บทที่ 2 เหตุผลของคนที่เกลียดกัน
ฉันค่อนข้างจริงจังกับคำพูดที่ว่า 'คนบางคนมีไว้ให้เราคิดถึงและแอบรักเท่านั้น ไม่ได้เหมาะที่จะเก็บไว้ครอบครอง' แนวคิดดังกล่าวถูกปลูกฝังมาจากการเป็นแฟนคลับมืออาชีพที่วนเวียนอยู่ในแฟนด้อมต่างๆ ทางโซเชียลเน็ตเวิร์กนับสิบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสมรภูมิไทย จีน ญี่ปุ่น ฝรั่ง หรือเกาหลี เวลาเป็นแฟนคลับใครฉันจึงไม่เคยคาดหวังอะไรนอกจากอยากเห็นผู้ที่เราให้การสนับสนุนประสบความสำเร็จและได้รับสิ่งที่ดีสูงสุดในอาชีพ โดยส่วนใหญ่ก็จะคอยซัพพอร์ตและเฝ้ามองอย่างชื่นชมอยู่ไกลๆ โดยไม่ต้องการที่จะมีโมเมนต์ส่วนตัวกับไอดอลเลยแม้แต่น้อย
แต่เนื่องจากตอนนี้ฉันมีเหตุผลให้ต้องพัวพันกับแซคอยู่เสมอ ทั้งป้ามัทและเพื่อนแต่ละคนของฉันจึงล้วนแต่เป็นห่วงเป็นใยกลัวว่าฉันจะเผลอใจไปตกหลุมรักแซคเข้าอย่างจริงจังจนถอนตัวไม่ขึ้น แล้วทำให้กลายเป็นปัญหาใหญ่ในชีวิตไป ดูเหมือนจะไม่มีใครเชื่อมั่นเลยว่าฉันจะสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์สุ่มเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างสบายๆ
อาจเพราะบุคลิกภายนอกที่ดูเนิร์ดนิดๆ ทึ่มหน่อยๆ น่าเบื่อสุดๆ ดูเหมือนหัวอ่อนและคล้ายจะไม่ประสีประสาเรื่องความรัก หรือแม้แต่เรื่องอื่นใดในการใช้ชีวิตนอกจากเรื่องงานที่ถูกเจ้านายจิกหัวใช้เป็นว่าเล่นเหมือนเครื่องจักร...ก็เป็นได้ ใครๆ จึงคาดว่าฉันเข้าข่ายคนที่มีแนวโน้มว่าจะต้องเสียผู้เสียคนเพราะผู้ชายในสักวันหนึ่ง ทั้งที่จริงแล้วฉันเป็นคนอ่อนนอกแข็งใน จิตใจกร้าวแกร่งดุจหินผา และที่ผ่านมาก็สามารถก้าวข้ามทุกด่านยากๆ ไปได้อย่างง่ายดายเสมอ ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันก็เชื่อว่าตัวเองจะผ่านมันไปได้สบายๆ ฉันเชื่อมั่นเช่นนั้นมาตลอด
จริงๆ ทุกคนก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าฉันสามารถรับมือเรื่องพวกนี้ได้สบายมาก เพราะถ้าฉันเป็นคนอ่อนไหวใจบางอย่างที่พวกเขาเป็นห่วง ฉันก็คงหลงรักเจ้านายตัวเองอย่างหัวปักหัวปำไปแล้วตั้งแต่ทำงานกับเขาได้ไม่ถึงเจ็ดวัน เพราะเมื่อถ้าเทียบกันฉันคิดว่าคุณไอซ์น่ารักและมีเสน่ห์ดึงดูดรุนแรงกว่าแซคหลายเท่า นิสัยใจคอก็ดีกว่าเยอะ... แต่พอความคิดแบบนี้ผุดขึ้นมา เสียงเข้มๆ ของคุณพริ้งเมียคุณไอซ์ก็ลอยมาเตือนสติทันทีเช่นกัน...
'เธอรอดปลอดภัยจากไอซ์มาได้ ก็ใช่จะแปลว่าเธอสามารถรอดจากทุกคนเสมอไป เธอไม่เคมีกับไอซ์ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เคมีกับแซคด้วย เพราะถ้าเกิดรหัสพันธุกรรมของเธอดันไปเข้ากันได้กับแซคมากกว่าผู้ชายทั้งหมดที่เธอเคยพบเจอมาทั้งชีวิต งานนี้เธออาจจะเอาตัวไม่รอด และจะต้องซวยแน่นอนดีดี้ ฉันเตือนแค่นี้!'
ฉันไม่ได้ละเลยคำเตือนดังกล่าวของคุณพริ้ง แต่มันก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องเก็บมาคิดจนฟุ้งซ่าน ฉันมีความเป็นแฟนคลับสายมโนที่ถนัดต่อยอดด้วยจินตนาการของตัวเองเพื่อความฟินในการติ่งก็จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวจริงๆ แล้วล่ะก็ ฉันไม่เคยเก็บประเด็นใดๆ มาคิดเชื่อมโยงให้ตัวเองเสียเวลาหลงผิดเลย ดังนั้นแม้ว่าจะมีเหตุให้ต้องใกล้ชิดกับแซคจนอาจจะเผลอหวั่นไหวใจหวิวไปบ้างเป็นบางครั้ง แต่ฉันระวังตัวระวังใจจนวางใจได้เลยว่าไม่มีทางเกิดปัญหาอย่างที่ทุกคนเป็นห่วงแน่นอน
สมัยเรียนมหาวิทยาลัยฉันเคยมีแฟนอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นผู้ชายนิสัยดีและเป็นที่สนใจในหมู่สาวๆ พอสมควร แม้ไม่ใช่หนุ่มหล่อร่ำรวยที่เซ็กซี่ขยี้ใจ แต่ก็เป็นผู้ชายเรียบร้อยขาวตี๋บุคลิกดีและมีมารยาท เราเริ่มจากการสนิทสนมกันในฐานะเพื่อน แล้วจึงขยับขั้นมาเป็นแฟน ปีแรกเราก็คบหากันอย่างปกติสุขแบบคู่รักวัยเรียนทั่วๆ ไป ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและออกเดตกันเป็นครั้งคราวตามประสาวัยใส แต่ต่อมาเราก็เริ่มระหองระแหงเพราะฉันมักเผลอละเลยเขาไปให้ความสนใจผู้ชายในทีวี ในหนังสือ และในอินเตอร์เน็ตมากกว่า
พอมานึกดูแล้ว...สิ่งที่ฉันจำได้แม่นสำหรับการมีแฟนตอนนั้นก็คือ ความรู้สึกเวลาที่ฉันต้องติ่งอย่างเกรงใจเขา เพราะต่อให้มีแฟนฉันก็เลิกติ่งไม่ได้จริงๆ เลยต้องคอยระวังไม่ให้เขารู้สึกแย่ จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเขามีคนอื่น แล้วเขามาบอกเลิกฉันด้วยท่าทางเสียใจอย่างแท้จริง... ฉันก็รู้สึกใจหายและเสียใจมากเหมือนกัน แต่กลับบอกเขาไปอย่างโล่งอกว่า...
'ไม่ต้องรู้สึกผิดต่อเราหรอกนะ เราอยากเลิกกับตัวเองมาตั้งนานแล้ว เราเกรงใจตัวเองมากเลยเวลาเราไปติ่ง...จนบางทีเราก็ติ่งไม่สนุก ตอนนี้เราจึงต้องขอบคุณจริงๆ ที่ตัวเองเป็นฝ่ายมาขอเลิกกับเราตรงๆ เพราะเราเองคงไม่กล้าพอที่จะบอกเลิกก่อน...'
ตอนนั้นเพื่อนบางคนบอกว่าฉันมันแย่มากที่พูดจาใจร้ายขนาดนั้นออกไป แต่บางคนก็บอกว่าฉันงี่เง่าที่ไปช่วยให้ผู้ชายที่นอกใจฉันรู้สึกผิดน้อยลง แทนที่จะด่าแรงๆ เรื่องที่เขานอกใจแล้วทิ้งฉันไปหาคนอื่น...
แต่จะให้เอาอะไรไปด่าเขาไม่ทราบ ในเมื่อฉันเองก็นอกใจเขาตลอดเวลาด้วยการมัวไปเอาใจใส่ผู้ชายมากหน้าหลายตาทั้งในรูปภาพและวิดีโอ ยิ่งตอนนั้นฉันยังเด็ก ความยับยั้งชั่งใจมีน้อย อาการคลั่งไคล้ไอดอลจึงหนักหนาสาหัสกว่าตอนนี้หลายเท่า ดังนั้นแฟนเก่าฉันจึงน่าสงสารมากจริงๆ
"วันนี้แซคจะไปกับเราด้วยนะจ๊ะดีดี้"
ฉันเลิกคิ้วอึ้งๆ เมื่อได้ยินป้ามัทพูดออกมาดังนั้น ตอนนี้เกือบเที่ยงแล้ว ฉันขึ้นมาเอาขนมที่ห้องของป้ามัทเพราะแกโทรเรียก บอกว่าเจ้าหน้าที่จากธนาคารซึ่งแวะมาทำธุรกรรมให้ป้ามัทที่คอนโดฯ เอาขนมมาฝากเยอะแยะจนทานคนเดียวไม่ไหว จึงอยากให้ฉันช่วยแบ่งไปทานบ้าง
"ป้าพยายามปฏิเสธไปแล้วแต่แซคก็ยืนกรานว่าวันนี้จะขอเจอป้าให้ได้ เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเขาไม่ว่าง จะติดงานยาวต่อเนื่องสองอาทิตย์"
"แซคจะไปกินข้าวบ้านดี้ด้วยน่ะหรือคะ" ฉันทวนถามอย่างตกใจไม่หาย
"จ้ะ พอป้าบอกเขาว่าวันนี้ไม่ว่าง จะไปปาร์ตี้บ้านดีดี้ เขาก็ถามว่าปาร์ตี้อะไร พอรู้ว่าเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ในครอบครัว ฉลองครบรอบแต่งงานพ่อกับแม่ของหนู แซคก็เลยขอไปด้วยคน ป้าโทรถามแม่หนูแล้ว แม่นวลเขาอนุญาตให้แซคไปได้จ้ะ"
ฉันอึ้งไปเล็กน้อย...
"แต่ถ้าหนูไม่สะดวกใจ ป้าจะโทรยกเลิกกับแซคเอง ป้าก็ไม่ได้อยากจะให้เขาไปด้วยหรอก รำคาญจะตาย แต่เห็นว่าให้เขามารับมาส่งเราก็สะดวกดีเหมือนกันเลยตอบตกลงไปก่อน"
"ไม่ต้องยกเลิกเขาหรอกค่ะ พี่สะใภ้ดี้คงดีใจที่ได้เจอเขา เพราะนางก็เป็นแฟนคลับแซคเหมือนกัน ถึงพ่อกับแม่จะไม่ค่อยปลื้มเขาก็เถอะ"
ป้ามัทหัวเราะอย่างไม่ถือสา "ถ้าพ่อกับแม่หนูปลื้มใจที่ลูกสาวชอบไอดอลที่มีแต่ข่าวฉาวอย่างแซค เห็นทีป้าก็คงต้องมองพ่อแม่หนูใหม่แล้วล่ะดีดี้"
ด้วยเหตุนี้ค่ำวันนั้นแซคจึงขับรถมารับเราไปกินข้าวที่บ้านฉันตามเวลานัด แต่แซคไม่ได้มาคนเดียว เขาควงสาวมาคนหนึ่ง ป้ามัทหน้าบึ้งทันทีที่เห็นเขาเดินเข้ามาในล็อบบี้คอนโดฯ พร้อมกับสาวสวยรูปร่างสูงโปร่งในชุดกระโปรงสีขาวยาวครึ่งน่อง รองเท้าส้นสูงทำให้เธอมีความสูงเกือบเท่าแซคที่ตัวสูงใหญ่ไซส์ฝรั่งเต็มไปด้วยกล้ามตึงๆ แต่พอเดินด้วยกันทั้งคู่ก็ดูเหมาะสมราวกับนายแบบนางแบบบนรันเวย์แฟชั่นโชว์ระดับโลก... เอาล่ะ...ยอมรับก็ได้ว่าเห็นแล้วแอบอิจฉานิดๆ อยู่เหมือนกัน แต่มันก็แค่นิดหน่อยเท่านั้นแหละ ไม่ได้ลึกซึ้งไปกว่านี้...
"ไม่เห็นบอกว่าจะพาใครมาด้วย" หลังจากทักทายกันเรียบร้อยแล้วแฟนสาวของแซคก็ขอตัวเดินไปรับโทรศัพท์สายหนึ่งในมุมค่อนข้างเป็นส่วนตัว ป้ามัทจึงเปิดฉากต่อว่าหลานชายเสียงกระด้าง
"ก็เห็นว่าเป็นปาร์ตี้ พาเพื่อนผมไปร่วมงานคนหนึ่งมันก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรนี่"
"แต่ก็น่าจะบอกกันก่อน ไม่ควรถือวิสาสะ นี่มันงานส่วนตัวของบ้านดีดี้เขา ไม่ใช่งานเราเอง"
แซคปรายตามองฉันเป็นครั้งแรก แววตาเฉยชาของเขาทำให้ฉันหน้าชานิดๆ แต่ที่จริงจะว่าไปก็ชินแล้วล่ะ ทุกครั้งที่เจอกันปฏิกิริยาของเขาที่มีต่อฉันก็จะเป็นประมาณนี้แหละ ฉันก็ได้แต่พยายามไม่ใส่ใจ แต่ครั้งนี้มันถือได้ว่าเป็นการเผชิญหน้าที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวกว่าที่เคย...การมองของเขาเลยทำให้ฉันร้อนวูบไปทั้งตัวด้วยความไม่พอใจ เพราะนี่มันไม่เกี่ยวกับกิจกรรมติ่งของฉัน ไม่เกี่ยวกับงานหรือเจ้านายฉัน ไม่ใช่ความบังเอิญหรือแค่การเดินสวนกันชั่วครู่ มันคือการเจอหน้ากันจังๆ ในฐานะคนรู้จักอย่างเป็นการส่วนตัวโดยที่หลบเลี่ยงอะไรไม่ได้เลย
ฉันกับแซครู้จักกันมานานแล้วในฐานะที่แซคเป็นเพื่อนรุ่นน้องในกลุ่มของเจ้านายฉัน ทั้งยังมีธุรกิจเกี่ยวข้องกับเจ้านายฉันด้วย เราเคยเจอกันมานับครั้งไม่ถ้วน ส่วนใหญ่เขาจะมองเหมือนฉันไม่มีตัวตน ท่าทางค่อนข้างเฉยๆ แต่ออกจะระวังตัวนิดๆ รำคาญหน่อยๆ และถือตัวค่อนข้างมาก ยิ่งเมื่อเข้าประกวดเดอะสเตจแล้วรู้ว่าฉันเป็นแฟนคลับ แซคก็ดูจะยิ่งพยายามเว้นระยะห่างจากฉันมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด เหมือนกลัวว่าฉันจะอาศัยเส้นสายจากคนรอบข้างในการเข้าหาหรือไปตีสนิทจนทำให้เขาอึดอัดลำบากใจ... จะว่าไปแซคนี่ก็ประสาทชะมัดเลย โหงวเฮ้งฉันไม่ได้เป็นคนแบบนั้นสักหน่อย ดูไม่ออกเลยรึไง!
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น...คนที่ประสาทกว่าก็น่าจะเป็นฉันคนนี้นี่แหละ อีกฝ่ายทำท่ารังเกียจรังงอนจนออกนอกหน้าขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่ก็ยังไม่รู้จักเสียความรู้สึก ไม่เกลียดเขา ยังคงหลงใหลได้ปลื้มและหาข้ออ้างมาเป็นเหตุผลให้กับทุกการกระทำแย่ๆ ของเขาอยู่ร่ำไป ไม่ต่างอะไรกับพวกพ่อแม่ที่พร้อมจะสปอยล์ลูกจนเสียคน นี่ถือว่าหลงจนบ้าไปแล้วชัดๆ!
จริงๆ ฉันก็พอจะอธิบายเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ได้ มันเป็นเพราะตอนฉันมีโอกาสได้มองแซคที่มายืนอยู่ตรงหน้า...เวลาเจอกัน ฉันไม่เคยรู้สึกว่าเขาเป็นคนในชีวิตจริงเลย แต่ยังคงรู้สึกว่าเขาเป็นแค่คนในฝันซึ่งกำลังแอ็กติ้งอยู่ในรายการเดอะสเตจผ่านหน้าจอทีวี... แล้วฉันก็เคยประกาศตัวในฐานะแฟนคลับของแซคท่ามกลางกลุ่มแฟนคลับด้วยกันเอาไว้ด้วยว่า สิ่งที่ทำให้ฉันชอบแซคก็คือตัวตนจริงๆ และทุกอย่างที่เขาเป็น ดังนั้นไม่ว่าเขาจะเป็นยังไงหรือทำอะไร ฉันจึงยอมรับได้ทุกรูปแบบ ยังคงชื่นชอบ และตั้งใจติดตามสนับสนุนเขาตลอดไปอย่างไม่มีเงื่อนไข...
ซึ่งตอนที่ตามเชียร์เขาในรายการเดอะสเตจฉันมีความรู้สึกแบบที่ว่านั่นอย่างเต็มร้อย กล่าวได้ว่าในฐานะแฟนคลับตอนนั้น...ความรักความเอ็นดูในตัวไอดอลในดวงใจมันมีอยู่ล้นอกชนิดที่ไม่มีสิ่งใดมาทำลายลงได้ ส่วนตอนนี้แม้จะรู้สึกชัดว่าเขาค่อนข้างเหม็นขี้หน้าฉัน แต่ฉันก็ยังปลื้มเขาในฐานะแซค เดอะสเตจอยู่ดี ด้วยความที่รักและเอ็นดูเขาไปแล้วตั้งแต่ตอนติดตามรายการอย่างเหนียวแน่น เรียกว่ารักแล้วรักเลย ดังนั้นตอนนี้ไม่ว่าเขาจะทำตัวแย่อย่างไร ส่วนใหญ่แล้วฉันก็ยังเห็นเป็นเรื่องน่าเอ็นดูไปเสียหมดอยู่ดี... จะว่าไปนี่มันถือเป็นเวรกรรมจริงๆ!
เวลาเขาทำให้โกรธ...ฉันก็โกรธได้ไม่นาน นอยด์...ก็แค่นิดหน่อยแล้วหายอย่างง่ายดาย เกลียดก็ได้แค่แป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับมากรี๊ดใหม่ เพราะในใจส่วนลึกมันไม่เคยถือสาหาความอะไรเขาจริงจังเลย และทั้งที่ตอนนี้เขาก็ไม่ได้มีผลงานในวงการบันเทิงให้ติดตามอีกแล้ว จะมีก็แต่ข่าวคราวผ่านทางโซเชียลมีเดียแบบนานๆ ครั้ง ทว่าฉันก็ยังแอบติดตามชีวิตเขาอยู่เงียบๆ ด้วยความสนใจที่แทบจะไม่ลดลงเลย เนี่ย...คงต้องถือว่าบ้าไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัยจริงๆ!
ด้วยความที่ฉันรู้จักแซคมาก่อนการประกวดเดอะสเตจนานแล้ว เคยรู้เห็นชีวิตส่วนตัวเขามาเกือบทุกแง่มุม แม้มุมมืดของเขาจะเคยทำให้ฉันมีอคติอย่างรุนแรงและรู้สึกไม่ดีกับเขาเลย แต่ครั้นได้รู้จักเขาในอีกด้านหนึ่งที่มีการนำเสนอออกสื่อและในรายการเดอะสเตจ... ซึ่งออร่าของเขาช่างเต็มไปด้วยความจริงใจ มีความยียวนกวนประสาท ปากร้ายมาก ตลกหน้าตาย น่ารักน่าชัง น่าหมั่นไส้ หว่านเสน่ห์เก่ง นิสัยดีมีมารยาท น้ำใจงาม จิตใจดีและเป็นสุภาพบุรุษอย่างยิ่ง... ทั้งหมดนี้ทำให้ความรู้สึกในใจฉันพลิกผันแบบกลับตาลปัตรได้อย่างไม่น่าเชื่อ ฉันจึงหันมารักและหลงใหลแซคอย่างหัวปักหัวปำได้ภายในเวลาแค่ไม่นาน ถึงขนาดลบลืมเรื่องรสนิยมการมีเซ็กซ์ที่ชวนหลอนของเขาไปได้โดยปริยาย
จากที่สนใจติดตามในรายการเดอะสเตจแบบผ่านๆ ด้วยฐานะคนดูที่เคยรู้จักแซคเป็นการส่วนตัวมาก่อนเท่านั้น หลังๆ ก็เริ่มกลายเป็นติดหนึบจนต้องคอยตามเชียร์และหาทางสนับสนุนแซคอย่างจริงจังขึ้นเรื่อยๆ ทำทุกอย่างที่จะช่วยให้แซคสามารถเข้ารอบลึกที่สุดในเดอะสเตจ จนในที่สุดฉันก็ถึงขนาดคลั่งไคล้เขาจนถอนตัวไม่ขึ้น และกลายเป็นแฟนคลับตัวยงที่ต้องตามไปเชียร์เขาบ่อยๆ ในอีเวนต์ต่างๆ ระหว่างที่การประกวดยังไม่สิ้นสุด จนถึงตามไปเชียร์หน้าเวทีการประกวดเดอะสเตจรอบสุดท้าย ซึ่งวันนั้นแซคไม่ได้ปรากฏตัวในรายการแต่อย่างใด...
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเขาจะปฏิบัติต่อฉันยังไงในปัจจุบัน ฉันก็ยังเห็นว่าเขาเป็นผู้ชายกวนๆ ปากร้ายนิสัยดีที่น่าค้นหา...คนเดิมคนนั้นที่ฉันเคยชอบในรายการเดอะสเตจอยู่นั่นเอง
"ผมรู้ว่าดีดี้ชอบผม"
ความคิดเพ้อเจ้อของฉันพลันสะดุดกึก ออกจะสะดุ้งเบาๆ เพราะคำพูดดังกล่าว จากนั้นจึงเบิกตามองแซคอย่างอึ้งๆ
"ก็เลยต้องพาใครสักคนมาด้วย เพื่อไม่ให้เขาหลงผิดคิดเลยเถิด"
"ว่าไงนะ..." ฉันพึมพำคำถามออกไปอย่างไม่อยากเชื่อหู ที่ได้ยินเขาบอกว่าพาผู้หญิงมาด้วยเพื่อเป็นไม้กันหมา แต่เขากลับหันมาถามย้ำหน้าตาเฉย...
"คุณชอบผมไม่ใช่เหรอ"
"แซค!" ป้ามัททำเสียงดุ "เสียมารยาท"
"ที่ผมทำแบบนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะเป็นห่วงดีดี้นะครับคุณยาย ทั้งในฐานะที่เขาเป็นคนของไอซ์และเป็นเพื่อนคุณยายด้วย ผมไม่อยากให้เขาเสียเวลามามีความหวังลมๆ แล้งๆ เพราะตอนนี้ผมก็ไม่ใช่เดอะสเตจแล้ว เขาควรจะเลิกสนใจและเลิกปลื้มผมเสียที ผมไม่อยากให้เขาคิดเลยเถิดจนคุณยายกับไอซ์ต้องลำบากใจไปด้วย"
ฉันตกตะลึงมาก แต่ก็ได้แค่มองเขาอย่างพิศวงงงงวยแกมโมโห จับต้นชนปลายแทบไม่ถูกกับสิ่งที่ได้ยินจากปากเขา ว่าฉันแบบนี้นี่มันจงใจหาเรื่องฉันชัดๆ เลยนี่นา! "นี่! ฉันยังไม่ได้มีความหวังอะไรเลยนะ คุณคิดเองเออเองไปโน่นได้ไงเนี่ย!"
"ก็คุณยังชอบผมอยู่จริงๆ ผมสังเกตเห็นจากสายตา ยิ่งเวลาตอนเจอคุณที่ออฟฟิศไอซ์ โดนคุณมองแบบนั้นแล้วมันขนลุกมากรู้ไหม"
"อะไรนะ!" ฉันแทบแหกปากกรีดร้องออกมา "ฉันอาจจะชอบคุณ...แต่ก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น แล้วก็ไม่ได้ชอบแบบที่ว่า...เป็นการสนใจผู้ชาย!" ฉันปฏิเสธจนลิ้นรัว พยายามตั้งสติ หาทางเอาตัวรอดจากการกล่าวหาที่ไม่ยุติธรรมอย่างเหลือเชื่อของแซค สรุปว่าเขาจะมีมารยาทกับทุกคนยกเว้นฉันสินะ! “ฉันชอบคุณเหมือนชอบสิ่งของน่ะ...เข้าใจไหม!”
"จะชอบแบบไหนหรือขนาดไหนผมก็ต้องระวังคุณไว้ก่อนอยู่ดี เพราะผมเป็นคนขี้ระแวง"
หน็อย... งั้นก็ควรจะรู้จักระแวงตรีนโดยไม่พูดจากวนบาทาคนอื่นเขาแบบนี้ด้วยสิยะ!
"สรุปว่าที่คุณพาผู้หญิงมาด้วยวันนี้ ก็เพราะกลัวว่าฉันจะเข้าหาหรือคิดจะจับคุณ...อย่างงั้นเหรอ"
เขาทำหน้าตากวนโมโหพร้อมกับไหวไหล่เบาๆ โดยไม่ตอบคำถามออกมาเป็นคำพูดตรงๆ
"นี่! รู้จักแยกแยะหน่อยได้ไหม คุณคงไม่เคยเข้าใจคำว่าแฟนคลับเลยสินะ สำหรับฉันมันเป็นการชื่นชอบเพื่อหากิจกรรมทำในยามว่าง เพื่อเฮฮา เอาสนุก เป็นงานอดิเรก ต่อให้จริงจังแค่ไหนมันก็มีลิมิตแค่ในระดับแฟนคลับเท่านั้น ที่สำคัญ...ตอนนี้มีไอดอลที่ฉันเลิฟกว่าคุณตั้งมากมายหลายคน ทั้งจีนทั้งเกาหลีไต้หวัน คุณจะเป็นหรือไม่เป็นเดอะสเตจแล้วฉันก็ไม่เคยคิดอะไรไปไกลเกินขอบเขตของแฟนคลับ!"
"ผมจะไว้ใจได้ไง ก็ขนาดว่าผมออกจากวงการมาแล้วคุณยังมองด้วยสายตาแบบนั้น ที่สำคัญคุณไม่ได้มีโอกาสใกล้ชิดไอดอลคนอื่นด้วยนี่นา แฟนคลับที่ไหนก็อยากได้โมเมนต์กับไอดอลทั้งนั้น ยิ่งถ้ามีโอกาสให้ได้เข้ามาเป็นวงในหรืออะไรที่มากกว่าแค่แฟนคลับทั่วๆ ไป ส่วนใหญ่ก็มักไม่ยอมพลาด ผมถึงต้องระวังตัวไว้ ผมเป็นคนรอบคอบ"
"เป็นคนรอบคอบหรือหลงตัวเองจนหน้ามืดกันแน่ฮึ ไม่ว่าคุณจะระแวงเพราะเคยเจอซาแซงหรือแฟนคลับประเภทไหนมาก่อน แต่สาบานเลยว่าฉันไม่ใช่พวกชอบสร้างปัญหา ฉันแค่ชอบกิจกรรมที่มีเรื่องสนุกทำเพื่อผ่อนคลายความเครียด ตามดาราเพื่อจะได้มีเรื่องให้เผือก แต่ไม่เคยอยากมีสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับไอดอลเลยสักนิด ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการคอยให้กำลังใจอยู่ห่างๆ ช่วยผลักดัน ตามซัพพอร์ต ชื่นชมอยู่ไกลๆ ร่วมกับแฟนคลับทั้งหมดอย่างเป็นกลุ่มก้อน และไม่ต้องการความพิเศษเหนือกว่าแฟนคลับคนอื่น เพราะความสนุกของการติ่งครึ่งหนึ่งมันจะมาจากแฟนคลับด้วยกัน ถ้าฉันคิดอะไรบ้าๆ แบบที่คุณว่าก็คงมีผู้ชายที่ฉันอยากได้มาเป็นสามีจริงๆ นับไม่ถ้วนเลยล่ะค่ะ แล้วจะบอกให้นะ...ว่าเวลาติ่งฉันชอบเรียกศิลปินว่าลูก จะดูหลักฐานไหม ถ้าอยากจะแหกจริงๆ คูมแม่จะจดชื่อแอ็กฯ ตัวเองให้ไปขุดได้ตามสบายเลย!"
"ดีดี้จ๊ะ... เบาๆ หน่อยเถอะหนู แซคขวัญหนีดีฝ่อหมดแล้วนั่น ดูหน้า..."
ป้ามัทปรามเนิบๆ อย่างใจเย็น พร้อมเอามือมาแตะข้อศอกฉันอย่างนุ่มนวล เรียกสติที่แตกกระเจิงของฉันคืนกลับมาได้ในระดับหนึ่ง อาการหัวร้อนที่ยิ่งพูดก็ยิ่งของขึ้นจึงค่อยๆ ทุเลาเบาบางลง... สีหน้าแซคตอนนี้ดูเหมือนจะตกตะลึงพรึงเพริดมิใช่น้อยเลย
ฉันรู้ตัวมานานแล้วว่าแซคมีความรู้สึกในแง่ลบต่อฉันมาตลอดนับแต่วันที่ฉันบังเอิญไปเห็นเขามีอะไรกับผู้หญิงสองคนในวิลล่าของโรงแรมตอนเราไปร่วมประชุมงานหนึ่งด้วยกัน เพราะหลังจากนั้นมาเขาก็มองฉันด้วยสายตาห่างเหินกว่าเดิม ทั้งเฉยชา บางทีก็ทำหน้าเหวี่ยงใส่ มีแววรังเกียจเดียดฉันท์นิดๆ ระแวงหน่อยๆ และไม่เคยเป็นมิตรด้วยอีกเลย อาจเป็นเพราะเขาคิดไปเองว่าฉันเห็นพฤติกรรมทางเพศอันโลดโผนของเขาแล้วจะตั้งแง่รังเกียจ ซ้ำยังคงเอาเรื่องของเขาไปนินทาลับหลัง เขาก็เลยชิงตั้งแง่ใส่ฉันก่อน... แต่จริงๆ ความรู้สึกในแง่ลบของฉันอย่างที่ว่านั่นมันก็ต้องมีบ้างแหละ ก็ใครมันจะไปอดใจไม่คิดหรือเก็บเรื่องแบบนั้นไว้คนเดียวเงียบๆ ได้ อย่างน้อยมันก็ต้องเม้าท์ให้เพื่อนฟังบ้างสิคนเรา...
แต่ถึงกระนั้นแซคก็ไม่เคยหยาบคายใส่ฉันเท่าวันนี้มาก่อน เขาไม่เคยพูดจาแย่ๆ กับฉันตรงๆ แบบนี้เลย ยอมรับว่านี่ฉันช็อกน่าดูเลยล่ะ
แต่ว่านะ...การที่รู้ว่าฉันเป็นแฟนคลับและปลื้มเขามาก นี่มันต้องระแวงและรังเกียจกันจริงจังขนาดนี้เลยเหรอ แทนที่จะดีใจที่มีคนชอบ...เขาดันมาเกลียดฉันแถมยังทำให้ฉันเกลียดเขาอีกต่างหาก งี่เง่าพิลึก!
"ไปกันเถอะค่ะ แทมมี่คุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว ขอโทษนะคะที่ปล่อยให้รอนาน"
เมื่อสาวสวยของแซคเดินกลับมาสมทบ บรรยากาศตึงเครียดก็พลันคลี่คลายไป ฉันพยายามปรับอารมณ์และสีหน้าให้เป็นปกติแล้วเดินตามหลังแซคกับแทมมี่ที่ช่วยกันประคองป้ามัทไปที่รถ...ด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
ทุกคนที่บ้านของฉันมีความตื่นเต้นดีใจกันถ้วนหน้าที่มีแซคเป็นแขกมาร่วมงานเลี้ยงครบรอบแต่งงานของพ่อกับแม่ในวันนี้ โดยเฉพาะ 'พี่แอ๋ม' พี่สะใภ้ฉันที่ใส่ใจแซคเป็นพิเศษ ซึ่งแซคก็ทำตัวดีมีมารยาทกับทุกคน แม้จะไม่ใช่คนคุยเก่งอะไรนัก แต่ก็ถือว่าเขาช่างคุยอย่างรู้กาลเทศะและรู้จังหวะการสนทนาเป็นอย่างดี วันนี้เขาดูมีเสน่ห์ไม่ต่างจากแซคในรายการเดอะสเตจที่ทุกคนคุ้นเคยเลย ตรงข้ามกับคนที่หาเรื่องให้ฉันช็อกและหงุดหงิดสุดๆ เมื่อชั่วโมงก่อนลิบลับ...
ซีกับแป้งตกใจมากเมื่อมาเจอแซคที่บ้านฉัน พวกเธอทักทายแซคตามมารยาทโดยไม่แสดงความประหลาดใจอย่างออกนอกหน้า จนกระทั่งเมื่อมีโอกาสอยู่กับฉันตามลำพังตอนช่วยฉันจัดเตรียมของหวานและผลไม้หลังมื้อค่ำอยู่ตรงเคาน์เตอร์เตรียมอาหารในครัว เพื่อนรักทั้งคู่ก็เปิดฉากรุมฉันทันที...
"คืออะไรยังไง" ซีถามพลางตวัดสายตาผ่านประตูห้องครัวออกไปทางโถงกลางของบ้านแวบหนึ่ง ซึ่งข้างในนั้นแซคกำลังตกอยู่ในวงล้อมอันอบอุ่นของครอบครัวฉัน
วันนี้โถงกลางถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นห้องอาหารขนาดใหญ่ชั่วคราว บรรยากาศโดยรวมของงานเลี้ยงครบรอบแต่งงานของพ่อกับแม่ของฉันวันนี้ถือว่าดีมาก บ้านเราชอบจัดงานเลี้ยงเล็กๆ แบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว ทุกอย่างจึงดูราบรื่นและมีบรรยากาศกันเองอย่างเป็นธรรมชาติ
"แซคขอตามมาด้วย เพราะวันนี้เขาอยากใช้เวลากับป้ามัท เขาบอกว่าว่างแค่วันนี้วันเดียว ตั้งแต่พรุ่งนี้จะติดงานยาวสองอาทิตย์รวด คงอยากมีเวลาออดอ้อนคุณยาย"
"แต่ฉันว่า...เหตุผลที่เขาทำแบบนี้คงเป็นเพราะเขาระแวงแกมากกว่านะดีดี้ เขาอาจจะกลัวแกมาแย่งสมบัติป้ามัทไปหมดเลยต้องหาทางตามจับผิดและกันท่า!"
การสันนิษฐานด้วยท่าทางมั่นใจของแป้งทำให้ฉันต้องชะงักและนิ่วหน้ามอง
"แซคอาจจะไม่ใช่คนงกหวงสมบัติก็จริง ดูได้จากการที่เขาสละธุรกิจมูลค่ามหาศาลให้ลูกบุญธรรมของพ่อรับช่วงแทนโดยไม่เสียดาย แล้วมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ของตัวเองอย่างเป็นอิสระ แต่นี่มันคนละกรณีกัน ที่เขาไม่ต้องการบริษัทของพ่อก็เป็นเพราะรู้ตัวว่าไม่รักและไม่มีความถนัดในการบริหารงาน อายุก็ยังน้อยเกินกว่าจะตัดใจทิ้งชีวิตสนุกสุดเหวี่ยงของตัวเองไปรับผิดชอบงานใหญ่ที่ยุ่งยากระดับนั้นได้ แล้วเขาก็ชอบเมืองไทยมากถึงได้ย้ายมาปักหลักอยู่ที่นี่ ที่สำคัญทรัพย์สมบัติของป้ามัทส่วนใหญ่คือที่ดินทำเลทองและอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้อย่างสม่ำเสมอทั้งนั้น โดยที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนหรือบริหารงานอะไรยุ่งยากเลย ได้มาไว้ก็สบายไปทั้งชาติโดยแทบไม่ต้องทำอะไร"
"จริงๆ ฉันก็เริ่มจะสงสัยเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน" ฉันพึมพำอย่างคล้อยตาม
"แล้วถ้าป้ามัทตัดสินใจว่าจะยกสมบัติให้แกจริงๆ เขาจะรีบฆ่าตัดตอนแกไหมเนี่ยดีดี้!" ซีโพล่งขึ้นอย่างตกอกตกใจ ฉันเลยค้อนขวับ
"เขาไม่โง่แบบนั้นหรอกน่า ขืนทำไปใครก็รู้กันหมดสิว่าเป็นเขา"
"มันก็ไม่แน่นะ คนเรามีอารมณ์ชั่ววูบด้วยกันทั้งนั้น แล้วบางทีเขาอาจจะตัดสินใจทำลงไปเพราะมั่นใจว่าตัวเองสามารถวางแผนได้แยบยล...ไม่เหลือหลักฐาน แล้วสมบัติป้ามัทไม่ใช่น้อยๆ เลย ถ้าหน้ามืดขึ้นมาเขาอาจจะคิดว่าการเสี่ยงวางแผนฆาตกรรมแค่ศพเดียวมันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม อย่าว่าแต่ศพเดียวเลย ต่อให้สามสี่ศพเขาก็อาจจะทำเพื่อสมบัติป้ามัทได้สบายๆ"
"นี่แกคงเขียนบทซีรี่ส์ให้คุณโบว์มากไปแล้วนะซี แกกำลังท้องกำลังไส้ อย่าจินตนาการถึงอะไรแบบนั้นให้มาก เดี๋ยวหลานฉันเกิดมาเป็นคนใจคอโหดเหี้ยม สงสารคุณท็อป"
"เออ นั่นน่ะสิ" แป้งมีท่าทีเห็นด้วยกับฉัน "เห็นทีฉันคงต้องเตือนคุณโบว์ให้เลิกใช้งานแกชั่วคราวแล้วล่ะ"
"เหนือสิ่งอื่นใด...ต่อให้ป้ามัทยกสมบัติให้ ฉันก็จะไม่มีวันรับไว้ นั่นมันยิ่งกว่าเงินร้อนก้อนโตที่อาจจะนำมาซึ่งเคราะห์กรรมชุดใหญ่แบบคอมโบเซ็ต ขืนรับไว้คงจะมีแต่ปัญหาเดือดร้อนตามมาไม่จบไม่สิ้น"
คนที่สวยโดดเด่นกว่าใครในค่ำวันนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้หญิงของแซคที่ชื่อแทมมี่ แม้ชุดที่สวมจะเป็นแค่ค็อกเทลเดรสสีขาวเรียบๆ แต่มันกลับเซ็กซี่มีเสน่ห์และสวยสง่าอย่างร้ายกาจ ผิวสีแทนผุดผ่องทำให้เธอดูแพงระยับราวกับนางแบบอินเตอร์ที่มีใบหน้าสวยหวานชวนพิสมัย อีกทั้งแทมมี่ยังเป็นคนอัธยาศัยดีมากจนพวกเราต่างพากันชื่นชมถ้วนหน้า และทำให้ฉันยิ่งหมั่นไส้แซคเข้าไปใหญ่ แต่ก็...ทำให้เข้าใจได้ว่าเหตุใดเขาจึงมีท่าทีดูถูกฉันอย่างจริงจังเมื่อระแวงว่าฉันจะไปคิดเลยเถิดกับเขา ก็ในเมื่อแฟนเขาดีเลิศประเสริฐศรี เขาก็คงอดไม่ได้ที่จะเอาผู้หญิงกะโหลกกะลาที่ทำท่าเหมือนจะมีใจให้เขาไปเปรียบเทียบ แต่มันก็น่าโมโหจริงๆ ที่เขาออกอาการว่ารับไม่ได้เพียงเพราะคิดว่าฉันไปแอบชอบ...
พอเราจัดห้องโถงให้เป็นฟลอร์เต้นรำชั่วคราวตามสไตล์ครอบครัวบันเทิงของเรา หนุ่มๆ ก็พากันต่อคิวขอเต้นรำกับแทมมี่ยกใหญ่ แทมมี่ทำให้ห้องโถงกว้างที่ดูจืดชืดไร้รสนิยมและแสนจะธรรมดาสามัญของบ้านฉัน กลายเป็นเสมือนโถงงานเลี้ยงสุดหรูในเทพนิยายไปโดยปริยาย แม้แต่พ่อฉันยังกระตือรือร้นขอเต้นรำกับแทมมี่โดยไม่คิดจะเกรงใจศรีภรรยาที่กำลังฉลองวันครบรอบแต่งงานร่วมกัน พอจับคู่เต้นเปิดฟลอร์กับแม่เสร็จพ่อก็ชิ่งไปขอแทมมี่เต้นต่อทันที แล้วยกแม่ให้เต้นกับแซคไปหน้าตาเฉย แม่เป็นคนใจกว้างและเป็นผู้หญิงสายฮาอยู่แล้วจึงได้แต่แซวพ่อที่ออกอาการขวยเขินแทมมี่อย่างขำๆ แถมยังถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกเสียมากมายอีกต่างหาก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพ่อไม่เคยมีประวัติเรื่องเจ้าชู้นอกใจมาก่อน แล้วแม่ก็ไม่ใช่คนคิดมาก บ้านฉันเป็นมนุษย์สายฮาบ้ากิจกรรม และมองโลกในแง่บวกสุดๆ ส่วนเรื่องดราม่าจะไม่เป็นที่นิยมในหมู่เราเท่าไรนัก
"แซคช่วยเต้นกับดีดี้สักเพลงได้ไหม ดีดี้เป็นแฟนคลับตัวยงของคุณเลยนะคะ"
พี่สะใภ้ฉันเอ่ยปากอย่างมีเมตตา...ทั้งที่ฉันไม่ได้ต้องการเลย ทำให้ทุกคนตรงนั้นหันมามองฉันเป็นตาเดียว ฉันกะพริบตาสองปริบพร้อมกับยกมือขึ้นเกาหัวเก้อๆ พอมองไปทางแซคก็เห็นเขาทำหน้าแบบ...บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขาทำหน้ายังไง แต่มันทำให้ฉันรับรู้ได้ว่าเขายี้ และมีอาการต่อต้านเบาๆ ทันควัน
อะไรของเขาเนี่ย ทำไมต้องรังเกียจกันด้วย ฉันน่ายี้ตรงไหนมิทราบ ถึงตอนนี้ฉันจะนุ่งเสื้อยืดติ่งประจำด้อมเกาฯ กับกางเกงยีนขาสั้นโทรมๆ สวมแว่นสายตากรอบเหลี่ยมเชยระเบิด เนิร์ดนิดๆ ดูน่าเบื่อหน่อยๆ หน้าอกคัพเอไม่มีความเร้าใจใดๆ ซุกซ่อนอยู่ ขาไม่ค่อยยาว เอวไม่คอดกิ่ว ผิวพรรณรึก็ซีดเซียวเหมือนผีดูดเลือด ผมเผ้าหยาบกระด้างเหมือนไม้กวาดดอกหญ้า... แต่มันก็มีอยู่บ้างนะคนที่บอกว่าฉันน่ารักน่ะ ถึงจะมีไม่มากนักแต่ก็ถือว่ามีล่ะน่า...
"ว่าไง คุณจะเต้นไหม"
ฉันนิ่งงันไปเพราะคำถามอย่างไม่อ้อมค้อมจากปากแซค ท่าทางเขาดูถามแบบแกนๆ ตามมารยาท จะว่าไป...ตอนนี้ฉันเองก็ทำตัวไม่ค่อยถูกนักต่อหน้าแซค เนื่องจากใจจริงฉันยังชอบและรู้สึกดีต่อเขาอยู่ค่อนข้างมาก ในขณะที่เขาดูเหมือนจะเหม็นขี้หน้าฉันสุดๆ ไปเลย!
"อย่าเล่นตัวเลยดีดี้ เต้นกับพี่เขาหน่อยเถอะ"
"แม่... แซคเด็กกว่าดี้สามปี พี่เพ่ออะไรกัน" ฉันรีบเตือนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
"อะไรนะ!" แม่ทำท่าตกใจจนเว่อร์
"แม่ก็... ผู้เข้าประกวดเดอะสเตจต้องอายุไม่เกินยี่สิบหก แล้วตอนนี้เขาจะเป็นรุ่นพี่ดีดี้ได้ไง" พี่ปัณณ์...พี่ชายฉันเตือนแม่ด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ปรายตามองแซคอย่างเอ็นดู แม้แต่พี่ชายแมนเกินร้อยของฉันก็ยังดูเหมือนจะหลงเสน่ห์แซคไปด้วยอีกคนแล้วล่ะ
"เออ... จริง แม่ก็ลืมนึกไป"
"ขอโทษครับที่ผมหน้าแก่ไปหน่อย" แซคพูดกับแม่ พร้อมกับตีหน้าเศร้าได้น่ารักโคตรๆ และน่าหมั่นไส้มาก เกลียดดด!
"โธ่ แซคไม่ได้หน้าแก่เลยนะจ๊ะ แต่ท่าทางลูกดูเป็นผู้ใหญ่กว่าดีดี้มาก แล้วหน้าฝรั่งแถมยังตัวสูงใหญ่แบบนี้...พอเทียบกับดีดี้ที่นอกเวลางานจะกะเปิ๊บกะป๊าบดูไม่ได้สุดๆ อย่างที่เห็นนี่ล่ะ แม่ก็เลยยิ่งเผลอลืมเรื่องอายุไป"
ไม่เข้าใจ...แม่จะขยี้ทำไมเนี่ยยย นี่ลูกนะลูก แล้วนั่นมันก็คนอื่น!
แต่สรุปว่า...แม่ฉันที่เคยยี้แซคสุดๆ เพราะข่าวฉาวทั้งหมดทั้งมวลที่รู้มา จนถึงขนาดคอยขัดคอฉันกับพี่สะใภ้ที่เป็นแฟนคลับแซคอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ได้เปลี่ยนสีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาจเพราะอิทธิพลจากของขวัญวันครบรอบวันแต่งงานที่แซคนำมามอบให้ ซึ่งเป็นแพ็กเกจท่องเที่ยวระดับหรูบนเรือสำราญสุดพิเศษสำหรับพ่อกับแม่...ก็เป็นได้ แม่จึงถึงกับเรียกแซคว่าลูกได้โดยไม่เคอะเขินเลยสักนิด จ้ะแม่จ๋า...ติ่งอย่างหนูขอยอมแพ้แต่โดยดี!
"ตกลงว่าอยากเต้นกับแซคไหมดีดี้ มัวชักช้าเสียเวลาคนอื่นเขา" แม่คาดคั้น
"อยากมากเลยค่ะ แต่ไม่ดีกว่า...ดี้เขิน"
"เขินทำไม!" แม่ดุพร้อมกับค้อนเคืองเหมือนหมั่นไส้ลูกสาวสุดที่รักเต็มทน "แล้ววันนี้ไม่เห็นกรี๊ดกร๊าดแซคเลย หรือว่าเบื่อแล้ว"
"ใครบอก ดี้ยังชอบเขาอยู่นะคะ อาจไม่เท่าเดิม...แต่ก็ยังชอบ ถึงจะผิดหวังไม่หายเรื่องที่เขาทิ้งเวทีเดอะสเตจไปกลางคัน แต่สี่ห้าเดือนมานี้ดี้ก็ยังตามติ่งเขาทางโซเชียลอยู่ตลอด"
"ตอนนั้นคุณแม่เขาเจ็บหนัก เขาต้องรีบไปดูแลคุณแม่ ลูกควรจะเข้าใจและชื่นชมเขาถึงจะถูกนะดีดี้ ไม่ใช่มาบอกว่าผิดหวัง"
"ดี้ก็ชื่นชมเขาอยู่นะคะ แล้วก็ยังชอบเขาอยู่ ถึงจะไม่เท่าเดิม..." แต่นี่...เราต้องสนทนากันเรื่องความติ่งของฉันอย่างเปิดเผยและจริงจังต่อหน้าแซคเพื่อ...?
"งั้นก็เต้นกับเขาสิ นี่โอกาสทองแล้วนะ" แม่ยุยงส่งเสริมไม่เลิก
"ถือเสียว่าเป็นการเต้นรำเพื่อเก็บความทรงจำไว้เป็นที่ระลึกนะจ๊ะดีดี้ ไปเถอะจ้ะ" ป้ามัทช่วยเชียร์อีกแรง ทำเอากลายเป็นประเด็นที่ทำให้ฉันต้องตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากขึ้นมาทันที โชคดีที่แทมมี่เต้นรำต่อกับพ่อฉันอีกเพลง ส่วนซีก็แวบไปคุยโทรศัพท์กับสามี ในขณะที่แป้งหลบไปคุยโทรศัพท์เรื่องงานอยู่ในครัว ฉันเลยไม่ต้องอึดอัดเพราะสายตาจ้องจับผิดของเพื่อนรักและแฟนสาวของแซค
ในที่สุดฉันก็เลยได้เต้นรำกับแซคและเหยียบเท้าเขาไปหลายที จริงๆ แล้วเลขาฯ ส่วนตัวคุณไอซ์อย่างฉันนั้นออกงานกับเจ้านายบ่อยจนเต้นรำได้คล่องแทบทุกจังหวะ มีความช่ำชองเกือบทุกสเต็ปเลยก็ว่าได้ แต่ท่าทีเชิดๆ หยิ่งๆ และดูไว้ตัวกับฉันจนโอเวอร์ของแซคทำให้ฉันหมั่นไส้จนอดไม่ได้ที่จะแกล้งเหยียบเท้าเขาเหมือนไม่ได้ตั้งใจอยู่หลายครั้ง ยอมรับว่าความใกล้ชิดและสัมผัสของเขาทำให้ใจฉันเต้นระรัวเหมือนจะระเบิดออกมาจากอกตลอดเวลา ทว่าฉันเป็นคนที่สามารถควบคุมปฏิกิริยาตัวเองได้ดีเหนือมนุษย์ทั่วไป ยกเว้นอาการร้อนผ่าวที่แก้มจนมันน่าจะแดงปลั่งให้เขาจับสังเกตได้ไม่ยาก แต่ว่า...ก็ช่างมันปะไรเรื่องแค่นี้...
"มือคุณเย็น ตื่นเต้นเหรอ"
"นิดหน่อย" ฉันตอบหน้าตาเฉย ตรงข้ามกับหัวใจที่กระตุกวูบอย่างแรง
"ไหนว่าไม่ค่อยชอบผมแล้ว"
"ต่อให้เต้นกับลุง รปภ. หรือป้าขายล็อตเตอรี่หน้าเซเว่น มือฉันก็เย็นเป็นผีดิบแบบนี้แหละ"
"..."
"ถามหน่อยได้ไหม เพราะอะไรคุณถึงเกลียดฉัน"
"ใครบอกว่าผมเกลียดคุณ"
"เด็กสามขวบยังดูออก"
"..."
"บอกหน่อยเถอะ มันคาใจมาก ฉันไปทำอะไรให้คุณโกรธตอนไหนเหรอ เมื่อก่อน...จำได้ว่าเวลาเจอกันคุณก็ไม่เคยทำท่ารังเกียจฉันแบบตอนนี้ หรือว่าคุณเกลียดติ่ง?"
"นั่นก็ส่วนหนึ่ง...แต่ไม่เกี่ยวกับกรณีคนอื่นเลยนะ ผมรู้สึกไม่ดีก็เฉพาะแฟนคลับนิสัยอย่างคุณเท่านั้นแหละ"
ฉันสะอึกอย่างหนักจนหน้าแทบหงาย แล้วนิสัยอย่างฉันนี่มันยังไงกันฟระ ฟังแล้วขึ้นจนอยากตบ แต่ฉันก็สามารถทำใจได้ภายในไม่กี่วินาที เออ...ทำไมฉันเก่งอย่างนี้เนี่ย ทั้งเก่งทั้งแกร่งทั้งหน้าหนาเลยแม่คุณ!
"งั้นก็ดีแล้วที่คุณโดนตัดออกจากเดอะสเตจ และเลิกคิดเป็นนักแสดงอาชีพ เพราะถ้าอยากเป็นนักแสดงแล้วดันเกลียดแฟนคลับตัวเอง ชาตินี้คงได้เกิดอยู่หรอก" ฉันประชด
"ก็บอกแล้วว่าอคติเฉพาะกับคุณ"
สะอึกซ้ำสองค่ะ! "แล้วทำไมต้องเป็นเฉพาะกับฉันด้วย!"
"ก็เพราะผมรู้ว่าคุณดูถูกผม"
"..."
"ครั้งแรกที่เราเจอกันที่ออฟฟิศไอซ์ ผมจำได้ว่าคุณดีกับผมมาก คุณมีน้ำใจ...คอยช่วยเหลืองานผมเป็นอย่างดีด้วยความจริงใจ จนเรียกได้ว่าทุ่มเทให้เกินหน้าที่ด้วยซ้ำ ผมจึงรู้สึกดีกับคุณจริงๆ ผมชื่นชมที่เห็นคุณรับผิดชอบงานของตัวเอง หรือแม้กระทั่งผมและของคนอื่นอย่างกระตือรือร้นเสมอ จนผมมักจะอิจฉาไอซ์ที่มีคุณเป็นผู้ช่วย..."
"..."
“แล้วผมก็ถูกชะตากับคุณมากตั้งแต่แรกเจอ ตอนนั้น...ผมชอบคุณมากจริงๆ นะดีดี้”
“...”
"แต่ว่าสายตาที่คุณมองผม มันก็เปลี่ยนไปทันทีหลังจากคุณเข้าไปเห็นผมในวิลล่าคืนนั้น..."
คำพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชาของแซค ทำให้หัวใจฉันหกคะเมนตีลังกาเหมือนรถไฟเหาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาพูดถึงเรื่องตอนที่ฉันเห็นเขานัวเนียกับผู้หญิงสองคนในสระว่ายน้ำ!
"ตั้งแต่นั้นผมก็รู้สึกชัดเจนเลยว่าคุณนึกดูถูกผมอยู่ตลอดเวลา สายตาคุณทำให้ผมขนลุก แล้วคุณยังเอาผมไปนินทาลับหลังอีกด้วย ผมเกลียดที่สุดคือคนที่ชอบตัดสินคนอื่นเพราะคิดว่าคนอื่นแตกต่างจากตัวเอง ผมรับไม่ได้จริงๆ กับนิสัยแบบนั้นของคุณ มันเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจมากสำหรับผม ซึ่งก็คงไม่ต่างจากที่คุณรังเกียจเรื่องของผมเท่าไหร่นัก"
ฉันสะอึกอย่างจังอีกหนึ่งคำรบ คราวนี้รู้สึกหน้าม้านจนมืดไปวูบหนึ่งเลย ต้องยอมรับอย่างเถียงไม่ออกว่าตัวเองนิสัยไม่ดีมากเสียจนสมควรโดนเขาด่าแล้ว เพราะฉันก็เป็นแบบที่เขาว่าจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่าการที่อยู่ๆ เขาก็มาบอกว่าเคยชอบฉัน แต่ตอนนี้เกลียดแล้วเพราะว่าฉันนิสัยไม่ดีนี่มันคืออะไรกันเนี่ย บอกเลยว่าฟังแล้วสับสนจนจิตหลุดอย่างแรง หลุดแบบหลุดลุ่ยเลยล่ะ!
"ถึงผมจะไม่ใช่คนดี ความประพฤติบางอย่างก็แย่มากอย่างที่เห็น แต่มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ ผมจึงไม่ชอบเลยที่สังเกตเห็นว่าเวลาเราเจอกัน สายตาที่คุณมองผมมันเปลี่ยนไปหลังจากได้เห็นพฤติกรรมส่วนตัวของผมในคืนนั้น ถึงจะพยายามปั้นหน้าเป็นปกติสักแค่ไหน คุณก็ซ่อนอาการดูถูกดูหมิ่นเอาไว้ไม่ได้เลย"
"..."
"แล้วบังเอิญว่านั่นเป็นครั้งแรกสำหรับผม ที่มีคนไร้มารยาทโผล่มาเห็นตอนกำลังมีเซ็กซ์ มันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ผมไม่ชอบให้ใครมาสอดรู้สอดเห็น มันจึงถือเป็นเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต ผมถึงรู้สึกแย่มากจนฝังใจ จนพานเกลียดคุณเข้าไส้"
"ฉัน...แต่ฉัน...ตอนนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้คิดจะสอดรู้สอดเห็นเลย!"
"แน่ใจเหรอดีดี้"
"นี่คุณ...คิดว่าคืนนั้นฉันเจตนาเข้าไปดูคุณให้เต็มตางั้นเหรอ!"
“แล้วเต็มตาไหมล่ะ”
ฉันสะอึกและหน้าเจื่อนไปทันควัน ทำให้แซคแสดงสีหน้ารังเกียจออกมาอีกครั้ง
"แต่จากนั้น...พอผมเข้าประกวดเดอะสเตจแล้วคุณก็เปลี่ยนท่าทีมาคลั่งไคล้และคอยเชียร์ผมในฐานะแฟนคลับตัวยงอย่างจริงจัง เหมือนลืมเรื่องคืนนั้นไปแล้ว มันก็ทำให้ผมเห็นแล้วยิ่งรู้สึกแปลกๆ กับคุณเข้าไปใหญ่ บอกตามตรง...แทนที่จะเปลี่ยนใจมาชอบ ผมอยากให้คนอย่างคุณเกลียดผมไปตลอดชีวิตเลยมากกว่า"
"..."
"นี่แหละ คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงอคติเฉพาะกับคุณแค่คนเดียว"
เหตุผลของเขาทำให้ฉันรู้สึกหน้าชาจนสะใจ ชาดิกไปทั้งแถบ ชาไปหมดทั้งตัว ทั้งร้อนวูบวาบและเย็นๆ ชาๆ สลับกันไปมา แถมยังมีอาการจุกจนพูดอะไรไม่ออกอีกต่างหาก รู้สึกแน่นในอกจนลมหายใจติดๆ ขัดๆ ขึ้นมาอย่างกะทันหัน มือฉันสั่นจนรู้สึกได้...ฉันอาจจะสั่นไปทั้งตัวเลยด้วยซ้ำ การเคลื่อนตัวตามจังหวะเพลงช้าๆ อย่างอัตโนมัติราวกับหุ่นยนต์นั้นก็พลันชะงักงันจนแน่นิ่งไปโดยปริยาย ในที่สุดจึงต้องเค้นเสียงพึมพำบอกเขาเพื่อขอตัวยุติการเต้นรำ แล้วผละออกจากวงแขนเขาไปทันที...
บทที่ 3 ศึกชิงมรดก
สรุปแล้วเรื่องมันมีอยู่ว่า แซคไม่พอใจมากๆ ที่ฉันเคยเสียมารยาทโผล่ไปเห็นเขาตอนมีเซ็กซ์...แถมเขายังปักใจเชื่อด้วยว่าฉันจงใจเข้าไปดู เขาฝังใจกับเรื่องนี้จนทำให้โกรธถึงขนาดรับไม่ได้เมื่อเห็นว่าหลังจากนั้นฉันได้ผันตัวมาเป็นแฟนคลับ เขารังเกียจเกินบรรยายที่คนอย่างฉันกล้าบังอาจมาเป็นแฟนคลับเขา!?
แต่บอกตามตรงว่าฉันคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าการที่ฉันไปเห็นเขามีเซ็กซ์อย่างไม่ตั้งใจ มันจะส่งผลร้ายต่อความรู้สึกเขาถึงขนาดนี้ เพราะเท่าที่จำได้คือตอนนั้นท่าทางแซคดูเหมือนเฉยชาสุดๆ ไปเลย เขาอาจจะมีโมโหอยู่บ้างก็จริง แต่ฉันนึกว่าเขาไม่ได้แคร์อะไรมากนักเสียอีก ฉันเข้าใจว่าเขาแค่รำคาญที่ถูกขัดจังหวะ!?
นี่ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า แบดบอยท่าทางไม่สนโลกผู้นิยมชมชอบการมีเซ็กซ์แบบทรีซั่มอย่างแซค จะนอยด์เพียงเพราะมีคนโผล่ไปเห็นตอนเขากำลังเล่นจ้ำจี้กับผู้หญิงพร้อมกันทีเดียวสองนาง ต่อให้คิดว่าฉันจงใจเข้าไปดูจริงๆ ก็เถอะ ก็ในเมื่อปกติเขามีอะไรกับผู้หญิงได้ทีละสองคน เขาก็น่าจะชินชากับการทำแบบนั้นโดยมีสายตาของบุคคลภายนอกจับจ้องอยู่สิ...ไม่ใช่รึไงนะ?
แต่บางที...มันอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ เพราะคนหน้าเนิร์ดแต่งตัวมิดชิดที่ปิดตั้งแต่หัวจดเท้าอย่างฉัน ซึ่งโผล่ไปเห็นโดยที่เขาไม่เต็มใจ ยังไงก็ย่อมต้องถือว่าเป็นคนนอก ส่วนผู้หญิงที่แก้ผ้านัวเนียอยู่กับเขา...ต่อให้จะมีสักสิบคนเขาก็ย่อมต้องนับว่าเป็นคนในที่ตัวเองเต็มใจให้จ้องมองทุกท่วงท่าลีลาด้วยความรื่นรมย์ แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังอดพิศวงไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ!
"นี่เขาไม่ได้ชินกับการทำแบบนั้นโดยมีบุคคลที่สามจ้องอยู่หรอกเหรอ โอเค...จริงๆ แล้วฉันเป็นบุคคลที่สี่ แต่มันก็เหมือนๆ กันป่ะวะ" ฉันเอ่ยปากอย่างคาใจไม่หาย
"ฉันคิดว่า...มันไม่เหมือนหรอกดีดี้" ซีแย้งหลังจากฉันเล่าและสรุปปัญหาระหว่างฉันกับแซคให้ฟังครบถ้วน
"เหรอ..."
"ใช่ ฉันเชื่อว่ามันไม่เหมือนเลยสักนิด" ซีย้ำอีกครั้ง ตอนนี้ฉันกับซีอยู่ในรถของแป้ง ฉันนั่งข้างคนขับ ส่วนซีนั่งเบาะหลัง ทั้งคู่กำลังจะพาฉันกลับไปส่งที่คอนโดฯ หลังงานเลี้ยงฉลองครบรอบแต่งงานของพ่อกับแม่จบลง เพราะฉันปฏิเสธที่จะกลับรถแซคเหมือนขามา
"ก็ได้ ฉันจะเชื่อแก อย่างน้อยก็ในฐานะที่แกแต่งงานแล้ว" ฉันพูดพลางถอนหายใจอย่างน้อมรับผิดในที่สุด "แต่จริงๆ เขาน่าจะรู้สิว่าฉันไม่ได้ตั้งใจ คนอย่างฉันเนี่ยนะ...ดูหน้าแล้วไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นคนยังไง คิดได้ไงว่าฉันอยากเห็นอะไรแบบนั้น จะบ้าเหรอ ยังไงเขาก็ไม่เห็นจะต้องรู้สึกแย่จนจงเกลียดจงชังฉันจริงจังขนาดนี้เลย แล้วการที่เขาพูดเหมือนรังเกียจเมื่อรู้ว่าฉันเป็นแฟนคลับนั่นอีก โคตรจะใจร้ายเลย!"
"แล้วนี่แกเสียความรู้สึกจนเกลียดเขาเข้าไส้รึยังล่ะ" แป้งถามและมองฉันด้วยสายตาห่วงใย
"ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก..." แต่ฉันจะไม่มีวันบอกใครหรอก เรื่องที่แซคบอกว่าเขาเคยชอบฉัน เพราะฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำว่า ‘ชอบ’ ของเขามันหมายถึงยังไงหรือมีขอบเขตแค่ไหน แต่ยังไงฉันก็จะไม่บอกใครเรื่องนี้ ขืนพูดออกไปใครๆ คงหัวเราะเยาะเพราะมันดูเป็นเรื่องเพ้อเจ้อขี้มโนสิ้นดี ซึ่งความขี้มโนนี้มันก็ถือเป็นอาการป่วยขั้นพื้นฐานสำหรับติ่งทั่วไปอยู่แล้วด้วย ดังนั้นฉันจึงไม่ควรพูด แม้แต่กับเพื่อนสนิทที่รู้จักกันดีแค่ไหนก็ตาม
"ขนาดนี้แล้วยังไม่เกลียดเขาอีกเหรอดีดี้ แกนี่สมแล้วที่เป็นติ่งใจแกร่งประจำด้อม หนักแน่นและเป็นแฟนคลับที่ไม่เคยจะอ่อนไหวใจบางกับดราม่าใดๆ ทั้งสิ้น กราบค่ะแม่กราบบบ!" แป้งพ่นคำพูดออกมาอย่างเหลือเชื่อ ทั้งทึ่งทั้งอึ้งทั้งประชดในคราวเดียว
"ตอนที่เขาพูดใส่หน้ามันก็ช็อกอยู่หรอก ช็อกจนแทบจะล้มทั้งยืน โกรธจนเกลียดจับใจเลยก็ว่าได้ แต่แป๊บๆ มันก็จางหายไปเอง ถึงจะสะอึกจนเจ็บแปล๊บๆ และเสียความรู้สึกมากที่ได้ยินแบบนั้น แต่อีกใจก็ยังคิดว่าเขาน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ดี มันรู้สึกเหมือนเห็นเด็กดื้อทำผิดแล้วไม่อยากถือสา อารมณ์เดียวกับตอนที่ดูเขาเอาแต่ใจใส่คนอื่นในรายการเดอะสเตจไม่มีผิด"
"รู้สึกแบบนี้ได้ก็ดีแล้วล่ะ เพราะยังไงแกก็ยังต้องเจอกับเขาต่อไปอีกเรื่อยๆ ทั้งจากเรื่องงานและเรื่องป้ามัท ถ้ารู้สึกเจ็บปวดเพราะท่าทีของเขาแกจะใช้ชีวิตยากมากเลย" แป้งพูดเหมือนโล่งอกเพราะท่าทีของฉัน
"การที่อยู่ๆ แซคพูดออกมาตรงๆ คงเป็นเพราะเขาทนอัดอั้นตันใจมานานแล้ว เหมือนเขาพยายามจะเตือนด้วยว่า...ให้ฉันเลิกมองเขาด้วยสายตาปลื้มปริ่มแบบที่เคยนั่นซะทีเถอะ เพราะมันดูไม่จริงใจจนทำให้เขาขยะแขยง ในเมื่อเขาเคยเห็นฉันทำท่ารังเกียจเขาเสียขนาดนั้นมาก่อน"
"ถามจริง เรื่องที่เคยเห็นเขาทรีซั่มนั่นน่ะ แกรังเกียจเขาจริงๆ หรือแกหึงเขากันแน่ ที่จริงแกริษยาสองชะนีที่ได้ฟินกับเขารึเปล่า..." แป้งถามเสียงเคร่ง
"อี๋! จะบ้าเหรอ ฉันไม่ได้อยากทำแบบนั้นกับเขานะยะ โคตรอุบาทว์ คิดได้ไงเนี่ย ทุเรศมากเลย แหวะ!"
"เออ... เนี่ย...ฉันว่าฉันเข้าใจแซคแล้วล่ะดีดี้ แกน่าจะเผลอไปทำท่ารังเกียจใส่เขาจนโอเวอร์แบบนี้โดยไม่รู้ตัว แซคเลยเกลียดแกจนจำฝังใจ พอแกเปลี่ยนใจมาชอบ...เขาเลยรังเกียจแกบ้างไงล่ะ!" แป้งตอกย้ำให้ฉันสำนึกอย่างชัดเจน
"งั้นแซคก็เป็นคนที่คิดอะไรซับซ้อนเกินไปนะฉันว่า คนเราเคยเกลียดกันมันก็เปลี่ยนใจมารักได้ถ้าหากได้มาเห็นมุมดีๆ ที่ไม่เคยรู้จัก แต่บางทีแซคอาจจะเป็นคนจำพวกที่มีปมในใจมากเกินไป มนุษย์ธรรมดาที่มีครอบครัวสุขสันต์หรรษาและอบอุ่นจนร้อนระอุอย่างแกอาจจะไม่ค่อยเข้าใจเขา" ซีออกความเห็น "ฉันเองก็ไม่ได้ชอบแซคนักหรอก แต่ยังไงเขาก็เป็นเพื่อนคุณท็อป ขนาดว่าคุณท็อปโกรธมากเรื่องที่แซคทำเดอะสเตจพังไปคราวนั้น แต่คุณท็อปก็ยังบอกเสมอว่าจริงๆ แล้วแซคเป็นเด็กดี ถึงบางทีจะมีความซับซ้อนและทำพฤติกรรมที่รับได้ยากเยอะแยะไปหมดก็เถอะ และด้วยอายุแล้ว...ฉันยังถือว่าเขาไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่ต้องมาเคร่งเครียดกับทุกอย่างชีวิต"
"ถึงอันที่จริงแล้วเขาจะเกลียดฉัน หรือจะเป็นยังไงมันก็ไม่สำคัญสำหรับฉันหรอก เพราะฉันเป็นแค่ติ่งที่ชีวิตไม่มีทางได้บรรจบกัน แต่แกกับคุณพริ้งนี่สิ...สามีเป็นเพื่อนสนิทเขาทั้งคู่เลย แล้วท่าทางคงไม่เลิกคบกันง่ายๆ ด้วย คงต้องทำใจมากหน่อย" ฉันกล่าวอย่างนึกเห็นใจเพื่อน
"แต่ฉันว่าแกจะซวยเพราะชีวิตมาบรรจบกับแซคได้ด้วยป้ามัทนี่แหละดีดี้ ถ้าแซคยอมไม่ได้จริงๆ เรื่องที่ป้ามัทจะยกสมบัติให้แก เขาเอาแกตายแน่" แป้งออกปากเตือน
"ก็บอกแล้วว่าเรื่องนั้นมันไม่มีทางหรอก ใครเขาจะมายกสมบัติให้คนอื่นที่ไม่ใช่สายเลือด" ฉันพูดพลางหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ "ป้ามัทเอ็นดูฉันมากก็จริง แต่คงไม่ขนาดนั้น แล้วต่อให้ป้ามัทยกให้ฉันก็ไม่รับ นี่แกไม่เชื่อฉันเหรอ"
"เชื่อ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ รู้ๆ กันอยู่ว่าแกเป็นคนยังไง" แป้งพูดพลางเหลือบมาสบตาฉันแวบหนึ่ง "แกดูเหมือนคนหัวอ่อน ใจดี และว่านอนสอนง่าย แต่บางครั้งพอสติแตกขึ้นมาแกกลับชอบเอาชนะและกล้าได้กล้าเสียยิ่งกว่าพวกที่ผีพนันเข้าสิงเสียอีก บทจะเฉยแกก็เฉย แต่บทจะกวนตีนหรืออยากยอกย้อนใครขึ้นมาแกก็บ้าเลือดจนทำทุกอย่างได้แบบหน้านิ่งๆ เหมือนไม่กลัวตาย คือบางทีแกก็เลือดเย็น"
"ทำไมเหรอแป้ง แกกลัวว่าถ้าแซคทำให้ปรี๊ดขึ้นมาจริงๆ ดีดี้มันอาจจะตอบโต้เขาด้วยการฉกมรดกทั้งหมดที่ควรเป็นของเขามาเก็บไว้เอง?"
"ใช่" แป้งตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ
"แกคงไม่ทำแบบนั้นหรอกใช่ไหมดีดี้" ซีถามเสียงเครียด
"โธ่ ไม่หรอกน่า..." ฉันตอบกลั้วหัวเราะ ขำในความห่วงใยเกินเหตุของเพื่อน ฟังคำตอบฉันแล้วทั้งแป้งและซีก็ถอนหายใจเฮือกพร้อมๆ กัน
"ถ้าป้ามัทคิดจะใช้แกเป็นเครื่องมือแก้แค้นลูกสาวกับหลานชายด้วยความสะใจล่ะก็ แกอย่าเผลอร่วมมือกับป้ามัททำเรื่องแบบนั้นเชียวนะ ถึงฉันจะเสียดายมรดกป้ามัทแทนแกมากแค่ไหน แต่คิดๆ ดูแล้วมันอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย แกเองก็ไม่ได้ร้อนเงินขนาดจะต้องมายอมทนทุกข์ทรมานกับการแย่งสมบัติกับใคร" ซียังไม่วายเตือนต่อด้วยเสียงเครียดๆ "ถ้าแซคกับแม่ของเขาไม่ยอมง่ายๆ แกจะต้องลำบากแน่ ดูอย่างป้ามัทที่ต้องเหนื่อยแสนสาหัสกับการโดนผัวกับเมียน้อยฟ้องร้องมาเป็นสิบยี่สิบปี กว่าจะชนะก็อายุปาเข้าไปเจ็ดสิบกว่า เงินที่ได้มาก็ไม่เห็นจะทดแทนความทุกข์ที่ผ่านมาได้เลย”
"ไม่ต้องห่วงหรอก ต่อให้แซคทำให้ฉันเกลียดเข้าไส้จนอยากจะหาเรื่องตอบโต้มากแค่ไหน ฉันก็จะไม่เอาความสุขในชีวิตที่เหลืออยู่ไปแลกกับความสะใจแค่เล็กๆ น้อยๆ พวกนั้นแน่นอน!"
การที่ครอบครัวฉันกับป้ามัทเข้ากันได้ดี สนิทกันจนแทบจะเป็นญาติจริงๆ อาจเป็นเพราะพวกเราต่างก็มีส่วนที่ช่วยเติมเต็มกันและกัน เนื่องจากพ่อกับแม่ของฉันเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตร ครอบครัวเราจึงไม่เคยมีญาติผู้ใหญ่มาก่อน ส่วนป้ามัทที่ตัวคนเดียวก็ไม่เคยมีลูกหลานรายล้อมเช่นกัน...
พ่อกับแม่ของฉันต่างก็เป็นเด็กกำพร้าที่โตมาในสถานสงเคราะห์ด้วยกันทั้งสองคน พวกเขาเริ่มต้นความสัมพันธ์จากการเป็นเพื่อนที่ได้รู้จักกันตอนชั้นมัธยมปลาย จากนั้นก็พัฒนาไปเป็นแฟนกัน พอเรียนจบก็แต่งงานกัน มีงานทำ และมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนในความฝัน ฉันกับพี่ชายรับฟังชีวิตวัยเด็กอันยากลำบากของพ่อแม่มาตลอด เราจึงรักและภูมิใจในตัวพ่อกับแม่มาก ท่านทั้งสองเลี้ยงเรามาอย่างดีและให้ความรักความอบอุ่นกับเราอย่างเต็มที่ จนเราไม่เคยรู้สึกว่าขาดอะไรไป และไม่เคยรู้สึกว่ามีอะไรเกินมาด้วย ฉันกับพี่ชายเป็นเหมือนส่วนเติมเต็มที่ทำให้พ่อกับแม่ได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์เหมือนกับที่พวกเขาเคยใฝ่ฝันเอาไว้...
หลายคนเคยตำหนิว่าพ่อกับแม่นั้นเลี้ยงดูฉันกับพี่ชายแบบให้สบายเกินไปจนเคยตัวและตามใจมากจนแทบจะเสียคน แม้จะไม่มีเงินทองปรนเปรอมากนักแต่ก็ถือได้ว่าเราแทบไม่เคยถูกพ่อแม่ขัดใจ เรียกว่าพวกท่านเลี้ยงดูแบบปล่อยเราไปตามธรรมชาติ แต่จะคอยให้ความรัก คอยเฝ้ามอง ตักเตือน และพยายามดึงเราเข้ามาในกรอบที่ถูกต้องอย่างนุ่มนวลเมื่อเห็นว่าเรากำลังนอกลู่นอกทาง สำหรับพวกเราแล้วสิ่งเหล่านี้มันกลับกลายเป็นความรักไร้เงื่อนไขที่เป็นเสมือนเกราะป้องกันชั้นดีและคอยผลักดันให้เราตั้งมั่นในความรับผิดชอบและรู้หน้าที่ตัวเอง เราไม่ใช่ลูกที่ดีและสมบูรณ์แบบทุกอย่าง เราต่างก็เคยทำตัวเหลวไหลมาก่อน แต่สิ่งสำคัญที่คอยเตือนสติพวกเราคือ เราอยากมีชีวิตที่ดีให้พ่อแม่ภูมิใจ ตั้งมั่นว่าจะไม่ทำให้คนที่ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อจะได้มีชีวิตที่ดีเหมือนคนทั่วๆ ไป...อย่างพ่อกับแม่ต้องผิดหวัง
ป้ามัทพูดกับฉันเสมอว่า สามปีที่ผ่านมาทำให้รักและผูกพันกับครอบครัวของฉันมากเหลือเกิน ป้ามัทอิจฉาพวกเราที่แม้จะไม่ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองแต่บ้านก็เปี่ยมไปด้วยความสุขสนุกสนาน หลังๆ มานี้เวลาฉันจะกลับบ้านจึงมักเอ่ยปากชวนป้ามัทเสมอ เพราะดูออกว่าแกอยากไปด้วย ป้ามัทดูมีความสุขทุกครั้งที่ถูกรายล้อมด้วยครอบครัวของเรา
ตอนที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่มากพอ...ฉันมักคิดเสมอว่า เงินคือสิ่งสำคัญที่สุดและต่อให้ครอบครัวจะเป็นยังไงแต่ถ้ามีเงินมากพอทุกอย่างก็จะดีได้เอง ฉันมักไม่เข้าใจเด็กบ้านรวยบางคนที่ครอบครัวแตกแยก ขาดความอบอุ่น จนทำให้กลายเป็นเด็กมีปัญหา เพราะฉันมักเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับพวกเขาว่า ถ้าเป็นฉัน...ขอแค่มีเงินให้ใช้จ่ายอย่างเต็มที่ ถึงพ่อแม่จะแยกทางกันและไม่มีเวลาให้เลยฉันก็จะไม่แคร์อะไรทั้งนั้น ยิ่งเวลาเห็นพ่อแม่ตัวเองทะเลาะกันฉันก็ยิ่งชอบคิดเอาเองว่า ถ้ามีเงินมากๆ และพ่อแม่แยกทางกันไปเสียก็คงดี เพราะฉันจะได้ใช้เงินแบบสบายๆ แถมไม่ต้องฟังพ่อแม่ทะเลาะกันอีกต่างหาก
แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองโง่มากที่มีความคิดตื้นเขินทำนองนั้น เพิ่งสำนึกได้ว่าคนเราไม่ควรตัดสินหรือคิดแทนคนอื่น เพราะเราจะไม่มีวันเข้าใจสถานการณ์ของใครอย่างแท้จริงหากไม่ได้ไปตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับเขา ดังนั้นคนที่ได้รับความรักจากครอบครัวอย่างเต็มอิ่มเหมือนฉันก็ไม่มีสิทธิ์คิดแทนคนที่ขาดความรักว่า จริงๆ แล้วเงินคือคำตอบทุกอย่างของชีวิตและสำคัญกว่าความรัก
"พรุ่งนี้แซคจะไปกับเราด้วยนะจ๊ะดีดี้"
"คะ!?" ฉันอุทาน ละสายตาจากสระว่ายน้ำของคอนโดฯ ที่มีคนเล่นน้ำอยู่สองสามคน หันไปมองป้ามัทที่ในมือมีนิตติ้งถักไหมพรม และกำลังมองลอดแว่นมาที่ฉัน
"ทำไมต้องตกใจขนาดนี้ด้วย" ป้ามัทเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าขำๆ
"ไหนว่าช่วงนี้แซคติดงานไม่ใช่เหรอคะ" ฉันถามพลางพับเก็บหนังสือในมือวางลงบนโต๊ะ
"ก็นี่มันครบสองอาทิตย์ตามที่เขาบอกมาหลายวันแล้วนี่จ๊ะ" ป้ามัทเตือนยิ้มๆ "แต่ถ้าหนูไม่สบายใจเดี๋ยวป้าจะบอกเขาเองว่าไม่ได้..."
"ไม่เป็นไรค่ะ ให้เขาไปด้วยเถอะ"
"แซคน่ะ ตอนที่ยังเด็กทุกครั้งที่มีโอกาสมาเจอป้า เขาจะชอบรบเร้าขอมาอยู่ด้วยเสมอ แต่ป้าก็ไม่ยอมใจอ่อน เพราะตอนนั้นยังรู้สึกว่าไม่อยากเห็นหน้า และไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับพ่อแม่เขาอีก ป้ายอมพบหน้าแซคแต่ไม่เคยยอมเจอกับแม่เขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว มาคิดดูแล้วก็อดเสียใจไม่ได้ที่ตัวเองใจแข็งแล้วก็ใจดำกับหลานขนาดนั้น แต่บางทีเป็นแบบนี้ก็อาจจะดีแล้ว เพราะไม่งั้นแม่เขาก็คงหาเรื่องพาผัวใหม่แต่ละคนเข้ามายุ่งวุ่นวายด้วยจนป้ายิ่งเครียดกันไปใหญ่ แล้วป้าก็อาจจะเกลียดแซคไปจริงๆ จนไม่มีโอกาสใกล้ชิดกันเหมือนอย่างตอนนี้ ป้ายอมรับว่ามีความสุขมากนะที่ได้เจอหน้าหลานบ่อยๆ ถึงจะเชื่อว่าแซคอาจมาตีสนิทตอนนี้เพราะถูกแม่เขาเป่าหูเรื่องมรดก เขากับแม่อาจจะต้องการทรัพย์สินของป้าหลังจากป้าชนะคดีมา"
"แต่ยังไงแซคก็เป็นหลานแท้ๆ คุณแม่เขาก็เป็นลูกคนเดียวของป้ามัท มรดกป้ามัทก็ต้องเป็นของเขาอยู่แล้วนี่คะ"
"มันก็ไม่ได้หมายความว่าป้าต้องยกสมบัติให้ลูกเนรคุณกับสายเลือดของมันไปผลาญเล่น เผลอๆ แซคจะไม่ได้แตะสักแดงเลยด้วยซ้ำ เพราะแม่กับพ่อเลี้ยงคงจะเอาไปถลุงจนเกลี้ยงเสียก่อน ถึงจะไม่ได้เจอกันมาสามสิบปีแต่ป้ารู้จักนังคนนั้นดีว่าหล่อนเป็นคนยังไง... สู้ป้ายกให้คนอื่นยังจะสบายใจกว่า หนูก็รู้ว่าสามสิบปีที่ผ่านมาป้าเจออะไรมาบ้าง ถึงปัญหาทั้งหมดมันจะไม่ใช่ความผิดของแม่แซคโดยตรง แต่ป้าก็ถือว่าเขามีส่วนทำลายครอบครัวของเรา"
"แต่ว่า...ยังไงดี้ก็ไม่เอาหรอกนะคะมรดกนั่น ถ้าป้ามัทจะทำพินัยกรรมไว้จริงๆ ก็ยกให้พี่นิดกับคุณวีรพลดีกว่าค่ะ" ฉันรีบดักคอป้ามัท พี่นิดหรือ 'พนิดา' เป็นเลขาฯ ที่ป้ามัทว่าจ้างมาช่วยจัดการธุระต่างๆ ให้มาหลายปีแล้ว ส่วนคุณ 'วีรพล' ก็คือทนายประจำตัวของป้ามัทเอง
"แต่ป้าตั้งใจแล้วนะว่าถ้าจะทำพินัยกรรมจริงๆ ยังไงก็จะยกให้ดีดี้"
"นี่ป้ามัทพูดจริงหรือคะ หรือแค่ล้อเล่น... ดี้ถามจริงๆ" ฉันถามหน้าเครียด
"เอ๊า ก็พูดจริงน่ะสิ จะล้อเล่นได้ยังไงในเมื่อป้าเองก็ไม่เหลือใครอีก สามปีมานี้ถ้าไม่มีดีดี้ป้าอาจจะนอนแห้งตายอย่างโดดเดี่ยวอยู่หน้าทีวีในห้องตัวเองไปตั้งนานแล้ว ป้าไม่สบายก็มีแต่ดีดี้มาคอยดูแลพาไปหาหมอ ไปนอนโรงพยาบาลเป็นเพื่อน มีอะไรป้าก็โทรรบกวนหนูตลอด แล้วถ้าไม่มีครอบครัวของหนูมาช่วยทำให้ป้ามีกำลังใจขึ้น ช่วยให้ป้ามีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ป้าก็คงต้องเป็นยายแก่อมทุกข์จนโรครุมเร้าตายไปตั้งแต่ก่อนคดีที่ถูกฟ้องร้องจะสิ้นสุด"
"ไม่จริงหรอกค่ะ ถึงไม่มีดี้ป้ามัทก็มีเงิน จะจ้างใครทำอะไรให้ก็ได้ทั้งนั้น แล้วป้ามัทเป็นคนเข้มแข็ง กำลังใจดี และร่างกายแข็งแรงมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เราเพิ่งมารู้จักกันได้สามปี ตัวหนูหรือครอบครัวหนูไม่ได้มีผลอะไรกับป้ามัทหรอกค่ะ"
"ไหนหนูเคยบอกป้าว่า เชื่อแล้วว่าความรักสำคัญกว่าเงิน"
"..."
"ตอนนี้ป้ามีชีวิตอยู่โดยที่ยังยิ้มได้ก็เพราะความรักจากครอบครัวหนูทั้งนั้นนะดีดี้ หนูอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันมีค่ากับคนแก่ตัวคนเดียวมากขนาดไหน แต่ถ้าไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ ถึงยังไงป้าก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ การมีใครมาทำอะไรให้เราด้วยใจกับด้วยเงิน มันให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันหรอกนะ อย่าคิดว่าป้าแยกแยะเรื่องแบบนี้ไม่ออก แล้วสมัยนี้มันจะมีสาวๆ สักกี่คนยอมเสียเวลามาสนใจคนแก่ขี้บ่นอย่างป้า ก็มีแต่หนูนี่แหละที่ไม่เคยเห็นป้าเป็นภาระทั้งที่ป้าเป็นคนอื่นแท้ๆ"
"พูดซะดี้อยากจะรับมรดกไว้ด้วยความเต็มใจ" ฉันพูดพลางหัวเราะเขินๆ
"ก็รับไว้เสียเถอะ ยังไงป้าก็ตั้งใจแล้วว่าจะให้"
ท่าทางยิ้มๆ อย่างจริงจังของป้ามัท ทำให้ฉันต้องขมวดคิ้วมองอย่างครุ่นคิดและเริ่มเป็นกังวลหนักขึ้น...
"ถ้าป้ามัทคิดจะทำพินัยกรรมยกสมบัติให้ใครจริงๆ ต้องรอบคอบมากๆ เลยนะคะ เพราะไม่งั้นอาจจะทำให้เกิดการฆาตกรรมเพื่อเงินมรดกขึ้นได้ อย่างดี้ตอนนี้...ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ก็เลยไม่มีออร่าความโลภเปล่งประกายออกมาให้ป้ามัทเอะใจ แต่ถ้าสักวันจำเป็นต้องใช้เงินขึ้นมา เช่นอาจจะอยากเอาไปช่วยชีวิตคนที่ตัวเองรัก คนที่เคยเป็นคนดีก็สามารถอ้างเหตุผลให้ตัวเองกลายเป็นอาชญากรได้ทั้งนั้น เราจึงไม่ควรจะไว้ใจใครเลยสักคน เข้าใจไหมคะ"
"แน้... เด็กคนนี้นี่ บังอาจมาอบรมคนแก่!"
ฉันหัวเราะพร้อมกับพึมพำขอโทษ แล้วป้ามัทก็ค้อนอีกขวับใหญ่
"ขนาดเมียน้อยตาลุงกับลูกๆ ของสองคนนั่นยังทำอะไรป้าไม่ได้ แล้วทำไมป้าจะต้องมากลัวว่าดีดี้จะมาคิดก่ออาชญากรรมกับป้าด้วยล่ะ"
"นั่นสินะคะ" ฉันยิ้มเก้อๆ อีกครั้ง บางทีภาพลักษณ์ของหญิงชราผู้โดดเดี่ยวและน่าสงสารของป้ามัทในตอนนี้ ก็มักทำให้ฉันหลงลืมไปเสมอว่าจริงๆ แล้วอีกฝ่ายเป็นสตรีสูงวัยผู้มากประสบการณ์ที่รอบจัดและเขี้ยวลากดินพอตัว
วันต่อมาเมื่อแซคไปบ้านฉันเป็นครั้งที่สอง ทุกคนก็ให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดี แม้แต่ฉันเองก็พยายามลืมๆ เรื่องที่ตัวเองถูกเขาเกลียดไปเสีย แล้วปั้นหน้าเป็นมิตรอย่างไม่สนใจท่าทีเฉยเมยของเขา เพราะฉันเห็นว่าการที่ต้องมาคอยเครียดและวางท่าเป็นศัตรูตอบกลับคนที่เกลียดเรา มันถือเป็นเรื่องยุ่งยากที่ลำบากเสียยิ่งกว่าการทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หรือทำเป็นไม่รับรู้ถึงอคติของเขาเสียอีก แล้วฉันก็ถือว่าการแกล้งโง่แบบนี้มันคือการวางตัวอย่างมีมารยาทอย่างหนึ่งในสังคม ไม่ได้เรียกว่าการพยายามลอยตัวเหนือปัญหา หรือเป็นการตอแหลเสียเลยทีเดียว...
ฉันถือว่าแซคเป็นคนที่ขาดวุฒิภาวะอย่างแรง ซึ่งอายุยี่สิบหกนี่ถือว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต่อให้เกลียดขี้หน้าแค่ไหนแต่พอรู้ว่าฉันปลื้ม...สิ่งที่เขาควรทำคือแกล้งทำเป็นดีใจตามมารยาทสักนิด หรืออย่างมากก็ควรทำท่าเชิดหยิ่งและเข้าถึงยากในระดับปกติ ไม่ใช่มาทำท่ารังเกียจจนออกนอกหน้าแล้วหาโอกาสตอกหน้าตรงๆ ว่ารับไม่ได้เลยที่รู้ว่าฉันชอบเขา นับเป็นบุญจริงๆ ที่เขาถูกตัดออกจากการเป็นเดอะสเตจก่อนจะประกวดเสร็จ ไม่งั้นคุณโบว์กับวีรากรคงได้ปวดหัวระยะยาวแน่นอน แต่ว่า...หรือเขาจะมีอาการขาดวุฒิภาวะอย่างรุนแรงเฉพาะกับฉันเท่านั้นนะ... เนื่องจากฉันเป็นคนที่มีประเด็นส่วนตัวที่ทำให้เขาชิงชังเป็นพิเศษ!
"โดนผมพูดไปขนาดนั้นแล้วคุณยังยิ้มให้ได้อยู่อีก ไม่อยากจะเชื่อเลย"
ฉันหันขวับไปตามเสียงพูดที่ดังขึ้นข้างหลัง จึงเห็นแซคเดินเข้ามาในครัวพร้อมถ้วยจานใช้แล้วจำนวนหนึ่ง... ทั้งที่เขาปั้นหน้ายิ้มแย้มเอาใจคนในครอบครัวฉันได้ดีเสียขนาดนั้น แล้วทำไมแค่ตอแหลใส่ฉันบ้างเขาถึงทำไม่ได้นะ งงใจเสียจริงพ่อคุณพ่อทูนหัว!
"ทีนี้อะไรอีกล่ะ" ฉันถามเนือยๆ อย่างไม่อยากใส่อารมณ์ให้เปลืองแรง
ถ้าแซคหวังจะให้ฉันกรีดร้องกับการกระทำของเขา ก็ต้องเสียใจด้วยจริงๆ เพราะจากการทำงานกับคุณไอซ์มาหลายปี ทำให้ฉันต้องคอยรับมือกับอารมณ์แปรปรวนของคนในบอร์ดบริหารของบริษัท คนของบริษัทคู่ค้า และลูกค้า...แทนเจ้านายมาแล้วทุกรูปแบบ หรือแม้แต่รับมือเจ้านายตัวเองตอนโมโห หรือไม่ก็ตอนที่เจ้านายหงุดหงิดเพราะเมียไม่อยู่หลายวัน... ดังนั้นตอนนี้ฉันจึงไม่สะทกสะท้านกับการหาเรื่องของแซคสักเท่าไหร่
"ก็นึกว่าวันนี้คุณจะสั่งห้ามไม่ให้ผมมาด้วย ถึงคุณจะชิ่งหนีมาก่อนโดยไม่รอให้ผมไปรับมาพร้อมคุณยาย แต่ก็แปลกมากที่คุณไม่ห้ามให้ผมมาที่นี่"
"ฉันเป็นคนมีมารยาท"
"เพราะอะไรต้องมีมารยาทกับคนที่บอกว่าเกลียดคุณ หรือเพราะผมเป็นเพื่อนไอซ์ เป็นหลานคุณยาย หรือเพราะยังไงคุณก็ยังชอบผมอยู่ดี"
"มันก็คงจะรวมๆ กันหมดทั้งสามข้อที่คุณว่ามานั่นล่ะมั้ง แต่สรุปคือฉันมีมารยาทนั่นแหละ เข้าใจยากตรงไหนเนี่ย" ฉันตอบส่งๆ อย่างรำคาญ ถือเสียว่าแซคอายุน้อยกว่าฉันเกือบสามปี ฉันเองจะสามสิบอยู่แล้ว ดังนั้นก็ต้องทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่มากกว่า "แทนที่จะสงสัยฉัน คุณควรสงสัยตัวเองมากกว่านะ ว่าเกลียดฉันขนาดนี้แต่ทำไมถึงยังอยากจะมากินข้าวบ้านฉันอีก"
"ในเมื่อคุณทำตัวติดหนึบกับคุณยายขนาดนี้ แล้วเวลาผมอยากเจอคุณยายจะให้เลี่ยงคุณยังไง"
"อ้อ อิจฉา หวงคุณยาย?"
"เปล่า"
"งั้นก็หวงสมบัติคุณยาย"
"..."
"เพราะเรื่องนี้จริงๆ สินะ" ฉันสรุปเอาเอง
"แต่ทุกอย่างของคุณยายมันก็ควรเป็นของผมโดยชอบธรรมอยู่แล้ว ไม่ใช่ตกไปเป็นของคุณหรือใครคนอื่น"
"คุณรู้เรื่องที่ป้ามัทตั้งใจจะยกมรดกให้ฉันด้วยเหรอเนี่ย" ฉันถามอย่างพิศวงแกมตกใจเล็กน้อย
"ไม่ว่ายังไงคุณก็อย่ายุ่งกับมรดกของคุณยายผมเด็ดขาด เข้าใจไหม"
"ทำไมคะ"
เขาหรี่ตามองฉันนิ่งๆ อย่างเอาเรื่อง "แปลว่าที่มาตีสนิทคุณยายก็เพราะคุณตั้งใจจะฮุบมรดกจริงๆ"
"บอกตามตรงนะ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยคิดหรอก แต่นาทีนี้ชักลังเล เพราะฉันไม่ชอบอาการงกสมบัติของคุณเลย ถึงคุณจะเป็นสายเลือดของป้ามัท แต่คุณก็ไม่เคยอยู่กับท่าน ไม่เคยดูแลท่านมาก่อน มาตอนนี้กลับอยากได้สมบัติถึงกับให้คนตามสืบเรื่องนี้เชียวเหรอ เพราะถ้าไม่สืบ...คุณจะรู้ได้ยังไงว่าป้ามัทตั้งใจยกสมบัติให้ฉัน ป้ามัทคงไม่ได้บอกคุณหรอกจริงไหม"
การสนทนาของเรายุติลงเพียงเท่านั้น เมื่อแม่ของฉันเข้ามาขัดจังหวะถึงในครัว แล้วแซคก็ปั้นหน้าเอาใจแม่ได้อย่างแนบเนียนจนฉันต้องเบะปากเหล่มองเขาอย่างหมั่นไส้ แต่ถึงกระนั้น...ฉันกลับยังรู้สึกว่าแซคช่างตอแหลได้น่าหมั่นไส้และน่ารักอย่างประหลาด ซึ่งนั่นหมายความว่ายังไงฉันก็ไม่รู้สึกเกลียดเขาเท่าที่ควรอยู่ดี...
อย่างไรก็ตาม เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันปลงในความติ่งของตัวเองแล้ว และไม่คิดจะหาเหตุผลให้ความรู้สึกดังกล่าวนี้เลยสักนิดเดียว อีกหน่อยอารมณ์ก็จางและเบื่อไปเองนั่นแหละ ในเมื่อวงการติ่งได้สอนให้ฉันรู้ซึ้งมานานแล้วว่า คำว่า 'ตลอดไป' ไม่มีจริง...
โปรดติดตามตอนต่อไป...
Comments
comments
No tags for this post.