X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่านนิยาย เงาเพลิงสะท้านปฐพี เล่ม 1 บทที่ 5

บทที่ 5

 

ลานฝึกยุทธ์อยู่ที่ใต้ยอดเขาฮุ่ยหลี่ว์นี้เอง ห่างจากโถงรับแขกไปไม่ถึงร้อยจั้ง อิ่นจื่อจางและพวกปู่เย่าเหลียนเข้าประจำตำแหน่งได้ไม่นานด้านล่างเวทีก็มีศิษย์จากแต่ละยอดเขาที่ได้ข่าวแล้วเร่งรุดมาดูยืนกันเต็ม
ผู้ที่รับผิดชอบดูแลลานฝึกยุทธ์พร้อมทั้งรับหน้าที่เป็นผู้ตัดสินคือศิษย์ชั้นในขั้นสร้างฐานผู้มีคุณสมบัติและอายุค่อนข้างมากสองคนซึ่งถูกกำหนดโดยตรงจากเจ้าสำนัก
ในลานฝึกยุทธ์ติดตั้งข่ายอาคมไว้มากมายและซับซ้อน เพื่อป้องกันไม่ให้ยามที่ศิษย์ทำการประลองไม่รู้จักยับยั้งตนเองจนทำให้มีคนเสียชีวิต พอสถานการณ์เริ่มไม่ถูกต้องขอเพียงขยับลูกแก้ววิเศษในข่ายอาคม ผู้ที่ประลองอยู่ในลานก็จะถูกดีดออกมาในพริบตา เป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้รับพลังของฝ่ายตรงข้ามจนบาดเจ็บ
ผู้ตัดสินหนึ่งในนั้นเดินมากลางลาน มองดูจำนวนคนและกำลังความสามารถที่แตกต่างอย่างมากของสองฝ่ายแล้วก็ขมวดคิ้วถามอิ่นจื่อจางว่า “เจ้าจะรับคำท้าของพวกเขาทั้งห้าคนจริงๆ หรือ จะคึกคะนองก็ต้องมีขอบเขต ลานฝึกยุทธ์มีไว้เพื่อให้ศิษย์แลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน รวมทั้งเพิ่มพูนตบะและประสบการณ์ในการต่อสู้จริง มิใช่มีเพื่อส่งเสริมให้หาเรื่องแก้แค้นเป็นการส่วนตัว อาศัยความแข็งแกร่งข่มเหงผู้อ่อนแอ!”
คำพูดท้ายๆ ชัดเจนว่าตำหนิการกระทำของคนจากยอดเขาโอ่วหยวน
ปู่เย่าเหลียนเพียงแต่หัวเราะเสียงเย็นโดยไม่พูดอะไร ด้านอิ่นจื่อจางก็ยิ่งนิ่งเงียบ
ผู้ตัดสินส่ายหน้า ยังคงถามอิ่นจื่อจางว่า “ในการประลองจะใช้วัตถุธรรมของวิเศษใดหรือไม่” ศิษย์เอกของปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่น่าจะมีวัตถุธรรมหรือแม้กระทั่งวัตถุวิเศษที่ร้ายกาจอยู่ในมือ มิเช่นนั้นคงไม่อวดดีเช่นนี้
อิ่นจื่อจางยกมือชี้ไปยังทั้งห้าคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนว่า “ให้พวกเขาตัดสินใจก็แล้วกัน พอแพ้แล้วพวกเขาจะได้ไม่มีข้ออ้างให้ยกมาพูดมากอีก”
ผู้ตัดสินรวมถึงผู้ชมทั้งหลายหมดคำพูดแล้ว อะไรเรียกว่าบ้าคลั่งจนฉุดไม่อยู่ นี่อย่างไรเล่า!
คนไม่น้อยลอบส่ายหน้าถอนหายใจกับตนเอง ศิษย์ที่ปรมาจารย์โหยวเชียนเริ่นรับไว้ผู้นี้มีคุณสมบัติดีก็จริง แต่นิสัยเช่นนี้ทำให้คนสรรเสริญไม่ลงโดยแท้
ถูกคนหยามถึงขั้นนี้ ปู่เย่าเหลียนจะยังมีหน้าบอกว่าพวกตนจะใช้วัตถุธรรมได้อย่างไร อีกอย่างเขาก็สงสัยว่าในตัวอิ่นจื่อจางจะมี ‘อาวุธลับ’ อะไรอยู่ ดังนั้นจึงกัดฟันปลดถุงเก็บของบนตัวลงมาโยนใส่มือของผู้ตัดสิน ก่อนหักใจพูดว่า “แค่จัดการคนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอย่างเจ้า ข้ายังต้องใช้วัตถุธรรมด้วยหรือ!” อีกสี่คนที่เหลือก็พากันทำตาม
ผู้ตัดสินทั้งสองสบตากัน ช่างเถอะ อย่างไรก็โน้มน้าวตักเตือนไปแล้ว ผู้อื่นไม่รับน้ำใจ พวกเขาก็หมดปัญญา
เสียงระฆังดังขึ้น ผู้ตัดสินตะโกนขึ้นมาจากล่างเวที “เริ่มได้!”
จูจูที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดติดเวทีกำแขนเสื้อแน่นอย่างเงียบๆ ล่างเวทีมีคนมากมายเพียงนี้ แต่เกรงว่าจะมีเพียงนางผู้เดียวที่เชื่อมั่นอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ว่าอิ่นจื่อจางจะชนะ
นางเคยเห็นวิธีการฝึกตนของอิ่นจื่อจางมากับตาตนเอง ใช้คำว่าทารุณมาพรรณนายังไม่ถือว่ามากไป โดยเฉพาะหนึ่งเดือนหลังนี้มีเป้าฝ่าหู่และเผยกู่คอยช่วยฝึก เขาก็แทบจะนั่งสมาธิฝึกปราณไปครึ่งวัน ส่วนอีกครึ่งวันก็ประมือฝึกวิชาการต่อสู้กับคนทั้งสอง ถึงขนาดไม่เคยล้มตัวลงนอนสักตื่น เวลาผ่อนคลายเดียวที่มีก็แค่ยามกินข้าว
เป้าฝ่าหู่เคยบอกแล้วว่าอิ่นจื่อจางมีสติปัญญาในการวิเคราะห์และเข้าใจต่อคาถาอาคมโจมตีสูงจนน่าตกใจ ความสามารถในการต่อสู้จริงก็เลยผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันไปไกล เป็นพวกบ้าการต่อสู้โดยกำเนิด วิธีการฝึกตนที่ดีที่สุดก็คือปล่อยให้รู้แจ้งถึงวิธีทะลวงฝ่าด้วยตนเองจากการต่อสู้
ทั้งห้าคนจากยอดเขาโอ่วหยวนตั้งท่าโจมตีอย่างดุเดือดรุนแรงแล้ว ศิษย์ชั้นนอกขั้นฝึกปราณระดับแปดหนึ่งซ้ายหนึ่งขวาทั้งสองคนท่องคาถาออกมา สายฟ้าขนาดราวท่อนแขนสายหนึ่งผ่าลงใส่อิ่นจื่อจาง ลูกไฟขนาดใหญ่อีกสองลูกพุ่งตรงเข้าหากลางลำตัวและช่วงล่างของอิ่นจื่อจางพร้อมกับเสียงแตกปะทุ ด้านบน ตรงกลาง ด้านล่างทั้งสามทางถูกโจมตีพร้อมกัน
ศิษย์ชั้นนอกอีกคนสองมือเรียกริ้วพลังสีเขียวเข้มขึ้นมาก่อนควบรัดรวมกันเป็นเถาวัลย์เขียวหลายเส้น ตรงเข้าพันรัดเท้าของอิ่นจื่อจางไว้
ส่วนศิษย์ที่อยู่ขั้นฝึกปราณระดับเก้าอีกสองคนก็ช่วยคนที่เหลือโดยการอ้อมไปสกัดทางถอยของอิ่นจื่อจางอยู่ทางด้านหลัง ในขณะเดียวกันก็ร่ายอาคมด้วยพลังอันชวนตกตะลึง!
ศิษย์ที่ด้านล่างเวทีพากันตกอกตกใจไม่หยุด จินตนาการว่าถ้าตนไปยืนอยู่ในที่ของอิ่นจื่อจาง เกรงว่าคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้ตัดสินทั้งสองเองก็วางมือไว้บนลูกแก้วควบคุมข่ายอาคม เตรียมตัวขยับมันเพื่อแยกสองฝ่ายไม่ให้สู้กันจนถึงชีวิตได้ทุกเวลา
ทว่าอิ่นจื่อจางที่เผชิญหน้ากับการโจมตีขนาบทั้งหน้าหลังกลับทำเรื่องเหนือความคาดหมายของผู้คน
เขาผลุบตัวถอยหลบมาด้วยความเร็วเหนือกว่าคู่ต่อสู้ทุกคน ก่อนกระแทกเข้ากับปู่เย่าเหลียนที่ตั้งหลักมั่นร่ายอาคมป้องกันอยู่ทางด้านหลังอย่างรุนแรง ศิษย์ที่เฝ้าระวังอยู่ทางด้านหลังอีกคนยังไม่ทันได้ตอบสนองก็รู้สึกว่าหลังศีรษะเย็นวาบ ด้วยอารามตกใจจึงพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่คิด ผลคือปะทะกับศิษย์ร่วมสำนักอีกสามคนที่โจมตีมาจากด้านหน้าเต็มๆ
ทั้งสี่ต่างมือไม้พันกันเป็นระวิง ที่ป้องกันก็ป้องกัน ที่เก็บกระบวนท่าโจมตีกลับก็เก็บ ทันใดนั้นอีกด้านก็พลันมีเสียงร้องของปู่เย่าเหลียนดังมา ตามมาด้วยเสียงโครมดังสนั่น พวกเขารีบหันหน้าไปมองก็เห็นปู่เย่าเหลียนล้มอยู่ล่างเวทีแล้ว เขามีเลือดออกจมูก ใบหน้าซีดเผือด เสื้อผ้าผมเผ้ามีน้ำแข็งเกาะเป็นชั้นบาง
คนจากยอดเขาโอ่วหยวนเหล่านี้ล้วนคิดว่าอิ่นจื่อจางมีตบะอ่อนด้อยกว่าพวกตน ย่อมต้องเลี่ยงผู้แข็งแกร่งที่อยู่ขั้นฝึกปราณระดับเก้าทั้งสองแล้วหันไปเลือกโจมตีศิษย์ระดับแปดที่มีพลังอ่อนกว่าทั้งสามคนแทน คิดไม่ถึงว่าเริ่มต้นมาเขาก็มุ่งเป้าโจมตีไปยังปู่เย่าเหลียนซึ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของฝ่ายศัตรูอย่างบ้าระห่ำ มิหนำซ้ำความเร็วและพละกำลังยังเหนือกว่าที่พวกเขาคิดไว้อีกด้วย
เขาสร้างโล่น้ำแข็งเป็นชั้นหนาขึ้นเบื้องหน้าภายในเวลาที่สั้นยิ่ง จากนั้นก็ใช้ร่างตนเองระเบิดพลังกระแทกปู่เย่าเหลียนที่ไม่ทันป้องกันตกเวทีไป ปู่เย่าเหลียนที่ในสายตาของทุกคนเห็นว่ามีตบะสูงกว่าเขาสองระดับถูกเขากระแทกทีเดียวก็บาดเจ็บหนักจนลุกไม่ขึ้น!
คนทั้งหมดล้วนข้องใจยิ่งนักว่าหรืออิ่นจื่อจางจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ทำไมการระเบิดพลังและความแข็งแกร่งของร่างกายถึงได้น่ากลัวปานนี้!
หากแต่ดูจากจุดที่เขาสร้างโล่น้ำแข็งขึ้นมาได้ในชั่วพริบตา เขาก็ควรจะเหมือนผู้บำเพ็ญเซียนทั่วไปที่ดูดซับปราณศักดิ์สิทธิ์เข้าร่างกายและฝึกฝนวิชาอาคมจึงจะถูก
ปู่เย่าเหลียนเรียกได้ว่าออกศึกมิทันคว้าชัย ตนก็ตายเสียก่อน สี่คนบนเวทียังไม่ทันได้สติ อิ่นจื่อจางก็มาปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขาราวกับภูตผีแล้ว แสงสีขาววาบขึ้นมา เข็มน้ำแข็งหลายร้อยเล่มพุ่งเข้าใส่ศิษย์ระดับเก้าอีกคนที่เหลืออยู่
เมื่อครู่อิ่นจื่อจางต้องแบ่งสมาธิไปจู่โจมบีบให้เขาถลันเข้าขอบเขตการโจมตีของอีกสามคน ยามนี้ตำแหน่งทิศทางที่ทั้งสี่ยืนอยู่กำลังสับสน เข็มน้ำแข็งพุ่งมาอย่างแฝงเล่ห์ ต่อให้คนผู้นี้หลบไปได้ก็ยังจะพุ่งถูกสหายร่วมสู้ของเขาอยู่ดี ด้วยอารามร้อนใจ เขาจึงสะกิดสองเท้าใช้วิชาตัวเบาเหินกายหนีขึ้นด้านบน ไม่สนว่าคนด้านหลังจะหลบเข็มน้ำแข็งของอิ่นจื่อจางได้หรือไม่
เพียงแต่เข็มน้ำแข็งเหล่านั้นเร็วเกินไป ขาของเขาจึงถูกแทงไปหลายเข็มอย่างมิอาจเลี่ยงได้ ที่น่าแปลกคือไม่ได้เจ็บเสียเท่าไร แต่ยังไม่ทันดีใจก็ได้ยินอิ่นจื่อจางตะโกนเสียงต่ำว่า “ระเบิด!” ความเจ็บปวดรวดร้าวปะทุขึ้นมาจากจุดที่ถูกเข็มแทง เข็มน้ำแข็งไม่กี่เล่มที่ไม่เป็นที่สะดุดตาระเบิดออกตามคำสั่ง ทำให้ปากแผลของเขาเหวอะหวะเละเทะไปหมด
ส่วนศิษย์ที่เดิมยืนอยู่หลังเขายิ่งมีสภาพอนาถเข้าไปใหญ่ ด้วยอารามสับสนลนลานจึงทันแค่ใช้เถาวัลย์ที่สร้างขึ้นจากพลังปัดเข็มน้ำแข็งออกไปได้เพียงเล็กน้อย ทว่าอีกกว่าค่อนที่เหลือกลับแทงลงบนตัวเขาแล้วระเบิดจนกลายเป็นมนุษย์โลหิตล้มลงพื้นลุกไม่ขึ้นทันที
ศิษย์อีกสองคน คนหนึ่งใช้วิชาสายฟ้าโจมตีมายังอิ่นจื่อจาง อีกคนใช้กำลังทั้งหมดเปลี่ยนลูกไฟเป็นมังกรยักษ์แยกเขี้ยวยิงฟันโจนทะยานเข้าหาอิ่นจื่อจาง
เผชิญหน้ากับการโจมตีสุดกำลังจากศิษย์ระดับแปดทั้งสอง คราวนี้อิ่นจื่อจางใจจดจ่อยิ่ง มือซ้ายสะบัดหมอกน้ำแข็งกลุ่มหนึ่งไปห่อหุ้มสายฟ้าเอาไว้และเหวี่ยงสะท้อนกลับไป มือขวาอัดรวมพลังเป็นดาบยาวสีน้ำเงินเข้มเล่มหนึ่ง กวัดแกว่งฟาดฟันมังกรไฟจนแตกออกเป็นสะเก็ดไฟนับไม่ถ้วน ครั้นสะเก็ดไฟสัมผัสถูกดาบยาวก็ส่งเสียงดังฉ่าๆ ออกมา ก่อนจะกลายเป็นควันสลายหายไปไร้ร่องรอย
ศิษย์ที่ปล่อยสายฟ้าผู้นั้นตาลีตาเหลือกประกบฝ่ามือ เสกมือใหญ่สีดำสนิทซึ่งมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบข้างหนึ่งออกมาหมายจะโจมตีทำลายหมอกน้ำแข็ง ครั้นพลังของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน เขาก็รู้สึกเพียงว่าพลังหนาวเหน็บที่เพียงพอจะทำให้ทุกสิ่งกลายเป็นน้ำแข็งได้โถมทะลักมา มือใหญ่สีดำที่เกิดจากการอัดรวมพลังข้างนั้นเหมือนดังกำแพงศิลาที่ถูกทุบด้วยค้อนเหล็กกล้า พังครืนลงในพริบตา พลังมหาศาลที่มิอาจต้านทานกระแทกเขาลอยออกไปตกล่างเวทีก่อนสลบไสลตามรอยปู่เย่าเหลียนทันที

ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ อิ่นจื่อจางก็เอาชนะได้ครบทุกคน!
ล่างเวทีมีคนนอนอยู่สองคน บนเวทีก็มีอีกสองคน คนสุดท้ายผู้สำแดงวิชาควบคุมไฟ หลังจากมังกรไฟถูกดับลงแล้ว เขาซึ่งสูญเสียพลังมากเกินไปก็ร่างกายโงนเงนทรุดลงกับพื้น พร้อมจะล้มลงได้ทุกเมื่อ
ทั้งลานเงียบจนเข็มตกพื้นยังได้ยิน คนทั้งหมดมองผลลัพธ์น่าอัศจรรย์ที่กลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิงจากความเข้าใจของพวกเขาด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด ลืมที่จะมีการตอบสนอง
ผ่านไปครู่ใหญ่ ไม่รู้ใครนำตะโกนโห่ร้องขึ้นมา จากนั้นทั้งลานก็พากันโห่ร้องตาม
เหล่าศิษย์ใหม่รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่มีผู้แข็งแกร่งที่องอาจกล้าหาญไร้เทียมทานอย่างอิ่นจื่อจางอยู่ร่วมรุ่นกับตนเอง ส่วนศิษย์เก่าจำนวนไม่น้อยก็ถูกการสำแดงพลังอันล้ำเลิศของอิ่นจื่อจางเอาชนะใจไปเช่นกัน เพียงแต่หลังจากตะโกนโห่ร้องกันเสร็จก็เกิดละอายใจขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผู้อื่นเพิ่งจะกราบเข้าสำนักได้เพียงเดือนเดียว ซ้ำอายุยังไม่ถึงยี่สิบก็มีตบะและกำลังความสามารถเช่นนี้แล้ว ตนเองเทียบเขาไปมีแต่จะโมโหตาย!
มิน่าเล่า ปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่ถึงได้ถูกใจเขา รับเขาเป็นศิษย์เอกโดยตรง
เหล่าศิษย์ของยอดเขาโอ่วหยวนที่อยู่ในที่นี้ด้วยเห็นพวกปู่เย่าเหลียนพ่ายแพ้ยับเยิน แต่ละคนก็หน้าเจื่อนสนิท ไม่กี่คนที่ปกติมีมิตรภาพอันดีกับพวกเขาตะลีตะลานพาพวกเขาไปรักษา เคราะห์ดีที่พวกเขาเหล่านี้เพียงดูมีสภาพน่าอเนจอนาถไปหน่อย อันที่จริงแค่บาดเจ็บผิวเนื้อหรือไม่ก็บาดเจ็บภายในเล็กน้อยเท่านั้น พักฟื้นสักระยะก็หายดีแล้ว
ศิษย์สองคนที่แม้จะได้รับบาดเจ็บแต่ยังได้สติดีอยู่ทั้งอับอายทั้งนึกเสียใจ จึงแสร้งทำเป็นสลบไปดื้อๆ
เดิมทีก็ยอมถูกคนประณามว่าอาศัยความแข็งแกร่งข่มเหงผู้อ่อนแอ อาศัยพวกมากรังแกพวกน้อย ด้วยคิดจะระบายความคับแค้นแทนซูจิงผู้อาวุโสผู้คุมยอดเขาที่ไม่สะดวกจะออกหน้า จะได้ทำให้ผู้อาวุโสต้องมองพวกเขาใหม่ แต่คิดไม่ถึงว่าระบายแค้นไม่สำเร็จ กลับปล่อยไก่ต่อหน้าธารกำนัลแทน บาดเจ็บขายหน้าก็ช่างเถอะ กลัวก็แต่กลับไปแล้วยังต้องเผชิญกับโทสะและการด่าว่าลงโทษจากผู้อาวุโสรวมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีก ขโมยไก่ไม่ได้ซ้ำยังเสียข้าวสาร* โดยแท้
เพราะการทุ่มสุดตัวของอิ่นจื่อจางเมื่อครู่นี้ทำให้พลังปราณทั้งร่างถูกสูบออกไปจนหมดในเวลาอันแสนสั้น อันที่จริงสภาพก็หาได้ดีไปกว่าพวกที่ถูกหามออกไปเสียเท่าไร เขาอาศัยความหยิ่งทะนงล้วนๆ ทำให้ยังประคองตัวยืนตรงอยู่บนเวทีได้
เขาหลับตาลง ค่อยๆ ปรับลมหายใจ พลังปราณที่จุดตันเถียนรวมกันขึ้นมาใหม่ทีละนิด ร่างกายเริ่มกลับมามีความรู้สึก ตามที่เผยกู่ได้บอกไว้ นี่คือผลจากการที่เขาเหมากินอาหารจากหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษคนเดียวเป็นประจำ…ความสามารถฟื้นฟูร่างกายเหนือกว่าผู้อื่น
ครั้นลืมตาขึ้นมองบรรดาศิษย์ที่กำลังโห่ร้องอย่างบ้าคลั่งที่ล่างเวทีก็เห็นจูจูเบิกตากว้างยืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น ท่าทางทั้งอึ้งทั้งตะลึง ไม่เฉียดใกล้คำว่างดงามน่ามองโดยสิ้นเชิง แต่กลับทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายสบายใจ
ผู้ตัดสินที่ล่างเวทีได้สติกลับมาก็ชี้อิ่นจื่อจางพลางพูดด้วยความตกใจ “จะ…เจ้าอยู่ขั้นฝึกปราณระดับ…เก้า!?”
อิ่นจื่อจางพยักหน้า รอบด้านก็มีเสียงสูดหายใจต่อกันเป็นระลอกดังขึ้น
เดิมทีเขามีตบะอยู่ขั้นฝึกปราณระดับเจ็ดซึ่งก็โดดเด่นล้ำหน้าหมู่ศิษย์ใหม่แล้ว แต่ตอนนี้ถึงกับเลื่อนขึ้นถึงระดับเก้าภายในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือน นี่เป็นความเร็วในการฝึกที่วิปริตผิดเพี้ยนอะไรกันแน่!
ถ้ามิใช่ยามเขาเข้าสำนักเคยถูกเจ้าสำนักถ่ายพลังเข้าร่างกายเพื่อตรวจดูชีพจรพลังธาตุและตบะแล้วล่ะก็ คนอื่นจะต้องไม่เชื่อเรื่องเหลวไหลเช่นนี้แน่
จะโทษว่าคนของยอดเขาโอ่วหยวนประมาทศัตรูก็ไม่ได้ ด้วยไม่มีใครคาดคิดจริงๆ ว่าเขาจะมีพัฒนาการรวดเร็วปานนี้ อีกทั้งเมื่อครู่ยามประมือก็ว่องไวหมดจด แม้จะกล่าวว่าโจมตีในเวลาที่ศัตรูไม่ทันตั้งตัว แต่พละกำลังความสามารถและความแข็งแกร่งเกรียงไกรก็เป็นเรื่องจริงที่มิอาจโต้แย้ง
ผู้ตัดสินทั้งสองพินิจดูอิ่นจื่อจางอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ก่อนแลกเปลี่ยนสายตาอันแฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง…ศิษย์ใหม่ผู้นี้ต้องใช้วิธีลับบางอย่างแอบซ่อนตบะเอาไว้อย่างแน่นอน ทำให้คนของยอดเขาโอ่วหยวนประมาทจนพลาดท่าเสียที
ปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่ของสำนักมีสายตาดีจริงๆ อิ่นจื่อจางไม่เพียงแค่มีพรสวรรค์ มีสติปัญญาในการวิเคราะห์เข้าใจ แต่ยังมีความกล้าหาญ รู้จักวางแผน หลักแหลมเยือกเย็น อนาคตภายภาคหน้าต้องยาวไกลไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน
พวกเขาเองก็มองออกว่าอิ่นจื่อจางในยามนี้อ่อนแรงหมดกำลังเต็มที เป็นโอกาสเหมาะให้แสดงน้ำใจต่อเขา จึงเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปหาก่อนกล่าวว่า “ศิษย์น้องไปนั่งพักที่ห้องสมาธิด้านหลังก่อนเถิด พวกข้ามีสองสามคำถามอยากขอคำชี้แนะ”
อิ่นจื่อจางมิใช่คนโง่ ก่อนการประลองทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ค่อนข้างมีเจตนาปกป้องคุ้มครองเขาอยู่แล้ว ตอนนี้เชิญเขาให้ไปที่ห้องสมาธิก็คงไม่ได้อยากขอคำชี้แนะอะไร แต่อยากให้เขาไปพักเพื่อฟื้นฟูร่างกาย เขาจึงพยักหน้าตอบรับทันที
จูจูฝืนยิ้มวิ่งหน้าเริดมารั้งตัวเขาเดินไปยังห้องสมาธิ ทางหนึ่งก็จงใจพูดจ้อเสียงดังว่า “ศิษย์พี่ร้ายกาจยิ่งนัก เมื่อครู่ข้ามองไม่ชัดเลยว่าท่านเอาชนะพวกเขาได้อย่างไรกันแน่”
อิ่นจื่อจางมองเห็นความกังวลในก้นบึ้งดวงตานางอย่างชัดเจน จึงวางใจถ่ายน้ำหนักกว่าค่อนของตนไปที่นาง ครั้นทั้งสองเดินเข้าห้องสมาธิแล้วปิดประตูเรียบร้อย น้ำตาของจูจูก็ร่วงลงมา พูดด้วยเสียงเบาว่า “สภาพท่านย่ำแย่มากหรือไม่ ในตัวท่านยังมีลูกกลอนเสริมธาตุอยู่หรือไม่” นางรู้สึกได้ชัดเจนถึงความอ่อนแอสิ้นเรี่ยวแรงและอาการไม่สบายของอิ่นจื่อจาง
อิ่นจื่อจางฝืนขยับนิ้วเล็กน้อย เขย่าขวดหยกเล็กที่บรรจุลูกกลอนเสริมธาตุไว้ออกมาจากในแหวนเก็บของ แสดงท่าทีให้จูจูป้อนเขาเม็ดหนึ่ง จากนั้นก็หลับตานั่งสมาธิ
ยิ่งเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ายิ่งไม่อาจพักผ่อนหย่อนยาน ถือโอกาสที่พลังหมดสิ้นเป็นศูนย์นั่งสมาธิฝึกตน ผลที่ได้จะดีกว่ายามปกติหลายเท่า นี่เป็นประสบการณ์ของผู้อาวุโสที่บันทึกอยู่ในม้วนตำราหยกที่โหยวเชียนเริ่นอาจารย์ของเขาให้มา
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ผู้ที่สามารถยืนหยัดฝึกตนได้ภายใต้สถานการณ์พรรค์นี้ก็มีน้อยยิ่งกว่าหยิบมือ ความอ่อนเพลียว่างเปล่าและความทรมานของร่างกายสามารถบั่นทอนปณิธานกว่าค่อนของคนเราให้มอดดับไป
แต่อิ่นจื่อจางกลับเป็นผู้หนึ่งในจำนวนน้อยกว่าหยิบมือนั้น เขาอดทนจนผ่านช่วงที่ยากลำบากที่สุดมาได้จริงๆ ฤทธิ์ยาลูกกลอนช่วยเร่งพลังทำให้จุดตันเถียนที่ว่างเปล่าของเขาถูกเติมเต็มอีกครั้ง พลังปราณที่เต็มเปี่ยมไหลเวียนไปตามชีพจร รู้สึกเพียงว่าทั่วทั้งร่างปลอดโปร่งโล่งสบายประหนึ่งได้แช่อยู่ในน้ำอันเย็นฉ่ำในวันอันแสนร้อนก็มิปาน พลังปราณที่จุดตันเถียนคล้ายว่าเพิ่มพูนอัดแน่นยิ่งกว่าเดิม
ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ คำรบหนึ่ง อิ่นจื่อจางจึงค่อยลืมตาขึ้น ในห้องสมาธิที่ว่างเปล่าปราศจากสิ่งของวัตถุใด จูจูกำลังนั่งพิงประตูสัปหงกอยู่ ถ้ามีคนจะเปิดประตูก็ต้องทำให้นางรู้สึกตัวตื่นแน่นอน
หมูโง่น้อยตัวนี้คิดจะให้การคุ้มครองเขากระนั้นหรือ อิ่นจื่อจางยื่นมือไปบีบจมูกนางไว้อย่างนึกขันอยู่บ้าง จูจูหายใจไม่ออกจึงลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย ครั้นมองเห็นคนตรงหน้าชัดก็คลี่ยิ้มดีใจออกมาทันทีก่อนว่า “ท่านไม่เป็นไรแล้ว?”
อิ่นจื่อจางดึงตัวนางขึ้นมาพลางตอบ “หมูโง่ ข้าจะเป็นอะไรได้ พวกเราไปบอกลาศิษย์พี่ทั้งสองเถอะ ควรต้องไปรายงานตัวที่ยอดเขาอิ้งปั้งแล้ว”
ศิษย์ขั้นสร้างฐานทั้งสองที่เป็นผู้ตัดสินในลานฝึกยุทธ์คนหนึ่งนามว่าไช่อวิ๋น อีกคนนามว่าโหยวมี่ พวกเขาต่างตั้งใจผูกมิตรกับอิ่นจื่อจางเต็มที่ หลังสองฝ่ายแนะนำชื่อแซ่แก่กันแล้วพวกเขาก็พาจูจูกับอิ่นจื่อจางไปส่งยังใต้ยอดเขาอิ้งปั้งด้วยตนเองถึงค่อยแยกย้ายจากไป
ดวงอาทิตย์ตกดินแล้ว ทางขึ้นยอดเขาอิ้งปั้งเดินได้ค่อนข้างลำบาก อิ่นจื่อจางจึงแบกจูจูขึ้นหลังเดินไปยังศาลารับรองบนไหล่เขาตามคำบอกทางของไช่อวิ๋นและโหยวมี่
จูจูที่ฟุบอยู่บนหลังของอิ่นจื่อจางพลันพูดขึ้นเสียงเบา “ท่านเอาแต่ด่าข้าว่าหมูโง่ อันที่จริงท่านแหละโง่!” พูดพลางกอดรัดเขาไว้แน่นราวกับเป็นปลาหมึก กลัวว่าเขาจะแกล้งโยนนางลงพื้น
“หมูโง่อย่างเจ้าไม่รู้จักชื่นชมคุณค่าของอัจฉริยะผู้ฉลาดหลักแหลมและมีสายตากว้างไกลเช่นข้าก็เป็นเรื่องปกติ” วันนี้อิ่นจื่อจางปราบศิษย์จากยอดเขาโอ่วหยวนทั้งห้าคนได้ราบคาบในรวดเดียว ยังคงสบายอกสบายใจมิสร่าง จึงคร้านจะถือสาการประณามโจมตีของจูจู
จูจูวิตกกังวลมาติดต่อกันหลายวัน เวลานี้ในที่สุดก็ระเบิดออกมา เห็นอิ่นจื่อจางคล้ายไม่มีทีท่าจะโมโหก็บ่นว่าเป็นชุด “ซูหลิงพาลพาโล ท่านแค่ขู่ให้นางตกใจก็พอแล้ว กลับจะลงมือตีนางจนบาดเจ็บ วันนี้คนพวกนั้นมาหาเรื่อง ถ้าท่านจัดการไปทีละคน ตนเองก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ท่านกลับให้พวกเขาเข้ามาพร้อมกัน! ต่อให้ท่านร้ายกาจกว่านี้ก็ไม่ควรเอาตนเองไปเสี่ยงโดยใช่เหตุเหมือนกัน”
อิ่นจื่อจางแค่นเสียงเบาๆ ก่อนว่า “ข้าพอใจ! เจ้าจะยุ่งอะไร ถ้ายังเอะอะโวยวายอีกข้าจะโยนเจ้าลงเขาไปซะ!”
ที่เขาทำซูหลิงบาดเจ็บในครั้งแรกนั้นอันที่จริงเป็นเรื่องไม่ตั้งใจ เขาไม่คิดว่าซูหลิงจะลงมือโหดเหี้ยมเช่นนั้นกับเด็กสาวที่เห็นชัดว่าไม่มีพื้นฐานตบะสักกระผีกอย่างจูจู ดังนั้นเขาจึงดีดสะท้อนพลังของซูหลิงกลับไปทั้งหมดโดยไม่แม้แต่จะคิด แน่นอนเมื่อพบว่าซูหลิงบาดเจ็บหนักเขาก็ไม่ได้นึกเสียใจอะไร อายุยังน้อยก็โหดเหี้ยมอำมหิตเพียงนี้ ที่เขาทำเป็นการสมควรแล้ว! อีกทั้งนางก็บาดเจ็บไปแล้ว ยังจะต้องเกรงใจอะไร
ส่วนเรื่องห้าคนในวันนี้เหตุผลแรกคือเขาอยากทดสอบกำลังความสามารถของตนว่าไปถึงขั้นไหนแล้ว ส่วนข้อสองเขาก็เจตนาประกาศศักดา เขาจัดการแต่ละคนได้เป็นมั่นเหมาะก็จริงอยู่ แต่วันหน้ายังเลี่ยงไม่ให้มีคนมาท้าสู้กับเขาต่อไม่ได้ หากทั้งวันเอาแต่ถูกแมลงวันบินตอมส่งเสียงหึ่งๆ เขาจะสงบใจฝึกตนได้อย่างไร ครั้งนี้เขาสู้กับห้าคนเพียงลำพัง สองในห้าคนนั้นยังเป็นถึงศิษย์ขั้นฝึกปราณระดับเก้า น่าจะไม่มีใครอยากลองเสี่ยงมาท้าสู้กับเขาไปสักระยะ
เขาสามารถพัฒนาตบะจากการต่อสู้ได้ แต่เขาก็ยังจำคำพูดของเป้าฝ่าหู่ได้ขึ้นใจ ไม่อยากให้ตนเองต้องมาติดอยู่ที่คอขวดเป็นยี่สิบปีเหมือนกับเป้าฝ่าหู่เพราะความรีบร้อนอยากก้าวหน้า อย่างน้อยช่วงเวลานี้สิ่งที่เขาต้องการที่สุดก็คือรักษาระดับที่เป็นอยู่ของตนให้คงที่ ขจัดอาการบาดเจ็บแอบแฝงที่เหลืออยู่จากการพัฒนาก้าวกระโดดก่อนหน้านี้ให้หมดสิ้นไป เขามีเรื่องอีกมากที่ยังไม่ได้ทำ เขาต้องการตบะที่สูงกว่านี้เพื่อไปทวงความยุติธรรมให้กับมารดาและตัวเขาเอง การไปให้ถึงระดับนั้นจะเอาแต่รีบร้อนไม่ได้
เรื่องเหล่านี้เขาไม่คิดว่าจำเป็นต้องอธิบายต่อจูจู พอตนเองดีต่อเด็กสาวนางนี้แค่เพียงเล็กน้อย นางก็เริ่มจุกจิกจู้จี้เรื่องของเขา ถ้าเขายังมาอธิบายทุกเรื่องให้นางฟังอีก นางจะไม่ปีนขึ้นมาแสดงอำนาจบนหัวเขาเลยหรือ!
จูจูถูกเขาขู่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกจริงๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ด่าออกมาด้วยเสียงเบาหวิว “คนเลว!” ด่าพลางไม่ลืมขยุ้มเสื้อผ้าเขาไว้แน่น ป้องกันไม่ให้เขาแกล้งโยนนางทิ้งจริงๆ
อันที่จริงยังไม่ต้องพูดถึงโยนลงเขาหรอก โยนลงพื้นก็เจ็บจะแย่แล้ว!
อิ่นจื่อจางย่อมได้ยินคำด่านี้ เมื่อรวมกับอากัปกิริยาเล็กๆ ของนางก็ยิ่งทำให้เขาพลันอยากหัวเราะ หมูโง่น้อยตัวนี้ช่างน่าสนุกโดยแท้!
อิ่นจื่อจางแบกจูจูเดินมาหยุดลงหน้าศาลารับรองก็เห็นศิษย์ขั้นสร้างฐานในชุดน้ำเงินผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านในพอดี คนผู้นั้นเห็นพวกเขาก็ยิ้มร่าพลางก้าวมาหา “เป็นศิษย์น้องอิ่นกระมัง! ข้าแซ่ฝู นามเอ่อร์ไต้ เป็นศิษย์ของยอดเขาอิ้งปั้งแห่งนี้ ปรมาจารย์โหยวเพิ่งจะมีคำสั่งลงมาให้ข้าไปรับคนที่ลานฝึกยุทธ์ของยอดเขาฮุ่ยหลี่ว์ แต่เจ้ามาถึงแล้วก็ดียิ่ง รีบตามข้าไปพบท่านปรมาจารย์เร็วเข้า เมื่อวานเขาออกจากการกักตัวก็บ่นว่าอยากเจอเจ้า”
อิ่นจื่อจางวางจูจูที่แบกอยู่บนหลังลงก่อนคารวะตอบพลางว่า “ข้าจะตามท่านไปเดี๋ยวนี้ เพียงแต่นางต้องไปพบผู้อาวุโสเจิ้งก่อนหรือไม่”
คราวนี้ฝูเอ่อร์ไต้ถึงได้เลื่อนสายตามามองจูจูก่อนพึมพำด้วยความลังเลว่า “ยามนี้ผู้อาวุโสเจิ้งกำลังตรวจดูโรงโอสถ ให้ศิษย์น้องตามเจ้าไปคารวะท่านปรมาจารย์ด้วยกันก่อนดีกว่า จากนั้นค่อยไปคารวะผู้อาวุโสเจิ้งก็ไม่นับว่าเสียมารยาท”
ในใจเขาเองก็กำลังกังขาว่าเหตุไฉนผู้อาวุโสเจิ้งจึงมีท่าทีปล่อยปละละเลยไม่กระตือรือร้นต่อศิษย์เอกของตน อีกฝ่ายเป็นคนยืนกรานจะรับนางเองชัดๆ แต่ยามนี้นางปรากฏตัว ผู้อาวุโสเจิ้งกลับไม่ถามไม่ไถ่สักคำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าให้คนลงเขาไปรับ ถ้ามิใช่มีอิ่นจื่อจางอยู่ นางหรือจะปีนขึ้นยอดเขาอิ้งปั้งไหว
ทว่าเจิ้งเฉวียนก็ทำอะไรตามใจโดยไม่สนผู้อื่นมาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งหน้าของปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่อย่างโหยวเชียนเริ่นก็ไม่แน่ว่าจะยอมไว้ ดังนั้นฝูเอ่อร์ไต้จึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจเช่นกัน
ทั้งสามเดินทะลุศาลารับรองมา ที่หลังศาลาได้เตรียมอินทรีขนนิลซึ่งเป็นนกวิเศษไว้ก่อนแล้ว ทั้งสามขึ้นนั่งบนหลังของมันเรียบร้อย เจ้าอินทรีตัวใหญ่ก็ส่งเสียงร้องยาวออกมาก่อนกระพือสองปีกบินไปถ้ำที่พำนักบนยอดเขาของโหยวเชียนเริ่น
เท่าที่จูจูจำได้ นี่เป็นครั้งที่สองที่ได้บินสูงกลางอากาศ นางประหม่าอยู่บ้างจึงจับแขนของอิ่นจื่อจางไว้ไม่กล้าปล่อย ฝูเอ่อร์ไต้เห็นทั้งสองเดินทางมาด้วยกัน แม้อิ่นจื่อจางจะไม่ได้มีสีหน้าที่ดีให้จูจูนัก แต่ก็ค่อนข้างให้การดูแล ด้วยเหตุนี้จึงลองเอ่ยถามยิ้มๆ “ศิษย์น้องอิ่นและศิษย์น้องจูรู้จักกันมาก่อนหรือ”
จูจูพยักหน้าตอบ “ใช่แล้ว…” ส่วนอิ่นจื่อจางเพียงพยักหน้าน้อยๆ ไม่เอ่ยอะไร
ฝูเอ่อร์ไต้สังเกตเห็นว่าอิ่นจื่อจางมีนิสัยเย็นชาอยู่บ้าง ไม่ใคร่ยินดีคบค้าเสวนากับผู้อื่นเท่าไร ส่วนจูจูแม้ท่าทางจะทึ่มและบ้านนอกยิ่ง แต่ดูไปแล้วก็น่าคบหาด้วยกว่ามาก เขาจึงหันไปถามนางแทน “พวกเจ้าเป็นคนที่ใด เป็น…ญาติกัน?”
หน้าตาท่าทางของจูจูแตกต่างจากอิ่นจื่อจางลิบลับ กล่าวว่าเป็นญาติก็คงเป็นญาติห่างๆ ที่แทบไม่เกี่ยวข้องกัน ทว่านอกจากเหตุผลนี้แล้วฝูเอ่อร์ไต้ก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดอิ่นจื่อจางถึงได้ปฏิบัติต่อจูจูต่างออกไป กระทั่งพานางมาเขาเซิ่งจื้อเพื่อกราบอาจารย์อย่างไม่กลัวความยุ่งยาก
จูจูเกาศีรษะตอบว่า “ข้ากับท่านยายหนีภัยแล้งไปอยู่หมู่บ้านโจวจยาที่อยู่ไม่ไกลนี้ เดิมทีเป็นคนที่ไหนข้าก็จำไม่ได้แล้ว…ข้ากับศิษย์พี่ไม่ใช่ญาติกัน” นางไม่รู้เลยว่านางกับอิ่นจื่อจางนอกจากเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องแล้วจะนับว่ามีความสัมพันธ์ใดกันได้อีก
สองปีก่อนนางตามท่านยายหนีภัยแล้งมาตั้งรกรากยังหมู่บ้านโจวจยา ท่านยายมักไม่อยู่บ้าน ได้ยินว่าไปช่วยงานแลกกับเงินที่ในเมือง ทุกสองสามวันจะกลับมาทีหนึ่ง นางอยู่ในหมู่บ้านคนเดียวจึงถูกพวกเด็กเกเรกลั่นแกล้งรังแกอย่างมิอาจเลี่ยง เริ่มแรกนางเลอะๆ เลือนๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ท่านยายบอกว่าระหว่างทางที่หนีภัยมานางป่วยหนัก ทำให้กระทบกระเทือนถึงสมอง ดังนั้นจึงจำเรื่องราวในสมัยก่อนไม่ใคร่ได้
หนึ่งปีก่อนนางขึ้นเขาไปเก็บผักป่า ผลคือโชคร้ายพบหมาป่าบาดเจ็บตัวหนึ่งเข้า ระหว่างที่หนีด้วยความแตกตื่นลนลาน เท้าข้างหนึ่งก็ก้าวพลาดตกลงไปในคูดินที่ลึกยิ่ง จากนั้นก็ได้อิ่นจื่อจางที่ผ่านมาล่าสัตว์ช่วยขึ้นมา
เห็นว่าอิ่นจื่อจางเองก็หนีภัยแล้งมาเช่นกัน เขามาเช่าเรือนหลังหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซึ่งได้กลายเป็นเพื่อนบ้านจูจูพอดี เพื่อตอบแทนบุญคุณที่เขาช่วยชีวิตไว้ จูจูจึงเชิญเขามากินข้าวที่บ้าน
เดิมทีคิดว่าเชิญกินข้าวครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่ต่อมากลับกลายเป็นว่าอิ่นจื่อจางมากินข้าวที่บ้านนางทุกวัน ที่เกินไปก็คือเรียกใช้นางเหมือนนางเป็นสาวใช้ ผลักเรื่องซักล้างกวาดถูมาให้นางทำทั้งหมดอย่างมิมีตกหล่น นางถูกอำนาจดำมืดกดขี่จนเงยศีรษะไม่ขึ้น ได้แต่ยอมเชื่อฟังโดยดี
ท่านยายกลับจากในเมืองมาเห็นอิ่นจื่อจางก็กลับไม่ว่าอะไร แต่จูจูมักรู้สึกว่าระหว่างท่านยายกับอิ่นจื่อจางมีบางเรื่องที่นางไม่รู้อยู่ เวลาผ่านไปเช่นนี้ไม่กี่เดือน ในราตรีหนึ่งท่านยายกลับมาที่หมู่บ้านกะทันหันแล้วเอาแต่เหม่อมองนางอย่างใจลอยเนิ่นนานโดยไม่พูดอะไร
ผ่านไปอีกไม่กี่วันจู่ๆ ท่านยายก็ล้มป่วยลง ขณะที่ป่วยนั้นก็ให้นางเชิญอิ่นจื่อจางมาบ้าน จากนั้นก็ปิดประตูไม่รู้ว่าคุยอะไรกับเขา เวลานั้นจูจูรู้สึกกลัวอยู่บ้าง ไม่ถึงสองวันท่านยายก็จากไป ทิ้งนางเอาไว้คนเดียว
อิ่นจื่อจางช่วยนางจัดงานศพของท่านยายจนเสร็จ หลังจากนั้นเป็นต้นมาเขาก็ยิ่งทำตัวเป็นคุณชายใหญ่เต็มที่ และยิ่งเรียกใช้นางอย่างไม่ออมกำลัง
จูจูเดาได้ว่าที่ก่อนท่านยายสิ้นใจได้เรียกอิ่นจื่อจางมาก็คงเพราะต้องการฝากหลานกำพร้าไว้กับเขา กลัวว่านางอยู่คนเดียวไม่มีคนดูแลจะถูกผู้อื่นรังแก หากแต่ท่านยายต้องไม่ได้ค้นพบความดุร้ายเกเรไร้เหตุผลภายใต้รูปโฉมภายนอกอันหล่อเหลาของอิ่นจื่อจางเป็นแน่แท้
มีอิ่นจื่อจางอยู่ ผู้อื่นไม่สามารถรังแกนางได้จริงๆ แต่นางก็ถูกอิ่นจื่อจางเพียงคนเดียวรังแกจนพรุนไปทั้งร่างแล้ว!
อิ่นจื่อจางเห็นท่าทางทั้งโง่ทั้งทึ่มของจูจูก็มีน้ำโห ถลึงตาใส่นางทีหนึ่งก่อนบอกกับฝูเอ่อร์ไต้ว่า “ตอนท่านยายของจูจูยังอยู่เคยให้การดูแลข้า ก่อนนางสิ้นลมจึงได้ฝากฝังให้ข้าดูแลจูจู”
จูจูนึกเคืองในใจ…คนที่ดูแลท่านมาตลอดเป็นข้าชัดๆ! ซักผ้าเอยทำอาหารเอย ปัดกวาดเช็ดถูเอย แต่ละอย่างข้าเป็นคนทำทั้งนั้น!
ขณะกำลังพูดคุยกัน อินทรีขนนิลก็โฉบลงมาถึงด้านหน้าผาอันเรียบลื่นสูงตระหง่านบนยอดเขาอิ้งปั้งอย่างมั่นคงแล้ว ฝูเอ่อร์ไต้ตวัดแส้ปัดเบาๆ ทีหนึ่ง ที่ผาก็ปรากฏปากถ้ำกว้างสองจั้งสูงสามจั้งช่องหนึ่งขึ้นมา เขาผายมือเชื้อเชิญ พาอิ่นจื่อจางและจูจูเดินเข้าไปในถ้ำ
ถ้ำที่พำนักของปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่ต่อให้เรียบง่ายสมถะอย่างไรก็มิใช่สิ่งที่ถ้ำของผู้ฝึกตนขั้นสร้างฐานอย่างเป้าฝ่าหู่เทียบได้ พื้นและผนังทั้งสี่ด้านภายในถ้ำทำด้วยแร่ผลึกสีม่วงทั้งหมด บนเพดานก็ฝังด้วยศิลาเก้าตะวัน แสงทองเปล่งประกายเจิดจ้า
ครั้นเดินผ่านระเบียงยาวสายหนึ่งเข้ามาก็พบกับโถงใหญ่ โหยวเชียนเริ่นนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุด กำลังเอนตัวพิงอยู่บนเก้าอี้ขนาดมหึมาที่ปูด้วยหนังเสือขาว เด็กชายชุดเทาสี่คนคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง ดูช่างสำเริงสำราญน่าเกรงขามเสียจริงๆ
ฝูเอ่อร์ไต้ก้าวไปข้างหน้าก่อนคารวะ “คำนับท่านปรมาจารย์ ศิษย์น้องอิ่นมาถึงแล้วขอรับ”
โหยวเชียนเริ่นเปิดเปลือกตาขึ้นมาก่อนแค่นเสียงพูดว่า “ข้าอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว แต่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่าอาจารย์จะพบลูกศิษย์ยังต้องรอถึงสองวัน!”
เขาพยายามวางมาดของอาจารย์เต็มที่ แต่มุมปากที่โค้งขึ้นและรอยยิ้มในก้นบึ้งดวงตากลับขายเขาเสียแล้ว
เขาภูมิใจยิ่งนัก! ศิษย์ที่รับมาใหม่ผู้นี้นำหน้าตามาให้เขาโดยแท้! เพียงเดือนเดียวก็เลื่อนจากขั้นฝึกปราณระดับเจ็ดมาสู่ระดับเก้า สู้กับศิษย์ระดับแปดสามคนและระดับเก้าสองคนด้วยตัวคนเดียวก็ชนะได้อย่างงดงามเด็ดขาด ตอนนี้ทั่วทั้งสำนักเซิ่งจื้อล้วนแต่กำลังยกย่องชมเชยที่เขาตามีแวว อิ่นจื่อจางคนนี้ไม่ว่าเป็นพรสวรรค์หรือความเร็วในการพัฒนาล้วนไม่เป็นสองรองใครนับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักเซิ่งจื้อ!
ศิษย์ที่รับมายิ่งโดดเด่นขึ้นทุกรุ่น แล้วเขาจะไม่เบิกบานใจได้อย่างไร!
ถ้าพวกตาแก่จากสำนักถ่งจั้ง สำนักพั่วฉาน และสำนักซั่งซือที่อยู่บริเวณใกล้เคียงรู้ว่าเขามีศิษย์เอกเช่นนี้จะต้องอิจฉาตาลุกเป็นไฟแน่นอน
โหยวเชียนเริ่นยิ่งคิดก็ยิ่งปลื้มใจ แทบจะทำหน้าบึ้งไม่ไหวแล้วแหงนหน้าหัวเราะออกมาเสียเดี๋ยวนั้น
แม้จะเผชิญหน้ากับการตำหนิติเตียนจอมปลอมของอาจารย์ อิ่นจื่อจางก็ยังคร้านจะแสร้งทำเป็นหวาดหวั่นทั้งยังไม่แก้ตัว เพียงแต่ก้าวไปข้างหน้า โขกศีรษะคารวะอย่างเคารพนบนอบ เนื่องจากจูจูเป็นศิษย์ของเจิ้งเฉวียน จึงนับเป็นศิษย์ของโหยวเชียนเริ่นด้วยตามกฎของสำนักเซิ่งจื้อ ดังนั้นนางจึงตามไปคารวะเต็มพิธีอยู่ข้างอิ่นจื่อจาง
โหยวเชียนเริ่นกำลังปลื้มอกปลื้มใจอยู่ดีๆ ก็พลันเหลือบเห็นจูจู อารมณ์ที่กำลังชื่นมื่นถูกทอนลงทันควัน จึงโบกมือพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ลุกขึ้นเถอะ”
ต้องโทษเจ้าสารเลวเจิ้งเฉวียนนั่น! รับใครเป็นศิษย์ไม่รับ ดันจะมารับพวกไร้ประโยชน์ ถ้าผู้อื่นรู้ว่าเขามีศิษย์ไร้ประโยชน์ขั้นสุดยอดเพิ่มมาอีกคน ไม่หัวเราะจนฟันร่วงสิแปลก!
“เจ้ามานี่” โหยวเชียนเริ่นไม่สนใจจูจู หันไปกวักมือเรียกอิ่นจื่อจาง ฝ่ายหลังขานรับก่อนก้าวไปหาเขา
ครั้นพินิจดูสีหน้าอิ่นจื่อจางอย่างละเอียดและถ่ายพลังเข้าไปเวียนในกายเขารอบหนึ่งแล้ว โหยวเชียนเริ่นก็ขมวดคิ้วถามว่า “เร็วๆ นี้เจ้ากินลูกกลอนสร้างฐานเข้าไป?”
อิ่นจื่อจางตกใจ แต่ยังตอบด้วยใบหน้าสงบราบเรียบ “ขอรับ”
ฝูเอ่อร์ไต้ที่ยืนอยู่ด้านล่างประหลาดใจยิ่งกว่า ความหมายของปรมาจารย์โหยวคือลูกกลอนสร้างฐานที่อิ่นจื่อจางกินเข้าไปหาได้มาจากตัวเขาไม่ เด็กหนุ่มที่ไม่มีภูมิหลังใดๆ ผู้หนึ่งไปเอาลูกกลอนสร้างฐานมาจากไหน มิน่าตบะถึงได้เพิ่มขึ้นเร็วขนาดนี้!
ตัดใจกินลูกกลอนสร้างฐานในสถานการณ์พรรค์นี้ แสดงว่าในตัวต้องไม่ได้มีแค่เม็ดเดียวแน่นอน ศิษย์ขั้นฝึกปราณในสำนักเซิ่งจื้อที่มีลูกกลอนสร้างฐานไว้ในครอบครองสามารถนับได้ด้วยมือเดียว คนที่มีครอบครองถึงสองเม็ดหรือมากกว่านั้นเกรงว่าจะมีเพียงอิ่นจื่อจางผู้นี้แล้ว
ฝูเอ่อร์ไต้เป็นญาติห่างๆ ของฝูอวี้เจ้าสำนัก แต่แม้จะมีความสัมพันธ์เช่นนี้ กว่าจะได้ลูกกลอนสร้างฐานมายังแทบกระอักเลือด คิดถึง ‘ความฟุ่มเฟือย’ ของอิ่นจื่อจางแล้วก็อดจะอิจฉาทั้งยังสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาไม่ได้
จูจูไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าลูกกลอนสร้างฐานคืออะไร นางเบิกตากว้างมองดูคนนี้ทีคนนั้นที ในหัวงุนงงไปหมด
โหยวเชียนเริ่นแค่คิดดูเล็กน้อยก็กระจ่างว่าทำไมอิ่นจื่อจางถึงเสี่ยงกิน ‘ยาแรง’ เพื่อเพิ่มพลังฝีมือเอาในเวลานี้ ทว่าเขาหาได้นึกตำหนิการกระทำของอิ่นจื่อจางเหมือนอย่างเป้าฝ่าหู่ กลับพูดเพียงว่า “ผู้บำเพ็ญเซียนอย่างพวกเราแสวงหาอายุวัฒนะเดิมก็เป็นการฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์ จึงสมควรปราศจากความกลัวเกรง มีปณิธานและความกล้าที่จะมุ่งหน้าไปโดยไม่หวั่นต่ออุปสรรคใดๆ เอาแต่ห่วงหน้าพะวงหลังคิดสะระตะมากไปก็ไม่ดี ขั้นสร้างฐานยังเห็นไม่ชัด แต่ในอนาคตเมื่อเจ้าต้องการสำเร็จขั้นหลอมรวม ขั้นกำเนิดใหม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดนอกเหนือจากรากฐานตบะก็ยังคงเป็นจิตแห่งเต๋า หากจิตแห่งเต๋าไม่มั่นคง มีความคิดฟุ้งซ่านมากไปจะถูกจิตมารครอบงำได้ง่าย กลายเป็นล้มเหลวเอาเมื่อยามจวนจะสำเร็จ พูดเรื่องเหล่านี้กับเจ้าในตอนนี้ยังเร็วเกินไปลูกกลอนเสริมธาตุขวดนี้เจ้ารับเอาไป ก่อนการประลองใหญ่ของศิษย์ชั้นนอกในสำนักมาถึง เจ้าจงตั้งใจบำรุงรักษาร่างกาย ทำรากฐานให้มั่นคง เรื่องขั้นสร้างฐานรอการประลองใหญ่ผ่านพ้นค่อยว่ากัน”
อิ่นจื่อจางพยักหน้าตอบรับ “ศิษย์ทราบแล้ว” ก่อนยื่นมือไปรับขวดหยกเล็กที่บรรจุยาลูกกลอนไว้มา
ปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่เริ่มมาก็มือเติบนัก ลูกกลอนเสริมธาตุขวดนั้นอย่างน้อยก็มีถึงยี่สิบสามสิบเม็ด จูจูนึกถึงว่าตนเองทำอาหารให้จิงจี๋เหรินทุกวัน แต่ศิลาวิเศษที่ได้มากลับแลกลูกกลอนเสริมธาตุมาได้เพียงสามเม็ด ในใจก็รู้สึกไม่เป็นธรรมทันที
โหยวเชียนเริ่นยิ้มพลางตบบ่าอิ่นจื่อจางก่อนพูดอย่างอ่อนโยน “เจ้าดียิ่ง หากแต่เจ้าต้องจำไว้ว่าเจ้าเป็นศิษย์มีอาจารย์ อาจารย์ของเจ้าก็เป็นถึงอันดับหนึ่งในสำนักเซิ่งจื้อ ถ้ามีใครมาหาเรื่องโดยไร้เหตุผล ใช้ใหญ่รังแกเล็ก มากรังแกน้อย ก็ให้มาหาข้า เด็กอย่างเจ้าอย่าเอาแต่อวดเก่ง”
“ขอรับ” คนทั้งหมดในที่นี้ล้วนมองออกว่าโหยวเชียนเริ่นเอ็นดูศิษย์สุดที่รักผู้นี้จากใจจริง แม้แต่อิ่นจื่อจางเองยังรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
มีเพียงจูจูที่แอบแลบลิ้น…เพิ่งจะมาพูดเอาตอนนี้ ตอนแรกมัวแต่ทำอะไรอยู่!
“ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าลงเขาไปหาประสบการณ์แล้ว ส่วนศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สามก็กำลังกักตัว อีกสักระยะค่อยให้พวกเจ้าได้พบกัน ม้วนตำราหยกที่ให้เจ้าไปก่อนหน้านี้มีจุดไหนที่ไม่เข้าใจก็มาหาอาจารย์ พอเจ้าเข้าใจเนื้อหาในนั้นปรุโปร่งแล้วอาจารย์ค่อยถ่ายทอดเคล็ดวิชาอื่นแก่เจ้า เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ ฝูเอ่อร์ไต้เจ้าไปจัดการเตรียมที่พักให้เขาด้วย”
ตั้งแต่ต้นจนจบ โหยวเชียนเริ่นก็เหมือนกับฝูอวี้ ไม่สนใจไยดีจูจูโดยสิ้นเชิง
เคราะห์ดีที่จูจูเองก็ไม่ใส่ใจเรื่องนี้แม้แต่น้อยเช่นกัน นางขอเพียงมีกินมีดื่มมีเสื้อผ้าใส่ มีคนเลี้ยงยามแก่เฒ่าก็พอใจแล้ว คนที่ไม่เกี่ยวข้องเหล่านั้นจะมีท่าทีต่อนางอย่างไรนางไม่สน
ฝูเอ่อร์ไต้มีนิสัยค่อนข้างโอบอ้อมอารี แม้โหยวเชียนเริ่นจะไม่เอ่ยถึงจูจูแม้แต่คำเดียวก็ยังคงจัดที่พักที่ไม่เลวให้นางอย่างกระตือรือร้นยิ่ง ที่พักของนางอยู่ไม่ไกลจากถ้ำที่พำนักของเจิ้งเฉวียนผู้เป็นอาจารย์ ด้านหนึ่งเป็นสวนสมุนไพรผืนใหญ่ อีกด้านเป็นบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เหริ่นโก้วอันโด่งดังแห่งยอดเขาอิ้งปั้ง ปราณศักดิ์สิทธิ์มีเปี่ยมล้นยิ่งกว่าถ้ำที่พำนักของโหยวเชียนเริ่นเสียอีก
ยาลูกกลอนมีความสำคัญต่อสำนักสำนักหนึ่งอย่างเหลือล้น ดังนั้นแม้แต่ปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่ก็ยังไม่อาจไม่สงวนสถานที่ที่ดีที่สุดไว้ทำสวนสมุนไพร เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณค่าสูงยิ่งไว้ให้นักหลอมโอสถใช้
จูจูมองเห็นกระท่อมไม้ไผ่หลังเล็กที่ดูประณีตงดงามตั้งเรียงกันอยู่สามหลังอย่างเข้าตำราพิงเขาใกล้น้ำก็ให้พอใจอย่างยิ่ง พลันรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าอนาคตช่างงดงามสว่างไสวนัก ที่พักของอิ่นจื่อจางยิ่งอยู่ใกล้กับถ้ำที่พำนักของโหยวเชียนเริ่นบนยอดเขาโดยตั้งอยู่ริมผาแห่งหนึ่งพอดี ห่างจากที่พักของจูจูเป็นระยะทางตรงไม่มาก แค่กระโดดลงจากผามาก็ถึงแล้ว
ถึงอิ่นจื่อจางมีตบะอยู่ขั้นฝึกปราณระดับเก้า แม้จะยังไม่สามารถขี่กระบี่เหาะเหินกลางอากาศได้ แต่ถ้าอาศัยวิชาตัวเบา การจะขึ้นลงตรงๆ นับว่าค่อนข้างง่าย
ครั้นทั้งสองจัดการเก็บของอย่างง่ายๆ เรียบร้อย ฝูเอ่อร์ไต้ก็ประมาณเวลาว่าเจิ้งเฉวียนน่าจะตรวจดูโรงโอสถเสร็จและกลับมาแล้ว จึงเสนอว่าจะพาจูจูไปคารวะอาจารย์
จูจูรู้สึกไม่เต็มใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจไม่ไป ลังเลอยู่ชั่วครู่กลับได้ยินอิ่นจื่อจางเอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็กำลังคิดจะไปคารวะท่านอาจารย์เจิ้งเฉวียนอยู่เช่นกัน”
เขาพูดเช่นนี้เพราะต้องการไปเป็นเพื่อนข้าอย่างนั้นหรือ
ในใจจูจูมีความคิดเข้าข้างตนเองผุดขึ้นมา แต่ฝูเอ่อร์ไต้กลับรู้สึกว่าปกติยิ่ง ผู้อาวุโสเจิ้งมือหนึ่งกุมแหล่งที่มาของยาลูกกลอนในสำนักเซิ่งจื้อไว้ กระทั่งปรมาจารย์โหยวยังต้องเลี่ยงไม่ปะทะกับเขาอยู่บ้าง อิ่นจื่อจางผู้เป็นศิษย์ในนามถือโอกาสไปให้เห็นหน้าค่าตาสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ วันหน้ามีเรื่องให้ต้องขอร้องคนเขาอีกถมไป
จูจูนึกถึงแววตาที่เจิ้งเฉวียนมองตนแล้วก็ตงิดไปทั้งใจ นางรู้สึกได้ชัดเจนว่าเจิ้งเฉวียนหาได้มีเจตนาดีต่อนางแม้แต่กระผีกเดียว แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากสีหน้ายามโหยวเชียนเริ่นพินิจดูอิ่นจื่อจาง แต่ถ้านางยังอยากนั่งๆ นอนๆ อยู่ในสำนักเซิ่งจื้อก็มิอาจหลบเลี่ยงคนผู้นี้ได้ เขาเป็นอาจารย์ของนาง เป็นเหตุผลที่นางสามารถอยู่ในสำนักเซิ่งจื้อได้
ดังนั้นจูจูจึงเตรียมสภาพจิตใจให้พร้อมแล้วตามฝูเอ่อร์ไต้และอิ่นจื่อจางไปถ้ำที่พำนักของเจิ้งเฉวียน
ถ้ำแห่งนั้นอยู่ห่างจากที่พักของจูจูไม่ถึงร้อยจั้ง เมื่อรวมกับตำแหน่งโรงโอสถก็เป็นสามเหลี่ยมด้านเท่าพอดี ศิษย์คนอื่นของยอดเขาอิ้งปั้งยกเว้นผู้มีหน้าที่อยู่เวรยามล้วนไม่มีสิทธิ์พักภายในเขตนี้
ถ้ำที่พำนักเจาะเข้าไปกลางโพรงถ้ำที่ผาหินเช่นเดียวกัน ภายในเต็มไปด้วยแร่ผลึกไม่รู้ชื่อสีแสดแดง เดินอยู่จะรู้สึกว่ามีคลื่นความร้อนโถมซัดเข้ามาทุกทิศทาง แต่กลับไม่ทำให้คนรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวแม้แต่น้อย
สถานที่ที่เจิ้งเฉวียนให้พวกเขาเข้าพบพิลึกพิลั่นอย่างยิ่ง รูปร่างลักษณะของโถงใหญ่แห่งนั้นเหมือนกับด้านในของกระถางธูปขนาดใหญ่ เจิ้งเฉวียนซึ่งอยู่ในชุดนักพรตแขนกว้างสีขาวอมฟ้านั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง เมื่อรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเหมือนผู้วิเศษผู้บรรลุมรรคผลอันเป็นแบบฉบับ ผนวกเข้ากับสีหน้าอันเรียบเฉยก็เรียกได้ว่าปราณเซียนบีบคั้นผู้คน
เขารับการคารวะเต็มพิธีจากจูจูและอิ่นจื่อจางแล้วดวงตาทั้งสองก็มองเพียงจูจู แววตานั้นเหมือนกับในวันที่ได้พบหน้ากราบอาจารย์ครั้งแรกมิมีผิดเพี้ยน ดูคล้ายสงบราบเรียบ แต่อันที่จริงกลับผิดแผกแปลกไป มันแฝงไว้ด้วยหลากหลายสิ่งที่จูจูไม่เข้าใจ
จูจูถูกเขามองจนรู้สึกอึดอัด สายตาเหยียดหยามดูหมิ่นของผู้อื่นนางไม่รู้สึกอะไร แต่สายตาของเจิ้งเฉวียนกลับทำให้นางรู้สึกว่ามันแทบจะเป็นความเคียดแค้นชิงชัง
หรือว่านางจะความรู้สึกไวเกินไป นางกับเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นางเป็นแค่เด็กสาวชนบทตัวน้อยๆ คนหนึ่ง มีอะไรให้ผู้อาวุโสขั้นหลอมรวมผู้สูงส่งเหนือปุถุชนเคียดแค้นชิงชังได้กัน
ทว่าคนที่ด้านข้างกลับไม่มีใครรู้สึกถึงความผิดปกติของเจิ้งเฉวียนสักคน หรือนางจะคิดมากไปเองจริงๆ
เจิ้งเฉวียนโบกมือให้อิ่นจื่อจางกับจูจูลุกขึ้นได้ ก่อนจะเรียกบ่าวชราชุดขาวผู้หนึ่งเข้ามาสั่งว่า “ฝูกุย พาพวกนางไปรู้จักที่ทางในถ้ำของข้าสักหน่อย แล้วเอาลูกแก้ววิเศษสำหรับเปิดห้องหนังสือให้นางด้วย”
จากนั้นจึงเงยหน้ามากล่าวกับจูจู “เจ้าท่องตำราในห้องหนังสือได้ครบเมื่อไรค่อยมาหาข้าเมื่อนั้น ไม่มีอะไรแล้วก็ไปได้” ท่าทีเหมือนปล่อยแพะกินหญ้า ปล่อยปละให้อิสระเต็มที่
คราวนี้แม้แต่อิ่นจื่อจางยังรู้สึกได้ว่ามีปัญหา ทว่าเขาเป็นผู้น้อย ไม่สะดวกจะซักถามตั้งข้อสงสัยในวิธีอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ของผู้เป็นอาจารย์ในนาม จึงทำได้เพียงดึงตัวจูจูมาก่อนกล่าวลาเจิ้งเฉวียน จากนั้นก็ตามบ่าวชราขุดขาวนามฝูกุยผู้นั้นไปดูที่ทางในถ้ำ
หลังคนทั้งหมดจากไป เจิ้งเฉวียนก็ยิ้มเย็นออกมาก่อนรำพึงรำพันกับตนเองภายในถ้ำอันว่างเปล่าไร้ผู้คน “เจ้าคิดว่ามีเด็กนั่นคอยคุ้มครองก็จะอยู่ในสำนักเซิ่งจื้อนี้ได้อย่างมั่นคงปลอดภัยกระนั้นหรือ ข้าจะทำให้เจ้าได้ลิ้มรสชาติของการมีความหวังจากนั้นก็สิ้นหวังจนถึงที่สุดให้ดู”
ความเฉยเมยประดุจเทพเซียนทอดมองสรรพสัตว์ในสีหน้าเขาหายวับไป หว่างคิ้วปรากฏแววเหี้ยมเกรียมออกมา

แค่ดูจากชื่อของฝูกุยก็รู้ว่าเขามีความเกี่ยวดองกับเจ้าสำนักเช่นกัน จูจูและอิ่นจื่อจางพบเข้ากับบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับเจ้าสำนักถึงสองคนติดกันบนยอดเขาอิ้งปั้ง เห็นได้ว่าเจ้าสำนักให้ความสำคัญกับที่นี่เพียงไร หรือมองจากอีกมุมนี่อาจเป็นเพราะเจ้าสำนักไม่ใคร่วางใจในยอดเขาที่ให้ ‘คนนอก’ อย่างเจิ้งเฉวียนกุมอำนาจไปถึงครึ่งหนึ่ง
จากการแต่งกายก็แยกออกว่าฝูกุยเป็นศิษย์ชั้นใน ตบะอยู่เพียงขั้นฝึกปราณ เขาดูอายุอย่างน้อยก็หกเจ็ดสิบเข้าไปแล้ว ถ้ายังอยู่ในขั้นฝึกปราณอยู่ล่ะก็ โอกาสจะสำเร็จขั้นสร้างฐานในชีวิตนี้นับว่าน้อยเต็มที ทว่าท่าทีของเขากลับหยิ่งยโสมั่นใจในตนเอง อีกทั้งสีหน้ายังราวกับออกมาจากพิมพ์เดียวกับเจิ้งเฉวียน นั่นคือต่างก็เฉยเมยพอกัน
เขาพาอิ่นจื่อจางกับจูจูเดินวนในถ้ำที่พำนักรอบหนึ่ง แนะนำแต่ละจุดอย่างรวบรัดกระชับความเป็นที่สุด คล้ายว่าถ้าพูดมากขึ้นอีกสักคำจะขาดทุนย่อยยับ
ดูจากภายนอกถ้ำคล้ายจะไม่ใหญ่ ด้านในคงมีตำแหน่งการจัดวางไม่ซับซ้อน แต่ความเป็นจริงแล้วมันกลับใหญ่จนน่าตกใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงห้องเก็บของหลายห้องที่เจิ้งเฉวียนใช้เก็บวัตถุวิเศษ วัตถุธรรม ยาลูกกลอน สมุนไพร ตลอดจนลูกแก้ววิเศษ ศิลาวิเศษทั้งหลาย และยังมีห้องหลอมโอสถ ห้องสมาธิ และโถงฝึกยุทธ์เฉพาะของเจิ้งเฉวียนอีกด้วย
ยาลูกกลอนขั้นสูงที่แท้จริงของสำนักเซิ่งจื้อล้วนเป็นเจิ้งเฉวียนหลอมออกมาจากห้องหลอมโอสถภายในถ้ำของตนเอง
ข้างห้องหลอมโอสถยังมีห้องเก็บของที่ไว้เก็บเชื้อไฟชนิดต่างๆ โดยเฉพาะห้องหนึ่ง แม้จะใช้ข่ายอาคมต่างๆ กดเอาไว้แล้ว แต่พลังความร้อนที่แผ่ออกมาจากในห้องนี้ก็ยังคงน่าตกใจยิ่งยวด เหตุที่ทั้งถ้ำมีไอร้อนลอยอบอวลล้วนเป็นเพราะห้องเก็บของนี้เอง
ที่อลังการที่สุดคือสวนสมุนไพรทางทิศใต้ของถ้ำที่พำนัก กวาดตามองคร่าวๆ ดูจะมีพื้นที่ราวร้อยจั้งได้ มีสมุนไพรวิเศษล้ำค่าปลูกไว้นับไม่ถ้วน ไม่ว่าต้นไหนๆ ก็มีอายุเกินร้อยปี อย่างน้อยก็ขั้นสามขึ้นไปทั้งสิ้น
ครั้นฝูกุยพาพวกนางเดินมาถึงที่นี่ก็ยากจะระงับสีหน้าภาคภูมิใจไว้ได้ ในที่สุดก็พูดมากขึ้น “ประวัติของสวนสมุนไพรนี้ยาวนานกว่าสำนักเซิ่งจื้อเสียอีก ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักบังเอิญไปพบเข้าที่เขาด้านหลัง มันเป็นสิ่งที่ตกทอดมาจากผู้วิเศษรุ่นก่อนๆ ต้องใช้แรงกายแรงใจเกินคณานับในการย้ายพวกมันมาที่นี่ ในนั้นมีอยู่จำนวนหนึ่งที่อายุเกินพันปีเชียวนะ! สวนสมุนไพรของสำนักอื่นเทียบมันไม่ติดแม้แต่นิดเดียว”
“ใช่พวกนั้นหรือไม่” จูจูชี้ไปยังที่ดินแปลงเล็กที่ถูกกั้นแยกไว้ตรงมุมตะวันออกเฉียงใต้ ในนั้นปลูกไว้ด้วยสมุนไพรธรรมดาไม่กี่ต้นที่ดูร่อแร่เต็มทนและดูเหมือนเพิ่งจะมีอายุได้ไม่กี่ปี หากไม่สังเกตให้ดีอาจจะคิดว่าเป็นวัชพืชด้วยซ้ำ
อิ่นจื่อจางกำลังคิดจะหัวเราะเยาะในสายตาแยกแยะของจูจู กลับเห็นฝูกุยหน้าเปลี่ยนสี มองจูจูเขม็งพลางว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
จูจูถูกสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดของเขาทำเอาตกใจจนสะดุ้ง กล่าวตอบตะกุกตะกัก “ข้ารู้สึกว่าพวกมันดูเหมือนจะ…พิเศษยิ่ง”
ฝูกุยหันหน้าไปมอง ที่แปลงเล็กนั้นรวมกับหญ้าที่จะตายมิตายแหล่ไม่กี่ต้น เมื่อเทียบกับสวนสมุนไพรที่เจริญงอกงามและเปี่ยมล้นด้วยปราณศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ดูพิเศษอยู่บ้างจริงๆ
เขาไม่มีทางเชื่อลงว่าเด็กสาวที่ไม่มีแม้แต่ตบะและพลังอะไรเลยอย่างจูจูจะสามารถมองทะลุความลับของสวนสมุนไพรได้ ด้วยเหตุนี้จึงคลายสีหน้าลงก่อนเปลี่ยนเรื่องพูดว่า “เอาล่ะ ดูพวกนี้เสร็จแล้วก็ไปดูห้องหนังสือกันเถอะ”
ในใจลอบคิดว่าดูท่าตนจะต้องบอกเรื่องนี้กับเจ้าสำนักและผู้อาวุโสเจิ้งสักหน่อย คาถาพรางตาจำพวกนี้ทำมากเกินไปก็ใช้ไม่ได้ กระทั่งเด็กสาวที่ไม่ได้มีสายตาเฉียบแหลมอะไรยังมองออกได้ถึงสิ่งผิดปกติ
จูจูสบตากับอิ่นจื่อจางก่อนก้มหน้าลงอย่างเก้อกระดาก นางรู้สึกจริงๆ ว่าสมุนไพรไม่กี่ต้นนั้นพิเศษยิ่ง บนนั้นเต็มไปด้วยพลังชีวิตอันมิอาจอธิบาย อีกทั้งดูไปแล้วก็คุ้นตายิ่ง เหมือนนางเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…ควรพูดว่าพืชพรรณทั้งหมดภายในสวนนางล้วนรู้สึกคุ้นตาอย่างมากทั้งสิ้น พอเห็นพวกมันก็รู้สึกว่ามีความยินดีเกิดขึ้นในใจ นี่เป็นเพราะสาเหตุใดกันหนอ
เดินต่อมาอีกระยะสั้นๆ ฝูกุยก็หยุดฝีเท้าลงหน้าประตูศาลาบานหนึ่ง ก่อนหันหน้ามาพูดกับจูจู “ที่นี่คือห้องหนังสือ”
จูจูมองเห็นอย่างกระจ่างแจ้งยิ่งว่าในดวงตาของฝูกุยมีแววเห็นใจ…
ประตูศิลาเปิดออกอย่างช้าๆ ปรากฏให้เห็นหน้าตาที่แท้จริงของห้องหนังสือ มองเพียงผ่านก็เห็นชั้นหนังสือขนาดมโหฬารอย่างน้อยยี่สิบสามสิบชั้น ด้านบนมีม้วนตำราหยกรวมถึงเล่มหนังสือวางอยู่แน่นขนัด อย่างน้อยๆ ก็มากกว่าหมื่นเล่ม!
จูจูตะลึงไปเล็กน้อย พยายามย้อนนึกว่าเมื่อครู่อาจารย์พูดว่าอะไร
‘เจ้าท่องตำราในห้องหนังสือได้ครบเมื่อไรค่อยมาหาข้าเมื่อนั้น’
อา…ชั่วชีวิตนี้นางจะยังมีวันได้พบอาจารย์อีกหรือไม่
เห็นได้ชัดว่าอิ่นจื่อจางนึกถึงเรื่องที่เจิ้งเฉวียนมอบหมายก่อนหน้านี้ขึ้นได้เช่นกัน สีหน้าเขาเปลี่ยนเล็กน้อย ทว่าสุดท้ายก็ยังคงไม่พูดอะไร
ฝูกุยเองก็รู้สึกว่าคำสั่งของเจิ้งเฉวียนไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย แต่ด้วยฐานะและจุดยืนของเขาจึงไม่อาจพูดทวงความเป็นธรรมได้ ดังนั้นจึงเพียงทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีประหลาดของคนทั้งสอง ล้วงลูกแก้ววิเศษที่เตรียมไว้ก่อนแล้วออกมาส่งให้จูจูพลางว่า “ในถ้ำที่พำนักของผู้อาวุโสเจิ้งแห่งนี้แต่ละห้องแต่ละส่วนล้วนติดตั้งข่ายอาคมเอาไว้ จำเป็นต้องใช้ลูกแก้ววิเศษที่ต่างกันในการเปิด นี่เป็นลูกแก้วสำหรับเปิดห้องหนังสือ เจ้ารับเอาไป สถานที่อื่นถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสเจิ้งก็ห้ามพรวดพราดเข้าไปส่งเดชเด็ดขาด มิเช่นนั้นหากถูกข่ายอาคมเข้า ผลที่ตามมาร้ายแรงอย่างยิ่ง อาจจะอันตรายถึงชีวิตเลยก็เป็นได้ จำให้แม่นเชียว”
จูจูร้อง “อ้อ” คำหนึ่งก่อนรับลูกแก้ววิเศษนั้นมา แล้วออกจากถ้ำที่พำนักของเจิ้งเฉวียนมาพร้อมอิ่นจื่อจาง
“อาจารย์อาจจะไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งเจ้าก็ได้ ม้วนตำราในห้องหนังสือเหล่านั้นที่ข้างนอกล้วนเป็นสิ่งล้ำค่าขนาดว่าทองหมื่นตำลึงยังยากจะหามาได้ เจ้าก็เชื่อฟังอาจารย์ของเจ้า ขยันๆ แล้วกัน” วาจาของอิ่นจื่อจางพูดได้แข็งทื่อนัก ทว่าก็คล้ายจะแฝงด้วยการปลอบประโลมอยู่เล็กน้อย
จูจูพยักหน้าตอบรับไปส่งๆ อันที่จริงนางไม่ได้รู้สึกแย่เลยสักนิด เป็นเพราะนางทั้งไม่อยากฝึกฝนบำเพ็ญตนจนกลายเป็นเซียนอมตะ ทั้งไม่ชอบอยู่กับอาจารย์ที่พิลึกพิลั่นคนนั้นเช่นกัน ที่นางรั้งอยู่ในสำนักเซิ่งจื้อก็แค่อยากนั่งๆ นอนๆ ไปวันๆ เท่านั้น อาจารย์อุตส่าห์ปล่อยปละให้อิสระทั้งที นางรู้สึกผ่อนคลายสบายใจสิไม่ว่า!
หากไม่ต้องพบอาจารย์ไปชั่วชีวิตก็ยิ่งสุขสันต์สมบูรณ์แบบไปใหญ่!
วันนี้อิ่นจื่อจางแสดงพลานุภาพสุดอัศจรรย์ออกไป ภายในระยะเวลาอันสั้นย่อมไม่มีใครในสำนักเซิ่งจื้อกล้ามาท้าทายพวกนาง และนางเองก็พักอยู่ภายใน ‘เขตหวงห้าม’ ของยอดเขาอิ้งปั้ง ขอเพียงไม่ออกไป ผู้อื่นอยากจะหาเรื่องนางก็ไม่มีทางเป็นไปได้ วันเวลาเช่นนี้แค่คิดขึ้นมาก็แทบจะสำลักความสุขตายแล้ว

วันแรกแห่งความสุข จูจูหลับไปเต็มตื่น ครั้นตื่นมาก็ไปตักน้ำจากน้ำพุเหริ่นโก้วมาชามใหญ่ ใส่ข้าวไข่มุกและแปะก๊วยที่เผยกู่ให้นางมาลงไปต้มเป็นข้าวต้ม กินเคียงกับปลาเงินน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ทอดกรอบจานหนึ่งและหลินจือเซียนคลุกเต้าเจี้ยวจานหนึ่ง ของเพิ่งจะวางขึ้นโต๊ะ อิ่นจื่อจางก็มาเยือนตรงเวลาโดยไม่ต้องเชิญ
คุณชายใหญ่ทางหนึ่งดื่มกินคำโต ทางหนึ่งยังอุตส่าห์บ่นจู้จี้รังเกียจรังงอน “ข้าวต้มที่จืดชืดแถมเหลวเป็นน้ำแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ปลานี่ไม่เลว ทำมาอีกจาน แล้วเนื้อกระต่ายหางจิ้งจอกตากแห้งนั่นล่ะ เก็บไว้กินเองหรืออย่างไร!”
จูจูถูกเขาชี้โน่นสั่งนี่จนหัวหมุน ไม่ง่ายเลยกว่าจะปรนนิบัติคุณชายใหญ่จนพอใจได้ แต่ก็ยังได้รับงานใหม่มาอีก “สายอีกหน่อยข้าจะพาเจ้าไปที่พักข้า ที่นั่นไม่มีคนอยู่นานเกินไป เจ้าไปเก็บกวาดให้ข้า”
จูจูอัดอั้นหงุดหงิด ค้านขึ้นเสียงค่อย “ข้าจำได้ว่าศิษย์พี่ฝูเอ่อร์ไต้บอกว่าท่านเรียกนักพรตน้อยมาเก็บกวาดแทนท่านได้”
อิ่นจื่อจางในตอนนี้เป็นศิษย์เอกของปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่ แม้จะยังไม่ได้บรรลุถึงขั้นสร้างฐาน แต่การปฏิบัติต่อเขาก็ถูกยกระดับขึ้นมาล่วงหน้าแล้ว ไม่เพียงมีถ้ำที่พักแยกเป็นอิสระ แต่ยังสามารถมีนักพรตน้อยสองคนหรือถึงขนาดสาวใช้คอยปรนนิบัติได้ด้วย
“ข้าเกลียดการให้คนแปลกหน้ามาแตะต้องของของข้าที่สุด เจ้าคิดจะแอบอู้อีกแล้วใช่หรือไม่!” อิ่นจื่อจางหรี่ตาลงก่อนถามขึ้นมาด้วยท่าทีและน้ำเสียงดุร้าย
“ไม่ใช่สักหน่อย!” จูจูรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“เฮอะ! กลางวันเจ้าไปอ่านหนังสือที่ถ้ำของอาจารย์รอง กลางคืนให้เจ้านำตำราพวกนั้นออกมาด้วย ข้าจะสุ่มทดสอบ ถ้าเจ้ากล้าแอบอู้ ข้าจะบิดหูหมูของเจ้าให้หลุด!” ทั้งโดยตรงโดยนามโหยวเชียนเริ่นและเจิ้งเฉวียนล้วนเป็นอาจารย์ของเขา เพื่อแยกให้ชัดเขาจึงได้แต่เรียกเจิ้งเฉวียนว่าอาจารย์รอง
จูจูคิดไม่ถึงว่าอิ่นจื่อจางยังจะยุ่งกระทั่งเรื่องขี้ปะติ๋วอย่างนางจะท่องตำราหรือไม่ จึงรู้สึกทันทีว่าก่อนหน้านี้ตนเองคิดทุกอย่างง่ายและดีงามเกินไป ภาพแห่งความสุขถูกเงามืดปกคลุมในชั่วพริบตา
เมื่อวานอิ่นจื่อจางถามฝูกุยแล้วว่าตำราในห้องหนังสือสามารถยืมออกมาอ่านได้หรือไม่ ฝูกุยก็ตอบว่าจูจูนำม้วนตำราหยกหรือหนังสือออกมาได้สามม้วนต่อวัน หลังจากที่คืนแล้วถึงจะยืมได้อีก จูจูคิดว่าอิ่นจื่อจางอยากอ่านเอง แต่คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับวางแผนจะตรวจตราการเล่าเรียนของนาง…ไฉนเขาถึงจุ้นจ้านวุ่นวายขนาดนี้ นางไม่ได้คิดจะเป็นจ้วงหยวน* เสียหน่อย จะต้องท่องตำรามากมายเพียงนั้นไปทำไม
อาจารย์เจตนาแกล้งนางชัดเจน อิ่นจื่อจางมองไม่ออกเลยหรืออย่างไร!
“ที่นั่นมีม้วนตำราหยกกับหนังสืออย่างน้อยก็นับหมื่น ต่อให้ข้าท่องได้วันละม้วน กว่าจะท่องได้หมดก็ยังต้องใช้เวลาถึงยี่สิบกว่าปี…” จูจูพยายามกล่อมให้อิ่นจื่อจางล้มเลิกความคิดอันเหลวไหลนี้
“อืม วันละม้วนไม่ได้จริงๆ…ช่างเถอะ! ข้าก็แค่ลำบากเพิ่มอีกหน่อย เจ้ามาท่องให้ข้าฟังวันละสามม้วนแล้วกัน!” อิ่นจื่อจางพยักหน้า ทำการตัดสินใจที่ทำให้จูจูแทบบ้าหนักกว่าเก่าออกมา
คนที่ลำบากคือข้ามากกว่ากระมัง! จูจูอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
“ตกลงตามนี้! ข้าจะกลับไปฝึกตนต่อ เจ้าเองก็รีบออกไปห้องหนังสือซะ” อิ่นจื่อจางหมุนตัวกลับเดินจากไปโดยไม่ให้โอกาสจูจูได้คัดค้านโดยสิ้นเชิง
จูจูจัดการจานชามเรียบร้อยก็ทำกับข้าวเพิ่มอีกสองอย่าง ก่อนใส่ลงกล่องอาหารแล้วหิ้วออกมานอกประตู บนยอดต้นไม้ด้านข้างกระท่อมมีลูกเหยี่ยวตาสีทองและมีขนสีเขียวอมดำปลอดทั้งตัวเกาะอยู่ตัวหนึ่ง มันก็คือเหยี่ยวขนเขียวตาทองที่เผยกู่เลี้ยงไว้นั่นเอง
เหยี่ยวตัวนี้ตามปกติเป็นนกวิเศษที่ใช้ส่งสารและสิ่งของขนาดเล็กโดยเฉพาะ จึงค่อนข้างจะแสนรู้ พอเห็นจูจูก็ยื่นหัวมาถูไถเอาใจ แล้วก็ได้ปลาเงินน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ทอดกรอบจานหนึ่งเป็นรางวัลในทันที
จูจูแก้ถุงเก็บของบนกรงเล็บมันลงมา จัดแจงเทสัตว์วิเศษและหญ้าวิเศษที่เผยกู่เตรียมไว้ให้นางออกมาก่อนเปลี่ยนเป็นใส่กล่องอาหารลงไปแทน จากนั้นก็แขวนมันไว้บนกรงเล็บของเหยี่ยวอีกครั้ง หยุดคิดเล็กน้อยก่อนใส่กระดาษเขียนข้อความร้องทุกข์เข้าไปอีกแผ่น

‘ศิษย์พี่ให้ข้าท่องตำราตั้งมากมาย มื้อเย็นไม่สามารถทำอาหารสำรับใหญ่ให้พวกท่านได้แล้ว หากพวกท่านว่างก็มาหาข้า มาเกลี้ยกล่อมศิษย์พี่แทนข้าทีเถิด’

ปล่อยเหยี่ยวขนเขียวตาทองไปแล้วจูจูก็แล่นไปท่องหนังสือที่ถ้ำที่พำนักของเจิ้งเฉวียนด้วยความห่อเหี่ยวใจ ตลอดทางไม่เจอใครอื่นเลย จึงใช้ลูกแก้ววิเศษในมือเปิดข่ายอาคมหวงห้ามออกก่อนตรงเข้าไปในห้องหนังสือ
ห้องหนังสือยังคงมีหน้าตาเหมือนที่ได้เห็นเมื่อวานนี้ ชั้นหนังสือขนาดมโหฬารยี่สิบสามสิบชั้นวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ให้ความรู้สึกกดดันบีบคั้นยิ่งยวด จูจูเดินวนรอบพวกมันรอบหนึ่ง เลือกหนังสือเล่มเล็กบางเฉียบสามเล่มออกมาเพื่อเป็นบทเรียนในวันนี้
เล่มหนึ่งชื่อว่า ‘ปกิณกะเชื้อไฟ’ อีกเล่มชื่อว่า ‘ตำราสมุนไพรวิเศษเขาจือซู่’ และยังมีอีกเล่มชื่อว่า ‘ตำราเสริมตำรับลูกกลอนสงบใจ’ ดูไปแล้วล้วนเป็นของเก่าสมัยนานนม และยังเป็นบันทึกอธิบายเกี่ยวกับวัตถุดิบเพิ่มเติม มิน่าเนื้อหาจึงค่อนข้างน้อย
นางรู้ว่าการหาทางรอดเช่นนี้จะต้องทำให้อิ่นจื่อจางไม่พอใจอย่างแน่นอน หากแต่นางไม่คิดว่าสมองเล็กๆ ของตนจะสามารถจำเนื้อหาตำรากว่าหมื่นเล่มในที่นี้ได้
อิ่นจื่อจางเป็นคนอารมณ์ร้อน เขาเองก็คงไม่มีน้ำอดน้ำทนจะมาควบคุมให้นางท่องหนังสือได้ทุกวันจริงๆ ผ่านไปไม่กี่วันก็อาจจะรำคาญแล้วเลิกล้มความตั้งใจ เพราะฉะนั้นนางทำพอเป็นพิธีไปก่อนก็แล้วกัน
เปิดปกิณกะเชื้อไฟเล่มแรกมา สิ่งที่ถูกเขียนอยู่ด้านบนก็คือเชื้อไฟชนิดต่างๆ ในโลกที่นำมาใช้หลอมยาลูกกลอนได้
อธิบายอย่างง่ายๆ คือเชื้อไฟแบ่งออกได้ห้าประเภทใหญ่ตามแหล่งที่มาของมัน ได้แก่ ไฟแท้ ไฟสัตว์ ไฟศักดิ์สิทธิ์ ไฟพิภพ และไฟสวรรค์ เพราะว่าเป็นเพียงบันทึกเพิ่มเติม จึงเพียงแต่อธิบายวิธีการแยกประเภทของเชื้อไฟทั้งห้าจำพวกและยกตัวอย่างง่ายๆ เท่านั้น
เปิดบทมาก็กล่าวถึงไฟแท้เป็นประเภทแรก มันคือเชื้อไฟที่ผู้บำเพ็ญเซียนเค้นรวมลูกกลอนปราณ* ออกมา ไฟแท้ที่ผู้บำเพ็ญเป็นเซียน เป็นมาร หรือเป็นอะไรก็ตามเค้นรวมออกมาจะมีคุณสมบัติพิเศษต่างกันไป หากแต่เงื่อนไขแรกคือผู้ฝึกตนจำเป็นต้องมีพลังธาตุไฟแต่กำเนิด ผู้ฝึกตนที่มีพลังธาตุอื่นล้วนเค้นไฟแท้ออกมาไม่ได้
นี่ก็คือสาเหตุใหญ่ที่สุดว่าทำไมนักหลอมโอสถจำเป็นต้องมีพลังธาตุไฟ การจะควบคุมกำลังไฟที่ใช้หลอมยาลูกกลอนให้ได้ดี ผู้ที่ไม่มีพลังธาตุไฟทำไม่ได้โดยสิ้นเชิง
อาจเพราะไฟแท้ค่อนข้างเป็นสิ่งธรรมดาทั่วไป ในปกิณกะเชื้อไฟจึงกล่าวถึงไม่มาก จะเน้นไปที่ไฟสัตว์ ไฟศักดิ์สิทธิ์ และไฟสวรรค์มากกว่า ส่วนไฟพิภพที่พบเห็นได้บ่อยก็เพียงแต่เอ่ยถึงคร่าวๆ เช่นกัน
ไฟสัตว์หมายถึงเชื้อไฟที่สัตว์วิเศษหรือสัตว์ปีศาจธาตุไฟสร้างออกมาหลังจากบำเพ็ญตนได้ถึงระดับหนึ่ง โดยทั่วไปจะรุนแรงยิ่งยวดจนยากจะควบคุม
ไฟศักดิ์สิทธิ์ก็คือเชื้อไฟในรูปของเหลวอันแฝงด้วยพลังงานไฟมหาศาลที่หญ้าวิเศษและสมุนไพรวิเศษธาตุไฟผลิตออกมาหลังจากมีอายุถึงระดับหนึ่ง มันทั้งบริสุทธิ์และมีน้อยอย่างยิ่ง
ไฟพิภพก็ตามชื่อ คือเชื้อไฟที่รวมตัวขึ้นจากพลังงานความร้อนตามธรรมชาติใต้พื้นดิน เช่นพวกภูเขาไฟก็ก่อรูปก่อร่างขึ้นจากการที่ไฟพิภพพ่นออกมา นี่เป็นเชื้อไฟที่ค่อนข้างปลอดภัยที่นักหลอมโอสถหามาได้ง่ายที่สุด สำนักบำเพ็ญเซียนไม่น้อยใช้คาถาอาคมสารพัดเพื่อชักนำไฟพิภพไปยังตำแหน่งที่กำหนดไว้ จากนั้นก็สร้างโรงโอสถขึ้นบนตำแหน่งนั้นก่อนวางข่ายอาคมควบคุมไฟพิภพเอาไว้ให้ตนเองใช้
ที่มหัศจรรย์ที่สุดคือไฟสวรรค์ เล่ากันว่าเป็นเชื้อไฟอัศจรรย์ที่หลงเหลือมาตั้งแต่ยามบุกเบิกฟ้าดินสมัยบรรพกาลเนื่องจากสาเหตุพิเศษนานัปการ ไฟสวรรค์ทุกชนิดล้วนดำรงอยู่เพียงหนึ่งเดียว อานุภาพเพียงพอจะเผาภูเขาต้มทะเลได้ แค่ผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมลงมาสัมผัสถูกเพียงเล็กน้อยก็จะถูกเผาเป็นจุณแล้ว ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมเอง หากไม่มีเคล็ดวิชาพิเศษและฝีมือในการป้องกันตัว ไปกระทบกับมันเข้าก็บาดเจ็บสาหัสถึงชีวิตได้เช่นกัน
โดยหลักการผู้ฝึกตนที่มีพลังธาตุไฟฝึกวิชาควบคุมไฟแล้วจึงจะสามารถรวบรวมควบคุมเชื้อไฟที่เหมาะสมไว้ให้ตนเองใช้ได้ ผู้ฝึกตนที่ต่ำกว่าขั้นหลอมรวมสามารถผนึกเชื้อไฟเก็บไว้ในวัตถุธรรมของวิเศษหรือภายในข่ายอาคมที่กำหนดไว้ เวลาที่ต้องการใช้ค่อยปลดปล่อยออกมา
ส่วนผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมขึ้นไปจะสามารถฝึกฝนเค้นไฟแท้ออกมาจากกายตนเองได้ ยิ่งมีตบะสูงขึ้น ระดับของไฟแท้ก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ในขณะเดียวกันก็สามารถดูดซับเชื้อไฟอื่นๆ จากภายนอกมาผสานเข้ากับไฟแท้ได้เช่นกัน ยิ่งดูดซับมากเท่าไร ไฟแท้ก็จะยิ่งแรงกล้าขึ้นเท่านั้น ทว่าการดูดซับเชื้อไฟภายนอกมีอันตรายสูงนัก พลั้งพลาดเพียงเล็กน้อยชีวิตก็หาไม่แล้ว
ในปกิณกะเชื้อไฟได้จัดหมวดหมู่ของไฟสัตว์ ไฟศักดิ์สิทธิ์ และไฟสวรรค์เอาไว้ สองอย่างแรกมีสิบกว่าชนิด อีกทั้งผู้เขียนยังปิดท้ายว่าสิ่งที่ตนเองได้พบได้ฟังมานับว่าน้อยนิด ไฟสัตว์ไฟศักดิ์สิทธิ์ในโลกสมควรจะยังมีอีกไม่น้อย
ส่วนหมวดไฟสวรรค์บันทึกไว้เพียงสามชนิด แต่ตามที่กล่าวขานกันมีทั้งหมดเก้าชนิด เพียงแต่อีกหกชนิดผู้เขียนเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อ แม้แต่สามชนิดที่บันทึกไว้นี้ก็เคยได้ยินเพียงชื่อเช่นกัน จึงไม่ทราบถึงรูปร่างลักษณะโดยสิ้นเชิง
การท่องหนังสือเล่มหนึ่งกลับทำได้ไวยิ่ง จูจูรู้สึกแปลกใจ เนื้อหาในหนังสือคุ้นตานางนัก และนางยังรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง หากแต่เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้คือการรับมือกับอิ่นจื่อจางเจ้าคนโฉดผู้นั้น นางจึงคร้านจะขบคิดมากมาย ท่องตั้งแต่ต้นจนจบไปเงียบๆ รอบหนึ่งจนจำได้พอสมควรแล้วจึงโยนปกิณกะเชื้อไฟทิ้งไปด้านข้าง
เขาจือซู่ที่บันทึกอยู่ในตำราสมุนไพรวิเศษเขาจือซู่นางไม่แม้แต่จะเคยได้ยินชื่อ ตำราสมุนไพรวิเศษเปิดมาก็อธิบายเรื่องตำแหน่งที่ตั้งคร่าวๆ น่าเสียดายที่ในหัวจูจูมีชื่อสถานที่อยู่จำกัด ที่จำได้ค่อนข้างชัดก็มีเพียงหมู่บ้านโจวจยาและเขาเซิ่งจื้อ ส่วนเขาอะไรแคว้นอะไรแผ่นดินอะไรที่กล่าวถึงในนี้นางไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าอยู่ในซอกไหนมุมไหน จึงอาศัยท่องจำผิวเผินเท่านั้น ดีที่ด้านหลังแนะนำสมุนไพรวิเศษเป็นหลัก เรื่องนี้จูจูกวาดตามองรอบเดียวก็จำได้แม่นยำแล้ว
นางรู้สึกว่านางเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในเรื่องพืชพรรณอย่างมากจริงๆ เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ขอเพียงเห็นข้อความส่วนหน้าก็รู้แล้วว่าข้อความส่วนหลังจะกล่าวถึงอะไร เหมือนกับว่าเกิดมาก็รู้เรื่องเหล่านี้แล้วอย่างไรอย่างนั้น
ตำราเสริมตำรับลูกกลอนสงบใจเล่มสุดท้ายยิ่งมีเนื้อหาน้อยกว่าเล่มอื่น ในนั้นจดตำรับลูกกลอนสงบใจสองสามชนิดที่นิยมใช้กันทั่วไปเอาไว้ ทั้งยังทำการตรวจแก้ไว้ส่วนหนึ่งแล้ว ผู้เขียนเปิดฉากมาก็บ่นเสียยืดยาว โดยรวมพูดถึงว่านักหลอมโอสถจำนวนมากรักพี่เสียดายน้องเกินไป เพื่อผลลัพธ์ต่างๆ นานาได้ทำการแก้ไขปรับเปลี่ยนตำรับยาลูกกลอนที่เดิมทีไม่ซับซ้อน เติมส่วนผสมสมุนไพรวิเศษที่ไม่จำเป็นจำนวนมากเข้าไปปนกันมั่ว ส่วนผสมเหล่านี้เดิมทีมีฤทธิ์ไม่มาก แต่พอรวมเข้าด้วยกันแล้วก็ถึงขนาดส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาลูกกลอนเลยทีเดียว ดังนั้นเขาจึงได้บันทึกประสบการณ์การหลอมโอสถของตนเองเอาไว้ พยายามรื้อฟื้นตำรับดั้งเดิมให้กลับมามากที่สุด ศึกษาค้นคว้าตำรับยาลูกกลอนที่ใช้ส่วนผสมน้อยที่สุด อัตราส่วนที่ได้ผลดีที่สุด อีกทั้งยังหลอมได้ง่ายออกมา
จูจูจดจำตำรับยาลูกกลอนทั้งหมดห้าตำรับไว้เงียบๆ โดยที่รู้สึกแปลกๆ อยู่ตลอด ในสมองคล้ายมีเสียงหนึ่งบอกไม่หยุดว่าตำรับยาลูกกลอนเหล่านี้มีปัญหา นางลูบศีรษะ กดเสียงประหลาดลงไป ก่อนจะบังคับตนเองให้จำๆ เสีย จากนั้นก็หยิบหนังสือทั้งสามเล่มนี้ติดตัวกลับกระท่อมไปทำอาหาร
เมื่อนางออกไปแล้ว ฝูกุยก็รายงานความเคลื่อนไหวของจูจูขณะอยู่ในห้องหนังสือวันนี้แก่เจิ้งเฉวียนทันที ครั้นเจิ้งเฉวียนได้ยินว่าจูจูเลือกหนังสือสามเล่มที่บางที่สุดมาฝืนใจท่องเสร็จก็แล่นจากไป กระทั่งจะดูเนื้อหาในม้วนตำราอื่นบนชั้นหนังสืออีกสักหน่อยยังขี้เกียจ ริมฝีปากก็ปรากฏรอยยิ้มเย็นออกมา
“หนังสือสามเล่มที่บางที่สุดในห้องหนังสือ…คือปกิณกะเชื้อไฟ ตำราสมุนไพรวิเศษเขาจือซู่ และตำราเสริมตำรับลูกกลอนสงบใจกระมัง” เจิ้งเฉวียนนึกเล็กน้อยก่อนถามฝูกุย
ฝูกุยพยักหน้าตอบรับ แอบตกใจที่ผู้อาวุโสเจิ้งถึงกับจำพวกมันได้! หรือว่าอีกฝ่ายท่องบรรดาหนังสือตำราในห้องหนังสือมาหมดแล้ว มิน่าคนเขาถึงได้เป็นนักหลอมโอสถขั้นหกชั้นยอด ความรู้ความจำมิใช่คนทั่วไปสามารถเทียบได้เลย
“นางใช้เวลาท่องหนังสือสามเล่มนี้ไปเท่าไร” เจิ้งเฉวียนถามต่อ
“หนึ่งชั่วยามขอรับ”
เจิ้งเฉวียนขมวดคิ้วพลางว่า “ไฉนจึงนานขนาดนี้”
ฝูกุยนึกเคือง ค่อนแคะในใจว่า…ถ้าเปลี่ยนเป็นข้าคงต้องใช้เวลาถึงสองชั่วยาม! ผู้อาวุโสเจิ้งมีข้อเรียกร้องสูงโดยแท้ ผู้บำเพ็ญเซียนยิ่งมีตบะสูงก็ยิ่งหูตาสว่างไว ความจำและสติปัญญาก็ดีขึ้นตามลำดับ แต่จูจูผู้นั้นเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาที่ไม่มีตบะใดๆ นางอ่านจบได้ภายในหนึ่งชั่วยามยังหาว่าช้าอีกหรือ ความสามารถแค่เห็นผ่านตาก็จำไม่ลืมนี้หากอยู่ในโลกมนุษย์ก็เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว!
ทว่าเพียงไม่นานเจิ้งเฉวียนก็คล้ายคิดอะไรได้ หัวคิ้วคลายออกน้อยๆ โบกมือพลางว่า “คืนนี้ข้าจะลงเขาไปสักเที่ยว พรุ่งนี้เช้านางมาแล้วเจ้าก็จับตาดูการเคลื่อนไหวของนางตามเดิม ข้ากลับมาจะมาถามเจ้า”
ฝูกุยค้อมตัวรับคำ คิดในใจว่าภายนอกผู้อาวุโสเจิ้งดูเย็นชากับศิษย์เอกนางนี้ แต่หากกล่าวกันถึงที่สุดแล้วก็ยังคงเอาใจใส่นางยิ่งนัก ทว่าเหตุใดต้องให้เขาไปแอบสังเกตการณ์นางเช่นนี้ด้วยเล่า ให้ปรากฏตัวออกไปชี้แนะตรงๆ เลยก็สิ้นเรื่อง ความคิดจิตใจของผู้วิเศษเหล่านี้ช่างยากจะเข้าใจโดยแท้
หากแต่เขาไม่กล้าพูดมากถามมาก คืนนี้ผู้อาวุโสเจิ้งจะลงจากเขา…เวลาเช่นนี้มักเป็นเวลาที่อีกฝ่ายอารมณ์เสียที่สุด เลี่ยงได้ก็เลี่ยงเสีย
งานปรนนิบัติรับใช้ผู้อาวุโสเจิ้งนี้อันที่จริงในสำนักเซิ่งจื้อล้วนมีแต่คนอิจฉา ข้อดีมีอยู่ไม่น้อยจริงๆ ทว่าทุกสามวันผู้อาวุโสเจิ้งจะต้องลงเขาไปเที่ยวหนึ่ง ทุกครั้งก่อนและหลังลงเขามักจะอารมณ์ฉุนเฉียวเป็นพิเศษ เผชิญหน้ากับภูเขาไฟที่ครบรอบการระเบิดบ่อยๆ เช่นนี้ ความกดดันไม่ได้มากแค่ระดับธรรมดาเลย
ภายในห้องสมาธิเพียงไม่นานก็เหลือเจิ้งเฉวียนคนเดียว เขาลุกขึ้นมาเดินกลับไปกลับมาหลายก้าวอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน เงยหน้าขึ้นมองที่ตักยาทองเหลืองซึ่งถูกสลักเสลาอย่างประณีตงดงามราวกับเป็นของประดับตกแต่ง ที่ตักยานั่นแขวนอยู่บนผนัง ฉับพลันนั้นเขาก็ถอนหายใจยาว “ข้ามันไม่เอาไหน ข้าทำผิดต่อเจ้า ต่อให้เจ้าจะให้ข้าไปลุยภูเขาดาบ ลงหม้อน้ำมัน ข้าก็จะไม่ขมวดคิ้วแม้สักนิด แต่เหตุใดเจ้าต้องให้ข้าดูแลนางด้วย…เจ้าก็รู้ดีว่าข้ากับนาง…”
ที่ตักยาทองเหลืองบนผนังยาวราวสามฉื่อ ตรงด้ามจับสลักเป็นลายละเอียดบรรจง ลักษณะดุจเมฆเคลื่อนน้ำวน เหมือนกันกับลวดลายบนกำไลที่จูจูใส่อยู่ประหนึ่งว่าออกมาจากฝีมือคนคนเดียวกัน!

ตกกลางคืนอิ่นจื่อจางกินข้าวเสร็จก็จะสุ่มทดสอบการเรียนของจูจู นางหยิบหนังสือเล่มบางทั้งสามเล่มออกมาด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม แต่แล้วก็ถูกดึงหูมาแผดเสียงตะคอกไปยกหนึ่งทันที
“หมูโง่! ทั้งโง่ทั้งขี้เกียจ เจ้ามันหมดทางเยียวยาแล้ว! เริ่มท่องเดี๋ยวนี้เลย ท่องผิดข้าจะทุบหัวหมูของเจ้า!” อิ่นจื่อจางเป็นคนขยันหมั่นเพียร จึงทนเห็นท่าทีเอื่อยเฉื่อยไร้วินัยของจูจูไม่ได้เป็นที่สุด โอกาสกองอยู่ตรงหน้าแล้วแต่นางกลับไม่รู้จักทะนุถนอมแม้แต่น้อยนิด
จูจูปิดหูเริ่มท่องปกิณกะเชื้อไฟขึ้นมาด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า ตอนเริ่มก็ยังราบรื่นดี แต่พอท่องมาถึงส่วนไฟสวรรค์ก็เริ่มมีปัญหาเสียแล้ว
“เล่ากันว่าในโลกมีไฟสวรรค์ทั้งหมดเก้าชนิด เสียดายที่ข้าเคยได้ยินเพียงสาม ไฟภูตแดนมาร ไฟปรภพเสวียนหมิง* ไฟ…รวมแสง…ตะวันรุ่ง หกชนิดที่เหลือ…ล้วน…มิทราบแล้ว…”
“อะไรคือไฟปรภพเสวียนหมิง เจ้าสติเลอะเลือนหรือไร! เป็นไฟพิสุทธิ์น้ำพุสุขาวดี!” อิ่นจื่อจางม้วนเล่มหนังสือเคาะศีรษะจูจูไปทีหนึ่ง
“ศิษย์น้องอิ่นลงมือไว้ไมตรีด้วย ศิษย์น้องจูแค่จำผิดก็ค่อยๆ สอนกันก็ได้…” เสียงของเผยกู่ดังมาจากนอกกระท่อมไผ่หลังน้อย หัวเราะฮิฮะพลางขอความเมตตาแทนจูจู
ครั้นจูจูได้ยินเสียงดาวช่วยชีวิตก็รีบปราดไปเปิดประตูเชื้อเชิญแขกเข้ามาในห้อง เผยกู่ลากเป้าฝ่าหู่มาเป็นแขกด้วยกัน
ทั้งสองนั่งลงแล้วเป้าฝ่าหู่ก็พลันถามจูจูว่า “เจ้าไปรู้จักไฟปรภพเสวียนหมิงมาจากไหน”
“เอ่อ มันมีอยู่จริงๆ หรือ” จูจูตะลึงไป นางก็แค่หลุดปากพูดออกมา นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตนถึงได้โพล่งชื่อนี้ออกมาจากปากเช่นกัน
เป้าฝ่าหู่เห็นสีหน้านางแปลกกว่าเดิมก็ถามต่อว่า “เจ้ายังจำชื่ออื่นได้อีกหรือไม่”
จูจูเอียงศีรษะนึกอยู่ชั่วประเดี๋ยว “ดูเหมือน…ดูเหมือนจะมีไฟเซียนอายุวัฒนะ ไฟชาดกลืนทอง ไฟมายาเก้าชั้นฟ้า…เอ่อ จำไม่ค่อยได้แล้วเจ้าค่ะ”
“ชื่อเหล่านี้เจ้าไปเห็นมาจากหนังสือเล่มไหน ใช่เล่มอื่นที่อ่านวันนี้หรือไม่” เป้าฝ่าหู่ยังถามต่ออีก
จูจูตะลึงตาค้างแล้ว “ขะ…ข้าจำไม่ได้…ไม่ใช่วันนี้ วันนี้ข้าอ่านแค่สามเล่มนี้” พูดพลางแอบพินิจดูอิ่นจื่อจางพลาง เกรงว่าเขาจะคิดว่านางเกียจคร้านไม่เอาการเอางานแล้วมาดึงหูนางอีก
“เจ้าจำได้หรือไม่ว่าเมื่อก่อนครอบครัวเจ้านอกจากท่านยายแล้วยังมีใครอีก แล้วเคยได้เล่าเรียนอะไรมาก่อนหรือไม่” เป้าฝ่าหู่เองก็เคยได้ยินเรื่องอดีตอันคลุมเครือของจูจูมาเช่นกัน แต่เมื่อก่อนไม่ได้สนใจโดยสิ้นเชิง ด้วยเห็นว่าเด็กสาวบ้านนอกที่ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเห็นโลกภายนอกและก็ไม่ได้มีประสบการณ์ชีวิตเสียเท่าไรนางหนึ่ง หากชีวิตนางจะไม่มีเรื่องดีงามอะไรควรค่าแก่การบอกเล่าก็มิใช่เรื่องแปลก
อิ่นจื่อจางเริ่มฟังปัญหาออกแล้ว “ศิษย์พี่เป้า ความหมายของท่านคือบรรดาชื่อที่จูจูพูดมา…เป็นไฟสวรรค์ทั้งเก้าจริงๆ?”
เป้าฝ่าหู่พยักหน้าก่อนว่า “มิผิด อย่างน้อยไฟมายาเก้าชั้นฟ้ากับไฟปรภพเสวียนหมิงก็ใช่แน่นอน สามสิบปีก่อนยามข้าตามอาจารย์ลงเขาไปหาประสบการณ์เคยได้เห็นในแผนที่ที่ผู้ฝึกตนสมัยโบราณทิ้งเอาไว้ ในนั้นเอ่ยถึงไฟสวรรค์สองชนิดนี้ มีผู้ฝึกตนในใต้หล้าจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่ามีไฟสวรรค์อยู่ แต่ที่รู้ว่ามีอะไรบ้างนั้น พันคนยังไม่เห็นจะมีสักคนที่บอกออกมาได้”
พูดไปๆ สายตาของเขาก็เลื่อนมาหยุดที่จูจู ทุกคนล้วนกระจ่างถึงความหมายในคำพูดของเขา แม้แต่ไฟสวรรค์จูจูก็ยังบอกออกมาได้ เป็นการยืนยันว่าเมื่อก่อนนางต้องเคยสัมผัสกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมันมาไม่น้อย
จูจูถูกสายตาเป้าฝ่าหู่มองจนขนลุกอยู่บ้าง จึงขยับเข้าหาอิ่นจื่อจางอย่างห้ามตนเองไม่อยู่
เผยกู่เกาศีรษะพลางว่า “บอกตามตรงก็แล้วกัน ที่พวกข้ามาหาพวกเจ้าเสียดึกดื่นป่านนี้ หนึ่งเพื่อมาดูว่าจูจูชินกับที่ใหม่หรือยัง สองก็เพราะมีเรื่องอยากมาถามจูจู”
“อะไรหรือ” จูจูถูกสีหน้าเคร่งขรึมของเขาทำเอาตกใจจนสะดุ้ง
ที่แท้หลังจากจูจูออกจากหุบเขาหยวนสื่อ บ่าวรับใช้ได้ไปพบกระดาษจำนวนหนึ่งเข้าระหว่างที่เก็บกวาดห้องพักของนาง บนนั้นมีตำรับอาหารที่มีหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษชนิดต่างๆ เป็นส่วนผสมเขียนเอาไว้เต็ม คนในหุบเขาล้วนรู้กันทั่วว่าเผยกู่ชอบศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้ คิดว่าเป็นตำรับอาหารที่จูจูขอยืมจากเขามาก็ไม่กล้าทำอะไรโดยพลการ จึงส่งไปให้เผยกู่ทั้งหมด
พอเผยกู่อ่านดูก็เห็นว่าสิ่งที่เขียนอยู่บนนั้นจำนวนมากเป็นหญ้าวิเศษที่ในบันทึกร้อยรสของเขาไม่เคยเอ่ยถึงเลย อีกทั้งตำรับอาหารก็เข้ากันได้เหมาะเจาะยิ่งยวด จึงอดจะแปลกใจอย่างยิ่งไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงคิดจะมาสอบถามจูจูดูสักหน่อย
แต่พอถามจูจูว่าไปรู้เรื่องคุณสมบัติพิเศษของหญ้าวิเศษเหล่านี้มาจากที่ไหน ใช่เคยเห็นมาก่อนหรือไม่ นางกลับตอบด้วยสีหน้างุนงงว่า “ข้าไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงรู้”
คำตอบนี้ทำเอาอีกสามคนที่เหลือหมดคำพูด
เป้าฝ่าหู่ยิ้มออกมาก่อนแสร้งทำเป็นพูดอย่างสบายๆ “ข้าคิดว่าเมื่อก่อนจูจูจะต้องเคยศึกษาเรื่องหญ้าวิเศษและสัตว์วิเศษ รวมถึงพวกวิชาหลอมโอสถอย่างแน่นอน ทว่าอาจเป็นเพราะป่วยหนักเลยทำให้จำไม่ได้แล้ว มีผู้อาวุโสเจิ้งอยู่ต้องมีสักวันที่ความจำฟื้นคืนมาได้แน่”
แต่ความจริงไหนเลยจะง่ายดายปานนั้น การเรียนวิชาหลอมโอสถจำต้องมีพลังตบะเป็นพื้นฐานในระดับหนึ่ง แล้วผู้ที่มีตบะจะป่วยหนักจนกระทบกระเทือนสมองทำให้สูญเสียความทรงจำได้อย่างไร ที่สำคัญที่สุดคือจูจูไม่มีพลังธาตุทั้งยังมีชีพจรตัน ไม่สามารถฝึกตนได้โดยสิ้นเชิง ที่แท้แล้วนี่เป็นเรื่องอะไรกันแน่
บุรุษทั้งสามคิดอยู่พักหนึ่งก็ยังได้ข้อสรุปอะไรออกมาไม่ได้ อิ่นจื่อจางยิ่งรู้สึกว่าให้จูจูท่องหนังสือแค่เล่มเดียวยังพบปัญหา ไม่แน่ว่าที่เจิ้งเฉวียนให้นางท่องหนังสือทั้งหมดในห้องหนังสืออาจเพราะมีเจตนาลึกซึ้งอย่างอื่น เขาจึงยืนกรานให้จูจูท่องหนังสืออีกสองเล่มออกมา
ตำราสมุนไพรวิเศษเขาจือซู่นับว่าท่องผ่านไปได้อย่างราบรื่น อารมณ์จูจูจึงผ่อนคลายลงบ้าง แต่ผลคือตำราเสริมตำรับลูกกลอนสงบใจก็เกิดปัญหาขึ้นมาอีก
ตำรับยาลูกกลอนนางท่องไปท่องมา ถ้าไม่ขาดอะไรไปก็เพิ่มอะไรมา หรือไม่เช่นนั้นก็อัตราส่วนของสมุนไพรวิเศษแต่ละชนิดต่างจากในหนังสือ คราวนี้อิ่นจื่อจางไม่ได้ด่วนตำหนินาง เพียงแต่บอกให้นางเขียนตำรับยาลูกกลอนที่นางจำได้ลงในกระดาษ แล้วพรุ่งนี้นำไปขอคำชี้แนะจากอาจารย์
จูจูรู้สึกว่าอาจารย์ไม่มีทางสนใจนางแน่นอน แต่ก็ไม่กล้าขัดอิ่นจื่อจาง นึกถึงว่าอย่างไรเสียในถ้ำที่พำนักของอาจารย์ก็มีคนน้อยนัก นางได้ถามหรือไม่อิ่นจื่อจางย่อมไม่มีทางรู้ ถึงเวลานั้นค่อยบอกว่าอาจารย์ดูตำรับยาลูกกลอนแล้วไม่ได้พูดอะไร มีหรืออิ่นจื่อจางจะยังไปถามอาจารย์ด้วยตนเองอีก
ครั้นคิดได้เช่นนี้นางก็รับคำอย่างวางใจทันที

น้ำอดน้ำทนของอิ่นจื่อจางมีมากกว่าที่จูจูคิดไว้นัก สามเดือนผ่านไปขอเพียงเขาไม่ได้กักตัวก็เป็นต้องมาสุ่มทดสอบว่าจูจูท่องหนังสือไปถึงไหนแล้ว
ไม่กี่วันหนังสือเล่มเล็กเล่มน้อยภายในห้องหนังสือก็ถูกท่องจนหมด จูจูไม่อาจไม่กล้ำกลืนฝืนใจเริ่มท่องหนังสือเล่มใหญ่ขึ้น ยังดีที่เนื้อหาของหนังสือในห้องหนังสือค่อนข้างไปในทิศทางเดียวกัน คือล้วนมีเนื้อหาเกี่ยวกับการหลอมยาลูกกลอน จูจูอ่านรอบเดียวก็พอจำได้เป็นส่วนใหญ่ บางครั้งเผลอท่องผิดไปบ้างอิ่นจื่อจางก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่บอกให้นางเขียนเนื้อหาที่ ‘ท่องผิด’ ออกมาแล้วนำไปขอคำชี้แนะจากอาจารย์
จูจูทำตัวหน้าไหว้หลังหลอกมาตลอด ทุกครั้งที่นางเข้าไปในถ้ำที่พำนักของอาจารย์ล้วนพบคนเพียงไม่กี่คน แต่ต่อให้เผอิญพบอาจารย์เข้า เขาก็มีท่าทางไม่แยแสสนใจเช่นกัน
เพราะว่าเจิ้งเฉวียนเคยบอกต่อหน้าอิ่นจื่อจางว่าให้นางท่องหนังสือในห้องหนังสือให้หมดก่อนค่อยไปหาเขา จูจูจึงได้ใช้เหตุผลนี้ในการไม่เป็นฝ่ายไปขอคำชี้แนะอะไรจากอาจารย์แม้แต่ครั้งเดียว
สองศิษย์อาจารย์ต่างเดินบนเส้นทางคนแปลกหน้า แต่ก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติดี
จูจูไม่มีพลัง ขึ้นลงเขาอิ้งปั้งเป็นเรื่องลำบากแสนสาหัส อีกทั้งนางก็ไม่อยากไปเจอะเจอคนอันตรายบางคนในสำนัก ดังนั้นจึงพักอยู่บนเขาอิ้งปั้งทุกวันอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว บางครั้งก็แอบไปเด็ดสมุนไพรวิเศษในสวนสมุนไพรมาทำอาหารบ้าง ส่วนเผยกู่กับเป้าฝ่าหู่ก็มาเยี่ยมนางเป็นครั้งคราวเช่นกัน
แม้จะยังคงถูกอิ่นจื่อจางกดขี่เรียกใช้เป็นทาส แต่จูจูก็รู้สึกจากใจจริงว่าวันเวลาเช่นนี้ไม่เลวเลย ถ้าเป็นเช่นนี้ไปได้ตลอดก็วิเศษเหลือเกิน!
น่าเสียดายที่ฝันหวานไม่เคยยาวนานมาแต่ไหนแต่ไร นางใช้ชีวิตอย่างไร้ทุกข์ไร้กังวล แต่บางคนกลับเอาแต่จ้องหาโอกาสจะลงมือกับนาง…

 

ติดตามต่อได้ในหนังสือ เงาเพลิงสะท้านปฐพี ฉบับเต็ม

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: