บทที่ 3
ไลลาไม่ได้ตื่นขึ้นมาดูแสงแรกของวันอย่างที่ตั้งใจเอาไว้…แท้จริงแล้วเรียกว่า ‘ตื่นไม่ทัน’ ท่าจะเหมาะสมกว่า เพราะเมื่อดวงตาสีน้ำตาลแกมเขียวปรือขึ้นมองนาฬิกา ก็ต้องรีบดีดโหยงออกมาจากเตียงด้วยความตกใจทันที เนื่องจากเข็มสั้นดันชี้ไปที่เลขสิบเอ็ดขณะที่เข็มยาวกำลังหมิ่นเหม่ใกล้จะแตะเลขหกอยู่กลายๆ หญิงสาวได้แต่ยืนมุ่นคิ้ว ยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ ครู่หนึ่ง ปล่อยให้สมองทำหน้าที่เรียบเรียงสติทีละน้อย
เมื่อคืนเธอฝันดีมาก…ดีขนาดที่ตื่นขึ้นมาก็ยังมีรอยยิ้มอ่อนๆ ระบายอยู่บนใบหน้า แต่หากจะทบทวนว่าเรื่องราวในฝันเกี่ยวกับอะไร ไลลากลับจำไม่ได้เสียแล้ว รู้เพียงในใจสัมผัสความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนราวกำลังได้รับการปกป้องอยู่ตลอดเวลา คล้ายมีคนมายกหินแน่นหนักซึ่งกดทับมาแสนนานออกไป คงไว้เพียงอากาศปลอดโปร่ง…ทั้งรื่นรมย์และปรีดาอย่างที่สุด
…อันที่จริงแล้วอย่าว่าแต่ฝันเมื่อคืน แต่เรื่องราวหลังจากทานอาหารเย็นกับคุณอิงอรเสร็จเธอก็จำไม่ได้อีกเช่นกัน เมื่อพยายามนึกถึงก็มองเห็นเพียงเงาขมุกขมัว คล้ายมีไอหมอกซ้อนทับเหตุการณ์ทุกอย่างไว้อีกชั้น ยิ่งเพ่งมองยิ่งดูรางเลือน…ยิ่งคิดยิ่งเหมือนจะจำไม่ได้ ราวมีคนมาตัดเชือกความทรงจำออกส่วนหนึ่งแล้วมัดปมกลับเข้าไปใหม่อย่างไรอย่างนั้น…
นึกไม่ออกก็ช่างเถอะ เธอยังมีเรื่องอื่นให้ต้องสนใจมากกว่า
คิดได้เช่นนั้นร่างระหงก็กระโดดแผล็วเข้าห้องน้ำทันที ลอบแปลกใจอยู่นิดๆ กับบรรยากาศโปร่งโล่ง แตกต่างจากเมื่อวานอย่างชัดเจน หากก็ไหวไหล่ไม่คิดจะติดใจอะไรมากนัก ก่อนจะวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าอยู่สองสามครั้งพลางจับจ้องใบหน้าของตัวเองในกระจกไปด้วย
…เคยมีคนบอกว่าเธอสวยแปลก หากไลลาก็ไม่มั่นใจนักว่าคำว่า ‘แปลก’ ในที่นี้มีความหมายในแง่ดีหรือร้าย อาจเพราะเธอมีสายเลือดของทั้งตะวันออกและตะวันตกอยู่ในตัว เมื่ออยู่ท่ามกลางคนเอเชีย จะมีคนบอกว่าเธอหน้าฝรั่ง แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางฝรั่ง ก็จะมีคนบอกว่าเธอหน้าเอเชีย…แต่ถึงอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องดีตรงคนส่วนมากจะจำเธอได้ทันที เพราะความแปลกที่ว่านี้เอง…
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เกือบจะเที่ยงตรง พลันเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นราวกับรอจังหวะอยู่แล้ว เมื่อเปิดออกก็ปรากฏหญิงชราอายุราวเจ็ดสิบกว่ายืนหลังงุ้มอยู่เบื้องหน้า แม้ลักษณะท่าทางจะดูโรยวัยไปมาก หากประกายตาก็ยังแจ่มใสเฉกคนที่มองทุกสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่ง…พอได้พิจารณาดีๆ ก็จะเห็นว่ามีส่วนคล้ายคุณอิงอรอยู่มากโข ผู้สูงวัยเงยหน้าขึ้นมองเธอครู่หนึ่ง ดวงตาของผู้ผ่านโลกมานานฉายแววแปลกใจเพียงเล็กน้อยก่อนจะระบายลมหายใจช้าๆ ไลลาจึงทักทายออกไปด้วยความไม่แน่ใจเท่าใดนัก
“สวัสดี…ค่ะ”
ใบหน้าเหี่ยวย่นยืดคอมองข้ามไหล่ของหญิงสาวเข้าไปข้างใน กวาดตาอยู่ชั่วครู่จึงกระแอมถาม
“แม่คนที่อยู่ห้องนี้ไปแล้วเหรอ”
“ใครนะคะ” เธอหันกลับไปสำรวจภายในห้องก่อนจะหันกลับมาหาผู้อาวุโสอีกครั้ง “คุณยายหมายถึงใครคะ”
“…ไปแล้วจริงๆ ด้วย ทำอีท่าไหนล่ะนี่เค้าถึงได้ยอมออกไปได้ ฉันกล่อมอยู่นานไม่เคยได้ผลสักที” นอกจากไม่มีทีท่าจะตอบคำถามนั้นแล้ว หญิงชรายังพร่ำบ่นพึมพำจับใจความไม่ได้อยู่นานสองนาน เรียกคิ้วเรียวให้ขมวดเป็นปมด้วยความงุนงง
“คุณยายมีอะไรให้หนูช่วยไหมคะ”
ก่อนจะได้คำตอบจากผู้อาวุโส ดวงตาสีประหลาดก็พลันเหลือบไปเห็นเด็กบอยกำลังยืนแอบอยู่ตรงบันได เมื่อรู้ตัวว่าถูกจับได้ แทนที่จะผลุบหายไปกลับยื่นมือออกมากวักเรียกเธอยิกๆ
ไลลาปิดประตูห้องอย่างสุภาพที่สุดเพื่อรักษาน้ำใจคนแก่ซึ่งยังชะเง้อมองเข้าไปอยู่ ก่อนจะรีบเดินไปหาเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว
“พี่ ยายแกไปพูดอะไร” น้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ หากก็อยากรู้
“แกมาถามหาคนที่อยู่ในห้องนั้น”
หญิงสาวตอบตามความเข้าใจของตน เรียกเม็ดเหงื่อให้เกาะพราวเต็มหน้าคนฟัง เด็กบอยกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกใหญ่แล้วเอ่ยขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“แล้วพี่ตอบไปว่ายังไง ไม่สิๆ…เมื่อคืนมีอะไรแปลกๆ ไหม”
“ไม่เห็นจะมีอะไรเลย นอนหลับสบายดีด้วยซ้ำ”
คราวนี้หลานชายเจ้าของบ้านถึงกับอ้าปากค้าง เบิกตาจ้องเธอจนแทบถลน ท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ความตกใจมีมากกว่า
“พี่! พี่บูชาอะไรไว้ รู้ไหมว่าตั้งแต่เปิดที่นี่มาไม่เคยมีใครได้นอนสบายกันสักคน นอกจากยายที่เป็นคนเข้าไปทำความสะอาดห้องแล้วไม่มีใครอยู่ได้เลยนะ”
“ยายแกเป็นใครเหรอ”
ไลลาเลือกจะพยักพเยิดไปทางหญิงชราซึ่งยังยืนพึมพำอยู่หน้าห้องเธอแทนการตอบคำถาม และราวกับรู้ตัวว่าถูกกล่าวถึง ดวงตาโรยวัยจึงหันขวับมาจนเด็กบอยสะดุ้งโหยง
“ยายยิ้ม…ยายของผมเองฮะ แกแก่แล้ว ชอบพูดคนเดียวมาแต่ไหนแต่ไร แม่เคยบอกว่าแกติดต่อกับพวก…เอ่อ…พวกวิญญาณได้ แต่ป้าอรไม่ค่อยเชื่อ ทั้งๆ ที่ก็มีแต่แกนี่แหละที่กล้าเข้าไปทำความสะอาดห้องศูนย์หนึ่งอยู่คนเดียว…ห้ามก็ไม่ฟัง”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักรับรู้พลางลอบมองผู้สูงวัยอีกครั้ง ยายยิ้มของเด็กบอยยังจับสายตามาที่เธอนิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนจะค่อยๆ แย้มยิ้มเป็นมิตรส่งให้ ร่างงุ้มๆ โงนเงนคล้ายกำลังก้มตัวทักทาย
“แกก็น่ารักดีออก”
เธอส่งยิ้มกลับไปก่อนจะชวนเด็กหนุ่มเดินลงชั้นล่างโดยไม่คิดติดใจอะไรอีก
…ระเบียงทางเดินโล่งจึงเหลือเพียงหญิงชราที่ทอดสายตามองตามร่างระหงไป ประกายแจ่มแจ้งพลันหันกลับมามองอากาศธาตุด้านหลังตน ก่อนกล่าวอย่างนอบน้อมคล้ายสนทนากับใครคนหนึ่งอยู่!
“…เพคะ หม่อมฉันเคยตามป้าไปเข้าเฝ้าท่านเมื่อตอนเด็กๆ เพคะ…ผู้หญิงคนนั้นหม่อมฉันก็จำได้เพราะเคยเห็น…แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้เอง…”
“ป้าอรไม่อยู่หรอกพี่ ออกไปสอนหนังสือตั้งแต่เช้า เย็นๆ นู่นแหละถึงจะกลับ แต่ป้าแกก็ฝากไว้ว่าถ้าพี่อยากได้อะไรหรืออยากไปไหนก็ถามผมได้เลย”
เสียงเด็กบอยดังแจ้วๆ ก่อนเจ้าตัวจะเดินถือกาแฟเข้ามาในเฉลียงไม้เลื้อยซึ่งมีร่างระหงกำลังยืนพินิจกลีบดอกสีม่วงอยู่ ไลลาหัน กลับมารับน้ำสีน้ำตาลเข้มพร้อมจิบเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยชม
“ชงกาแฟอร่อยเหมือนกันนะเนี่ย”
เพียงเท่านั้นเด็กหนุ่มก็พลันหน้าแดงถึงหู ยกแก้วของตนขึ้นดื่มอย่างเก้กัง
หญิงสาวกวาดสายตามองโดยรอบก่อนจะถอนหายใจเชื่องช้า บริเวณเกสต์เฮ้าส์ทั้งเงียบและว่างเปล่า ด้วยยามนี้แขกหลายคนคงออกไปเที่ยวกันหมดแล้ว เหลือเพียงเธอที่ยังเป็นเรือใบไร้ฝั่ง ไม่มีแม้แต่ทิศทางลมให้ไป และต่อให้หันหัวเรือกลับจุดเริ่มต้นก็ไม่ทันเสียแล้ว…ความคิดเริ่มพันกันยุ่งเหยิงจนต้องยกกาแฟขึ้นมาดื่มอีกอึกใหญ่
อาจเพราะท่าทางหงอยลงอย่างเห็นได้ชัดของเธอ หลานชายเจ้าของบ้านจึงทักขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกระตุ้นอยู่กลายๆ
“เออ พี่ เรื่องเมื่อคืนที่พี่ถามป้าอรน่ะ พี่อยากจะรู้ไปทำไมเหรอ”
“เรื่องอะไร”
ดวงหน้าเนียนเงยขึ้นถามด้วยความสงสัย เมื่อคืนเธอคุยน้อยเสียเมื่อไหร่ เรื่องที่พูดก็มีนับไม่ถ้วน
“เรื่องบ้านโบราณนั่นไง ที่พี่ถามว่าที่ไหนมีเรือนกระจกด้วย…พี่อยากรู้ไปทำไมเหรอ” คนฟังมีท่าทีขยับตัวเล็กน้อย เด็กหนุ่มจึงขยายความต่อทันที “ผมแค่งงว่าทำไมพี่ถึงไม่อยากไปเที่ยวที่ดังๆ แบบคนอื่นเค้า…ทำอย่างกับเจาะจงหาบ้านอยู่หลังเดียวอย่างนั้นแหละ”
หญิงสาวยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้งพลางทอดสายตาเนิ่นนาน ราวกับกำลังมองภาพบางอย่างซึ่งฉายวนเวียนอยู่ในหัว ก่อนริมฝีปากอิ่มจะอมยิ้มจางๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น
“นั่นสิ…แถมยังไม่รู้ด้วยว่าจะหาเจอไหม”
“นี่นะ พอพี่พูดถึงบ้านโบราณกับเรือนกระจก ผมก็เลยนึกถึงวังสวนกระจกขึ้นมา”
คำพูดเพียงไม่กี่คำของเด็กบอยกลับทำให้ไลลาหันขวับไปจ้องแทบจะทันที ก้อนเนื้อข้างในอกพลันโลดเต้นอย่างน่าประหลาด ลมหายใจจึงถี่รัวจนไม่อาจควบคุม มือเรียวกำแก้วกาแฟไว้แน่นหากก็ไม่รู้สึกถึงความร้อนกระจายออกมาสักนิด ด้วยยามนี้มีสิ่งที่เธอสนใจยิ่งกว่าหลายร้อยเท่า
“วังอะไรนะ”
ไลลาได้ยินเสียงตัวเองเอ่ยถามแผ่วหวิว
“วังสวนกระจก…ก็ไม่ใช่วังใหญ่โตมีชื่อเสียงอะไรหรอก แถมมีเจ้าของด้วย คนนอกเลยเข้าไปไม่ได้ เห็นว่าในวังมีเรือนกระจกอยู่หลังนึง ก็เลยเรียกกันว่าวังสวนกระจก แต่เค้าว่ากันว่าเป็นวังต้องคำสาป เวลาเดินผ่านก็เลยหลอนๆ ยังไงไม่รู้แหละ ที่ผมรู้จักก็เพราะเดินผ่านอยู่ทุกวันเวลาไปเรียน…” เด็กหนุ่มตอบพลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ หากก็ต้องชะงักนิ่งเมื่อหญิงสาวตรงหน้ากลับดูตื่นตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
“อยู่ไหน…” ดวงตาสีน้ำตาลแกมเขียวกะพริบรัว ใบหน้างามทั้งคล้ายจะหัวเราะและร้องไห้ในคราวเดียวกัน “วังสวนกระจกที่ว่าอยู่ไหน”
“ใจเย็นๆ นะพี่…เอ้อ จะให้พูดยังไงดีล่ะ ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่หรอก ก็อยากพาไปนะแต่ผมต้องเฝ้าเกสต์เฮ้าส์ด้วยสิ…เฮ้ยพี่ ใจเย็นๆ เอางี้ เดี๋ยวเขียนแผนที่ให้แป๊บ…”
หลังจากนั้นเด็กบอยจะพูดอะไรต่อเธอก็ไม่ได้ฟังสักนิด เพราะสติรับรู้ทั้งหมดไปจดจ่ออยู่กับ ‘วังสวนกระจก’ ตามคำบอกเล่าเสียแล้ว…บ้านโบราณที่มีเรือนกระจกจะมีสักกี่มากน้อยกันเชียว เสียงกระซิบจากจิตใต้สำนึกกู่ก้องดังอยู่ในหัว พร้อมภาพในฝันค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะการเต้นของหัวใจ…
รอก่อน…รอก่อนเถอะวังสวนกระจก…เราจะได้พบกันแน่!!
ตลอดเวลาที่ไลลาเดินจากเกสต์เฮ้าส์ของคุณอิงอรผ่านไปโดยไม่สร้างความทรงจำในหัวเลยสักนิด คล้ายสติทั้งหมดจดจ่ออยู่กับจุดหมายจนลืมเรื่องราวระหว่างทางไปเสียสิ้น ไม่ว่าจะถนนที่เดินผ่านหรือผู้คนที่พบเจอล้วนเป็นเพียงภาพเลือนราง ไม่มีสิ่งใดกระจ่างชัดพอให้บรรยายได้เลย
ไลลาก้มลงดูแผ่นกระดาษในมือซึ่งมีลายเส้นกระยึกกระยือของเด็กบอย ก่อนจะกวาดสายตามองรอบตัวอีกครั้ง…จากซอยนี้…เลี้ยวซ้าย…แล้วก็ตรงไปอีกนิด…
พลันสองขาก็หยุดนิ่ง สองตาทำได้เพียงมองตรงไปคล้ายคนโดนสะกดจิต…เมื่อกำแพงที่ปรากฏเบื้องหน้าอีกฟากฝั่งของถนนห้อมล้อมอาณาเขตภายในไว้อย่างมิดชิด สีขาวที่ทาทับยังใหม่แสดงถึงการดูแลรักษาเป็นอย่างดี หากภายในเป็นเช่นไรกลับไม่อาจมองเห็นได้ ด้วยมีต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นชุม แผ่กิ่งก้านสอดประสานกันไปมาจนบดบังแทบทั้งหมด…คล้ายว่าเจ้าของบ้าน…ต้องการหลีกเร้นตนจากโลกภายนอก…
…อีกนิดเดียวเท่านั้น
หญิงสาวกระซิบกับตัวเองอย่างร้อนใจ
ราวมีเสียงจากจิตใต้สำนึกเข้ามาเร่งเร้าในหัว ผลักดันให้ไลลาก้าวเดินตรงไปอย่างคนโง่งม…สิ่งเดียวที่คอยวนเวียนมาทั้งชีวิตอยู่เบื้องหน้าตรงนี้แล้ว…อีกนิดเดียวเธอก็จะได้พิสูจน์ว่าสถานที่ในความฝันปริศนานั้นมีอยู่จริง…
ปี๊บบบบบบบบบบ!!!
พลั่ก!!!!
เสียงแตรรถดังสะท้อนไปทั่วบริเวณตามมาด้วยความรู้สึกราวร่างกำลังหมุนคว้างกลางอากาศ ก่อนจะตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง!!
ท่ามกลางความตื่นตะลึงนั้นเอง ไลลาได้ยินเสียงกระดูกภายในแหลกร้าวกึกก้องอยู่ในหู รวมถึงกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในบางส่วนฉีกขาด พลันก้อนของเหลวบางอย่างก็พุ่งทะลักออกมาจากปากและจมูกให้รสฝาดเฝื่อน เหม็นกลิ่นสนิมกำจายจนไม่อาจหายใจได้
“เฮ้ย!! คนโดนรถชน เรียกรถพยาบาลเร็ว!!”
เสียงอึงอลโดยรอบคล้ายแมลงบินว่อน สดับฟังได้ยากยิ่ง
ใคร…ใครโดนรถชน…เธอเหรอ
หญิงสาวพยายามเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นอย่างยากเย็น หากภาพที่เห็นกลับพร่ามัวราวโลกถูกย้อมอาบไปด้วยสีแดง จับได้เพียงเงาสลัวของผู้คนซึ่งกำลังห้อมล้อมตนอยู่
…ทว่าไกลออกไปในหมู่การเคลื่อนไหวอันเร่งเร้านั้น กลับปรากฏเงาร่างหนึ่งในชุดสว่างคล้ายสีขาว…ค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ทะลุผ่านกลุ่มคนมากมายราวม่านหมอก ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ พลันเสียงซึ่งเหมือนจะคุ้นเคยก็ดังขึ้นมา…เป็นความรู้สึกยามคล้ายได้ยินเสียงเพลงในตอนไม่ได้ฟังเพลง…คือแผ่วเบาด้วยไม่มีอยู่จริง แต่กลับกระจ่างชัดเจนในหู…
“…อย่ากลัว…ไม่มีอะไรต้องกลัว ฉันจะอยู่กับเธอเอง”
…ความชาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดทั่วร่าง แผ่ขยายจนไม่อาจทานทนไหว ภาพความทรงจำในหัวไหลทะลักออกมาราวสายน้ำเชี่ยวกราก…พ่อ…แม่…ซิลเวีย…เพื่อนๆ ของเธอทุกคน ความสุขสมหวังตั้งแต่วัยเยาว์กระทั่งปัจจุบันค่อยๆ ฉายต่อเนื่องราวภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง
ไลลาสะท้านขึ้นมาในใจ…นี่เธอกำลังจะตายใช่ไหม
หญิงสาวค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ ปล่อยให้ความมืดครอบครองทุกสรรพสิ่ง…
….
….
…
ไม่!!!
สติสุดท้ายกรีดร้อง ตะเกียกตะกายออกจากความปราชัย
เธอไม่ยอม!! เหตุใดเธอต้องยอมตายโดยไม่ได้รู้คำตอบที่เฝ้ารอมาทั้งชีวิตด้วย!!
ฉันไม่ไป!!…จะอย่างไรก็ต้องรู้คำตอบให้ได้…จะอย่างไรก็ต้องได้เห็นชายปริศนาคนนั้น…ต้องได้เห็นบ้านหลังนั้น
…ไหนจะเรื่องความรักอีกเล่า เธอเชื่อมาตลอดว่าตัวเองถูกสร้างมาเพื่อใครสักคนไม่ใช่หรือ…เหตุใดจะยอมให้ตัวเองจากไปพร้อมกับความว่างเปล่าเช่นนี้!!
ดวงจิตสุดท้ายดิ้นรนต่อรอง ก่อนจะรู้สึกราวร่างทั้งร่างกำลังจมดิ่งลงเหวลึกอนธการ ทั้งหมุนคว้างและลอยล่อง ดุจถูกห้วงกระแสอากาศกลืนกิน กระชากดึงอยู่ในจักรวาลคล้ายภาพลวงตา
…แล้วหยุดนิ่ง…พร้อมความรู้สึกสุดท้ายที่มืดดับลง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.