บทที่ 4
ผาเหรินหมิ่นอยู่ทางตะวันตกของหุบเขาหยวนสื่อ ถ้ำที่พำนักของเป้าฝ่าหู่อยู่ที่ใต้ผานั้น หน้าถ้ำมีน้ำพุศักดิ์สิทธิ์อยู่บ่อหนึ่ง นับได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีปราณศักดิ์สิทธิ์เข้มข้นที่สุดในหุบเขาแห่งนี้
เผยกู่และจูจูเดินมาถึงหน้าถ้ำก็พลันได้ยินเสียงตะคอกดังมาจากด้านในว่า “ไสหัวไป!” จากนั้นก็เห็นศิษย์ชั้นในชุดขาวสองคนหกล้มหกลุกหน้าตาตื่นออกมา
ศิษย์ชั้นในที่สวมชุดขาวล้วนอยู่ในขั้นฝึกปราณ ส่วนที่สวมชุดน้ำเงินจะอยู่ในขั้นสร้างฐาน จูจูเป็นเพียงศิษย์ใหม่คนหนึ่งจึงยังไม่สามารถแยกได้ว่าสองคนนี้มาจากยอดเขาใด ทว่าเพียงไม่นานพวกเขาก็บอกที่มาของตนออกมา
คนทั้งสองยังไม่สังเกตเห็นจูจูและเผยกู่ หนึ่งในนั้นยันตัวขึ้นมาแล้วตะโกนพูดเข้าไปในถ้ำด้วยเสียงอันดัง “อาจารย์อาเป้า อาจารย์ปู่ไม่คิดแค้นเรื่องในอดีต เชิญท่านเข้าร่วมยอดเขาโอ่วหยวนด้วยเจตนาดี ท่านมองข้ามความหวังดีของผู้อื่นเช่นนี้ต้องให้บังคับกันถึงจะยอมใช่หรือไม่!”
“ไสหัวกลับไปบอกซูจิงเจ้าเฒ่าไร้สมองนั่นด้วยว่าต่อให้ข้าเป้าฝ่าหู่สำเร็จขั้นหลอมรวมไม่ได้ไปทั้งชาติก็ไม่มีวันเข้าพวกกับคนเนรคุณอย่างเขาเด็ดขาด บอกให้เขารีบๆ ถอดใจไปได้แล้ว!” เสียงตะโกนเจือแฝงพลังกดดันรุนแรงประหนึ่งเป็นเสียงฟ้าร้องครืนครั่น ทำเอาต้นไม้ใบหญ้านอกถ้ำสั่นสะเทือน ในใจศิษย์ชุดขาวสองคนนั้นเกิดครั่นคร้าม จึงกระทืบเท้าก่อนหันหลังกลับทำท่าจะจากไปด้วยความเจ็บใจ
แต่ครั้นพวกเขาหันมาก็เห็นเผยกู่และจูจูยืนอยู่ใต้ร่มไม้ สีหน้าจึงทั้งเก้อกระดากทั้งโกรธกรุ่น ฝืนใจทำความเคารพก่อนรีบร้อนจากไป
เผยกู่พาจูจูก้าวอาดๆ เข้าไปในถ้ำของเป้าฝ่าหู่ ทางหนึ่งก็หัวเราะร่าพลางว่า “เพลิงโทสะของศิษย์น้องเป้าช่างรุนแรงนัก มาลองอาหารของข้าดูหน่อย รับรองว่าเจ้ากินลงไปปุ๊บ เพลิงโทสะอะไรก็หายวับไปทั้งนั้น”
“ถุย! กินของที่ท่านทำลงไปรับรองว่าแม้แต่ลำไส้ของข้ายังต้องไหลออกมาล่ะไม่ว่า ข้ากำลังหงุดหงิด อย่ามายั่วโม…เอ๊ะ ของอะไรทำไมหอมขนาดนี้” เสียงของเป้าฝ่าหู่ผู้นี้ดังจนทำเอาคนหูชา ทว่ายามเขาพูดคำพูดหลังเห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใส่พลังกดดันลงไป เพียงแต่เสียงดังไปหน่อยเท่านั้น
จูจูรู้สึกได้ว่าเขาหาได้มีเจตนาร้ายกับพวกนาง ถึงขนาดว่ายินดีอยู่บ้างในการมาปรากฏตัวของพวกนางเลยทีเดียว ถ้ำที่พำนักของเป้าฝ่าหู่ตกแต่งอย่างง่าย สี่ด้านล้วนปูด้วยศิลาหมาสือ* เรียบเสมอกัน เพดานฝังไข่มุกราตรีให้แสงสลัวหลายเม็ด ดูแล้วไม่ได้ดีไปกว่าสุสานสักเท่าไร
นับแต่จูจูมาถึงสำนักเซิ่งจื้อ มองไปทางไหนก็มีแต่หยกขาวปูพื้น หยกเขียวมุงหลังคา เพิ่งจะได้เห็นสถานที่ที่มืดมนเรียบง่ายจนถึงขั้นหยาบเพียงนี้เป็นครั้งแรก
เป้าฝ่าหู่นั่งอยู่ข้างโต๊ะศิลาหมาสือเพียงหนึ่งเดียวกลางโถงใหญ่ เขามีรูปร่างสูงใหญ่บึกบึนราวกับเจดีย์เหล็ก ถึงจะนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ยังสูงกว่าจูจูหนึ่งช่วงใหญ่ บนใบหน้าดำคล้ำมีคิ้วเข้มตาโต เหมือนเป็นจอมยุทธ์ผู้กล้าแห่งยุทธภพอย่างในเรื่องเล่ามากกว่าผู้บำเพ็ญเซียน
เผยกู่ประคองหม้อเดินไปหยุดที่โต๊ะก่อนเปิดฝาออก พูดด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ “หนูเงินตุ๋นงาม้อนดำ เหมาะให้คนที่มีพลังธาตุน้ำเช่นเจ้ากินที่สุด เจ้ากินแล้วก็จะรู้ถึงความเก่งกาจของข้า ถึงเวลานั้นอย่ามาบูชาข้าให้มากไปก็แล้วกัน ฮ่าๆๆๆ!”
“หนูเงินตุ๋นงาม้อนดำ? ไฉนจึงมีหน้าตาเช่นนี้ ท่านทำเองหรือ!” เป้าฝ่าหู่ถูกกลิ่นหอมยั่วยวนจนน้ำลายไหล ทว่าถูกเผยกู่ ‘วางยาพิษ’ มาหลายปี ไม่ใคร่อยากเชื่อว่าสิ่งที่เขานำมาจะถึงกับไม่ใช่ ‘อาหารหมู’ จึงเหลือบตามองเผยกู่ด้วยสีหน้าข้องใจ
เผยกู่ถูกเขามองจนอับอายกลายเป็นโกรธ ไม่รู้เสกตะเกียบจากไหนมายัดใส่มือเขา กล่าวว่า “จะกินก็กิน! จะถามมากถามมายไปทำไม!”
เป้าฝ่าหู่คีบเนื้อหนูเงินชิ้นหนึ่งมาจ่อจมูกดมดูอย่างระมัดระวัง เมื่อแน่ใจว่ากลิ่นหอมนี้ไม่ใช่หลอนไปเองก็ค่อยๆ อ้าปากใช้ปลายลิ้นเลียเบาๆ ครั้นแน่ใจว่าไม่มีรสชาติประหลาดอะไรถึงได้ใส่มันเข้าปากเคี้ยวอย่างช้าๆ
จูจูหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ท่าทางอกสั่นขวัญแขวนราวกับเผชิญหน้าศัตรูผู้ร้ายกาจของเป้าฝ่าหู่ดูคล้ายว่าสิ่งที่เขากินลงไปเป็นยาพิษร้าย ไม่ใช่อาหารธรรมดาจานหนึ่ง เขาถูกเผยกู่วางยาพิษมาหลายปีถึงได้ระแวงระวังของที่เผยกู่นำมาให้ถึงเพียงนี้หรือ
“เอ๊ะ” เป้าฝ่าหู่ยิ่งเคี้ยวสองตายิ่งเปล่งประกาย เคี้ยวเนื้อหนูเงินจนละเอียดแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็คีบอีกชิ้นมาใส่เข้าปาก ครั้งนี้ไวกว่าครั้งก่อน คีบชิ้นแล้วชิ้นเล่า ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปหนูเงินตุ๋นงาม้อนดำทั้งหม้อก็ถูกเขากินจนเกลี้ยง ขาดก็แต่เลียน้ำปรุงรสอย่างไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์เหมือนอย่างเผยกู่เท่านั้น
“หนำใจ! ฮ่าๆ! หนำใจ! รสชาติหนูเงินตุ๋นงาม้อนดำนี้ไม่เลวจริงๆ!” เป้าฝ่าหู่เลียปาก ถอนหายใจยาวอย่างพออกพอใจ กี่ปีแล้วหนอ! ประสาทรับรสของเขาใกล้จะถูกเผยกู่ทำลายไปหมดแล้ว ในที่สุดก็ได้กินของเลิศรสเช่นนี้เสียที!
เผยกู่เชิดคางสูง พูดอย่างยโสโอหัง “ข้าเคยบอกตั้งนานแล้วว่าบันทึกร้อยรสของข้าเป็นตำรามหัศจรรย์แห่งยุค แต่เจ้าก็ไม่เชื่อ วันนี้เจ้าจะยอมเชื่อได้แล้วสินะ!”
เป้าฝ่าหู่บิดขี้เกียจก่อนแค่นเสียงว่า “ยอมครึ่งเดียวแล้วกัน คนอย่างท่านต่อให้เกิดใหม่อีกสิบครั้งก็ไม่มีทางทำของเลิศรสเช่นนี้ออกมาได้ อาหารนี้สาวน้อยนางนี้เป็นผู้ทำกระมัง” พูดพลางยกมือกวักเรียกจูจู “สาวน้อย มานี่สิ”
เผยกู่พูดอย่างไม่ยอมแพ้ “นั่นเป็นเพราะตำราของข้าเขียนได้ดีเช่นกัน! เป็นอย่างไร กินหนูเงินตุ๋นงาม้อนดำนี้ลงไปแล้วเจ้า…รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่”
“อาการเรื้อรังแล้ว ไหนเลยจะได้ผลง่ายปานนั้น ทว่าได้ลิ้มรสชาตินี้ก็ทำให้ข้าสบายขึ้นมากเช่นกัน” เป้าฝ่าหู่พูดยิ้มๆ ยกมือคลำหาโล่สีทองขนาดเพียงฝ่ามือชิ้นหนึ่งจากในอกเสื้อมายื่นให้จูจูพลางว่า “สาวน้อย โล่วัชระนี้ถือว่าเป็นของแทนคำขอบใจแล้วกัน เจ้ายังไม่บรรลุถึงแม้แต่ขั้นฝึกปราณ วัตถุธรรมของวิเศษอื่นเจ้าก็ใช้ไม่ได้ ภายในโล่วัชระนี้มีพลังผนึกไว้จำนวนหนึ่ง ขอเพียงเจ้าพกมันไว้ติดตัวก็จะช่วยคุ้มครองเจ้ายามถูกคาถาอาคมหรือพลังฤทธิ์เล่นงาน หมดพะวงเรื่องศัตรูขั้นฝึกปราณทั่วไปได้เลย ทว่าพลังในโล่มีจำกัด ใช้ได้อย่างมากแค่สามครั้ง”
ตั้งสามครั้งก็ไม่เลวอย่างยิ่งแล้ว นางมิใช่อิ่นจื่อจางที่วันๆ ชอบหาเรื่องวิวาทกับผู้อื่นเสียหน่อย!
จูจูคิดไม่ถึงว่าทำอาหารเพียงหนึ่งอย่างก็สามารถแลกของดีเช่นนี้มาได้ จึงรีบกล่าวขอบคุณเสียงดัง
เป้าฝ่าหู่มองนางอยู่พักหนึ่งก่อนพูดด้วยความแปลกใจ “ข้าจำได้ว่าสำนักเราไม่เคยรับศิษย์ไร้พื้นฐานที่อายุเกินสิบขวบปีมาก่อน…” แม้จูจูจะดูเด็กยิ่ง แต่จะอย่างไรก็สิบสามสิบสี่เข้าไปแล้ว บนร่างไม่มีกระแสพลังแม้เพียงเศษเสี้ยว เห็นได้ชัดว่าไม่เคยมีการฝึกฝนมาก่อน คนเช่นนี้ไฉนจึงเข้ามาในสำนักเซิ่งจื้อได้
เผยกู่พูดยิ้มๆ “นางชื่อว่าจูจู เป็นศิษย์เอกของผู้อาวุโสเจิ้งเฉวียนแห่งยอดเขาอิ้งปั้ง ถือเป็นศิษย์น้องของเจ้า เจ้าสำนักและผู้อาวุโสทั้งหลายเคยทดสอบดูแล้ว นางทั้งไม่มีพลังธาตุและยังมีชีพจรตันโดยกำเนิด ทว่าสติปัญญาการสนองตอบกลับดีเลิศ เมื่อวานได้อ่านบันทึกร้อยรสของข้า วันนี้ก็สามารถทำหนูเงินตุ๋นงาม้อนดำนี้ออกมาได้ เป็นอัจฉริยะฟ้าประทานเลยทีเดียว!”
สามารถทำอาหารได้อร่อยก็เป็นอัจฉริยะฟ้าประทานแล้ว? เป้าฝ่าหู่นึกค้านในใจ ทว่าก็เดาจุดประสงค์ที่เผยกู่จงใจพานางมาได้ หนึ่งคือมาล้างอาย มาพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขียนอยู่ในบันทึกร้อยรสของตนมีเหตุผล สองคืออยากช่วยให้เขาได้สมาคมกับผู้อาวุโสเจิ้งแห่งยอดเขาอิ้งปั้ง ไม่แน่ว่าวันหนึ่งวันใดอาจจะสามารถหลอมยาลูกกลอนที่รักษาอาการบาดเจ็บของเขาออกมาได้ก็เป็นได้
ถึงขนาดว่าหลายปีมานี้เผยกู่มุ่งมั่นศึกษาค้นคว้าการทำอาหารจากหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษก็เพื่อใช้มันบำรุงรักษาร่างกายเขาให้หายเป็นปกติ
เป้าฝ่าหู่ซาบซึ้งในน้ำใจของเผยกู่อย่างมาก แต่ก็หาได้หวังมากนัก เขามีนิสัยหยิ่งยโส ไม่ยินดีจะไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ยิ่งต้องผูกมิตรกับจูจูเพื่อเอาใจเจิ้งเฉวียนผู้เป็นอาจารย์ของนางยิ่งแล้วใหญ่ ดังนั้นเมื่อสังเกตเห็นเจตนาของเผยกู่ เขาจึงเย็นชากับจูจูขึ้นไม่น้อย
เผยกู่รู้จักกับเขามาหลายปี เห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็ลอบถอนหายใจในใจ เขาไม่สะดวกจะเกลี้ยกล่อมต่อหน้าจูจู บรรยากาศจึงเย็นเยียบลงทันที
จูจูย้อนนึกถึงภาพที่ได้เห็นเมื่อครู่ เป้าฝ่าหู่ผู้นี้ดูคล้ายจะมีปัญหากับซูจิงอยู่มาก ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร ต้องคิดหาทางดึงเขามาเป็นที่พึ่งให้ตนเอง ในหนึ่งเดือนนี้นางนับว่าเอาชีวิตรอดอยู่ในถิ่นของเขาแล้ว หุบเขาหยวนสื่อมีศิษย์ขั้นสร้างฐานทั้งหมดหกคนรับผิดชอบดูแลจัดการเรื่องราว จินวั่นเลี่ยงเป็นหนึ่งในนั้น และยังมีเป้าฝ่าหู่และเผยกู่ที่อยู่ตรงหน้า สานสัมพันธ์กับพวกเขาให้ดีเพื่อที่อย่างน้อยก็จะได้มีคนระดับหัวหน้าครึ่งหนึ่งยืนอยู่ข้างตนเอง หากมีใครคิดจะทำอะไรนางก็ยากมากแล้ว
เมื่อไปถึงยอดเขาอิ้งปั้งมีอาจารย์ของอิ่นจื่อจางเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ต่อให้เจิ้งเฉวียนขัดหูขัดตานางมากกว่านี้ก็คงไม่ถึงกับปล่อยให้คนจากยอดเขาอื่นมารังแกนางตามอำเภอใจ นี่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรี ถึงเจิ้งเฉวียนจะยอมเสียศักดิ์ศรีนี้ได้ แต่โหยวเชียนเริ่นไม่มีทางยอมแน่นอน
จูจูกลอกลูกตาไปมาก่อนเอ่ยปากอย่างขลาดกลัว “ศิษย์พี่เป้า ท่านช่วยข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่เจ้าคะ”
รับมือกับคนหยิ่งยโสพรรค์นี้ แสดงความอ่อนแอแล้วขอความคุ้มครองไปตรงๆ เป็นวิธีที่ไม่เลว
เป้าฝ่าหู่ติดกับตามคาด เอ่ยถามอย่างแปลกใจ “เรื่องอะไร”
“เมื่อวันก่อนตอนข้าเพิ่งเข้าสำนักมาก็เผลอไปผิดใจกับซูหลิงเหลนของผู้อาวุโสซูเข้า คนของบ้านนางดุร้ายยิ่งนัก ข้ากลัว…” จูจูจงใจพูดอิดๆ เอื้อนๆ
เป้าฝ่าหู่ดูภายนอกเหมือนจะโผงผาง แต่ความคิดความอ่านกลับละเอียดเป็นที่สุด ครั้นได้ยินคำพูดนี้ก็กระจ่างแจ้ง จึงแค่นหัวเราะกล่าวว่า “เจ้าเห็นข้าไม่ลงรอยกับผู้อาวุโสซูเลยคิดจะให้ข้าออกหน้าแทนเจ้า?”
“มิได้ ผู้อาวุโสซูเป็นผู้ใหญ่ ข้าหรือจะมีความสามารถตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขาได้ ข้าเพียงแต่อยากให้ยามศิษย์พี่ทั้งสองได้ยินข่าวอะไรมาก็ช่วยมาบอกกล่าวให้ทราบก่อนสักคำ ข้ากับศิษย์พี่อิ่นจะได้คิดหาวิธีรับมือถูกเจ้าค่ะ” ความต้องการที่จูจูเสนอออกไปเป็นเรื่องเล็กน้อยยิ่ง การที่นางทำเช่นนี้ยังไปกระตุ้นความอาจหาญของเป้าฝ่าหู่และเผยกู่ขึ้นมา ทั้งสองตบอกแสดงท่าทีรับรองว่านางและอิ่นจื่อจางจะปลอดภัยไร้กังวลเมื่ออยู่ภายในหุบเขาหยวนสื่อ
จูจูได้ที่พึ่งทั้งสองนี้มาอย่างไม่ต้องลงทุนลงแรง จึงวางศิลาก้อนใหญ่ในใจลงได้ชั่วคราว ครั้นไพล่ไปนึกถึงเรื่องที่เลี่ยวหย่งฉีเกริ่นถึงเจิ้งเฉวียนก็ถือโอกาสสอบถามเรื่องนิสัยใจคอของเจิ้งเฉวียนจากทั้งสองเสียเลย
เป้าฝ่าหู่และเผยกู่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก สีหน้าพิกลขึ้นมา
“ผู้อาวุโสเจิ้งอันที่จริงไม่มีอะไร เพียงแต่มี…เอ่อ…ความชื่นชอบเล็กๆ บางอย่าง…” ใบหน้าดำคล้ำของเป้าฝ่าหู่คล้ายเรื่อแดงอยู่สักหน่อย เขาหลบสายตาไม่มองจูจู
“ความชื่นชอบอะไรเจ้าคะ” จูจูซักจนถึงที่สุด
“เจ้าเป็นสตรี อย่าถามมากจะดีกว่า ว่าไปแล้วเจ้าเฒ่าไร้สมองซูจิงก็ไม่รู้คิดอะไรอยู่ ได้ยินว่าเขาอยากส่งเหลนของตนเองไปกราบผู้อาวุโสเจิ้งเป็นอาจารย์ เหลนของเขาหน้าตาชวนพิศพอดู ตอนนี้อายุยังน้อย แต่ผ่านไปอีกไม่กี่ปี…เขาไม่กลัวว่า…” คำพูดของเผยกู่ก็คลุมเครือยิ่งเช่นกัน
เป้าฝ่าหู่แค่นเสียงพูดว่า “ไม่แน่ผู้อื่นอาจจะมีความคิดนี้อยู่ก็ได้! ยอมเสียเหลนไปหนึ่งคน แต่ได้ผูกมิตรกับปรมาจารย์นักหลอมโอสถ ให้อย่างไรก็ไม่เสียเปรียบ ยิ่งกว่านั้นยังได้ข่าวว่าเหลนนางนั้นของเขาก็ค่อนข้างมีพรสวรรค์ด้านหลอมยาลูกกลอน หลายปีมานี้ผู้อาวุโสเจิ้งล้วนลงเขาไปปลดปล่อย กลับไม่เคยได้ยินว่าเขาจะมีอะไรกับศิษย์หญิงในสำนัก คิดว่าในใจเขาย่อมรู้การควรไม่ควรอยู่”
จูจูเริ่มอึดอัดคับข้องใจ…พวกท่านพูดให้กระจ่างอีกหน่อยได้หรือไม่
ทว่าต่อให้นางจะถามอย่างไร สองคนนี้ก็ไม่ยอมพูดอะไรมากอีก ในที่สุดเผยกู่ก็แบสองมือกล่าวว่า “รูปร่างหน้าตาอย่างเจ้าปลอดภัยอย่างยิ่ง ไม่ต้องเป็นห่วง ผู้อาวุโสเจิ้งไม่มีทาง…ทำอะไรเจ้าอย่างเด็ดขาด”
จูจูมีคำถามอยู่เต็มท้อง แต่ก็หมดปัญญาจะถามแล้ว
เผยกู่พานางออกจากถ้ำที่พำนักของเป้าฝ่าหู่กลับมาถึงโรงครัว หารือกันเรียบร้อยว่าจูจูสามารถมาใช้ครัวเล็กได้ทุกเมื่อ เผยกู่จะให้คนล่าสัตว์วิเศษที่เหมาะสมมาให้นางลองทำดู ค่าตอบแทนคือจูจูต้องทำอาหารทุกอย่างอย่างน้อยสองส่วนขึ้นไป ให้จูจูเอากลับไปได้หนึ่งส่วน ส่วนที่เหลือเขากับเป้าฝ่าหู่จะลองชิม จูจูย่อมจะไม่คัดค้าน
วันนี้ออกมาเที่ยวหนึ่งกลับได้กำไรมหาศาลอย่างคาดไม่ถึง ไม่เพียงได้วัตถุธรรมสำหรับป้องกันตัวมาชิ้นหนึ่ง ยังหาที่พึ่งใหม่ได้อีกสอง กระทั่งปัญหาเรื่องวัตถุดิบอาหารยังได้รับการแก้ไขไปพร้อมกันด้วย
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว จูจูนำหนูเงินที่เหลือมาตุ๋นเสร็จเรียบร้อยก็ใช้หญ้าวิเศษที่เผยกู่ปลูกไว้ในลานเรือนผัดเป็นกับข้าวสองอย่างและหุงข้าวอีกหม้อหนึ่ง ตั้งใจว่าจะนำไปให้อิ่นจื่อจาง
ท้ายที่สุดเผยกู่ก็ไม่ได้แตะหนูเงินตัวสุดท้ายนั้นจึงรู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง “อิ่นจื่อจางผู้นั้นมีความสัมพันธ์ใดกับเจ้า ช่างมีลาภปากโดยแท้!”
“เขาเป็นศิษย์พี่ของข้า เขาดูแลข้ามาตลอดทาง เป็นผู้พาข้ามาถึงที่นี่” จูจูตอบ
เผยกู่ยังคิดจะถามต่อ แต่จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป เดินออกจากครัวมองไปทางท้องฟ้าฝั่งตะวันออกก่อนขมวดคิ้วกล่าวว่า “เกิดเรื่องแล้ว!”
ทางตะวันออกไม่ไกลนักกำลังมีคลื่นพลังรุนแรงปะทุอยู่ เห็นได้ชัดว่ามีคนกำลังสู้กัน! หุบเขาหยวนสื่อห้ามเด็ดขาดไม่ให้เหล่าศิษย์ต่อสู้กันส่วนตัว ใครกันที่กล้าแหกกฎอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ อีกทั้งดูจากรูปการณ์แล้วไม่ใช่เพียงคนเดียวด้วย!
จูจูนำอาหารใส่ลงกล่องเรียบร้อยก็หิ้วออกมาจะบอกลา เผยกู่เห็นว่าถึงอย่างไรก็เป็นทางผ่านพอดี จึงยื่นมือไปจับมือนางแล้วท่องคาถาก่อนทะยานตัวขึ้นฟ้า พริบตาเดียวก็มาตกลงใกล้กับจุดที่เกิดเรื่อง
จูจูถูกคนหิ้วขึ้นฟ้ากะทันหันจึงตกใจจนหน้าซีด ยังดีที่ใช้เวลาเหาะเพียงไม่นาน ลืมตามาอีกทีด้วยความใจหายใจคว่ำก็พบว่าตนเองถึงกับอยู่ด้านนอกเรือนที่พักของอิ่นจื่อจางแล้ว
ที่เรือนในตอนนี้กำลังครึกครื้นยิ่ง เสียงตะโกนด่าทอดังลอดผนังเรือนมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน จูจูตื่นตัวระแวดระวังขึ้นมา หิ้วกล่องอาหารผลุบตัวหลบเข้าด้านหลังเผยกู่
โครม!
คนผู้หนึ่งตกลงมาจากฟ้า ล้มอยู่ที่พื้นด้านหน้าไม่ไกลด้วยสภาพทุลักทุเลเหลือแสน จากนั้นก็มีเสียงปึงปังสนั่นหูดังขึ้นมาอีก คลื่นพลังรุนแรงระลอกแล้วระลอกเล่าแผ่ออกมาจากในลานเรือน ศิษย์ชุดเทาหลายคนลอยละลิ่วเรี่ยราดออกมาด้านนอก
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวทางด้านนี้ดึงดูดกลุ่มคนมามุงดูไม่น้อย มีคนจำนวนมากจำเหล่าศิษย์ชุดเทาที่ถูกซัดลอยออกมาได้ว่าล้วนเป็นศิษย์ขั้นฝึกปราณระดับสูงที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง มีทั้งคนใหม่คนเก่า ไม่ว่าคนไหนก็ล้วนมีตบะระดับห้าขึ้นไปทั้งนั้น จึงอดจะตกตะลึงจนพูดไม่ออกไม่ได้
แม้มีคนมากมายอยากรู้ว่าคนในลานเรือนผู้ใดจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย ทว่าพวกเขาล้วนไม่กล้าเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า ถ้าเกิดถูกเข้าใจว่าเป็นพวกเดียวกันแล้วโดนซัดมาด้วย ไหนเลยจะไม่ใช่ตายเปล่า!
เผยกู่เป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างฐาน ตบะมิใช่ศิษย์ขั้นฝึกปราณจะเทียบได้ เขานำจูจูก้าวอาดๆ เข้าไปในเรือนด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
ในลานเรือนเล็กอันเรียบร้อยงดงามยามนี้ระเกะระกะไปหมด อิ่นจื่อจางมีเลือดออกที่มุมปาก ยืนอยู่ตรงกลางลานเรือนอย่างทะนงองอาจ บนพื้นยังมีศิษย์ชุดเทานอนอยู่สามคน จิงจี๋เหรินและศิษย์ร่วมเรือนอีกสามคนของเขายืนอยู่มุมหนึ่งด้วยสีหน้าแตกตื่น นอกจากนี้ก็ไม่มีคนอื่นอีก เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ตะลุมบอนได้ยุติลงแล้ว และอิ่นจื่อจางก็คือผู้ชนะอย่างใสสะอาด
เขาเหลือบมองจูจูก่อนที่สายตาจะถูกกล่องอาหารที่ส่งกลิ่นหอมยั่วใจในมือนางดึงดูดไปทันที ทว่าเพียงไม่นานเขาก็สังเกตเห็นตาแก่ตัวมอมแต่กลับดูลึกล้ำมิอาจหยั่งที่ยืนอยู่ข้างกายจูจู จึงอดงันไปน้อยๆ ไม่ได้
เสื้อผ้าบนร่างเผยกู่สกปรกจนมองสีไม่ออกไปนานแล้ว หากแต่ดูจากกลิ่นอายที่แผ่ออกมา อีกฝ่ายย่อมไม่ใช่ผู้ฝึกตนขั้นฝึกปราณธรรมดาอย่างเด็ดขาด อีกทั้งด้วยอายุปูนนี้คิดว่าต้องเป็นผู้ที่มีตำแหน่งฐานะในหุบเขาหยวนสื่ออย่างแน่นอน
ศิษย์ชุดเทาที่นอนพังพาบอยู่บนพื้นผู้หนึ่งจำเผยกู่ได้ จึงรีบร้องเรียกดังลั่น “อาจารย์อาเผย พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องมาสนทนากับศิษย์น้องหาน แต่อิ่นจื่อจางผู้นี้กลับหาว่าพวกเรารบกวนการฝึกตนของเขาแล้วลงมือทำร้ายคน อาจารย์อาโปรดให้ความยุติธรรมด้วยขอรับ”
อิ่นจื่อจางเบะปาก ยังไม่ทันได้เปิดปากพูดอะไรจิงจี๋เหรินที่อยู่ด้านข้างก็โพล่งขึ้นอย่างทนไม่ไหว “เป็นพวกเจ้ายกโขยงมาหาเรื่องถึงที่ชัดๆ ไฉนกลับกลายเป็นความผิดของศิษย์พี่อิ่นไปได้ หน้าพวกเจ้ามียางอายบ้างหรือไม่!”
พอจิงจี๋เหรินพูดออกมา อีกสามคนที่อยู่ร่วมเรือนก็มองเขาตาเขียว เด็กหนุ่มผู้ยโสโอหังหนึ่งในสามคนนั้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “จิงจี๋เหริน ไม่ใช่เรื่องของเจ้า เจ้าแส่เรื่องชาวบ้านให้น้อยหน่อย!”
เด็กหนุ่มผู้ยโสโอหังคนนี้ก็คือหานเฮิงหรือศิษย์น้องหานที่ศิษย์ชุดเทาบนพื้นเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้
“พวกเจ้าคนของยอดเขาโอ่วหยวนพฤติกรรมต่ำช้า กลับดำเป็นขาว ยังจะกลัวขี้ปากคนด้วยหรือ!” จิงจี๋เหรินสวนกลับ
ญาติผู้พี่ของหานเฮิงเป็นศิษย์เอกของซูจิงแห่งยอดเขาโอ่วหยวน คนที่มาหาเรื่องเหล่านี้ล้วนมีความสัมพันธ์ทั้งทางตรงทางอ้อมกับยอดเขาโอ่วหยวนทั้งสิ้น ผู้อื่นอาจจะกลัวคนของยอดเขาโอ่วหยวน แต่ท่านลุงใหญ่ของจิงจี๋เหรินคือจิงลี่ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาเม่ยหย่วน เขาย่อมไม่มีอะไรให้ต้องกลัว
เผยกู่อายุปูนนี้แล้ว แค่ได้ฟังไม่กี่คำก็รู้ว่าเป็นเรื่องราวใด ครั้นเลิกคิ้วกำลังจะพูด ประตูเรือนกลับพลันถูกคนผลักเปิดอย่างแรงก่อนมีผู้เฒ่าสามคนเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นจูจูรู้จักพอดี เขาคือจินวั่นเลี่ยงที่ทดสอบวัดพลังธาตุให้นางกับอิ่นจื่อจาง
ผู้เฒ่าทั้งสามพอเห็นเผยกู่ก็รู้สึกเกินคาดอย่างยิ่ง พากันเข้ามาคารวะพลางเรียกขานทักทายว่า “ศิษย์พี่” แต่ในใจนึกฉงนว่าเผยกู่ผู้นี้มิใช่ไม่ชอบมาเป็นคนตัดสินถูกผิดเป็นที่สุดหรือไร ไฉนวันนี้จึงมาไวปานนี้
พวกเขาล้วนเป็นศิษย์ขั้นสร้างฐานผู้รับผิดชอบดูแลจัดการเรื่องราวในหุบเขาหยวนสื่อแห่งนี้ นอกจากจินวั่นเลี่ยงแล้ว อีกสองคนคนหนึ่งนามว่าเติ้งลู่และอีกคนนามว่าเหอเจี้ยนเหริน ล้วนได้รับคำไหว้วานจากเบื้องบนให้จัดการเรื่องในวันนี้ให้เรียบร้อย แต่ไหนเลยจะรู้ว่าพอพวกเขามาถึงกลับเห็นผลลัพธ์ต่างจากที่คาดการณ์ไว้โดยสิ้นเชิง ซ้ำยังมีตอใหญ่โผล่มาขวางอีกด้วย จึงอดกระวนกระวายอยู่บ้างไม่ได้
จินวั่นเลี่ยงได้รับรางวัลไม่น้อยจากสำนักเพราะเรื่องอิ่นจื่อจาง เดิมอยากจะช่วยยามอิ่นจื่อจางเข้าตาจน แต่ก็รู้สึกว่าตนเองตัวคนเดียวไร้กำลัง ยามนี้เห็นเผยกู่อยู่ด้วยจึงโล่งใจขึ้นมาทันที อย่างน้อยเผยกู่ก็ไม่มีทางลำเอียงฟังความข้างเดียว
เผยกู่สะบัดชุดที่มันเยิ้มก่อนพูดอย่างเหนื่อยหน่าย “ในเมื่อพวกเจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ อีกทั้งข้าก็มาถึงคนแรก เรื่องนี้ให้ข้าจัดการก็แล้วกัน”
“แต่…” เติ้งลู่ลังเล เดิมคิดว่าคนมากเพียงนั้นมาสั่งสอนอิ่นจื่อจางพร้อมกันน่าจะเหลือเฟือ พวกเขาค่อยออกโรงไกล่เกลี่ยตอนสุดท้าย เปลี่ยนเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก เปลี่ยนเรื่องเล็กให้แล้วกันไป ให้อิ่นจื่อจางพูดอะไรไม่ออกก็พอ แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้กลับเป็นคนของพวกเขาที่เสียหายขายหน้าอย่างยิ่ง ถ้าปล่อยอิ่นจื่อจางไปง่ายๆ กลับไปพวกเขาจะชี้แจงกับทางยอดเขาโอ่วหยวนอย่างไร
เผยกู่ไม่สนใจเขา ชี้เหล่าคนที่อยู่บนพื้นแล้วประกาศออกมาตรงๆ “พวกเจ้าไม่ใช่ศิษย์ใหม่ของสำนักเซิ่งจื้อแล้ว กลับรวมหัวมามีเรื่องชกต่อยกัน ตามกฎสำนักยิ่งต้องลงโทษให้หนัก แต่ละคนไปรับโทษตีสิบแส้ที่ห้องลงทัณฑ์ หักลูกกลอนชำระโลกีย์หนึ่งเม็ด โอสถน้ำดึงพลังหนึ่งขวด!”
“หา!?” ไม่กี่คนนั้นพากันโอดครวญว่าไม่เป็นธรรม
เหอเจี้ยนเหรินเห็นท่าไม่ดีจึงรีบโน้มน้าวว่า “ศิษย์พี่เผย โทษนี้ดูจะหนักเกินไปหน่อยกระมัง! มิใช่ต้องรู้แน่ก่อนว่าใครถูกใครผิดค่อยตัดสินหรือไร…” พูดพลางพยายามถลึงตาใส่อิ่นจื่อจางอย่างยิ่ง
แส้ของห้องลงทัณฑ์ออกแบบมาเพื่อผู้ฝึกตนโดยเฉพาะ สิบแส้ก็เพียงพอจะทำให้ผู้ฝึกตนขั้นฝึกปราณนอนพังพาบอยู่บนเตียงไปครึ่งเดือนแล้ว ศิษย์ชั้นนอกทุกสามเดือนถึงจะได้รับโอสถน้ำดึงพลังหนึ่งขวดและลูกกลอนชำระโลกีย์อีกหนึ่งเม็ด เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความก้าวหน้าในการฝึกตนของพวกเขา หักสองสิ่งนี้ไปยังเจ็บยิ่งกว่าถูกเฉือนเนื้อเสียอีก
ถ้าปกป้องศิษย์สองคนนี้ไม่ได้ ต่อไปใครจะยังยอมฟังคำสั่งจากยอดเขาโอ่วหยวนอีก เติ้งลู่รู้แก่ใจดีถึงผลได้ผลเสีย จึงพูดสนับสนุนเรียกร้องให้ตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด
เผยกู่ยิ้มเย็นพลางว่า “ตรวจสอบ? มีอะไรให้ตรวจ! คนมากเพียงนี้ลงมือรุมโจมตีคนคนเดียวกลับยังถูกซัดจนเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงไม่มียางอาย แพ้แล้วยังมาขอร้องให้อาจารย์ให้ความยุติธรรม ถ้าชนะได้แล้วจะมิยิ่งเหิมเกริมรึ อิ่นจื่อจางเป็นศิษย์ใหม่ไม่เข้าใจกฎระเบียบ แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันหรือ”
เติ้งลู่และเหอเจี้ยนเหรินไม่ว่าด้วยคุณสมบัติ อายุหรือกำลังความสามารถก็ล้วนเทียบเผยกู่ไม่ได้ เห็นเขามีท่าทีแข็งกร้าว แม้ในใจทั้งสองจะไม่พอใจก็ไม่กล้าสะบัดหน้าใส่ ได้แต่ขอความเห็นใจไม่หยุด
เผยกู่ไม่แม้แต่จะแยแส หันไปกล่าวกับอิ่นจื่อจางว่า “เจ้าเพิ่งจะเข้าสำนักได้ไม่กี่วันก็ก่อเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ความผิดจะไม่ได้อยู่ที่เจ้า แต่ก็ควรระงับอารมณ์ไว้บ้าง นับแต่พรุ่งนี้จงไปทบทวนตนเองที่ผาเหรินหมิ่นจนกว่าจะครบหนึ่งเดือน”
อิ่นจื่อจางลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนค้อมตัวคำนับรับโทษด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ใครที่สายตาไม่มืดบอดก็รู้ทั้งนั้นว่านี่นับเป็นการลงโทษเสียที่ไหน เป็นการตบตาให้การปกป้องชัดๆ คนไปอยู่ใต้สายตาของยอดฝีมือขั้นสร้างฐานช่วงปลายอย่างเป้าฝ่าหู่ ใครคิดจะลงมือต่อเขาอีกก็ยากแล้ว!
อันที่จริงตามความคิดของอิ่นจื่อจาง การที่คนเหล่านี้มาหาเรื่องตนทุกวันก็เป็นการให้ตนฝึกปรือฝีมือพอดี ทว่าพอคิดถึงม้วนตำราหยกที่อาจารย์มอบให้ตน เดิมทีก็ต้องไปขอคำชี้แนะที่ผาเหรินหมิ่น ตอนนี้ก็นับว่าลดขั้นตอนยุ่งยากลงแล้ว
เติ้งลู่และเหอเจี้ยนเหรินโน้มน้าวไม่เป็นผลก็สะบัดตัวจากไปอย่างโกรธเคือง ทางหนึ่งก็ส่งคนไปรายงานข่าวแก่ทางยอดเขาโอ่วหยวน ส่วนจินวั่นเลี่ยงและเผยกู่ต่างก็แยกย้ายกันจากไป
อิ่นจื่อจางยกมือเช็ดคราบเลือดตรงปากออก ก่อนดึงจูจูเดินเข้าห้องของตนไป จิงจี๋เหรินสูดจมูกแล้วทำหน้าด้านตามเข้าไปด้วย
อิ่นจื่อจางแม้จะมีนิสัยเหมือนภูเขาน้ำแข็งยิ่ง แต่ก็ไม่ใช่พวกไม่แยกแยะดีชั่ว จิงจี๋เหรินเพิ่งจะออกปากช่วยพูด เขายังจดจำไว้ในใจ ดังนั้นเมื่อเห็นจิงจี๋เหรินอัญเชิญตนเองเข้ามานั่งที่โต๊ะกินข้าว ทำท่าอยากจะกินด้วย เขาจึงเพียงแต่เลิกคิ้วไม่พูดอะไร
แต่ครั้นจูจูอวดอาหารชนิดใหม่ด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ อิ่นจื่อจางก็เริ่มจะนึกเสียใจ อาหารบนโต๊ะเดิมทีเป็นของเขาทั้งหมด ตอนนี้กลับต้องแบ่งให้จิงจี๋เหรินอะไรนี่ด้วย กระนั้นเมื่อคิดถึงว่าจูจูอยู่ข้างกายเขาตลอดก็อารมณ์ดีไม่เลว มื้อนี้จะยอมปล่อยไปแล้วกัน
บุรุษสองคนตอนแรกยังรักษามารยาทพื้นฐานไว้ได้บ้าง แต่ต่อมากลับกลายเป็นสงครามย่อยๆ จูจูเพิ่งกินไปได้สามคำบนโต๊ะก็เหลือแค่จานผักเล็กๆ แล้ว นางลอบนึกดีใจที่ก่อนมาตนเองกินจากครัวของเผยกู่มาครึ่งกระเพาะแล้ว
อิ่นจื่อจางตวัดสายตามองจิงจี๋เหรินแวบหนึ่งก่อนแค่นเสียงพลางโยนตะเกียบทิ้ง
จิงจี๋เหรินลูบท้องที่กลมดิก จากนั้นก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขอตัวไปอย่างรู้กาลเทศะ เขาได้เห็นพละกำลังยามทุบตีคนของอิ่นจื่อจางแล้ว เขาไม่มีทางเอาชีวิตน้อยๆ ของตนเองไปเสี่ยงอย่างเด็ดขาด
ในที่สุดจูจูก็ได้โอกาสเล่าสิ่งที่ตนได้ประสบมาในวันนี้แก่อิ่นจื่อจางเสียที อิ่นจื่อจางฟังจบก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ขยี้ผมนางพลางว่า “หลังจากข้าไปที่ผาเหรินหมิ่น ถ้าไม่มีอะไรเจ้าก็อย่าเที่ยวเดินไปทั่ว จะไปก็ไปหาศิษย์พี่เผย พวกเขาจะได้ไม่มาลงมือกับเจ้า”
กำลังความสามารถของเขายังมีไม่พอ ถ้าเขามีตบะเท่ากับโหยวเชียนเริ่นผู้เป็นอาจารย์ ไหนเลยยังต้องห่วงเรื่องคนพาลเหล่านี้ ไม่ว่าเรื่องในวันนี้มาจากเจตนาของซูจิงหรือไม่ พอพวกเขาไปจากหุบเขาหยวนสื่อในอีกหนึ่งเดือนให้หลังก็ต้องเผชิญหน้ากับการท้าสู้จากผู้ฝึกตนขั้นฝึกปราณระดับเก้าของยอดเขาโอ่วหยวนอยู่ดี เขาจำเป็นต้องชนะ มิเช่นนั้นเขากับจูจูอยากจะยืนหยัดอยู่ในสำนักเซิ่งจื้อเกรงว่าคงลำบากยิ่งแล้ว ถึงขนาดต้องห่วงชีวิตกันเลยทีเดียว
ผู้ที่มาหาเรื่องวันนี้ลงมือเหี้ยมเกรียมนัก หาใช่แค่คิดมาสั่งสอนเขาไม่ ชัดเจนว่าคิดจะกำจัดเขามากกว่า ความคิดของซูจิงเข้าใจไม่ยาก คุณสมบัติของเขาดีเกินไป พรสวรรค์ก็สูงเกินไป ภายภาคหน้าจะกลายเป็นภัยคุกคามใหญ่ต่อซูจิง ในเมื่อไม่มีทางเก็บความขัดแย้งกลับคืนไปได้ เช่นนั้นซูจิงก็ต้องคิดหาทุกวิธีมาตัดรากถอนโคนเขาให้ได้ก่อนที่เขาจะกลายเป็นอาวุธร้ายในอนาคต
เช้าวันรุ่งขึ้น อิ่นจื่อจางเก็บของเสร็จก็มุ่งหน้าไปผาเหรินหมิ่น ท่าทีเริ่มแรกของเป้าฝ่าหู่เรียบเฉยอย่างยิ่ง เขาแบ่งพื้นที่ในถ้ำของตนให้อิ่นจื่อจางฝึกตน แต่ไม่กี่วันให้หลังเขาก็ทนนิ่งเฉยไม่ไหว การที่อิ่นจื่อจางฝึกฝนตนเองอย่างบ้าคลั่งแทบไม่หลับไม่นอนทำให้เขายอมรับนับถือสุดใจ
ในตอนนั้นเป้าฝ่าหู่ก็เป็นอัจฉริยะผู้มีพลังธาตุเดี่ยวสายน้ำเช่นกัน แต่เมื่อย้อนนึกกลับไปในตอนที่ตนฝึกฝนกลับไม่เคยมานะพยายามได้อย่างอิ่นจื่อจางเลย มิน่าเด็กคนนี้ถึงสามารถบรรลุขั้นฝึกปราณระดับเจ็ดได้ตั้งแต่อายุเพียงสิบเก้าทั้งๆ ที่ไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ
เป้าฝ่าหู่เกิดนึกชอบในความสามารถก็ยิ่งเอาใจใส่ให้คำชี้แนะแก่อิ่นจื่อจาง อีกทั้งเขาได้กินอาหารเลิศรสที่จูจูตั้งอกตั้งใจทำมาทุกวันจึงรู้สึกไม่ดีเช่นกันถ้าไม่พยายามทุ่มเท
แนวคิดเรื่องใช้หญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษทำอาหารบำรุงร่างกายของเผยกู่ได้ผลอย่างมากจริงๆ อิ่นจื่อจางและเป้าฝ่าหู่ล้วนรู้สึกได้ชัดเจนว่าพลังในร่างกายเพิ่มพูนอัดแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งความแข็งแรงทนทานของชีพจรก็มากขึ้นกว่าเมื่อก่อนเช่นกัน
มีเพียงจูจูที่กินของอย่างเดียวกับพวกเขาแต่ไม่มีการตอบสนองใดแม้แต่น้อย
เพียงพริบตาเดียวเวลาหนึ่งเดือนก็ผ่านไป อีกสามวันจะเป็นวันที่แต่ละยอดเขาจะมารับคนที่หุบเขาหยวนสื่อ
ความพยายามของอิ่นจื่อจางเป็นที่ประจักษ์แจ้งกันถ้วนทั่ว ได้รับคำชี้แนะจากเป้าฝ่าหู่ทำให้เขาไม่ต้องลองผิดลองถูก ปัญหาที่เมื่อก่อนไม่ค่อยเข้าใจล้วนได้รับการแถลงไขไปทีละข้อ เวลาเพียงหนึ่งเดือนตบะก็ใกล้ถึงระดับแปดในขั้นฝึกปราณแล้ว
การฝึกตนแต่ละขั้นตอนยิ่งระดับสูงขึ้นก็ยิ่งยาก ขั้นฝึกปราณระดับเจ็ดถึงระดับแปดผู้ฝึกตนทั่วไปอย่างน้อยต้องฝึกถึงหนึ่งหรือสองปีจึงสามารถสำเร็จได้ แต่อิ่นจื่อจางใช้เวลาเพียงเท่านี้ก็มีวี่แววจะสำเร็จแล้ว ความเร็วช่างน่าตกใจโดยแท้
หากแต่เท่านี้กลับทำให้เขาพอใจไม่ได้ ควรต้องรู้ว่าศัตรูที่เขาต้องเผชิญหน้าในอีกสามวันจะเป็นถึงยอดฝีมือขั้นฝึกปราณระดับเก้า ถ้าเขาไม่อาจพัฒนาถึงระดับเก้าได้ ความเป็นไปได้ที่จะชนะก็แทบจะเป็นศูนย์
อิ่นจื่อจางพิจารณาไตร่ตรองดูแล้วก็ตกลงใจจะเสี่ยงกินลูกกลอนสร้างฐานเม็ดหนึ่ง เรื่องที่เขามีลูกกลอนสร้างฐานนั้นไม่เหมาะจะแพร่งพรายให้คนภายนอกรู้ ถึงจะเป็นเป้าฝ่าหู่และเผยกู่เขาก็ไม่อยากเปิดเผยให้รู้เช่นกัน
ลูกกลอนสร้างฐานโดยทั่วไปเป็นยาลูกกลอนที่ใช้เพื่อเลื่อนจากขั้นฝึกปราณขึ้นเป็นขั้นสร้างฐาน มันสามารถให้พลังมหาศาล ช่วยผู้ฝึกตนควบอัดพลังที่สะสมอยู่ที่จุดตันเถียน* จนกลายเป็นหยดน้ำ บุกเบิกขยายชีพจรจนสำเร็จขั้นสร้างฐาน อิ่นจื่อจางอยู่เพียงปลายยอดขั้นฝึกปราณระดับเจ็ด หากสุ่มสี่สุ่มห้าใช้ยาพรรค์นี้เพิ่มพลังฝีมือไม่เพียงเป็นการฆ่าไก่ด้วยมีดเชือดวัว** ยังเป็นไปได้มากที่จะทำให้เสียเรื่อง ทำร้ายร่างกายตนเองโดยไม่เจตนา ทว่าวิกฤตจ่ออยู่ตรงหน้า ไม่มีเวลาให้สนใจอะไรมากมายแล้ว
“ข้าจะกักตัวทะลวงพลังระดับแปด อีกสามวันถ้าไม่เห็นข้าออกมาก็ไปตามศิษย์พี่เป้ากับศิษย์พี่เผยมาเปิดประตูถ้ำศิลา” อิ่นจื่อจางไม่อยากทำให้จูจูตกใจ ถ้าอีกสามวันเขาไม่ออกมา เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเขาทะลวงพลังล้มเหลวแล้วได้รับบาดเจ็บ ที่ให้เรียกเป้าฝ่าหู่และเผยกู่มาก็เพื่อจะขอให้พวกเขาสำแดงอาคมช่วยคน
จูจูไม่เข้าใจความอันตรายของการฝึกตน แต่กลับสังเกตเห็นได้ด้วยความรู้สึกที่ไวว่าอิ่นจื่อจางกักตัวครั้งนี้หาได้ไม่มีอะไรซับซ้อนไม่ นิสัยของเขาทั้งหยิ่งทั้งรั้น แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเอ่ยปากบอกให้นางไปหาใครมาช่วย อีกทั้งแค่เปิดประตูยังต้องให้ผู้อื่นลงมือ นั่นก็หมายความว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นกับอิ่นจื่อจางในถ้ำศิลาจนมาเปิดประตูไม่ได้อย่างแน่นอน!
นางเพียงดูทึ่มไปบ้าง บางครั้งความคิดก็มีปัญหาอยู่บ้าง หากแต่เรื่องมากมายกลับกระจ่างแจ้งแก่ใจยิ่ง
ท่านยายเคยบอกว่าแทนที่จะมานั่งรันทดโศกเศร้าให้จิตใจว้าวุ่นและเพิ่มความกดดันเมื่อประสบพบเจอเรื่องลำบาก ก็สู้พยายามคิดดูว่าทำเช่นไรจึงจะคลี่คลายเรื่องราวเสียยังดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องทำให้ผู้อื่นแบ่งใจมาพะวง
จูจูกัดริมฝีปากแสร้งทำเป็นว่าไม่เป็นไร ล้วงขวดหยกเล็กขวดหนึ่งออกจากอกเสื้อแล้วยื่นให้อิ่นจื่อจางพลางว่า “นี่คือลูกกลอนเสริมธาตุสามเม็ด ศิษย์พี่เผยบอกว่าเป็นยารักษาอาการบาดเจ็บที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่อยู่ขั้นฝึกปราณถึงขั้นสร้างฐาน รักษาได้ทั้งอาการบาดเจ็บภายในและภายนอก แม้บนยาลูกกลอนจะไม่มีลาย แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เลวเลย ให้ท่านแล้วกัน”
อิ่นจื่อจางรับขวดหยกมาก่อนพูดด้วยความแปลกใจ “เจ้ามีของพรรค์นี้ได้อย่างไร”
จูจูก้มหน้าลงก่อนว่า “ศิษย์พี่เผยให้ข้ามา” อันที่จริงนั่นเป็นค่าตอบแทนที่นางทำอาหารให้จิงจี๋เหริน ทว่านางไม่กล้าบอกอิ่นจื่อจาง
อิ่นจื่อจางผู้นี้นิสัยเอาใจยากทั้งยังชอบบังคับควบคุม ไม่ชอบให้นางทำงานทำอาหารให้ผู้อื่น หลายวันมานี้เพราะว่าเขาฝึกตนอยู่ที่ผาเหรินหมิ่น จูจูจึงส่งของที่ทำในครัวของเผยกู่มาที่นี่ทุกวัน อิ่นจื่อจางกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ครั้นเห็นพวกเป้าฝ่าหู่กินอย่างสบายใจเฉิบเช่นกันก็มักทำหน้านิ่วเป็นประจำ แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่จูจูรู้สึกได้ว่าเขาคล้ายจะไม่พอใจนัก
ถ้าเขารู้ว่านางยังแอบทำอาหารให้จิงจี๋เหรินด้วยเขาคงได้อารมณ์เสียเป็นแน่กระมัง จูจูจึงตัดสินใจที่จะไม่เสี่ยง
แม้อิ่นจื่อจางจะไม่เชื่อนัก แต่เขามิใช่คนที่จะมารบเร้าเซ้าซี้กับเรื่องเล็กๆ พรรค์นี้ หลังเก็บน้ำใจของจูจูลงก็หอบเสบียงกรังเนื้อตากแห้งที่ทำจากหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษชนิดต่างๆ ที่นางเตรียมไว้ให้ไปกักตัว
จูจูยังคงทำของอร่อยชนิดต่างๆ อยู่ในครัวของเผยกู่ทุกวัน แม้อาหารที่เขียนไว้ในบันทึกหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษร้อยรสม้วนนั้นจะถูกจำกัดด้วยวัตถุดิบ ทำให้มีอีกหลายรายการที่ยังไม่เคยได้ลองทำ แต่แก่นเนื้อหาทั้งหมดนางล้วนเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ทำให้เผยกู่และเป้าฝ่าหู่ตกใจเป็นอย่างมาก
บันทึกร้อยรสเพียงแต่บรรยายถึงเรื่องการทำอาหาร ทว่าในนั้นกลับแฝงด้วยหลักการความสมดุลของหยินหยางและธาตุทั้งห้า จูจูไม่เคยได้สัมผัสเรื่องเหล่านี้มาก่อน แต่เพียงไม่กี่วันก็เข้าใจเนื้อหาแก่นสารได้ทั้งหมด ถึงขนาดว่าสามารถแตกแขนงความรู้จากเรื่องหนึ่งออกไปได้อีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับหญ้าวิเศษ นางถึงขนาดท่องรายละเอียดคุณสมบัติพิเศษของหญ้าวิเศษที่ใช้ทำอาหารได้อย่างคล่องแคล่วเลยทีเดียว ความสามารถด้านการจำเช่นนี้ผู้ฝึกตนระดับต่ำทั่วไปไม่มีทางมี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสติปัญญาในการวิเคราะห์และเข้าใจที่น่ากลัว นางถึงขนาดอัจฉริยะยิ่งกว่าอิ่นจื่อจางเสียอีก
ทั้งเผยกู่และเป้าฝ่าหู่เสียดายยิ่งนักที่จูจูมีสภาพร่างกายบกพร่องโดยกำเนิด แม่นางน้อยที่เฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ต่อให้มีสามพลังธาตุหรือถึงกระทั่งสี่พลังธาตุ ความสำเร็จในอนาคตก็ไม่ใช่เล็กน้อยแน่นอน เสียดายที่นางไม่เพียงแค่ไม่มีพลังธาตุ แต่ยังมีชีพจรตันที่ไม่สามารถฝึกตนได้ด้วย
เผยกู่มองจูจูที่กำลังทำแกงข้นหญ้าม่วงผักใบเงินอยู่ในครัวเล็กเหมือนกับว่าไม่แยแสอะไร ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าไม่เป็นห่วงเลยหรือ”
อิ่นจื่อจางกักตัวมาสองวันแล้ว เด็กหนุ่มแสดงออกชัดเจนว่าต้องการบรรลุขั้นฝึกปราณระดับแปด ความบาดหมางระหว่างพวกเขากับทางซูจิงอีกฝ่ายเองก็รู้ ถ้าอิ่นจื่อจางทำไม่สำเร็จ ซูจิงจะต้องฉวยโอกาสเล่นงานเขาถึงขั้นไม่มีทางฟื้นกลับมาได้แน่นอน การกักตัวครั้งนี้แม้นับไม่ได้ว่าเป็นการชี้เป็นชี้ตายของทั้งอิ่นจื่อจางทั้งจูจู แต่ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้ว
จากวิธีการจัดการเรื่องราวของโหยวเชียนเริ่น พวกเขาก็มองออกได้ว่าแม้ปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่ท่านนี้จะรักผู้มีความสามารถ แต่ก็หาได้คิดจะสอดมือเข้ายุ่งมากเกินไป นี่ก็เป็นการฝึกฝนทดสอบลูกศิษย์อย่างหนึ่งเช่นกัน ถ้ากระทั่งปัญหาแค่นี้ยังแก้ไม่ได้ วันหน้าจะเผชิญหน้าศัตรูที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ได้อย่างไร
“เป็นห่วงสิเจ้าคะ” จูจูมองเขาแวบหนึ่งอย่างแปลกใจ ก่อนกระทำเรื่องของตนต่อไป
“มองไม่ออกเลย…” เผยกู่เกาศีรษะ
“หรือว่าข้าต้องร้องห่มร้องไห้หน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งวัน?” จูจูใช้กระบวยคนหญ้าวิเศษในหม้อสองสามทีก่อนลดไฟลง เตาของเผยกู่ช่างสะดวกเสียจริงๆ!
“ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ข้าเห็นเจ้ายังมีแก่ใจมานั่งทำของกินของดื่มพวกนี้ได้ทุกวัน…” เผยกู่ไม่รู้ว่าตนอยากพูดอะไรแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ได้หวังให้จูจูเอาแต่ทำหน้าอมทุกข์ แต่นางทำเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเช่นนี้เขาก็รู้สึกว่าแปลกยิ่ง
“ข้าห่วงไปก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ ท่านยายบอกว่าผู้บำเพ็ญเซียนมีอุปสรรคขัดขวางมากมาย ถ้ากังวลมากเกินไปจะเกิดปัญหาได้ง่าย เรื่องเช่นนี้วันหน้ายังต้องประสบพบเจออีก ข้าไม่อยากให้ทุกครั้งที่เขากักตัวฝึกตนล้วนต้องพะวงถึงข้า” จูจูกล่าว
เผยกู่เงียบไปชั่วครู่ก่อนทอดถอนใจ “…เจ้าเด็กนี่โชคดีเสียจริงๆ! ไฉนตอนนั้นข้าถึงไม่มีโชคเช่นนี้กับเขาบ้าง”
“ตอนนี้ท่านมีแล้ว น้ำแกงนี้เสร็จแล้วเจ้าค่ะ!” จูจูประกาศอย่างดีใจ
เผยกู่โยนอารมณ์อ่อนไหวอะไรนั่นทิ้งไปไกลสุดขอบฟ้าทันที จากนั้นก็หยิบช้อนชามกระโจนเข้าไป
แกงข้นหญ้าม่วงผักใบเงินหม้อหนึ่งถูกแบ่งเป็นสามส่วน สองส่วนใหญ่ตกลงกระเพาะของเผยกู่และเป้าฝ่าหู่ อีกหนึ่งส่วนเล็กจูจูกินเอง ขณะจูจูไปจัดการตะเกียบจานชาม ตระเตรียมมื้อต่อไป เผยกู่ก็ดึงเป้าฝ่าหู่มาทอดถอนรำพึงรำพัน
“แม่นางน้อยแม้จะหน้าตาไม่งดงาม แต่ความคิดความอ่านนิสัยใจคอกลับไม่เลวเลย ถ้าข้าเกิดช้ากว่านี้สักหลายปี จะต้องแย่งชิงกับศิษย์น้องอิ่นอย่างแน่นอน”
“ท่านรู้หรือว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ใดกัน” เป้าฝ่าหู่ไม่เห็นเป็นเช่นนั้น
“ถ้าไม่ใช่อย่างที่ข้าคิด ศิษย์น้องอิ่นนั่นก็มีตาหามีแววไม่ ไม่รู้จักคุณค่าสิ่งต่างๆ แล้ว!” เผยกู่พอได้กินของคนอื่นเขา ทั้งปากทั้งใจก็เริ่มอ่อน ตอนนี้เอนไปข้างจูจูสุดตัวแล้ว
“ท่านอย่าลืมว่าจูจูเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่อาจฝึกตนได้ เวลาสิบปีร้อยปีสำหรับผู้ฝึกตนเช่นพวกเราแล้วเป็นเพียงช่วงเล็กๆ บนเส้นทางชีวิตอันยืนยาวเท่านั้น แต่สำหรับมนุษย์ธรรมดากลับเป็นชั่วชีวิตที่ผ่านการเกิดแก่เจ็บตายจนครบ เช่นนี้แล้วท่านยังรู้สึกว่าพวกเขาเหมาะสมกันอีกหรือ” เป้าฝ่าหู่อยู่กับความจริงยิ่ง เขาเองก็รู้สึกว่าจูจูไม่เลวเลย แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายก็เป็นได้เพียงมนุษย์ธรรมดา อีกห้าสิบปียามอิ่นจื่อจางฉายแสงเต็มที่ นางก็ผมขาวหนังเหี่ยวเป็นไม้ใกล้ฝั่งเต็มทีแล้ว
“ผู้อาวุโสเจิ้งมิใช่บอกว่าเขาสามารถสอนจูจูได้หรือไร” เผยกู่ไม่แน่ใจนัก
“กลัวแต่ว่าผู้อาวุโสเจิ้งกำลังงัดข้อกับปรมาจารย์โหยวเสียมากกว่า อีกทั้งเขายังมีนิสัยพิลึกพิลั่น ใครจะไปรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ หากเขาสามารถทำให้จูจูเหยียบลงบนเส้นทางการเป็นเซียนได้จริง เช่นนั้นก็เป็นผู้มหัศจรรย์โดยแท้!” เป้าฝ่าหู่ยังคงรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ
“นิสัยยังพิลึกพิลั่นไปกว่าเจ้าได้อีกหรือ เจ้ากินหญ้าวิเศษสัตว์วิเศษที่จูจูทำเกือบหนึ่งเดือนแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง อาการบาดเจ็บภายในค่อยยังชั่วขึ้นหรือไม่” เผยกู่ยิ้มอย่างได้ใจยิ่ง
“ก็ได้! ท่านมันร้ายกาจ!” เป้าฝ่าหู่ทำเป็นดูแคลน แต่ในดวงตากลับฉายแววซาบซึ้งและดีใจออกมา ถ้าเขาคาดมิผิด กินหญ้าวิเศษสัตว์วิเศษบำรุงต่ออีกอย่างมากสองสามเดือน อาการเจ็บป่วยที่เหลืออยู่ในร่างกายเขาก็จะหายดีได้ ถึงเวลานั้นการทะลวงพลังให้ถึงระดับสมบูรณ์ของขั้นสร้างฐานอีกครั้งหรือไปให้ถึงขั้นหลอมรวมก็ล้วนมิเป็นปัญหา
“น่าเสียดายที่พรุ่งนี้จูจูก็จะไปแล้ว…” เผยกู่อดถอนใจไม่ได้ เขาเองก็นำหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษมาทำอาหารได้ ทว่ารสชาติกลับแย่ราวกับอาหารหมู ถ้าเป้าฝ่าหู่คิดว่าเป็นยาก็คงพอกลืนลงไปได้ หากแต่ไม่ว่าจะเรียนอย่างไรก็ไม่มีทางทำได้อย่างจูจูที่ควบคุมสัดส่วนของหญ้าวิเศษกับสัตว์วิเศษชนิดต่างๆ และกำลังไฟได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ อาหารที่ทำออกมาให้ผลแตกต่างกันอย่างมาก
เป้าฝ่าหู่กินของที่เขาทำสิบมื้อเกรงว่าผลที่ได้จะยังเทียบไม่ได้กับกินของที่จูจูทำเพียงหนึ่งมื้อด้วยซ้ำไป เรื่องนี้ทำให้เขาจนใจยิ่งยวด และนี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่ก่อนหน้านี้เป้าฝ่าหู่ดูถูกดูแคลนแนวคิดของเขาเช่นกัน
“ข้าทำอาหารให้พวกท่านทุกวันได้ ทว่าพวกท่านต้องให้คนไปเอาจากยอดเขาอิ้งปั้ง…หรือไม่พวกท่านก็มาเข้าร่วมยอดเขาอิ้งปั้งเสียเลย นั่นยิ่งจะสะดวกขึ้น” จูจูเดินเข้ามาพลางกล่าว
เผยกู่เดิมทีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของนาง จึงจงใจบ่นให้นางได้ยิน ครั้นนางพูดเช่นนี้ก็ยิ้มพรายพลางพูดอย่างเสแสร้งทันที “ต้องยุ่งยากศิษย์น้องถึงเพียงนี้ เกรงใจนัก”
“ไม่ยุ่งยากเจ้าค่ะ ข้าก็มีเรื่องใคร่ขอให้ศิษย์พี่ช่วยเช่นกัน” จูจูยิ้มได้ดูเจ้าเล่ห์อยู่บ้าง
“บอกมาได้เลยๆ” เผยกู่ขอแค่ได้กินของอร่อยทุกวันก็พอ จูจูมีเงื่อนไขอะไรก็ว่ามาได้เลย
จูจูคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม “มีของที่สามารถปิดบังตบะไม่ให้ผู้อื่นมองออกได้ว่าสูงต่ำเพียงไรบ้างหรือไม่”
เป้าฝ่าหู่แปลกใจแล้ว “เจ้าต้องการของเช่นนี้ไปทำอะไร” นางไม่ได้มีตบะหรือมีพลังอะไรเสียหน่อย
“ให้ศิษย์น้องอิ่นใช้?” เผยกู่นึกได้ทันที
จูจูพยักหน้า
เป้าฝ่าหู่และเผยกู่ล้วนเป็นผู้แก่ประสบการณ์ คิดเพียงเล็กน้อยก็รู้ถึงเจตนาของนาง นางคิดจะทำให้ผู้ที่ซูจิงส่งมามองรากฐานของอิ่นจื่อจางไม่ออก หากพวกเขาคิดว่าอิ่นจื่อจางยังคงอยู่ขั้นฝึกปราณระดับเจ็ดก็จะต้องเกิดความประมาทศัตรู ถึงเวลานั้นโอกาสชนะของอิ่นจื่อจางก็ยิ่งมากขึ้น
เป้าฝ่าหู่จึงว่า “เจ้ามั่นใจถึงเพียงนี้เชียวหรือว่าศิษย์พี่อิ่นของเจ้าจะเลื่อนถึงระดับแปดได้”
“เขาทำได้แน่” จูจูตอบ ในเมื่อท่านยายคิดว่าอิ่นจื่อจางคู่ควรให้พึ่งพานั่นย่อมต้องมีเหตุผล อีกทั้งหนึ่งปีที่อยู่ด้วยกันมานี้ก็ทำให้นางมั่นใจในตัวอิ่นจื่อจางอย่างมหาศาล…เชื่ออิ่นจื่อจาง มีเนื้อให้กิน!
เป้าฝ่าหู่สบตากับเผยกู่ก่อนล้วงประคำข้อมือซึ่งร้อยจากเหรียญทองแดงเส้นหนึ่งจากในแขนเสื้อมายื่นให้จูจูพลางว่า “ใส่เจ้านี่ไว้ ปรับเหรียญทองแดงเท่าไรก็จะควบคุมพลังที่แสดงออกมาได้เท่านั้น เขาอยากจะแสร้งทำเป็นไม่มีพลังเหมือนเจ้าก็ยังได้ ทว่าหลอกได้เพียงผู้ที่มีตบะต่ำกว่าขั้นกำเนิดใหม่ลงมา”
จูจูดีใจเป็นล้นพ้น รับมาด้วยสองมือก่อนเก็บด้วยความระมัดระวัง สิ่งนี้ดีกว่าที่นางคิดไว้เสียอีก แม้ว่าการทำให้คนมองความแข็งแกร่งของตบะไม่ออกจะทำให้คนสงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่เพราะของสิ่งนี้สามารถปรับระดับได้ ควบคุมตบะของอิ่นจื่อจางให้อยู่ขั้นฝึกปราณระดับเจ็ดถือว่าสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว
นี่เป็นคืนสุดท้ายที่จะได้อยู่ในหุบเขาหยวนสื่อ นับแต่ได้รับจี้หยกชิ้นนั้นมาจากอิ่นจื่อจาง หนึ่งเดือนมานี้จูจูก็ไม่ได้ฝันร้ายอีก นางหลับสนิททุกคืน แต่คืนนี้กลับพลิกตัวไปมาด้วยความที่นอนไม่หลับ จึงลุกขึ้นมานั่งบนบันไดศิลาหน้าห้อง มองดูลานเรือนอย่างเหม่อลอย
นางพะวงเรื่องสถานการณ์ของอิ่นจื่อจาง กลางวันสามารถทำนู่นทำนี่ให้ตนเองไม่ว่างไปคิดได้ แต่กลางคืนอยู่เงียบๆ คนเดียวกลับไม่อาจไม่คิด
“เจ้าก็นอนไม่หลับหรือ” ประตูห้องอีกห้องในเรือนเปิดออก เยวี่ยหลิงเอ๋อร์ชะโงกหน้าออกมาทักทายถามไถ่อย่างลังเลอยู่บ้าง
“อืม” จูจูพยักหน้า คนเดียวในเรือนนี้ที่นางไม่ได้รู้สึกไม่ดีด้วยนักก็คือเยวี่ยหลิงเอ๋อร์ผู้นี้
เยวี่ยหลิงเอ๋อร์เห็นจูจูตอบก็ถือโอกาสเดินมานั่งลงข้างนางก่อนว่า “ข้ากังวลยิ่งนัก ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้คนจากยอดเขาไหนจะเลือกข้า เจ้าสบายแล้วเพราะได้ไปยอดเขาอิ้งปั้งแน่ๆ อีกทั้งยังมีอาจารย์เป็นถึงผู้อาวุโสเจิ้งด้วย” ในถ้อยคำไม่ปิดบังความอิจฉาแม้แต่น้อย
“คนเขามีอาจารย์ดีก็ช่างเถอะ แต่ยังมีศิษย์พี่ที่ดีที่กล้าล่วงเกินผู้อาวุโสซูแห่งยอดเขาโอ่วหยวนเพื่อนางอีกด้วยนี่สิ” หลินชิงปัวกำลังกลุ้มใจเรื่องเดียวกับเยวี่ยหลิงเอ๋อร์ ครั้นได้ยินเสียงคนพูดอยู่ในลานเรือนจึงออกมาร่วมวง
ในใจนางกำลังกระวนกระวาย พอเห็นจูจูก็นึกโมโห เด็กสาวขี้ริ้วนางนี้จะโชคดีเกินไปหน่อยแล้ว ไม่เพียงมีอาจารย์ดีศิษย์พี่ดี แต่ยังประจบสอพลอผู้ดูแลทั้งสองท่านของหุบเขาหยวนสื่อเสียอยู่หมัด ทุกวันล้วนได้กินดีอยู่ดี ทั้งยังไม่ต้องฝึกตนด้วย
ทุกคนเป็นคนเหมือนกัน แต่ไฉนโชคถึงได้ต่างกันเพียงนี้ ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้หลินชิงปัวก็ให้ใจเย็นไม่ไหว
เยวี่ยหลิงเอ๋อร์แย้งขึ้นว่า “เรื่องวันนั้นพวกเราก็เห็นกันหมดว่าซูหลิงเป็นฝ่ายจะตีจูจูก่อน เจ้าอย่าพูดเหมือนจูจูเจตนาหาเรื่องสิ”
หลินชิงปัวเหลือกตาพลางว่า “ถูกต้องๆๆ เป็นความผิดของซูหลิงทั้งหมด พวกขี้ประจบ!”
เยวี่ยหลิงเอ๋อร์กระโดดผลุงขึ้นถามด้วยความโมโห “เจ้าว่าใคร!”
“พวกเจ้าหยุดทะเลาะกันได้แล้ว อุตส่าห์ได้รู้จักกันทั้งที หลังจากคืนนี้ไปยังไม่รู้เลยว่าจะได้พบกันอีกเมื่อไร” เสียงของเลี่ยวหย่งฉีดังแทรกขึ้น
หลินชิงปัวจึงยิ้มเย็นแล้วไม่พูดอะไรอีก พวกนางสามคนนับไม่ได้ว่ามีมิตรภาพอะไรต่อกัน มีแต่เลี่ยวหย่งฉีผู้นี้ที่แสร้งทำเป็นพี่สาวแสนดีอยู่เสมอ
เลี่ยวหย่งฉีแสดงสีหน้าท่าทางหนักอกหนักใจพลางพูดกับจูจู “ได้ยินว่ามีศิษย์ไม่น้อยของผู้อาวุโสซูวางแผนจะมีเรื่องกับศิษย์พี่อิ่น เห็นว่าเพียงแต่รอให้เขาออกจากหุบเขาหยวนสื่อก็จะมาท้าสู้ด้วย”
“ศิษย์พี่อิ่นเก่งกาจถึงเพียงนั้น ไม่มีทางแพ้แน่นอน!” เยวี่ยหลิงเอ๋อร์พูดด้วยสองตาเป็นประกาย
แม้อิ่นจื่อจางมาถึงหุบเขาหยวนสื่อได้ไม่กี่วันก็ต้องไปทบทวนตนเองที่ผาเหรินหมิ่นแล้ว แต่เรื่องสติปัญญาความสามารถอันล้ำเลิศและวีรกรรมของเขาที่สามารถสู้กับศิษย์ขั้นฝึกปราณระดับห้าขึ้นไปถึงแปดคนเพียงลำพังซ้ำยังได้รับชัยชนะได้เล่าลือไปทั่วหมู่ศิษย์ใหม่แล้ว มีคนไม่น้อยที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวเขา เยวี่ยหลิงเอ๋อร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เลี่ยวหย่งฉีถอนใจพลางว่า “ศิษย์น้องเยวี่ย ผู้ที่จะท้าสู้กับเขาคราวนี้ล้วนเป็นศิษย์พี่ที่อยู่ขั้นฝึกปราณระดับเก้าหรือถึงขนาดอยู่ในระดับสมบูรณ์เลยทีเดียว…ศิษย์น้อง เจ้าลองไปเกลี้ยกล่อมศิษย์พี่อิ่นดูหน่อยเถิด ท่านปู่ข้าเป็นสหายกับหานหยวนศิษย์เอกของผู้อาวุโสซูแห่งยอดเขาโอ่วหยวน สามารถช่วยไกล่เกลี่ยได้ ไยต้องไปผูกแค้นกับผู้อาวุโสซูเพราะความเข้าใจผิดเพียงเล็กน้อยนี้ด้วย ได้ยินว่าผู้อาวุโสซูมีความเป็นไปได้สูงว่าจะกลายเป็นปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่ท่านที่สองของสำนักเราเชียวนะ…”
ถ้าเลี่ยวหย่งฉีสามารถจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยได้ ไม่เพียงอิ่นจื่อจางติดหนี้น้ำใจนาง แม้แต่ท่านปู่น้อยของนางก็จะพลอยได้หน้าครั้งใหญ่ต่อหน้าพวกหานหยวนและคนของยอดเขาโอ่วหยวนด้วย เรื่องที่ดียิ่งอย่างยิงเกาทัณฑ์ครั้งเดียวได้นกสองตัวเช่นนี้ไยจะไม่ทำเล่า
จูจูส่ายหน้าอย่างไม่แม้แต่จะหยุดคิด “ศิษย์พี่ไม่มีทางทำหรอก” ด้วยนิสัยหยิ่งยโสของอิ่นจื่อจาง เขาจะไปก้มหน้ารับผิดในเรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่ผิดแม้แต่น้อย
เลี่ยวหย่งฉีเลิกคิ้วก่อนว่า “ศิษย์น้องจะอย่างไรเจ้าไปหารือกับศิษย์พี่อิ่นให้เรียบร้อยก่อนค่อยมาว่ากันเถอะนะ ตอนนี้มิใช่เวลาใช้อารมณ์ตัดสิน ถ้าว่ากันถึงที่สุดแล้วเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นเพราะเจ้า ไยต้องให้ศิษย์พี่อิ่นเสี่ยงอันตรายเพื่อเจ้าด้วยเล่า”
จูจูรู้สึกว่าตนเองคุยกับนางไม่รู้เรื่องโดยสิ้นเชิง จึงยืนขึ้นปัดกระโปรงก่อนว่า “ข้าง่วงแล้ว ไปนอนก่อน พวกท่านคุยกันไปแล้วกัน”
กลับเข้าห้องหับประตูปิดเรียบร้อยก็ได้ยินเสียงหลินชิงปัวพูดขึ้นแว่วๆ อยู่ด้านนอก “เป็นแค่พวกไร้ประโยชน์คนหนึ่ง ไม่รู้ไปทำบุญอะไรมา”
นางเองก็ไม่รู้ว่าตนไปทำบุญอะไรมา นางรู้เพียงว่าต่อให้เวลาไหลย้อนกลับ เรื่องราวดำเนินใหม่ นางก็ยังคงเดินตามทางนั้น อิ่นจื่อจางไม่มีทางอยากเห็นนางถูกผู้อื่นข่มเหงรังแกตามอำเภอใจ ตัวนางเองก็ไม่อยาก นางยินดีรับผลที่จะตามมาทั้งหมดทั้งสิ้นพร้อมกับอิ่นจื่อจาง ส่วนอิ่นจื่อจางก็ดูท่าจะยินดีเช่นกัน นั่นมิใช่พอแล้วหรือไร!
จูจูพลิกตัวอยู่บนเตียง ตัดสินใจว่าต้องนอนให้เต็มอิ่ม พรุ่งนี้จะได้ทำมื้อใหญ่ไว้รออิ่นจื่อจาง!
เช้าวันรุ่งขึ้น ศิษย์ใหม่ทั้งหมดในหุบเขาหยวนสื่อต่างมารวมตัวกันที่หน้าแท่นไท่เสวียนตั้งแต่เช้าเพื่อรอคนจากยอดเขาทั้งห้ามาเลือกตัว ในนั้นนอกจากบางคนที่ถูกกำหนดที่ไปเป็นการภายในแล้ว คนเกือบทั้งหมดก็ล้วนมีสีหน้าประหม่าตื่นเต้น
จูจูไม่ได้มาร่วมด้วย นางแจ้งจินวั่นเลี่ยงไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะรออิ่นจื่อจางออกมาจากการกักตัวก่อนค่อยไปรายงานตัวที่ยอดเขาอิ้งปั้งพร้อมกัน พวกนางสองคนเป็นศิษย์เอกของปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่และผู้อาวุโสขั้นหลอมรวม ผู้อื่นย่อมไม่สะดวกจะยุ่งกับพวกนาง
นางวุ่นอยู่ในครัวเล็กของเผยกู่ตามลำพังเป็นครึ่งค่อนวัน ทำอาหารทั้งหมดแปดอย่างพร้อมน้ำแกงอีกหนึ่งส่งไปยังถ้ำที่พำนักใต้ผาเหรินหมิ่นของเป้าฝ่าหู่ จากนั้นก็เฝ้าอยู่นอกถ้ำศิลาที่อิ่นจื่อจางเข้าไปกักตัวโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
พอรอทีก็รอจนตะวันตกดิน กระทั่งเป้าฝ่าหู่กับเผยกู่ก็นั่งไม่ติดแล้ว
สามวันมานี้ในถ้ำศิลามีคลื่นพลังรุนแรงแผ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองคนลอบคาดคะเนกันว่ากระทั่งตบะอย่างพวกเขาเข้าไปอยู่ท่ามกลางคลื่นพลังนั้นก็คงจะทนรับไม่ค่อยไหว นับประสาอะไรกับอิ่นจื่อจางที่ยังเป็นผู้ฝึกตนขั้นฝึกปราณ
ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีอะไรทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ใหญ่โตเพียงนี้ออกมา สภาพการฝ่าด่านครานี้ดุเดือดรุนแรงเหลือเกิน เกรงว่าตัวเด็กหนุ่มเองก็คงอยู่ในอันตรายอย่างยิ่งเช่นกัน
เป้าฝ่าหู่และเผยกู่ทั้งสองคนไม่เห็นว่าจะมีความรู้สึกต่ออิ่นจื่อจางลึกซึ้งอะไร แต่ก็ไม่ยินดีจะเห็นเขาทำลายรากฐานของตนเองเพราะโลภจะก้าวหน้าโดยไม่ประมาณกำลังตนเช่นกัน พวกเขาลังเลอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ครั้นเห็นจูจูเฝ้าอยู่หน้าถ้ำเงียบๆ ก็ตัดใจบุกเข้าไปยับยั้งการกระทำอันบ้าคลั่งของอิ่นจื่อจางไม่ได้เสียที
หากเข้าไปขัดขวางการกักตัวของเขากลางคัน ผลลัพธ์ก็เสี่ยงพอกัน
อยู่ในอารมณ์กระวนกระวายเช่นนี้จนเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็สุดรู้ ระหว่างนั้นจินวั่นเลี่ยงมีมาถามไถ่ด้วยตนเองรอบหนึ่ง แต่ทางอิ่นจื่อจางก็ยังคงไร้วี่แววจะออกมา
ครั้นเห็นว่าใกล้ถึงยามจื่อ* แล้ว วันที่สามกำลังจะผ่านไปโดยสมบูรณ์ จูจูก็หลับตาลงปลุกปลอบตนเองไม่หยุด ก่อนจะพลันได้ยินเสียงครืดคราดจากประตูศิลาที่ถูกเปิดออกดังมาจากด้านหน้า
นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภายใต้แสงอ่อนๆ ของไข่มุกราตรี อิ่นจื่อจางยืนอยู่หน้าประตูถ้ำด้วยท่าทางสดชื่นกระปรี้กระเปร่า จูจูมองเขาตาค้าง ปากโพล่งคำพูดหนึ่งออกไปอย่างควบคุมไม่ได้ “ข้ากำลังรอท่านกินข้าว รอจนอาหารเย็นหมดแล้ว!”
เป้าฝ่าหู่และเผยกู่เพิ่งจะเอาหัวใจที่แขวนอยู่กลางอากาศมาทั้งวันกลับลงมาได้ พอได้ยินคำพูดนี้ของจูจูเข้าก็ต่างหัวเราะลั่นออกมาอย่างระงับไว้ไม่อยู่
ในใจอิ่นจื่อจางมีความอบอุ่นแผ่ขึ้น เขายื่นมือมาเขกศีรษะจูจูไปทีหนึ่งก่อนด่ายิ้มๆ “หมูโง่! รู้จักแต่กิน!”
เป้าฝ่าหู่เพ่งดูอิ่นจื่อจางแล้วก็พลันสูดหายใจเฮือกก่อนว่า “ระ…ระดับเก้า!? ขั้นฝึกปราณระดับเก้า!?”
“อะไรนะ!” เผยกู่กระโดดผลุงขึ้นมาก่อนปราดไปหยุดหน้าอิ่นจื่อจางอย่างไม่อยากจะเชื่อ หลังมองซ้ายแลขวาแล้วก็พูดขึ้นเสียงสั่น “จะ…จะ…เจ้าทำได้อย่างไร! บ้าเกินไปแล้ว! เพียงเดือนเดียวก็กระโดดจากระดับเจ็ดไปถึงระดับเก้า! เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่!”
อิ่นจื่อจางไม่ได้ตอบคำ ดึงตัวจูจูเดินไปยังโต๊ะกินข้าวที่โถงใหญ่
อาหารหาได้เย็นจริงๆ ไม่ จูจูขอให้เผยกู่ใช้คาถาเล็กๆ ทำให้บนผิวโต๊ะแผ่ความร้อนเสมอ ยามนี้พวกมันจึงยังคงสดใหม่น่ากินดังเช่นยามเพิ่งยกขึ้นโต๊ะ
พวกเป้าฝ่าหู่ยังมีทีท่าจะซักถามอีก แต่ครั้นเห็นอิ่นจื่อจางเริ่มลงมือกินโดยไม่เกรงใจสักนิดแล้ว อีกทั้งยังเจาะจงเลือกส่วนของดีไปด้วย พวกเขาก็ไม่มีเวลาให้สนใจอย่างอื่นอีก รีบกินก่อนค่อยว่ากัน
ฟ้ามืดแล้ว แต่อิ่นจื่อจางกับจูจูก็ไม่ได้รีบไปรายงานตัวที่ยอดเขาอิ้งปั้ง คนทั้งหลายนั่งล้อมวงซักอิ่นจื่อจางถึงสิ่งที่ได้ประสบในสามวันนี้
อิ่นจื่อจางเพียงบอกแต่ว่าตนเองบังเอิญได้ยาลูกกลอนมาเม็ดหนึ่ง พลังในนั้นมีเปี่ยมล้นเป็นที่สุด หลังเขากินเข้าไปก็ทะลวงถึงขั้นฝึกปราณระดับแปดได้ในครั้งเดียวโดยที่ฤทธิ์ของยากลับลดลงเพียงเล็กน้อย เขาเลยทะลวงถึงระดับเก้าไปพร้อมกัน
ความยากลำบากและอันตรายต่างๆ ในระหว่างนั้นรวมถึงความทรมานถึงขีดสุดที่ร่างกายต้องทนรับ อิ่นจื่อจางไม่พูดถึงแม้แต่คำเดียว ทว่าผู้ที่เคยผ่านมาก่อนอย่างเป้าฝ่าหู่และเผยกู่ย่อมจะทราบ
โดยเฉพาะเป้าฝ่าหู่ พอเขาได้ยินอิ่นจื่อจางเล่าเพียงผ่านๆ ก็ใจลอยไปครู่หนึ่งก่อนว่า “ข้ารู้ว่าเวลากระชั้นชิด แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าการหักโหมเช่นนี้อันตรายกับเจ้ามากเพียงไร ต่อให้สำเร็จระดับเก้าก็จะทำลายรากฐานของเจ้า เจ้าคิดว่าข้าผู้ฝึกตนขั้นสร้างฐานช่วงปลายที่อายุยังไม่ถึงหกสิบเหตุใดจึงมานั่งทรมานตนเองอยู่หุบเขาหยวนสื่ออย่างไม่รู้จักใฝ่หาความก้าวหน้าเช่นนี้”
ในสำนักเซิ่งจื้อขอเพียงเป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างฐานที่มีอนาคตล้วนจะถูกยอดเขาต่างๆ แย่งตัวกัน ส่วนมากจะอยู่ฝึกตนกันในที่ที่มีปราณศักดิ์สิทธิ์เข้มข้นตามยอดเขาหลัก หรือไม่ก็ได้รับหน้าที่สำคัญในสำนัก หุบเขาหยวนสื่อแห่งนี้อยู่ในแถบรอบนอก ปราณศักดิ์สิทธิ์บางเบา ผลตอบแทนจากตำแหน่งผู้ดูแลก็น้อย มีแต่ผู้ฝึกตนช่วงต้นของขั้นสร้างฐานที่ไปไม่รอดในสำนักรวมถึงผู้ฝึกตนที่แก่ชราจนไม่มีหวังจะสำเร็จขั้นหลอมรวมถึงจะเลือกมาอยู่ที่นี่
ผู้ฝึกตนทั่วไปอายุสี่ห้าสิบสามารถสำเร็จขั้นสร้างฐานได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว อายุหกสิบสามารถบรรลุถึงขั้นสร้างฐานช่วงปลายได้ยิ่งถือเป็นบุคคลระดับอัจฉริยะ ไม่มีเหตุผลให้ต้อง ‘เอาวัยหนุ่มสาวมาทิ้ง’ ที่หุบเขาหยวนสื่อโดยสิ้นเชิง
“ในปีที่ข้าอายุสี่สิบสามก็อยู่ช่วงปลายของขั้นสร้างฐานแล้ว ก็เหมือนเจ้านี่ล่ะ รีบร้อนมุ่งหวังแต่ผลสำเร็จ อาศัยยาลูกกลอนฝืนเร่งตบะ หวังจะสำเร็จขั้นหลอมรวมในเร็ววันจะได้ระบายแค้นแทนอาจารย์ ผลคือกลับทำเสียเรื่อง เสียหายไปถึงรากฐาน ฝืนอัดพลังขึ้นไปอยู่ระดับสมบูรณ์ของขั้นสร้างฐานได้ไม่ถึงครึ่งปีก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม อีกทั้งจวบจนวันนี้ก็เกือบจะยี่สิบปีแล้ว ไม่ว่าฝึกตบะอย่างไรก็ไม่คืบหน้าอีกเลยแม้แต่นิดเดียว” เป้าฝ่าหู่เอ่ยถึงเรื่องในอดีตขึ้นมา สีหน้าก็หมองลง
เขาเองก็เคยเป็นศิษย์เด่นล้ำผู้มีพรสวรรค์ที่ได้รับความสำคัญจากสำนักอย่างมาก แต่กลับเป็นเพราะความรีบร้อนอยากพัฒนาก้าวกระโดดเพียงชั่วครู่ชั่วคราว ผลลัพธ์ทำให้ไม่เพียงตบะได้รับความเสียหาย ยังถูกเยาะเย้ยถากถางต่างๆ นานา เขาไม่อยากเห็นอิ่นจื่อจางเดินตามรอยเขาเลยจริงๆ
อิ่นจื่อจางรู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาดี จึงกล่าวอย่างจริงจัง “ขอบคุณศิษย์พี่ที่ช่วยเตือน หนึ่งปีหลังจากนี้ข้าจะฝึกตนด้วยความระมัดระวัง ไม่รีบร้อนมุ่งหวังแต่ผลสำเร็จอีก จะสร้างเสริมรากฐานให้มั่นคงก่อนค่อยคิดเรื่องขั้นสร้างฐาน”
เผยกู่ขยับเข้ามาใกล้ก่อนว่า “ศิษย์น้องเป้าเจ้าเองก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มใจต่อเรื่องในอดีตอีก เจ้ากินหญ้าวิเศษสัตว์วิเศษบำรุงร่างกายอีกไม่กี่เดือนก็จะกลับมาดีดังเดิม ส่วนเรื่องของศิษย์น้องอิ่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง มีจูจูอยู่ อย่างมากครึ่งปีก็กลายเป็นศิษย์เด่นล้ำอันดับหนึ่งแล้ว จะกลัวอะไร!”
เป้าฝ่าหู่มองจูจูที่นั่งสัปหงกตัวเอียงอยู่ข้างอิ่นจื่อจางแวบหนึ่ง ในใจอดอิจฉาในโชคของเด็กหนุ่มไม่ได้
อาหารจากหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษที่จูจูทำถึงขนาดเป็นของล้ำค่าที่ช่วยชีวิตคนที่รากฐานเสียหายและไม่อาจรองรับฤทธิ์ของยาลูกกลอนได้เหมือนเช่นเขาเลยทีเดียว ต่อให้อิ่นจื่อจางไม่ได้เจ็บได้ป่วย กินอาหารที่เลิศรสทั้งยังมีฤทธิ์ช่วยบำรุงรักษาร่างกายอย่างน่าทึ่งเช่นนี้เข้าไปทุกวัน นานเข้าร่างกายไม่เพียงจะแข็งแรงกว่าผู้ฝึกยุทธ์ แต่ระดับการดูดซับปราณศักดิ์สิทธิ์ยังมากกว่าคนอื่นอีกหลายเท่าด้วย
นอกจากนี้ดูตามวิธีการเตรียมและลงมือทำ อาหารของจูจูแทบไม่มีสิ่งสกปรกปนเปื้อนหลงเหลือเลย ซ้ำเมื่อกินลงไปแล้วยังจะช่วยขจัดพิษในร่างกาย วันหน้าตบะมีแต่จะเลื่อนขั้นขึ้น ความเร็วและความสำเร็จยามเปลี่ยนเส้นเอ็นล้างไขกระดูกย่อมจะมากขึ้นมหาศาลและมีโอกาสสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย
หวังแต่เพียงว่าอิ่นจื่อจางจะรู้จักทะนุถนอมแม่นางน้อยผู้นี้แล้ว
ราตรีผ่านไปอย่างปกติ วันรุ่งขึ้นอิ่นจื่อจางก็ทำตามคำแนะนำของจูจู ใส่ประคำเหรียญทองแดงเส้นที่เป้าฝ่าหู่ให้มาเพื่อปิดบังตบะสองระดับที่เพิ่มพรวดขึ้น จากนั้นเผยกู่ก็พาพวกเขาไปส่งที่ยอดเขาฮุ่ยหลี่ว์เพื่อรับป้ายประจำตัวอันใหม่
เผยกู่ส่งพวกเขาไว้นอกโถงพิธีการที่ตีนยอดเขาฮุ่ยหลี่ว์เสร็จก็จากไปทันที
อิ่นจื่อจางและจูจูเดินเข้าไปภายในโถงพิธีการก็เห็นว่าศิษย์ใหม่ที่เข้าสำนักมาพร้อมกันอยู่กันเกือบครบ พวกเขาจัดแถวเป็นห้าแถวตามยอดเขาที่ตนสังกัด แลกเปลี่ยนป้ายประจำตัวเก่ากับป้ายใหม่รวมถึงสายรัดเอวที่มีตราสัญลักษณ์ของแต่ละยอดเขากันตามลำดับ
พวกหานเฮิงทั้งสามคนที่อยู่ร่วมเรือนเดียวกับอิ่นจื่อจางล้วนอยู่ในแถวของยอดเขาโอ่วหยวนอย่างที่คิดไว้ ซูหลิงเองก็เช่นกัน นางมองเห็นจูจูแต่ไกล ดวงตาจึงทอประกายดุร้ายออกมา ส่วนจิงจี๋เหรินที่ยืนอยู่กับทางยอดเขาเม่ยหย่วนก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้จูจู ด้านข้างเขาไม่ไกลยังมีเยวี่ยหลิงเอ๋อร์ที่จูจูรู้จักอยู่ด้วย
สองพี่น้องเลี่ยวหย่งหลินและเลี่ยวหย่งฉีถูกแยกไปยอดเขาไท่จู๋ ส่วนหลินชิงปัวอยู่ในแถวของยอดเขากังปี่
อิ่นจื่อจางกับจูจูเพิ่งจะหยุดยืนนิ่งก็ได้ยินคนยิ้มเย็นพลางพูดมาจากหน้าประตูโถงพิธีการ “เจ้าคนแซ่อิ่นขวัญกล้าไม่เบา! พวกเรายังคิดว่าเจ้าจะหลบอยู่ในหุบเขาหยวนสื่อตลอดไปไม่กล้าออกมาสู้หน้าผู้คนเสียอีก!”
บนเอวของผู้ที่พูดผูกป้ายสีน้ำเงินเข้มซึ่งมีตราของยอดเขาโอ่วหยวนอยู่ สามคนเป็นศิษย์ชั้นนอกชุดเทาซึ่งมีตบะขั้นฝึกปราณระดับแปด อีกสองคนเป็นศิษย์ชั้นในชุดขาวที่ถึงกับมีตบะขั้นฝึกปราณระดับเก้า!
พอพวกเขาปรากฏตัว โถงพิธีการก็เงียบกริบทันที สายตาคนทั้งหมดล้วนรวมอยู่ที่พวกเขาและอิ่นจื่อจาง
เรื่องบุญคุณความแค้นของทั้งสองฝ่ายเหล่าศิษย์เข้าใหม่ส่วนใหญ่ล้วนได้ฟังกันหมดแล้ว หากแต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่าคนของยอดเขาโอ่วหยวนจะมาเยือนถึงประตูเร็วเพียงนี้
เลี่ยวหย่งฉีกวาดตามองจูจูอย่างเยียบเย็นปราดหนึ่ง นึกในใจว่า…นึกเสียใจภายหลังแล้วกระมัง! ทว่าสายไปแล้ว! เสียดายก็แต่อิ่นจื่อจางที่เอาแต่ดื้อรั้นไม่ยอมสำนึกผิด ต้องมาถูกเจ้าลากลงสู่เคราะห์ร้ายไปด้วย
ศิษย์ใหม่จำนวนมากเห็นคนจากยอดเขาโอ่วหยวนฮึกห้าวเลือดร้อนเช่นนี้ก็กลัวอยู่บ้าง แต่ละคนปิดปากเงียบกริบด้วยเกรงว่าภัยจะมาถึงตัว จิงจี๋เหรินอ้าปากคิดจะพูดกลับถูกศิษย์พี่ผู้หนึ่งที่ยอดเขาเม่ยหย่วนส่งมารับศิษย์ใหม่ฉุดเอาไว้ ไม่ให้เขาเข้าไปสอด
“ไม่เสียแรงที่มีหน้าที่เฝ้าประตู พอเห็นคนก็เห่า” อิ่นจื่อจางปรายตามองคนเหล่านั้นปราดหนึ่งอย่างเฉยชา แววดูถูกเหยียดหยามนั้นแม้แต่คนตาบอดก็ยังมองเห็นได้
ศิษย์ของยอดเขาโอ่วหยวนห้าคนนั้นจะทนถูกศิษย์ใหม่คนหนึ่งฉีกหน้าได้อย่างไร จึงก้าวมาตะคอกด้วยสีหน้าถมึงทึง “เจ้าหน้าเหม็น เจ้ากล้าด่าพวกข้า!?”
จูจูอธิบายขึ้นอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ยิ่งว่า “ไม่ใช่เสียหน่อย ศิษย์พี่ของข้าด่าสุนัขชัดๆ”
ศิษย์ชุดเทาคนหนึ่งของยอดเขาโอ่วหยวนโมโหหนัก ยกมือสะบัดไปยังหน้าของจูจูพลางตะคอกว่า “นางเด็กอัปลักษณ์ ใครให้เจ้าพูดมาก!”
ฝ่ามือตวัดออกไปกลางอากาศกลับพลันถูกคนบีบเอาไว้ ศิษย์ผู้นั้นรู้สึกเพียงว่าสิ่งที่จับเขาอยู่ไม่ใช่แค่มือข้างหนึ่ง แต่เป็นคีมเหล็กที่มีเข็มน้ำแข็งขึ้นอยู่เต็มอันหนึ่ง ความหนาวเย็นเสียดกระดูกกลุ่มหนึ่งแทรกซึมเข้ามาพร้อมกับความเจ็บปวดสุดขั้วหัวใจ ทำให้เขาต้องปล่อยเสียงกรีดร้องออกมาด้วยทนไม่ไหว
ผู้ที่จับเขาไว้ย่อมจะเป็นอิ่นจื่อจาง ทั้งห้าคนจากยอดเขาโอ่วหยวนที่มาในวันนี้ดูไปแล้วมีตบะสูงกว่าอิ่นจื่อจางทั้งนั้น จึงคิดว่าเพียงพอจะเอามาดเอาพลังข่มอีกฝ่ายได้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่ใส่ใจสักนิด เพราะความชะล่าใจก็มีคนหนึ่งพลาดท่าเสียแล้ว
“หยุดมือ!” ศิษย์ชุดขาวคนหนึ่งเดินแหวกผู้คนออกมา เหล่าศิษย์ของยอดเขาโอ่วหยวนที่หน้าประตูจำได้ทันทีว่าคนผู้นี้ก็คือเฉิงขุยเปิ่นผู้มีหน้าที่รับศิษย์ใหม่ของยอดเขาอิ้งปั้งในวันนี้
อิ่นจื่อจางสะบัดทีหนึ่ง ปล่อยแขนศิษย์ชุดเทาผู้นั้นออก คนผู้นั้นก็กอดแขนด้วยสีหน้าที่เดี๋ยวดำเดี๋ยวแดง แววตาที่มองอิ่นจื่อจางแทบอยากจะกลืนเขาลงไปทั้งเป็น
คนของยอดเขาโอ่วหยวนที่เหลือโทษว่าเขาประมาทศัตรูทำให้ขายหน้า สีหน้าล้วนไม่น่ามองยิ่งยวด
เฉิงขุยเปิ่นอยู่ที่ยอดเขาอิ้งปั้งมาหลายปีถึงสามารถกราบเข้าเป็นศิษย์ของเจิ้งเฉวียนได้ อีกทั้งก่อนหน้านี้คิดจะใส่ไคล้จูจูก็ถูกเจิ้งเฉวียนตำหนิต่อหน้า ในใจจึงริษยาชิงชังจูจูเหลือประมาณ จนพาลเกลียดอิ่นจื่อจางที่ร่วมทางมากับนางไปด้วย หากแต่ด้วยสถานการณ์นี้ถ้าเขาไม่ออกปากปกป้องศิษย์ของยอดเขาตนเอง กลับไปก็ยากจะชี้แจงต่อเบื้องบนแล้ว
เดิมทีเขาคิดจะรอให้อิ่นจื่อจางและจูจูได้รับความเสียหายสักหน่อยค่อยออกมาห้าม แต่ผลกลับเป็นคนของยอดเขาโอ่วหยวนชะล่าใจจนพลาดท่าเสียก่อน
เขาลอบด่าคนของยอดเขาโอ่วหยวนในใจว่าไม่ได้เรื่อง แต่ยังคงทำสีหน้าคร่ำเคร่งเดินมาหยุดเบื้องหน้าพวกเขา “ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายให้เกียรติมาเยือนด้วยเรื่องใดหรือ”
ตัวเฉิงขุยเปิ่นมีตบะขั้นฝึกปราณระดับเก้า อีกทั้งยังเป็นนักหลอมโอสถขั้นหนึ่ง คนทั้งห้าจากยอดเขาโอ่วหยวนไม่กล้าล่วงเกินเขาเสียเท่าไร จึงแสร้งหัวเราะเล็กน้อยก่อนว่า “ได้ยินว่าปรมาจารย์โหยวและอาจารย์ลุงเจิ้งแห่งยอดเขาพวกท่านรับศิษย์เอกที่น่าภาคภูมิมาสองท่าน พวกข้าศิษย์พี่ศิษย์น้องห้าคนจึงรุดมาเปิดหูเปิดตาโดยเฉพาะ ใคร่อยากจะขอให้ศิษย์น้องอิ่นจื่อจางผู้มีพรสวรรค์ล้ำเกินผู้คนท่านนั้นมาแลกเปลี่ยนความรู้กันที่ลานฝึกยุทธ์สักครา ศิษย์พี่เฉิงมีงานล้นมือ ไม่ต้องสนใจเรื่องเล็กพรรค์นี้หรอกขอรับ”
เฉิงขุยเปิ่นได้ยินเขาจงใจเอ่ยถึงเรื่องที่เจิ้งเฉวียนรับศิษย์เอก ในใจก็เดือดดาล จึงพูดอย่างเย็นเยียบ “ในเมื่อเป็นเรื่องส่วนตัว พวกเจ้าก็เชิญตามสบาย ที่นี่คือยอดเขาฮุ่ยหลี่ว์อันเป็นที่ตั้งถ้ำที่พำนักของเจ้าสำนัก อย่าทำสิ่งใดที่จะรบกวนการบำเพ็ญเซียนของเจ้าสำนักรวมถึงผู้อาวุโสทุกท่านด้วยเรื่องเล็กพรรค์นี้”
ความหมายในวาจาคือ…‘พวกเจ้าจะมีเรื่องกับพวกอิ่นจื่อจางก็มีไป ข้าไม่สน แต่การก่อเรื่องที่นี่อาจส่งผลร้ายแรง พวกเจ้าไปสะสางบุญคุณความแค้นกันที่อื่นจะดีกว่า’
เฉิงขุยเปิ่นพูดจบก็ไม่สนใจพวกเขาอีก เดินไปหยิบป้ายประจำตัวอันใหม่และสายรัดเอวแจกให้เหล่าคนของยอดเขาอิ้งปั้งต่อ
ทางด้านยอดเขาอิ้งปั้งมีจำนวนศิษย์ใหม่น้อยที่สุด ยอดเขาอื่นดูคร่าวๆ ล้วนมีราวสามสิบคน มีเพียงยอดเขาอิ้งปั้งที่รวมจูจูกับอิ่นจื่อจางที่มาสายเข้าไปแล้วยังมีไม่ถึงสิบคน ความเข้มงวดของเกณฑ์การรับศิษย์นั้นแค่เห็นส่วนเดียวก็พอจะอนุมานถึงทั้งหมดได้แล้ว
ศิษย์ของยอดเขาอิ้งปั้งที่เหลือมองประเมินอิ่นจื่อจางอย่างทั้งประหม่าทั้งเห็นใจ ทว่าเมื่อมองดูท่าทีวางตัวเป็นคนนอกของเฉิงขุยเปิ่นแล้ว ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
คนทั้งห้าจากยอดเขาโอ่วหยวนเห็นเฉิงขุยเปิ่นไม่มีท่าทีจะสอดมือเข้าปกป้องก็นึกยินดีในใจ ใช่ว่าพวกเขาสู้เฉิงขุยเปิ่นไม่ได้ หากแต่ฐานะนักหลอมโอสถขั้นหนึ่งของอีกฝ่ายทำให้พวกเขาไม่อยากไปมีเรื่องด้วย ยิ่งเขาเป็นหนึ่งในผู้ดูแลโรงโอสถด้วยแล้ว ถ้าเขาตั้งใจจะปกป้องอิ่นจื่อจาง พวกเขาก็ทำอะไรได้ยาก
ศิษย์ชั้นในชุดขาวผู้เป็นหัวหน้าของทั้งห้าคนประสานมือกล่าวกับเฉิงขุยเปิ่นอย่างเกรงอกเกรงใจ “ขอบคุณศิษย์พี่เฉิงที่ช่วยเตือน” จากนั้นก็หันไปยิ้มเย็นก่อนพูดกับอิ่นจื่อจาง “ข้าคือปู่เย่าเหลียนศิษย์ชั้นในของยอดเขาโอ่วหยวน วันนี้จะมาท้าสู้กับเจ้า ขอเพียงเจ้าชนะสามคนในพวกเราห้าคนได้ พวกเราก็จะไม่ถือโทษเรื่องที่เจ้าล่วงเกินศิษย์น้องซูหลิงอีก แต่หากเจ้าแพ้เจ้าต้องไปโขกศีรษะขออภัยศิษย์น้องซูหลิง เจ้ากล้ารับคำท้าหรือไม่!”
หานหยวนผู้เป็นศิษย์เอกของซูจิงและเป็นศิษย์พี่ของเขาเคยแอบยุให้ศิษย์ขั้นฝึกปราณหลายคนไปหาเรื่องอิ่นจื่อจางที่หุบเขาหยวนสื่อ ผลคือพ่ายแพ้ไม่เป็นท่ากลับมา ความฮึกเหิมที่จะสู้กับอิ่นจื่อจางในใจของพวกเขาก็พลอยหวาดหวั่นสั่นคลอนไปด้วย ดังนั้นผู้ที่มาคราวนี้ไม่เพียงมีตบะสูงกว่าอิ่นจื่อจาง แต่ยังเน้นย้ำว่าต้องชนะพวกเขาให้ได้สามในห้าคนด้วย นี่เท่ากับวางอีกฝ่ายให้ขึ้นมาสู้ในตำแหน่งระดับเดียวกับตนเองแล้ว
กฎของสำนักตราไว้ชัดเจนว่ามีเพียงศิษย์ขั้นเดียวกันจึงจะท้าสู้กันได้ พวกเขาที่อยู่ตรงนี้ก็มีสองคนอยู่ขั้นฝึกปราณระดับเก้าแล้ว ถ้ายังแพ้อีก ไปหาคนอื่นมาท้าสู้ไปก็ไร้ความหมาย
จิงจี๋เหรินทนไม่ไหวแล้ว เขาดิ้นหลุดจากการรั้งตัวไว้ของศิษย์พี่มาพูดขึ้นเสียงดัง “หน้าไม่อาย* สมชื่อจริงๆ คนที่อยู่ขั้นฝึกปราณระดับแปดระดับเก้ามาท้าประลองกับศิษย์ใหม่ที่อยู่ระดับเจ็ดผู้หนึ่ง ซ้ำยังต้องชนะถึงสามครั้งอีก!”
ปู่เย่าเหลียนเกลียดการที่ผู้อื่นนำชื่อของเขามาล้อที่สุด ยิ่งบวกกับเรื่องนี้ทางตนเองก็ทำได้ชวนขายหน้าจริงๆ จึงหันหน้าไปถลึงตาใส่จิงจี๋เหรินด้วยความเจ็บใจ ก่อนพูดด้วยหน้าตาถมึงทึง “เจ้าไม่พอใจก็มาช่วยเขาสู้ได้”
อิ่นจื่อจางตัดบทขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “เวียนกันสู้เสียเวลาเกินไป พวกเจ้าห้าคนเข้ามาพร้อมกันเลย ข้าคนเดียวก็พอแล้ว”
ครั้นเขากล่าวคำพูดนี้ออกมา บริเวณนั้นก็เกิดเสียงเซ็งแซ่ แต่ละคนล้วนใช้แววตาเหมือนมองคนบ้ามองเขา…ห้าคนตรงหน้านี้มีตบะสูงกว่าเขาทั้งสิ้น เขาตาบอดไปแล้วหรือไร หรือคิดว่าตนเองมีพรสวรรค์สูงส่งเลยไม่กลัวอะไรจริงๆ นี่เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ! เอาชนะหนึ่งในห้าคนนั้นได้ก็เกินขีดความสามารถแล้ว แต่นี่ถึงกับกล้าออกปากให้คนเขาเข้ามาพร้อมกันหมดทั้งห้าคนเชียว!
ปู่เย่าเหลียนยิ้มออกมาด้วยความโมโหจัด กล่าวว่า “ดี! ดี! ไหนๆ ก็อยู่กันครบแล้ว วันนี้พวกเราก็ไปลานฝึกยุทธ์ จะได้ดูฝีมือที่แท้จริงกันหน่อย!”
* ศิลาหมาสือ หมายถึงหินแกรนิตชนิดหนึ่ง
* จุดตันเถียน คือชื่อเรียกตำแหน่งชีพจรบริเวณท้องใต้สะดือลงไปประมาณ 3 นิ้ว
** ฆ่าไก่ด้วยมีดเชือดวัว หมายถึงลงทุนลงแรงมากเกินไปเพื่อทำเรื่องเล็กน้อย คล้ายสำนวนขี่ช้างจับตั๊กแตน
* ยามจื่อ คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 01.00 น.
* หน้าไม่อาย ในภาษาจีนพูดว่าปู๋เย่าเหลี่ยน (不要脸) ซึ่งออกเสียงคล้ายกับชื่อของปู่เย่าเหลียน (卜耀廉)
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.