บทที่ 3
แม้โลหิตค่อยๆ ไหลลงจากหน้าผากของเซี่ยฟั่ง ทว่าหานกวงกลับยังไม่คลายโทสะ เขาขึ้นรถม้าด้วยความฉุนเฉียว และไม่สนใจรอยเลือดบนหน้าผากของเซี่ยฟั่ง “ตามมา!”
คนบังคับรถม้าสะบัดแส้เคลื่อนตัว เซี่ยฟั่งกำลังจะวิ่งตาม ตอนนั้นกลับมีหญิงสาวยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เขา แต่เขามิได้รับไว้ เพียงยกมือข้างหนึ่งกุมหน้าผากแล้วไล่ตามรถม้าไป
หานกวงเห็นอีกฝ่ายสาวเท้าวิ่งตามมาก็เดือดดาลจนแทบจะระเบิด “เจ้าบ้า! เสียสติ! ข้าเป็นอะไร ข้าเป็นคนเช่นไรไปแล้ว”
ข้าแทบจะกลายเป็นคนพาลต่ำช้าไปแล้ว!
ยิ่งเป็นเช่นนี้เขาก็ยิ่งเกลียดชังเซี่ยฟั่ง จึงสั่งให้คนบังคับรถม้าเร่งความเร็วอยู่ตลอด เร็วขึ้นอีก จนท้ายที่สุดแม้แต่คนบังคับรถม้าก็ยังอดเห็นใจไม่ได้ “คุณชาย พ่อบ้านยังตามอยู่เลยขอรับ ขืนยังวิ่งอีกเขาจะตายเอาได้”
หานกวงไม่แยแส เขาไม่เชื่อว่าเซี่ยฟั่งจะโง่วิ่งตามรถม้ามาตลอดทาง ขอเพียงเขาไม่ตามมา เช่นนั้นคราวหน้าตนจึงจะมีข้ออ้างกลั่นแกล้งเขาต่อไปได้
แม้ระยะทางจะไกลเพียงใดแต่ก็เป็นทางกลับบ้าน เมื่อถึงคฤหาสน์สกุลหาน ตอนที่หานกวงลงจากรถ เขาก็ถูกรถม้าที่วิ่งมาตลอดทางโคลงจนแทบทนไม่ไหว อีกทั้งอากาศยังร้อนอบอ้าว เขาจึงเอามือยันรถม้าไว้ด้วยเริ่มรู้สึกคลื่นไส้ มืออีกข้างกุมท้องพลางหันไปมองด้านหลัง เมื่อไม่เห็นเงาของเซี่ยฟั่ง เขาจึงพออกพอใจ และก้าวเข้าประตูใหญ่ไป
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม หานกวงที่อาบน้ำเรียบร้อยแล้วก็ได้ยินบ่าวรับใช้เคาะประตู “คุณชาย…พ่อบ้านกลับมาแล้วขอรับ ตอนนี้อยู่นอกเรือน เขาถามว่าท่านยังมีงานจะสั่งอีกหรือไม่ขอรับ”
หานกวงแทบร่วงจากเบาะที่นั่ง เขาพุ่งออกไปกระชากคอเสื้อของเซี่ยฟั่ง “เจ้าคนเสียสติ!”
เขายกมือขึ้นหมายตวัดฟาดลงบนใบหน้าที่ตนแสนชังนั้น ก็พลันได้ยินเซี่ยฟั่งกล่าวด้วยเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน “ห้องเก็บของ”
ราวกับคำต้องห้ามรุนแรง หานกวงตะลึงงันจนหยุดมือ แววตาของเซี่ยฟั่งเย็นชาเมื่อกล่าวอีกว่า “มีของหาย”
หานกวงปล่อยมือทันทีราวกับถูกของร้อน มองอีกฝ่ายด้วยสายตาสำรวจ เขาอยากรู้ว่าเซี่ยฟั่งรู้เรื่องมากน้อยเพียงใด เงินที่เขาเอาไปเที่ยวสำมะเลเทเมาทุกวันนี้ล้วนได้จากการขโมยสิ่งของในห้องเก็บของไปจำนำ เซี่ยฟั่งที่เพิ่งมาทำงานได้แค่สองวันจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาขโมยอะไรไปบ้าง
เขาไม่กล้าถามไปตามตรงด้วยเกรงว่าเรื่องนี้จะรู้ไปถึงหูบิดา จึงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ไสหัวไป!”
เนื่องจากวิ่งกลับมาอย่างเร็ว เซี่ยฟั่งที่รออยู่ในสวนจึงมีสภาพเรือนผมดำเงาชื้นไปด้วยเหงื่อ ตัวเปื้อนไปด้วยฝุ่น สุดแสนสะบักสะบอม ได้ยินหานกวงสบถว่า ‘ไสหัวไป’ ก็รีบออกจากสวน เตรียมตัวกลับห้องของตนเองทันที
ติดตามรถม้าอยู่ทั้งวัน และยังวิ่งไปกลับนานเช่นนั้น หากบอกว่าไม่เหนื่อยย่อมเป็นเรื่องโกหก เซี่ยฟั่งเองก็อยากกลับไปพักผ่อนเร็วๆ แล้ว ขณะที่เขาเดินกลับเรือนบ่าว ระหว่างทางก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งเดินวนเวียนอยู่บนทางเดินคล้ายกำลังรอคน
อาเหม่ากำลังรอเซี่ยฟั่งอยู่จริงๆ เมื่อกลางวันนางเห็นเขาออกไปกับคุณชายรอง ซึ่งออกไปนานตลอดทั้งครึ่งบ่าย เด็กสาวจึงยิ่งวิตกเหลือแสน รออยู่ไม่รู้นานเท่าไหร่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนเดินมาทางนี้ นางจึงหยุดฝีเท้ามองออกไป พอเห็นคนที่ตนรอมาถึงแล้วก็ตื่นเต้นดีใจแกมโล่งอก นางสาวเท้าก้าวเล็กๆ เข้าไปพลางเอ่ยเสียงเบา “ท่านกลับมาแล้วหรือ”
เซี่ยฟั่งนิ่งอึ้งเล็กน้อย ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งก็ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า เป็นเชิงบอกให้เขาซับเหงื่อบนหน้าเสียก่อน
เซี่ยฟั่งยื่นมือรับมาซับเม็ดเหงื่อบนหน้า “เจ้ารอข้าอยู่หรือ”
“อืม คุณชายรองมิใช่คนดีอะไร เขาไม่เคยเมตตาบ่าวไพร่อย่างพวกเรา ท่านเคยล่วงเกินเขาเช่นนั้น พอเขาเรียกท่านออกไป ข้าเลยเป็นห่วง” อาเหม่าเห็นแผลเล็กๆ บนหน้าผากของเขา นัยน์ตาพลันหม่นแสง นางมิได้ซักไซ้ เพียงกล่าวว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ารอท่านอยู่”
เซี่ยฟั่งเช็ดเหงื่อ น้ำเสียงดูเหนื่อยล้า “คืนนี้มิใช่เวรเจ้า”
อาเหม่ากระจ่างแก่ใจทันที ยามนี้บ่าวรับใช้ทำงานอะไรเมื่อไหร่ล้วนมีเขาเป็นคนจัดการ เขาย่อมรู้ว่านางปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในเวลานี้มิใช่เพราะทำงานเป็นแน่ แต่เพราะกำลังรอคน นางมองสำรวจเขาอีกหลายครั้ง เหงื่อโชกซึมสู่เสื้อตัวนอกจนเป็นรอย ส่วนเจ้าตัวก็ไม่ได้มีสภาพสดชื่นเหมือนช่วงตอนกลางวันแล้ว
“ท่านกลับห้องก่อนเถอะ เพียงแต่วันนี้นายท่านเรียกหาท่านมาครึ่งวันแล้ว ฉะนั้นอีกไม่นานอาจส่งคนมาเรียกท่านไปซักถาม”
เซี่ยฟั่งไม่แปลกใจกับเรื่องที่หานกวงเรียกเขาออกไปเป็นการส่วนตัวแม้แต่น้อย เขากล่าวขอบคุณนางก่อนกลับห้อง
หากเขาบอกความจริงกับเจ้าบ้านสกุลหานในสภาพสะบักสะบอมเช่นนี้ เจ้าบ้านสกุลหานก็ย่อมไว้หน้าเขาบ้าง ทว่าหลังจากเขาถึงห้อง ดื่มน้ำไปหลายแก้วและเปลี่ยนมาใส่ชุดใหม่ที่สะอาด พร้อมหวีผมแล้วรวบมัดอีกครั้งแล้ว สภาพเขาก็เหมือนมิเคยสะบักสะบอมมาก่อน
เมื่อหยิบเสื้อผ้าสกปรกไปวางไว้อีกทาง สายตาก็พลันเห็นผ้าเช็ดหน้าที่อาเหม่าให้ตนซับเหงื่อเมื่อครู่เข้า รวมกับผืนที่นางใช้พันแผลให้เขา ยามนี้ก็เป็นสองผืนแล้ว
เซี่ยฟั่งคิดว่าจะซื้อผืนใหม่สองผืนคืนนางดี หรือรับน้ำใจของนางไว้ดี ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็มีคนมาเรียกเขา บอกว่านายท่านกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ สั่งให้เขาไปพบเดี๋ยวนั้น
เรื่องที่เจ้าบ้านสกุลหานโกรธเกรี้ยวเดือดดาลก็รู้ถึงหูหานกวงอย่างรวดเร็ว เขาร้อนใจทันที เพราะหากเซี่ยฟั่งเปิดโปงว่าเขาเรียกอีกฝ่ายไปอย่างไร้สาเหตุ ซ้ำยังกลั่นแกล้งอยู่ครึ่งวัน เช่นนั้นต่อให้บิดาไม่เชื่อเซี่ยฟั่ง ตนก็ไม่นับว่ามีข้อได้เปรียบอะไร
เวลานี้เขาเริ่มเสียใจที่ทำเรื่องวู่วามเช่นนั้น เซี่ยฟั่งเพิ่งมีผลงานเรื่องเตาเผาติ้งไฉ่ เขาก็หาเรื่องอีกฝ่ายเสียแล้ว น่ากลัวว่าเรื่องนี้จะรับมือไม่ได้ง่ายๆ
เขาพะวักพะวนอย่างมาก จึงลอบไปที่โถงส่วนหน้าด้วย สอดส่องสถานการณ์ให้แน่ชัดก่อน ค่อยหาหนทางรับมือ
เจ้าบ้านสกุลหานเพียงคิดแต่จะกำราบเซี่ยฟั่ง พอคิดว่ากำลังจะควบคุมอีกฝ่ายได้แล้ว ทางนั้นก็ทิ้งงานแล้วหายตัวไปครึ่งค่อนวัน ย่อมทำให้เขารู้สึกว่าเซี่ยฟั่งเหมือนอาชาป่า ยังไม่เชื่อฟัง แล้วเขาจะกล้าให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่เซี่ยฟั่งเข้ามาจนถึงเวลานี้ เขาจึงเอาแต่ชักสีหน้า เมื่อเห็นบุตรชายคนรองเข้ามาก็เอ่ยถามด้วยเสียงเย็น “เจ้ามาทำอะไร”
หานกวงเหลือบมองเซี่ยฟั่งที่ยืนอยู่อีกทางแวบหนึ่ง “ได้ยินว่าพ่อบ้านคนใหม่ไม่รู้หน้าที่ ข้าจึงมาดูเสียหน่อย”
เจ้าบ้านสกุลหานมิได้กล่าวอะไร ถือว่าเป็นเชิงอนุญาตให้เขานั่งลงด้านข้างตนได้ แล้วจึงกล่าวกับเซี่ยฟั่ง “เจ้ามาสกุลหานไม่ถึงสามวันก็ออกไปข้างนอกโดยพลการ ทิ้งงานอย่างไม่สนใจเช่นนี้ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ดีนัก ข้ารู้ว่าเจ้าเพิ่งมาสกุลหานก็สร้างผลงานได้ ช่วยให้สกุลหานซื้อที่ดินผืนนั้นจากท่านฉิน แต่เพียงแค่เรื่องนั้นเจ้าก็อวดดีแล้วหรือ แม้กระทั่งจะรายงานว่าจะออกไปไหนกับข้าก็คร้านจะทำแล้ว”
หานกวงแสร้งทำเป็นฟังอย่างไม่ใส่ใจ มือก็ยังคลึงป้ายหยกเล่น เชือกถักสีแดงที่ผูกติดกับป้ายหยกเดี๋ยวก็ม้วนอยู่บนนิ้ว อีกเดี๋ยวก็ถูกสะบัดออก เดี๋ยวตวัดม้วนเดี๋ยวสะบัดออกอยู่เช่นนี้ เหมือนเชือกเกี่ยวกระหวัดอยู่ที่หัวใจ เดี๋ยวคลายเดี๋ยวแน่น ทว่าเชือกที่ตึงแน่นเส้นนี้กลับเสียดสีให้ใจดวงนี้ทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง
“ข้าละเลยหน้าที่ เป็นความผิดของข้าที่มิได้รายงานบอกกล่าวนายท่านก่อน เพราะข้าสะเพร่าเองขอรับ” เซี่ยฟั่งกล่าว “หลังเที่ยงข้าไปที่ร้านขายยา เปลี่ยนยาทำแผลแล้วอยากงีบสักนิด แต่เมื่อลืมตาขึ้นเวลาก็เลยมาจนป่านนี้แล้ว”
หานกวงนิ่งอึ้ง ป้ายหยกที่ถูกหมุนเล่นในมือชะงักกึก พลางมองเซี่ยฟั่งอย่างประหลาดใจ
เจ้าบ้านสกุลหานมองไปยังมือของเซี่ยฟั่ง พบว่าผ้าพันแผลดูสะอาดเรียบร้อยแล้ว แม้จะเห็นชัดว่าเปลี่ยนมาจริง ทว่าเขากลับไม่แสดงสีหน้าอ่อนลงแม้แต่น้อย เขายังคงต่อว่า “ต่อให้ออกจากเรือนไปครู่เดียว เจ้าก็ควรรายงานข้า หนำซ้ำในคฤหาสน์ก็มีหมอมิใช่หรือ ไยต้องออกไปข้างนอก เมื่อวานหมอซ่งก็เป็นคนทำแผลให้เจ้าไม่ใช่หรือ”
“ท่านหมอซ่งเป็นหมอที่ดูแลฮูหยินผู้เฒ่า นายท่าน และบรรดาฮูหยินโดยเฉพาะ หากพ่อบ้านอย่างข้าเรียกใช้ท่านหมอซ่งด้วย เกรงว่าจะเป็นการไม่เหมาะ”
เจ้าบ้านสกุลหานพอใจกับคำตอบนี้มากและไม่ต่อว่าอีกฝ่ายอีก เขากล่าวว่า “มือของเจ้าเจ็บหนักไม่น้อย เดิมทีข้าควรให้เจ้าพักผ่อนสักสองวัน เพียงแต่พ่อบ้านคนเก่าอายุมากแล้ว ทั้งยังออกไปอย่างกะทันหัน ในเรือนก็ไม่อาจขาดพ่อบ้านได้ ไม่เช่นนั้นพวกบ่าวรับใช้เป็นได้อู้งานแน่”
เซี่ยฟั่งไม่ได้มองหานกวงแม้แต่ครั้งเดียว และมิได้บอกเรื่องที่อีกฝ่ายกลั่นแกล้งเขา บุรุษหนุ่มยังแจงว่า “วันนั้นที่นายท่านให้ข้าสะสางห้องเก็บของ ทำบัญชีรายชื่อ ยามนี้ข้าทำเสร็จแล้วขอรับ”
หัวใจของหานกวงกระตุกวูบอีกครั้งจนแทบพุ่งขึ้นมาจุกถึงลำคอ เขารีบสกัดถ้อยคำของตนเองไว้ทั้งหมด ใจฝ่อจนเกิดความร้อนรน เพียงอยากลุกหนีออกไป ทว่าเขาเพิ่งลุกขึ้นยืนเจ้าบ้านสกุลหานก็นิ่วหน้าแล้ว “ดูเจ้า ผ่านไปแค่เพียงครู่ไยจึงนั่งไม่อยู่เช่นนี้”
หานกวงจำต้องบากหน้าแล้วนั่งลงต่อ สายตาจับจดอยู่ที่บัญชีเล่มนั้น
บัญชีเล่มไม่หนา เนื่องจากสิ่งของในห้องเก็บของจะว่ามากก็มิใช่ ขอเพียงแยกหมวดหมู่ให้เรียบร้อยก็จดบันทึกได้รวดเร็ว
ซึ่งบัญชีรายละเอียดที่เซี่ยฟั่งทำนั้น เพียงมองปราดเดียวก็เข้าใจแล้ว เพราะแยกหมวดหมู่ไว้ชัดเจน ขณะที่พ่อบ้านคนก่อนกลับทำบัญชีได้ค่อนข้างไร้ระเบียบ เซี่ยฟั่งนับว่าลงทุนลงแรงไปไม่น้อยกว่าจะสะสางจำแนกได้ขนาดนี้ ยิ่งดูเจ้าบ้านสกุลหานก็ยิ่งรู้สึกว่าเซี่ยฟั่งนั้นเชื่อถือได้
หานกวงเห็นแล้วกลับยิ่งหวาดผวา ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าเหตุใดเซี่ยฟั่งจึงไม่ฟ้องร้องเรื่องเขากับบิดา นั่นเพราะเซี่ยฟั่งยังมีแผนสำรอง! พ่อบ้านผู้นี้รู้ว่าตนขโมยของมีค่าในห้องเก็บของไปหลายชิ้น ฉะนั้นอีกเดี๋ยวเขาก็จะบอกเรื่องนี้กับบิดา ขอเพียงซักถามบ่าวรับใช้คนอื่นๆ ก็จะรู้ว่าตนเป็นคนลักเอาไป
เขามองมือทั้งสองข้างของตนเองอย่างตื่นตระหนก ราวกับจะถูกตีจนหักอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว
หานกวงอยู่มายี่สิบกว่าปี เขารู้ดีว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับบิดามิใช่บุตรชายแต่เป็นทรัพย์สมบัติของเขา
คุณชายแห่งตระกูลคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดของเหิงโจวอย่างเขากลับมีเงินที่ไว้ใช้จับจ่ายในมือน้อยกว่าพวกคุณชายตระกูลรองด้วยซ้ำ แต่เพราะเขาห่วงหน้าตาจึงไม่อาจเอ่ยปากเรื่องเช่นนี้ได้ ฉะนั้นจึงได้แต่ขโมยของมีค่าในห้องเก็บของไปแลกเป็นเงินใช้จ่าย
เจ้าบ้านสกุลหานดูบัญชีเสร็จอย่างรวดเร็วก็โกรธเซี่ยฟั่งไม่ลงอีกต่อไป พลางเอ่ยชื่นชมว่า “เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน เจ้าก็คัดแยกสิ่งของได้เรียบร้อยแล้ว ข้ามิได้มองคนผิดเลยจริงๆ”
“เพราะพ่อบ้านคนก่อนทำไว้ได้ดี ข้าเพียงแค่จัดแจงบัญชีไม่กี่เล่มเท่านั้น มิได้ทำอะไรเลยขอรับ”
ไม่แย่งความดีความชอบ ไม่ชิงดีชิงเด่น นั่นยิ่งทำให้เจ้าบ้านสกุลหานพอใจอย่างมาก เขาจึงเอ่ยอีกว่า “เรื่องของห้องเก็บของ เจ้ามีอะไรจะรายงานข้าหรือไม่ ได้ยินฮูหยินบอกว่าบางครั้งนางไปที่ห้องเก็บของ เหมือนพบว่ามีของหายไป แต่ก็อาจเป็นเพราะพวกบ่าวทำความสะอาดแล้วเปลี่ยนที่วาง แต่เพราะไม่มีเวลาตรวจดูอย่างละเอียดจึงได้พักเรื่องนี้ไว้ก่อน ข้าแค่คิดว่ายากจะรับรองว่าบ่าวจะไม่หยิบของมีค่าจำนวนหนึ่งติดไม้ติดมือไปด้วย อย่างเห็ดหลิงจือหกตำลึง* นี้ ลอบหยิบสักหนึ่งตำลึงก็เป็นไปได้”
หานกวงเหงื่อท่วมหัวทันที
เซี่ยฟั่งตอบ “ไม่มีขอรับ สิ่งของล้วนอยู่ครบ มิได้น้อยลงแต่อย่างใด” เขากล่าวอีกว่า “นายท่านสอนสั่งดูแลเป็นอย่างดี เมื่อก่อนไม่มี จากนี้ก็จะไม่มีเช่นกัน”
หานกวงนิ่งอึ้งอีกครั้ง เขาเดาผิดอีกแล้วหรือ ไยเซี่ยฟั่งจึงปล่อยโอกาสงามเช่นนี้ให้หลุดลอยไปเสียได้
เขามึนงงอยู่นาน ทันใดนั้นก็ตาสว่าง เมฆหมอกในใจพลันสลาย เซี่ยฟั่งกำลังประจบเอาใจข้า!
อีกฝ่ายย่อมรู้ว่าตนจะเป็นเจ้าบ้านสกุลหานในอนาคต ภายหน้าทุกอย่างของสกุลหานล้วนเป็นของตน เพราะฉะนั้นต่อให้ตนกลั่นแกล้งเขาเพียงไร เขาก็ไม่ปริปากบอกใคร หนำซ้ำเรื่องของหายในห้องเก็บของ เซี่ยฟั่งก็ยังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
เมื่อหานกวงมองเซี่ยฟั่งอีกครั้ง แววตาก็ไร้ความหวาดกลัวแล้ว ตรงกันข้ามกลับประทับใจที่อีกฝ่ายรู้จักดูสถานการณ์เช่นนี้
ยึดติดและปล่อยวางได้เป็นการกระทำของสุภาพชนมิใช่คนพาลต่ำช้า คนเช่นนี้ย่อมใช้การได้ ต่อให้เขาได้เป็นเจ้าบ้านแล้ว ตำแหน่งพ่อบ้านของเซี่ยฟั่งเขาก็ไม่คิดปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด
ความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของหานกวงล้วนอยู่ในสายตาของเซี่ยฟั่ง บุรุษหนุ่มลดสายตาลงเล็กน้อย พร้อมกับนึกเหยียดหยันอยู่ในใจ
เจ้าบ้านสกุลหานซักถามเสร็จก็ให้เซี่ยฟั่งกลับไปพักผ่อน เซี่ยฟั่งรู้ว่าหานกวงจะมาหาตนเองจึงไม่ได้เดินออกไปไกล ครู่หนึ่งหานกวงก็ตามมาขวางเขาไว้จริงตามคาด พร้อมมองด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัยอย่างถี่ถ้วนรอบหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเสียงเบา “เหตุใดเจ้าจึงไม่เปิดโปงข้า”
เซี่ยฟั่งเหลือบตาขึ้นมองเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ของเหล่านี้ล้วนเป็นของคุณชายรองอยู่แล้ว”
หานกวงแสนเบาใจ เมื่อผู้ที่รู้สถานการณ์เช่นนี้เป็นคนที่เขาสามารถใช้งานได้ในอนาคต “ต่อไปข้าก็จะไม่กลั่นแกล้งเจ้าอีก เพียงแต่…เท่าที่ข้ารู้ ในเมื่อท่านพ่อข้าถามเช่นนั้นก็ย่อมรู้แล้วว่ามีของหายไป หากเจ้าไม่บันทึกลงในบัญชีให้ละเอียด ท่านพ่อต้องสงสัยว่าเจ้าเป็นคนเอาไปเป็นแน่”
เขารู้สึกว่าเมื่อเซี่ยฟั่งเข้ามาเป็นพรรคพวกของตนเองแล้ว ฉะนั้นเขาจึงอยากทำตัวเป็นเจ้านายตัวจริงที่ปกป้องบ่าวรับใช้ของตนเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงเปิดใจคุยกับอีกฝ่าย
“หายไปอย่างสองอย่าง นายท่านย่อมไม่รู้ เพียงแต่ต่อไปข้าขอคุณชายรองอย่าได้ยักย้ายของในห้องเก็บของอีกเลยขอรับ เพราะอย่างไรของก็ล้วนถูกบันทึกลงในบัญชีหมดแล้ว” เซี่ยฟั่งตอบ
ไหนเลยจะหายไปแค่อย่างสองอย่าง หานกวงพึมพำในใจแต่ไม่คิดจะกล่าวออกมา มีคนรับผิดแทนเช่นนี้ไยเขาจะไม่ยินดีเล่า ต่อให้เขาเห็นเซี่ยฟั่งเป็นคนของตนแล้วแต่ก็ยังไม่คิดสละตนเองเพื่อปกป้องอีกฝ่าย ซึ่งจุดนี้ไม่คุ้มค่าพอให้ตนเองลงแรง
เซี่ยฟั่งรู้ว่าเจ้าบ้านสกุลหานย่อมมองออกว่าเขามิได้บันทึกสิ่งของในห้องเก็บของออกมาทั้งหมด ที่ให้เขาไปห้องเก็บของ เดิมทีนั้นก็เพียงเพื่อลองใจเขาเท่านั้น
ซึ่งเขามิได้ตระหนกตื่นตูมเลยสักนิด
“เซี่ยฟั่งคนนี้ก็เป็นคนหน้าเงิน”
หานฮูหยินกำลังจุดเครื่องหอมอีกเช่นเคย เครื่องหอมนี้เป็นไม้กฤษณาที่เจ้าบ้านสกุลหานชื่นชอบที่สุด อีกทั้งไม้กฤษณายังเป็นของที่มีราคาแพง ซึ่งแสดงถึงฐานะของผู้ใช้ได้อย่างเด่นชัด เพราะฉะนั้นแม้จะสิ้นเปลืองไปบ้าง แต่เจ้าบ้านสกุลหานก็ชอบให้มีกลิ่นหอมนี้ติดอาภรณ์ ไม่เพียงเฉพาะเรือนนี้ แม้แต่ในเรือนของอนุภรรยาอีกสามคนก็ล้วนมีเครื่องหอมกฤษณา และจะจุดเฉพาะเวลาที่เขาไปเท่านั้น
“โลภมากหรือ เหตุใดข้าดูแล้วกลับไม่เหมือน” หานฮูหยินกล่าว “ท่านมองออกได้อย่างไร”
“ข้าอยากรู้ว่าเพราะอะไรเขาจึงลดตัวมาเป็นพ่อบ้าน หากบอกว่าไร้ที่ไปข้าย่อมไม่เชื่อ เนื่องจากเขาดูมิใช่คนไร้ฝีมือ เพราะฉะนั้นข้าจึงให้เขาตรวจนับสิ่งของในห้องเก็บของ แล้วคืนนี้เขาก็มอบบัญชีรายชื่อให้ข้า ข้าพบว่ามีของหายไปทั้งหมดห้าชิ้น มียาราคาแพงรวมถึงของมีราคาด้วย”
หานฮูหยินแปลกใจ “เขาเป็นคนขโมยหรือ”
“นอกจากเขา ยังมีใครที่มีกุญแจในห้องเก็บของอีก”
หานฮูหยินมีสีหน้าหยันเล็กนิด “ฉินอี๋เหนียงก็มี”
ฉินอี๋เหนียงก็คืออี๋เหนียงใหญ่ ซึ่งหานกวงก็คือบุตรชายของนาง
เจ้าบ้านสกุลหานไม่สบอารมณ์ทันที “ฉินฉินไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้น เงินที่ข้าให้นางก็ไม่น้อยแล้ว เจ้าอย่าได้ตั้งแง่กับนางเช่นนี้เลย”
หานฮูหยินสงบปากสงบคำ วาจาเหล่านี้นางเคยเอ่ยอยู่บ่อยครั้ง แต่อย่างไรสามีก็ยังไม่ยอมเชื่อ แล้วจะให้นางพูดมากไปไย นางจุดเครื่องหอมกฤษณาเสร็จแล้วก็เลื่อนเตาไปทางเขา พร้อมโบกพัดเบาๆ ให้กลิ่นหอมโชยไปตรงหน้าสามี “ในเมื่อรู้ว่าเซี่ยฟั่งเป็นคนทำ เช่นนั้นท่านก็ควรเฉดหัวเขาออกไป”
เจ้าบ้านสกุลหานสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง พลางเอ่ยด้วยอารมณ์เบิกบานว่า “ข้าไล่เขาไปไม่ได้หรอก หากเขาไม่โลภอะไรเลยสิ คนเช่นนั้นต่างหากที่จะน่ากลัว คนที่มีความสามารถ แต่ไม่ละโมบอยากได้อะไรทั้งสิ้น มันสมเหตุสมผลแล้วหรือ”
หานฮูหยินเพิ่งเข้าใจเจตนาของสามี นางลอบชื่นชมไหวพริบของเขา ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าสามีของนางฉลาดจนน่ากลัว นางไม่พูดมากอีก เพียงกล่าวคล้อยตาม “นั่นก็ใช่”
“คืนนี้ข้ายกตัวอย่างเรื่องของหายกับเขา เขามิใช่คนโง่ น่าจะพอรู้ขอบเขต แต่ต่อไปของมีค่าที่คนอื่นมอบมายังต้องให้ฮูหยินช่วยบันทึกลงบัญชีแล้ว”
หานฮูหยินช้อนตาขึ้นเล็กน้อย อยากถือโอกาสประชดว่าเหตุใดเขาจึงไม่มอบหมายให้ฉินอี๋เหนียงทำ แต่สุดท้ายก็ห้ามใจตนเองไว้
ช่วงเช้าตรู่ อาเหม่าไปเก็บสมุนไพรบริเวณทุ่งหญ้าที่อยู่ละแวกใกล้เคียง นำมาทำความสะอาดแล้วผึ่งแดดที่หน้าประตู พอกลับมาตอนเที่ยงนางก็พลิกสมุนไพรกลับด้าน กระทั่งถึงช่วงย่ำค่ำ สมุนไพรพวกนี้ก็ถูกตากจนแห้งกรอบ ขยำด้วยมือเบาๆ ก็ละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว
นางบดสมุนไพรพวกนี้ให้เป็นผง ใส่ลงในถุงหอมที่สะอาด เตรียมนำไปให้เซี่ยฟั่ง
นางยังเป็นห่วงแผลที่มือของเขา เมื่อคืนได้ยินว่าเจ้าบ้านสกุลหานเรียกเขาไปพบ นางยังห่วงว่าเขาจะถูกตำหนิหรือถูกลงโทษ แต่หลังจากสอบถามจากสาวใช้ในเรือนเดียวกันแล้วก็ได้ความว่าเขาไม่ได้ถูกลงโทษแต่อย่างใด ไม่เพียงเท่านั้นยังได้รับความห่วงใยจากนายท่าน ที่แท้เขาก็บอกว่าช่วงบ่ายตนเองไปทำความสะอาดแผลที่ร้านขายยา แล้วหลังจากนั้นตัวเขาก็เผลอหลับไป
เหตุนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก เพราะนางก็เห็นเขาวิ่งตามรถม้าของคุณชายรองไปกับตา
แต่เพราะเหตุใดเขาถึงต้องโกหก
แม้อาเหม่าจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเขาแต่ก็ไม่อยากคิดมาก นางยังคงหยิบถุงหอมใส่อกเสื้อ จากนั้นก็เดินตามหาเซี่ยฟั่ง
พ่อบ้านทำงานโดยไม่มีกำหนดเวลาและสถานที่ อีกทั้งอาเหม่าก็ไม่สะดวกสอบถามที่อยู่ของเขา ฉะนั้นพอถึงช่วงกินข้าวจึงเห็นเขาพูดคุยกับคนอื่นอยู่บนทางเดินสวนดอกไม้ เมื่อมองจนแน่ชัดแล้วจึงพบว่าคนผู้นั้นคือคุณชายรอง
อาเหม่ามองพวกเขาอยู่ไกลๆ ก็พบว่าหานกวงกับเซี่ยฟั่งเหมือนสนทนากันถูกคอมาก นางเห็นหานกวงหัวเราะชอบใจอยู่หลายครั้งโดยปราศจากท่าทีกลั่นแกล้งเขาอีก
เดิมนึกว่าพวกเขาจะสนทนากันอีกนาน อาเหม่าจึงมิได้ซ่อนตัว ทันใดนั้นหานกวงก็หันร่างกลับมาแล้วมองเห็นอาเหม่าในทันที
อาเหม่ากลัวเล็กน้อย นึกอยากเบี่ยงร่างหลบไปอยู่ด้านข้าง ทว่าหานกวงกลับย่างสามขุมตามมา แล้วมองสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายรอบ จู่ๆ เขาก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “มิน่า…มิน่าล่ะ…”
กล่าวจบหานกวงก็เดินจากไป ทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มกำกวมจนอาเหม่าทำอะไรไม่ถูก
ครู่หนึ่งเซี่ยฟั่งก็เดินเข้ามา กล่าวกับอาเหม่าว่า “ต่อไปเจ้าไม่ต้องคอยหลบคุณชายรองแล้ว จากนี้เขาจะไม่ทำเรื่องเสียมารยาทกับเจ้าอีก”
อาเหม่าเงยหน้าขึ้นถาม “ท่านพูดอะไรกับเขาหรือ”
เซี่ยฟั่งตอบ “แค่พูดคำเกลี้ยกล่อมห้ามปรามไปเล็กน้อยเท่านั้น”
ถึงอาเหม่าจะอ่อนประสบการณ์ แต่ก็เข้าใจเรื่องราวความรู้สึกเหล่านี้อยู่บ้าง เพราะเหล่าสาวใช้ในเรือนเดียวกันมักจะกล่าวถึงกันมาก อีกทั้งนางก็เป็นบ่าวรับใช้มานานจึงเข้าใจอยู่ไม่น้อย แต่ดูเซี่ยฟั่งเหมือนจะไม่รู้สึกตัวในความหมายวาจาของตนเอง ทว่าในสายตาของอาเหม่านั้น ความรู้สึกของนางที่มีต่อเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
พวงแก้มของนางขึ้นสีระเรื่อ อยากเอ่ยปาก แต่ท้ายที่สุดก็กระดากอายเกินกว่าจะกล่าว นางถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “ขอบคุณพ่อบ้านเซี่ยที่คลายปัญหาให้อาเหม่า”
เซี่ยฟั่งมิได้รับความดีความชอบ เมื่อเห็นนางจะไปก็ร้องเรียกไว้ “รอก่อน”
อาเหม่าหยุดฝีเท้ามองเขา เห็นเขาล้วงกล่องใบหนึ่งออกจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้นาง นางเปิดออกดูจึงพบว่าด้านในเป็นผ้าสี่เหลี่ยมหลายผืนที่ถูกพับไว้อย่างเป็นระเบียบ หัวใจดวงน้อยพลันสะท้านไหว ไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย
เซี่ยฟั่งกล่าว “วันนั้นที่ม้าพยศ มือข้าได้รับบาดเจ็บ เจ้าใช้ผ้าเช็ดหน้าพันแผลให้ข้า แม้ข้าจะลองซักทำความสะอาดแล้ว แต่เพราะมันเปื้อนเลือดจึงใช้ไม่ได้แล้ว เมื่อวานเจ้าก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ข้าอีก ข้าเองก็ลืมคืน คิดไปคิดมา จึงซื้อกล่องใหม่มาให้เจ้าเสียเลย”
ผ้าเช็ดหน้าเหล่านี้มิใช่เนื้อผ้าที่พบได้ทั่วไป แต่กลับเป็นผ้าไหม ทั้งยังปักลายดอกเหมยสีแดงและสีเหลือง ประณีตละเมียดละไมยิ่ง ซึ่งมิใช่ของที่บ่าวอย่างนางสามารถใช้อย่างเปิดเผยได้
แต่อาเหม่าไม่ได้บอกกล่าว บุรุษเช่นเขาก็คงไม่เข้าใจ ซ้ำยังซื้อผ้าเช็ดหน้ากล่องนี้มา เขาอาศัยผ้าเช็ดหน้ากล่องนี้เป็น ‘ของตอบแทน’ และถือเป็นการสะสาง ‘หนี้’ ที่พวกเขาทั้งสองติดค้างกันในหลายวันนี้ให้เรียบร้อย วันหน้าจึงจะไม่กระอักกระอ่วนใจเช่นนั้นอีก
อาเหม่ารับกล่องไว้แล้วกล่าวว่า “พ่อบ้านมีน้ำใจแล้ว”
เซี่ยฟั่งคืนผ้าเช็ดหน้าแล้วก็คล้ายไม่มีอะไรบางอย่างสุมแน่นอยู่ในอกของตนเองอีก เขานึกว่าการสนทนาจะจบเพียงเท่านี้ ขณะกำลังจะไปทำงานก็ได้ยินนางกล่าวว่า “ต่อไปพ่อบ้านเซี่ย…ขอท่านอย่าได้พูดเรื่องของข้ากับคุณชายรองอีกเลยจะดีกว่า”
เซี่ยฟั่งไม่เข้าใจ “เพราะอะไร”
ดวงหน้าของอาเหม่าแดงปลั่งอีกครั้ง นางก้มหน้ากล่าว “ไม่มีอะไร ข้าขอตัวไปทำงานก่อน”
กล่าวจบนางก็เร่งฝีเท้าจากไป ทิ้งเซี่ยฟั่งให้อยู่ที่เดิม เซี่ยฟั่งเดานัยในคำพูดของนางไม่ได้ไปชั่วขณะ ทว่าเมื่อมองแผ่นหลังที่รีบร้อนเดินจากไปของเด็กสาวแล้วเขาจึงเพิ่งเข้าใจกระจ่าง ที่แท้เรื่องที่เขาพูดกับหานกวง ตั้งใจบอกว่าอย่าคิดอกุศลกับอาเหม่าอีกนั้นก็ถูกอีกฝ่ายเข้าใจไปว่าเขามีใจให้อาเหม่าเสียแล้ว
มิน่าเมื่อครู่หานกวงฟังแล้วจึงหัวเราะชอบใจอย่างมีเลศนัยเช่นนั้น
เซี่ยฟั่งที่ถูกเข้าใจผิดก็รู้สึกว่าหากปล่อยไว้จะไม่ได้การ เดิมทีเรื่องผ้าเช็ดหน้าไหมนี้เขาก็เพียงอยากฟื้นความสัมพันธ์ของพ่อบ้านกับสาวใช้ มิใช่เพื่ออยากใกล้ชิดขึ้นไปอีกขั้น ใครจะคิดว่าเรื่องราวกลับตาลปัตรเช่นนี้
เซี่ยฟั่งขมวดคิ้ว พลางทอดสายตามองไปยังระเบียงทางเดินที่ไร้เงาร่างของเด็กสาวแล้ว ทว่าทุกสีหน้าและอิริยาบถของอาเหม่านั้น ยังคงตราตรึงอยู่ในใจเขา
เมื่ออาเหม่าเดินออกมาจากสวนดอกไม้แล้ว จึงหยิบถุงหอมสมุนไพรที่นางใช้เวลาทำทั้งวันออกมา ชั่งใจครู่หนึ่งก่อนย่อกายนั่งยองๆ อยู่ริมสระแล้วเทผงสมุนไพรลงในน้ำ
เซี่ยฟั่งแสดงออกอย่างชัดเจนว่าทั้งสองไม่ควรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว หากนางยังมอบถุงหอมให้เขาอีก เซี่ยฟั่งก็ต้องปวดหัวว่าจะ ‘ตอบแทน’ นางอย่างไร แม้ยาตัวนี้จะดีกับแผลของเขา แต่อย่างไรเขาก็ต้องไปขอยากับหมออยู่ดี ดังนั้นต่อให้ไม่มีสมุนไพรตัวนี้ก็คงไม่เป็นไร
…ใต้หล้านี้น้ำใจยากจะคืน อย่าให้มีเหตุให้เข้าใจผิดกันจะดีกว่า
ผงหญ้าที่ลอยอยู่กลางสระน้ำค่อยๆ ดิ่งจมลงทีละน้อย แสงแดดอาบไล้อยู่บนผิวน้ำ สะท้อนประกายคลื่นน้ำเข้าไปในดวงตาของอาเหม่าจนระยิบระยับ ไหวกระเพื่อมเลื่อนลอย
* น้ำหนัก 1 ตำลึงของจีนเท่ากับ 31.25 กรัม
Comments
comments