X
    Categories: ทดลองอ่านบันไดหยกงามมากกว่ารัก

ทดลองอ่านนิยาย บันไดหยกงาม บทที่ 1 – บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 36

บทที่หนึ่ง

 

ตอนหานฉีซู่เกิด ซีจิง* เพิ่งจะมีหิมะตกหนักไป

ตอนนั้นอยู่ในช่วงเดือนสามของรัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่หนึ่ง เดิมทัศนียภาพในฤดูใบไม้ผลิควรจะกำลังงดงาม นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ปุยหิมะจะปลิวว่อน ในเมืองพากันโจษจันว่าสวรรค์แจ้งลางบอกเหตุลงมา หรือในเมืองหลวงจะมีผู้ถูกใส่ร้ายกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรม

บิดาของฉีซู่ หานหล่าง รองหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการถูกลดตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารเมืองเจิ้นโจวในช่วงนั้นพอดี

เมืองเจิ้นโจวตั้งอยู่ทางใต้สุดของแว่นแคว้น ที่นี่ไม่กว้างใหญ่ไพศาลสง่าน่าเกรงขามเช่นซีจิง และขาดความสดใสงดงามเช่นตงตู มีเพียงคลื่นลูกโตที่ซัดสาดไปมาและโขดหินไร้ที่สิ้นสุดในทะเล

หานหล่างถูกลดขั้นและย้ายมาประจำการอยู่ที่นี่ เป็นพระอาญาเฉียบขาดที่สุดที่ฮ่องเต้พระองค์นี้ทรงลงโทษขุนนางผู้บังอาจลบหลู่พระราชอำนาจของพระองค์

“เจ้าเกิดที่ซีจิง” ตั้งแต่ฉีซู่จำความได้ก็ได้ยินบิดาพูดเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน

เมืองเจิ้นโจวไม่มีสุราชั้นดีให้ซื้อหา ยังดีที่ดินฟ้าอากาศร้อนอบอ้าวจึงมีผลไม้อุดมสมบูรณ์ คนท้องที่นี้มักเอาผลไม้ต่างๆ มาทำสุรา สุราเหล่านี้แม้จะใสบริสุทธิ์ร้อนแรงสู้สุราดีในเมืองหลวงไม่ได้ แต่ก็หวานหอมรสชาติกลมกล่อม หานหล่างมักดื่มสุราหวานหลังอาหารหลายจอก ทุกครั้งที่เขาเริ่มเมามายก็จะพูดจาพร่ำเพ้อซ้ำซากกับฉีซู่อยู่เสมอ

เรื่องที่เขาชอบพูดถึงก็คือซีจิง สิ่งที่เขาพรรณนาถึงซีจิงก็มักเริ่มจากตอนที่ฉีซู่เกิด

“เจ้าเกิดในเดือนสาม เป็นช่วงเวลาที่ซีจิงงดงามที่สุด ต้นไม้ในเมืองหลวงแตกใบใหม่ บุปผาผลิดอกบานสดใส ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ต้นไม้เก่าแก่ที่นอกเมืองเขียวขจี ต้นหญ้าเขียวชอุ่ม เหมาะแก่การไปเที่ยวเล่นชมทิวทัศน์ ทั้งยังตรงกับช่วงติดประกาศรายชื่อผู้สอบชิงตำแหน่งขุนนางระดับอำเภอพอดี ผู้สอบได้ตำแหน่งบัณฑิตจิตใจเร่าร้อนฮึกเหิม งานเลี้ยงต่างๆ ถูกจัดขึ้น ในช่วงเวลาที่เหล่าบัณฑิตใหม่กำลังเฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน บางครั้งก็อาจได้พบหญิงสาวอ่อนโยนดีงามที่มาเที่ยวชมทัศนียภาพ ถ้ามีบุพเพสันนิวาสต่อกัน ก็จะมีข่าวดีแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง…” ทุกครั้งที่พูดมาถึงตรงนี้ หานหล่างก็จะชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็จะหันไปมองภรรยาที่อยู่ด้านข้าง ยิ้มน้อยๆ แล้วเสริมขึ้น “พ่อกับแม่ของเจ้าก็รู้จักกันเช่นนี้เช่นกัน”

ฉีซู่ไม่ได้เข้าใจคำพูดของบิดาสักเท่าไร

สำหรับนางแล้ว ซีจิงเป็นคำศัพท์ที่อยู่ห่างไกลยิ่ง ความห่างไกลนี้ไม่ใช่เพียงเพราะระยะทาง ยังเป็นเพราะความไม่คุ้นเคยต่อบ้านเกิดเมืองนอน นางไม่อาจวาดเค้าโครงสภาพความกว้างใหญ่ไพศาลของเมืองหลวงตามคำพรรณนาของบิดาได้ ความเจริญรุ่งเรืองของซีจิงนางไม่เคยพบเห็น ยิ่งไม่อาจจินตนาการได้ ที่นางมองเห็นก็มีแต่คลื่นลูกโตที่แผดเสียงก้องคำรามซัดสาดโขดหินสีดำริมฝั่งทะเลอย่างเกรี้ยวกราดไม่สิ้นสุด ‘ประตูวังเก้าชั้นเปิดออก เหล่าขุนนางหมอบกราบถวายบังคมองค์ฮ่องเต้’ ที่บิดาเอ่ยนั้น นางก็ฟังด้วยความงงงวย

หานหล่างรู้ว่านางไม่เข้าใจ เขามักจะยิ้มบางและยุติคำพูดลงแค่นั้น แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ไม่เป็นเช่นนั้น วันนั้นจู่ๆ เขาก็อุ้มฉีซู่ขึ้นมาทอดถอนใจเบาๆ แล้วว่า “เสียดายตอนลูกเกิดปีนั้น จู่ๆ ในเมืองหลวงก็มีหิมะตกหนัก ปิดคลุมทัศนียภาพในฤดูใบไม้ผลิไปหมด หลังจากนั้นเราก็มาเมืองเจิ้นโจว วันหน้าเกรงว่าคงไม่ได้เห็นอีกแล้ว…”

* ซีจิงหรือเมืองฉางอัน เป็นเมืองหลวงในสมัยฮั่นตะวันตก ต่อมาในสมัยฮั่นตะวันออกได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่เมืองลั่วหยางหรือตงตู (เมืองหลวงตะวันออก)

ซูอิ่นภรรยาของหานหล่างฟังอยู่ข้างๆ มาโดยตลอด นางได้ยินแล้วสีหน้าก็พลันเศร้าสลดลง ก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ “ถ้าท่านต้องการจะกลับไปเห็นความเจริญรุ่งเรืองในเมืองหลวง ก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

“ไปวิงวอนขอความเมตตาจากฝ่าบาท ยอมรับความผิดที่ข้าไม่เคยทำหรือ” หานหล่างยิ้มหยัน “หรือจะให้ชื่นชมการกระทำที่เลวร้ายของฝ่าบาท…”

ซูอิ่นรีบปิดปากเขาไว้ “ลูกยังเล็ก ไยต้องพูดเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าลูกด้วย”

หานหล่างจึงปิดปากไม่พูด ตลอดคืนนั้นทั้งคืนเขาไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ได้แต่อุ้มฉีซู่เดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน ตอนฉีซู่สะลึมสะลือหลับไปในอ้อมแขนของเขา คลับคล้ายคลับคลาได้ยินบิดาพึมพำขึ้น “ปณิธานของลูกผู้ชายไม่อาจช่วงชิง…”

เพราะความดื้อรั้นหัวแข็งเช่นนี้ ชั่วชีวิตของหานหล่างจึงไม่อาจกลับไปซีจิงที่เขาเฝ้าคิดถึงคะนึงหา ปีที่ฉีซู่อายุได้เก้าขวบ เขาก็ถึงแก่กรรมที่เมืองเจิ้นโจว ขณะป่วยหนักใกล้จะสิ้นใจ หานหล่างฝืนยิ้มกล่าวกับภรรยา “อาอิ่น เจ้าถือกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ หลายปีมานี้กลับต้องมาลำบากลำบนกับข้า…”

ซูอิ่นกุมมือเขาอย่างอ่อนโยน ยิ้มน้อยๆ ทั้งน้ำตา “ไม่ลำบาก ได้ใช้ชีวิตร่วมกับท่าน เป็นความโชคดีใหญ่หลวงของข้า”

“เสียดาย…ไม่อาจพาพวกเจ้า…กลับเมืองหลวงแล้ว…” มือของหานหล่างห้อยตก ปีนั้นเขาอายุสามสิบเจ็ด จากซีจิงมาเก้าปีเต็ม

ข่าวการตายของผู้บัญชาการทหารเมืองเจิ้นโจวไม่นานก็ส่งไปถึงเมืองหลวง และนำขึ้นกราบทูลฮ่องเต้

เนื่องจากกรณีของหานหล่างค่อนข้างพิเศษ ขณะฮ่องเต้ทรงอ่านหนังสือรายงานฉบับนี้ หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการหร่านซวิ่นที่มีรับสั่งให้เข้าเฝ้า ก็รอดูท่าทีของฮ่องเต้ด้วยความระแวดระวัง ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใดแล้ว หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการจึงได้ยินฝ่าบาทรับสั่งถามเสียงต่ำ “ครอบครัวของเขายังมีใคร”

“ทูลฝ่าบาท มีภรรยาหญิงสกุลซู เป็นธิดาของเว่ยกั๋วกง* ซูชั่นผู้ล่วงลับ มีพี่ชายร่วมมารดาคือซูมู่ เวลานี้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองนครหลวง มีบุตรสาวหนึ่งคน เพิ่งอายุเก้าขวบพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการนิ่งไปครู่หนึ่ง “ซูมู่ได้แจ้งคำร้องขอของภรรยาและบุตรสาวหานหล่างให้กระหม่อมทราบ ทั้งสองหวังว่าจะสามารถนำร่างของหานหล่างกลับมาฝังที่เมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ผงกพระเศียร แต่ไม่ได้ตรัสอะไร หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการคาดเดาว่าคงจะทรงอนุญาต จึงไม่พูดอะไรอีก

ในความเป็นจริงฮ่องเต้หาได้สงบเยือกเย็นเช่นที่เห็นภายนอกไม่ เมื่อเสด็จกลับถึงตำหนักใน คำพูดประโยคแรกที่ตรัสกับฮองเฮาคือ “หานหล่างตายแล้ว!”

ฮองเฮาแม้จะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องบ้านเมือง แต่กับชื่อหานหล่างผู้นี้กลับไม่แปลกหู “หานหล่าง ผู้บัญชาการทหารเมืองเจิ้นโจวหรือเพคะ”

ฮ่องเต้ไม่ทรงตอบคำถามของฮองเฮา แต่ตรัสต่อไป “รัชศกเจาอู่ปีที่สิบเจ็ด อดีตฮ่องเต้ทรงกรีธาทัพไปตะวันตก เราในฐานะรัชทายาทวังตะวันออกได้รับพระบัญชาให้ดูแลบ้านเมือง เพื่อจะคัดเลือกบุคคลที่มีสติปัญญาความสามารถ เราได้เปิดสอบขุนนาง* ขึ้น และตั้งคำถามผู้เข้าสอบด้วยตนเอง ผู้สอบได้อันดับหนึ่งคือหานหล่าง”

* กั๋วกง เป็นบรรดาศักดิ์ในสมัยโบราณของขุนนางจีน แต่งตั้งให้เชื้อพระวงศ์หรือผู้มีคุณงามความชอบ โดยบรรดาศักดิ์ห้าขั้นรองจากชั้นอ๋องคือ กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน แต่ละสมัยจะมีคำเรียกและลำดับแยกย่อยต่างกัน กั๋วกงถือเป็นขั้นสูงสุดในลำดับกง

* การสอบขุนนางในสมัยโบราณ (เคอจวี่) แบ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ โดยสอบเลื่อนทีละระดับขั้น เริ่มจากระดับอำเภอหรือจังหวัดเรียกว่าการสอบถงซื่อ ผู้สอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าร่วมสอบระดับมณฑลเรียกว่าเซียงซื่อ สอบผ่านได้เป็นจวี่เหริน ต้องเข้ามาสอบระดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวงเพื่อเป็นจิ้นซื่อจึงได้บรรจุเข้ารับราชการ เมื่อผ่านการสอบทั้งสามระดับจะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งคือการสอบเตี้ยนซื่อเพื่อคัดเป็นบัณฑิตเอกสามขั้น ซึ่งบัณฑิตเอกขั้นหนึ่งมีสามคนเรียงตามคะแนน เรียกว่าจ้วงหยวน (จอหงวน) ปั๋งเหยี่ยน และทั่นฮวา

“หม่อมฉันจำได้ ตอนนั้นหานหล่างยังไม่ได้เข้าพิธีสวมหมวก** ก็เขียนกาพย์กลอนได้ยอดเยี่ยมไม่มีใครเทียมแล้ว และเพราะเหตุนี้ฝ่าบาทจึงโปรดปรานเขาเป็นพิเศษ” ฮองเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ไม่ผิด ปีนั้นคัดเลือกปัญญาชนมาสามสิบคน คนที่เราให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือเขา ทั้งยังกราบทูลเสนอตัวเขาต่ออดีตฮ่องเต้หลายครั้ง อุปถัมภ์ค้ำชูเขาสุดกำลัง ทำให้เขาหลังสอบผ่านขุนนางได้ไม่ถึงสิบปีก็ขึ้น ดำรงตำแหน่งสำคัญ แทบจะได้เป็นเสนาบดี คิดไม่ถึงว่าเรื่องในรัชศกเจาอู่ปีที่ยี่สิบแปด เขากลับทำให้เราผิดหวังถึงปานนั้น เราพยายามผ่อนสั้นผ่อนยาว แสดงให้รู้เป็นนัยไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง เขากลับโง่เขลาและถือทิฐิอย่างดื้อรั้น!” หวนนึกถึงเรื่องในอดีต ฮ่องเต้ยังคงอดพะวงอยู่ในพระทัยไม่ได้

“เรื่องผ่านไปนานเพียงนี้แล้ว ฝ่าบาทยังไม่อาจตัดพระทัยวางลงอีกหรือเพคะ”

“ตัดใจวางลง? เราชื่นชมความปราดเปรื่องของเขา ย้ายเขาไปอยู่ต่างเมืองก็เพื่อต้องการให้เขารู้ว่าเราต้องการให้ปรับความเข้าใจคืนดีกัน ขอแค่เขามีความเข้าใจเห็นอกเห็นใจเพียงเล็กน้อย อย่าว่าแต่เราจะเรียกเขากลับเมืองหลวง จะให้เขาเข้าร่วมสภาขุนนางก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขาเล่า เราทั้งเดือดดาลในความดื้อรั้นของเขาและเสียดายด้วยความปวดร้าวใจที่เขาต้องกลายเป็นของดีที่ไม่มีใครรู้ค่า เจ้าจะให้เราตัดใจวางลงอย่างไร”

ฮองเฮานิ่งเงียบ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงทอดถอนพระทัย “หม่อมฉันก็เคยอ่านบทกวีของเขา สติปัญญาปราดเปรื่องเพียงนั้นกลับไม่อาจรับใช้ฝ่าบาทได้ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก” ฮองเฮาทรงใคร่ครวญดูอีกทีและตรัสขึ้น “ในเมื่อฝ่าบาททรงเห็นคุณค่าและเสียดายความปราดเปรื่องของหานหล่าง ไยไม่ทรงมอบความเมตตาแก่คนในครอบครัวของเขาแทนล่ะเพคะ”

“พูดถึงเรื่องนี้…” ฮ่องเต้ตรัสอย่างลังเล “เราถามดูแล้ว เขามีบุตรสาวคนหนึ่ง เราสองคนไม่มีลูกสาวมาคอยปรนนิบัติเลยสักคน เราคิดจะรับลูกสาวของเขามา แต่งตั้งให้เป็นองค์หญิง ถือเป็นลูกสาวของเราเสียเลย เจ้าเห็นอย่างไร”

ฮองเฮาไม่ได้ตอบในทันที หากแต่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ในอดีตเกาจู่และไท่จง*** ต่างเคยรับบุตรชายบุตรสาวขุนนางผู้มีคุณูปการมาเลี้ยงดูในวัง ที่ฝ่าบาทตรัสก็ไม่ขัดต่อราชประเพณี เพียงแต่ที่ผ่านมายังไม่เคยมีบุตรขุนนางที่ได้รับพระเมตตาแต่งตั้งเป็นองค์หญิงมาก่อน ถ้าบุตรสาวของหานหล่างได้รับแต่งตั้งเป็นองค์หญิง เกรงจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ได้ ฝ่าบาทโปรดทรงไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนด้วยเพคะ”

ฮองเฮาใช้ถ้อยคำนุ่มนวลอ้อมค้อม ทว่าฮ่องเต้ยังคงฟังความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดออก

ครั้งนั้นฮ่องเต้ทรงลดตำแหน่งหานหล่าง ข้อกล่าวหาที่ได้รับค่อนข้างจะขัดกับความเป็นจริงอยู่มาก ยิ่งไม่มีหลักฐานที่ทำให้คนเชื่อถือยอมรับได้ คนที่สายตาคมมองเหตุการณ์ได้ชัดแจ้งย่อมรู้ว่าที่หานหล่างถูกลดขั้นลดตำแหน่งไม่ได้มาจากสาเหตุที่ฮ่องเต้ทรงประกาศให้ทราบอย่างแน่นอน เกรงว่าคงจะเกี่ยวกับเรื่องการสืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากอดีตฮ่องเต้กับคดีที่สู่อ๋องและอู๋อ๋องก่อกบฏ แต่ไรมาฮ่องเต้ก็ทรงพระปรีชาญาณ ทว่าครั้งนั้นเพราะพิโรธสุดขีดจึงได้ตัดสินพระทัยทำอะไรเลอะเลือนเช่นนั้น ภายหลังแม้จะทรงนึกเสียใจ แต่ก็ด้วยเกียรติภูมิของกษัตริย์ ไม่อาจถอนพระบัญชากลับมาได้

หานหล่างถือกำเนิดในครอบครัวขุนนาง เดิมฮ่องเต้เข้าใจว่าเขาจะต้องทนต่อความลำบากยากแค้นที่เมืองเจิ้นโจวไม่ได้ และต้องยื่นถวายสารขอความเมตตา ถึงตอนนั้นฮ่องเต้ก็จะพายเรือไปตามกระแสน้ำเรียกตัวเขากลับเมืองหลวง คิดไม่ถึงว่าหานหล่างกลับหยิ่งทะนง หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยวิงวอนขอร้องแม้แต่คำเดียว การตายของเขาทำให้ฮ่องเต้ปวดร้าวพระทัยมาก ถึงได้คิดจะรับบุตรสาวของเขาเป็นบุตรบุญธรรม

** พิธีสวมหมวก คือพิธีแสดงความเป็นผู้ใหญ่ของชายที่อายุครบยี่สิบปีในสมัยโบราณ

*** เกาจู่ คือปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ ส่วนไท่จง คือกษัตริย์ที่ครองราชย์เป็นองค์ที่สองถัดจากเกาจู่ ในที่นี้คือปู่ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

เพียงแต่เรื่องขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์เป็นแผลในใจของฮ่องเต้มานานปี หลายปีมานี้ทรงพยายามชดเชยอย่างสุดความสามารถ ถึงได้ทำให้ผู้คนค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องดังกล่าวไปได้ในที่สุด ตอนนี้ถ้าจู่ๆ แต่งตั้งบุตรสาวของหานหล่างขึ้นเป็นองค์หญิง จะต้องสร้างความสนใจแก่ผู้คนแน่นอน ถึงตอนนั้นเกรงว่าต้องมีคนเอ่ยถึงเรื่องเก่าขึ้นมาอีก สิ่งที่ทุ่มเททำมาหลายปีไยมิใช่ต้องสูญเปล่า ด้วยเหตุนี้ฮองเฮาจึงจำต้องใช้คำพูดอ้อมค้อมบอกเป็นนัยถึงความไม่เหมาะสม

ความกังวลของฮองเฮาใช่จะไร้เหตุผล ฮ่องเต้อดจะระทดท้อขึ้นมาไม่ได้ “ดูเหมือนเรื่องนี้คงทำไม่ได้แล้ว”

เห็นฮ่องเต้ทรงกลัดกลุ้ม ฮองเฮาจึงแย้มพระสรวล “เรื่องนี้ใช่จะทำไม่ได้โดยสิ้นเชิง เพียงแต่ไม่เหมาะจะทำอย่างเอิกเกริก หม่อมฉันคิดว่าไม่สู้พบกันครึ่งทาง หาวิธีรับเด็กคนนั้นเข้าวังมาเงียบๆ และไม่ต้องประทานยศศักดิ์ เพียงให้นางอยู่ข้างกาย รักเอ็นดูนางเหมือนลูกก็พอ เมื่อนางเติบโตขึ้น เราก็เลือกคู่ครองที่ดีให้กับนาง มอบสินทรัพย์ติดตัวเจ้าสาวให้มากหน่อย ให้นางอยู่เย็นเป็นสุขไปชั่วชีวิต ไยมิใช่ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย”

ฮ่องเต้พอพระทัยมาก ตบหลังพระหัตถ์ฮองเฮาเบาๆ “ยังคงเป็นเจ้าที่ใคร่ครวญเรื่องราวได้ถี่ถ้วน เช่นนั้นเรื่องนี้มอบให้เจ้าไปจัดการได้หรือไม่”

“หม่อมฉันจะทำสุดความสามารถเพคะ” ฮองเฮารับพระบัญชาด้วยความยินดี

 

ฉีซู่ที่ยังอยู่ชายแดนตอนใต้ไม่รู้เลยว่าโชคชะตาของตนได้ถูกฮองเฮาผู้อยู่ไกลถึงเมืองหลวงกำหนดไว้แล้ว เวลานี้นางกับมารดาซูอิ่นกำลังเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมโลงศพของหานหล่าง

ระยะทางระหว่างเจิ้นโจวกับซีจิงห่างไกลกันหลายพันลี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องตรากตรำอยู่ในรถม้า ฉีซู่ไม่เคยชินต่อการเดินทางไกลด้วยความลำบาก ระหว่างทางล้มป่วยหนักไปครั้งหนึ่ง หลายเดือนให้หลังสองแม่ลูกจึงเดินทางมาถึงเมืองหลวง ซูมู่ เจ้าเมืองนครหลวงพี่ชายของซูอิ่นทราบข่าวแล้วก็มารอรับน้องสาวกับหลานสาวที่นอกเมืองด้วยตนเอง

ซูอิ่นสองแม่ลูกที่ลงจากรถม้าต่างอยู่ในชุดไว้ทุกข์ ใบหน้าของซูอิ่นดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด เด็กหญิงที่นางจับจูงมือมาก็ดูอ่อนแอบอบบางยิ่ง เห็นน้องสาวที่แต่ก่อนงดงามดุจบุปผาผุดผาดดุจจันทร์เต็มดวงถึงกับซีดเซียวผ่ายผอมเพียงนี้ ซูมู่อดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้ รีบก้าวเข้าไปสองก้าวกล่าวร้องทัก “น้องพี่…”

“พี่ใหญ่” ซูอิ่นเห็นหน้าพี่ชายก็ร้องเรียกออกมาคำหนึ่ง แล้วน้ำตาไหลพูดอะไรไม่ออกอีก

ซูมู่มองรถม้าสีดำที่ด้านหลังนางแวบหนึ่ง ถอนหายใจแล้วว่า “กลับมาก็ดีแล้ว”

ซูอิ่นค่อยๆ เช็ดน้ำตา ดึงฉีซู่มาข้างหน้า “มา คารวะท่านลุง”

“นี่คือฉีซู่กระมัง” ซูมู่ยอบตัวลง “โตเพียงนี้แล้วหรือ”

ฉีซู่เรียกท่านลุงอย่างประหม่าออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็ไม่พูดอีก

“เรื่องเอาศพกลับมาฝังที่บ้านเกิด…” ซูอิ่นเอ่ยขึ้นช้าๆ

“เรื่องนี้ข้ากำลังเตรียมการ เข้าเมืองแล้วค่อยคุยกันเถิด”

ซูอิ่นพยักหน้า จูงฉีซู่กลับขึ้นรถ แล้วเดินทางเข้าเมืองซีจิง

ฉีซู่ได้เห็นเมืองหลวงที่เคยได้ยินชื่อมานานแห่งนี้เป็นครั้งแรก นางเลิกม่านขึ้นน้อยๆ ที่มุมหนึ่ง แอบมองสถานที่ที่บิดาพูดติดปากอยู่เสมอด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ซีจิงแบ่งแยกออกเป็นสองฟากฝั่งโดยมีถนนกว้างใหญ่ขนาดรถม้าวิ่งเรียงกันได้สิบคันกั้นกลาง ถนนใหญ่ที่ปูด้วยดินทรายเส้นนี้เชื่อมตรงไปยังวังหลวง จากประตูเมืองเพ่งมองไปไกลๆ จะเห็นพระราชวังที่ตั้งอยู่บนเนินสูง พระราชวังที่สูงตระหง่านเป็นชั้นๆ คล้ายกำลังก้มลงมองเมืองทั้งเมืองอย่างมีสง่าน่าเกรงขาม เฝ้าดูแลผู้คนในใต้หล้าอยู่ตลอดเวลา ร้านรวงต่างๆ ในเมืองแบ่งแยกกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยตามถนนที่ราบเรียบเป็นเส้นตรง ต้นไหว* ที่อยู่สองฟากถนนเขียวชอุ่ม กลายเป็นร่มไม้ที่ทอดยาวติดต่อกัน

* ต้นไหว หรือ Locust Tree เป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง มีดอกสีเหลือง เนื้อไม้นำมาใช้ในงานก่อสร้าง ดอกใช้ทำเป็นสีย้อม ผลและรากมีสรรพคุณทำยา

การเดินทางในระยะสั้นทำให้ฉีซู่ไม่อาจเห็นเมืองหลวงได้ทั่วทุกด้าน ทว่าภาพผู้คนที่แออัดเดินไปมาอยู่บนถนนใจกลางเมืองก็เพียงพอที่จะทำให้นางประทับใจอย่างลึกซึ้งแล้ว

ปัญญาชนที่เที่ยวเร่ร่อนแสวงหาความรู้ ชาวตี๋** ที่ปล่อยสยายผม ยังมีพ่อค้าชาวหู*** ชนเผ่าหรงตะวันตก**** ที่จมูกโด่ง นัยน์ตาลึก สวมเสื้อคลุมยาวสีขาว…นับเป็นครั้งแรกที่คำพรรณนาของบิดาปรากฏภาพเป็นรูปธรรมและเป็นจริงขึ้นมาในสายตาของฉีซู่

ซูอิ่นอบรมสั่งสอนบุตรสาวอย่างเข้มงวด ปกติถ้าเห็นอากัปกิริยาที่ไม่เรียบร้อยเช่นนี้ก็จะต้องอบรมสักสองสามคำ ทว่าวันนี้นางกลับมีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่เพียงไม่ได้ดุว่าบุตรสาว กลับกอดบุตรสาวไว้ในอ้อมแขน แล้วชี้ให้ดูสถานที่เลื่องชื่อลือนามของเมืองหลวง

ฉีซู่พินิจดูเมืองแห่งนี้ตามที่มารดาชี้บอกด้วยความสนอกสนใจ ในเวลานี้เองรถม้าวิ่งผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง ฉีซู่ได้กลิ่นไม้จันทน์หอมรำไรโชยมาก่อน เมื่อรถม้าวิ่งเข้าไปใกล้ กลิ่นหอมที่ปลายจมูกก็ยิ่งหอมกรุ่นมากขึ้น นางยื่นหน้าไปมองรอบๆ เพียงเห็นต้นไม้เก่าแก่แน่นขนัดโผล่พ้นกำแพงออกมา ตรงช่องว่างระหว่างกิ่งใบมองเห็นกระเบื้องสีเขียวอมดำเป็นแผ่นๆ มีเสียงท่องอ่านดังออกมาจากด้านในกำแพงเป็นระยะๆ คล้ายดังออกมาจากความว่างเปล่า

“นี่คือวัดอันเยี่ย” เสียงของซูอิ่นดูแปลกไป “เป็นสถานที่ที่แม่กับท่านพ่อของเจ้าพบกันเป็นครั้งแรก…”

ฉีซู่ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าท่านแม่ถึงกับมีท่าทีขวยเขินอย่างน้อยครั้งจะได้พบเห็น

ซูอิ่นกล่าวต่อ “ตอนนั้นท่านพ่อของเจ้าเพิ่งสอบได้เป็นบัณฑิต ได้รับเลือกเป็นทั่นฮวาสื่อ* ต้องไปเก็บดอกไม้ตามสวนต่างๆ ในเมืองหลวงเพื่อใช้ในงานเลี้ยง ดอกโบตั๋นของวัดอันเยี่ยมีชื่อเสียงเลื่องลือ ท่านพ่อของเจ้าย่อมไม่ปล่อยให้พลาดไปได้ ส่วนแม่เองก็ตามพี่ชายมาไหว้พระที่วัด พอเข้าไปในสวนก็เห็นท่านพ่อของเจ้ายืนอยู่กลางพุ่มดอกไม้…”

เสียงของท่านแม่ค่อยๆ แผ่วต่ำ ฉีซู่พลันรู้สึกเย็นที่แก้ม มีน้ำหยดลงมาบนใบหน้า นางเงยหน้าขึ้นมองก็ เห็นหยาดน้ำตาสองสายกำลังไหลรินจากใบหน้าท่านแม่ ซูอิ่นเอ่ยเสียงสะอื้น “เสียดาย ท่านพ่อของเจ้าไม่มีวันได้เห็นโบตั๋นที่วัดอันเยี่ยอีกแล้ว…”

 

ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง หากเพ่งมองวังหลวงจากในเมืองซีจิง ก็จะเห็นกำแพงวังและรูปทรงตะคุ่มๆ ระหว่างหอสังเกตการณ์ ภาพที่คลุมเครือเช่นนี้ ทำให้คนภายนอกไม่มีทางรู้ถึงสภาพที่อยู่อาศัยของโอรสสวรรค์ได้ ทำได้เพียงคาดเดาสภาพภายในวังหลวงไปอย่างเลื่อนลอย

** ชาวตี๋ คือชนเผ่าตี๋เหนือ ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่อยู่ทางตอนเหนือของจีน

*** ชาวหู เป็นคำที่ชาวจีนใช้เรียกชนเผ่าต่างๆ ที่อยู่ทางเหนือและทางตะวันตก

**** ชนเผ่าหรงตะวันตก คือชนกลุ่มน้อยที่อยู่ทางตะวันตกของจีน

* ตามประเพณีในสมัยราชวงศ์ถังในงานเลี้ยงฉลองบัณฑิตใหม่ครั้งแรกที่จัดขึ้นในสวนซิ่งจะมีการคัดเลือกบัณฑิตใหม่ที่อายุน้อยรูปงามสองคนเป็นทั่นฮวาสื่อ (ทูตสำรวจดอกไม้) ทำหน้าที่เก็บดอกไม้ตามสวนต่างๆ เพื่อมาใช้ในงานเลี้ยง

ก่อนฉีซู่จะก้าวเข้ามาในวังหลวงก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่าผู้ปกครองบ้านเมืองกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้จะมีชีวิตความเป็นอยู่เช่นไร ด้วยเหตุนี้ตอนเข้ามายังวังหลวงในส่วนที่เรียกว่า ‘ฝั่งตะวันออก’ นางจึงรู้สึกตะลึงลานกับทัศนียภาพที่ได้เห็นยิ่งนัก

พระราชวังที่ยกพื้นสูงเชื่อมติดกับทางเดิน ตัวอาคารสูงตระหง่านโอ่อ่าสง่างามทอดยาวเหยียด บริเวณสองฟากข้างมีศาลาหอเก๋งมากมาย หลังคาปลายงอนและปุ่มไม้รับน้ำหนักรูปโค้งที่ปลายคาน แลละม้ายพญาอินทรีกางปีกสองข้างทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ในชีวิตช่วงก่อนหน้านี้ของนาง ไม่เคยเห็นสถานที่งดงามใหญ่โตน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าที่นี่มาก่อน

หลังจากกวาดสายตามองไปทั่วๆ รอบหนึ่ง ขันทีผู้ดูแลฝ่ายในก็พานางไปที่กองงานฝ่ายใน จากนั้นผู้รับใช้ฝ่ายในก็พานางเข้าไปยังฝ่ายในที่ฮองเฮาและพระสนมนางในพำนักอยู่ เปรียบกับพระราชวังด้านหน้าที่ใหญ่โตโอฬาร เห็นชัดว่าสิ่งปลูกสร้างของฝ่ายในสวยงามกว่า ในวังขุดทะเลสาบขนาดใหญ่เอาไว้ รอบๆ ทะเลสาบปลูกต้นหลิวไว้จำนวนมาก ภาพศาลาหอเก๋งมากมายสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ อีกทั้งยังมีกิ่งหลิวที่ห้อยย้อยปลิวระผิวน้ำในทะเลสาบอยู่ตลอดเวลา

บนทางเดินเล็กๆ ริมทะเลสาบ นางกำนัลอายุราวสิบสี่สิบห้ากลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งเล่นกัน ฉีซู่เดินเข้ามาใกล้ ถึงรู้สาเหตุที่พวกนางต้องวิ่ง…มีเด็กชายในชุดผ้าดิ้นดวงตาทั้งสองมีผ้าต่วนสีแดงคาดปิดอยู่คนหนึ่งกำลังวิ่งไล่จับเหล่านางกำนัล คนในวังต่างหลบหลีกมือทั้งสองของเด็กชายที่ยื่นออกมาไล่คว้าพลางหัวเราะคิกๆ คักๆ

เห็นชัดว่าเด็กชายผู้นั้นได้ยินเสียงหัวเราะของพวกนาง แต่เนื่องจากเสียงดังมาจากทุกทิศทาง เขาจึงออกจะสับสน ในเวลานี้เองนางกำนัลคนหนึ่งหัวเราะแล้ววิ่งผ่านข้างกายฉีซู่ไป เด็กชายได้ยินแล้วรีบเดินคลำทางมาทางด้านนี้ทันที เขากะระยะทางไว้แล้ว มาถึงก็กระโจนเข้าใส่ กอดร่างอุ่นๆ แบบบางร่างหนึ่งไว้ในอ้อมแขนทันที

“จับได้แล้ว!” เด็กชายเปล่งเสียงตะโกนขึ้น ดึงผ้าต่วนสีแดงที่ปิดตาออก นึกไม่ถึงว่าผู้ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขากลับเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย

ฉีซู่ถูกเขากอดอยู่ในอ้อมแขน รู้สึกทำอะไรไม่ถูก เหล่านางกำนัลเห็นเด็กชายจับผิดคนก็พากันสุมหัวกระซิบกระซาบ ไม่นานก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาเบาๆ ฉีซู่ยิ่งขวยอายหนัก เอามือบิดชายกระโปรงของตนแน่นด้วยความกระวนกระวายใจ

“เจ้าเป็นใคร” เด็กชายยังไม่ยอมปล่อยตัวฉีซู่ ทั้งยังเอ่ยถามออกมาตรงๆ

ผู้รับใช้ฝ่ายในสูงวัยที่รับหน้าที่นำทางให้ฉีซู่รีบก้าวเข้ามาตอบคำ “ทูลรัชทายาท นางคือนางกำนัลที่เพิ่งได้รับคัดเลือกเข้ามาในปีนี้พ่ะย่ะค่ะ”

“เหตุใดจึงมีนางเพียงคนเดียว”

“ฮองเฮาทรงมีรับสั่งให้กระหม่อมพานางมาเข้าเฝ้าเพียงคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ”

“พระมารดาหรือ” เด็กชายได้ยินแล้วก็กวาดตามองประเมินฉีซู่อย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะเบ้ปากแล้วว่า “นางหน้าตาไม่สะสวยสักหน่อย พระมารดาจะเรียกพบนางตามลำพังเพื่ออะไร”

ฉีซู่รู้ว่าตนเองไม่นับเป็นเด็กที่หน้าตาสะสวยมาก แต่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนชี้ชัดออกมาตรงๆ เช่นนี้ จึงอดที่จะหน้าแดงฉานไม่ได้ และยิ่งทำให้ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา

“วังกลาง* มีรับสั่งมาเช่นนี้ กระหม่อมเองก็ไม่ทราบสาเหตุพ่ะย่ะค่ะ” ผู้รับใช้ฝ่ายในสูงวัยตอบอย่างนอบน้อม

เด็กชายก้มหน้าเอียงคอมองฉีซู่อยู่ครู่หนึ่ง ลักษณะท่าทางเช่นนี้ของเขาทำให้ฉีซู่จำต้องมองสบตากับเขา นางพบว่าเด็กชายที่เกล้ามวยผมสองมวยบนศีรษะผู้นี้ผิวขาว หน้าตาสดใสหล่อเหลาชวนมองยิ่ง ฉีซู่เห็นเขารูปร่างหน้าตาสะสวยเช่นนี้ก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดตนจึงได้รับคำประเมินค่าจากเขาว่า ‘ไม่สะสวย’

* วังกลาง หมายถึงฮองเฮา

เด็กชายเห็นฉีซู่จ้องมองเขาอย่างทึ่มทื่อ คล้ายยิ่งนึกสนุก หันไปมองผู้รับใช้ฝ่ายใน “ให้นางอยู่เล่นกับข้าสักพักก่อน”

ผู้รับใช้ฝ่ายในมีท่าทีลำบากใจ ยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนกล่าว “เอ้อ…วังกลางทรงกำลังรอนางอยู่ ให้กระหม่อมพานางไปเข้าเฝ้าก่อน ค่อยให้นางมาเล่นกับรัชทายาท ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“เสียอารมณ์!” เด็กชายปล่อยตัวฉีซู่ด้วยท่าทางขัดอกขัดใจ “ไปเถิด!”

ฉีซู่ฟังจากคำพูดของผู้รับใช้ฝ่ายในก็รู้ว่าเด็กชายผู้นี้จะต้องเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบันแน่นอน เมื่อเขาปล่อยมือจากนาง นางจึงรีบยอบตัวลงทำความเคารพ เด็กชายกลับทำเหมือนไม่เห็นและหมุนตัวไปตะโกนบอกนางกำนัลที่อยู่รอบๆ “เมื่อครู่ไม่นับ เรามาเล่นกันใหม่!”

ลาจากรัชทายาทมา ผู้รับใช้ฝ่ายในก็พาฉีซู่มาถึงตำหนักของฮองเฮา

เวลานี้ฮองเฮากำลังสวดมนต์ไหว้พระ คนในตำหนักจึงพาฉีซู่มาที่หน้าห้องพระ กระทั่งฮองเฮาสวดมนต์ไหว้พระเสร็จ จึงมีคนมาพาฉีซู่เข้าไปข้างใน พอเข้าไปในห้องพระ ฉีซู่ก็หมอบกราบฮองเฮาตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ผู้รับใช้ฝ่ายในสอนมา

ฮองเฮาใช้สายตาเจือการตรวจสอบมองประเมินฉีซู่ คงเพราะเติบโตอยู่ที่ชายแดนทางใต้เป็นเหตุ เด็กหญิงที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้จึงดูออกจะผอมซีด ปีนั้นหานหล่างอยู่ในเมืองหลวงก็ได้ชื่อว่าหน้าตาดีเหนือผู้อื่น ภรรยาของเขาหญิงสกุลซูก็เป็นสาวงามที่ปราดเปรื่อง บุตรสาวของพวกเขากลับงดงามไม่มากพอ เรื่องนี้ทำให้ฮองเฮาอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ ทว่าเมื่อฮองเฮาทรงพินิจดูรูปโฉมของนางอย่างละเอียด ก็ยังพอเห็นเค้าหน้าของบิดามารดาบนตัวนางได้ ทั้งท่าทีการหมอบกราบของฉีซู่ทำได้อย่างเหมาะสม ที่บ้านคงอบรมมาดี นับว่าทำให้ฮองเฮาวางพระทัยลงได้หลายส่วน

ฮองเฮากวักพระหัตถ์เรียกฉีซู่ “มา มาที่ข้างกายข้า”

ฉีซู่คลานเข้าไปข้างหน้าหลายก้าว ฮองเฮาจับมือนาง แสดงท่าทีอย่างนุ่มนวลให้นางลุกขึ้น ฉีซู่จึงถือโอกาสนี้มองฮองเฮาเต็มตา ฮองเฮาอายุประมาณสี่สิบกว่า พ้นช่วงวัยงดงามที่สุดไปแล้ว แต่ยังคงมีท่วงทีสง่างามละเมียดละไม เวลาสวดมนต์ไหว้พระฮองเฮาจะไม่พบคนนอก จึงแต่งตัวตามสบาย เกล้าผมเป็นมวยสูงคล้ายหอยสังข์ ประดับด้วยไข่มุกและหยกแข็งอยู่ห่างๆ กันสองจุด ฉลองพระองค์ตัดเย็บมาจากผ้าไหมทอ แพรต่วน ช่วงบนเป็นเสื้อตัวสั้นแขนแคบสีขาว คลุมด้วยเสื้อแขนครึ่งท่อนสีเหลือง แล้วคลุมทับด้วยผ้าคลุมไหล่สีแดงอมน้ำตาล ช่วงล่างสวมกระโปรงผ้าเจ็ดชิ้นยาว* สีแดงสลับขาว นอกจากชายกระโปรงมีลายเมฆเคลื่อนที่เขียนด้วยผงทองผสมสีน้ำมันแล้ว ก็ไม่มีลวดลายประดับอย่างอื่นอีก การแต่งตัวเช่นนี้สำหรับผู้ที่อยู่ในตำแหน่งวังกลางแล้วออกจะเรียบง่ายไปสักหน่อย แต่นางท่าทางสงบเยือกเย็น อากัปกิริยาสุภาพนุ่มนวล ทั้งมีท่วงทำนองของความสูงศักดิ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดอย่างหนึ่ง ทำให้ฉีซู่ไม่รู้สึกคลางแคลงในฐานะความเป็นมารดาของแผ่นดินของนาง

“เจ้าชื่ออะไร” ฮองเฮาแย้มพระสรวลพลางตรัสถาม

“ชื่อเล่นในสมัยเด็กของหม่อมฉันคือฉีซู่เพคะ”

“ชื่อน่าเอ็นดู อายุเท่าไร”

“ปีนี้เก้าขวบเพคะ”

“เกิดเดือนอะไร”

“เดือนสามเพคะ”

“เดือนสาม” ฮองเฮาแย้มพระสรวล “อายุน้อยกว่ารัชทายาทหลายเดือน เป็นคนที่ใด”

* กระโปรงผ้าเจ็ดชิ้นยาว คือกระโปรงที่ต่อจากผ้าสองสีหรือมากกว่าสองสีขึ้นไป มีตั้งแต่สีแดงเขียว แดงเหลือง แดงขาว เป็นต้น

“ภูมิลำเนาเดิมของบิดาอยู่ที่เมืองหลวงเพคะ แต่หม่อมฉันไปอยู่เมืองเจิ้นโจวตั้งแต่ยังเล็ก”

“เคยเรียนหนังสือหรือไม่”

“ตอนท่านพ่อยังอยู่เคยสอนหม่อมฉันให้รู้จักเขียนอ่านมาบ้างเพคะ”

แม้จะเติบโตที่เจิ้นโจวเมืองชายแดน ฉีซู่กลับโต้ตอบได้อย่างคล่องแคล่วฉะฉานและใสซื่อ ทำให้ฮองเฮามีความรู้สึกที่ดีต่อนางมากขึ้นอีกขั้น ได้ยินฉีซู่เอ่ยถึงเมืองเจิ้นโจว ฮองเฮาจึงทรงคล้อยตามคำพูดของนางตรัสถามถึงทัศนียภาพของเมืองเจิ้นโจว เพิ่งจะสนทนากันได้ไม่กี่ประโยคก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังกระชั้นถี่ที่นอกห้องพระ ครู่เดียวเด็กชายอายุราวสิบขวบคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู เป็นเด็กคนเดียวกับที่ฉีซู่พบที่ริมทะเลสาบ รัชทายาทองค์ปัจจุบันหลี่เฉิงเพ่ย

ฮองเฮาเห็นพระโอรสก็แย้มพระสรวลแล้วกวักพระหัตถ์ให้เขา หลี่เฉิงเพ่ยสาวเท้าเร็วๆ เข้ามา แล้วก็ถูกฮองเฮาดึงเข้าไปโอบกอด ฮองเฮาทรงลูบไล้ใบหน้าของเขา แย้มพระสรวลแล้วตรัสถาม “ไปซุกซนที่ใดมาอีก”

หลี่เฉิงเพ่ยหลบเลี่ยงไม่ตอบคำถามของฮองเฮา เอาแต่ออดอ้อน “พระมารดา…”

ฮองเฮาก็ไม่ตามซักไซ้ ยังคงแย้มพระสรวลบ่นว่า “ดูเจ้าสิเนื้อตัวมีแต่เหงื่อ…”

หลังจากฉีซู่ทำความเคารพรัชทายาทแล้วก็หลบไปยืนข้างหนึ่งอยู่เงียบๆ เห็นพวกเขาแม่ลูกรักใคร่สนิทสนมกัน นางก็ก้มหน้าลง ไม่ให้คนอื่นเห็นอารมณ์ความรู้สึกของตน เมื่อไม่นานนี้นางก็ยังซุกอยู่ในอ้อมอกท่านแม่ แต่เวลานี้กลับต้องมาเผชิญกับการใช้ชีวิตอยู่ในวังต้องห้ามตามลำพังแล้ว

“ข้ากระหายน้ำ” หลี่เฉิงเพ่ยสั่งฉีซู่อย่างตามเหตุผลแล้วพึงเป็นเช่นนั้น “ไปเอาน้ำมาให้ข้า”

ฮองเฮามุ่นพระขนง ปล่อยหลี่เฉิงเพ่ยออกจากอ้อมพระกร “ไม่อาจเสียมารยาท”

“ข้าไม่ได้เสียมารยาทสักหน่อย!” หลี่เฉิงเพ่ยไม่เข้าใจ “ปกติก็สั่งสาวใช้ในวังเช่นนี้มิใช่หรือ”

“ในฐานะรัชทายาท ต้องมีความประพฤติและวางตัวอยู่ในคุณธรรมอันดีงาม แม้จะเป็นนางกำนัล ก็ต้องปฏิบัติต่ออย่างมีมารยาท อีกประการหนึ่งนางก็ไม่ใช่นางกำนัลทั่วไป ต่อไปเจ้าไม่เพียงห้ามข่มเหงรังแกนาง ยังต้องปฏิบัติต่อนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง”

“น้องสาว?” แต่ไรมาหลี่เฉิงเพ่ยก็ไม่ชอบให้มารดาอบรมสั่งสอน ได้ยินเช่นนี้ก็หันหน้าไปมองฉีซู่วาบหนึ่ง สีหน้าท่าทางดูไม่ใส่ใจ

ฮองเฮาเห็นสีหน้าท่าทางของเขาแล้ว พระพักตร์ก็เคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน “ถ้าเจ้ากล้ารังแกนาง อย่าว่าแต่แม่จะไม่ละเว้นเจ้า พระบิดาก็ยังจะดุว่าเจ้าด้วย”

ได้ยินฮองเฮาตรัสถึงฮ่องเต้ หลี่เฉิงเพ่ยก็ขดตัวเล็กน้อย พึมพำขึ้น “ทราบแล้ว อย่างกับใครอยากรังแกนางเช่นนั้น”

ฮองเฮาทรงพระสรวล ลูบศีรษะพระโอรสแล้วตรัสว่า “เช่นนี้ก็ถูกแล้ว ต่อไปต้องรักใคร่กลมเกลียวกัน รู้หรือไม่”

ฮองเฮาทรงดึงมือเด็กทั้งสองมาไว้ด้วยกัน

ภายหลังเมื่อเติบโตขึ้น ฉีซู่ยังคงหวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้อยู่เสมอ ถ้าวันนั้นฮองเฮาไม่ทรงเรียกตัวนางเข้าเฝ้า ไม่ได้ให้นางกับรัชทายาทได้รู้จักกัน ชีวิตของนางจะสงบสุขกว่านี้มากหรือไม่

 

หลังจากเข้าเฝ้าในวันนั้นแล้ว ฉีซู่ก็ถูกฮองเฮารั้งให้อยู่ข้างกาย

เวลานี้ฉีซู่ยังคงไม่เข้าใจในเจตนาของฮองเฮา ด้วยเหตุนี้การได้รับการปฏิบัติต่อด้วยความรักและเมตตาจึงทำให้นางยากจะเข้าใจได้ ทว่านางยังจำได้รางๆ ก่อนเข้าวังท่านแม่กอดนางไว้น้ำตารินไหล ท่านลุงซูมู่อยู่ข้างๆ ช่วยปลอบใจให้คลายความทุกข์ ‘น้องพี่อย่าเสียใจไปเลย ฉีซู่เข้าวังไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี’

‘สามีข้าก็ไม่มีแล้ว เวลานี้แม้แต่บุตรสาวก็ยังรั้งตัวไว้ไม่ได้ ยังจะไม่เสียใจได้อีกหรือ บ้านสกุลหานของเราที่แท้แล้วทำผิดอะไร กระทั่งบุตรสาวเพียงคนเดียวก็ยังต้องส่งเข้าวังไป’ คำปลอบใจของเขาซูอิ่นไหนเลยจะฟังเข้าหู นางพูดพลางเช็ดน้ำหูน้ำตาไม่หยุด

ซูมู่เอามือไพล่หลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ในที่สุดก็เอ่ยขึ้น ‘เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้า ข้ามีหรือจะไม่รู้ว่าเจ้ามีลูกสาวอยู่เพียงคนเดียว ข้าไปสืบข่าวมาจนทั่ว ดูว่าพอจะวิ่งเต้นทางใดเพื่อจะรั้งตัวหลานสาวไว้ได้บ้าง แต่มีคนแพร่งพรายให้ข้ารู้ ชื่อของหลานสาว วังกลางเป็นคนแจ้งเจตนารมณ์ให้เพิ่มชื่อลงไปเอง’

‘วังกลาง?!’ ซูอิ่นตะลึงงัน

‘น้องคิดว่าเพราะเหตุใดวังกลางจึงรู้เรื่องของหลานสาว’

ซูอิ่นไม่พูดแล้ว

ซูมู่เห็นน้องสาวไม่พูดก็ฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน ‘ตามความเห็นของข้า ซูหานสองบ้านไม่มีความสนิทสนมกับฝ่ายใน วังกลางยิ่งไม่เคยใส่ใจเรื่องภรรยาและบุตรของขุนนางต่างถิ่น ครั้งนี้น่าจะเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทเสียมากกว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง หลานสาวเข้าวังไม่เพียงไม่ใช่เรื่องไม่ดี เกรงว่ายังมีบุญวาสนาในภายภาคหน้า’

‘บุญวาสนาในภายภาคหน้าอะไร’

‘น้องลองคิดดู วังกลางเอ่ยปากออกมาด้วยตนเอง ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่สนใจใยดี ข้าคิดว่าเด็กคนนี้แปดเก้าส่วนจะต้องถูกรั้งให้อยู่ข้างกายวังกลาง วังกลางอุปนิสัยอ่อนโยนมีเมตตา ทั้งรู้ว่านี่คือบุตรคนเดียวของบ้านสกุลหาน จะต้องไม่ให้นางอยู่ในวังหลวงเป็นเวลายาวนานแน่นอน เกรงว่าผ่านไปไม่กี่ปีก็จะทรงเมตตาปล่อยนางกลับมา ถึงตอนนั้นเด็กคนนี้ก็มีความเกี่ยวพันสนิทสนมกับฮองเฮาแล้ว เวลามีแม่สื่อมาทาบทามไยมิใช่ยิ่งมีน้ำหนัก ถ้าเด็กคนนี้มีบุญวาสนามากอีกสักหน่อย นิสัยถูกคอกับวังกลางดี วังกลางเป็นคนเลือกคู่ครองให้นางด้วยตนเองก็ย่อมประเสริฐที่สุด คนที่ฮองเฮาทรงเลือกย่อมไม่อ่อนด้อย ทั้งยังมีความสัมพันธ์เช่นนี้อยู่ด้วย ครอบครัวสามีย่อมไม่กล้าข่มเหงนาง เด็กคนนี้ย่อมอยู่เย็นเป็นสุขร่ำรวยและมีฐานะสูงส่งไปชั่วชีวิต เมื่อเปรียบกับอนาคตของหลานสาวแล้ว การแยกจากกันเพียงไม่กี่ปีนี้ยังจะนับเป็นอะไรได้’

คำพูดของซูมู่ทำให้ซูอิ่นนิ่งเงียบไปเป็นนาน สุดท้ายนางก็เช็ดน้ำตาเบาๆ บอกกับบุตรสาวที่อยู่ในอ้อมแขน ‘ฉีซู่ ต้องเชื่อฟัง’

คำพูดของท่านลุงกล่าวสำหรับฉีซู่แล้วลึกซึ้งเกินไป คำพูดของท่านแม่ นางกลับเข้าใจง่ายกว่า แม้ฉีซู่จะไม่ค่อยรู้เรื่องวังหลวง แต่นางเข้าใจดี เด็กที่ว่าง่ายมักไม่ค่อยก่อเรื่องยุ่งยาก โดยเฉพาะในที่ที่มองไปทางใดก็ไม่มีญาติพี่น้องเช่นนี้

ฮองเฮาค่อนข้างพอพระทัยในความโอนอ่อนผ่อนตามของฉีซู่ จึงยิ่งดูแลเอาใจใส่นางมากขึ้น ไม่ได้ให้นางเข้ารับการฝึกฝนอบรมจากในวังหรือต้องทำงานทั้งวัน หน้าที่ของฉีซู่ดูเหมือนมีเพียงคอยอยู่เป็นเพื่อนยามวังกลางทรงมีเวลาว่างเท่านั้น

ยามว่างฮองเฮาทรงชอบที่จะอ่านหนังสือไม่ก็คัดลอกพระคัมภีร์อยู่ในห้องที่เงียบสงบ ฮ่องเต้เวลาไม่มีราชกิจก็จะเสด็จมาที่ตำหนักฮองเฮาเสมอ

ฮ่องเต้ปีนี้พระชนมายุสี่สิบห้าชันษา พระรูปโฉมสง่าภูมิฐานได้สัดส่วน แต่เค้าโครงใบหน้าชัดเจนกว่า พระฉวีก็ขาวกว่าคนทั่วไปสักหน่อย ฉีซู่นึกขึ้นมาได้ตอนเข้าวังใหม่ๆ เคยได้ยินคนในวังสนทนากัน ตอนไท่จงยังครองราชย์อยู่ ดินแดนภาคกลางเกิดความวุ่นวายยังไม่สงบ ส่วนชนเผ่าตี๋ทางภาคเหนือกลับแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เพื่อจะควบคุมชนเผ่าตี๋เหนือให้อยู่ในความสงบ ไท่จงจึงทรงสู่ขอธิดาของข่านแห่งชนเผ่าตี๋เหนือมาเป็นพระชายาเอกของพระโอรส ซึ่งก็คือพระมารดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ธิดาข่านแห่งตี๋เกิดจากมารดาชาวหรงตะวันตกที่ท่านข่านรับเป็นภรรยา นี่คือสาเหตุที่พระรูปโฉมของฮ่องเต้ไม่ค่อยคล้ายอดีตฮ่องเต้ทั้งหลาย

ฮ่องเต้มีสนมนับสิบ แต่ดูเหมือนพระองค์สมัครใจจะใช้เวลาอยู่กับฮองเฮามากกว่า ทั้งสองพระองค์มักถือม้วนหนังสือคนละม้วน อ่านไปเงียบๆ หลายชั่วยาม ฮ่องเต้ทรงเชี่ยวชาญการใช้พู่กันและหมึก บางครั้งก็จะขยับพู่กันเขียนอักษรให้ฮองเฮาวิพากษ์วิจารณ์ ฮ่องเต้และฮองเฮาในยามนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคู่สามีภรรยาทั่วไปที่รักใคร่กันดี ภาพเช่นนี้ฉีซู่เองก็รู้สึกคุ้นตาดี ทำให้นางนึกถึงภาพสมัยที่บิดาหานหล่างยังมีชีวิตอยู่มักจะอ่านหนังสือคัดตัวอักษรกับมารดา ขับกลอนและโต้ตอบกันด้วยบทกวี นางมักเฝ้ามองดูภาพนั้น มองจนใจลอย

ครั้งหนึ่งขณะฮ่องเต้กำลังฝึกเขียนตัวอักษรเห็นฉีซู่อยู่ข้างๆ จึงทรงกวักพระหัตถ์เรียกนาง

แต่ไรมาฮ่องเต้ทรงเคร่งขรึม ฉีซู่ค่อนข้างจะหวาดกลัว ถึงแม้ฮ่องเต้จะทรงอ่อนโยนต่อนางมาโดยตลอด นางยังคงไม่กล้าใกล้ชิดมาก จึงหลุบตาเดินเข้าไปหลายก้าว ก้มหน้ารอฟังรับสั่ง

“ได้ยินฮองเฮาบอกว่าเจ้าเคยเรียนหนังสือ”

“ท่านพ่อท่านแม่เคยสอนหม่อมฉันมาบ้างเพคะ”

ฮ่องเต้กลับนิ่งเงียบไป ผ่านไปครู่หนึ่งจึงยื่นพู่กันให้นาง “เขียนมาให้ข้าดูซิ”

ฉีซู่รับพู่กันมา หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ ก็เปลี่ยนมาใช้พู่กันอีกด้ามหนึ่ง แล้วเขียนตัวอักษรลงบนกระดาษขาวหลายบรรทัด นางคัดลอกพระคัมภีร์กับฮองเฮาอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้จึงเลือกข้อความหลายประโยคจากคัมภีร์ศาสนาพุทธมาเขียน ก่อนใช้สองมือประคองถวายฮ่องเต้ “หม่อมฉันเขียนได้ไม่ดีนัก”

ฮ่องเต้รับมา เห็นที่นางเขียนเป็นบทสวดในคัมภีร์ศาสนาพุทธ “ไม่มีอะไรจะสูงส่งลึกล้ำไปกว่าพระธรรมคำสอน ต้องผ่านทุกข์เข็ญร้อยพันหมื่นปีจึงได้มา วันนี้ข้ามีบุญวาสนาได้ฟังพระธรรมคำสอนก็จะตั้งใจบำเพ็ญเพียร มุ่งมั่นทำความเข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระยูไล*

ลายมือของนางยังคงเป็นลายมือแบบเด็กๆ แต่ก็พอมีเค้าของความสวยงามวิจิตรบรรจงให้เห็น ฮ่องเต้ทรงผงกพระเศียรเล็กน้อย คิดในใจว่าหานหล่างสั่งสอนบุตรสาวผู้นี้ด้วยความตั้งอกตั้งใจยิ่ง

ฉีซู่เห็นฮ่องเต้ไม่ตรัสอะไร ก็เข้าใจว่าตัวอักษรของตนคงไม่เข้าสายพระเนตรของฮ่องเต้ อดที่จะกังวลใจมิได้ ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงได้ยินฮ่องเต้ตรัสออกมาสองคำ “ใช้ได้”

หลังจากฝ่าบาทเสด็จออกจากตำหนักไป ฮองเฮาทรงดึงฉีซู่มาที่ข้างกาย ตรัสว่า “เจ้าอายุเท่านี้ก็เขียนอักษรออกมาได้สวยงามเช่นนี้ นับว่าไม่ง่ายแล้ว”

“หม่อมฉันใช่ทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยหรือไม่เพคะ” ฉีซู่นึกถึงพระพักตร์ที่เคร่งขรึมของฮ่องเต้แล้วรู้สึกกังวลไม่น้อย

ฮองเฮาแย้มพระสรวลน้อยๆ “ฝ่าบาทเพียงไม่รู้จะพูดจากับเจ้าอย่างไร” เห็นฉีซู่มีท่าทีงงงวย ฮองเฮาจึงตรัสต่อ “อย่าเห็นว่าฝ่าบาทท่าทางสุขุมน่าเกรงขาม ความจริงแล้วพระองค์ไม่เชี่ยวชาญการอยู่ร่วมกับผู้อื่นมากที่สุด กับข้าราชบริพารพระองค์สามารถใช้ท่าทางเคร่งขรึมปฏิบัติต่อพวกเขา รัชทายาทเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ เข้มงวดกวดขันสักหน่อยไม่เป็นไร แต่กับเจ้าซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ ฝ่าบาทก็ทรงไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรแล้ว ข้าเห็นฝ่าบาททรงอยากจะพูดคุยกับเจ้าให้มากหน่อย แต่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร เจ้าก็อย่าโกรธฝ่าบาทด้วยเรื่องนี้เลย”

* คำพูดเหล่านี้บูเช็กเทียนเป็นผู้เขียนขึ้นหลังจากขึ้นเป็นฮ่องเต้หญิงแล้ว

ฉีซู่ตื่นตระหนกตกใจเล็กน้อย “หม่อมฉันมิกล้า” นางชะงักนิ่งไป แล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “หม่อม…หม่อมฉันเป็นเพียงบ่าว” ฉีซู่ไม่โง่ ย่อมมองออกว่าฮ่องเต้และฮองเฮาทรงดีต่อนางเป็นพิเศษ ตนเป็นเพียงนางกำนัลธรรมดาคนหนึ่ง ความโปรดปรานเช่นนี้นางจะแบกรับอย่างไรไหว

ฮองเฮาทรงรั้งตัวนางเข้ามากอด “ฝ่าบาทกับข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นบ่าว”

ฉีซู่ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกฮองเฮา พระวรกายของฮองเฮามีกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้ฉีซู่คิดถึงมารดาของตน ไม่รู้ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง ใช่กำลังคิดถึงนางอยู่หรือไม่

“ข้าเคยมีลูกชายสองคน…” เสียงของฮองเฮาดังขึ้นเบาๆ อยู่เหนือศีรษะ “แต่ไม่เคยมีลูกสาวเลยสักคน”

ฉีซู่ไม่รู้ควรพูดอะไรหรือไม่ ยิ่งไม่รู้ควรพูดอะไรดี ได้แต่นิ่งฟังฮองเฮาตรัสต่อไปเงียบๆ

“แต่ลูกชายคนโตของข้า…” ในน้ำเสียงของฮองเฮามีความเศร้ารันทดใจอย่างลึกล้ำ “ข้าไม่มีวันได้เห็นเขาอีกแล้ว…”

ฉีซู่เคยได้ยินคนในวังพูดถึง ก่อนหน้ารัชทายาทหลี่เฉิงเพ่ย ฮ่องเต้กับฮองเฮาเคยมีพระโอรสองค์หนึ่ง ตอนนั้นฮ่องเต้ยังประทับอยู่วังตะวันออก เนื่องจากเป็นพระโอรสองค์โตของรัชทายาท ดังนั้นจึงไม่เพียงได้รับความรักและทะนุถนอมจากพระบิดาพระมารดา อดีตฮ่องเต้ที่ยังทรงครองราชย์อยู่ก็ทรงให้ความสำคัญอย่างมาก พอประสูติมาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นหวงไท่ซุน*

หวงไท่ซุนมีนามว่าหลี่เฉิงเฟิง เชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนู อดีตฮ่องเต้เห็นว่าเขาเก่งกล้าองอาจห้าวหาญ จึงมักให้เขาอยู่ข้างพระวรกายเสมอ กระทั่งรัชศกเจาอู่ปีที่ยี่สิบสาม เสด็จนำทัพไปทางตะวันตกครั้งที่สองก็พาเขาไปด้วย ใครเลยจะคาดคิดการศึกที่แม่น้ำสืออดีตฮ่องเต้จะประสบภัย เพื่อช่วยเสด็จปู่ หวงไท่ซุนถึงกับต่อสู้จนตัวตายในสนามรบ ปีนั้นเขาเพิ่งอายุเพียงสิบห้าปี

เรื่องนี้ทำให้รัชทายาทและพระชายา หรือก็คือฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ปัจจุบันเศร้าโศกเสียใจอย่างที่สุด เวลาผ่านมาจนถึงวันนี้ ในวังก็ยังไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงพระโอรสองค์โตที่สิ้นพระชนม์แต่ยังเยาว์วัยต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้และฮองเฮา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฮองเฮาก็เริ่มถือศีลกินเจ สวดมนต์คัดลอกพระคัมภีร์ อธิษฐานภาวนาให้พระโอรสองค์โตไปสู่สุคติในเร็ววัน

ฉีซู่นึกถึงสีหน้าที่อ่อนโยนและเศร้าสร้อยของฮองเฮายามคัดลอกพระคัมภีร์ศาสนาพุทธ อีกทั้งยามที่ทรงเอาม้วนคัมภีร์ที่คัดลอกเสร็จแล้วไปวางสักการะหน้าพระพุทธรูป ท่องบทสวดมนต์เสียงต่ำด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ในยามนั้นสตรีสูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้าก็เป็นเพียงมารดาคนหนึ่งเท่านั้น ฉีซู่เข้าใจในความเจ็บปวดอาดูรของนาง และเข้าใจดีว่าเพราะอะไรนางจึงรักและทะนุถนอมรัชทายาทเช่นนั้น

หลังจากหลี่เฉิงเพ่ยได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาท ก็ย้ายไปอยู่ตำหนักเซ่าหยาง วังตะวันออกตามราชประเพณี แต่เพราะฮองเฮาทรงไม่อาจตัดใจ เวลาส่วนใหญ่รัชทายาทจึงยังคงเข้าออกตำหนักฮองเฮา ฉีซู่จึงได้เห็นรัชทายาทแทบทุกวัน

รัชทายาทเป็นเด็กหน้าตาสะสวยที่สุดที่ฉีซู่เคยเห็นมา และน่าจะเป็นเด็กที่ได้รับการตามใจมากที่สุดด้วย เด็กชาวฮั่นในเมืองเจิ้นโจว ไม่ว่าหญิงหรือชาย พออายุได้แปดเก้าขวบก็ต้องช่วยครอบครัวทำงาน เด็กชายบ้างก็ช่วยทำไร่ไถนา บ้างก็ติดตามบิดาติดตามพี่ชายออกทะเลหาปลา เด็กหญิงก็ต้องหัดหุงหาอาหารปะชุนเสื้อผ้า แม้แต่บุตรชายหลายคนของท่านลุงที่อยู่ในเมืองหลวง ตั้งแต่อายุหกขวบก็ต้องเรียนหนังสือไปฝึกฝนขี่ม้ายิงธนูไปด้วย บุตรสาวนอกจากเชิญอาจารย์หญิงมาอบรมกิริยามารยาทของสตรี ยังต้องหัดเย็บปักถักร้อย ทำเครื่องหอม แต่รัชทายาทกลับต่างออกไป แม้ฝ่าบาทจะเชิญผู้มีวิชาความรู้มาให้ความสว่างด้านสติปัญญาแก่รัชทายาท แต่รัชทายาทกลับไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการเล่าเรียนสักเท่าไร วันๆ เอาแต่เล่นสนุกกับเหล่าข้าราชบริพาร

* หวงไท่ซุน คือตำแหน่งพระราชนัดดาที่สามารถขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์ได้

แรกเริ่มเดิมทีเพราะฉีซู่มาแบ่งเอาความรักความเอาใจใส่ของฮองเฮาไป หลี่เฉิงเพ่ยจึงไม่อยากสนใจนาง ทุกครั้งที่เห็นฉีซู่ ถ้าไม่แค่นเสียงฮึออกจมูก ก็จะมองข้ามไปโดยสิ้นเชิง ฉีซู่ไม่กล้าวอแวกับรัชทายาทผู้มีฐานะสูงส่ง มักจะทำความเคารพอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ถอยไปอยู่ด้านข้างเงียบๆ ไม่กล้าพูดมากแม้แต่คำเดียว

กระทั่งหลังจากนางเข้าวังมาได้หนึ่งปี หลี่เฉิงเพ่ยจึงได้เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อนาง

ตอนนั้นเป็นเดือนสามรัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบ ฮองเฮาจะทรงทำพิธีเซ่นไหว้เทพแห่งไหม พิธีเซ่นไหว้เทพแห่งไหมเป็นพิธีโบราณค่อนข้างจุกจิก นอกจากต้องจัดเตรียมข้าวของจำเป็นมากมายแล้ว ผู้ทำพิธียังต้องถือศีลกินเจก่อนห้าวัน ฮองเฮาสงสารฉีซู่ที่ยังเด็ก ไม่อยากบังคับกะเกณฑ์นาง จึงมีรับสั่งเป็นกรณีพิเศษให้นางไม่ต้องเข้าร่วมพิธี

หลังจากเข้ามาอยู่ในวัง วังกลางได้ให้คนจัดห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งให้ฉีซู่อยู่ตามลำพัง เวลาว่างไม่มีอะไรทำ ฉีซู่ก็จะอยู่ในห้องของตนฝึกเขียนพู่กันจีน ไม่ก็ทำงานเย็บปักถักร้อยเล็กๆ น้อยๆ ฮองเฮาถือศีลกินเจ นางจึงใช้เวลาไปกับการลอกแบบคัดตัวอักษร วันนี้นางกำลังคัดตัวอักษรอย่างจดจ่อ พลันได้ยินเสียงหน้าต่างถูกเปิดออก มีคนกระโดดเข้ามาจากด้านนอก ฉีซู่ตกใจมาก พอเพ่งมองจึงพบว่าผู้มาคือรัชทายาท

เสื้อคลุมผ้าดิ้นของหลี่เฉิงเพ่ยเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน ใบหน้าก็ไม่รู้มีรอยดำจากที่ใดติดอยู่หลายรอย ฉีซู่วางพู่กัน กำลังจะทำความเคารพเขา หลี่เฉิงเพ่ยกลับรีบโบกไม้โบกมือ พูดขึ้นเบาๆ “อย่าขยับ”

เขากวาดตามองไปทั่วห้อง สุดท้ายสายตาก็จับนิ่งไปที่หีบใบใหญ่ตรงมุมห้อง นัยน์ตาของเขาสว่างวาบขึ้น เดินตรงไปเปิดหีบ เอาของที่อยู่ข้างในโยนทิ้งไปทั่ว จากนั้นก็มุดเข้าไปแล้วปิดฝาหีบ ตอนแรกฉีซู่ก็ตกใจงุนงงทำอะไรไม่ถูก จากนั้นก็เข้าใจแล้ว รัชทายาทคงกำลังเล่นอะไรกับพวกนางกำนัลและคนรับใช้ในวัง นางเก็บของที่รัชทายาทโยนออกมาให้พอเป็นที่เป็นทาง จากนั้นก็กลับไปที่โต๊ะ หยิบพู่กันขึ้นมาคัดลอกตัวอักษรต่อ

นางกำนัลและคนรับใช้ในวังที่กำลังตามหารัชทายาทตอนเดินผ่านหน้าต่างห้องฉีซู่ ก็เห็นภาพฉีซู่กำลังตั้งอกตั้งใจเขียนตัวอักษร แต่ไรมาฉีซู่ได้รับความรักและเมตตาจากวังกลาง แต่ก็ไม่เคยวางตัวยโสโอหัง นางกำนัลและคนรับใช้ในวังส่วนใหญ่จึงดีต่อนาง พวกนางหัวเราะคิกคักอยู่นอกหน้าต่างผลักกันไปมาอยู่พักใหญ่ จึงเลือกได้คนหนึ่งเข้ามาเอ่ยถามฉีซู่ “แม่นางน้อยเห็นรัชทายาทหรือไม่”

ฉีซู่ไม่ชินต่อการพูดปด นางกลัวว่าถ้าพูดออกไปอาจเผยพิรุธ จึงสั่นศีรษะ เหล่านางกำนัลก็รู้ว่านางไม่ค่อยพูดจึงไม่เก็บมาใส่ใจ เพียงหัวเราะแล้วพากันเดินไปทางอื่น

รอพวกนางไปไกลแล้ว ฉีซู่จึงลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง แล้วเดินไปตรงหน้าหีบเอ่ยขึ้นเบาๆ “รัชทายาท พวกนางไปกันหมดแล้ว”

หลี่เฉิงเพ่ยผลักฝาหีบปึงออกมา “อึดอัดจะตายอยู่แล้ว”

เขารีบปีนออกมาจากในหีบ เกี่ยวม้วนอักษรม้วนหนึ่งออกมาด้วยโดยไม่ได้ตั้งใจ เขากำลังรีบร้อนจะก้าวขา เท้าข้างหนึ่งพลันเหยียบลงบนม้วนอักษร เท้าอีกข้างก็เตะม้วนอักษรออกไป ม้วนอักษรที่คลี่ออกไปเกี่ยวถูกมุมหีบ มีเสียงแควกขาดออกเป็นสองท่อนทันที

แม้เสียงจะเบามาก แต่กลับทำให้ฉีซู่สีหน้าแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง นางผลักหลี่เฉิงเพ่ยออก ตรงเข้าไปเก็บม้วนอักษรม้วนนั้นขึ้นมา

ตั้งแต่เกิดมาหลี่เฉิงเพ่ยยังไม่เคยถูกใครทำเช่นนี้มาก่อน จึงอดเดือดดาลไม่ได้ “บังอาจ! เจ้าช่าง…”

คำว่า ‘ขวัญกล้า’ สองคำสุดท้ายยังไม่ทันพูดจบ เขาก็คลายโทสะ แม้จะไม่พอใจ แต่เขาก็จำที่พระมารดาสั่งกำชับไว้ได้ว่าห้ามข่มเหงรังแกฉีซู่เด็ดขาด แม้เขาอยากด่าว่าแต่ก็ไม่มีความมั่นใจมากพอ จึงก้มหน้าลงมองฉีซู่ที่กำลังประคองม้วนอักษรขึ้นมา สองมือสั่นระริก หยาดน้ำตายิ่งไหลพรากและร่วงเผาะๆ

หลี่เฉิงเพ่ยอดลนลานขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าเป็นอะไรไป ข้า ข้า…ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้า เจ้า เจ้า…ต่อให้เจ้าไปฟ้องพระมารดา ข้า…ข้าก็ไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้น”

ฉีซู่ร้องไห้ไปพลางพูดไปพลาง “นี่เป็นแบบคัดลายมือที่ท่านพ่อของหม่อมฉันมอบให้หม่อมฉัน”

ม้วนอักษรม้วนนี้เป็นของหานหล่าง ตอนฉีซู่เพิ่งเริ่มฝึกคัดลายมือ หานหล่างได้เขียนตัวอักษรไว้กว่าหนึ่งพันตัว ให้บุตรสาวใช้ลอกแบบคัดตัวอักษร ตัวอักษรของหานหล่างมีท่วงทำนองเป็นของตนเอง ตอนนั้นอยู่ในเมืองหลวงก็มีชื่อเสียงโด่งดังว่าเป็นตัวอักษรที่งามสง่าเลิศล้ำ เรียกได้ว่าหาได้ยากยิ่ง สำหรับฉีซู่แล้ว ตัวอักษรม้วนนี้เป็นสิ่งล้ำค่าที่บิดาทิ้งไว้ให้ เมื่อเห็นแบบคัดลายมือสมบัติล้ำค่าของตนถูกหลี่เฉิงเพ่ยทำเสียหาย ฉีซู่ย่อมปวดใจเป็นที่สุด

หลี่เฉิงเพ่ยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ พอได้ยินว่าเป็นเพียงแบบคัดลายมือก็ไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ก็แค่ม้วนอักษร ให้พ่อของเจ้าเขียนให้ใหม่ก็แล้วกัน”

ฉีซู่ยิ่งร้องไห้เสียใจหนัก “ท่านพ่อของหม่อมฉัน…ไม่อยู่แล้ว…”

หลี่เฉิงเพ่ยเกาศีรษะ “เช่นนั้น…พรุ่งนี้ข้าจะเอาตัวอักษรที่พระบิดาของข้าเขียนมาชดใช้ให้เจ้า ได้กระมัง นั่นเป็นตัวอักษรที่ฮ่องเต้เขียนเชียวนะ ดีกว่าของเจ้าร้อยเท่า”

“หม่อม…หม่อมฉันไม่ต้องการ” ฉีซู่ร้องไห้สะอึกสะอื้น “หม่อมฉันเพียงต้องการของท่านพ่อเท่านั้น”

หลี่เฉิงเพ่ยแต่ไรมาก็เป็นคนเอาแต่ใจ ยากนักที่จะยอมอ่อนข้อให้เช่นนี้ ฉีซู่กลับไม่รู้จักดูทิศทางลม เขาเริ่มจะโมโหแล้ว “เจ้า…โธ่เอ๊ย เจ้านี่น่ารำคาญเสียจริง!” เขากระทืบเท้า ไม่อยากสนใจนางกำนัลที่ไม่รู้จักดีชั่วผู้นี้แล้ว แต่เพิ่งเดินไปถึงหน้าประตู เขาก็เดินย้อนกลับมาอีก พูดอย่างเสียหน้าเล็กน้อย “เอ่อ เจ้าเอาแบบคัดลายมืออะไรนั่นให้ข้า ข้าจะไปคิดหาหนทาง ดูว่าจะชดเชยให้เจ้าได้หรือไม่”

ฉีซู่เงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยน้ำตานองหน้า “จริงหรือ”

“ก็ต้องจริงสิ!” หลี่เฉิงเพ่ยบอกอย่างวางท่าใหญ่โต “ข้าเป็นรัชทายาท ผู้จะเป็นฮ่องเต้ในภายภาคหน้า กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ รู้หรือไม่”

เสียงร้องไห้ของฉีซู่ค่อยๆ เงียบลง นางเอาแบบคัดลายมือสองท่อนนั้นส่งให้หลี่เฉิงเพ่ยด้วยท่าทีกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย หลี่เฉิงเพ่ยรับมาแล้วก็เดินออกไป พอพ้นประตูจู่ๆ เขาก็หันกลับมาพูดกับฉีซู่ด้วยท่าทีจริงจัง “เจ้าไม่อาจบอกเรื่องนี้กับพระบิดาพระมารดาของข้า ถ้าข้าถูกทำโทษ ข้าก็จะไม่ชดใช้ให้เจ้าแล้ว”

 

หลี่เฉิงเพ่ยไม่กล้าเอาม้วนอักษรติดตัวไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ฮองเฮา จึงเดินถือกลับไปวังตะวันออกด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาเพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ คนในวังก็มารายงานว่าหัวหน้าหร่านขอเข้าเฝ้า

รัชทายาทถูกตามใจจนเคยตัว ฮ่องเต้ไม่ใช่ไม่ทรงสังเกตเห็น ด้วยเหตุนี้จึงทรงให้หร่านซวิ่น หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการรับตำแหน่งที่ปรึกษาในองค์รัชทายาทอีกตำแหน่งหนึ่ง ที่ปรึกษาทำหน้าที่คอยดูแลช่วยเหลือ ตักเตือนให้ความสว่างทางสติปัญญา หร่านซวิ่นความรู้ความสามารถเหนือผู้อื่น ทั้งทำงานควบสองตำแหน่งมาหลายปี ได้รับความเชื่อถือและเลื่อมใสจากผู้คน ที่ทำเช่นนี้ย่อมเพื่อให้เขาช่วยแนะนำจูงใจให้รัชทายาทสนใจร่ำเรียน เพียงแต่หลี่เฉิงเพ่ยติว่าหร่านซวิ่นที่มาจากบัณฑิตจิ้นซื่อ* เป็นพวกหัวโบราณคร่ำครึ ทั้งแอบเรียกเขาลับหลังว่า ‘ชั่วต้า’** ส่วนหร่านซวิ่นหลังจากเข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษา ทุกครั้งที่เข้าเฝ้ารัชทายาทก็จะต้องมีเรื่องมาแนะนำตักเตือน ยิ่งทำให้หลี่เฉิงเพ่ยอยากจะหลบลี้หนีหน้า

* จิ้นซื่อ เป็นคำเรียกบัณฑิตที่สอบรับราชการผ่านในระดับประเทศ

** ชั่วต้า เป็นคำศัพท์สมัยราชวงศ์ถัง หมายถึงปัญญาชนที่ยากจนคร่ำครึ

ทว่าเพราะฮ่องเต้เคยยกย่องฝีมือการเขียนพู่กันจีนของหร่านซวิ่นอย่างใหญ่โต ตรัสว่าเขาเป็นคนที่รู้จักหยิบยกข้อดีของผู้อื่นมาเสริมตนเองให้แข็งแกร่ง ครั้งนี้หลี่เฉิงเพ่ยจึงยินดีในการมาของเขามาก อดทนฟังคำชี้แนะตักเตือนของหร่านซวิ่นจนจบ จากนั้นหลี่เฉิงเพ่ยก็หยิบม้วนอักษรออกมา ถามเขาว่าจะเขียนอักษรแบบเดียวกันออกมาใหม่อีกแผ่นได้หรือไม่

หร่านซวิ่นเอาแบบคัดลายมือมาพิจารณาดูอย่างละเอียด แล้วประสานมือคารวะหลี่เฉิงเพ่ย “รัชทายาทโปรดอภัย เกรงว่ากระหม่อมจนปัญญาจะช่วยเหลือได้”

“แค่นี้ก็เขียนไม่ได้หรือ เสียแรงท่านเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญการเขียนพู่กันจีน!” หลี่เฉิงเพ่ยได้ยินคำตอบแล้วไม่พอใจ อดจะเอ่ยปากตำหนิออกมาไม่ได้

“รัชทายาท ถ้ากระหม่อมไม่ได้ดูผิด ม้วนอักษรนี้หานหล่างเป็นผู้เขียน ตัวอักษรของหานหล่างมีท่วงทำนองเฉพาะตัว มีรูปแบบของตนเอง ปีนั้นในเมืองหลวงฝีมือการเขียนพู่กันจีนของเขายอดเยี่ยมเหนือผู้อื่น ผู้คนยกย่องว่าเป็น ‘อักษรหาน’ ไม่ใช่คนทั่วไปจะลอกเลียนแบบได้” หร่านซวิ่นเป็นนักเขียนพู่กันจีนอยู่แล้ว พอเอ่ยถึงเรื่องเขียนพู่กันจีนจึงพูดเป็นน้ำไหลไฟดับ “กระหม่อมจำได้ตอนรองหัวหน้าหานอยู่เมืองหลวง ตัวอักษรที่เขียนจะใช้พู่กันเล็กบาง ตัวอักษรในม้วนอักษรนี้แม้เสน่ห์จะยังอยู่ แต่มีความอวบอิ่มเข้มแข็งมีพลังเพิ่มเข้ามาหลายส่วน ทั้งฮึกเหิมซ่อนคม และยิ่งงดงามมีท่วงทำนองแปลกใหม่ หรือจะเป็นตัวอักษรที่เขาเขียนขึ้นหลังไปจากเมืองหลวง คิดไม่ถึงว่าหลังจากหานหล่างถูกลดตำแหน่ง ยังคงมุมานะฝึกฝนไม่หยุด ในด้านสมาธิและศิลปะในการเขียนก็ก้าวหน้าขึ้น นับว่าน่าชื่นชมยิ่งนัก…”

“พูดไปพูดมา ท่านก็เขียนไม่ได้ใช่หรือไม่” หลี่เฉิงเพ่ยเกาศีรษะด้วยความหงุดหงิด “ข้ารับปากจะชดใช้ให้ผู้อื่น เฮ้อ รำคาญเสียจริง รำคาญเสียจริง!”

เห็นรัชทายาทร้อนรนใจเช่นนี้ หร่านซวิ่นก็เอ่ยปลอบใจขึ้นช้าๆ “กระหม่อมแม้จะไม่อาจเขียนตัวอักษรเช่นนี้ได้ แต่กระหม่อมพอจะรู้วิธีซ่อมแซมอยู่บ้าง อาจทำให้ม้วนอักษรนี้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้”

“จริงหรือ!” หลี่เฉิงเพ่ยทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ

“กระหม่อมไม่กล้าหลอกลวงรัชทายาท” หร่านซวิ่นยิ้มแล้วกล่าวต่อ “แม้กระหม่อมจะไม่ทราบว่าท่านไปได้ม้วนอักษรนี้มาจากที่ใด แต่ตัวอักษรของหานหล่างม้วนนี้พูดได้ว่ายอดเยี่ยมเลิศล้ำ ถ้าต้องเสียหายไปก็น่าเสียดายมาก กระหม่อมยินดีจะทุ่มเทความสามารถน้อยนิดที่มีอยู่ ให้ตัวอักษรของหานหล่างตกทอดสืบต่อไป”

“ดียิ่งนัก!” หลี่เฉิงเพ่ยดีใจจนตบมือไม่หยุด

“ทว่า…” หร่านซวิ่นเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ระยะนี้รัชทายาทดื้อรั้นเกินไป ฝ่าบาททรงพระทัยร้อนรุ่มเป็นไฟด้วยเรื่องนี้…”

“รู้แล้ว รู้แล้ว!” หลี่เฉิงเพ่ยกำลังอารมณ์ดีจึงรับปากเขาอย่างพอขอไปที “ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปข้าจะตั้งใจเรียนหนังสือ พอใจแล้วกระมัง”

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฉีซู่ก็รับม้วนอักษรจากมือของหลี่เฉิงเพ่ย นางพบว่าม้วนอักษรเชื่อมติดเข้าด้วยกันแล้ว ทั้งได้นำมาติดลงบนผ้าไหมสีขาวมีแกนไม้กลมอยู่หัวท้ายเรียบร้อย นอกจากตรงกลางม้วนอักษรจะมีรอยเป็นเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่งแทบมองไม่เห็นแล้ว ก็ไม่มีร่องรอยความเสียหายใดๆ อีก

หลี่เฉิงเพ่ยมองสีหน้าตื่นเต้นดีใจของฉีซู่แล้วก็เอ่ยด้วยท่าทีกระหยิ่มใจ “เป็นอย่างไร ข้าบอกแล้วว่าซ่อมให้ดีดังเดิมได้ ไม่ได้หลอกเจ้ากระมัง”

“ขอบ…ขอบพระทัยรัชทายาท” ฉีซู่ตื่นเต้นจนแทบจะพูดไม่เป็นคำ

“ไม่ต้องขอบใจ” หลี่เฉิงเพ่ยอิ่มอกอิ่มใจยิ่ง “แต่ถ้าเจ้ายืนกรานจะขอบใจล่ะก็ ข้าก็จะฝืนใจรับไว้ก็แล้วกัน เจ้าคงไม่รู้ เพื่อจะเกลี้ยกล่อมให้ชั่วต้าผู้นั้นยอมซ่อมแซมม้วนอักษรนี้ ข้าต้องท่องความเรียงยากๆ อย่างเชื่อฟังอยู่ตั้งหลายวัน”

“หม่อมฉัน…ไม่มีสิ่งของอะไรจะตอบแทนรัชทายาทได้” ฉีซู่หน้าม่อยคอตก รัชทายาทมีสิ่งใดไม่เคยเห็นบ้าง อย่าว่าแต่กระดาษทุกแผ่น สิ่งของทุกชิ้นรอบตัวนางก็ล้วนแต่วังกลางเป็นผู้ประทานให้

หลี่เฉิงเพ่ยเอียงคอนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะแล้วว่า “เรื่องนี้ง่ายมาก เจ้ามาเล่นเป็นเพื่อนข้าก็พอแล้ว”

“หม่อมฉัน…” ฉีซู่กัดริมฝีปาก “ในวังหลวงคนที่เป็นเพื่อนเล่นกับท่านได้มีมากมาย ขาดหม่อมฉันไปสักคนก็คงไม่เป็นไร”

“แล้วอย่างไร” หลี่เฉิงเพ่ยเอนกายลงบนตั่งอย่างผึ่งผาย “พวกนางเป็นเพียงนางกำนัล”

“หม่อมฉันก็เป็นนางกำนัลเช่นกัน”

หลี่เฉิงเพ่ยคล้ายไม่ได้ยินคำพูดของฉีซู่ เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นหนุนหัว “พระมารดาให้ข้าเห็นเจ้าเป็นน้องสาว นั่นช่างทำให้ข้าเสียเปรียบไปสักหน่อย เพราะเจ้ารูปร่างหน้าตาธรรมดาไปนิด แต่ข้าก็จะฝืนใจยอมรับเจ้าละกัน”

ฉีซู่ยิ่งก้มหัวลงต่ำมากขึ้น “หม่อมฉันโง่เขลา ทำให้รัชทายาทกริ้วอยู่เสมอ”

หลี่เฉิงเพ่ยปรายตามองนางแวบหนึ่ง “เจ้าโง่มากไม่ผิด แต่ข้าก็มีพี่น้องแค่ไม่กี่คน ถึงจะโง่ไปหน่อยก็ได้แต่ต้องยอมรับแล้ว”

ฉีซู่ไม่พูดอะไร เพียงเก็บม้วนอักษรเงียบๆ

หลี่เฉิงเพ่ยเห็นนางไม่พูด เข้าใจว่านางโกรธ จึงเอ่ยปลอบอย่างไม่อินังขังขอบเท่าใด “เอาล่ะๆ ต่อไปข้าจะไม่ว่าเจ้าโง่อีก พอใจแล้วกระมัง”

“หม่อมฉันโง่…”

“พอแล้วๆ ข้าก็บอกแล้วว่าต่อไปจะไม่ว่าเจ้าโง่อีก เจ้ามานั่งนี่ มานั่งคุยเป็นเพื่อนข้า” หลี่เฉิงเพ่ยวางมาดเป็นรัชทายาทออกคำสั่ง

ฉีซู่จำต้องเดินไปนั่งลงข้างกายเขา

หลี่เฉิงเพ่ยมองเพดานห้อง แล้วพูดจ้อ “เจ้ารู้หรือไม่ ความจริงข้ามีพี่ชายสองคน พี่ใหญ่เสียชีวิตตั้งแต่ข้ายังไม่เกิด ข้าไม่เคยเห็นหน้า พี่น้องอีกคนหนึ่งซูเฟย* เป็นผู้ให้กำเนิด เมื่อก่อนก็พูดไม่ได้ว่าสนิทสนมกันมาก แต่ในหนึ่งปีอย่างน้อยก็ยังได้เจอหน้ากันหลายครั้ง แต่เมื่อสองปีก่อนพระบิดาส่งเขาไปเป่ยฝู่** แม้แต่เขาข้าก็ไม่ได้เจอแล้ว เป่ยฝู่ เจ้ารู้จักหรือไม่”

ฉีซู่ผงกศีรษะ “หม่อมฉันทราบ นั่นเป็นสถานที่ก่อตั้งราชวงศ์”

* เฟย แปลว่าชายา คือภรรยาเจ้า ในตำหนักในของจีนมีศักดิ์รองจากฮองเฮา (อัครมเหสี) และกุ้ยเฟย (อัครชายา) บางสมัยอาจมีเฟยชั้นพิเศษ 4 ตำแหน่ง เรียกว่าสี่ราชชายา ลำดับศักดิ์สูงกว่าเฟยทั่วไป ในเรื่องนี้ซูเฟยนับเป็นหนึ่งในสี่ราชชายาคือ กุ้ยเฟย ซูเฟย เต๋อเฟย และเสียนเฟย

** เป่ยฝู่ เมืองชายแดนทางเหนือ เป็นที่ตั้งของมณฑลทหาร ปัจจุบันคือเมืองหยางโจว

เหล่าคนในวังที่คุ้นเคยกันดี บางครั้งบางคราวก็จะเอ่ยถึงพระโอรสที่เกิดจากพระสนมผู้นั้นบ้างเล็กน้อย ฉีซู่รู้ว่าเขาได้รับแต่งตั้งเป็นจิ้นอ๋อง รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการมณฑลทหาร

เป่ยฝู่เป็นสถานที่ก่อตั้งราชวงศ์ กอปรกับหลายปีมานี้ฮ่องเต้มีพระประสงค์จะใช้กำลังทหารกับชนเผ่าตี๋เหนือ ประตูสู่ภาคเหนือแห่งนี้จึงยิ่งมีความสำคัญมาก เพราะเหตุนี้ฮ่องเต้จึงทรงแต่งตั้งพระโอรสไปประจำการที่นั่นเพื่อเสริมความเข้มแข็งในการควบคุมทางภาคเหนือ ตอนแรกเพียงรับตำแหน่งไม่ได้ไปประจำการ กระทั่งจิ้นอ๋องอายุครบสิบสอง จึงเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่พร้อมขุนนางผู้ช่วยที่ฮ่องเต้ทรงคัดเลือกไว้

ฉีซู่มองหลี่เฉิงเพ่ยอย่างงงๆ ไม่รู้ควรพูดอะไรดี ตอนอยู่กับครอบครัวนางเป็นลูกโทน ไม่เคยแยกจากมารดาแม้ชั่วขณะ ยามบิดามีเวลาว่างก็ยินดีจะอยู่เป็นเพื่อนนาง ฮ่องเต้กับฮองเฮาแม้จะทรงรักใคร่รัชทายาท แต่ก็มักถูกเรื่องโน้นเรื่องนี้เกี่ยวพันไว้ มีเวลาอยู่กับรัชทายาทน้อยจนน่าสงสาร ฉีซู่อดเห็นใจรัชทายาทขึ้นมาไม่ได้ แม้เขาจะเป็นพระโอรสที่มีแต่คนรักและตามใจ แต่ความจริงแล้วกลับโดดเดี่ยวยิ่งนัก คิดมาถึงตรงนี้นางก็ไม่เก็บเรื่องไร้มารยาทต่างๆ ที่เมื่อก่อนรัชทายาทเคยทำมาใส่ใจอีก

“ความจริงหม่อมฉันก็เช่นกัน” นางเอ่ยเบาๆ “หม่อมฉันไม่มีพี่น้อง ท่านลุงท่านอาพี่น้องของท่านพ่อต้องพลอยเดือดร้อนเพราะท่านพ่อถูกลดตำแหน่ง ไม่ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งหลายปี จึงไม่อยากไปมาหาสู่กับพวกเราอีก ญาติผู้พี่ที่บ้านท่านลุงพี่ชายของท่านแม่กลับดีมาก แต่หม่อมฉันไร้วาสนา ได้อยู่ร่วมกับพวกเขาแค่ไม่กี่วัน แต่…เรื่องของหม่อมฉันไม่คู่ควรแก่การนำมาเปรียบเทียบกับรัชทายาท…”

นางไม่ได้ยินเสียงตอบ พอหันหน้าไปมอง ก็พบว่าหลี่เฉิงเพ่ยเอียงพับหลับไปบนตั่งแล้ว

ฉีซู่ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี แต่นางก็ไม่ได้ส่งเสียงรบกวนเขา ค่อยๆ เอาผ้าห่มปักลายคลุมให้เขา แล้วนั่งเฝ้าอยู่ข้างตั่ง นั่งอยู่ครู่หนึ่ง ความง่วงก็เริ่มจู่โจมเข้ามา นางจึงผล็อยหลับไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

หลี่เฉิงเพ่ยตื่นขึ้นมา เห็นฉีซู่ขดตัวนอนอยู่ข้างเท้าเขาราวกับลูกแมวตัวหนึ่ง จึงหัวเราะแล้วปลุกนางให้ตื่น “ลุกขึ้นๆ”

ฉีซู่ตกใจตื่น ถึงได้รู้ว่าตนถึงกับเผลอหลับไปต่อหน้ารัชทายาท นี่เป็นเรื่องเสียมารยาทอย่างมาก นางรีบหมอบลงกับพื้น “รัชทายาทโปรดอภัยโทษ”

หลี่เฉิงเพ่ยกลับมีท่าทีงงงวย “อภัยโทษอะไรกัน เจ้าทำอะไรหรือ”

ฉีซู่พูดติดๆ ขัดๆ “หม่อม…หม่อมฉัน…”

หลี่เฉิงเพ่ยตบมือหัวเราะลั่น “ตัวเจ้าเองยังไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิด แล้วข้าจะอภัยโทษเจ้าได้อย่างไร ลุกขึ้นมาเถิด”

เขาดึงฉีซู่ให้ลุกขึ้นมา

ฉีซู่ยืนขึ้น เดินตามหลังหลี่เฉิงเพ่ยไปทุกฝีก้าว หลี่เฉิงเพ่ยหยิบจับข้าวของในห้องของนางอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็มองท้องฟ้า แล้วย่นหัวคิ้ว “แย่แล้ว ข้าแอบออกมาหาเจ้า คิดไม่ถึงว่าจะเผลอหลับอยู่ที่นี่เสียนาน ป่านนี้คนอื่นๆ คงกำลังเที่ยวตามหาข้าไปทั่วแน่แล้ว”

ฉีซู่ได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจแทนเขาขึ้นมา “วังกลางคงร้อนพระทัย รัชทายาทรีบกลับไปเถิด”

“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” หลี่เฉิงเพ่ยเอ่ย “กลับไปตอนนี้ต้องโดนพระมารดาดุว่าแน่ อีกอย่างเจ้ายังไม่ได้เล่นเป็นเพื่อนข้าเลย”

“แต่ว่าวังกลาง…”

หลี่เฉิงเพ่ยตัดบทนางอย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง อย่างมากข้าก็หาที่หลบอีกสักพัก หลบจนตะวันตกดินพระมารดาก็ไม่สนใจจะดุว่าข้าแล้ว เจ้าเชื่อหรือไม่ ถึงตอนนั้นข้าค่อยกลับไป พระมารดาก็จะเอาแต่กอดข้าร้องไห้แล้ว”

ฉีซู่ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ แต่ขัดที่ฐานะของรัชทายาท นางจึงไม่กล้าโต้แย้งใดๆ

หลี่เฉิงเพ่ยกลับเห็นว่าความคิดนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก เขาคว้ามือฉีซู่ “ไป ข้าจะพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง รับรองพวกเขาไม่มีทางหาข้าเจอ”

 

ฉีซู่แหงนมองกำแพงสูงที่ก่อจากดินที่อัดแน่นด้วยความหวั่นหวาด

หลี่เฉิงเพ่ยนั่งคร่อมอยู่บนกำแพง ยื่นมือมาให้นาง “มา ข้าจะดึงเจ้าขึ้นมา”

“กำแพงสูงเกินไป…หม่อม…หม่อมฉันกลัว…”

“นี่ยังจะว่าสูง ในวังหลวงแห่งนี้จะหากำแพงที่เตี้ยกว่านี้ไม่มีแล้ว ไม่เป็นไรๆ กำแพงที่สูงกว่านี้ข้าก็ปีนมาแล้ว มา จับมือข้าไว้”

ฉีซู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงรวบรวมความกล้าจับมือหลี่เฉิงเพ่ยไว้แน่น หลี่เฉิงเพ่ยเริ่มฝึกวรยุทธ์แล้ว พลังแขนจึงมีไม่น้อย พอออกแรงก็ดึงฉีซู่ขึ้นไปบนสันกำแพงได้จริงๆ หลังจากขึ้นไปนั่งอยู่บนกำแพงฉีซู่ก็ตกใจกลัวจนไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย นางจับแขนเสื้อหลี่เฉิงเพ่ยเนื้อตัวสั่นไม่หยุด

หลี่เฉิงเพ่ยปลอบใจนาง “ไม่ต้องกลัวๆ เจ้าดูสิเราขึ้นมาได้แล้วมิใช่หรือ ประเดี๋ยวลงไปอีกด้านของกำแพงก็หมดเรื่องแล้ว แต่ต้องระวังสักหน่อย ถ้าทำกำแพงพังทลายลงไปล่ะก็ต้องยุ่งยากใหญ่แน่”

หลี่เฉิงเพ่ยกระโดดลงพื้นอย่างคล่องแคล่วแล้วยื่นมือมาทางฉีซู่ “กระโดดเถิด ข้ารอรับเจ้าอยู่”

ฉีซู่กัดฟันแล้วหลับตา กระโดดลงมาที่พื้นจริงๆ ก่อนจะตกถึงพื้น หลี่เฉิงเพ่ยก็ยื่นมือมาประคอง ช่วยรับนางลงสู่พื้นอย่างมั่นคง

หลี่เฉิงเพ่ยยิ้มกริ่มแล้วว่า “เจ้าเห็นหรือยัง ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นไร”

ฉีซู่สงบสติอารมณ์ได้แล้ว จึงเริ่มมองสำรวจสถานที่ที่ตนอยู่ในเวลานี้ เห็นชัดว่านี่เป็นวังอีกแห่งหนึ่งที่ดูแตกต่างจากวังตะวันออก ตัวเรือนต่างๆ ผ่านการดูแลรักษาอย่างพิถีพิถัน ต้นไม้ดอกไม้ในลานก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี มีเสียงบรรเลงดนตรีประกอบการร่ายรำดังมาจากด้านในของวัง

“นี่คือสถานที่อะไร” นางเอ่ยถามเบาๆ

หลี่เฉิงเพ่ยยิ้มมีเลศนัย “เข้าไปแล้วเจ้าก็จะรู้เอง แต่เราต้องระวังตัวหน่อย ถูกจับได้ล่ะก็…”

ขณะเขากำลังพูดอยู่นั่นเอง เสียงเจือความประหลาดใจของสตรีก็ดังขึ้น “รัชทายาท”

ฉีซู่หันมองไปตามเสียง เห็นสตรีวัยกลางคนแต่งกายในชุดนางกำนัลชั้นสูงผู้หนึ่งยืนอยู่บนระเบียง สตรีนางนั้นหัวคิ้วขมวดมุ่นน้อยๆ เห็นชัดว่าไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพวกนาง

หลี่เฉิงเพ่ยแลบลิ้น เอามือลูบศีรษะยิ้มอย่างขัดเขิน “อาเจี่ยน ถูกเจ้าจับได้อีกแล้ว…”

“รัชทายาททรงซุกซนอีกแล้ว” สตรีนางนั้นแม้จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิ ทว่ามุมปากกลับเจือรอยยิ้ม

หลี่เฉิงเพ่ยยิ้มประจบแล้วว่า “ข้า…ความจริงข้าตั้งใจมาเยี่ยมอาเวิง* โดยเฉพาะ”

สตรีนางนั้นมีท่าทีอับจนปัญญา ก่อนถอนใจเบาๆ “รัชทายาทโปรดตามข้ามา”

เด็กสองคนเดินตามหลังสตรีผู้นั้นไปยังทิศทางที่มีเสียงดนตรีประกอบการร่ายรำดังมา หลังจากเดินผ่านระเบียงวนยาว ทั้งสามคนก็มาถึงด้านนอกตำหนักข้างหลังหนึ่ง เมื่อเสียงดนตรีอยู่ใกล้แค่ลัดนิ้วมือเดียวแล้ว สตรีนางนั้นก็กล่าวขออภัยต่อหลี่เฉิงเพ่ย ก่อนจะเข้าไปในตำหนักก่อน ครู่เดียวก็มีสตรีอีกคนหนึ่งออกมาจากในตำหนัก ค้อมตัวทำความเคารพหลี่เฉิงเพ่ย “ไท่ซั่งหวง** เชิญรัชทายาทเข้าไปเพคะ”

* อาเวิง เป็นคำเรียกผู้ชายสูงอายุ มีความหมายหลากหลายทั้งปู่ พ่อตา และพ่อสามี

** ไท่ซั่งหวง หมายถึงอดีตฮ่องเต้ที่สละราชบัลลังก์ให้โอรสของตนหรือก็คือบิดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เป็นผู้ที่ฮ่องเต้เคารพยำเกรง

ฉีซู่ได้ยินหลี่เฉิงเพ่ยเรียก ‘อาเวิง’ ก็พอจะคาดเดาได้แล้วสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่อะไร คำว่า ‘ไท่ซั่งหวง’ ที่สตรีผู้นี้เอ่ยออกมาก็ยิ่งยืนยันว่าความคิดของนางถูกต้อง…ที่นี่คือที่ประทับของไท่ซั่งหวง

ไท่ซั่งหวงหลี่เหยียนชิ่ง ในวัยหนุ่มองอาจห้าวหาญเหนือใคร คุณูปการในการสู้รบโดดเด่นยิ่ง หลังสละราชสมบัติ ไท่ซั่งหวงก็ไม่ก้าวก่ายราชกิจอีก และเพราะฮ่องเต้ปรนนิบัติเลี้ยงดูอย่างดีเยี่ยม วันทั้งวันพระองค์จึงหลงใหลเคลิบเคลิ้มอยู่กับการชมการขับร้องร่ายรำเสียเลย

ตอนอยู่ด้านนอกตำหนักฉีซู่ก็ได้ยินเสียงดนตรีบรรเลงเพลง ‘นกขมิ้นเพรียกร้องในฤดูใบไม้ผลิ’* พอเข้าไปข้างในก็ไม่ผิดจากที่คิด นักดนตรีหลายคนนั่งคุกเข่าอยู่ในตำหนัก บ้างอุ้มพิณผีผา** บ้างก็เป่าขลุ่ยตี๋*** บ้างก็เป่าเซียว**** …ถัดออกไปไม่ไกล มีนางรำหลายคนกำลังร่ายรำอย่างสวยงาม ตรงใจกลางนางกำนัลชั้นสูงผู้ปรนนิบัติแยกย้ายกันอยู่สองด้านของตั่งเตี้ยตัวยาว บนตั่งเตี้ยมีผู้สูงวัยคนหนึ่งเอนนอนอยู่ ชมการร่ายรำด้วยท่าทางคล้ายหลับคล้ายไม่หลับ คิดว่าคงจะเป็นไท่ซั่งหวง

ไท่ซั่งหวงแม้เส้นพระเกศาจะเป็นสีเทาขาวแล้ว แต่พระวรกายยังคงสูงใหญ่ล่ำสัน พระองค์ไม่ได้สวมพระมาลา เพียงรวบพระเกศาแล้วปักด้วยปิ่นทองคำอันเดียว ด้านในสวมเสื้อคลุมยาวคอกลมผ้าดิ้นสีเรียบๆ ด้านนอกคลุมเสื้อคลุมจีนตัวใหญ่คอกว้างตัดเย็บด้วยผ้าดิ้นสีเขียวอมดำ เห็นชัดว่าหลังจากสละราชย์ การแต่งพระองค์ของไท่ซั่งหวงก็ยึดความสบายเป็นสำคัญ

พอเข้ามาในตำหนัก ฉีซู่ก็ก้มลงหมอบกราบ ผิดกับหลี่เฉิงเพ่ยที่เพียงร้องทักด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายออกมาคำหนึ่ง “อาเวิง”

สายพระเนตรของไท่ซั่งหวงเบนมาเล็กน้อย หลังจากหยุดนิ่งอยู่ที่ร่างหลี่เฉิงเพ่ยอึดใจหนึ่ง ก็เลื่อนสายตากลับไปที่ร่างนางรำ ครู่ใหญ่จึงแค่นเสียงฮึออกมา “เหตุใดจึงมาอีกแล้ว”

พระสุรเสียงของไท่ซั่งหวงทุ้มต่ำแก่ชรา แม้น้ำเสียงจะคล้ายเบื่อหน่าย ฉีซู่กลับรู้สึกว่าความจริงแล้วไท่ซั่งหวงดีใจมากกับการมาเยือนของหลานชาย

หลี่เฉิงเพ่ยคร้านจะตอบคำถามนี้ เขาปีนขึ้นไปนั่งบนตั่งยาวที่ไท่ซั่งหวงประทับอยู่ เห็นในถาดทองข้างกายเสด็จปู่มีขนมอบต่างๆ กองอยู่ไม่น้อย จึงหยิบขึ้นมาสองชิ้น โยนให้ฉีซู่ชิ้นหนึ่ง เขาเองก็กัดกินอีกชิ้นหนึ่งอย่างไม่มีท่าทีจะเกรงใจ

หลี่เฉิงเพ่ยกำเริบเสิบสานเช่นนี้ ไท่ซั่งหวงกลับไม่ได้ทรงตำหนิ ทรงชายพระเนตรมายังฉีซู่ที่ยืนถือขนมอบอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง แล้วหันไปตรัสกับหลี่เฉิงเพ่ย “เหตุใดวันนี้จึงพาเด็กหญิงตัวน้อยมาด้วย” หันมาทอดพระเนตรฉีซู่อีกครั้ง แล้วเสริมขึ้นอีกประโยค “ทั้งยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่รูปโฉมธรรมดาคนหนึ่ง”

ฉีซู่คิด ท่วงทำนองการพูดการจาของไท่ซั่งหวงกลับคล้ายกันมากกับรัชทายาท

หลี่เฉิงเพ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจโดยสิ้นเชิง “ข้าชอบ ท่านจะทำไม”

* นกขมิ้นเพรียกร้องในฤดูใบไม้ผลิ (ชุนอิงจ้วน) เป็นบทเพลงที่แต่งขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง

** พิณผีผา เป็นเครื่องดนตรีจีนประเภทเครื่องดีด 4 สาย จำพวกเดียวกับกีตาร์ ทำจากไม้ รูปทรงเลียนอย่างลูกผีผา (มะปรางจีน)

*** ตี๋ คือขลุ่ยผิวชนิดหนึ่ง เป่าแนวขวาง มีรูเยื่อไผ่ เสียงแหลมกังวานไกล

**** เซียว เป็นขลุ่ยโบราณชนิดหนึ่งของจีน ลักษณะคล้ายฟลุต เป่าแนวตั้ง ให้เสียงทุ้มต่ำเศร้าสร้อย ต่างจากขลุ่ยผิวที่ให้เสียงกระจ่างใส

ไท่ซั่งหวงยิ้มหยัน “เป็นเจ้าหนูที่ความชื่นชอบผิดแปลกนัก เด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้ทั้งผอมทั้งเหลือง ไหนเจ้าลองบอกมาซิ ชอบนางตรงที่ใด”

“ข้า…” หลี่เฉิงเพ่ยจนคำพูดไปชั่วขณะ ความจริงเขาก็ไม่ได้ว่าจะชอบฉีซู่สักเท่าไร อีกทั้งปกติเขาก็มักเหน็บแนมเรื่องรูปร่างหน้าตาของนางอยู่เสมอ เพียงแต่เวลานี้มาได้ยินเสด็จปู่ประเมินฉีซู่ต่ำ เขากลับไม่ชอบใจขึ้นมา คล้ายว่านอกจากตัวเขาเอง คนอื่นไม่อาจบอกว่านางไม่ดี เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอก “พ่อของนางร้ายกาจมาก”

“อ้อ” ไท่ซั่งหวงทรงพระสรวล เข้าพระทัยดีว่าหลานชายต้องการจะปกป้องคนของตน แต่กลับหาข้อดีของเด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้ไม่ได้ จำต้องยกท่านพ่อของนางมาอ้าง

หลี่เฉิงเพ่ยเห็นท่านปู่ไม่เชื่อ จึงยิ่งคุยโต “หลายวันก่อนข้าเอาตัวอักษรที่พ่อของนางเขียนไปให้หัวหน้าหร่านดู ชั่วต้าผู้นั้นปกติดวงตางอกอยู่บนศีรษะ แต่ไรมาก็ใช้จมูกมองคน วันนั้นถึงกับชมเชยพ่อของนางเสียใหญ่โต ท่านว่านี่ยังไม่ร้ายกาจอีกหรือ”

ไท่ซั่งหวงร้องอ้ออีกคำ กลับคล้ายรู้สึกสนพระทัยขึ้นมา ก่อนตรัสถามเขา “พ่อของนางชื่ออะไรสกุลอะไร เป็นขุนนางตำแหน่งอะไรในราชสำนัก”

“ชื่อ…ชื่อ…” หลี่เฉิงเพ่ยจำไม่ได้ จึงหันไปถามฉีซู่ “พ่อของเจ้าชื่ออะไรนะ”

ฉีซู่จึงเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อสกุลหาน มีนามว่าหล่าง”

ไท่ซั่งหวงส่งเสียงอ้อหนักๆ ออกมาคำหนึ่ง “เป็นเขา”

ฉีซู่รวบรวมความกล้าทูลถาม “ไท่ซั่งหวงทรงรู้จักบิดาของหม่อมฉันหรือเพคะ”

“บัณฑิตจิ้นซื่อในรัชศกเจาอู่ปีที่สิบเจ็ด เป็นถึงขุนนางตำแหน่งรองหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ ถ้าไม่ได้ถูกลดขั้น น่าจะได้เป็นเสนาบดีไปนานแล้ว…” ไท่ซั่งหวงนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วตรัสถาม “เขากลับมาเมืองหลวงแล้วหรือ”

“บิดาของหม่อมฉันถึงแก่กรรมที่เมืองเจิ้นโจวเมื่อปีที่แล้วเพคะ”

“ก็จริง” หลังจากไท่ซั่งหวงมองประเมินนางอีกครั้งก็ตรัสเสียงราบเรียบ “หานหล่างกลับเมืองหลวงต้องได้เป็นเสนาบดีแน่นอน แล้วบุตรสาวของเขาจะตกต่ำมาเป็นนางกำนัลได้อย่างไร”

ฉีซู่ถูกคำพูดของเขาทิ่มแทงใจจนเจ็บปวด จึงได้แต่นิ่งเงียบ

“ดูเหมือนพ่อของเจ้าก็ไม่เท่าไรกระมัง” หลี่เฉิงเพ่ยผิดหวังยิ่ง

“เจ้าอย่าดูเบาเขา” ไท่ซั่งหวงกลับจ้องหลี่เฉิงเพ่ยก่อนเอ่ยต่อ “พ่อของเจ้าถือเป็นคนที่มีดวงตางอกอยู่บนศีรษะตัวจริง คนที่พ่อเจ้าสนับสนุน มีหรือจะไม่มีความรู้ความสามารถ เพียงแต่พ่อของเจ้าฉลาดมาทั้งชีวิต กลับเลอะเลือนไปชั่วขณะ เข้าใจว่าหานหล่างได้รับการประคับประคองจากตน ก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งตนอย่างเคร่งครัด หานหล่างสติปัญญาความสามารถไม่เลว และไม่ใช่คนไม่รู้จักบุญคุณ มิหนำซ้ำเขายังเป็นบุรุษผู้มีคุณธรรมคนหนึ่ง คนเช่นนี้จะให้เขาไปทำเรื่องลับๆ ล่อๆ หน้าซื่อใจเหี้ยมได้อย่างไร เสียดายพ่อของเจ้านึกอยากจะแสดงฝีมือกลับกลายเป็นทำเรื่องโง่เขลา คนที่มีความรู้ความสามารถยอดเยี่ยมเป็นเสนาบดีได้คนหนึ่ง กลับต้องมาสูญเปล่าไปเพราะพ่อเจ้าแท้ๆ”

ฉีซู่รู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่ง นางไม่กล้าถามท่านพ่อท่านแม่ถึงเรื่องราวในอดีต อย่างมากก็ได้แต่คาดเดาอยู่ในใจ คำพูดของไท่ซั่งหวงในครั้งนี้ทำให้นางรู้สึกว่านางเข้ามาใกล้ความจริงของเรื่องราวแล้ว นางยังอยากถามอะไรต่อ กลับได้ยินหลี่เฉิงเพ่ยเอ่ยเสียงดัง “ดนตรีและการร่ายรำนี่น่าเบื่อมาก เปลี่ยนใหม่ๆ”

รัชทายาทออกปาก นักดนตรีกับนางรำจำต้องหยุด รอฟังรับสั่งของไท่ซั่งหวง ไท่ซั่งหวงทรงโบกพระหัตถ์ พวกนางจึงล่าถอยออกไปนอกตำหนักเงียบๆ จากนั้นไท่ซั่งหวงจึงตรัสกับหลี่เฉิงเพ่ยอย่างไม่พอพระทัยนัก “มาทีไรก็ก่อกวนจนตำหนักข้าวุ่นวายโกลาหล ไม่ดูแล้ว”

หลี่เฉิงเพ่ยเฉลียวฉลาดมีไหวพริบปฏิภาณ เขาขยับเข้าไปชิดไท่ซั่งหวง ยิ้มบางแล้วว่า “ข้ารู้อาเวิงไม่โกรธหรอก ใช่หรือไม่”

ไท่ซั่งหวงไม่ตอบ หลับตาแสร้งทำเป็นหลับ

หลี่เฉิงเพ่ยกอดพระเพลาไท่ซั่งหวงเล่นลูกไม้อย่างหน้าด้านๆ “ข้าไม่สนใจๆ ถ้าท่านโกรธ คืนนี้ข้าก็จะนอนอยู่ที่นี่ แล้วจะบ้วนน้ำลายลงบนเตียงท่านด้วย”

ไท่ซั่งหวงทนเขารบเร้าเซ้าซี้ไม่ไหว จำต้องลืมตาขึ้นมาแย้มพระสรวลด่าว่า “พ่อของเจ้ารู้จักรุกรู้จักถอยดี เหตุใดจึงให้กำเนิดเจ้าที่หน้าด้านไม่รู้จักอายได้”

หลี่เฉิงเพ่ยหัวเราะขึ้น เผยให้เห็นฟันขาวสะอาดเต็มปาก “ยิ้มไปด่าไป เช่นนี้คงไม่โกรธแล้ว” เขากระโดดลงไปที่พื้น ดึงมือฉีซู่พลางบอก “เย็นแล้ว เราควรกลับได้แล้ว”

ไท่ซั่งหวงไม่ได้ตรัสอะไรอีก เพียงโบกมือไล่พวกเขาสองคน

แต่เมื่อเด็กสองคนจูงมือกันเดินไปถึงหน้าประตู ไท่ซั่งหวงพลันตรัสขึ้น “เจ้ามาคราวหน้าก็พาเด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้มาด้วย ข้ามีคำพูดบางอย่างจะถามนาง”

“รู้แล้วๆ” หลี่เฉิงเพ่ยโบกมือให้เสด็จปู่อย่างไม่ใคร่ใส่ใจ

“หานหล่างหรือ…” หลังจากเด็กสองคนไปแล้ว ไท่ซั่งหวงก็พึมพำกับองค์เอง สุดท้ายก็มองบานประตูสองข้างที่เปิดอยู่แล้วทอดถอนพระทัยเบาๆ

นอกประตูดวงตะวันสีแดงค่อยๆ คล้อยต่ำลง ทิ้งลำแสงสีแดงดุจโลหิตไว้ที่ก้อนอิฐสี่เหลี่ยมของตำหนักหลังใหญ่จางๆ

บทที่สอง

 

กว่าฉีซู่จะได้พบไท่ซั่งหวงอีกครั้ง ก็เป็นเวลาเนิ่นนานให้หลัง

ถึงตอนนั้นไท่ซั่งหวงก็ไม่ตรัสถึงเรื่องที่อยากจะถามนางอีก… ผู้สูงศักดิ์เยี่ยงพระองค์ คงจะลืมคนเช่นฉีซู่ไปนานแล้ว ใช่ว่าหลี่เฉิงเพ่ยไม่รักษาคำพูด ไม่ยอมพาฉีซู่ไปพบไท่ซั่งหวง หากแต่เพราะหลี่เฉิงเพ่ยเองหลังจากวันนั้นก็มีเรื่องวุ่นวายต่างๆ นานา แทบไม่มีโอกาสได้ไปเข้าเฝ้าเสด็จปู่อีก

ตอนหลี่เฉิงเพ่ยพาฉีซู่ออกมาจากวังตะวันตกที่ไท่ซั่งหวงประทับอยู่ ผู้คนในวังหลวงทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่ก็ตามหารัชทายาทแทบจะพลิกแผ่นดินแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้ก็ทรงทราบเรื่องนี้ เรื่องราวไม่ได้เป็นไปตามที่หลี่เฉิงเพ่ยคาดการณ์ไว้ ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยในพฤติกรรมต่างๆ ที่ไม่เหมาะสมของรัชทายาทมานาน ครั้งนี้จู่ๆ ก็หายตัวไปโดยไม่มีสาเหตุจึงทำให้ฮ่องเต้ยิ่งกริ้วหนัก ฮ่องเต้ทรงตำหนิหลี่เฉิงเพ่ยอย่างรุนแรง และลงโทษกักบริเวณห้ามเขาออกจากวังตะวันออกเป็นเวลาหนึ่งเดือน

รัชทายาทเพราะต้องการจะเอาม้วนอักษรมาให้นางจึงได้แอบหนีออกมา เขาต้องถูกลงโทษด้วยเรื่องนี้ ทำให้ฉีซู่รู้สึกผิดอย่างมาก แต่นางรู้ตนฐานะต่ำต้อย ไม่มีคุณสมบัติพอจะทูลขอความเมตตาจากฮ่องเต้ ได้แต่อธิษฐานต่อพระพุทธองค์ทุกวันตอนสวดมนต์ไหว้พระกับฮองเฮา หวังว่าฮ่องเต้จะทรงให้อภัยรัชทายาทในเร็ววัน ฮองเฮาเห็นฉีซู่สวดมนต์ไหว้พระด้วยความเคารพเลื่อมใสก็ยิ่งพอพระทัยในตัวนางมากขึ้น แม้ในตอนแรกฮ่องเต้จะทรงมีพระดำริจะรับเลี้ยงฉีซู่ แต่ฮองเฮากลับทรงรู้สึกว่าไม่สมควรทำอะไรลวกๆ เกินไป จึงให้นางเป็นนางกำนัลทั่วไประยะหนึ่งก่อน นับแต่ฉีซู่เข้าวังมา ฮองเฮาก็ทรงเฝ้าสังเกตดูนางมาโดยตลอด หนึ่งปีมานี้ฉีซู่เฉลียวฉลาดน่ารักน่าเอ็นดู ทำให้ฮองเฮาทรงถูกอกถูกใจอย่างยิ่ง และเป็นฝ่ายเอ่ยปากกับฮ่องเต้ จะเลือกวันดีรับฉีซู่เป็นบุตรีบุญธรรม ฮ่องเต้ทรงประสงค์เช่นนั้นอยู่แล้วจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทรงยินยอม

เรื่องรับบุตรีบุญธรรมฮ่องเต้และฮองเฮาต่างไม่ต้องการให้เป็นที่สนใจของผู้อื่น จึงไม่คิดจะจัดพิธีใหญ่โต เพียงให้ฉีซู่กราบฮองเฮา และจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ขึ้นที่ตำหนักฮองเฮาในค่ำคืนนั้นก็เป็นอันเสร็จพิธี

ฮ่องเต้เสด็จมาร่วมงานเลี้ยงเป็นกรณีพิเศษ

ยามอยู่ต่อหน้าฉีซู่ ฮ่องเต้ยังทรงมีท่าทีเคร่งขรึมระมัดระวังอย่างเห็นได้ชัด ดีที่ฮองเฮาทรงทราบว่าฉีซู่ชอบเขียนพู่กันจีน จึงเจตนาสนทนาถึงเรื่องศิลปะการเขียนพู่กันจีน ไม่ผิดจากที่คาดหมาย พอเอ่ยถึงเรื่องเขียนพู่กันจีน ฮ่องเต้ก็ทรงมีเรื่องให้ตรัสมากขึ้น พระองค์ทรงวิพากษ์วิจารณ์นักเขียนพู่กันจีนที่มีชื่อเสียงอยู่ในเวลานี้ได้สั้นกระชับและตรงจุดสำคัญทุกคน ทำให้ฉีซู่ได้รับประโยชน์ไม่น้อย อีกทั้งนางก็เป็นคนที่เพียงอธิบายเล็กน้อยก็เข้าใจกระจ่างแจ้ง ไม่นานก็มีถามมีตอบกับฮ่องเต้ขึ้นมา

ฉีซู่เห็นฮ่องเต้เบิกบานพระทัย ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าทูลขอความเมตตาจากฮ่องเต้ให้รัชทายาทมาร่วมงานเลี้ยง ฮ่องเต้ชำเลืองพระเนตรไปที่ฮองเฮาแวบหนึ่ง เห็นฮองเฮาทรงมีท่าทีกระตือรือร้น และทรงเห็นว่ารัชทายาทถูกกักอยู่ในวังตะวันออกมาสิบกว่าวันแล้ว น่าจะได้รับบทเรียนพอแล้ว จึงพระทัยอ่อน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งยากนักที่จะได้อยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว ฮ่องเต้ไม่อยากให้ทุกคนหมดสนุก จึงผงกพระเศียรให้ฮองเฮา ฮองเฮาทรงระงับความดีใจไว้ไม่อยู่ รีบมีรับสั่งให้คนไปเชิญรัชทายาทมาทันที

หลี่เฉิงเพ่ยนิสัยร่าเริงไม่ชอบอยู่เฉย เมื่อต้องมาถูกกักตัวเป็นเวลาหลายวันก็รู้สึกอึดอัดกลัดกลุ้มแทบทนไม่ไหว พอได้ยินว่าฮองเฮามีรับสั่งเรียกหา เขาก็โห่ร้องด้วยความดีใจ รีบเรียกคนนำทางเร่งรุดไปตำหนักฮองเฮา แม้การที่พระบิดาอยู่ด้วยทำให้เขาหมดสนุกไปไม่น้อย แต่เปรียบกับให้เขาถูกกักอยู่ในวังตะวันออกคนเดียวแล้วยังสนุกกว่ามาก

ทั้งครอบครัวใช้เวลาในค่ำคืนนี้ร่วมกันอย่างชื่นมื่น

ฮ่องเต้เข้าพระทัยฮองเฮาเพิ่งรับบุตรีคนใหม่ จึงไม่ได้อยู่ค้างคืนที่ตำหนัก รัชทายาทก็เข้าอกเข้าใจอย่างน้อยครั้งจะได้เห็น ไม่ได้เซ้าซี้พระมารดา หลังงานเลี้ยงยุติลงก็กลับวังตะวันออก สองพ่อลูกต่างให้ความสะดวก ฮองเฮาทรงปลาบปลื้มให้ฉีซู่ร่วมบรรทมด้วย

ฉีซู่ล้างหน้าล้างมือทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้าโดยมีนางกำนัลคอยช่วย หลังจากนั้นก็นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้างแท่นบรรทมมองเหล่านางกำนัลปรนนิบัติฮองเฮา ฮองเฮาทรงเห็นนางกอดเข่าขดตัวกลมอย่างขลาดๆ จากในคันฉ่อง ก็ทรงพระสรวลกวักพระหัตถ์เรียกนาง ฉีซู่ลงจากแท่นบรรทมเดินมาหา ฮองเฮาทรงช่วยจัดผมที่สยายอยู่ด้านหลังศีรษะให้นางด้วยความรักและเอ็นดู ก่อนตรัสเบาๆ “อย่างไรลูกสาวย่อมดีกว่า ใกล้ชิดรู้ประสา”

“บ่าว…”

ฮองเฮาแย้มพระสรวลมองนาง “ยังจะเรียกตนเองว่าบ่าวอีกหรือ”

ฉีซู่กะพริบตาปริบๆ เอ่ยด้วยเสียงราวกับยุงบิน “ลูก ลูก…”

ฮองเฮาตบหลังนางเบาๆ อย่างอ่อนโยน “ข้ารู้ในเวลาอันสั้นเจ้ายังเปลี่ยนคำพูดใหม่ไม่ได้ ไม่เป็นไร ค่อยเป็นค่อยไป” ฮองเฮาทรงทอดถอนใจ ตรัสเบาๆ “ถ้ารัชทายาทรู้ประสาได้สักครึ่งของเจ้า ข้าคงไม่ต้องเป็นห่วงมากนัก!”

ฉีซู่ได้ยินดังนั้นก็เผลอพึมพำขึ้น “รัชทายาทเป็นคนดี…”

ฮองเฮาทรงพระสรวลแล้ว “ข้าก็รู้ลูกคนนี้พื้นนิสัยดี เสียแต่ซุกซนไปหน่อย…” ฮองเฮาส่ายพระพักตร์ ลูบไล้ใบหน้าของฉีซู่ “ตอนนี้เจ้ากับรัชทายาทเป็นพี่น้องกันแล้ว ต่อไปต้องหมั่นตักเตือนเขา อย่าให้เขาก่อเรื่องให้ฝ่าบาทกริ้ว รู้หรือไม่”

ฉีซู่ผงกศีรษะ

ฮองเฮาจูงมือฉีซู่ขึ้นไปนอนบนแท่นบรรทม ช่วยห่มผ้าให้นาง ผ้าห่มปักลายในตำหนักฮองเฮาล้วนผ่านการอบหอมมาแล้ว บนร่างของฮองเฮาก็มีกลิ่นหอมจรุงใจของซูเหอเซียง* กลิ่นหอมซึ่งประกอบขึ้นจากเครื่องหอมหลายๆ อย่าง ทำให้ฉีซู่รู้สึกจิตใจสงบ ไม่นานหนังตาก็เริ่มหนักและเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝัน

วันรุ่งขึ้นฮองเฮามีรับสั่งให้จัดห้องที่สว่างและกว้างขวางห้องหนึ่งในตำหนักให้ฉีซู่พำนัก ตามความเห็นของฮองเฮา ฉีซู่ยังควรมีนางกำนัลคอยปรนนิบัติสักสองคน แต่ฉีซู่ไม่ต้องการให้เรื่องรับบุตรบุญธรรมกลายเป็นที่สนใจของคนทั่วไปจึงยืนกรานปฏิเสธ ฮองเฮาเห็นนางดึงดันเช่นนั้น จึงเพียงมอบหมายให้นางกำนัลสองคนช่วยนางเก็บกวาดห้องทุกวัน ช่วงเวลาอื่นๆ ยังคงให้นางอยู่ตามลำพัง นับแต่นั้นรัชทายาทก็มาหาฉีซู่อยู่เสมอ เรื่องนี้ทำให้ฉีซู่อดแปลกใจไม่ได้ เมื่อก่อนรัชทายาทมักเห็นนางขวางหูขวางตา เหตุใดเวลานี้จึงชอบมาขลุกอยู่กับนางได้

“พระมารดาบอกว่าข้าเป็นพี่ชายต้องดูแลน้องสาวให้มาก ให้ข้ามาเล่นกับเจ้าบ่อยๆ” หลี่เฉิงเพ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจอะไร “อีกทั้งข้ารู้สึกว่าที่เจ้านี่คนน้อย เวลาเล่นสนุกกว่า”

รัชทายาทไม่ว่าไปถึงที่ใดก็จะมีคนกลุ่มใหญ่ล้อมหน้าล้อมหลัง แม้เขาจะพลิกแพลงคิดหาวิธีสลัดคนพวกนั้นอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ใช่จะทำได้ดังใจทุกครั้ง เขายังถูกฮ่องเต้ลงโทษเพราะสาเหตุดังกล่าวอยู่เนืองๆ ที่ฉีซู่นี่กฎเกณฑ์ข้อจำกัดน้อย เหล่านางกำนัลก็วางใจ ไม่ขัดขวางเขา เขาย่อมยินดีมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮ่องเต้ฮองเฮาทรงโปรดปรานฉีซู่เป็นพิเศษ ทุกครั้งที่หลี่เฉิงเพ่ยดื้อรั้นซุกซน ขอเพียงฉีซู่ทูลขอความเมตตา ส่วนใหญ่เขาก็จะถูกลงโทษสถานเบา ด้วยเหตุผลสองข้อนี้เด็กทั้งสองจึงสนิทสนมกันขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็ว

“ซู่ซู่!” หลี่เฉิงเพ่ยกระโดดข้ามหน้าต่างเข้ามาในห้องพักของฉีซู่อีกครั้ง

ฉีซู่ได้ยินเสียงเขา ก็วางพู่กันหันมาต้อนรับ

หลี่เฉิงเพ่ยเห็นฉีซู่เขียนอักษรอีกแล้วก็ทำหน้าคว่ำ “เหตุใดเจ้าจึงเขียนอักษรอีกแล้ว น่าเบื่อออก”

* ซูเหอเซียง เป็นชื่อเรียกเครื่องหอมที่ทำมาจากยางไม้ชนิดหนึ่งมีสีขาวเหลือง

เขาไม่เข้าใจ เขียนตัวอักษรเป็นเรื่องที่จืดชืดน่าเบื่อ พระบิดาพระมารดาของเขา ยังมีฉีซู่เหตุใดจึงชอบมากเช่นนี้ ฉีซู่เองก็ไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดรัชทายาทจึงไม่ยอมเดินเข้ามาทางประตูดีๆ ต้องกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง แม้จะคิดเช่นนี้แต่ฉีซู่ก็ไม่เคยชินต่อการโต้เถียงกับรัชทายาท เพียงเก็บพู่กันและหมึกเงียบๆ

“เจ้าดูนี่” รัชทายาทเอาของที่กอดอยู่ในอ้อมแขนให้นางดูด้วยท่าทีกระหยิ่มใจ “วันนี้ข้าเอาของดีมาด้วย”

ฉีซู่มองดู ก็เห็นหมากซวงลู่** ชุดหนึ่ง ตัวหมากซวงลู่ทำมาจากงาช้าง ย้อมสีเหลืองและดำสองสี บนตัวหมากแกะสลักลวดลายหลากสีสัน พูดได้ว่าเป็นซวงลู่ที่ทำได้ประณีตงดงามที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมา

“ข้าตีไก่กับฉางซานอ๋องชนะได้มา สวยใช่หรือไม่” หลี่เฉิงเพ่ยนั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่ง พูดพลางโคลงตัวไปมา “เรามาเล่นกันเถิด”

ฉีซู่นั่งลงตรงข้ามเขา ถามขึ้นเบาๆ “วันนี้ท่านไม่ต้องเล่าเรียนหรือ”

“หัวหน้าหร่านเอวเคล็ดขอลาพัก วันนี้ไม่มีใครยุ่งกับข้า” หลี่เฉิงเพ่ยเริ่มเดินหมากอย่างอดใจรอไม่ไหว “ตาเจ้าแล้ว”

ฉีซู่ถูกเขากุมมือให้จับตัวหมากเดินออกจากจุดเริ่มต้น แต่ปากกลับยังเอ่ยเตือน “วันๆ ท่านเอาแต่เที่ยวเล่น ฝ่าบาททรงทราบเข้าจะต้องกริ้ว”

“พระบิดาช่วงนี้ต้องใช้กำลังทหารกับชนเผ่าตี๋เหนือ กำลังยุ่งไม่อาจปลีกตัวได้ ไม่มีเวลาว่างมาสนใจข้าหรอก”

“แต่…วันหน้าท่านต้องสืบทอดราช…”

“เฮ้อ เหตุใดเจ้าจึงน่ารำคาญเช่นนี้” หลี่เฉิงเพ่ยเริ่มไม่ชอบใจ “เจ้าทำเหมือนกับพระมารดา บ่นว่าไม่รู้จบรู้สิ้น”

ฉีซู่ก้มหน้าลง “ข้าไม่อยากให้ท่านถูกลงโทษ ท่านถูกลงโทษ ข้าก็เสียใจ”

หลี่เฉิงเพ่ยคีบตัวหมาก พลางยิ้มให้นาง “ข้ารู้ซู่ซู่ดีต่อข้าที่สุด จะต้องทนเห็นข้าถูกลงโทษไม่ได้ เจ้าไม่ไปฟ้องพระบิดาหรอก ใช่หรือไม่”

“ไม่ ข้าไม่ทำเช่นนั้น…” ฉีซู่หน้าแดง ก้มหน้ามองกระดานหมากไม่พูดอะไรต่อ

หลี่เฉิงเพ่ยระบายความทุกข์ใจต่อ “เป็นรัชทายาทช่างน่าเบื่อนัก ที่ต้องมีคนติดตามเป็นขบวนไม่พูดถึง ทั้งยังชอบมาส่งเสียงอยู่ข้างหูข้า บอกข้าต้องเป็นรัชทายาทที่ดี วันหน้าก็เป็นฮ่องเต้ที่ดี รำคาญก็รำคาญจะตายอยู่แล้ว ตำแหน่งรัชทายาทใช่ว่าข้าอยากเป็น เจ้าว่าถ้าพี่ใหญ่ยังอยู่จะดีเพียงใด เดิมตำแหน่งรัชทายาทก็เป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว คนในวังชอบแอบวิพากษ์วิจารณ์ลับหลัง บอกว่าเรื่องนี้ข้าก็สู้เขาไม่ได้ เรื่องนั้นข้าก็สู้เขาไม่ได้ ในเมื่อข้าสู้เขาไม่ได้สักอย่าง แล้วไยต้องบังคับข้าเป็นรัชทายาทด้วย ถ้าเขาเป็นรัชทายาท พระบิดาพระมารดาก็ไม่ต้องมาคอยโกรธข้า ข้าเองก็ไม่ต้องมาคอยรับอารมณ์แล้ว”

“รัชทายาท…” ฉีซู่พูดอย่างขลาดๆ “ข้าเชื่อว่าวันหน้าท่านต้องเป็นฮ่องเต้ที่ดีองค์หนึ่ง”

“ข้าไม่ได้อยากเป็นฮ่องเต้!” หลี่เฉิงเพ่ยโยนหมากออกมาอีกตัวหนึ่ง “ข้าชอบเล่น ถ้ามีใครสักคนมาเป็นรัชทายาทแทนข้าคงดี”

ฉีซู่ย่นหัวคิ้ว รีบเอ่ยขึ้น “ท่านอย่าพูดเช่นนี้ ไม่มีใครสามารถแทนที่ท่านได้”

น้ำเสียงของนางดูร้อนรน ทำให้หลี่เฉิงเพ่ยชะงักอึ้ง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงยิ้มๆ “ข้าก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น พระมารดามีข้าเป็นลูกชายคนเดียว ใครคนใดจะมาแทนที่ข้าได้”

** หมากซวงลู่ (หมากสองแดน) หรือแบ็กแกมมอน เป็นหมากกระดานสำหรับสองคนซึ่งใช้เบี้ยและลูกเต๋าสองลูกในการเดิน ซึ่งผู้เล่นจะผลัดกันเดินเพื่อนำเบี้ยของตนออกจากกระดาน หากผู้ใดสามารถนำเบี้ยออกได้หมดก่อนก็จะเป็นผู้ชนะ

ฉีซู่มาคิดดูก็ใช่ หลี่เฉิงเพ่ยเป็นพระโอรสองค์เดียวที่ประสูติจากฮองเฮา ไม่มีใครสามารถแทนที่เขาได้จริง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ คำพูดของหลี่เฉิงเพ่ยคล้ายคำทำนาย ทำให้นางรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมา ในอนาคตข้างหน้าอีกไม่ไกลอาจมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น และอาจคุกคามถึงฐานะของหลี่เฉิงเพ่ยด้วย

 

ฤดูใบไม้ร่วงรัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบสาม มีข่าวชัยชนะจากเป่ยฝู่ ชิวลี่สิง ผู้บัญชาการทหารเมืองติ้งเซียง* ตีชนเผ่าตี๋เหนือแตกยับเยินกุดหัวทหารฝ่ายข้าศึกไปกว่าห้าพันคน

ฮ่องเต้ได้รับสารแจ้งข่าวก็ทรงปลาบปลื้มยินดี มีราชโองการแต่งตั้งชิวลี่สิงเป็นเจิ้งกั๋วกง เทียบเท่าขุนนางขั้นสามในสังกัดสำนักราชเลขาธิการและสำนักตรวจสอบ

ปลายเดือนเก้า ชิวลี่สิงกรีธาทัพกลับเมืองหลวง ฮ่องเต้ทรงจัดงานเลี้ยงต้อนรับเขาด้วยองค์เอง

ชิวลี่สิงปีนี้อายุสามสิบห้า แรกเข้าเป็นขุนนางโดยอาศัยความดีความชอบของบรรพบุรุษ จากนั้นก็ผ่านการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งหลายครั้งจนเป็นหัวหน้าสำนักตรวจการ รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่แปด ชนเผ่าตี๋เหนือรุกรานเข้ามา ชิวลี่สิงอาสาเข้าร่วมทัพ ขุนนางฝ่ายพลเรือนคนหนึ่งถึงกับสมัครเป็นทหารด้วยความฮึกเหิมห้าวหาญ พริบตาเดียวก็เล่าลือกันไปอย่างกว้างขวางทั้งในหมู่ขุนนางและราษฎร ฮ่องเต้ทรงรู้สึกถึงความกล้าหาญชาญชัยของเขา จึงอนุญาตให้เขาไปเป็นขุนพลในกองทัพ ชิวลี่สิงกลับปฏิเสธความหวังดีของฮ่องเต้ ยืนกรานไปเป็นทหารโดยไม่มียศตำแหน่ง

แม้เขาจะมาจากขุนนางฝ่ายพลเรือน แต่ยามออกรบกลับห้าวหาญเปี่ยมด้วยพลังวังชา ไม่มีท่าทีอ่อนแอแม้แต่น้อย ในเวลาไม่กี่ปีก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนพลเชอจี้* ปีที่แล้วเผยหย่วนเต้าผู้บัญชาการทหารเมืองติ้งเซียงคนก่อนล้มป่วยถึงแก่กรรม แนวหน้าตึงเครียดขึ้นมาทันที ฮ่องเต้จึงเลื่อนขั้นเป็นกรณีพิเศษให้ชิวลี่สิงขึ้นรับตำแหน่งผู้บัญชาการ ชิวลี่สิงก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง รับตำแหน่งไม่ถึงหนึ่งปีข่าวชัยชนะก็ทยอยส่งเข้ามาไม่ขาดสาย ชัยชนะใหญ่ครั้งนี้ยิ่งเป็นผลงานการทำศึกที่ยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่ฮ่องเต้ทรงขึ้นครองราชสมบัติมา

ในงานเลี้ยงต้อนรับ ฮ่องเต้ทรงยกย่องชมเชยชิวลี่สิงอย่างมาก “ท่านเชี่ยวชาญทั้งบู๊บุ๋น สมแล้วที่เป็นกำแพงเมืองของราชวงศ์หลี่เรา”

ชิวลี่สิงลุกขึ้นกราบทูล “กระหม่อมความสามารถธรรมดาสามัญ รู้เพียงต้องจงรักภักดีต่อบ้านเมืองเท่านั้น การศึกครั้งนี้โชคดีได้รับชัยชนะ ฝ่าบาททรงสรรเสริญเช่นนี้ กระหม่อมละอายใจยิ่งนัก”

“ท่านไม่จำเป็นต้องถ่อมตนเกินไป” ฮ่องเต้ตรัส “นับแต่ราชวงศ์ก่อนแตกแยกล่มสลาย ดินแดนที่ราบตอนกลางถูกแบ่งแยกยึดครอง ความวุ่นวายจากสงครามเกิดขึ้นเนืองๆ ปฐมกษัตริย์แม้จะสามารถรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น แต่กลับทำอะไรชนเผ่าหรงและชนเผ่าตี๋ไม่ได้ มหาอำนาจที่มีอานุภาพอันเกรียงไกรกลับต้องมาอยู่ใต้อาณัติของชนชาติป่าเถื่อนเช่นชนเผ่าตี๋ นับเป็นความอัปยศอดสูของบ้านเมือง ตอนอดีตฮ่องเต้ยังครองราชย์ทรงครุ่นคิดหาทางกำจัดภัยพิบัติจากชนเผ่าตี๋อยู่เสมอ แต่ก็จนใจเพราะทางหรงตะวันตกยังไม่สงบ มาบัดนี้ท่านมาเป็นมือซ้ายขวาให้กับเรา สกัดและทำลายกำลังอันฮึกเหิมของชนเผ่าตี๋ลงอย่างห้าวหาญ จะไม่ให้ราชสำนักและราษฎรดีใจได้อย่างไร”

ชิวลี่สิงได้ยินดังนั้นก็กล่าวตอบ “ฝ่าบาททรงทุ่มกำลังสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองให้กับบ้านเมือง บัดนี้ท้องพระคลังอุดมสมบูรณ์ กองกำลังเข้มแข็งห้าวหาญ เป็นช่วงที่เหมาะสมแก่การปราบปรามชนเผ่าตี๋ให้สงบราบคาบยิ่ง กระหม่อมยินดีจะทุ่มเทกำลังสุดความสามารถ อุทิศตนรับใช้ฝ่าบาท!”

* ปัจจุบันคืออำเภอติ้งเซียง มณฑลซานซี

* ขุนพลเชอจี้ (ขุนพลอาชาและรถศึก) เป็นตำแหน่งนายทหารชั้นสูง เป็นรองเพียงแม่ทัพใหญ่กับขุนพลเพี่ยวฉี (ขุนพลอาชาเหิน) เท่านั้น

“ดีๆ!” ฮ่องเต้พอพระทัยอย่างมาก “เมื่อถึงวันที่ทั้งแผ่นดินมีแต่ความสงบสุข เราจะต้องมาร่วมดื่มกับท่านให้สาสมใจอีกครั้งแน่นอน”

“พ่ะย่ะค่ะ!” ชิวลี่สิงชูจอก ดื่มรวดเดียว

ทั้งสองร่วมดื่มกันหลายจอก ฮ่องเต้เริ่มเมามายเล็กน้อย เมื่อจินตนาการว่าวันหนึ่งทั่วทุกหนแห่งมีแต่ความสงบสุข บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ผู้เป็นกษัตริย์ควรจะพึงพอใจเพียงใด เพียงแต่ความใฝ่ฝันเช่นนี้ช่างห่างไกลเสียนี่กระไร คิดมาถึงตรงนี้ฮ่องเต้ก็อดจะวางจอกสุราลงไม่ได้ หันไปทางชิวลี่สิงก่อนจะทอดถอนพระทัยเบาๆ “เสียดายเวลานี้ในราชสำนักไม่มีใคร ถ้าได้ขุนนางที่ดีเช่นท่านสักหลายคน คงไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะปราบปรามภัยพิบัติจากพวกชนเผ่าตี๋ไม่ได้”

ชิวลี่สิงกล่าวตอบ “เหตุใดฝ่าบาทจึงตรัสเช่นนี้ ในราชสำนักมีผู้มีความรู้ความสามารถมากมาย ชายแดนมีขุนพลที่เก่งกล้าปรากฏขึ้นมาไม่ขาดสาย บ้านเมืองจะไร้คนมีฝีมือได้อย่างไร”

“อ้อ ไม่ทราบว่าคนมีฝีมือที่ท่านเอ่ยถึงหมายถึงใครหรือ”

“กระหม่อมหมายถึงพระโอรสของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

“รัชทายาท?” ฮ่องเต้ทรงพระสรวล “เรากำลังกลัดกลุ้มเรื่องรัชทายาทดื้อรั้น ท่านไยต้องหัวเราะเยาะเราด้วย”

ชิวลี่สิงลุกจากที่นั่งอย่างนอบน้อม มาหมอบกราบอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้ “กระหม่อมมิบังอาจหัวเราะเยาะฝ่าบาท กระหม่อมหมายถึงจิ้นอ๋องที่อยู่รักษาการณ์ที่เมืองเป่ยฝู่พ่ะย่ะค่ะ”

“จิ้นอ๋อง?” ฮ่องเต้ได้ยินแล้วชะงักอึ้งไป “เจ้าหมายถึงอาฮ่วน”

“พ่ะย่ะค่ะ จิ้นอ๋องแม้ยังเยาว์วัย นับแต่รับพระบัญชาไปรักษาการณ์ที่เป่ยฝู่ก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ไม่เพียงไปปลอบบำรุงขวัญทหารและนายทหารในกองทัพหลายครั้ง กระทั่งยินดีเสี่ยงภัยอันตราย ติดตามกระหม่อมออกรบที่ชายแดน ท่านอ๋องอยู่ในกองทัพ สวมเสื้อเกราะมือถืออาวุธ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับเหล่าทหารหาญ ทำให้กระหม่อมรู้สึกเลื่อมใสเป็นที่สุด”

ฮ่องเต้ทรงประคองชิวลี่สิงให้ลุกขึ้น “จิ้นอ๋องเป็นเช่นนั้นจริงหรือ”

ชิวลี่สิงทูลตอบ “กระหม่อมไม่กล้าปิดบังฝ่าบาท จิ้นอ๋องไม่เพียงมีคุณธรรมอันดีงาม ก่อนหน้าที่กระหม่อมจะมาเมืองหลวง ท่านอ๋องยังฝากกระหม่อมนำเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวหนึ่งตัว สุราใสบริสุทธิ์สองไห นมเนย พรมสักหลาดหลายผืน จิ้นอ๋องกล่าวว่า ‘การศึกชนเผ่าตี๋ยังไม่สงบ ไม่อาจมาอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทแสดงความกตัญญูกตเวทีอย่างเต็มที่ได้ ได้แต่ส่งของขวัญเล็กน้อยมาถวาย ขอฝ่าบาทไม่ต้องทรงคิดถึงลูกอกตัญญูผู้นี้’ ฝ่าบาททรงมีพระโอรสเช่นนี้ บ้านเมืองมีขุนนางเช่นนี้ นับเป็นโชควาสนาของใต้หล้าแล้ว ขอฝ่าบาททรงตรวจสอบดูอย่างละเอียด”

ฮ่องเต้สีพระพักตร์หวั่นไหว กลับไปยังที่ประทับด้วยท่าทีครุ่นคิดเหม่อลอยเล็กน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่จึงทอดถอนพระทัย “ลูกคนนี้อายุสิบสองก็ไปอยู่เป่ยฝู่ ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้มีชีวิตความเป็นอยู่เช่นไร เพราะทางเหนือมีศึกสงครามไม่หยุด เราจึงไม่ได้เห็นเขามาหลายปีแล้ว…”

ชิวลี่สิงเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวล จิ้นอ๋องเวลานี้องอาจห้าวหาญเหนือใคร รักราษฎรดุจลูกหลาน ให้เกียรตินักปราชญ์ราชบัณฑิต ราษฎรทางเหนือไม่มีใครไม่ยกย่องสรรเสริญ”

ฮ่องเต้ผงกพระเศียร “ข้าควรหาโอกาสให้เขากลับมาเมืองหลวงบ้างแล้วจริงๆ”

 

หลังจากนั้นสิบวัน ราชโองการให้จิ้นอ๋องเข้าเมืองหลวงก็มาถึงเป่ยฝู่

ซ่งเหยา เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจตราจดบันทึกของจวนแม่ทัพผู้เป็นขุนนางใต้บังคับบัญชาของจิ้นอ๋อง พอทราบข่าวก็รีบเร่งรุดจากบ้านพักมายังจวนบัญชาการ คนรับใช้ในจวนพาเขามายังห้องหนังสือที่จิ้นอ๋องประทับอยู่ทันที

จิ้นอ๋องหลี่เฉิงฮ่วนเพิ่งอายุสิบเจ็ดปีเต็ม แต่รูปร่างสูงสะโอดสะอง มีท่วงทำนองของผู้สูงศักดิ์ เวลานี้เขากำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าโต๊ะ มือถือม้วนหนังสืออ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ พอได้ยินเสียงเคลื่อนไหว หลี่เฉิงฮ่วนก็เงยหน้าขึ้น เห็นเป็นซ่งเหยาก็ยิ้ม เรียกชื่อรอง* ของซ่งเหยาอย่างสนิทสนม “หย่วนเอ่อร์ เจ้ามาแล้วหรือ”

หลังจากซ่งเหยาทำความเคารพแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามหลี่เฉิงฮ่วน เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ลำบากไม่น้อยกว่าจะมีราชโองการมาถึง คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะยังสงบเยือกเย็นเช่นนี้ได้”

หลี่เฉิงฮ่วนวางม้วนหนังสือลง กล่าวเสียงเฉื่อยเนือย “ข้ายังไม่คิดจะกลับเมืองหลวงในตอนนี้”

“เพราะเหตุใด”

หลี่เฉิงฮ่วนลุกขึ้น เดินไปที่หน้าต่าง แล้วจึงเอ่ยขึ้น “ยังไม่ถึงเวลา”

ซ่งเหยามองเงาด้านหลังของผู้เป็นนายที่ยืนเอามือไพล่หลังอย่างไม่เข้าใจ “พวกเราวางแผนกันมานาน ที่รอก็ไม่ใช่ช่วงเวลานี้หรอกหรือ ตอนนี้เป็นเวลาที่ท่านอ๋องจะได้ดำเนินการตามแผนการอันยิ่งใหญ่ เหตุใดท่านอ๋องกลับลังเลขึ้นมา”

หลี่เฉิงฮ่วนไม่ได้ตอบคำถามผู้ที่เป็นทั้งคนสนิทและสหายรักในทันที หากแต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ ด้านนอกหน้าต่างคือสวนดอกไม้ของจวนแม่ทัพ เป่ยฝู่เทียบกับเมืองหลวงไม่ได้ ในลานที่พักแม้จะมีต้นไม้ดอกไม้ หินและภูเขาจำลอง แต่ความประณีตงดงามห่างกันไกลกับสวนดอกไม้ในเมืองหลวง หลี่เฉิงฮ่วนจ้องมองสายน้ำในลำธารเล็กที่ไหลรินออกมาจากซอกเขา พลางเอ่ยขึ้นช้าๆ “ไม่ใช่จู่ๆ ข้าก็เกิดลังเลขึ้นมา หากแต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ยังจัดการไม่เรียบร้อย”

“เรื่องอะไรหรือ”

หลี่เฉิงฮ่วนไม่ได้ตอบตรงๆ แต่เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้วจึงพูด “หย่วนเอ่อร์ ช่วยข้าร่างสารกราบทูลสักฉบับ ชี้แจงไปทางเมืองหลวง บอกว่าเวลานี้ที่เป่ยฝู่ยังมีภารกิจเร่งด่วนหลายเรื่อง ข้าไม่สะดวกจะเข้าเมืองหลวงทันที ต้องรอให้จัดการเรื่องต่างๆ เรียบร้อยแล้วจึงจะออกเดินทาง”

ซ่งเหยากล่าวอย่างลังเล “นี่…ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านอ๋องกลับเมืองหลวง ท่านอ๋องกลับจงใจหาเหตุบอกปัด หากทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย กระทั่งยกเลิกการเดินทางกลับเมืองหลวงของท่านอ๋องเพราะเหตุดังกล่าว แล้วจะทำอย่างไร”

แม้จะบอกว่าฮ่องเต้คงไม่ลงโทษอะไรพระโอรสเพราะสาเหตุนี้ แต่หากการเสแสร้งในครั้งนี้ได้ทิ้งความประทับใจที่ไม่ดีให้กับฮ่องเต้ ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่

หลี่เฉิงฮ่วนหยิบม้วนหนังสือขึ้นมาด้วยท่าทีสงบนิ่ง มองซ่งเหยาด้วยแววตาเฉื่อยเนือยแวบหนึ่ง “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็แสดงว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ควรกลับไป”

 

หลังจากนั้นไม่กี่วันสารกราบทูลของจิ้นอ๋องก็ส่งมาถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้ไม่ได้กริ้ว กลับเขียนสาส์นตอบกลับไปด้วยองค์เอง ชื่นชมพระโอรสที่เห็นเรื่องของบ้านเมืองเป็นสำคัญ ฮ่องเต้ทรงปลอบบำรุงขวัญ มีรับสั่งให้หลี่เฉิงฮ่วนตั้งใจบริหารกองทัพให้ดี เรื่องกลับเมืองหลวงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

สาส์นตอบจากฮ่องเต้ทำให้ซ่งเหยาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนคำกราบทูลของชิวลี่สิงได้ผลไม่น้อย สร้างความประทับใจให้กับฮ่องเต้อย่างแท้จริง นับเป็นข่าวที่ดีเยี่ยมสำหรับจิ้นอ๋อง

* ชาวจีนสมัยโบราณมีชื่อเรียกขานหลากหลาย โดยทั่วไปมี ‘นาม (หมิง 明)’ คือชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้แต่กำเนิด ‘ชื่อรอง (จื้อ 字)’ เป็นชื่อที่อาจารย์ตั้งให้เมื่อเข้ารับการศึกษา มักสอดคล้องกับนาม หรือเพิ่มคำด้านหน้าให้เหมือนกันในหมู่พี่น้องเพื่อบ่งบอกรุ่นในวงศ์ตระกูล นอกจากนี้ผู้มีความรู้มีตำแหน่งหน้าที่อาจตั้ง ‘ฉายา (เฮ่า 号)’ ของตนเองเพื่อใช้ในวงการ

เวลาผ่านไปอีกสิบกว่าวัน หลี่เฉิงฮ่วนจึงเตรียมการเรียบร้อย และออกเดินทางมุ่งหน้าไปซีจิง

หลังจากเร่งรุดเดินทางทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดประตูเมืองซีจิงก็ปรากฏขึ้นแต่ไกล หลี่เฉิงฮ่วนหยุดม้าบนที่ราบ แหงนหน้าจ้องมองไปยังเมืองหลวงที่อยู่ห่างออกไป ห้าปีก่อนตอนไปจากเมืองหลวง เขาก็เคยยืนอยู่บนทุ่งกว้างแห่งนี้เพ่งมองเมืองหลวง ภายใต้ท้องฟ้าสีครามที่กว้างไพศาล หอสูงบนประตูกำแพงเมืองตั้งตระหง่านโดดเด่นดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ไม่ต้องเข้าไป เขาก็วาดภาพความเจริญรุ่งเรืองภายในเมืองขึ้นมาในสมองได้

ห้าปีแล้ว

ตอนจากไปเขายังเป็นเด็กชายอายุสิบสองที่โฉดเขลาคนหนึ่ง ทว่าเวลานี้เขาเป็นท่านอ๋องผู้ปรีชาสามารถออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์ที่ชายแดน ห้าปีนี้สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงทุ่งหญ้ากว้างไพศาลสุดลูกหูลูกตา สิ่งที่ได้ยินมีเพียงเสียงทหารม้าสวมเกราะถือหอกแวววาวที่ควบม้าห้อตะบึงไม่หยุด ชนเผ่าตี๋เหนือยกทัพมาประชิดกำแพงเมืองหลายครั้ง ลูกศรของชาวตี๋ปลิวเข้ามากระทั่งถึงจวนบัญชาการ เขาในฐานะชินอ๋อง* ผู้นั่งรักษาการณ์เป่ยฝู่กลับไม่อาจถอยหลังแม้ก้าวเดียว ไม่เพียงไม่อาจถอย เขายังต้องถือหอกถือโล่ ปลุกเร้าขวัญทหาร ร่วมรบกับเหล่าทหารหาญ ร่วมปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของตน ทั้งที่เขาในตอนนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีคนหนึ่งเท่านั้น

ในขณะที่เด็กหนุ่มในเมืองหลวงยังตีไก่แข่งม้าอย่างไร้ทุกข์ไร้กังวล เขากลับต้องเติบโตอยู่ท่ามกลางความยากลำบากในหัวเมืองทางเหนือ ห้าปีที่เป่ยฝู่ดูเหมือนผ่านไปเงียบๆ แต่ก็นานพอที่จะทำให้เขาเติบโตกลายเป็นต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่านต้นหนึ่ง

“ท่านอ๋อง” เสียงร้องเรียกจากด้านหลังของซ่งเหยาทำให้หลี่เฉิงฮ่วนตื่นจากภวังค์

หลี่เฉิงฮ่วนหันไปยิ้มให้สหายสนิท “เข้าไปกันเถิด”

ท่ามกลางเสียงร้องของม้าฝีเท้าดี จิ้นอ๋องหลี่เฉิงฮ่วนก็เข้าไปในซีจิง…เมืองที่บงการชะตาชีวิตของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนแห่งนี้

 

สองวันมานี้ฮองเฮาดูเหมือนจิตใจจะไม่ค่อยสงบ

ถึงแม้แต่ไรมาฮองเฮาจะปฏิบัติต่อผู้น้อยด้วยความโอบอ้อมอารี แต่เวลาอารมณ์ไม่ดี เหล่านางกำนัลต่างก็ต้องระวังเนื้อระวังตัว เพื่อจะได้ไม่ไปก่อกวนอารมณ์ของฮองเฮาเข้า

หร่านเซียง นางกำนัลข้างพระวรกายที่คล่องแคล่วที่สุดเห็นคนในตำหนักต่างเงียบกริบแทบไม่ได้ยินเสียงลมหายใจ กระทั่งมีท่าทีเป็นกังวล นางจึงคิดว่าแต่ไรมาฉีซู่ก็เป็นคนที่ฮองเฮาทรงโปรดปราน อาจจะพอพูดจาให้สบายพระทัยขึ้นได้บ้าง จึงแอบส่งนางกำนัลน้อยสองคนไปเชิญฉีซู่มา

นางกำนัลน้อยสองคนมาถึงห้องพักของฉีซู่กลับไม่เห็นคน ทั้งสองมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่านางหายไปที่ใด สุดท้ายจำต้องกลับไปรายงานหร่านเซียงว่าไม่พบตัวฉีซู่ หร่านเซียงนึกแปลกใจ น้อยครั้งที่ฉีซู่จะออกไปข้างนอก นางจะไปที่ใดได้

ความจริงแล้วฉีซู่กำลังยืนอยู่ใต้กำแพงวังสนทนาอยู่กับตู้ซื่อ* นางกำนัลชั้นสูงแห่งวังไท่ซั่งหวง

* ชินอ๋อง (ชินหวัง) คือสกุลยศที่องค์จักรพรรดิแต่งตั้งแก่พระราชโอรส พระเชษฐาหรือพระอนุชา ลำดับศักดิ์รองจากรัชทายาท

* คนจีนสมัยโบราณแบ่งนามสกุลออกเป็นสองลักษณะคือซิ่ง (姓) คือสายต้นสกุล และซื่อ (氏) เป็นสายสกุลย่อย โดยยุคก่อนสังคมศักดินา ‘ซิ่ง’ เป็นสกุลของฝั่งผู้หญิงเพื่อให้เกียรติเพศแม่ แต่เมื่อชาวจีนถือบุรุษเป็นใหญ่ ‘ซื่อ’ จึงกลายเป็นสกุลของฝั่งผู้หญิงแทน และมีธรรมเนียมเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วโดยใช้คำว่า ‘ซื่อ’ ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี

ตู้ซื่อในวัยสาวเนื่องจากมีความสามารถและคุณธรรมเพียบพร้อม จึงถูกเรียกตัวเข้าวังมาดำรงตำแหน่งข้าหลวงฝ่ายพิธีการ หลังจากไท่ซั่งหวงสละราชสมบัติ นางก็ลาออกจากตำแหน่งข้าหลวงฝ่ายพิธีการ มาติดตามปรนนิบัติอยู่ข้างพระวรกาย หลายปีก่อนตอนหลี่เฉิงเพ่ยพาฉีซู่เข้าไปในวังตะวันตก นางก็เป็นคนพาเด็กทั้งสองเข้าเฝ้าไท่ซั่งหวง ฉีซู่ได้รู้จักกับนางในตอนนั้นเอง

นางกำนัลตู้ซื่ออ่านหนังสือบทกวีมาอย่างโชกโชน แม้นางจะลาออกจากตำแหน่งข้าหลวงฝ่ายพิธีการ แต่ฮองเฮายังคงมีพระเสาวนีย์ให้นางเข้ามาที่สถานศึกษาในวังมาสอนพระสนมและนางกำนัลชั้นสูงในวังทุกสองสามวัน ตั้งแต่ฉีซู่รู้จักกับนางก็เข้าออกสถานศึกษาในวังมาขอคำชี้แนะเกี่ยวกับบทกวีและคำสอนในศาสนาพุทธอยู่เสมอ นางกำนัลตู้ซื่อไม่เชี่ยวชาญการเย็บปักถักร้อย เห็นฉีซู่ฝีมือดีจึงขอให้ฉีซู่ช่วยทำอะไรให้นางอยู่บ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้เองทั้งสองจึงได้คบหากันโดยไม่คำนึงถึงวัยวุฒิและคุณวุฒิ

ครั้งนี้ฉีซู่มาเพื่อจะเอางานปักมาให้นางกำนัลตู้ซื่อ

นางกำนัลตู้ซื่อพลิกดูแล้วก็ชมไม่ขาดปาก “ฝีมือของแม่นางน้อยนับวันยิ่งประณีตงามวิจิตร”

“ท่านอาจารย์พอใจก็ดีแล้ว” ฉีซู่มองท้องฟ้า “ออกมานานแล้ว ข้ากลับไปก่อนล่ะ”

บอกลานางกำนัลตู้ซื่อแล้ว ฉีซู่ก็เดินไปตามทางเล็กๆ ในวังตามลำพัง เดินมาได้ไม่นานก็มองเห็นตำหนักเฉิงเซียงอยู่ไกลๆ ตำหนักแห่งนี้เคยเป็นที่พำนักของซูเฟยผู้ล่วงลับไปแล้ว หลังจากซูเฟยสิ้นพระชนม์ตำหนักแห่งนั้นก็ไม่มีคนอยู่ นอกจากมีนางกำนัลมาเก็บกวาดทำความสะอาดบางครั้งบางคราวแล้วก็ไม่เคยมีคนมาที่นี่ เดินผ่านตำหนักเฉิงเซียงมาไม่ไกลก็มาถึงข้างสระไท่เยี่ย

เวลานี้เป็นช่วงใกล้กลางฤดูใบไม้ร่วง ต้นหลิวที่ห้อยย้อยริมสระใบร่วงหมดแล้ว เฟิง** แดงที่อยู่ริมทางกลับงดงามชวนมอง ฉีซู่มัวแต่มองทัศนียภาพในฤดูใบไม้ร่วง จึงไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีด้ายเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่งผูกอยู่ระหว่างต้นเฟิงสองต้นที่นางเดินผ่าน นางเพียงรู้สึกคล้ายเท้าไปสะดุดถูกอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศ คล้ายมีสิ่งมีคมกำลังพุ่งเข้ามาที่นาง

“ระวัง!” จู่ๆ ก็มีคนกระโดดออกมา ดึงตัวนางออกไปข้างๆ

ฉีซู่รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างพุ่งเฉียดนางไป หลังคลายจากอาการอกสั่นขวัญหาย นางจึงเห็นตะขอทองอันหนึ่งห้อยแกว่งไปมาอยู่บนต้นไม้ นางเพ่งดูอย่างละเอียดอีกครั้งก็พบว่าที่ปลายข้างหนึ่งมีเส้นด้ายขาดติดอยู่ เห็นชัดว่ามีคนวางกลไกไว้ที่นี่ และนางคงเผลอไปเตะถูกเข้า

“เหตุใดในวังจึงมีของอันตรายเช่นนี้ได้” มีเสียงพึมพำดังขึ้นมาด้านข้าง คนที่ดึงฉีซู่หลบนั่นเอง

ฉีซู่จึงได้มีโอกาสมองประเมินผู้มา คนผู้นี้เป็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดสิบแปด คิ้วรูปดาบดวงตาสดใส หน้าตาหล่อเหลาสง่างาม ใช้ผ้าโพกศีรษะ สวมเสื้อม่วงกางเกงขาว สวมรองเท้าหนังหุ้มแข้งสีดำ ดูจากสีเสื้อผ้าและถุงประดับปลาทองที่ห้อยอยู่ตรงเอว ก็เห็นชัดว่าคนผู้นี้มีฐานะสูงส่ง อีกทั้งเขายังปรากฏตัวขึ้นในวัง เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ ทว่าแม้จะเป็นพระญาติก็ควรจะมีผู้ติดตามรับใช้นำทาง มาเดินอยู่ในวังหลวงตามลำพังเช่นนี้ออกจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย ทั้งหน้าตาของเขาก็ดูไม่เคยคุ้น ฉีซู่นึกถึงเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่นางพอจำได้ทั้งหมด แต่ยังคงคาดเดาฐานะของเขาไม่ออก

เด็กหนุ่มผู้นั้นก็กำลังมองฉีซู่อย่างตรวจสอบ ฉีซู่ได้รับพระกรุณาจากฮองเฮาเป็นกรณีพิเศษ ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวเหมือนพวกนางกำนัล วันนี้นางผูกผมสองข้างเหน็บปลายไว้กลางศีรษะทิ้งช่วงโค้งลงมาสองข้างแก้ม ช่วงบนสวมเสื้อตัวสั้นตัดเย็บด้วยผ้าไหมทอสีเหลืองอ่อน กระโปรงผ้าแพรสีเขียวอ่อนสูงถึงหน้าอก เท้าสวมรองเท้าผ้าไหมสีเขียวอมดำ นอกจากติดแผ่นทองคำลายดอกไม้รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนบนหน้าผากแล้วก็ไม่มีเครื่องประดับอื่นอีก สีหน้าเด็กหนุ่มมีแววสงสัย เห็นชัดว่าก็ไม่แน่ใจว่านางเป็นใครเช่นกัน

** ต้นเฟิง คือต้นเมเปิ้ล

ทั้งสองคนนิ่งเงียบด้วยความอึดอัดขัดเขินอยู่ครู่หนึ่ง ฉีซู่จึงฝืนยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “นี่คงจะเป็นรัชทายาททำไว้…”

เด็กหนุ่มงุนงงไปชั่วขณะ แล้วจึงเข้าใจว่านางกำลังตอบคำถามก่อนหน้านี้ของเขา เขาใช้สองนิ้วคีบตะขอทองขึ้นมาแล้วเอ่ยถาม “รัชทายาทชอบทำเรื่องเช่นนี้หรือ”

“รัชทายาทนิสัยยังเป็นเด็กอยู่มาก บางครั้งก็จะกลั่นแกล้งคนในวังเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่มีเจตนาร้าย” ฉีซู่อดจะปกป้องภาพลักษณ์ของหลี่เฉิงเพ่ยต่อหน้าคนนอกไม่ได้ “ไม่ว่าอย่างไร…ต้องขอขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือ”

เด็กหนุ่มย่นหัวคิ้วน้อยๆ แม้ไม่มีเจตนาร้าย แต่วางกลไกเช่นนี้ก็อันตรายเกินไปแล้ว ถ้าเขาไม่ได้ดึงเด็กสาวผู้นี้หลบได้ทันท่วงที เกรงว่าตอนนี้นางคงได้รับบาดเจ็บ ถ้าได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้า ชีวิตของเด็กสาวคงถูกทำลายแล้ว

แม้จะคิดเช่นนี้ เด็กหนุ่มกลับไม่อยากจะวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของรัชทายาท จึงเพียงพยักหน้าให้นางพลางว่า “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” พูดจบเขาก็คิดจะหมุนตัวเดินจากไป

“คุณชาย” ฉีซู่ส่งเสียงเรียกเบาๆ อยู่ข้างหลัง

เด็กหนุ่มจึงหมุนตัวกลับมา ถามเสียงอ่อนโยน “แม่นางน้อยมีอะไรหรือ”

ฉีซู่หน้าแดงเล็กน้อย ชี้ไปที่แขนของเขา เด็กหนุ่มก้มลงมองถึงพบว่าเมื่อครู่ตอนดึงฉีซู่หลบ เสื้อของตนถูกตะขอทองเกี่ยวขาดเป็นรูยาวราวหนึ่งชุ่น* สีหน้าของเขาพลันดูหงุดหงิดขึ้นมาทันที “คราวนี้แย่แล้ว เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย เกรงว่าคงต้องถูกวังกลางตำหนิแล้ว”

เขามาเข้าเฝ้าฮองเฮาหรอกหรือ ฉีซู่คิด ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาช่วยนาง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องหาวิธีซ่อมแซมกลับคืนให้เขาจึงจะถูก ฉีซู่จึงรวบรวมความกล้าบอกกับเขา “ที่พักของข้าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ถ้าคุณชายไม่รังเกียจ โปรดตามข้าไป บางทีอาจพอหาวิธีแก้ไขได้”

เด็กหนุ่มมีท่าทีลังเล เด็กสาวตรงหน้ายังไม่รู้ฐานะชัดเจน คบหากันส่วนตัวเกรงจะไม่ค่อยเหมาะสม แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อยากเสียมารยาทต่อพระพักตร์ฮองเฮา ดังนั้นในที่สุดเขาก็ทำตามคำแนะนำของฉีซู่

ฉีซู่พาเด็กหนุ่มไปตามเส้นทางเล็กที่ไม่ค่อยมีคน และเข้าไปยังห้องพักของตนเงียบๆ

เด็กหนุ่มกวาดตามองห้องพักคร่าวๆ เพียงเห็นในห้องค่อนข้างกว้างและสว่าง กลางห้องมีฉากบังลมสีขาวกั้นแบ่งบริเวณ ด้านในฉากบังลมมีเงาม่านโปร่งสั่นไหว คงจะเป็นที่ตั้งของเตียงนอน ด้านนอกของฉากบังลม ซ้ายมือมีโต๊ะยาวตั้งอยู่ บนโต๊ะมีหนังสือ กระดาษ หมึกวางเรียงราย ข้างโต๊ะมีม้านั่ง ตั่งพิง ด้านขวาของฉากบังลมมีหีบต่างๆ และที่ทอผ้าหลังหนึ่ง ทั้งห้องเรียบง่ายไม่หรูหรา มุมห้องมีแจกันประดับอยู่ใบเดียว ในแจกันมีดอกเบญจมาศสีชมพูอ่อนปักอยู่ไม่กี่ดอก

ฉีซู่เปิดหีบหาเสื้อกันลมออกมาตัวหนึ่ง กล่าวกับเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ “ห้องข้าไม่มีเสื้อผ้าบุรุษ คุณชายทนลำบากสักหน่อย ใช้เสื้อเก่าของข้าปิดคลุมร่างชั่วคราว จะได้ไม่กระทบถูกความหนาวเย็น”

พูดจบฉีซู่ก็หันหลังให้ เด็กหนุ่มถอดเสื้อสีม่วงออกมา เอาเสื้อกันลมคลุมไว้บนหัวไหล่ จากนั้นก็ยื่นเสื้อคลุมยาวให้ฉีซู่พลางกล่าว “รบกวนแล้ว”

ฉีซู่เตรียมเข็มกับด้ายเอาไว้แล้ว พอนางรับเสื้อคลุมมาก็เริ่มลงมือเย็บปะทันที

เด็กหนุ่มนั่งลงที่ข้างโต๊ะ มองฉีซู่ใช้เข็มกับด้ายในมืออย่างชำนิชำนาญ ในห้องเงียบสงบไร้สุ้มเสียง มีเพียงเสียงแผ่วเบายามเข็มกับด้ายสอดผ่านเนื้อผ้า

* ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดของจีนสมัยโบราณ เทียบความยาวประมาณ 1 นิ้ว

เด็กหนุ่มมองดูอยู่ครู่หนึ่ง พลันรู้สึกว่าตนจ้องมองผู้อื่นเช่นนี้ออกจะเสียมารยาท จึงเบนสายตามาที่โต๊ะยาวข้างกายอย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก บนโต๊ะนอกจากม้วนคัมภีร์ ยังมีพวกแผ่นกระดาษ บนกระดาษมีตัวอักษรเขียนไว้กระจัดกระจาย เด็กหนุ่มพลิกดูอย่างละเอียด เห็นลายมือบนกระดาษตัวอักษรที่เขียนอวบอิ่มสวยงาม มีจุดที่ชวนมอง โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเด็กหนุ่มก็ศึกษาลายมือบนกระดาษหลายแผ่นนี้อย่างละเอียดขึ้นมา เขาดูจนเพลิดเพลิน กระทั่งฉีซู่เรียกเขาก็ไม่ได้ยิน นางต้องเรียก ‘คุณชาย’ ติดๆ กันหลายคำ เขาจึงได้สติ

ในมือของฉีซู่ถือเสื้อคลุมที่เย็บเสร็จแล้ว บอกด้วยท่าทีเหนียมอาย “ยามกะทันหันฉุกละหุก ข้าคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ได้ แม้จะพยายามเย็บปะอย่างระวัง แต่ก็ยังคงดูไม่ค่อยแนบเนียนนัก”

เด็กหนุ่มรับเสื้อคลุมไป เห็นแขนเสื้อที่ขาดเย็บปะเสร็จแล้ว เพื่อจะปิดร่องรอยไม่ให้เห็น ฉีซู่ใช้เส้นไหมสีเดียวกันปักลายใบหญ้า* ไว้ตรงรอยขาด นางยังละเอียดลออโดยปักลายแบบเดียวกันไว้ที่แขนเสื้ออีกข้างหนึ่งด้วย ถ้าไม่สังเกตดูจริงๆ ก็ยากจะเห็นรอยเย็บปะได้ ต่อให้มีคนมองออก ภายใต้ลายปักที่บดบังอยู่เช่นนี้ ก็ไม่ถึงกับสะดุดตาอะไร

น่าจะพอถูไถไปได้ เด็กหนุ่มคิดและถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขารับเสื้อคลุมมาสวม ประสานมือให้ฉีซู่ “แม่นางน้อยลำบากแล้ว”

ฉีซู่ประสานมือตอบ “ช่วงเวลานี้วังกลางน่าจะทรงสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้ว ถ้าคุณชายจะเข้าเฝ้า ทางที่ดีรีบไปเสียแต่ตอนนี้”

เด็กหนุ่มยิ้มบาง “ขอบคุณแม่นางน้อยที่ช่วยชี้แนะ”

ฉีซู่ส่งเด็กหนุ่มแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เอางานเย็บปักที่ยังทำไม่เสร็จในช่วงก่อนหน้านี้มาทำต่อ ทำจนกระทั่งถึงเวลาเข้าไต้เข้าไฟ นางเพิ่งจะวางสายรัดเอวในมือที่ทำไปได้ครึ่งหนึ่งลง ก็มีนางกำนัลจากตำหนักฮองเฮาสองคนมาเชิญฉีซู่ไปที่ตำหนักฮองเฮา

นางกำนัลทั้งสองพาฉีซู่มาที่หน้าห้องพระของฮองเฮา ฉีซู่นึกแปลกใจว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ฮองเฮาสวดมนต์ไหว้พระตามปกติ เหตุใดฮองเฮาจึงยังอยู่ในห้องพระ

หร่านเซียงเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูพอดี พอเห็นฉีซู่นางก็เข้ามาทำความเคารพด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “แม่นางน้อย”

ฉีซู่เอ่ยถามขึ้น “เวลานี้วังกลางยังสวดมนต์อยู่หรือ”

หร่านเซียงบอกให้นางกำนัลสองคนนั้นล่าถอยออกไป แล้วดึงฉีซู่ให้เดินห่างออกไปหลายก้าว “เรื่องที่จิ้นอ๋องรับราชโองการกลับมาเมืองหลวง แม่นางน้อยคงทราบแล้วกระมัง”

ฉีซู่พยักหน้า หลายวันมานี้ฮองเฮาจิตใจไม่สงบคิดว่าคงเป็นเพราะสาเหตุนี้ ฮองเฮากับฮ่องเต้อภิเษกกันตั้งแต่ยังเยาว์วัย ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน ฐานะของฮองเฮาพูดได้ว่ามั่นคงดุจหินผา หลายปีมานี้มีเพียงคนเดียวที่ทำให้ทรงรู้สึกหวั่นหวาดคือซูเฟยที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดจิ้นอ๋องนั่นเอง ฉีซู่เคยสงสัย จิ้นอ๋องไปอยู่เป่ยฝู่ตั้งแต่อายุสิบสอง นอกจากชนเผ่าตี๋เหนือก่อภัยพิบัติแล้ว ใช่เพราะมีความต้องการของฮองเฮาอยู่ด้วยหรือไม่

หร่านเซียงกล่าวต่อ “จิ้นอ๋องมาถึงเมืองหลวงเมื่อสองวันก่อน วันนี้ตั้งใจมาเข้าเฝ้าวังกลางโดยเฉพาะ”

“จิ้นอ๋อง?” ฉีซู่กระตุกวาบขึ้นมาในใจ “นอกจากจิ้นอ๋องแล้ว วังกลางได้มีรับสั่งให้ใครเข้าพบหรือไม่”

หร่านเซียงสั่นศีรษะ “หลังจากวังกลางทรงพบจิ้นอ๋องแล้วก็ประทับอยู่ในห้องพระมาตลอด ไม่ได้ทรงพบใครอีก”

ฉีซู่ตระหนักรู้ขึ้นมาในฉับพลัน เด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือจิ้นอ๋อง นางลังเลอยู่ชั่วขณะแล้วจึงเอ่ยถาม “หรือว่าจิ้นอ๋องพูดอะไรให้วังกลางไม่พอพระทัย”

* ลายปักอย่างหนึ่งของจีน เป็นลายต้นไม้ดอกไม้คล้ายลายกนกของไทย

“จิ้นอ๋องนอบน้อมมีมารยาท ไม่ได้พูดอะไรที่เสียมารยาท” หร่านเซียงเอ่ยเบาๆ “ทว่าที่วันนี้วังกลางทรงผิดไปจากปกติ กลับมีสาเหตุมาจากจิ้นอ๋องจริง”

“หมายความว่าอย่างไรหรือ”

หร่านเซียงมองไปรอบๆ เห็นทั่วบริเวณไม่มีผู้คน จึงเล่าเหตุการณ์ที่จิ้นอ๋องเข้าเฝ้าฮองเฮาให้ฉีซู่ฟังเบาๆ

 

แม้จะบอกว่าจิ้นอ๋องกับฮองเฮาไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายโลหิต แต่จะอย่างไรฮองเฮาก็ได้ชื่อว่าเป็นพระมารดาของเขา จิ้นอ๋องกลับมาเมืองหลวง ไม่ว่าจะด้วยเหตุด้วยผลก็สมควรมาเยี่ยมคำนับ ฮองเฮาเองทรงมีฐานะเป็นแม่ใหญ่ ก็ต้องแสดงออกถึงท่วงทำนองที่มารดาพึงมี ทั้งนี้จะได้ไม่ตกเป็นขี้ปากคน ด้วยเหตุนี้ยามที่ฮองเฮาและจิ้นอ๋องพบหน้ากัน จึงพอจะพูดได้ว่ามารดามีความเมตตาปรานีบุตรก็มีความกตัญญูรู้คุณ

หลังจากจิ้นอ๋องถวายบังคมอย่างเต็มรูปแบบ ฮองเฮาก็รีบบอกให้เขาลุกขึ้น ประทานเก้าอี้ แล้วให้คนยกนมเนยผลไม้ต่างๆ มารับรอง ทั้งสองไม่ได้พบหน้ากันมานาน ย่อมมีเรื่องให้พูดคุยกัน ฮองเฮาทรงถามถึงความเป็นอยู่ของจิ้นอ๋องที่เป่ยฝู่ จิ้นอ๋องก็เล่าถึงทัศนียภาพ ความเคยชินและประเพณีนิยมของเป่ยฝู่ที่แตกต่างจากเมืองหลวง บางครั้งก็เอ่ยถึงทัศนียภาพบริเวณนอกด่านชายแดน

‘พูดเช่นนี้ เจ้าคงเคยออกไปนอกด่านชายแดนมาแล้ว’ ฮองเฮาตรัสถามด้วยความสนพระทัย

‘เคยไปตอนติดตามเจิ้งกั๋วกงออกรบพ่ะย่ะค่ะ’

ฮองเฮาฟังแล้วอดทอดถอนใจไม่ได้ ‘ไปอยู่เป่ยฝู่ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ ยังต้องติดตามกองทัพออกรบ หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ’

‘จงรักภักดีต่อบ้านเมืองเป็นหน้าที่ของกระหม่อม’ จิ้นอ๋องยิ้มน้อยๆ ‘กลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ กระหม่อมนำของพื้นเมืองของเป่ยฝู่มาน้อมถวายฮองเฮา ทรงโปรดรับไว้ด้วย’

‘ลำบากเจ้าแล้ว’

จิ้นอ๋องมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ ‘นอกจากของพื้นเมืองเป่ยฝู่แล้ว กระหม่อมยังนำของสำคัญมาอีกหนึ่งอย่าง…’

‘อ้อ อะไรหรือ’

จิ้นอ๋องพูดไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำ ‘ก่อนกลับเมืองหลวง กระหม่อมได้ส่งคนไปที่แม่น้ำสือเชิญอัฐิของหวงไท่ซุนกลับมา…’

‘อะไรนะ’ ฮองเฮาสีหน้าแปรเปลี่ยน ‘เจ้า…เจ้าทำอะไรนะ’

น้ำเสียงของฮองเฮาสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าตื่นตระหนกหรือโกรธ

จิ้นอ๋องหมอบกราบต่อพระพักตร์ฮองเฮา เอ่ยเสียงต่ำ ‘ทูลฮองเฮา ปีนั้นพระเชษฐาติดตามไท่ซั่งหวงออกรบ โชคร้ายจบชีวิตลง เพราะการศึกกำลังคับขัน ไท่ซั่งหวงจึงฝังร่างพระเชษฐาไว้ที่นั่น กระหม่อมหวนคะนึงถึงพระเชษฐา สองปีก่อนเคยส่งคนไปหรงตะวันตกเพื่อเซ่นไหว้ คนที่ส่งไปเก็บกวาดเซ่นไหว้กลับมาแจ้งว่าสุสานของพระเชษฐาไม่มีคนดูแล พื้นที่แถบนั้นนับวันยิ่งรกชัฏ ยากจะหาพบ กระหม่อมคิดว่าพระเชษฐาสละชีวิตเพื่อบ้านเมือง หลังจบชีวิตกลับต้องถูกทิ้งให้โดดเดี่ยววังเวงเช่นนี้ กระหม่อมไม่อาจทนดูได้ จึงส่งคนไปค้นหาทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดก็หาที่ฝังร่างพระเชษฐาพบ ได้ส่งคนไปซ่อมแซมบูรณะใหม่ แต่จะอย่างไรหรงตะวันตกก็ไม่ใช่บ้านเกิดของพระเชษฐา ด้วยเหตุนี้กระหม่อมจึงตัดสินใจโดยพลการ ก่อนกลับเมืองหลวงได้ให้คนไปขุดอัฐิของพระเชษฐาขึ้นมา ย้ายกลับมาฝังที่เมืองหลวงบ้านเกิด…’

ระหว่างที่จิ้นอ๋องกำลังบอกเล่า ฮองเฮาก็คลายจากความตื่นตระหนกและสงบนิ่งลง หลังจากนิ่งเงียบไปนาน ในที่สุดก็สั่นพระเศียรน้อยๆ ตรัสด้วยท่าทางเศร้าระทม ‘เรื่องนี้…ช่างเถิด…’

จิ้นอ๋องก้มหน้า ‘กระหม่อมอยู่เป่ยฝู่มานาน ไม่มีคนอบรมสั่งสอน หากทำอะไรบุ่มบ่ามตามอำเภอใจเกินไป ขอฮองเฮาโปรดลงโทษ’

‘ไม่ เจ้าไม่ได้ทำผิด’ ฮองเฮาทรงยิ้มเศร้า ‘ตอนฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ ข้าก็เคยคิดเรื่องย้ายที่ฝังศพ แต่ประการแรกเพราะหรงตะวันตกอยู่ห่างไกลนับพันลี้ เคลื่อนย้ายไม่สะดวก ประการที่สองภารกิจในราชสำนักยุ่งเหยิงซับซ้อน ข้าไม่อาจเพิ่มภาระยุ่งยากให้ฝ่าบาท ประการที่สามเมื่อใคร่ครวญถึงไท่ซั่งหวง ก็กลัวว่าจะไปรื้อฟื้นเรื่องที่ทำให้พระองค์เสียพระทัยขึ้นมาอีก เรื่องนี้จึงถูกปล่อยล่วงเลยมา เจ้าเชิญอัฐิกลับมา เท่ากับทำให้เรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจของข้าลุล่วงไป ลำบากเจ้าแล้ว’

ฮองเฮาตรัสไป ความเศร้าอาดูรก็พวยพุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจจนต้องรีบเบือนหน้าหนี ครู่ใหญ่จึงหันกลับมา ก่อนจะลุกขึ้นพยุงจิ้นอ๋องด้วยองค์เอง ‘ลุกขึ้นเถิด’

ขอบพระเนตรแดงก่ำของฮองเฮาไม่อาจหลุดรอดจากสายตาจิ้นอ๋องไปได้ เขาก้มหน้าเอ่ยขึ้น ‘ซูเฟยสิ้นไปก่อนวัยอันควร กระหม่อมเห็นพระองค์เป็นดั่งพระมารดาผู้ให้กำเนิด เพียงแต่กระหม่อมรู้ฐานะตนเองดี ไม่กล้าทำตัวสนิทสนมชิดใกล้ เพียงหวังจะสามารถช่วยอะไรได้บ้างแม้เพียงน้อยนิด…’

ฮองเฮาพยุงเขากลับขึ้นนั่ง พลางตรัสขึ้น ‘หลายปีมานี้ข้าไม่ได้ทำหน้าที่ของแม่อย่างเต็มที่ กับเจ้าก็นับว่าบกพร่องแล้ว’

‘ไม่ กระหม่อมอยู่เป่ยฝู่ก็นึกถึงพระคุณและความเมตตาของพระองค์อยู่เสมอ…’

ฮองเฮานิ่งมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ‘ในเมื่อเห็นข้าเป็นดั่งมารดา ไยต้องวางตัวห่างเหินเช่นนี้’

จิ้นอ๋องนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง สุดท้ายก็เรียกเบาๆ ‘พระมารดา’

ฮองเฮาเห็นเขาตัวสั่นน้อยๆ ในที่สุดก็ใจอ่อน เพราะซูเฟยที่ล่วงลับไปแล้วเป็นเหตุให้นางมีอคติต่อพระโอรสที่เกิดจากพระชายาผู้นี้อยู่บ้าง จิ้นอ๋องกลับเมืองหลวงในครั้งนี้ แม้นางจะไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรต่อการตัดสินพระทัยของฝ่าบาท แต่ในใจก็ไม่เห็นด้วยนัก ทว่าจิ้นอ๋องช่วยนำอัฐิของพระโอรสองค์โตกลับมา นั่นทำให้นางทั้งนึกละอายและสงสาร ความแสลงใจตลอดหลายปีที่ผ่านมามลายหายไปถึงเจ็ดแปดส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรักและเคารพ ตนก็เป็นแม่คน จะใจแข็งปฏิเสธไม่ยอมรับเขาได้อย่างไร

หลังจากต่างคนต่างนิ่งเงียบอยู่นาน ฮองเฮาจึงตรัสขึ้น ‘เรื่องย้ายที่ฝังศพ ฝากเจ้าจัดการจะได้หรือไม่’

จิ้นอ๋องประสานมือคำนับ ‘กระหม่อมจะทำสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ’

หลังจากนั้นสองคนแม่ลูกก็สนทนาเรื่องทั่วไปอีกครู่หนึ่ง จิ้นอ๋องเห็นฮองเฮาสีหน้าดูอ่อนล้า จึงไม่รั้งอยู่นาน ทูลลากลับไป

“หลังจากวังกลางส่งจิ้นอ๋องแล้วก็ประทับอยู่ในห้องพระมาโดยตลอด” หร่านเซียงเล่าเหตุการณ์ที่ฮองเฮาพบจิ้นอ๋องแล้วก็เอ่ยเสริมขึ้น “ข้าห่วงว่าวังกลางจะทรงกลัดกลุ้มเป็นทุกข์ และนึกถึงว่าแต่ไรมาวังกลางก็ทรงใกล้ชิดสนิทสนมกับแม่นางน้อย ด้วยเหตุนี้จึงถือวิสาสะไปเชิญแม่นางน้อยมา”

ฉีซู่พยักหน้า “ข้าเข้าใจ ถ้ามีอะไรที่ข้าสามารถทำได้ เชิญพี่สาวสั่งมาได้เลย”

เมื่อได้รับการพยักหน้ายินยอมจากฉีซู่ หร่านเซียงจึงเข้าไปในห้องพระ ครู่เดียวก็ออกมาบอกว่า “วังกลางเชิญแม่นางน้อยเข้าไป”

ฉีซู่เข้าไปในห้องพระ เห็นเงาร่างที่คุกเข่าอยู่หน้าพระพุทธรูปของฮองเฮาสั่นไหวไปตามเปลวเทียนบนเชิงเทียนทองแดงที่ลดหลั่นเป็นชั้นๆ ภายในห้อง

“ฉีซู่หรือ” ฮองเฮาไม่ได้ทรงหันมา

“เพคะ” ฉีซู่เดินเข้าไปใกล้ฮองเฮา แล้วคุกเข่าลงข้างพระวรกาย

“เจ้าได้ยินข่าวมาแล้วหรือ” ฮองเฮาทรงหันมา ฉีซู่เห็นคราบน้ำตาบนพระพักตร์ชัดเจน

ฉีซู่ลังเลเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยเสียงแผ่ว “จิ้นอ๋องเชิญอัฐิกลับมาเป็นเรื่องดี พระมารดาควรดีพระทัยจึงจะถูก”

“ใช่” ฮองเฮาพึมพำ “ข้าควรดีใจ…”

ฮองเฮาทรงคุกเข่าอยู่นานจึงประคองตัวไม่อยู่ ร่างค่อยๆ ทรุดลงไป ฉีซู่ได้แต่ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีประคองฮองเฮาไว้

“ลูกคนนั้น…ในที่สุดก็กลับมาแล้ว…” เสียงสะอื้นของฮองเฮาดังขึ้นเบาๆ

เสียงแผ่วเบานี้ฝากแฝงไว้ด้วยความคิดถึงทั้งหมดของแม่คนหนึ่ง ฉีซู่ได้ยินแล้วยิ่งเศร้ารันทดวังเวงใจอย่างที่สุด

เพราะเรื่องนี้ ทำให้ฉีซู่ให้ความสนใจจิ้นอ๋องเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน

 

หลังจากจิ้นอ๋องกลับมาเมืองหลวง ฝ่าบาทก็ทรงให้ความสำคัญกับเขาอย่างยิ่ง เขามาถึงเมืองหลวงยังไม่ถึงหนึ่งเดือนเต็มก็มีรับสั่งให้เขาอยู่เมืองหลวงต่ออีกสักระยะ ไม่ต้องรีบร้อนกลับไปเป่ยฝู่ ยามว่างฮ่องเต้ก็มักเรียกตัวจิ้นอ๋องเข้าวังมาแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับความเรียงบทประพันธ์ต่างๆ ได้ยินว่าสองพ่อลูกเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย

จิ้นอ๋องรูปโฉมสง่างาม ความสามารถและสติปัญญาเหนือผู้คน ทั้งยังนิสัยอ่อนโยน ช่างเอาใจใส่เข้ากับคนได้ทุกชั้น เพียงเข้าออกวังหลวงไม่กี่ครั้งก็ได้รับการสรรเสริญจากผู้คนในวังแล้ว นางกำนัลตู้ซื่อที่แต่ไรมาไม่ค่อยซักถามถึงเรื่องภายในวังก็ยังเอ่ยถามฉีซู่ “ได้ยินว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนในวังหลวงที่มีต่อจิ้นอ๋องดีมาก แม่นางน้อยเคยพบเขาหรือไม่”

ฉีซู่หัวเราะ “เคยเจอกันอย่างรีบๆ ร้อนๆ ครั้งหนึ่ง นอกจากรู้สึกว่าหน้าตามีส่วนคล้ายรัชทายาทอยู่หลายส่วน ก็พูดไม่ได้ว่ารู้เรื่องอะไรอีก”

ตู้ซื่อได้ยินแล้วถามขึ้นเบาๆ “ช่วงหลังมานี้รัชทายาทสำราญดีอยู่หรือ”

“รัชทายาท…ไม่มีอะไรแตกต่างจากปกติ…” ฉีซู่ไม่อยากพูดเรื่องไม่ดีของหลี่เฉิงเพ่ย จึงตอบอย่างพอขอไปที

ตู้ซื่อมีหรือจะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของฉีซู่ นางทำท่าจะพูดอะไรหลายครั้งแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายได้แต่ทอดถอนใจออกมาทีหนึ่ง ฉีซู่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงถอนหายใจ จะอย่างไรตู้ซื่อก็เป็นคนข้างพระวรกายไท่ซั่งหวง นางไม่สะดวกจะแพร่งพรายข่าวสารมากกว่านี้ จึงจำต้องเงียบไว้

หลังจากทั้งสองสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง ฉีซู่ก็กล่าวลาตู้ซื่อเดินกลับตำหนักฮองเฮาตามเส้นทางเดิม ตอนเดินผ่านสระไท่เยี่ย นางก็เห็นเงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งยืนโต้ลมอยู่ พอเดินเข้าไปใกล้จึงพบว่าคนผู้นั้นก็คือเด็กหนุ่มที่เคยพบหน้ากันเมื่อหลายวันก่อน

เด็กหนุ่มยังคงอยู่ในชุดปกติธรรมดา เขายืนอยู่ใต้ต้นเฟิง เหม่อมองดูน้ำในสระคิดอะไรในใจ พอรู้สึกว่ามีคนเข้ามาใกล้ เด็กหนุ่มก็หันหน้ามา เมื่อเห็นเป็นฉีซู่จึงคลี่ยิ้ม “แม่นางน้อย”

ฉีซู่เดินเข้าไปทำความเคารพ เรียกขึ้นเบาๆ “ถวายพระพรจิ้นอ๋อง”

เด็กหนุ่มรับการคารวะจากนางอย่างสงบ ยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ครั้งก่อนดีที่ได้แม่นางน้อยให้ความช่วยเหลือ ข้าจึงไม่ถึงกับทำเรื่องเสียมารยาทต่อวังกลาง”

“หากไม่ใช่เพราะหม่อมฉัน ท่านอ๋องก็คงไม่ทุลักทุเลเช่นนั้น”

จิ้นอ๋องยิ้มๆ มองผิวน้ำในสระไม่พูดอะไร

ฉีซู่มองตามสายตาของเขาไป ก็เห็นหลังคาตำหนักเฉิงเซียงโผล่พ้นพุ่มไม้ดอกไม้ออกมา นางพลันตระหนักรู้เพราะเหตุใดครั้งก่อนจึงได้พบจิ้นอ๋องที่นี่ จึงเอ่ยเสียงต่ำ “ตำหนักเฉิงเซียงเวลานี้ไม่มีคนพักอาศัย หากท่านอ๋องคิดถึงซูเฟย ไปนั่งที่นั่นสักพักก็ไม่เป็นไร”

จิ้นอ๋องยิ้มน้อยๆ “ไม่ ข้ามารอเจ้า”

ลมใบไม้ร่วงพัดผ่าน ใบไม้แห้งเหี่ยวปลิวปรายลงมา แสงสะท้อนในสระไท่เยี่ยสาดประกายวิบวับดุจเกล็ดปลา

ฉีซู่ตะลึงมองผิวน้ำที่มีระลอกคลื่นน้อยๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงใช้น้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อถามขึ้น “รอหม่อมฉัน?”

จิ้นอ๋องยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้า “ไม่ผิด รอเจ้า” เขามองน้ำใสในสระ เอ่ยขึ้นเบาๆ “ข้าคิดว่าในเมื่อครั้งก่อนพบเจ้าที่นี่ บางทีเจ้าอาจจะมาอีก ข้าไม่สะดวกจะไปหาเจ้าที่ตำหนักฮองเฮา ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่ในบางครั้ง”

ฉีซู่มองจิ้นอ๋องอย่างพินิจพิจารณา หน้าตาของเขามีส่วนคล้ายรัชทายาทอยู่มาก เพียงแต่เขาอยู่เป่ยฝู่ต้องใช้ชีวิตโชกโชนมากกว่า สีผิวจึงดูเข้มกว่ารัชทายาท ทั้งมีนัยน์ตาหงส์เรียวยาวอีกคู่หนึ่ง ไม่เหมือนรัชทายาทที่มีนัยน์ตาไร้เดียงสารูปผลซิ่ง*

“แม่นางน้อย” จิ้นอ๋องเห็นฉีซู่เหม่อลอย จึงอดเลิกคิ้วพลางร้องเรียกไม่ได้

ฉีซู่รีบถอนสายตา ก้มหน้าแล้วเอ่ยถาม “ท่านอ๋องรอพบหม่อมฉันมีธุระอะไรหรือ”

จิ้นอ๋องหยิบกระบอกไม้ไผ่สีเขียวออกมาจากแขนเสื้ออันหนึ่ง ยื่นมาตรงหน้านาง “เพียงอยากจะมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้ชิ้นหนึ่ง ถือเป็นการตอบแทนที่ช่วยเย็บเสื้อให้”

ฉีซู่รับมาด้วยความงุนงง กระบอกไม้ไผ่เกลี้ยงเกลาเขียวขจี ด้านบนมีแผ่นปลอกรังไหมสีขาวหุ้มปิดอยู่ ฉีซู่ทายไม่ถูกว่าข้างในมีอะไร

“เปิดออกมาดูสิ” จิ้นอ๋องเอ่ยเสียงนุ่ม

ฉีซู่ดึงปลอกรังไหมออกมา เห็นในกระบอกมีม้วนกระดาษที่มีตัวอักษรอยู่สองแผ่น นางดึงม้วนกระดาษออกมาคลี่ดู เป็นบทกวีสองบท ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาหรือลายมือ นางก็ไม่แปลกตาแม้แต่น้อย

จิ้นอ๋องเอ่ยขึ้นช้าๆ “ครั้งก่อนข้าเคยเห็นความเรียงที่เจ้าฝึกเขียนในห้องของเจ้า ข้าคิดว่าในเมื่อแม่นางน้อยฝึกเขียนอักษรหาน ก็คงจะสนใจบทกวีของรองหัวหน้าหานด้วย บทกวีสองบทนี้ข้าได้ไว้นานแล้ว ขอมอบให้แม่นางน้อยก็แล้วกัน”

“ขอบพระทัยท่านอ๋อง ลำบากท่านแล้ว” ฉีซู่ยอบตัวแสดงความเคารพ สำหรับนางแล้ว นี่นับเป็นของขวัญล้ำค่าอย่างแท้จริง

“ตอนรองหัวหน้าหานอยู่เมืองหลวง มักมาต่อโคลงกลอนกับขุนนางในราชสำนักอยู่เสมอ บทกวีที่ทิ้งไว้มีไม่น้อย ไม่ได้ลำบากอะไร” จิ้นอ๋องเดินเคียงไปกับฉีซู่อย่างดูเป็นธรรมชาติ “ทว่าหลังจากรองหัวหน้าหานถูกลดตำแหน่ง คนที่ฝึกเขียนตัวอักษรเช่นนี้ก็มีน้อยมาก เหตุใดแม่นางน้อยจึงเพียงชอบตัวอักษรหาน”

“เพราะ…รองหัวหน้าหานคือบิดาของหม่อมฉัน…”

จิ้นอ๋องหาได้แปลกใจ เพียงร้องอ้อคำหนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “คนในสมัยนั้นต่างบอกว่าอักษรหานงามวิจิตรเกินไป ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ตัวอักษรของรองหัวหน้าหาน ภายนอกสวยงามภายในแฝงไว้ด้วยความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี คนทั่วไปฝึกเขียนมักเขียนตามรูปแบบภายนอก จึงเป็นเหตุให้มีคำประเมินค่าเช่นนั้น ข้าดูตัวอักษรของแม่นางน้อย แม้รูปร่างจะยังไม่งดงามได้มาตรฐานของตัวอักษรหาน แต่มีท่วงทำนองและเสน่ห์แบบรองหัวหน้าหานอย่างแท้จริง”

* ผลซิ่ง คือผลแอปปริคอต

“ท่านอ๋องชมเกินไปแล้ว” ฉีซู่ใบหน้าแดงระเรื่อ “หม่อมฉันเพียงเขียนไปเรื่อยเปื่อย…”

ขณะนางกำลังพูด จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะด้วยความสนุกสนานของชายหญิงดังมาจากด้านหลังโขดหิน ทั้งสองต่างชะงักนิ่งไป

เพียงได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากโขดหินอีกหลายคำ จากนั้นก็มีเสียงบุรุษดังขึ้น “ฮ่าๆ ถูกข้าจับได้แล้วสิ”

จากนั้นก็มีเสียงกระฟัดกระเฟียดของอิสตรี “รัชทายาท…”

เสียงบุรุษนั่นชัดเจนว่าเป็นรัชทายาทหลี่เฉิงเพ่ย ฉีซู่กับจิ้นอ๋องหันมามองสบตากัน แล้วต่างเบนสายตาหลบไปด้วยความกระดาก

ทางด้านรัชทายาทกลับไม่รู้ตัว ยังคงกล่าวด้วยความสนุกสนาน “สนุกจริง สนุกจริงๆ! เจ้าฉลาดเฉียบแหลมเช่นนี้ ไม่สู้ข้าไปบอกพระมารดา ให้เจ้าไปอยู่วังตะวันออกจะได้เป็นเพื่อนเล่นกับข้า”

“หม่อมฉันไหนเลยจะคู่ควรไปอยู่วังตะวันออก” อิสตรีเอ่ยเสียงหวานหยาดเยิ้ม

“ข้าเป็นรัชทายาท ข้าบอกเจ้าคู่ควร เจ้าก็คู่ควร”

ฉีซู่ฟังมาถึงตรงนี้ก็ทนไม่ไหวชะโงกหน้าเข้าไป เห็นรัชทายาทกับนางกำนัลคนหนึ่งนั่งเคียงกันอย่างสนิทสนมอยู่บนหินผาสีเขียวอมดำ นางกำนัลผู้นี้ฉีซู่รู้จัก เป็นคนในตำหนักฮองเฮา มีชื่อว่าเสี่ยวชิว

พอฉีซู่ยื่นหน้ามา ก็ถูกรัชทายาทพบเห็นในทันที รัชทายาทเรียกออกมาคำหนึ่ง “ซู่ซู่!”

รัชทายาทดึงมือเสี่ยวชิวเดินมาหาฉีซู่ เห็นจิ้นอ๋องยืนอยู่ข้างกายฉีซู่ ก็อดแปลกใจไม่ได้ “ท่านพี่ เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้”

จิ้นอ๋องไม่ได้ตอบตรงๆ กลับทำความเคารพเขาอย่างไม่รีบไม่ร้อน “รัชทายาท”

รัชทายาทไม่เก็บมาใส่ใจ หันมาพูดกับฉีซู่ด้วยท่าทางดีอกดีใจ “เจ้ามาได้ประจวบเหมาะพอดี แผ่นทองลายดอกไม้ที่เจ้าช่วยทำให้ข้าครั้งก่อนดีมาก ช่วยทำให้ข้าอีกสองแผ่นเถิด”

ฉีซู่มองไปทางเสี่ยวชิวที่อยู่ข้างหลังรัชทายาท บริเวณกลางหน้าผากของเสี่ยวชิวมีแผ่นทองรูปดอกเหมยที่ประณีตงดงามนำสมัยติดอยู่แผ่นหนึ่ง นั่นเป็นแผ่นทองที่หลายวันก่อนรัชทายาทขอร้องให้นางช่วยทำให้ ฉีซู่หลุบตาลง ไม่ได้พูดอะไร

“ซู่ซู่?” รัชทายาทดูแปลกใจกับท่าทีของฉีซู่ “เจ้าเป็นอะไรไป มีอะไรหรือไม่”

“ไม่มีอะไร” ฉีซู่ก้มหน้าเอ่ยตอบ “รัชทายาทต้องการลวดลายแบบใด”

น้ำเสียงของนางสั่นเล็กน้อย แม้แต่จิ้นอ๋องได้ยินแล้วยังอดมองนางไม่ได้ รัชทายาทกลับไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของฉีซู่ ยังคงยิ้มเบิกบานใจ “เจ้าอยากทำแบบใดก็ทำแบบนั้นเถิด ในวังใครบ้างไม่รู้ว่าเจ้าฝีมือดี สิ่งที่เจ้าทำล้วนงดงาม”

“เพคะ” ฉีซู่รับคำเสียงแผ่ว

รัชทายาทอารมณ์ดียิ่ง กล่าวกับฉีซู่ต่อ “เช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะ”

เขาหันไปพยักพเยิดกับเสี่ยวชิว เสี่ยวชิวจึงรีบเดินตามหลังเขาไป

ฉีซู่กับจิ้นอ๋องมองส่งรัชทายาทเดินไปไกล รอจนเงาร่างของคนทั้งสองหายลับไปแล้ว จิ้นอ๋องจึงทอดถอนใจออกมาเบาๆ พลางเอ่ย “เขาเป็นรัชทายาท”

ฉีซู่ได้ยินจิ้นอ๋องพูดขึ้น ก็ช้อนตาขึ้นมองเขาด้วยความแปลกใจ

สายตาของจิ้นอ๋องเต็มไปด้วยความเวทนา เขาเอ่ยช้าๆ “โอรสสวรรค์ในวันหน้าไม่มีทางมีสตรีเพียงคนเดียว”

ฉีซู่หน้าแดงฉาน ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง กล่าวอย่างเคร่งขรึม “คำพูดของท่านอ๋อง ข้าไม่เข้าใจ”

จิ้นอ๋องจ้องมองนาง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงสะบัดชายแขนเสื้อแล้วยิ้ม “ถือเสียว่าข้าพลั้งปากไปก็แล้วกัน” เขามองท้องฟ้าแล้วกล่าวต่อ “สายมากแล้ว ข้าต้องออกจากวังแล้ว”

ฉีซู่ไม่ได้พูดอะไร เพียงยอบตัวให้เขา

จิ้นอ๋องจ้องมองนางอย่างลึกซึ้งคราหนึ่ง แล้วเดินจากไปตามทางเดินเล็กๆ

เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากนั้นสองวัน จู่ๆ รัชทายาทก็มาที่ห้องพักของฉีซู่ด้วยท่าทางโมโหฮึดฮัด

ฉีซู่ถามด้วยความแปลกใจ “รัชทายาทเป็นอะไรไปหรือ”

รัชทายาทไม่ตอบ เพียงทอดตัวลงนอนอยู่ข้างโต๊ะยาว

ฉีซู่กลอกตาเล็กน้อย ก่อนลองถามอย่างหยั่งเชิง “เป็นเพราะข้ายังทำแผ่นทองลายดอกไม้ไม่เสร็จหรือ หลายวันมานี้วังกลางทรงไม่ค่อยสบาย ข้าต้องอยู่ข้างพระวรกายนานขึ้นสักหน่อย ไม่ค่อยมีเวลาว่าง พรุ่งนี้ข้าจะรีบทำให้เสร็จแล้วมอบให้ท่าน ได้หรือไม่”

“ไม่ต้องทำแล้ว” รัชทายาทเอ่ยเสียงอู้อี้

ฉีซู่ไม่เข้าใจ

รัชทายาทพลันพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง กล่าวอย่างแค้นเคือง “พระมารดาย้ายเสี่ยวชิวไปเป็นคนเฝ้าประตูแล้ว”

จากคนรับใช้ข้างพระวรกายฮองเฮากลายเป็นคนเฝ้าประตูที่รับหน้าที่เฝ้าประตูวัง เห็นชัดว่าเป็นการลงโทษที่หนักหนาเพียงใด

ฉีซู่นั่งลงข้างรัชทายาท “นางทำเรื่องอะไรให้ฮองเฮากริ้ว”

รัชทายาทแค่นเสียงฮึ “ไม่ได้ทำ เมื่อครู่พระมารดายังเรียกข้าไป อบรมข้าอยู่พักใหญ่บอกว่ารัชทายาทควรมีความประพฤติคุณธรรมที่ดี ไม่อาจลุ่มหลงอิสตรี คำพูดเก่าๆ น่าเบื่อ”

ฉีซู่เข้าใจแล้ว จะต้องเป็นเพราะฮองเฮาทราบเรื่องความสนิทสนมส่วนตัวของรัชทายาทกับเสี่ยวชิวจึงได้จงใจทำเช่นนั้น เรื่องนี้ก็ไม่อาจโทษวังกลาง เมื่อก่อนจิ้นอ๋องไม่ได้อยู่เมืองหลวง ไม่มีใครให้เปรียบเทียบ เวลานี้จิ้นอ๋องกลับมาเมืองหลวง แม้จะเป็นเพียงเวลาอันสั้น แต่ก็ได้รับการสรรเสริญว่าเป็น ‘อ๋องผู้ทรงคุณธรรมปัญญา’ ชื่อเสียงบารมีของจิ้นอ๋องนับวันเพิ่มพูน รัชทายาทกลับยังว่าไปตามเรื่องของตนไม่สนใจใคร ดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง มิน่าวังกลางจึงร้อนพระทัย

ฉีซู่ปลอบใจรัชทายาทอย่างนุ่มนวลและอ้อมค้อม “วังกลางทรงทำเพื่อท่าน เวลานี้…”

“พอแล้ว!” รัชทายาทบอกอย่างรำคาญ “พระมารดาพูดจบแล้วเจ้าก็มาพูดอีก ข้ารำคาญ”

ฉีซู่เห็นเขาเดือดดาลก็ไม่กล้าพูดอีก ได้แต่นั่งเงียบๆ

รัชทายาททิ้งตัวลงนอนใหม่ เขาพลิกไปพลิกมา โกรธแทบทนไม่ไหว แล้วกลับลุกขึ้นนั่งบ่นว่ากับฉีซู่ต่อ “เจ้าว่าพระมารดาทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ข้าเป็นรัชทายาทผู้มีสง่าน่าเกรงขาม กระทั่งนางกำนัลคนเดียวก็เอามาไม่ได้”

ฉีซู่หลุบตาไม่พูด

หลังจากรัชทายาทค่อยๆ สงบเยือกเย็นลงมา ก็นึกถึงปัญหาสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “พระมารดาทราบได้อย่างไรว่าข้าชอบเล่นกับเสี่ยวชิว”

ฉีซู่คิดในใจ ด้วยนิสัยเก็บความลับไม่อยู่ของรัชทายาท หากฮองเฮายังมองไม่ออกก็แปลกแล้ว แม้นางจะคิดเช่นนี้ แต่กลับเพียงสั่นศีรษะบอกไม่รู้

“เช่นนั้นก็แปลกแล้ว” รัชทายาทพึมพำ “หรือว่าจะมีคนแอบฟ้อง”

ฉีซู่เห็นสายตาของรัชทายาทมองมาที่ตน จึงกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าไม่ได้ทูลวังกลาง”

ความคิดที่ซุกซ่อนอยู่ในใจรัชทายาทถูกฉีซู่มองออก เขาได้แต่ยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างประดักประเดิด “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ต่อให้ข้าสงสัยใครก็ไม่สงสัยซู่ซู่หรอก” เขารู้สึกเสียหน้าจึงลุกขึ้นกล่าว “มืดค่ำแล้ว ข้า…ข้าต้องกลับวังตะวันออกแล้ว”

ฉีซู่มองรัชทายาทที่เดินออกประตูไปราวกับจะหนีอะไร แล้วถอนใจออกมาเบาๆ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 36

Comments

comments

Jamsai Editor:

View Comments