ภาคหนึ่ง ชะตาหงส์เข้าใกล้ ล้อมผ้าก่อนพายุฝน
บทที่ 1
ยามรุ่งสาง ประตูตำหนักอันหนักอึ้งถูกผลักเปิดออก เซิ่งเสวี่ย ไทเฮาแห่งแคว้นเสวียนอู่สั่งให้ข้าราชบริพารถอยออกไป ก่อนที่นางจะเดินเข้าไปภายในพระตำหนักหยั่งเหอที่ซึ่งเคยใช้เป็นที่ประทับของอดีตฮ่องเต้ผู้เสด็จสวรรคตด้วยพระอาการประชวรนี้เพียงลำพัง ชุดคลุมปักลายหงส์สีทองยาวจรดพื้นบนร่างของเซิ่งเสวี่ยลากไปบนผืนพรมภายในพระตำหนักตามจังหวะย่างก้าวอันแผ่วเบาของนาง
เซิ่งเสวี่ยกวาดสายตามองไปรอบๆ ในแววตาปรากฏรอยยิ้มหยัน พระตำหนักหยั่งเหอยังคงยิ่งใหญ่โอ่โถงไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่อดีตฮ่องเต้ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ทว่ายามนี้กลับมีความเงียบเหงาเพิ่มเข้ามา
ในอดีต ที่แห่งนี้มักมีผู้คนเบียดเสียดกันแน่นขนัดเพื่อร่วมถวายพระพรแด่อดีตฮ่องเต้ที่ประทับนั่งอย่างมั่นคงอยู่บนบัลลังก์มังกร ทว่าวันนี้ นอกจากบัลลังก์มังกรที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในท้องพระโรงแล้วก็ไม่มีผู้ใดอีก ทั้งบรรดาเหล่าสนมชายาในตำหนักในก็ล้วนถูกอดีตฮ่องเต้สั่งประหารไปจนหมดสิ้นแล้ว ยามนี้มีเพียงนางผู้เดียวที่ยังเหลือรอดจากการเข่นฆ่าครานั้นมาได้ ซึ่งหาใช่เพราะพระองค์ทรงรักใคร่โปรดปรานนางไม่ แต่เป็นเพราะนางมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับสตรีที่พระองค์ทรงรักที่สุดเท่านั้น นอกจากนี้พระองค์ยังทรงต้องการให้นางปกป้องโอรสเพียงหนึ่งเดียวของพระองค์ไว้ หรือก็คือยุวกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซย่าอวิ๋นยง
ด้วยเหตุนี้ เซิ่งเสวี่ยจึงกลายเป็นตัวแทนของพี่สาวคนรองผู้เป็นสตรีในพระทัยของอดีตฮ่องเต้นับแต่นั้นมา ทั้งนางยังได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นฮองไทเฮาเพื่อจะคอยประคับประคองให้หลานชายยุวกษัตริย์นั่งบนบัลลังก์ของฮ่องเต้ได้อย่างมั่นคงสืบไป
เพียงพริบตาเวลาก็ผ่านไปแล้วเกือบหกปี ตัวนางจากหญิงสาววัยสิบสี่ปีได้แปรเปลี่ยนไปเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้วในวัยยี่สิบปี นางคิดมาตลอดว่าตนเองจะต้องแก่ตายไปภายในวังหลวง ชั่วชีวิตมิอาจหลบหนีไปจากที่คุมขังแห่งนี้ได้ ทว่ากลับคาดไม่ถึงที่ใครบางคนไม่อยากให้นางมีชีวิตเช่นนั้น
“ไทเฮา ทัพกบฏใกล้เข้ามาแล้ว พระองค์ควรรีบเสด็จได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ด้านนอกตำหนักมีเสียงร้อนรนของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น
ได้ยินเช่นนั้นนางก็ถอนสายตาที่กวาดมองไปทั่วพระตำหนักหยั่งเหอกลับมาในที่สุด ก่อนจะหมุนกายเดินกลับออกมา คล้อยหลังยามที่นางพ้นประตูแล้ว ประตูพระตำหนักหยั่งเหอก็ค่อยๆ ปิดลง ชั่วพริบตาที่ประตูตำหนักกำลังจะปิดลง นางหันกลับไปมองด้านในพระตำหนักอีกครั้ง ในใจล้วนเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์…
ยามพลบค่ำ ณ พระตำหนักเฟิ่งชี เหล่าข้าราชบริพารต่างนั่งคุกเข่าอยู่ภายในตำหนักในด้วยสภาพเสื้อผ้าฉีกขาดผมเผ้ายุ่งเหยิง
บนบัลลังก์หงส์ที่แกะจากไม้จันทน์แดงมีบุรุษใบหน้าหล่อเหลาสูงสง่าและเปี่ยมไปด้วยอำนาจผู้หนึ่งนั่งอยู่ บนร่างของเขาสวมชุดเกราะสีทอง มือขวาวางอยู่บนด้ามกระบี่อวี๋ฉาง* ที่เหน็บอยู่ข้างเอว มือข้างซ้ายกำพนักแขนบนบัลลังก์หงส์แน่น นัยน์ตาหงส์เรียวยาวกวาดมองบรรดาข้าราชบริพารที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเบื้องหน้าด้วยสายตาดำมืด ก่อนที่มุมปากจะค่อยๆ ผุดรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
“ไทเฮาอยู่ที่ไหน!” น้ำเสียงของชายหนุ่มทุ้มกังวานประดุจเสียงก้อนหินร่วงหล่นลงสู่ผิวน้ำ
ทว่าเมื่อเหล่าข้าราชบริพารได้ยินเช่นนั้นพวกเขากลับสั่นเทาไปทั้งร่างด้วยความหวาดกลัวแทน ไม่มีผู้ใดกล้าตอบคำถามของเขาสักคน ด้วยเพราะไม่อยากเป็นนกที่ชะโงกหัว* ออกไปตัวนั้นนั่นเอง
“ข้าผู้เป็นอ๋องถามพวกเจ้าว่าไทเฮาอยู่ที่ไหน!” ยามเมื่อเขาถามซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมบนดวงหน้าหล่อเหลาของบุรุษผู้นั้นก็ถูกแทนที่ด้วยโทสะอันเข้มข้นแล้ว
“เรียน…ตงเยวี่ยอ๋อง ก่อนหน้าที่ท่านจะบุกเข้ามาในพระราชวัง ไทเฮาก็เสด็จจากไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ในที่สุดก็มีขันทีน้อยผู้หนึ่งที่ทนต่อความน่ากลัวของเขาไม่ไหวเอ่ยขึ้นมา ระหว่างที่ปาดเช็ดเหงื่อบนศีรษะขันทีน้อยก็รายงานออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
จบคำ…บรรดาข้าราชบริพารต่างขานรับขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน
สภาพโดยรอบของพวกเขาในตอนนี้ล้วนเละเทะไม่เป็นชิ้นดี โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด เครื่องกระเบื้องเคลือบที่มีอยู่ก็แตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ม่านมุ้งถูกฉีกกระชากลงมากระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น
ยามนี้ดวงอาทิตย์กำลังลาลับแสงยังทิศประจิมแล้ว แสงสีแดงได้สาดส่องลงบนระเบียงทางเดินที่ทอดยาวสู่พระตำหนัก ประหนึ่งเป็นสีแห่งความพรั่นพรึงที่ย้อมพระราชวังแห่งนี้เอาไว้
ตงเยวี่ยอ๋องได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มก็กลับมาปรากฏบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง ขับให้ใบหน้านั้นงามประดุจดอกท้อที่จมอยู่ในแอ่งโลหิต ทั้งเย้ายวน ทั้งแปลกประหลาด และเต็มไปด้วยกลิ่นอายของคาวเลือด
ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังของชายหนุ่มเมื่อเห็นรอยยิ้มเช่นนั้นก็รู้ได้ในทันทีว่าผู้เป็นนายของพวกเขากำลังเดือดดาลจนถึงขีดสุดแล้ว
ไม่ผิดไปจากที่คาด เพราะพริบตาต่อมาตงเยวี่ยอ๋องก็ชักกระบี่อวี๋ฉางฟันใส่กระถางกำยานทรงนกกระเรียนที่ตั้งอยู่ด้านข้างบัลลังก์หงส์ในทันที เครื่องทองสัมฤทธิ์หล่นกระแทกพื้นจนเกิดเสียงดังกังวาน สะท้อนก้องไปทั่วภายในพระตำหนัก
เหล่าข้าราชบริพารต่างพากันกลั้นลมหายใจ ปิดปากเงียบด้วยความหวาดกลัว
“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! ข้าผู้เป็นอ๋องนับว่าดูแคลนเจ้าเกินไปเสียแล้ว!” เมื่อเห็นหัวนกกระเรียนกลิ้งตกลงพื้น คิ้วเรียวยาวของตงเยวี่ยอ๋องก็ขมวดเข้าหากันแน่น มือที่ถือดาบอยู่ยิ่งกำแน่นขึ้นกว่าเดิมจนข้อนิ้วซีดขาว
นางหนีไปแล้ว ทั้งตราหงส์และลัญจกรหยกก็ล้วนถูกนางนำติดตัวไปด้วย เช่นนั้นแล้วที่เขายกพลบุกเข้ามาในพระราชวังไยไม่ใช่สูญเปล่าหรอกหรือ!
ตงเยวี่ยอ๋องเมื่อนึกถึงช่วงเวลาหลายปีที่ตนเองต้องซ่อนงำประกายทนนอนฟืนแข็งชิมดีขม** เพื่อแผนการก่อกบฏครานี้ของตนแล้ว เพลิงโทสะก็ลุกท่วมจนยากระงับ!
“นำตัวข้ารับใช้ในตำหนักเฟิ่งชีทั้งหมดไปแล่เนื้อเถือหนัง! ข้าผู้เป็นอ๋องจะให้เสียงร้องโหยหวนของพวกมันกึกก้องไปทั่ววังหลวง!”
เมื่อชายหนุ่มผู้มีอำนาจสูงสุดหันไปให้สัญญาณมือกับกองทหารในชุดเกราะที่ยืนแยกเป็นสองแถวอยู่ในตำหนักแล้ว เหล่าข้าราชบริพารในตำหนักเฟิ่งชีต่างก็พากันร่ำไห้วอนขอชีวิตขึ้นมา
“ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้เลย ตงเยวี่ยอ๋อง!”
“ได้โปรดไว้ชีวิตด้วย!”
ท่ามกลางเสียงคร่ำครวญแทรกด้วยเสียงที่บรรดาบ่าวไพร่โขกศีรษะกับพื้นดังระงมอยู่นั้น ไม่นานคนเหล่านั้นก็เริ่มถูกทหารของตงเยวี่ยอ๋องลากออกไปแล่เนื้อเถือหนังจนถึงแก่ความตายคนแล้วคนเล่า
ครั้นยามที่เขาได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นที่ด้านนอกประกอบกับเสียงอ้อนวอนขอชีวิตภายในตำหนักแล้ว ตงเยวี่ยอ๋องจึงค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย
จากนั้นชายหนุ่มพลันคลายหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นพลางผุดลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันไปสั่งการคนชุดดำทั้งสองที่ยืนอยู่ด้านหลังตนเอง “หลิวอวิ๋น จิงหง พวกเจ้ารีบออกไปตามหาไทเฮาให้ข้าผู้เป็นอ๋องเดี๋ยวนี้ ข้าเชื่อว่านางคงยังมิได้ไปจากเมืองหลวงเป็นแน่!”
“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ!” คนชุดดำทั้งสองสบตากันครู่หนึ่งก่อนประสานมือรับคำสั่ง แล้วรีบถอยออกจากพระตำหนักในทันที
คนทั้งสองเพิ่งจะจากไป ทหารหลายนายก็คุมตัวเด็กหนุ่มรูปงามในชุดคลุมลายมังกรเดินเข้ามาในพระตำหนัก ตงเยวี่ยอ๋องมองเด็กหนุ่มผู้นั้น ใบหน้าเยือกเย็นพลันปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นอีกครา เขาก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยฝีเท้าหนักแน่นทีละก้าวๆ ชุดเกราะหนาหนักบนร่างของเขายามกระทบกันส่งเสียงเล็กแหลมก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ยิ่งทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกบาดหูเป็นพิเศษ
“ฝ่าบาท พบกันอีกแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ! ตงเยวี่ยอ๋องก่อกบฏโค่นล้มราชบัลลังก์ สวรรค์ไม่มีทางละเว้นเจ้าแน่!” ยุวกษัตริย์ตวาดพระสุรเสียงด้วยความโกรธกริ้ว พระเกศาปอยหนึ่งร่วงหลุดจากพระมาลามังกรลงมาปรกสายพระเนตรของตน
ตงเยวี่ยอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็แสร้งปัดปอยผมที่ยุ่งเหยิงของอีกฝ่ายทัดหลังพระกรรณให้ด้วยท่าทางเจ็บปวดใจ นัยน์ตาหงส์พราวระยับจับจ้องเด็กหนุ่มพลางกล่าวเน้นย้ำประหนึ่งจริงใจอย่างสุดซึ้ง “ฝ่าบาททรงเข้าใจข้าผู้เป็นอ๋องผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ข้ามาเพื่อช่วยเหลือพระองค์ให้ปกครองแผ่นดินนี้ได้อย่างมั่นคงเพียงเท่านั้น”
“หยุดเสแสร้งแกล้งทำเสียที! ช่วยเหลือเราอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดจะใช้เราเป็นหุ่นเชิดมากกว่ากระมัง!” ฮ่องเต้หนุ่มเบือนพระพักตร์หลบมือของอีกฝ่ายด้วยความเดียดฉันท์พลางรับสั่งด้วยสุรเสียงเย็นชา
ฮ่องเต้หนุ่มได้แต่ทรงหวังว่ายามนี้เสด็จแม่จะทรงหลบหนีออกไปจากเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัยแล้ว เช่นนั้นพระนางจะได้นำตราหงส์และลัญจกรหยกไปขอความช่วยเหลือจากพระอัยกาให้ยกทัพมาช่วยเหลือตนเองได้
ครั้นทรงนึกถึงเสด็จแม่ที่ทรงเคารพรักก็อดเจ็บแค้นในพระทัยมิได้ หากมิใช่เพราะพระองค์เกิดพระทัยอ่อนไปชั่ววูบ ยอมให้ตงเยวี่ยอ๋องเข้ามาในเมืองหลวงเพื่อเคารพพระศพเสด็จพ่อโดยมิสนคำทัดทานของพระนางแล้วล่ะก็ อีกฝ่ายไหนเลยจะมีโอกาสลงมือก่อกบฏได้
“ฮ่าๆ หลานยังคงไม่รู้จักเก็บงำความรู้สึกอยู่เช่นเดิม!” ตงเยวี่ยอ๋องเงยหน้าหัวเราะก้องก่อนจะโบกมือคราหนึ่ง สั่งให้คนทั้งหมดถอยออกไป รอกระทั่งภายในตำหนักเหลือเพียงพวกเขาสองคน ตงเยวี่ยอ๋องก็ขมวดคิ้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ดูท่าฝ่าบาทเองก็ทรงเติบโตขึ้นแล้วจริงๆ ดูฉลาดมีไหวพริบขึ้นมาไม่น้อย ที่เป็นเช่นนี้คงต้องขอบใจเสด็จแม่ของเจ้ากระมัง นางคงจะรักใคร่เจ้ามากเป็นแน่แท้ จึงได้กล้าปลอมแปลงพระราชพินัยกรรม ยกบัลลังก์ที่สมควรเป็นของข้าผู้เป็นอ๋องให้กับเจ้า สุดท้ายแล้วไม่รู้ว่าผู้ใดกันแน่ที่แย่งชิงบัลลังก์ของผู้อื่น”
เพลิงโทสะในดวงตาเรียวลุกโชนทะลักล้นออกมา แผดเผายุวกษัตริย์จนต้องถอยร่น “เจ้ากล่าวเหลวไหล! เสด็จแม่ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นเด็ดขาด!”
“เพื่ออำนาจ ไม่ว่าเรื่องใดนางก็ล้วนทำได้ทั้งนั้น สนมชายาทั้งหมดในฝ่ายในก็ถูกนางสังหารทั้งสิ้นไม่ใช่หรือ! ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่ใช่เพราะนางขับไล่บรรดาอ๋องเช่นพวกข้าออกไปจากเมืองหลวง จนไม่อาจกลับเข้ามาในวังหลวงได้อีกชั่วชีวิต ข้าผู้เป็นอ๋องไหนเลยจะต้องยกทัพเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายบุกเข้าวังหลวงเช่นนี้ด้วย หากกล่าวอีกแง่มุมหนึ่ง ข้าก็ถือว่าได้ลงทัณฑ์นางแทนสวรรค์แล้ว!” ตงเยวี่ยอ๋องกระชากพระพาหาของฮ่องเต้หนุ่มขึ้นมา เล็บมือจิกลงบนรอยปักลายมังกรที่อยู่บนนั้นพลางกล่าวเสียงลอดไรฟัน “อย่านึกว่านางจะหนีพ้นเงื้อมมือของข้าไปได้ ขาดตราหงส์กับลัญจกรหยกไปเพียงชั่วคราวก็ไม่เห็นเป็นอะไร ไม่ว่าอย่างไรข้ายังคงสามารถใช้เจ้าควบคุมราชสำนักได้เช่นกัน ยามนี้ในราชสำนักก็ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าข้าบุกโจมตีวังหลวง ดังนั้นหากเจ้าอยากมีชีวิตรอด ก็ต้องเชื่อฟังข้าเท่านั้น!”
“เจ้า!” ฮ่องเต้หนุ่มเดิมทีคิดจะตรัส ‘เจ้าฝันไปเถอะ’ ทว่าเพียงพระองค์จะเริ่มรับสั่งก็พลันหวนนึกถึงสิ่งที่เสด็จแม่กำชับเอาไว้ก่อนจะจากไปขึ้นมาได้ จึงทรงอดกลั้นเอาไว้ไม่ได้รับสั่งคำที่เหลือออกมา และทรงสูดพระอัสสาสะก่อนจะรับสั่งอย่างเยือกเย็น “ได้ เราจะร่วมมือกับเจ้า”
เสด็จแม่…พระองค์บอกให้อดกลั้น เราก็ทำได้แล้ว!
“ช่างว่าง่ายยิ่งนัก! ข้าผู้เป็นอ๋องชักจะถูกใจฝ่าบาทขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้วสิ” ตงเยวี่ยอ๋องคลายมือก่อนจะลูบลายปักมังกรที่ถูกจิกจนยับย่นเบาๆ ริมฝีปากแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจ
สีของยามราตรีได้แผ่ปกคลุมลงมาชั้นแล้วชั้นเล่า
ท่ามกลางความมืดมิดนี้รถม้าเรียบง่ายคันหนึ่งกำลังห้อตะบึงอยู่บนเส้นทางหุบเขาสายเล็ก ตะเกียงที่แขวนเอาไว้บนตัวรถกวัดแกว่งไปมาอย่างรุนแรง แสงไฟประเดี๋ยวติดประเดี๋ยวดับส่องลงบนร่างของบุรุษที่นั่งอยู่บนรถม้า ยามนี้สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเร่งร้อน คิ้วเข้มขมวดมุ่น อีกทั้งริมฝีปากก็คอยคำรามเสียงต่ำกระตุ้นม้าให้วิ่งต่อไปไม่หยุด
ทันใดนั้นม้าที่ต้องห้อตะบึงอยู่บนถนนขรุขระก็ส่งเสียงร้องแหลมขึ้นมา เสียงนั้นได้ทำลายความเงียบสงบยามวิกาลนี้ให้อันตรธานไปสิ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงรถม้าพลิกคว่ำกระแทกลงกับพื้น
“นายหญิง นายหญิงเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ” หลังรถม้าพลิกคว่ำ พลันแว่วเสียงของบุรุษตะโกนถามขึ้นอย่างร้อนรน
ยามนี้รถม้าพลิกคว่ำอยู่บนพื้น สาเหตุจากล้อรถข้างหนึ่งทนรับแรงกระแทกไม่ไหว ล้อจึงหลุดกระเด็นไปอีกด้านหนึ่ง ครั้นชายสารถีควบคุมม้าที่ตื่นตระหนกสงบลงได้แล้ว เขาก็รีบดึงม่านขึ้นแล้วก้าวเข้าไปในตัวรถทันที
“ข้าไม่เป็นไร” สิ้นเสียงอ่อนโยนนั้น ชายผู้บังคับรถม้าก็จัดการประคองหญิงสาวบอบบางผู้หนึ่งลงมาจากรถม้าทันที
ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี ดวงหน้าของสตรีผู้นั้นแม้มองเห็นได้ไม่ชัดเจน ทว่ารัศมีของความสูงศักดิ์และความเย็นชาบนร่างของนางนั้นกลับไม่ได้ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด
นางยืนอยู่ด้านข้างรถม้า เมื่อกวาดตามองความเสียหายบนตัวรถไปแล้วรอบหนึ่ง สตรีผู้นั้นก็หันไปถามบุรุษหนุ่มผู้บังคับรถม้า “มีเพียงทางสายนี้สายเดียวเท่านั้นหรือที่ใช้หลบหนีออกจากเมืองหลวงได้”
“ใช่ขอรับ” ชายผู้บังคับรถม้าประสานมือเป็นหมัดแล้วตอบอย่างนอบน้อม
“เช่นนั้นหากไม่มีรถม้าแล้ว พวกเราจะต้องใช้เวลาเดินเท้าอีกกี่วันจึงจะออกจากเมืองหลวงได้” แม้ถ้อยคำที่กล่าวจะเรียบเฉยทว่าน้ำเสียงกลับไม่ได้ลดความนุ่มนวลอ่อนหวานไปเลยแม้แต่น้อย ทำให้ผู้ฟังล่องลอยประดุจถูกโอบล้อมด้วยสายลมวสันต์
“ประมาณสามวันขอรับ” ครั้นเหลือบไปเห็นเรือนร่างแบบบางของสตรีข้างกาย คำตอบของบุรุษหนุ่มจึงแฝงซึ่งความลำบากใจเอาไว้เล็กน้อย
ติดตามนายหญิงมาสิบกว่าปี เขาย่อมรู้นิสัยของผู้เป็นนายดี ยามนี้นางจะต้องร้อนใจมากเป็นแน่ ทว่าภายนอกของนางกลับเพียงแสร้งทำเป็นเยือกเย็นอยู่เท่านั้น นายหญิงของเขาก็เป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ว่านางต้องประสบกับสถานการณ์ร้ายแรงเพียงใด นางก็จะเผชิญหน้ากับมันด้วยความสงบเยือกเย็นทุกครั้ง
นางหันไปมองแสงไฟด้านล่างภูเขาที่มีมากมายประดุจดวงดาราบนฟากฟ้า ผ้าเช็ดหน้าในมือนางพลันถูกขยำจนแน่น ก่อนที่นางจะกล่าวออกมา “หากว่าเจ้าควบม้าไปเพียงผู้เดียวเล่า”
ทั้งสองคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่ากำลังคนของตงเยวี่ยอ๋องจะติดตามมาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
“นายหญิง ผู้น้อยได้สาบานว่าจะปกป้องท่านด้วยชีวิตแล้ว ไม่มีทางทอดทิ้งท่านเด็ดขาด!” ชายหนุ่มรับรู้ถึงความหมายของนางดีจึงรีบคุกเข่าประสานหมัดเอ่ยขึ้นในทันใด
ตั้งแต่นางอายุสี่ขวบ เขาก็ติดตามนางไม่ห่างแม้เพียงครึ่งก้าว ภารกิจชั่วชีวิตนี้ของเขาก็คือการปกป้องนาง ปกป้องนางด้วยชีวิต! ดังนั้นต่อให้ต้องตายเขาก็ไม่มีทางจากนางไปไหนแม้เพียงครึ่งก้าว!
“เซ่าหลิน ไม่ว่าเรื่องอะไรเจ้าก็ล้วนดีไปหมด เสียแต่หัวแข็งเกินไปหน่อย ไม่รู้จักยืดหยุ่น!”
ครั้นนางผินดวงหน้ากลับมา สีหน้าสงบเยือกเย็นนั้นเมื่ออยู่ใต้แสงไฟริบหรี่พลันเปลี่ยนเป็นสีหน้าลึกลับที่ยากจะคาดเดา
บุรุษหนุ่มนามว่า ‘เซ่าหลิน’ ผู้นั้นเมื่อเห็นสีหน้านิ่งสงบของนางก็เงียบงันไป บางที…เขาเองอาจจะหัวแข็งอย่างที่นางว่า ทว่านี่ก็เป็นคุณสมบัติที่ผู้ทำหน้าที่เป็นเงาควรจะมีไม่ใช่หรือ หากว่าเขาไม่ถือทิฐิ หรือไม่หนักแน่นพอ ยามนั้นเขาคงไม่เลือกติดตามนางเข้าวังหลวง แต่จะเลือกพานางหลบหนีไปให้ไกลสุดหล้า!
“แทนที่จะให้คนสองคนต้องตายไปด้วยกัน ไม่สู้ลองเดิมพันดูสักตั้ง!” มืองามประดุจหยกของนางแตะลงบนไหล่หนาเหยียดตรงของเขา น้ำเสียงไม่อนุญาตให้เขาปฏิเสธ “เจ้าจงนำตราหงส์ของไอจยา* ล่วงหน้าไปหาพระอัยกาที่เมืองสู่ ให้พวกเขายกทัพมาช่วยเหลือฮ่องเต้!”
นางหาใช่ไม่วางใจมอบลัญจกรหยกให้เซ่าหลิน ทว่านางกลับกลัวว่าบิดาของตนเองจะต้านทานความเย้ายวนของอำนาจไม่อยู่แล้วคิดอยากจะเป็นฮ่องเต้เองเสียมากกว่า ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มีทั้งกองทหารอยู่ในมือและยังมีจิตใจที่ทะเยอทะยานยิ่ง
หากให้เซ่าหลินนำตราหงส์ไป ต่อให้นางถูกตงเยวี่ยอ๋องจับกุมตัวได้ เขาที่ไม่มีตราหงส์ประทับตำแหน่งก็ไม่อาจเรียกตนว่าเป็นฮ่องเต้ได้เช่นกัน
ครั้นฝ่ามือนุ่มละมุนของนางแตะลงบนบ่าของชายหนุ่ม ดวงตาของเซ่าหลินก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย หัวใจประหนึ่งหยุดเต้นลงชั่วขณะ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากแขนเสื้อของนางทำให้เขาเคลิบเคลิ้มหลงใหล กี่ปีมาแล้ว ที่นางไม่ได้แตะบ่าของเขาโดยปราศจากความห่างเหินเย็นชาเฉกเช่นในยามนี้
เริ่มตั้งแต่ที่นางเข้าวังไปในวันนั้น นางก็กลายเป็นกุ้ยเฟยแห่งแคว้นเสวียนอู่ ทั้งต้องวางตัวสูงศักดิ์เฉกเช่นเชื้อพระวงศ์อยู่ตลอดเวลา แม้ในยามนั้นนางจะมีอายุได้เพียงสิบสี่ปีก็ตาม สำหรับความขื่นขมของนางมีเพียงเขาที่จะเข้าใจนางได้ ด้วยเหตุนั้น ในฐานะที่ตนเองเป็นข้ารับใช้ สิ่งที่เขาทำได้จึงมีเพียงแค่ทำตามคำสั่งของนางอย่างสุดความสามารถเท่านั้น ทว่ายามนี้เขากลับไม่คิดอยากเชื่อฟังคำสั่งของนางเลยแม้แต่น้อย
“ผู้น้อยไม่มีวันจากท่านไปไหนพ่ะย่ะค่ะ!” ชายหนุ่มกัดฟันแน่น เป็นครั้งแรกที่เขาขัดขืนคำสั่งของนาง
“เซ่าหลิน เจ้าช่างบังอาจ! ไอจยาขอสั่งให้เจ้านำตราหงส์ล่วงหน้าไปขอความช่วยเหลือจากพระอัยกา หากเจ้าไม่เชื่อฟัง ข้าจะถอดตำแหน่งของเจ้าเดี๋ยวนี้ ไม่เรียกใช้งานเจ้าอีกตลอดไป!”
เซิ่งเสวี่ยรั้งมือขาวผ่องของตนกลับมาก่อนจะล้วงเอาตราหงส์จากในแขนเสื้อแล้วโยนตรานั้นลงข้างเท้าของชายหนุ่มด้วยสายตาเข้มงวด นางกำลังใช้ฐานะไทเฮาบีบบังคับเขา คำพูดของนางบอกชัดว่าหากเขายังไม่ไป ก็ไม่ต้องติดตามนางอีก
เซ่าหลินเงยหน้าขึ้น เขามองท่าทางหนักแน่นของนางอย่างปวดใจ ชั่วขณะนั้นเขาพูดอะไรไม่ออก
ดื้อดึงได้เพียงครู่หนึ่ง เซ่าหลินก็ได้แต่ยอมถอย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน “ผู้น้อยน้อมรับพระราชบัญชา ทว่าได้โปรดให้ผู้น้อยหลอกล่อทหารที่ติดตามมาด้านล่างไปด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เซ่าหลินรู้ดีว่าเมื่อนางตัดสินใจเรื่องใดไปแล้วก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีก และเขายังรู้ว่าด้วยสติปัญญาของนางจะต้องรักษาตัวรอดได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงฝืนข่มความเจ็บปวดแล้วน้อมรับคำสั่ง
ชายหนุ่มยื่นมือออกไปเก็บตราหงส์ขึ้นมาก่อนจะกำมันแน่นไว้ในฝ่ามือ
“ดี!” นางจะไม่รู้ศรัทธาในใจของเขาที่มีต่อนางได้อย่างไร หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก มองตามเขาที่กระโดดขึ้นหลังม้าตามคำสั่ง
นางรู้ว่าหากตนเองไม่ยอมรับปากให้เขาหลอกล่อกลุ่มทหารที่ติดตามมาจากไป เขาจะไม่มีทางจากไปอย่างสบายใจเป็นแน่ อีกทั้งนางก็มั่นใจในวรยุทธ์ของเขาเป็นอย่างมาก สำหรับเขาแล้วการที่ต้องรับมือกับศัตรูนับร้อยจึงหาใช่ปัญหาแต่อย่างใด
“นายหญิง ท่านจะต้องรอผู้น้อยกลับมา”
จบคำ ชายหนุ่มก็รั้งสายตาจากร่างของนางอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะกระทุ้งท้องม้าแล้วห้อตะบึงลงจากเขาไป
“รักษาตัวด้วย…พี่เซ่าหลิน” ครั้นเห็นเงาหลังของเขาที่ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ เซิ่งเสวี่ยจึงพึมพำออกมาแผ่วเบา กล่าวจบน้ำตาที่ฝืนกลั้นเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็เอ่อคลอนัยน์ตา
ครู่ต่อมานางก็หมุนกายช้าๆ ก้มหยิบตะเกียงอ่อนแสงที่ล้มอยู่ตรงปลายเท้าขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าไปยังยอดเขา
นางเดินไปได้ไม่ไกล ด้านล่างภูเขาก็แว่วเสียงขับไล่ดังโหวกเหวก เซิ่งเสวี่ยหันไปมองด้านล่าง ก็เห็นเพียงแสงไฟพราวพร่างดุจดวงดาราเหล่านั้นไล่ตามไปยังทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว นางรู้ได้ในทันที ยามนี้เซ่าหลินหลอกล่อศัตรูไปได้สำเร็จแล้ว ทั้งรู้ว่าเขายังใช้ตนเองไปเสี่ยงอันตรายไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลยแม้แต่น้อย นางเชื่อมั่นว่าสุดท้ายแล้วเขาจะหลุดพ้นภยันตรายนี้ไปได้ เพราะวรยุทธ์ของเขาถือเป็นหนึ่งในใต้หล้า เช่นนี้จึงเป็นเหตุผลที่ท่านพ่อเลือกเขาให้เป็นองครักษ์เงาของนาง
หลังเซิ่งเสวี่ยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา บนดวงหน้าก็ปรากฏสายตาแน่วแน่ขึ้นมาแทน นางจะต้องปลอดภัยกระทั่งรอเซ่าหลินยกทัพกลับมาช่วยให้ได้!
ขณะกำลังจะก้าวเดินไปต่อก็พลันได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เซิ่งเสวี่ยรีบก้าวเข้าไปหลบหลังต้นไม้ข้างทาง
ไม่นานคนชุดดำสวมหมวกสานหลายคนก็เข้ามายืนอยู่ตรงจุดที่รถม้าพลิกคว่ำไปก่อนหน้านี้
“ตรงนี้มีรถม้า! ดูท่า หัวหน้าจิงหงจะกล่าวเอาไว้ไม่ผิด บุรุษชุดดำคนนั้นกำลังล่อเสือลงจากภูเขา!”
“อืม นางเป็นเพียงหญิงตัวคนเดียว คงจะหนีไปได้ไม่ไกลนัก!”
“ตามไป!”
ครั้นเห็นกลุ่มคนชุดดำสวมหมวกสานเหล่านั้นเดินจากไปแล้ว เซิ่งเสวี่ยจึงค่อยๆ ก้าวออกมาจากเงามืดหลังต้นไม้ สีหน้าของนางปราศจากซึ่งความหวาดกลัว ประหนึ่งคนเหล่านั้นมิได้กำลังตามหาตัวนางแต่เป็นเพียงคนผ่านทางที่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนางผู้หนึ่ง
ครั้นนึกถึงคำพูดของพวกเขาเมื่อครู่ นางก็อดเย้ยหยันพวกเขาอยู่ในใจมิได้
พวกโง่เขลา! สถานที่ที่ยิ่งอันตรายมากเท่าไหร่ในทางกลับกันก็เป็นสถานที่ที่ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นนางจะหนีกลับเข้าเมืองหลวง!
* กระบี่อวี๋ฉาง เป็น 1 ใน 10 กระบี่ชื่อดังของจีน ตัวกระบี่ค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับกระบี่เล่มอื่นจนสามารถซ่อนเอาไว้ในท้องปลาเพื่อลอบสังหารได้ จึงเป็นที่มาของชื่ออวี๋ฉางซึ่งแปลว่าเครื่องในปลา
* นกที่ชะโงกหัว เป็นสำนวน เปรียบเปรยถึงคนที่ชอบเสนอตัวออกหน้าในทุกๆ เรื่องโดยไม่ดูสถานการณ์หรือความเหมาะสม
** นอนฟืนแข็งชิมดีขม เป็นสำนวนจีน หมายถึงการเคร่งครัดต่อตนเองเพื่อสร้างความมุมานะเอาชนะคำสบประมาท มีที่มาจากเยวี่ยอ๋องโกวเจี้ยนเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นเยวี่ยสมัยปลายยุคชุนชิว ครั้งหนึ่งโกวเจี้ยนยกทัพไปตีแคว้นอู๋แต่กลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต้องยอมตกเป็นเมืองขึ้นและกลายเป็นทาสรับใช้ของฟูไชประมุขแคว้นอู๋ในขณะนั้น โกวเจี้ยนจึงใช้อุบายนานัปการเพื่อให้ฟูไชตายใจ เชื่อว่าตนไม่คิดเป็นศัตรูแล้วด้วย สามปีต่อมาฟูไชจึงปล่อยตัวเขากลับบ้าน โกวเจี้ยนกลับมาแล้วก็นอนบนฟืนแข็งชิมดีขม เพื่อมิให้ลืมความยากลำบากเมื่อครั้งตกเป็นทาสรับใช้ ท้ายสุดก็สามารถยกทัพตีเมืองหลวงของแคว้นอู๋สำเร็จ
* ไอจยา แปลว่าผู้เศร้าโศก เป็นคำแทนตัวของฮองเฮาที่ฮ่องเต้ผู้เป็นสามีสวรรคต และตนเองได้เลื่อนยศเป็นไทเฮา (พระพันปี) แสดงถึงความเป็นผู้โศกเศร้าน่าสงสาร
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.