกว่าก็สบายแบบนี้นี่เอง นั่งสบาย แอร์เย็น แต่ถ้าหากต้องจ่ายเองเธอยอมไปนั่งตากแดดรับลมกับคนอื่นๆ ดีกว่า เธอตัวคนเดียวและแน่ใจว่าอาจจะไม่มีแฟน ถ้าเธอไม่มีใครก็จำจะต้องมีเงินมากๆ ไว้เลี้ยงดูตัวเอง ถ้าเหลือเก็บมากหน่อยก็สามารถช่วยสังคมได้อีกด้วย
แม้ว่าจะไม่ได้ชื่นชอบการแข่งรถเป็นชีวิตจิตใจและไม่ได้ชอบหน้าภาติวัติสักเท่าไหร่ แต่พอสัญญาณปล่อยตัวดังขึ้น ธงหมากรุกสะบัดพลิ้วไหว นิดานุชก็เทใจให้ทีมไบรต์ไลต์ฯ โดยไม่รู้ตัว
สิบสองโค้งของสนามที่ดีที่สุดในเอเชียเขาทำได้ดีทุกโค้งแล้วขึ้นสู่อันดับต้นๆ เชือดเฉือนกับอีกสองทีมสลับกันขึ้นลงในระยะทางแปดสิบสองกิโลเมตรแต่ในห้วงนาทีสุดท้ายภาติวัติก็เอาชนะได้แบบเฉียดฉิว
นิดานุชวิ่งออกจากห้องกระจกมายืนตรงระเบียง ชะโงกหน้าไปดูก็เห็นรถของทีมแข่งขันจอดเรียงรายตามหมายเลข รถของภาติวัติเคลื่อนเข้ามาจอดที่พิตของตัวเอง เสียงเบรกดังแสบแก้วหู ร่างสูงก้าวลงมาจากรถพร้อมกับคนในทีมกรูเข้าไปยกตัวเขาจนลอยขึ้นจากพื้น เสียงเฮดังลั่นมาถึงด้านบน และไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออย่างไร อยู่ๆ ภาติวัติก็เงยหน้าจากกลุ่มคนที่พยุงตัวเขาไว้ขึ้นมาด้านบน ดวงตาคมกริบประสานเข้ากับเธอพอดิบพอดี
หญิงสาวใจหายวาบ เธอถอยฉากหลบเข้ามาด้านในทันที
แย่แล้ว ใจเธอเต้นแรงจนแทบจะช็อกแล้วนะนี่
ตั้งสติอยู่สามนาที นิดานุชก็ปลอบใจตัวเองว่าภาติวัติไม่ได้สบตากับเธอ เขาแค่เงยหน้าขึ้นมาพอดีและเชื่อว่าเขาไม่ทันได้สังเกตด้วยซ้ำว่าเธอยืนดูอยู่ด้านบน
หญิงสาวควบคุมสติได้ก็ใช้บัตรที่ภาติวัติให้เป็นทางผ่านเดินลงไปข้างล่าง เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาเก็บภาพนักแข่งแต่ละทีมอย่างเก้ๆ กังๆ หลายคนเดินเข้าไปขอถ่ายรูปกับนักแข่ง แต่ผู้ชายหลายคนก็สนใจเรซควีนของแต่ละทีมมากกว่า
“อ้าว! ผู้เยาว์”
เสียงเรียกพร้อมสรรพนามแปลกๆ ทำให้นิดานุชต้องหันไปมองโดยอัตโนมัติ เห็นคนหน้าคุ้นกวักมือเรียกเธอก็ถึงกับนิ่วหน้าเพราะมั่นใจว่านั่นคือสามสหายของภาติวัติ และคนที่กวักมืออยู่นั้นคือคีตภัทร ข้างๆ กันนั้นน่าจะเป็นชายหนุ่มนามว่านัฐและอทิต
“มานี่เร็ว”
นี่หมายความว่า ‘ผู้เยาว์’ คือเธออย่างนั้นหรือ
นิดานุชเพิ่มความแน่ใจด้วยการชี้ใบหน้าของตัวเอง ชายสามคนพยักหน้า ขณะที่ภาติวัติแสดงสีหน้าเซ็งๆ
และถึงแม้อยากจะหันหลังกลับเพียงใด แต่ความเป็นคนว่านอนสอนง่าย เป็นเด็กเชื่อฟังก็พาเธอเดินไปหาคนกลุ่มนั้นอย่างช่วยไม่ได้
“ตามเฮียภาคมาถึงนี่ ไม่รู้หรือไงว่าตัวจริงเขามาดูน่ะ” คีตภัทรแกล้งแซวด้วยหวังว่าจะเห็นใบหน้าของภาติวัติเปลี่ยนสี ทว่าเอาเข้าจริงลูกพี่ของเขายังทำหน้าเรียบเฉยติดยิ้มน้อยๆ ดังเดิม
นิดานุชไม่รู้จะตอบอะไรจึงได้แต่ทำสีหน้างงๆ กลับไป ครั้นหันไปมองภาติวัติก็เห็นว่าเขายังทำหน้าเฉย ไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดใดๆ เลย
“ไอ้คราม อย่าไปพูดแบบนั้นกับน้องดิวะ” นัฐช่วยแก้สถานการณ์แต่มันกลับเลวร้ายลงกว่าเดิม “ถ้าเฮียภาคไม่ว่าง พี่ว่างนะหนู…โอ๊ย!”
ร่างของนัฐถูกฝ่าเท้าของภาติวัติยันจนเกือบล้ม ชายหนุ่มถอยหลังแท่ดๆ พอตั้งหลักได้ก็หันไปมองหนุ่มรุ่นพี่อย่างหวาดๆ ขณะที่คีตภัทรกับอทิตได้แต่ยืนทำหน้าเหวอ
“ฉันไปคุยกับผู้จัดทางโน้นก่อนนะ” อทิตถอยฉากหลบไปอย่างรวดเร็ว ถึงจะอายุมากกว่าแต่ภาติวัติก็มีรังสีอำมหิตรุนแรงจนแม้แต่เขายังหวั่นๆ
“อ้าว! ถือกล้องมาด้วย” คีตภัทรรีบเปลี่ยนเรื่อง เขาเป็นเช่นนี้เสมอ สร้างเรื่องเองแต่ก็หาทางเอาตัวรอดได้ ต่างจากนัฐที่มักจะตกม้าตายเป็นประจำ “มาๆ มายืนข้างเฮียภาคเร็ว เดี๋ยวพี่ถ่ายรูปให้”
คีตภัทรหลีกทางให้นิดานุชเดินเข้าไปยืนเคียงข้างนักแข่งรถหนุ่ม แต่นิดานุชยังทำหน้าเหลอหลา
เธออยากถ่ายรูปกับเขาเมื่อไหร่กัน
ภาติวัติยืนดูอยู่ด้วยความรำคาญจึงจัดการรั้งแขนคนตัวเล็กให้มายืนข้างๆ ไม่เพียงแค่เท่านั้น ชายหนุ่มยังถือวิสาสะโอบไหล่เธอแล้วโน้มตัวลงมาให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน
เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่านรอบกาย นิดานุชกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ไม่บ่อยเลยที่เธอจะได้ใกล้ชิดผู้ชายสักคน ซ้ำยังเป็น ‘เขา’ ผู้ชายที่มีพลังแห่งบุรุษรุนแรง
“ยิ้ม”
เสียงนุ่มละมุนกระซิบข้างหู นิดานุชกลั้นใจฉีกยิ้มให้กล้อง
นี่เธอทำอะไรของเธออยู่กันนะ
ภายในโรงแรมหรูใจกลางเมืองบุรีรัมย์ซึ่งไม่ใช่โรงแรมของกฤษแฟนหนุ่มของนาวิกา ที่ทราบก็เพราะว่าเธอจำชื่อโรงแรมที่นาวิกาพยายามพรีเซนต์ได้แม่นยำและจะไม่มีวันไปเหยียบอย่างแน่นอน
นิดานุชถือถุงผลไม้ที่ซื้อจากรถเข็นในตลาดหลังจากรับประทานอาหารเสร็จเดินผ่านทางเดินร่มรื่นของโรงแรมกว้างขวาง ทว่าเพราะเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเธอจึงชนเข้ากับร่างของใครบางคนซึ่งเหมือนว่าเขาตั้งใจยืนให้เธอชนมากกว่าอย่างจัง
“คุณภาติวัติ!”
นิดานุชหน้าเผือดมองร่างสูงอยู่ในชุดเสื้อยืดสีเทา กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ กรอบใบหน้าคมเข้มซึ่งผมดกหนาร่วงลงมาปรกหน้าผากส่งให้ความเป็นเทพบุตรลดลงมาเล็กน้อย แต่กระนั้นเธอก็คิดว่ามันยังเหลือมากอยู่ดี
หมอนี่หล่อร้ายจริงๆ
“เธอไม่คิดจะระมัดระวังตัวหน่อยเหรอ เดินก้มหน้าก้มตาแบบนี้ ตกท่อตายไปจะลำบากพนักงานเทศบาลเอาได้”
ปากหรือนั่น!
นิดานุชก้าวถอยหลังสามก้าวพอดิบพอดี “พนักงานเทศบาลลำบาก ก็คงไม่เกี่ยวกับคุณมั้งคะ”
ภาติวัติได้แต่หัวเราะในลำคอ วาจายอกย้อนนักนะ
“ก็จริง ว่าแต่เธอเถอะ ไปไหนมาไหนคนเดียว ไม่กลัวหรือไง”
“ถึงฉันกลัว ก็ไม่มีใครอยากไปไหนมาไหนด้วยหรอกค่ะ ฉันไม่เหมือนคุณ” พูดพลางเหลียวซ้ายแลขวา “แล้ว…คุณแอนนิต้าล่ะ คุณนัดกับเขาไหม” ประโยคหลังประกายตาระแวดระวังแปรเปลี่ยนเป็นสุกสดใส “คุณ ช่วยขอลายเซ็นให้ฉันหน่อยได้ไหม ฉันจะเอาไปอวดในเฟซอ่ะ”
“ตั้งแต่ฉันรู้จักเธอมาเนี่ย ยังไม่เห็นเธอทำอะไรที่เป็นสาระเลยนะ”
คำตอบของเขาทำเอานิดานุชหน้าคว่ำ ตั้งแต่พบกันมาภาติวัติก็ไม่เคยพูดดีกับเธอได้สักครั้งเหมือนกันนั่นแหละ เพราะอะไรเล่า…เธอกับเขาไปเกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางไหนหรือ
เอาเถอะ! เห็นแก่ว่าครั้งนี้เขาแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองได้เป็นอย่างดี ซ้ำยังช่วยให้เธอมีข้อมูลไปเขียนนิยายมากขึ้น
ไม่ว่าจะทำกรรมกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน…เธอจะอโหสิกรรมให้เขาสักครั้ง
“งั้นฉันจะทำเรื่องมีสาระก็ได้ ถ้าหากว่าคุณไม่ได้ไปเดตกับใคร ฉันขอเวลาสักชั่วโมงสัมภาษณ์คุณได้ไหมคะ”
นักเขียนสาวยิ้มอย่างมีความหวัง ทว่าเขาก็ทำลายมันเสียแหลกคามือ
“ไม่ได้ เพราะฉันไม่ว่าง วันนี้มีนัดดื่มฉลองชัยชนะ” ตอบก่อนเดินผ่านหน้าคนไร้สาระไป
“นี่คุณ”
ภาติวัติชะงักฝีเท้า หันมามองคนเรียกอย่างคนที่รู้ว่าเธอจะต้องต่อว่าเขาชุดใหญ่ข้อหาพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ทำตามสัญญา และเช่นกัน…ไม่ว่าเธอจะใช้ถ้อยคำรุนแรงหรือเชื่อมโยงเหตุผลให้เขารู้สึกผิดเพียงใด เขาก็จะไม่มีวันยอมทำตามความต้องการของเธออย่างแน่นอน
“ดื่มเหล้าเยอะๆ มันไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ”
ถ้อยคำและน้ำเสียงเจือความห่วงใยทำให้ใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนสี จากที่เรียบเฉยกลายเป็นแดงเรื่อขึ้นมาอย่างปกปิดไม่อยู่ ภาติวัติต้องปรับจังหวะหายใจใหม่เพราะลมหายใจสะดุดไปในประโยคสุดท้ายของเธอ
“อืม ฉันรู้น่า”
“แล้วก็…กรุณาเมาไม่ขับด้วยค่ะ”
นิดานุชบอกก่อนหมุนตัวหันหลังเดินกลับไปยังทิศทางของห้องพัก และแม้ว่าจะเพิ่งเกิดเหตุชนกับภาติวัติไปหยกๆ เธอก็ยังคงเดินก้มหน้าก้มตาเช่นเดิม ทำเหมือนว่าของในถุงนั้นน่าสนใจเป็นหนักหนา
ภาติวัติยืนมองร่างบอบบางในชุดแสนธรรมดาเดินห่างออกไป ในหัวสมองครุ่นคิดสับสนขณะที่ภายในใจของเขาก็อุ่นวาบอย่างที่ไม่น่าจะเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นได้เพราะเธอ
“อะไรกันวะเนี่ย”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.