บทที่ 4
ตั้งแต่วันนั้นที่เซี่ยฟั่งมอบผ้าเช็ดหน้าไหมให้อาเหม่าไปกล่องหนึ่ง เมื่อทั้งสองเจอกันในยามปกติพวกเขาก็เพียงทักทาย ทุกอย่างดูธรรมดาราบรื่นไม่มีอะไรที่ผิดปกติ นั่นทำให้เถาฮวาเกิดความเบื่อหน่ายในอารมณ์อย่างมาก เนื่องจากนางได้ยินว่าวันที่มีม้าพยศอาเหม่ายังพุ่งเข้าไปช่วยทำแผลให้เขา ชัดเจนว่าเป็นคู่วาสนานำพาโดยมิต้องสงสัย
แต่อาเหม่าคล้ายไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย
วันนี้เถาฮวาหวีผมให้อาเหม่า ดวงหน้าที่สะท้อนในคันฉ่องยามนี้ผุดผ่องงดงาม เรือนผมดำเงาสยายปรกบ่า ยิ่งขับให้นางดูเย้ายวน เถาฮวามองจนแทบตาค้าง
อาเหม่าเห็นนางใจลอย จึงมองนางในคันฉ่องพลางถาม “ไยจึงไม่หวีต่อเล่า อีกครู่ข้าก็ต้องยกน้ำร้อนให้เหล่าเจ้านายล้างหน้าล้างตาแล้ว”
“ข้าแค่รู้สึกเสียดาย” เถาฮวากล่าว “อาเหม่าเจ้างดงามเพียงนี้ หากคู่กับพ่อบ้านแล้วย่อมเหมาะสมกันอย่างมาก”
อาเหม่าชะงัก “เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว”
“จะโทษที่ข้าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้เด็ดขาด ก่อนนี้ก็มีใบเซียมซีช่วยยืนยันเรื่องของพวกเจ้า…ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่คิดฟุ้งซ่านเช่นนี้หรอก”
อาเหม่าเหลียวมองในห้อง เมื่อเห็นว่าคนอื่นต่างง่วนอยู่กับตนเอง ไม่มีใครเทความสนใจมาที่พวกนาง จึงเอ่ยเสียงเบา “ที่นี่มีคนชอบพ่อบ้านเซี่ยไม่น้อย เจ้าก็อย่าได้พูดเรื่องนี้อีกเลย ขืนยังพูดอีกข้าก็จะเป็นเป้าให้ถูกคนอื่นเพ่งเล็งแล้ว”
เถาฮวาเข้าใจและไม่แปลกใจ เมื่อเซี่ยฟั่งอยู่ในคฤหาสน์สกุลหานนี้ อย่าว่าแต่ในหมู่บ่าวรับใช้เลย แม้แต่ในบรรดาเจ้านาย เขาก็ยังดูสง่าสูงศักดิ์ทั้งรูปงาม เหล่าสาวใช้จะปลาบปลื้มเขาก็เป็นเรื่องปกติ หากนางยังหยิบเอาเรื่องเซียมซีทำนายรักของอาเหม่ามาพูดบ่อยๆ ก็คงถือเป็นการสร้างศัตรูให้เจ้าตัว เถาฮวาถอนใจเฮือก “อันที่จริงพอข้าเห็นพ่อบ้านเซี่ยแล้วก็นึกถึงคุณชายสาม”
เอ่ยถึงคุณชายสาม หัวใจของอาเหม่าก็เต้น ‘ตึกตัก’ ขึ้นทันใด
คุณชายสามหานอี้ เป็นบุตรชายคนเดียวของนายท่านรอง เขาพเนจรร่ำเรียนอยู่ภายนอกนานหลายปี และจะกลับสกุลหานเพียงปีละครั้ง พักเพียงไม่กี่วันเขาก็จะออกไปอีก
เขาเป็นคนฉลาดเฉลียว สุภาพนุ่มนวล หน้าตานับว่างามสง่า รูปลักษณ์คุณสมบัติโดดเด่น และที่สำคัญที่สุดคือเขาดีกับอาเหม่าอย่างมาก
ซึ่งยามนี้พอเถาฮวาเอ่ยถึง นางเพิ่งเข้าใจว่าเพราะเหตุใดจึงรู้สึกสนิทใจกับเซี่ยฟั่งยิ่งนัก น่าจะเป็นเพราะกลิ่นอายของเขากับคุณชายสามมีส่วนคล้ายกัน เพียงแต่เซี่ยฟั่งมีนิสัยที่สุขุมเงียบขรึมมากกว่า ไม่เหมือนคุณชายสามที่เห็นนางแล้วก็จะยิ้มร่าพร้อมเรียกนางว่า ‘อาเหม่า อาเหม่า’ ราวกับกำลังเรียกแมวตัวน้อยอย่างนั้น
กลางวันรีบร้อนเดินทาง ไอร้อนระอุปกคลุมอยู่ภายใน จนคนที่นั่งอยู่ในรถม้ารู้สึกร้อนอบอ้าว ถูกรมจนสติใกล้เลือนราง
เนื่องจากเจ้าบ้านสกุลหานมีรูปร่างอ้วนท้วนอยู่แล้ว ฤดูร้อนกลัวไอร้อนฤดูหนาวขยาดพายุหิมะ ลงจากรถม้าแล้วใบหน้าก็ร้อนจนแดงก่ำ ราวกับหมูสับปั้นราดน้ำแดงลูกหนึ่งที่กลิ้งลงพื้น เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนแหงนหน้ามองอาทิตย์ร้อนแรงด้วยความชิงชังเหลือแสน
เขาเพิ่งลงจากรถ ผู้คุ้มกันก็กรูกันเข้าไป เพราะพวกเขาอยู่ใกล้กันเกินไปจึงบังทิศทางลม ทว่าเจ้าบ้านสกุลหานกลับไม่ได้สั่งให้พวกเขาถอยห่าง เพียงเพราะเรื่องม้าคลุ้มคลั่งเมื่อสามวันก่อนนั้นก็ทำให้เขาอกสั่นขวัญผวาเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เขายังเพิ่มผู้คุ้มกันอีกสองคน เพื่อป้องกันมิให้ตนเองถูกปองร้ายได้อีก
ขณะเดินขึ้นบันไดหิน เขายังกล่าวกับเซี่ยฟั่งอีกว่า “เหตุใดจึงยังสืบไม่ได้ความอีก”
เซี่ยฟั่งรู้ว่าเขาถามถึงเรื่องใดจึงกล่าวตอบ “ใกล้แล้วขอรับ ข้าได้เบาะแสมาแล้ว ขอเพียงพิสูจน์ความจริงอีกเรื่องหนึ่งได้ ก็จะหาตัวคนผู้นั้นได้ทันที”
เจ้าบ้านสกุลหานมิได้กล่าวชมเขา เดิมทีเขาคิดว่าเซี่ยฟั่งจะใช้เวลาแค่วันเดียวก็สามารถสืบหาคนร้ายได้แล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าสองวันเข้าไปแล้วก็ยังไร้วี่แวว แม้จะบอกว่าได้เบาะแส ทว่า…
ความต้องการที่ผู้เป็นนายเรียกร้องจากบ่าวรับใช้ มักไร้ที่สิ้นสุด
หลังจากเจ้าบ้านสกุลหานเข้าคฤหาสน์แล้ว เซี่ยฟั่งก็ผ่อนฝีเท้าเดินไปข้างคนบังคับรถม้าแล้วกล่าว “ตอนนี้ม้าที่คลุ้มคลั่งตัวนั้นยังอยู่ที่คอกม้าหรือไม่”
“ยังอยู่ที่คอกม้าขอรับ แต่หายคลุ้มคลั่งแล้ว สองวันนี้มันค่อนข้างว่าง่าย” คนบังคับรถม้าตอบ
เซี่ยฟั่งกล่าวเสียงเรียบ “กลางคืนคนฆ่าสัตว์จะมา ให้จูงมันไปเสีย”
คนบังคับรถม้าแปลกใจ “คนฆ่าสัตว์หรือ จะฆ่าม้าหรือขอรับ”
“ในเมื่อเป็นบ้าไปแล้ว จะเลี้ยงไว้อีกทำไม ต่อให้ตอนนี้มันไม่อาละวาด ต่อไปก็ยากจะรับรองว่ามันจะไม่คลุ้มคลั่งจนพังรถม้าอีก หนำซ้ำยามนี้ก็เลี้ยงมันไว้ที่คอกม้าเฉยๆ มิใช่หรือ เจ้าก็รู้ว่าว่านายท่านไม่ชอบเลี้ยงคนหรือสัตว์ที่ใช้งานไม่ได้ เพราะฉะนั้นนายท่านจึงให้ข้าตามคนฆ่าสัตว์มา เขาน่าจะมาหลังยามโหย่ว”
เซี่ยฟั่งกล่าวจบ เขามองบุรุษร่างเตี้ยกำยำตรงหน้าก่อนกล่าวเสริม “ข้ารู้ว่าม้าตัวนี้เจ้าเป็นคนเลี้ยงมาสี่ปีกว่า แต่นายท่านสั่งมา ข้าก็จนปัญญา”
คนบังคับรถม้าฟังแล้วก็ถอนใจ “ข้าน้อยเข้าใจ แล้วแต่นายท่านจะสั่งการ”
เซี่ยฟั่งพยักหน้า ก่อนเดินเข้าคฤหาสน์ไป
พ้นเวลายามเที่ยง ไอร้อนซัดสาด บาดแผลบนหน้าผากของเซี่ยฟั่งยังไม่หายสนิท และแผลที่ทายาก็ถูกคราบเหงื่อละลายจนชื้น เขาจึงรู้สึกแสบเล็กน้อยพลันนิ่วหน้าย่นคิ้ว ดูแล้วเหมือนมีเรื่องหนักใจ
อาเหม่าพร้อมเถาฮวาที่กำลังจะออกจากคฤหาสน์เพื่อไปตามช่างตัดเย็บให้ฮูหยินเดินมาพบ เห็นเขามีท่าทางเช่นนั้นจึงมองอีกแวบหนึ่ง ภายใต้แสงแดดที่เจิดจ้าจนแสบตา สีหน้าของบุรุษหนุ่มดูขาวซีดเล็กน้อย ทั้งดูไม่แข็งแรงนัก เพียงแต่ด้วยหน้าตางามสง่าของเขาแล้ว แม้จะมีกลิ่นอายเจ็บป่วยอยู่ทว่ากลับยิ่งเพิ่มความน่ามองแก่เขาขึ้นไปอีก อาเหม่าแอบมองเพียงแวบหนึ่งก็ดึงสายตากลับ ส่วนเถาฮวาที่มิได้ชอบเขา เพียงแค่ชื่นชมหน้าตาของเขาเท่านั้น กลับจดจ้องอยู่นานอึดใจใหญ่กระทั่งเซี่ยฟั่งรู้สึกตัว เมื่อเขาเงยหน้ามองมาทางนางแล้ว นางก็รีบถอนสายตากลับไปทันที ก่อนเม้มปากแอบหัวเราะ
สายตาเช่นนี้เซี่ยฟั่งเคยเห็นมาจากกลุ่มสาวใช้ตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามาคฤหาสน์สกุลหานนี้แล้ว วันนั้นพวกนางเองก็หัวเราะคิกคักเช่นนี้กับเขา แสนจะ…คลุมเครือมีนัยยิ่ง
มีเพียงอาเหม่าที่ไม่เคยยิ้มให้เขาเช่นนี้เลย
เซี่ยฟั่งอยากถามนางอยู่หลายครั้ง ทว่าปุบปับถามก็คงไม่ดีนัก เขาจึงไม่ได้ถามมาตลอด
ขณะที่อาเหม่ากับเถาฮวาใกล้จะเดินผ่านเขาไป ต่างฝ่ายต่างหยุดฝีเท้าเพื่อทักทาย แล้วทั้งสองก็แยกย้ายกันเดิน ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติ
อาเหม่ากับเถาฮวาตามช่างตัดเย็บมาตัดชุดให้ฮูหยิน ยังไม่ทันเข้าประตูก็เจอเจ้าบ้านสกุลหานกำลังจะออกไปข้างนอก นางรีบดึงเถาฮวาไปอีกทางพลางค้อมศีรษะทักทาย
อาทิตย์ร้อนระอุ ทันใดนั้นก็มีเสียงหวานใสของเด็กสาวดังเข้าโสตประสาท สะกิดให้เจ้าบ้านสกุลหานมองไปยังอาเหม่าทันที เด็กสาวที่อยู่ใต้แสงแดดเจิดจ้าผู้นี้ราวกับบุปผาแรกแย้มในฤดูร้อน ต่อให้นางอยู่ในชุดสาวใช้ มัดผมจุกสองข้างแบบสาวใช้ธรรมดาเช่นไร ก็ไม่อาจบดบังความเย้ายวนของนางลงได้
เจ้าบ้านสกุลหานมองนางอยู่หลายครั้ง ก่อนเอ่ยถาม “วันนี้ต้องรับใช้ฮูหยินหรือไม่ ข้าขาดสาวใช้คนหนึ่งอยู่พอดี อย่างไรเจ้าก็ตามข้ามาแล้วกัน”
หัวใจของอาเหม่าพลันหล่นวูบทันที เจ็บร้าวจนนางกระตุกมุมปาก อยากปฏิเสธออกไป แต่ก็กลัวจะเป็นการล่วงเกินนายท่าน หากเป็นเช่นนั้นวันข้างหน้านางคงได้ทุกข์ทนไม่น้อยแน่
“ข้าจำได้ว่าฮูหยินให้อาเหม่าไปตามช่างเย็บผ้ามาที่เรือน อีกครู่อาเหม่าก็ต้องช่วยวัดตัวจับผ้า ถ้าอย่างไรนายท่านเรียกคนอื่นไปแทนดีหรือไม่”
คล้ายลมเย็นสายหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางภูเขาไฟร้อนระอุ อาเหม่าไม่กล้าแสดงสีหน้าซาบซึ้งให้กับเซี่ยฟั่งต่อหน้านายท่านอย่างแน่นอน เจ้าบ้านสกุลหานผู้นี้ฉลาดเป็นกรด นางจะทำให้เซี่ยฟั่งพลอยเดือดร้อนด้วยมิได้
เจ้าบ้านสกุลหานฉีกยิ้ม “มีเถาฮวาอยู่มิใช่หรือ เถาฮวา รีบพาช่างเข้าไปเสียสิ”
อาเหม่าเอียงหน้ามองเถาฮวา ส่งสายตาบอกใบ้นางว่าอย่าไป ทว่าเถาฮวานิสัยเถรตรงและไม่มีไหวพริบเช่นนั้นจึงไม่เข้าใจ ‘การขอความช่วยเหลือ’ ของอาเหม่าสักนิด นางขานรับอย่างเสียงดังฟังชัด จากนั้นก็พาช่างตัดเย็บเดินไปอย่างรวดเร็ว นางยังดีใจด้วยซ้ำที่ตนไม่ต้องยืนตากแดดจนเกรียม
เจ้าบ้านสกุลหานผุดยิ้มบางๆ เอ่ยเสียงเรียกอีกครั้ง “อาเหม่า”
อาเหม่าบากหน้าเดินไปทางเจ้าบ้านสกุลหาน ทั้งไม่รู้ว่าเขาจะพาตนไปที่แห่งใด แล้วเซี่ยฟั่งไปด้วยหรือไม่ ราวกับหากว่าเขาไปด้วยแล้วนางจะมีทางรอดกระนั้น
แต่อย่างไรเซี่ยฟั่งเองก็ทำงานให้กับสกุลหาน อาเหม่าฝากความหวังไว้กับเขาเช่นนี้ก็เป็นแค่การหลอกตนเองแล้ว
นางเดินตามหลังเจ้าบ้านสกุลหาน ส่วนเซี่ยฟั่งตามอยู่ข้างๆ นาง มีผู้คุ้มกันตามอยู่ห่างออกไป คนบังคับรถม้ารีบยกม้านั่งมาวางลงหน้ารถม้า เจ้าบ้านสกุลหานก้าวเท้าเหยียบม้านั่งเพื่อจะก้าวขึ้นไป ทันใดนั้นคนบังคับรถม้าที่ก้มตัวจับม้านั่งอยู่ก็พลันลุกขึ้นพรวด แทบจะทำให้เจ้าบ้านสกุลหานหงายหลังล้มตึงลงที่พื้น โดยไม่รอให้เขาได้ทันตั้งตัว คนบังคับรถม้าก็ถือกริชเล่มหนึ่งไว้ในมือ ก่อนคำรามเสียงดังแล้วพุ่งเข้าไปเล็งกริชแทงที่ตำแหน่งหัวใจของเจ้าบ้านสกุลหาน
อาเหม่าตะลึงงัน ตกใจจนขยับตัวไม่ได้ ทันใดนั้นด้านหลังก็มีลมเย็นสายหนึ่งวูบผ่าน เซี่ยฟั่งคว้ากริชด้วยมือเปล่าเอาไว้ได้ทันท่วงที กริชเล่มนั้นคมกริบ เพียงจับเบาๆ ก็กรีดให้เกิดรอยแผลได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อจับกริชแน่นภายใต้แรงที่พุ่งทะยานเข้ามา นั่นแทบจะกรีดแทงเข้าลึกถึงกระดูกแล้ว
เซี่ยฟั่งหน้ามืดไปทันที เขาแทบหมดสติเพราะความเจ็บลึกถึงกระดูกในพริบตานั้น เคราะห์ดีที่เขาใช้อีกมือจับมือของคนบังคับรถม้าไว้ได้ ผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านหลังจึงกระโจนเข้าจับตัวคนบังคับรถม้าได้ทันเวลา เจ้าบ้านสกุลหานเพียงถูกโลหิตกระเด็นเปื้อนเสื้อไม่กี่หยดเท่านั้น ส่วนร่างกายของเขายังคงปลอดภัยดี
อาเหม่าตะลึงอึ้งไป พอได้สตินางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาพันมือของเซี่ยฟั่งทันที
บาดแผลของเขาลึกเกินไป โลหิตจึงได้ไหลทะลักออกมาไม่หยุด ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวไม่อาจกดซับไว้ได้ โลหิตจึงโชกชุ่มจนเปรอะไปทั่วมือของอาเหม่า มากมายจนนางอกสั่นขวัญแขวน ร่างบางเริ่มสั่นเทา กระนั้นนางก็ไม่ยอมปล่อยมือ
เซี่ยฟั่งเห็นนางตื่นกลัวจึงใช้มือใหญ่อีกข้างของตนเองช่วยกดผ้าเช็ดหน้าไว้ พลางบอกด้วยเสียงเบาหวิว “ข้าไม่เป็นไร เจ้าปล่อยมือก่อน ที่เหลือข้าทำเอง”
อาเหม่าไม่ปล่อย จนกระทั่งเห็นแววตายืนกรานของเซี่ยฟั่ง นางจึงค่อยๆ ปล่อยมือ ครั้นคลายมือแล้ว โลหิตก็พลันทะลักอีกครั้ง บางส่วนกระเด็นมาเปื้อนเสื้อนางไม่น้อย
เจ้าบ้านสกุลหานที่หายจากอาการตื่นตระหนกแล้วหันไปถลึงตาจ้องคนบังคับรถม้าพลางตวาดลั่น “เหตุใดเจ้าจึงปองร้ายข้า!”
“เขาคือคนที่วางยาม้า หวังทำร้ายนายท่านเมื่อหลายวันก่อน” เซี่ยฟั่งเอามือกุมบาดแผลไว้ ริมฝีปากหยักขาวซีดราวกับกระดาษ “วันนี้ข้าได้เบาะแสบางอย่างแล้ว ขอเวลาอีกเพียงครึ่งเค่อ* คนที่ข้าส่งไปก็จะสืบหาตัวคนร้ายได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะใจกล้าจนลงมือกับนายท่านโดยตรงเช่นนี้เสียก่อน”
เจ้าบ้านสกุลหานโกรธจนตัวสั่น ก่อนจะยกเท้ายันเข้าที่หน้าอกของคนบังคับรถม้าทันที “ข้าดีกับเจ้าไม่น้อย เจ้ากลับกล้าทำร้ายข้าเช่นนี้!”
คนบังคับรถม้าพยายามตะเกียกตะกาย แต่ก็ไม่อาจดิ้นหลุดจากการควบคุมของผู้คุ้มกันสี่คนได้ จึงได้แต่ตะโกนขึ้นด้วยความอาฆาต “เจ้าฆ่าพี่ชายของข้า ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต! หานโหย่วกง เจ้ามันไม่ใช่คน ไม่ใช่คน!”
เจ้าบ้านสกุลหานประหลาดใจ “เจ้ามีพี่ชายที่ไหนกัน เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ”
“ถังจินเจี่ยวคือพี่ชายของข้า!”
เจ้าบ้านสกุลหานตวาด “เจ้าลงมือสังหารคนกลางวันแสกๆ! ข้าจะส่งเจ้าให้ทางการ ให้เจ้า…”
“นายท่าน” เซี่ยฟั่งกดเสียงลงต่ำ “เรื่องนี้ค่อยจัดการทีหลังได้หรือไม่ ข้ายังมีเรื่องอยากรายงานท่าน”
เจ้าบ้านสกุลหานชะงัก ราวกับคิดอะไรบางอย่างได้จึงนึกเป็นห่วงมือของเซี่ยฟั่งขึ้นมา เขาจึงกล่าวว่า “เจ้าไปให้หมอซ่งทำแผลก่อนเถอะ ไม่ต้องไปข้างนอก กว่าเจ้าจะถึงร้านขายยา มือของเจ้าก็คงยากจะรักษาแล้ว”
เซี่ยฟั่งมิได้ปฏิเสธ เขาใช้มือกดบาดแผลก่อนจะเข้าไปหาหมอซ่งในคฤหาสน์ อาเหม่ายืนนิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม นางไม่สะดวกที่จะตามเขาไปด้วย กลับเป็นเจ้าบ้านสกุลหานที่พอเห็นคราบโลหิตบนมือทั้งสองข้างของนางแล้วเกิดสะอิดสะเอียนขึ้นมา จึงนิ่วหน้ากล่าว “เจ้าก็ไปล้างมือเสีย”
อาเหม่าเหมือนยกภูเขาออกจากอก ก่อนจะไปยังไม่ลืมโค้งคำนับขอตัวกับเขา แล้วรีบตามเซี่ยฟั่งไป
พอถึงเรือนพักของหมอซ่ง จนกระทั่งรอจนเซี่ยฟั่งทายาทำแผลเสร็จแล้ว อาเหม่าก็ยังลืมว่านางต้องไปล้างมือ กลับเป็นเซี่ยฟั่งที่สีหน้าเริ่มดีขึ้นแล้วเป็นฝ่ายสังเกตเห็นนางก่อน “ไปล้างมือเถอะ เสื้อผ้าเจ้าก็เปื้อนเลือดแล้ว”
อาเหม่าตื่นจากภวังค์ จึงไปล้างมือที่ถังน้ำ โลหิตที่เปื้อนมือเริ่มจับตัวแห้งแล้ว ทั้งสีก็เปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น มองแล้วค่อนข้างน่ากลัว นางต้องถูมือทั้งสองข้างแรงๆ ล้างจนน้ำหมดไปถังหนึ่ง จึงค่อยรู้สึกว่าไม่มีกลิ่นคาวเลือดติดมือแล้ว
นางเดินกลับมาด้วยดวงหน้าซีดเซียว คราบเลือดบนหลังมือและร่องนิ้วของเซี่ยฟั่งถูกเด็กบดยาทำความสะอาดไปไม่น้อยแล้ว จึงไม่น่ากลัวเช่นนั้นอีก
เห็นเขาปลอดภัย อาเหม่าจึงกล่าวว่า “ข้าขอไปเปลี่ยนชุดก่อน อีกเดี๋ยวยังต้องออกไปกับนายท่าน”
“รอเดี๋ยว” เซี่ยฟั่งเรียกอาเหม่าไว้ ก่อนลุกเดินไปหานาง พลางโน้มกระซิบริมหู “แกล้งสลบ”
อาเหม่านิ่งอึ้ง จากนั้นก็เข้าใจได้ในทันที ชั่วขณะต่อมานางจึงตระหนกตกใจจนล้มหมอนนอนเสื่อ ไม่สามารถตามเจ้าบ้านสกุลหานออกไปได้แล้ว
นางยิ้มขอบคุณเขา หนนี้หมอกับเด็กบดยาอยู่ห่างออกไป นางจึงมิได้เก็บอาการ
หลังเขามองสายตาที่เต็มตื้นด้วยความซาบซึ้งของนางแล้ว เซี่ยฟั่งยังกล่าวอีกว่า “เพราะอะไรเจ้าถึงไม่ใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมพวกนั้น เจ้าไม่ชอบหรือ”
คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะถามถึงเรื่องผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา อาเหม่ามิได้กลบเกลื่อนปิดบัง นางเพียงบอกไปตามตรง “ข้าชอบ เพียงแต่ผ้าเช็ดหน้าไหมนั้นเป็นผ้าชั้นดี ไม่เหมาะกับบ่าวรับใช้อย่างข้า ข้ากลัวคนอื่นเห็นแล้วจะครหาได้ จึงเก็บเอาไว้” นางกลัวเขาจะเข้าใจผิด กล่าวจบแล้วก็เสริมอีกประโยค “ข้าเก็บอย่างดี มิได้นำไปทิ้ง”
“เป็นข้าสะเพร่าเอง”
“แต่ท่านไม่ต้องคืนผ้าเช็ดหน้าอีกกล่องให้ข้าแล้ว” อาเหม่ากล่าวด้วยความลำบากใจ “เกิดมีใครเห็นเข้า ก็คงไม่ดี”
เซี่ยฟั่งครุ่นคิด ในเมื่อเขาเคยให้แล้วครั้งหนึ่ง หากให้อีกก็เหมือนจะไม่เหมาะ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกตัวว่านางใช้คำว่า ‘คืน’ จึงเข้าใจแทบจะทันที จึงพยักหน้ารับคำเบาๆ “อืม”
อาเหม่ารีบกลับไปแสร้งทำวิงเวียน หากสนทนาสัพเพเหระเช่นนี้กับเขานานเกินไป อยากตบตาเจ้าบ้านสกุลหานก็คงยากแล้ว
“เช่นนั้นข้ากลับเรือนแล้ว”
“ได้”
เซี่ยฟั่งมองส่งอาเหม่ากลับไป ก่อนมองผ้าเช็ดหน้าที่ถูกหมอโยนลงในกะละมังใส่น้ำเมื่อครู่ ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นถูกย้อมจนเป็นสีแดงเข้มทั้งผืน ไม่อาจนำมาใช้ได้อีก
เขาติดค้างผ้าเช็ดหน้ากับนางอีกผืนหนึ่งแล้ว
เซี่ยฟั่งถอนสายตากลับมา ก่อนหยิบใบสั่งยาที่หมอซ่งจ่ายใส่เข้าไปในแขนเสื้อของตนเอง ตั้งใจว่าอีกสักพักจะออกไปซื้อยาข้างนอก ทว่าตอนนี้เขายังต้องไปหาเจ้าบ้านสกุลหานก่อน เพื่อพูดคุยเรื่องของคนบังคับรถม้า
เจ้าบ้านสกุลหานที่ถูกทำให้ตกใจมิได้ออกไปข้างนอกแล้ว ยามนี้เขากลับไปเปลี่ยนชุดที่เรือน ในใจยังนึกถึงคนบังคับรถม้าอย่างเจ็บแค้นไม่เลิกรา ช่างตัดเย็บที่เรียกมาก็ถูกไล่ออกไปแล้ว อาภรณ์ของหานฮูหยินจึงไม่ได้ตัดเย็บ แต่เมื่อนางได้ยินว่าสามีถูกลอบทำร้ายมา จึงไม่ได้แสดงความขุ่นเคืองที่ซ่อนงำในใจออกไป
“ปกติคนบังคับรถม้าคนนั้นเป็นคนซื่อ เหตุใดจึงทำเช่นนี้ได้”
เจ้าบ้านสกุลหานนิ่งเงียบ เพราะเขาจำได้แล้วว่าถังจินเจี่ยวที่คนบังคับรถม้าเอ่ยถึงคือใคร…แต่คนบังคับรถม้าแซ่หวง ไยจึงมีพี่ชายแซ่ถังได้ เขาคิดไม่ตก ทว่าภูมิหลังของบ่าวรับใช้ที่รับเข้าสกุลหานมาเขาล้วนตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว เขาจำได้ว่าคนบังคับรถม้าคนนั้น… ใช่…เขานึกขึ้นได้กะทันหัน คนบังคับรถถูกสกุลหวงรับเลี้ยง หรือแซ่เดิมจะเป็นแซ่ถัง
เป็นพี่น้องกับถังจินเจี่ยวจริงๆ!
เขายังจำเรื่องของถังจินเจี่ยวคนนั้นได้ สกุลถังมิได้ร่ำรวย เพียงแต่มีที่ดินทำเลดีอยู่สองผืน เขาอยากซื้อแต่สกุลถังกลับไม่ยอมขาย ดังนั้นเขาจึงเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารขุนนางท้องถิ่นมื้อหนึ่ง เพียงแค่นั้นก็ทำให้เขาชิงที่ดินผืนนั้นมาได้ ใครเลยจะคิดว่าถังจินเจี่ยวจะบุ่มบ่ามหัวแข็งอย่างยิ่งถึงขั้นผูกคอตายกับต้นไม้ ทั้งยังทิ้งจดหมายสาปแช่งเขาไว้ฉบับหนึ่ง
ด้วยความช่วยเหลือจากขุนนาง จดหมายฉบับนั้นจึงถูกทำลาย คนสกุลถังก็ถูกเขาปิดปากเงียบ
แต่คาดไม่ถึงว่าต่อให้เขาระแวดระวังป้องกันตัวอย่างไร จู่ๆ กลับมีน้องชายคนหนึ่งของถังจินเจี่ยวโผล่มา เกือบทำให้เขาเอาชีวิตไม่รอดเสียได้
หากมิใช่ว่าเซี่ยฟั่งยื่นมือจับกริชไว้อย่างสุดความสามารถ เช่นนั้นหน้าอกของเขาก็คงถูกเสียบเป็นรูแล้ว
แต่เรื่องของถังจินเจี่ยวนั้นอย่างไรเจ้าบ้านสกุลหานก็ต้องทำให้เรื่องเงียบให้ได้ เซี่ยฟั่งเองก็คงรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ยิ่งเรื่องที่คนบังคับรถม้าพูดหาใช่ความเท็จแล้ว จึงได้ขัดขวางเรื่องที่เขาจะส่งตัวคนบังคับรถม้าให้กับทางการเสียก่อน
เจ้าบ้านสกุลหานรู้สึกไม่วางใจที่เซี่ยฟั่งฉลาดเกินไป อีกฝ่ายแม้จะไม่รู้อะไรเลย แต่กลับเดาตื้นลึกหนาบางของเรื่องราวส่วนหนึ่งได้ ถึงได้พยายามห้ามปรามเขาไว้
เก็บคนประเภทนี้ไว้ใกล้ตัว มีทั้งผลดีและผลเสีย
ครู่หนึ่งเซี่ยฟั่งก็มาเคาะประตู เจ้าบ้านสกุลหานให้อีกฝ่ายเข้ามา ครั้งนี้เขาไม่ได้ถามเรื่องอื่น แต่กลับถามเซี่ยฟั่งตรงๆ ว่า “อาการหนักหรือไม่”
เซี่ยฟั่งตอบ “ขอบคุณนายท่านที่เป็นห่วง อาการข้าไม่หนัก ท่านหมอซ่งเองก็จ่ายยาแล้ว อีกครู่ข้าก็จะออกไปซื้อยาขอรับ”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องไปเอง” หานโหย่วกงเรียกเสี่ยวลิ่วเข้ามา ให้เขาไปช่วยซื้อยาให้เซี่ยฟั่ง
เสี่ยวลิ่วเห็นเป็นใบสั่งยาของเซี่ยฟั่งก็รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมา หลังพ้นประตูแล้ว เขาจึงถ่มน้ำลายใส่ทันที
หลังประตูห้องปิดสนิท ไม่มีบ่าวรับใช้คนอื่นอยู่ด้วยแล้ว เซี่ยฟั่งจึงกล่าว “นายท่านจะส่งคนบังคับรถม้าให้ทางการหรือไม่”
หานฮูหยินน้ำเสียงเย็นชา “เขาลอบสังหารนายท่าน แล้วจะปล่อยให้ลอยนวลเช่นนี้หรือ เกิดภายหน้าเขาย้อนกลับมาทำร้ายนายท่านอีกจะทำอย่างไร ส่งตัวเขาให้ทางการ ขังเขาไว้จนแก่ตายนั่นล่ะดี”
เซี่ยฟั่งเห็นเจ้าบ้านสกุลหานไม่ปริปาก ดูแล้วก็คงเห็นด้วยกับวิธีนี้ เขาจึงโน้มน้าว “วันนี้คนบังคับรถม้าประกาศต่อหน้าทุกคนว่านายท่านทำให้พี่ชายของเขาตาย คนที่รู้ย่อมไม่ติฉินนินทา แต่คนที่ไม่รู้ความจริงนั้นมีมากกว่า หากข่าวลือแพร่สะพัดออกไป ย่อมส่งผลเสียกับชื่อเสียงของนายท่านอย่างใหญ่หลวง และจะยิ่งเป็นภัยกับการค้าของสกุลหานในอนาคต”
หานโหย่วกงเหลือกตามอง หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย “ทางการจะทำให้เขาไม่มีวันแพร่งพรายข่าวลือออกไปได้ตลอดกาล”
เซี่ยฟั่งไม่เปลี่ยนสีหน้า “เขาทำร้ายนายท่านต่อหน้าฝูงชน ซ้ำยังกล่าววาจาเช่นนั้น หากเขาหายสาบสูญหลังจากถูกส่งตัวให้ทางการ เกรงว่าจะมีคนครหายิ่งขึ้น และเท่าที่ข้าทราบ ใต้เท้าเหอจะถูกย้ายไปที่อื่นในเร็ววันแล้ว หากยังให้เขาจัดการเรื่องนี้ในยามนี้ เกรงว่าเขาก็คงไม่อยากชักนำให้เกิดปัญหากับตัวเขาเอง”
เจ้าบ้านสกุลหานหลุบตาครุ่นคิด ก่อนเอ่ยถาม “แล้วเจ้าคิดว่าควรทำอย่างไรจึงจะดีที่สุด”
“คนบังคับรถม้านั่นฐานะยากจน ทั้งยังมีบิดามารดาสูงอายุ บุตรอายุยังน้อย ให้เงินทองกับเขาเสียหน่อย เขาจะต้องยอมออกจากเหิงโจวแต่โดยดีแน่”
“คนที่ไม่กลัวตาย จะยอมจากไปเพื่อเงินหรือ” หานฮูหยินกล่าว
“ไม่ขอรับ แต่ถ้าเพื่อครอบครัวแล้ว ย่อมไปแน่ หากเขาไม่รู้จักชั่งผลดีผลเสียอีก เช่นนั้นค่อยส่งตัวเขาให้ทางการก็ไม่สาย เพียงแต่บทสรุปของแผนหนึ่งกับแผนรอง ท้ายที่สุดอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน”
เจ้าบ้านสกุลหานใคร่ครวญ “ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะยอมเชื่อฟังเจ้า”
“ขอนายท่านโปรดเชื่อเซี่ยฟั่งสักครั้ง ข้ามิได้สืบเสาะให้ทันท่วงทีว่าคนที่วางยาก็คือคนบังคับรถ จึงรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก ดังนั้นจึงอยากคลี่คลายเรื่องนี้ด้วยแผนที่ดีที่สุด หากเกลี้ยกล่อมแล้วล้มเหลว เซี่ยฟั่งยินดีรับโทษ” เซี่ยฟั่งกล่าวอย่างมั่นใจ
นัยน์ตาของเจ้าบ้านสกุลหานพลันเย็นเยือก แววตาของเขาฉายแววเคลือบแคลงสงสัย แน่นอนว่าเขายังคงไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะเกลี้ยกล่อมให้คนบังคับรถม้าไปให้ไกลแสนไกลได้ แต่เขาก็อยากลองดูว่าเซี่ยฟั่งจะโน้มน้าวฝ่ายนั้นให้จากไปได้หรือไม่
หานฮูหยินขมวดคิ้วมุ่น “เกลี้ยกล่อมให้เขาไปจากที่นี่ เช่นนั้นเขาก็เหมือนไม่ได้เสียอะไร ทั้งที่เขาคือคนที่เกือบแทงนายท่านเชียวนะ”
“เอาเถอะ ในเมื่อพ่อบ้านยืนกรานแล้ว ก็ให้เขาไปจัดการเถอะ” ท้ายที่สุดเจ้าบ้านสกุลหานก็อยากรอชมเรื่องสนุก มนุษย์เรานั้น แม้ไม่ควรอยากรู้อยากเห็นจนเกินไป แต่บางครั้งก็มักอดใจไม่ได้เสมอ
เซี่ยฟั่งรับคำสั่ง จากนั้นจึงไปที่โรงเก็บฟืน ซึ่งเป็นสถานที่ไว้ใช้คุมขังคนบังคับรถม้า
เมื่อไปถึงที่นั่น ยังมีผู้คุ้มกันสี่คนคอยเฝ้าเขาไว้อยู่ เซี่ยฟั่งให้พวกเขาออกไปก่อนชั่วคราว แล้วจึงก้าวเข้าไปลำพัง ประตูเพิ่งจะถูกแง้มออกก็มีคนด้านในพุ่งออกมาแล้ว คนบังคับรถม้าเคลื่อนไหวปราดเปรียว ทว่าผู้มาเยือนกลับโต้ตอบฉับไวยิ่งกว่า ทั้งเรี่ยวแรงก็ไม่น้อย ผลักไปที่ไหล่ของอีกฝ่ายเพียงเบาๆ ครั้งหนึ่งก็ทำให้เขาเซถลา ล้มหงายลงที่พื้นแล้ว
คนบังคับรถม้านึกว่าคนที่มาคือผู้คุ้มกันอีกคนหนึ่ง เนื่องจากคนผู้นี้วรยุทธ์ไม่เลวเลย แต่เมื่อสายตาเขาชินกับความมืดสลัวแล้วก็เห็นว่าที่แท้เป็นเซี่ยฟั่ง เขาจึงประหลาดใจยิ่ง “เป็นเจ้า เจ้า…”
มิใช่บัณฑิตอ่อนแอหรอกหรือ เมื่อครู่ยังถูกข้าทำร้ายอย่างง่ายดายเลยไม่ใช่หรือ…
หรือว่าตบตา…แต่เหตุใดจึงต้องเสแสร้งเล่นละคร
เซี่ยฟั่งเคลื่อนไหวจนสะเทือนถึงบาดแผลที่มือขวา เขาย่นคิ้วเล็กน้อยแล้วบอก “ข้ามาปล่อยเจ้าไปและมอบเงินให้ เจ้ารีบพามารดากับลูกเมียออกจากเหิงโจวเสีย”
คนบังคับรถม้าแผดเสียงหัวเราะ “พูดเพ้อเจ้ออะไรของเจ้า ข้าไม่ไป หานโหย่วกงฆ่าพี่ชายข้า เขาสมควรตาย”
“เขาสมควรตายก็จริง แต่สองชีวิตแลกหนึ่งชีวิตเช่นนี้ ออกจะโง่เขลาเกินไป”
คนบังคับรถม้านิ่งอึ้ง เมื่อมองบุรุษหนุ่มอีกครั้ง จึงสังเกตเห็นไอเย็นเยือกที่สะท้อนอยู่ในส่วนลึกของดวงตา จึงพบว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
เซี่ยฟั่งหลุบตาลงต่ำ มองเขาที่นั่งอยู่บนพื้น น้ำเสียงเย็นชาและแผ่วเบา “วันที่ม้าคลุ้มคลั่ง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าคือคนที่วางยามัน”
คนบังคับรถม้านิ่งงัน “เจ้ารู้? รู้ได้อย่างไร”
“คนที่สัมผัสม้าได้และยังทำให้มันกินหญ้ามีพิษได้โดยไม่ระแวงก็มีแต่เจ้าแล้ว”
คนบังคับรถม้าแค่นเสียงหัวเราะเย็น “เหตุใดเจ้าจึงไม่สงสัยคนที่อาบน้ำหรือจูงม้าเล่า กลับสงสัยคนบังคับรถอย่างข้าได้”
“เพราะปริมาณของยาพิษที่ใช้ หากต้องการสังหารนายท่านจริง ขอเพียงเจ้าวางยาม้าให้มากพอก็เรียบร้อยแล้ว แต่คนผู้นั้นกลับใช้พิษไปเพียงเล็กน้อย ความตั้งใจเดียวก็คือไม่อยากทำร้ายม้า เห็นได้ว่าคนผู้นี้รักม้ายิ่ง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไร้ทางเลือก จึงได้แต่ต้องใช้ม้ามาแก้แค้นเท่านั้น”
คนบังคับรถม้าตาลุกวาว ฉายชัดด้วยความอาฆาต
“ข้าได้ยินว่าคนที่อาบน้ำและจูงม้าไม่ดีกับม้าตัวนี้นัก มีเพียงเจ้าที่เอาหญ้าให้มันกินทุกวัน ทั้งยังหวีขนให้ เดิมทีนั่นมิใช่หน้าที่ของเจ้า แต่เจ้าก็ยังทำทุกอย่าง เห็นได้ชัดว่าเพราะเจ้าเป็นห่วงเป็นใยม้าตัวนั้น”
ในที่สุดคนบังคับรถม้าก็เชื่อว่าอีกฝ่ายรู้ว่าเป็นเขาตั้งแต่แรกแล้ว จึงพลันรู้สึกแปลกใจ “แล้วเพราะเหตุใดวันนี้เจ้าถึงเพิ่งเปิดโปงข้า”
เซี่ยฟั่งจดจ้องเขาแล้วบอก “เพราะข้าต้องการได้รับความไว้ใจจากหานโหย่วกง จึงต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”
คนบังคับรถม้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงพูดเช่นนี้ “เจ้า…เจ้าเป็นใคร เจ้าเองก็มีความแค้นกับหานโหย่วกงหรือ ในเมื่อเจ้ามีความแค้นกับเขา เหตุใดจึงไม่ช่วยข้าสังหารเขา!”
เซี่ยฟั่งส่ายหน้าเบาๆ ไม่บอกเขาว่าตนเป็นใคร และไม่บอกเขาเรื่องระหว่างตนกับหานโหย่วกงด้วย กลับบอกเพียงว่า “ความตาย ไม่สาสมกับความผิดของเขา”
คนบังคับรถม้าตะลึงอยู่อึดใจใหญ่ ไม่รู้เหตุใดจึงมีคนเช่นนี้โผล่มาในสกุลหานได้ หากเทียบกับความบาดหมางระหว่างตนกับเจ้าบ้านสกุลหานแล้ว เหมือนความแค้นของเซี่ยฟั่งจะลึกและอาฆาตมาดร้ายกว่า “เจ้าจะทำอะไร”
ทำอะไรหรือ…คำถามนี้เซี่ยฟั่งใคร่ครวญเมื่อนานมาแล้ว เขาเหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อย พลางกล่าวเสียงเนิบช้า “ทำให้เขาบ้านแตกสาแหรกขาด”
บ้านแตกสาแหรกขาด…ถ้อยคำไร้ปรานีและโหดเหี้ยม เมื่อถูกเอ่ยจากปากของบุรุษหนุ่มรูปงามคนนี้ กลับเย็นยะเยือกและเสมือนคมมีดทุกคำ คนบังคับรถม้าตะลึงงันอยู่พักใหญ่ ทันใดนั้นก็คิดว่าตนไม่จำเป็นต้องถามให้รู้เรื่องแล้ว เขาถึงขั้นเริ่มเชื่อว่าอีกฝ่ายทำได้และจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง
ใช่…เมื่อเทียบกับให้เจ้าบ้านสกุลหานตายใต้คมดาบอย่างรวดเร็วแล้ว มิสู้ให้เขาได้ลิ้มรสชาติบ้านแตกสาแหรกขาดจะดีกว่า
ความประหลาดใจและมึนงงในแววตาของคนบังคับรถม้าสลายไปในพริบตา แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก เหี้ยมเกรียมและตื่นเต้นอย่างซ่อนไม่อยู่ “ข้าเชื่อเจ้า เซี่ยฟั่ง”
“เพราะฉะนั้นตอนนี้เจ้าจงรีบไปเสีย อย่าใช้วิธีการบุ่มบ่ามเช่นนี้อีก อีกหนึ่งปี เจ้าก็น่าจะกลับเหิงโจวได้แล้ว”
หนึ่งปี อีกหนึ่งปีข้าก็จะได้เห็นสกุลหานสิ้นเนื้อประดาตัวแล้วหรือ
คนบังคับรถม้าไม่อาจนึกภาพได้ ลำพังเพียงตัวเขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร “หากเจ้ามีอะไรจะใช้งานข้า ก็ติดต่อข้าได้ทุกเมื่อ!”
“ไม่จำเป็น” เซี่ยฟั่งปฏิเสธทันที เขาไม่อยากร่วมมือกับคนนิสัยวู่วามเช่นนี้ แม้ความกล้าของอีกฝ่ายจะน่านับถือเพียงไร แต่ก็ยังบุ่มบ่ามเกินไป จะทำให้เขาเสียเรื่องได้ในสักวัน “อีกครู่เจ้าก็ออกไปทางประตูหลัง แล้วข้าจะเอาเงินให้”
“ข้าไม่ต้องการเงินของหานโหย่วกง” คนบังคับรถม้าค่อยๆ ลุกขึ้น หัวเราะเสียงเย็น “เงินนั้น เปื้อนเลือดพี่ชายข้า”
เซี่ยฟั่งมิได้บังคับเขา ก่อนจะเบี่ยงร่าง เปิดประตูโรงเก็บฟืนให้เขาออกไป
คนบังคับรถม้ามองแสงสว่างจากประตูเบื้องหน้า ค่อยๆ เดินออกไปทางนั้น ขณะใกล้พ้นจากประตูไม้คับแคบนั้นก็เพิ่งนึกขึ้นได้ เขาจึงเอ่ยถาม “สองวันก่อนข้าไม่มีแม้แต่โอกาสจะเข้าใกล้หานโหย่วกงเลย จนกระทั่งวันนี้ที่เขาจะให้อาเหม่าติดตามไปด้วย เดิมทีนางควรเดินตามอยู่ด้านหลังเจ้า แต่เจ้ากลับเดินพร้อมกับนาง…เจ้า…เจตนาจะให้อาเหม่าเดินใกล้นายท่านใช่หรือไม่ ให้เจ้ากับนางขวางผู้คุ้มกันที่คอยตามประชิด เพื่อให้ข้ามีโอกาสลงมือใช่หรือไม่”
คำถามหนึ่งประโยคกระทบเข้าที่หัวใจของเซี่ยฟั่งอย่างพอดิบพอดี สายลมยามพลบค่ำพัดโชย เจือด้วยไอร้อนที่ยังหลงเหลือจากยามกลางวัน รมให้แผลบนมือของเขายิ่งแสบร้อน เขานิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนตอบ “ใช่”
เพียงแต่อาเหม่าไม่รู้ ซ้ำยังไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย นางยังกดบาดแผลให้เขา และกล่าวขอบคุณเขา
เซี่ยฟั่งมีสีหน้าเรียบเย็น คนบังคับรถม้าไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
คนบังคับรถม้าไปจากสกุลหาน ทั้งยังเขียนจดหมายไว้ให้เจ้าบ้านสกุลหาน รับรองว่าจะไม่กลับเหิงโจวอีก เจ้าบ้านสกุลหานได้รับจดหมายก็แสนจะสนใจใคร่รู้ว่าเซี่ยฟั่งทำได้อย่างไร เซี่ยฟั่งบอกเพียงว่า “เข้าใจโดยใช้ความรู้สึก โน้มน้าวโดยใช้…เงิน ไม่มีใครที่ไม่ชอบเงิน”
เจ้าบ้านสกุลหานผุดรอยยิ้ม ยิ้มอย่างมีนัยแฝง เซี่ยฟั่งเป็นคนหน้าเงินตามที่คาดไว้ เพราะฉะนั้นจึงรู้จักใช้เงินโน้มน้าวใจคน
แม้คนบังคับรถม้าจะสาบานว่าไม่มีวันกลับมาแล้ว แต่กระนั้นไม่ว่าเจ้าบ้านสกุลหานจะอยู่ในคฤหาสน์หรือข้างนอก เขาก็ยังให้ผู้คุ้มกันสี่คนตามประกบ เพราะเขายังคงหวาดผวาเสมือนถูกงูกัดครั้งหนึ่งกลัวเชือกป่านไปสิบปี*
หลังจากเรื่องม้าคลุ้มคลั่งคลี่คลายไปแล้ว เซี่ยฟั่งก็ล้มป่วยลง อันที่จริงก็ไม่เชิงว่าป่วย แต่บาดแผลที่มือนั้นกลับไม่ดีขึ้น แต่ละวันเขากินอาหารไปได้ไม่มาก ทั้งยังรู้สึกพะอืดพะอมเวลาได้กลิ่นเนื้อสัตว์ ทว่าสกุลหานก็มีงานมากมายนัก เขาจึงไม่ได้ไปหาหมอ
ตัวเขามิได้รู้สึกว่าตนเองผ่ายผอมลง กลับเป็นอาเหม่าที่สังเกตมาตลอดหลายวันนี้ว่าเขาซูบลงทุกวัน และซูบเซียวลงไปมาก
นางอยากเอ่ยปากอยู่หลายครั้ง แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด เมื่อเซี่ยฟั่งเจอนางแล้วกลับเฉยเมยเย็นชาใส่ เมื่อเขามอบหมายงานในคฤหาสน์ของแต่ละวันเสร็จแล้วก็จากไป ทำให้นางไม่มีโอกาสพูดคุยกับเขาตามลำพัง
อาเหม่าคิดต่างมุมว่าอาจเป็นเพราะเขาเหน็ดเหนื่อยเกินไปหรือไม่ เนื่องจากสกุลหานใหญ่โต เรื่องที่ต้องจัดการดูแลก็มีไม่น้อย อีกทั้งเขาเพิ่งรับตำแหน่งพ่อบ้านได้ไม่นาน ทั้งยังทำงานหามรุ่งหามค่ำ งานมากจนทำให้คนผ่ายผอมก็นับเป็นเรื่องธรรมดา
วันนี้นางมีหน้าที่ยกผลไม้กับขนมไปที่เรือนหานฮูหยิน ระหว่างเดินผ่านสวนดอกไม้ก็ได้ยินคนกล่าวด้วยน้ำเสียงลำพองแว่วๆ ไม่รู้กำลังสนทนาอะไรกัน นางเองก็ไม่ชอบฟังความลับของคนอื่นจึงยิ่งเร่งฝีเท้าให้ผ่านไปเร็วขึ้น ทว่าเมื่อได้ยินชื่อของ ‘เซี่ยฟั่ง’ ดังผ่านหูมา นางก็ผ่อนฝีเท้าลงอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเงี่ยหูฟังอีกครั้ง ร่างบางก็หยุดฝีเท้าอยู่กับที่แล้ว
เพียงเพราะเรื่องราวจากการสนทนาของพวกเขา ทำให้นางตกตะลึงพรึงเพริด
“เจ้าก็ร้ายเสียจริง ปั่นหัวคนเล่นเช่นนี้”
คนพูดคือชุ่ยหรง ส่วนอีกคน…
“ข้ารับใช้นายท่านมาตลอด เขาเป็นเพียงพ่อบ้านถือดีอะไรให้ข้าต้องคอยไปซื้อยาให้เขา”
อาเหม่ามองไปทางต้นเสียงทันที จึงพบว่าเป็นเสี่ยวลิ่ว
“เจ้าไม่กลัวเซี่ยฟั่งรู้เข้าหรือ เจ้าดูสิว่าหมู่นี้พ่อบ้านผู้สง่าหล่อเหลาของเราผ่ายผอมเช่นนั้นแล้ว”
“นอกจากเจ้าแล้ว จะมีใครเปิดโปงข้าอีก เพราะฉะนั้นชุ่ยหรง เจ้ารู้ว่าข้าดีกับเจ้าด้วยใจจริง แม้แต่เรื่องนี้ก็พูดกับเจ้าแล้ว”
“ฮึ!”
อาเหม่าหัวใจกระตุกวูบ ทางนั้นเริ่มหยอดคำรักหวานหยด ความสัมพันธ์ดูสนิทชิดเชื้อ นางกลัวว่าพวกเขาจะเดินออกมาจากภูเขาจำลองกะทันหัน จึงรีบถือถาดผลไม้กับของว่างจากไป
แต่นางพอจะเดาได้คร่าวๆ แล้วว่าพวกเขากำลังสนทนากันเรื่องใด
อาเหม่ายิ่งเดินเร็วขึ้นกว่าเดิม หลังจากนำผลไม้กับของว่างไปส่งที่เรือนของฮูหยินแล้วก็ออกมา ตัดสินใจจะนำเรื่องนี้ไปบอกเซี่ยฟั่ง กลับคิดไม่ถึงว่าจะพบเซี่ยฟั่งบนระเบียงทางเดินอีกครั้ง
เมื่อฟังเสียงฝีเท้าที่รีบร้อน ทั้งเสียงที่ย่ำลงบนพื้นก็ร้อนรนและค่อนข้างดัง เซี่ยฟั่งมองตามเสียงขึ้นไปก็เห็นเป็นอาเหม่า เขายังไม่รู้จักนางดีพอ แต่ก็รู้ว่านางเป็นคนสุขุมใจเย็นมาตลอด ทว่ายามนี้นางกลับดูลุกลี้ลุกลน
ตั้งแต่เกิดเรื่องคนบังคับรถม้าขึ้นมาเขาก็ตั้งใจตีตัวออกห่างจากนางทันที เนื่องจากรู้สึกผิดและไม่ต้องการดึงนางเข้ามาเกี่ยวข้องกับแผนการของเขา ทว่ายามปกติเขาก็สามารถคลุกคลีกับบ่าวรับใช้คนอื่นๆ ด้วยสถานะพ่อบ้านได้ แล้วเหตุใดจะทำเช่นนั้นกับอาเหม่าด้วยไม่ได้ ย่อมได้แน่นอน ดังนั้นยามนี้เมื่อเจอนางบนระเบียงทางเดินตามลำพัง ร่างสูงก็ปราศจากคลื่นอารมณ์บนใบหน้า เขานึกว่านางจะเดินผ่านไปโดยไม่ทักทายเหมือนอย่างหลายวันนี้
ทว่าเหนือความคาดหมาย อาเหม่าร้องเรียกเขา “พ่อบ้านเซี่ย”
เซี่ยฟั่งชะงักฝีเท้าเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ”
อาเหม่ารีบกล่าวอย่างเป็นห่วง “ท่านเลิกกินยาที่เสี่ยวลิ่วซื้อมาเถิด ไปให้หมอจ่ายยาตำรับใหม่ แล้วต้องเป็นท่านที่ไปซื้อยาเอง อย่าให้คนอื่นซื้อแทน”
เซี่ยฟั่งย่นคิ้ว “เพราะอะไร”
อาเหม่ารู้สึกขอบคุณเซี่ยฟั่ง แต่นางก็ยังไม่อยากผิดใจกับบ่าวรับใช้คนอื่นเพราะเซี่ยฟั่งด้วย โดยเฉพาะเสี่ยวลิ่ว ซึ่งตอนนี้เขาจับคู่อยู่กับชุ่ยหรง ทั้งสองต่างก็เป็นคนในเรือนของนายท่านเช่นกัน หากคนคู่นั้นคิดจะกลั่นแกล้งนางก็เป็นเรื่องง่ายแสนง่าย
“เมื่อครู่ข้าเห็นเสี่ยวลิ่วกับชุ่ยหรงคุยกันอยู่ทางพงหญ้าตรงภูเขาจำลอง” นางมิได้บอกรายละเอียดอะไร พูดเพียงเท่านั้นแล้วก็รีบผละไปทันที นางเชื่อว่าเมื่อเซี่ยฟั่งไปดูแล้วจะพบว่ายาที่เขาใช้อยู่มีปัญหาจริง คำพูดเมื่อครู่ของเสี่ยวลิ่วชัดเจนว่ามีการสับเปลี่ยนยา ไม่เช่นนั้นเหตุใดมือของเซี่ยฟั่งจึงไม่หายเสียที ซ้ำยังซูบผอมลงทุกวัน
เซี่ยฟั่งเห็นนางบอกแล้วรีบไป ไม่มีคำพูดใดๆ เพิ่มเติม แต่เพียงเท่านี้เขาก็พอเข้าใจความหมายแล้ว
ทว่าเหมือนอาเหม่าจะไม่ต้องการล่วงเกินใครซึ่งหน้าเช่นนี้เสมอ
เซี่ยฟั่งไปรายงานเรื่องงานที่เรือนของเจ้าบ้านสกุลหานแล้วก็กลับที่ห้อง ก่อนจะนำยาไปหาหมอข้างนอก หมอคนนั้นเขี่ยยาตรวจดูอย่างละเอียด แล้วกล่าวอย่างประหลาดใจ “ยานี้ไม่มีผลดีกับมือของเจ้าเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังทำให้เบื่ออาหาร เคราะห์ดีที่สภาพร่างกายเจ้าไม่เลว มิฉะนั้นบาดแผลของเจ้าก็จะเป็นหนองแล้ว”
“เช่นนั้นรบกวนท่านหมอช่วยจ่ายยาให้ข้า แล้วก็ต้มยาที่นี่เลย ข้าจะมาดื่มช่วงเที่ยงและเย็นทุกวัน”
เขากล่าวอย่างราบเรียบไม่ทุกข์ร้อน กลับเป็นท่านหมอที่เป็นเดือดเป็นแค้น “คุณชายถูกหลอกแล้ว หมอไร้จรรยาบรรณคนใดที่ทำกัน!”
“หมอเป็นหมอดี เพียงแต่ไม่ได้ระวังคนถ่อย” นัยน์ตาของเซี่ยฟั่งปราศจากโทสะ ไร้แววโกรธเกรี้ยวแม้แต่นิดเดียว
เขาจะเดือดดาลเพราะคนถ่อยเช่นนี้ไปเพื่ออะไร
เซี่ยฟั่งหาหมอเรียบร้อยแล้วก็กลับคฤหาสน์ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงง่วนอยู่กับหน้าที่การงานต่อ จนกระทั่งใกล้ถึงเที่ยงตรง เขาจึงไปหาหมอซ่ง
หมอซ่งไม่เจอเขานานแล้ว กำลังจะทักทายเขาพอเป็นพิธีรีตอง แต่ด้วยจรรยาบรรณแพทย์จึงเลื่อนสายตามองไปที่มือของเขาก่อน เมื่อเห็นว่ามือของเขายังพันด้วยผ้าพันแผลอย่างหนาอยู่ก็ย่นคิ้วกล่าวทันที “หลังจากแผลสมานกันแล้ว ไม่ควรพันแผลเช่นนี้ อบไว้ทั้งวันจะทำให้แผลที่มือเจ้าเละได้”
“เหมือนมือจะเละแล้วจริงๆ” แววตาของเซี่ยฟั่งดูกลุ้มใจ “บาดแผลไม่ยอมหายเสียที ข้าอยากแกะผ้าพันแผลก็แกะไม่ออก”
หมอซ่งชักสีหน้าเย็นชาทันที “ยาที่ข้าจ่ายให้มีไว้สำหรับอาการแบบเจ้าโดยเฉพาะ กินไม่เกินห้าชุด บาดแผลก็จะสมานกันดีแล้ว ที่พ่อบ้านเซี่ยกล่าวเช่นนี้ก็ดูหมิ่นข้าเกินไป”
“เซี่ยฟั่งไหนเลยจะกล้าให้ร้ายท่านได้” เซี่ยฟั่งวางมือบนโต๊ะเบาๆ การเคลื่อนไหวนี้ส่งผลให้เขามีสีหน้าเหยเกเล็กน้อย ทว่าเขาก็ยังอดทนกับความเจ็บพลางกล่าว “ผู้อาวุโสซ่งถูกนายท่านเชิญมาที่เรือน ฝีมือการแพทย์ย่อมยอดเยี่ยม เพียงแต่บาดแผลนี้ไม่รู้เหตุใดจึงยังไม่ยอมหายเสียที ทั้งที่ข้าก็ดื่มยาไปกว่าสิบชุดแล้ว” แม้หมอซ่งยังคงมีสีหน้าเย็นชาดังเดิม แต่เขาก็ยังแกะผ้าพันแผลผืนหนานั้นให้
พื้นผิวของผ้าพันแผลขาวสะอาด ปราศจากคราบโลหิต ทว่าเมื่อแกะถึงชั้นล่าง เขาก็เริ่มเห็นโลหิตที่จับตัวแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผ้าพันแผลแต่ละชั้นติดหนึบกันแน่นจนแกะไม่ออก เขาจำต้องใช้กรรไกรตัดผ้าพันแผลออกอย่างระวัง ในที่สุดก็เห็นบาดแผลของเซี่ยฟั่ง เมื่อเห็นแล้วหมอซ่งก็ถึงกับตะลึงแปลกใจ
“เป็นไปไม่ได้”
ที่บอกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะนอกจากบาดแผลจะไม่สมานกันแล้ว ซ้ำร้ายแผลนี้ยังแย่ลงกว่าเดิม หมอซ่งพลันตวาดด่าทันที “ต้องเป็นเพราะเจ้าแอบกินกุ้ง ปลา หรือไข่เป็นแน่ ข้ากำชับกับพ่อครัวแล้วว่าห้ามทำอาหารเหล่านี้ให้เจ้ากิน ข้ารู้จักพวกเขาดี ทุกครั้งที่สั่งพวกเขาล้วนเชื่อฟังข้า ย่อมมิใช่เพราะพวกเขาลืมแน่ๆ”
เซี่ยฟั่งยิ้มขื่น “แต่ละวันข้าก็ยุ่งจนไม่รู้ว่าอาหารที่ตนเองกินรสชาติเป็นอย่างไรด้วยซ้ำ แล้วจะตะกละไปกินของเหล่านั้นได้เช่นไร”
คำพูดนี้ฟังแล้วไม่เหมือนโกหก หมอซ่งเองก็รู้ว่าเขามีงานมาก เมื่อครุ่นคิดแล้วจึงยังเอ่ยถาม “เจ้ามักใช้มือข้างนี้ทำงานเสมอเลยหรือ”
“เปล่าขอรับ”
“เจ้าเผลอกินอาหารหมักดองหรือไม่”
“ไม่ขอรับ”
หมอซ่งขมวดคิ้วจนแทบเป็นปม หลังจ้องมือของเซี่ยฟั่งนานอยู่พักใหญ่จึงกล่าวขึ้น “เจ้ากินยาตามเวลาทั้งหมดเลยหรือ ใครเป็นคนต้มยาให้เจ้า”
เซี่ยฟั่งตอบโดยไม่ปิดบัง “เสี่ยวลิ่วเป็นคนไปซื้อยา คนที่ต้มยาเป็นเขา คนนำยามาส่งก็เป็นเขา…ท่านสงสัยว่าเขาละเลยหน้าที่อย่างนั้นหรือ เพียงแต่เสี่ยวลิ่วทำงานมีความรับผิดชอบ ส่งยาวันละสองครั้ง ไม่เคยผิดเวลา”
หมอซ่งหัวเราะเสียงเย็น ในใจเขามีทุกความสงสัยเคลือบแคลง เมื่อมือของเซี่ยฟั่งไม่หายเป็นปกติเช่นนี้ นั่นก็คือความรับผิดชอบของเขา แล้วจะให้เขาทนดูโดยไม่ทำอะไรได้อย่างไร
เขาตัดสินใจว่าจะเริ่มจับตาดูเซี่ยฟั่งตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เพื่อดูว่าเขาผิดพลาดตรงจุดใด ไม่แน่ว่าเซี่ยฟั่งอาจเพียงตะกละแอบกินของแสลงที่ไม่ควรกินหรือไม่
หมอซ่งทนไม่ได้ที่ถูกคนอื่นดูหมิ่นวิชาชีพของเขา เช้าวันถัดมาเขาจึงตื่นแต่เช้าตรู่ แล้วสะกดรอยตามหลังเซี่ยฟั่งไป ไม่ว่าจะมื้อเช้าหรือมื้อกลางวันของเซี่ยฟั่งก็ล้วนปกติ และยังเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้มือทำงานหนักจริงๆ เขาจึงยิ่งสงสัย ครู่หนึ่งก็เห็นเสี่ยวลิ่วต้มยามาให้ แล้วก็เห็นเซี่ยฟั่งดื่มยาในถ้วยจนหมด
นั่นยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจ…
หมอซ่งจึงค่อยๆ ขบคิดใคร่ครวญ ทันใดนั้นก็นึกได้ว่าตนยังมีอีกเรื่องที่ไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัด จึงวิ่งไปทางห้องครัว คุ้ยกากยาที่เสี่ยวลิ่วเพิ่งต้มไปเมื่อครู่ หากไม่ดูก็แล้วไป แต่เมื่อดูแล้วเขาก็พลันเดือดดาลแทบคลั่ง
พอดีกับที่เสี่ยวลิ่วนำถ้วยเปล่ากลับเข้ามา เมื่อเห็นว่ามีคนนั่งเอามือคุ้ยเขี่ยกากยาจนกระจายเกลื่อนพื้นอยู่ เขาก็ตวาดด่าทันที “ใครให้เจ้าเทกากยาทิ้ง! เดี๋ยวข้ายังต้องทำความสะอาดอีก!”
เมื่อเห็นคนผู้นั้นหันกลับมาด้วยสีหน้าบึ้งตึงแล้ว ก็ทำให้เสี่ยวลิ่วกลืนคำพูดทั้งหมดลงท้องทันที
ท่าทางร้อนตัวของเสี่ยวลิ่วหลบไม่พ้นสายตาของหมอซ่ง ชั่วขณะนั้นเขาพลันหยิบกากยาขึ้นมาปาใส่หน้าเสี่ยวลิ่ว ก่อนจะกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายด้วยความโกรธเกรี้ยว “กล้ามาก…เจ้าถึงกับกล้าเปลี่ยนยา เจ้าตั้งใจจะทำลายชื่อเสียงของข้าใช่หรือไม่!”
เสี่ยวลิ่วตื่นจากภวังค์ พลางกล่าวโวยวาย “ข้าเปลี่ยนยาตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าก็นำใบสั่งยาของท่านไปซื้อยา ต้มยาให้พ่อบ้านเซี่ยอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแล้ว แต่เหตุใดท่านกลับใส่ร้ายข้า”
หมอซ่งเกลียดการใส่ร้ายป้ายสีที่สุด ครั้นฟังแล้วกลับถูกอีกฝ่ายแว้งกัด โยนความผิดให้ตนเสียได้ เขาจึงยิ่งโกรธเกรี้ยว “ไร้ยางอาย! คนถ่อย! ได้! เช่นนั้นเจ้าจงไปพบนายท่านกับข้า ยืนยันกันต่อหน้า ดูว่าเจ้าไปซื้อยาจากที่ไหน ทุกครั้งหมอในร้านขายยาจัดยาตามใบสั่งยาอะไรไป”
เสี่ยวลิ่วได้ยินแล้วก็ตกใจจนหน้าซีด เขาร้อนตัวไม่กล้าไปพบนายท่านกับตนขึ้นมา หมอซ่งจึงยิ่งมั่นใจว่าเสี่ยวลิ่วเป็นคนสับเปลี่ยนยา เขาจะจับเสี่ยวลิ่วไปพบกับเจ้าบ้านสกุลหานให้ได้
เมื่อเห็นว่าตนเองหมดทางหนีทีไล่แล้ว เสี่ยวลิ่วก็พลันเข่าอ่อน ก่อนจะคุกเข่าลงร้องไห้อ้อนวอนต่อหน้าหมอซ่ง “ข้าผิดไปแล้ว ท่านหมอซ่ง ข้าหลงผิดที่แอบเปลี่ยนยาของเซี่ยฟั่ง ท่านได้โปรดละเว้นข้าด้วย ข้าจะไม่ทำเช่นนั้นอีกแล้ว”
หมอซ่งโกรธจนตัวสั่น “เจ้ากับเซี่ยฟั่งผิดใจอะไรกัน ถึงต้องคิดร้ายกับเขาเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่ากินยานี้แล้วมือของเขานอกจากจะไม่หายแล้ว ช้าเร็วก็จะตายเพราะบาดแผลอักเสบอีก เจ้าทำลายชื่อเสียงของข้าและยิ่งทำร้ายชีวิตของเขา ไม่ได้…เจ้าต้องไปพบนายท่านกับข้า”
เสี่ยวลิ่วเห็นท่าไม่ดี จึงกอดขาหมอซ่งไว้ไม่ยอมปล่อยให้เขาไป ก่อนจะร้องไห้น้ำตาเคล้าน้ำมูก “ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ ท่านหมอซ่งได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ที่ข้าทำลงไปเพราะไม่ชอบที่เซี่ยฟั่งใช้บารมีข่มคนอื่น เหตุใดทุกคนถึงได้ชื่นชมเขาอย่างมาก ทั้งที่ก็เป็นบ่าวรับใช้เหมือนกัน ไยจึงไม่มีใครเห็นหัวข้า เพียงเพราะเขาหน้าตาดีอย่างนั้นหรือ แต่หน้าตาข้าก็ไม่ได้แย่นี่นา”
หมอซ่งฉุนกับข้ออ้างน่าขำนี้ของอีกฝ่ายจนแทบสิ้นสติ พลางชี้หน้าเสี่ยวลิ่วอย่างสั่นเทิ้ม “คนอย่างเจ้า ชีวิตนี้อย่าหวังเลยว่าจะเทียบกับเซี่ยฟั่งได้ แม้เซี่ยฟั่งกินยาของข้าไปสิบชุดแล้วก็ยังไม่หาย ทว่าตอนมาหาข้ากลับไม่มีคำตำหนิใดๆ ทั้งมิได้สงสัยความสามารถของข้า และยังถ่อมตัวเพื่อขอคำตอบ แล้วดูเจ้าสิ…ดูเจ้า!”
เสี่ยวลิ่วไม่ริษยาคำชมที่ผู้อื่นมีต่อเซี่ยฟั่งอีกต่อไป เขาคิดแต่ว่าจะเอาตัวรอดอย่างไร หากให้นายท่านรู้เรื่องนี้ เขาก็ไม่อาจอยู่ในสกุลหานได้อีกต่อไปแล้ว
หมอซ่งสุดรำคาญกับการร้องไห้ของเขาจึงกล่าวว่า “เอาล่ะ ในเมื่อพ่อบ้านเซี่ยลำบากเพราะเจ้า ต้องเจ็บตัวเปล่าๆ เช่นนี้ คนที่ตัดสินว่าจะลงโทษเจ้าอย่างไรก็ต้องเป็นเขา อย่างไรเจ้าก็ตามข้าไปพบเขาแล้วสารภาพทุกอย่าง ถึงตอนนั้นเขาจะทำอย่างไรกับเจ้า เจ้าก็ห้ามร้องไห้อ้อนวอนอีก เป็นลูกผู้ชายอกสามศอกทั้งที เจ้าร้องไห้เช่นนี้ ช่างไม่รู้สึกอายเสียเลย”
เสี่ยวลิ่วไม่คิดว่าตนเองน่าอายเลยสักนิด แต่เมื่อบอกว่าต้องไปหาเซี่ยฟั่ง เขากลับลังเลขึ้นมา แต่เขาอาจอ้อนวอนขอร้องเซี่ยฟั่งให้ปล่อยเขาสำเร็จอีกก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องร้องเรียนจนไปถึงนายท่านแล้ว วันข้างหน้าเขาก็ยังมีโอกาสอยู่ในสกุลหานต่อไป
เพียงแต่เซี่ยฟั่งไม่น่าจะปล่อยเขากระมัง
ใต้หล้านี้ไม่น่ามีคนใจกว้างมีเมตตาถึงเพียงนั้น
ทว่าเสี่ยวลิ่วก็ยังอยากลองดูสักตั้งอยู่ เขาจึงตอบตกลงหมอซ่งด้วยน้ำมูกน้ำตา พอเขาลุกขึ้น จู่ๆ ก็พบว่ามีคนยืนอยู่ที่ประตู ชำเลืองมองด้วยหางตาแล้วก็นิ่งอึ้งไปทันที
หญิงสาวคนนั้นกำผ้าเช็ดหน้าแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง พลางจ้องเขาเขม็ง เหมือนยืนอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว นัยน์ตาของนางค่อยๆ ฉายแววรังเกียจ ท้ายที่สุดก็หัวเราะเสียงเย็นเสียงหนึ่งก่อนเดินผละออกไป
“ชุ่ยหรง…”
เสี่ยวลิ่วตะโกนอย่างเจ็บปวด แต่เขาไม่กล้าพอจะไล่ตามนางไป ท่าทางน่าเกลียดของเขาเมื่อครู่นี้นางคงเห็นหมดแล้ว
เพียงแต่เหตุใดชุ่ยหรงถึงมาที่ห้องครัวในเวลานี้ได้ ใครเป็นคนให้นางมา
ยามนี้เสี่ยวลิ่วก็เหมือนหุ่นโพธิสัตว์ดินเหนียวข้ามแม่น้ำ* ไม่อาจเอาตัวให้รอดได้ หลังคิดอยู่เพียงครู่เดียวก็เลิกคิด ในหัวเริ่มพยายามร้อยเรียงวาจาที่จะใช้อ้อนวอนเซี่ยฟั่ง แล้วสลัดเรื่องของชุ่ยหรงออกจากความคิดไปอย่างไม่ลังเล
* เค่อ หน่วยนับเวลาของจีนที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที
* ถูกงูกัดครั้งหนึ่งกลัวเชือกป่านไปสิบปี เป็นสำนวน อุปมาถึงความเจ็บช้ำที่ฝังใจ เข็ดขยาดไม่รู้ลืม
* หุ่นโพธิสัตว์ดินเหนียวข้ามแม่น้ำ เป็นสำนวนที่อุปมาว่าไม่สามารถป้องกันตัวเองหรือช่วยคนอื่นได้
Comments
comments