สามารถอ่านบทก่อนหน้าได้ที่ >> บทที่ 2.1
โหยวเหมี่ยวเลือกขนสัตว์จนได้เสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสองตัวแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะเอากลับไปมอบให้สหาย”
“ตระกูลคุณชายทำการค้าใหญ่โตจริงๆ”
“ใช่ๆ ชาเทียนฉิงเหมาเจียนปี้อวี่…”
พ่อค้ากลุ่มหนึ่งที่กำลังค้าขายสินค้ากันอย่างกระตือรือร้นอดกล่าวยกย่องสรรเสริญโหยวเหมี่ยวไม่ได้
“ใบชาหนึ่งชั่งราคาหนึ่งตำลึงเงินเชียวนะ”
“ไม่ใช่หรอก แค่สหายกล่าวยกย่องกันเท่านั้น” โหยวเหมี่ยวรีบแก้ตัว
ตระกูลของโหยวเหมี่ยวทำการค้าใหญ่โตจริงๆ…บิดาโหยวเต๋อชวนเป็นพ่อค้าชา มีไร่ชานับพันฉิ่ง ภูเขาชาไร่ชาในเมืองหลิวโจว มณฑลตงหนาน กว่าครึ่งเป็นของสกุลโหยว ทั้งยังทำการค้ากับราชสำนักด้วย ‘ชาเทียนฉิงเหมาเจียนปี้อวี่’ มีภูมิหลังไม่ธรรมดา เหล่าพ่อค้าล้วนยกย่องชาสกุลโหยวว่า ‘ใบชาหนึ่งชั่งราคาหนึ่งตำลึงเงิน’ ทุกปีใบชาจะส่งเข้าตลาดในเมืองหลวงและเสฉวนในช่วงต้นวสันตฤดู สามพันชั่งถวายแด่ราชสำนัก ที่เหลือพอเข้าสู่ตลาดก็ถูกแย่งซื้อกันจนหมด ราคาชาพุ่งสูงจนควบคุมไม่ได้และหาซื้อยากมาก กระทั่งขุนนางใหญ่โตยังต้องหาช่องทางติดสินบนจึงซื้อหามาได้
ห่าวซันเฉียนยุ่งหัวปั่น โหยวเหมี่ยวจึงเข้าไปช่วยอยู่ข้างๆ หยิบหีบไม้ใบใหญ่ออกมาเปิดแล้วอดหัวเราะขบขันไม่ได้ ข้างในอัดแน่นไปด้วยชาคั่วคุณภาพต่ำ…ใบชาที่ชาวเมืองหลวงเคยชงดื่มแล้วเอากากชามาผสมกับหญ้าบด จากนั้นนำไปคั่วซ้ำอีกครั้งจนแห้งค่อยนำมาขายเป็นชาคั่วแทน นี่เป็นชาที่พวกคนใช้แรงงาน คนขับรถม้า และคนยากจนนิยมดื่มกัน ในตรอกเล็กๆ ก็มักจะเห็นใบชาเหล่านี้ตากไว้บนหลังคา
โหยวเหมี่ยวส่งหีบไม้ใบนั้นให้ พ่อค้าสองคนที่อยู่ด้านข้างก็รับมาชั่งคำนวณน้ำหนัก ชาวหูกลุ่มหนึ่งรุมล้อมเข้ามามองตาชั่ง และถกเถียงกันใหญ่เรื่องเงินไม่กี่ตำลึง ขนสัตว์หนาๆ หนึ่งหาบแลกใบชาห้าชั่ง รองเท้าปักหยาบๆ สิบคู่ ผ้าปักดิ้นทองลายเมฆมงคลที่ย้อมเป็นสีฟ้าหนึ่งพับ โหยวเหมี่ยวคำนวณคร่าวๆ ในใจ สินค้าเหล่านี้มีราคาไม่ถึงหนึ่งก้วน* ด้วยซ้ำ แต่ข้าวของที่แลกมาได้กลับมีค่าสูงถึงสี่สิบห้าสิบตำลึง
สุดท้ายพ่อค้ายังเก็บหีบคืนมา ชาวหูพวกนั้นร้องขอหีบจากเขา ถึงโหยวเหมี่ยวทราบดีว่าถ้าไม่มีเล่ห์กลคงเป็นพ่อค้าไม่ได้ แต่ก็ทนดูเฉยไม่ไหวจึงเอ่ยว่า “ช่างเถอะๆ ยกหีบให้พวกเขาไป จะขนกลับไปทำไม”
หีบไม้เคลือบใบนั้นมีสีดำสลับแดง วาดลวดลายรูปสาวงาม ชาวหูมองว่าเป็นของล้ำค่า แต่โหยวเหมี่ยวทราบดีว่าสิ่งของเหล่านี้ใช้ฝีมือทำหยาบๆ ไม่ใช่วัตถุโบราณสูงค่า บ้านขุนนางทั่วไปยังไม่ใช้กัน แต่พอเห็นพวกพ่อค้าลอบยิ้มค่อยทราบว่าคนพวกนี้สมคบคิดกันก่อนแล้ว พวกเขาตั้งใจนำหีบไม้ใบนี้มาขายตั้งแต่แรก แต่ทุกคนไม่ยอมพูดออกมา เพราะจงใจรอให้ชาวหูเอาของมาเสนอแลกเปลี่ยน
“ได้…ทำตามคุณชายว่าทุกอย่าง” ห่าวซันเฉียนกล่าวยิ้มๆ แล้วต่อรองราคาอีกรอบ สุดท้ายหีบไม้ใบนั้นก็แลกกระดูกเสือมาได้อีกสามชั่ง
โหยวเหมี่ยวอดถอนหายใจไม่ได้ วันนั้นตอนเดินเที่ยวตลาดเล่น ทุกคนต่างหอบหิ้วถุงน้อยใหญ่กลับไป พอวันที่สองตื่นมาตอนเช้าตรู่ก็ออกไปตั้งแผงขายของที่ตลาดอีกครั้ง แค่วันเดียวข้าวของก็แลกเปลี่ยนหมดเกลี้ยง ตอนก่อนพลบค่ำยังมีผู้คนหลงเหลืออยู่ในตลาด ต่างคนต่างนั่งล้อมวงจุดไฟผิงแก้หนาว ตลาดแห่งนี้เปิดตลอดจนถึงตอนชาวฮั่นฉลองปีใหม่ ชาวหูห้าชนเผ่าฉลองวันเหมายัน** และอีกหลายเผ่าฉลองเทศกาลอาหาร เช่นชาวเจี๋ยหมัวหรือชาวซีอวี้เป็นต้น ห่าวซันเฉียนเข้ามาปรึกษาหารือกับโหยวเหมี่ยว “คุณชาย ชาวหูที่เคยเดินทางลงใต้หลายคนบอกว่าพายุหิมะกำลังจะพัดมาอีกแล้ว”
* ก้วน แปลว่า ‘พวง’ เป็นหน่วยเงินของจีนในสมัยโบราณ แรกเริ่มนั้นใช้เรียกเงินที่ร้อยเป็นพวง โดยหนึ่งพวงประกอบด้วยเหรียญอีแปะ (เหรียญสำริด) 1,000 เหรียญ แต่ต่อมาใช้เป็นหน่วยของเงินขาวที่มีมูลค่า 1,000 เฉียน ซึ่งเทียบเท่ากับ 1 ตำลึงเงิน
** วันเหมายัน เป็นวันที่ดวงอาทิตย์โคจรไปถึงจุดหยุด (solstice) คือจุดสุดทางใต้ที่ดวงอาทิตย์โคจรไปถึงในราววันที่ 21-22 ธันวาคม ส่งผลให้มีกลางคืนนานกว่ากลางวัน ตรงข้ามกับวันครีษมายันที่กลางวันนานกว่ากลางคืน
“แล้วเราต้องอยู่ต่ออีกกี่วัน ที่นี่ต้านพายุหิมะได้หรือไม่” โหยวเหมี่ยวยังไม่เข้าใจจึงถามด้วยความงุนงง
ห่าวซันเฉียนทำหน้าลำบากใจก่อนตอบ “เกรงว่าจะต้านไม่อยู่…”
“เข้าใจแล้วๆ ถ้าอย่างนั้นก็รีบออกเดินทางเถอะ ทุกคนรีบมุ่งใต้โดยเร็ว กลับเร็วกว่ากำหนดนิดหน่อยก็ถึงบ้านเร็วขึ้น” โหยวเหมี่ยวเพิ่งเข้าใจ
ห่าวซันเฉียนเดินไปสั่งให้เก็บของขึ้นรถพร้อมรอยยิ้ม พวกเขาอยู่ที่เมืองเหยียนเปียนวันเดียวก็เตรียมตัวลงใต้แล้ว คราวนี้ไม่ได้ย้อนกลับทางเดิม แต่เดินเลียบแม่น้ำหวงเหอไปทางตะวันออกจนเข้าสู่เขตเมืองชางโจวและหลิวโจว
เวลาก่อนพลบค่ำ ดวงตะวันแดงก่ำดุจเลือดลอยแขวนอยู่บนท้องฟ้าไกลลิบๆ ฝูงกาบินอยู่นอกกำแพง เหล่าพ่อค้าเร่รับคำแล้วรีบไปเก็บสินค้าและตระเตรียมรถม้า โหยวเหมี่ยวนั่งอยู่นอกโรงเตี๊ยม ดื่มชาเนยร้อนกรุ่นแล้วตรวจนับสินค้าที่ตนเองแลกมาได้
การเดินทางค้าขายระหว่างจงหยวนกับนอกด่านได้กำไรดีจริงๆ โหยวเหมี่ยวเห็นทุกคนแลกเปลี่ยนสินค้าจนชักคันไม้คันมือ อดหยิบข้าวของที่นำติดตัวมาด้วยออกไปแลกไม่ได้ สุดท้ายได้หนังเสือหิมะคุณภาพดีเยี่ยม หัวใจกับดีเสืออีกห่อหนึ่ง อุ้งตีนหมีสองข้าง หนังหมีสี่ผืน ตั้งใจว่าจะนำกลับบ้านไปมอบให้บิดาเป็นการแสดงความกตัญญู เพื่อจะได้ขอเงินเพิ่มอีกหน่อย
โหยวเหมี่ยวตัดสินใจแล้วว่าต่อไปถ้าหากเงินทองขัดสน จะออกเดินทางกับขบวนสินค้าสักปีละสองหน รับรองว่าต้องหาเงินกลับคืนมาได้แน่…
ทว่าการตั้งแผงค้าขายในตลาดต้องมีหนังสืออนุญาต และการจะหาคนช่วยออกหนังสืออนุญาตให้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งไม่ใช่ว่าใครก็สามารถติดตามขบวนสินค้าออกนอกด่านได้หมด
หลี่จื้อเฟิงรับของมาแล้วก็นำขึ้นรถ เงาทอดตัวยาวออกไปนอกด่าน เมฆตรงขอบฟ้าฉาบย้อมด้วยสีแดงดุจเปลวเพลิง ทางเหนือมีเมฆดำทะมึนจางๆ คาดว่าพายุหิมะคงใกล้จะมาแล้ว
“หลี่จื้อเฟิง” โหยวเหมี่ยวเอ่ย “มาดื่มชาให้ร่างกายอบอุ่น”
หลี่จื้อเฟิงไม่ตอบ หลังจากเก็บข้าวของเสร็จก็ยืนคอตั้งตรงอยู่ด้านหลัง โหยวเหมี่ยวจึงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “นั่งเถอะ บอกให้เจ้าดื่มก็ดื่มเสีย ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”
หลี่จื้อเฟิงมองโหยวเหมี่ยวเนิ่นนานก่อนถามว่า “เรื่องอะไร”
“เจ้านั่งก่อนสิ”
“ข้าเป็นทาสของเจ้า นั่งไม่ได้ การปรนนิบัติเจ้าเป็นหน้าที่ของข้า”
“ตอนนี้เจ้าไม่ใช่อีกแล้ว”
หลี่จื้อเฟิงชะงัก คิ้วคมเฉียงขมวดเล็กน้อย โหยวเหมี่ยวล้วงห่อเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าจริงจัง “เอ้า อันนี้ให้เจ้า”
“เราสองคนได้มารู้จักกัน นับว่ามีวาสนาต่อกันแล้ว” โหยวเหมี่ยวเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “หนังสือสัญญาขายตัวคืนให้เจ้า นับจากนี้ไปเจ้าเป็นอิสระแล้ว ส่วนนี่เงินเล็กน้อยเก็บไว้เป็นค่าเดินทาง เจ้าจงกลับบ้านไปเสีย คนในเผ่าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง เราจากกันตรงนี้เถอะ”
หลี่จื้อเฟิงตกตะลึง ลมพัดแรงจนป้ายผ้าเหนือโรงเตี๊ยมสะบัดเสียงดัง หนังสือสัญญาขายตัวเผยอขึ้นตามแรงลมเผยให้เห็นเศษเงินด้านใน
“ทำไม” หลี่จื้อเฟิงดูเหมือนยังไม่เข้าใจ
“ก็ไม่ทำไม มีคำกล่าวว่าเป็นสามีภรรยากันหนึ่งคืน…เอ่อ ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นร้อยวัน อย่างไรเสียเราก็เคยทำเรื่องเช่นนั้นกันแล้ว จงกลับไปใช้ชีวิตของตัวเจ้าเองเถอะ ข้าไม่มีอะไรจะให้เจ้าอีกแล้ว”
ดวงตาของหลี่จื้อเฟิงแดงก่ำ จ้องมองโหยวเหมี่ยวนิ่งนาน โหยวเหมี่ยวทราบดีว่าหลี่จื้อเฟิงกำลังซาบซึ้งใจมากจึงรู้สึกกระดากใจขึ้นมา กล่าวต่อว่า “เดิมทีข้าก็ไม่อยากให้เจ้าจากไปเช่นนี้ แต่เจ้าเป็นคนนอกด่าน ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่เป็นทาสต่อ ท่านแม่ข้าเคยบอกว่าชีวิตคนเรามีดีมีร้าย ต่อให้ชะตาชีวิตรันทดก็ตัดพ้อสวรรค์ไม่ได้…นี่ข้ากำลังพูดอะไรกันเนี่ย สรุปว่าต่อไปก็ใช้ชีวิตของเจ้าให้ดีๆ คิดเสียว่าเราคบหาเป็นสหายกันก็พอ”
โหยวเหมี่ยวพูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อน ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไร แต่แล้วห่าวซันเฉียนก็ตะโกนมาจากไกลๆ
“คุณชาย…ต้องออกเดินทางแล้ว…”
โหยวเหมี่ยวยืนอยู่ท่ามกลางแสงสายัณห์ หลี่จื้อเฟิงยืนนิ่งเงียบอยู่ตำแหน่งเดิม โหยวเหมี่ยวที่มีรูปร่างเตี้ยกว่าหลี่จื้อเฟิงเกือบหนึ่งช่วงศีรษะยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าของอีกฝ่ายแล้วตบแก้มเบาๆ ท่าทางดูอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย แต่ต่อให้ตัดใจไม่ลงก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเขาพาหลี่จื้อเฟิงกลับบ้านไม่ได้ ถ้าบิดารู้เข้าจะช้าหรือเร็วก็ต้องโดนขับไล่ไปอยู่ดี
แม้ว่าเขาจะซื้อหลี่จื้อเฟิงกลับมาด้วยเงินจำนวนมากถึงสองร้อยตำลึง แต่ก็เคยช่วยชีวิตอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยมือตัวเอง ย่อมต้องรู้สึกผูกพันกันบ้างเป็นธรรมดา บวกกับอยู่ร่วมกันมาระยะหนึ่ง ทั้งยังเคยมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง โหยวเหมี่ยวเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดบิดาจึงรักใคร่ผูกพันกับอนุในบ้านนัก
การปล่อยหลี่จื้อเฟิงจากไปด้วยดีก็นับว่าเป็นการทำความดีอย่างหนึ่ง
“ข้าไปล่ะ” โหยวเหมี่ยวเอ่ย “เจ้าก็อย่าทุบตีชาวฮั่นอีกนะ จำไว้ให้ดีว่าชีวิตของเจ้าข้าเป็นคนช่วยไว้ ดังนั้นห้ามทุบตีชาวฮั่นอีก ไปเถอะ ขุนเขาไม่เปลี่ยนสายน้ำไม่ขาด เราคงได้เจอกันอีก”
โหยวเหมี่ยวยิ้มแล้วก้าวขึ้นรถม้า หลี่จื้อเฟิงยืนกำหนังสือสัญญาขายตัวของตัวเองนิ่งงันอยู่ที่เดิมราวกับท่อนไม้ มองส่งขบวนรถม้าที่ทยอยแล่นจากไป จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ โหยวเหมี่ยวเปิดม่านหน้าต่างแล้วยื่นมือออกไปโบก รถม้าแล่นออกจากเมืองเหยียนเปียน เงาร่างของหลี่จื้อเฟิงมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ จนเหลือแค่จุดดำเล็กๆ
ขบวนรถออกเดินทาง โหยวเหมี่ยวนั่งอยู่ในรถม้าตามลำพัง ท้องฟ้าด้านนอกดำมืด ห่าวซันเฉียนถูฝ่ามือแล้วพ่นลมใส่มือให้อุ่นแล้วก้าวเข้ามาปรนนิบัติ พอเขาถามถึงเรื่องหลี่จื้อเฟิง โหยวเหมี่ยวก็ตอบไปตามตรงว่าอย่างไรเสียก็พากลับบ้านไม่ได้เลยไล่ไปแล้ว
“คุณชายช่างเหมือนพระโพธิสัตว์ที่ยังมีชีวิตจริงๆ” ห่าวซันเฉียนฟังจบก็เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“แค่ทำความดีเล็กน้อยเท่านั้น ดูไปแล้วก็น่าสงสารเหมือนกัน”
“คนผู้นี้บางครั้งอาจนำเภทภัยมาให้ในภายหลังก็ได้ คุณชายอาศัยอยู่ในเมืองหลวง มีฐานะตระกูลดีเป็นถึงคหบดีใหญ่ ไม่เหมือนพวกเราที่ใช้ชีวิตร่อนเร่อยู่ข้างนอก และฝากชีวิตไว้กับเทพแห่งการค้าบนสวรรค์เป็นประจำ โปรดอย่าขุ่นเคืองใจที่ข้าพูดจาไม่น่าฟังเลย คุณชายเป็นคนดีย่อมได้รับผลดีตอบแทน ปกติเราทำอะไรบ้าง สวรรค์มีตาย่อมเห็นทุกอย่าง…”
“อย่างนั้นหรือ” โหยวเหมี่ยวหัวเราะตอบ
ห่าวซันเฉียนพูดประจบสอพลออยู่ครู่หนึ่งก่อนจุดเตาชงชาให้โหยวเหมี่ยว ตลอดทางมาได้ยินเสียงลมพัดหวีดหวิว ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกอยู่ด้านนอก ห่าวซันเฉียนจึงลงจากรถไปนำทาง
พายุหิมะพัดมาอีกระลอกและเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พวกพ่อค้าเดินทางต้านลมต่อไป บางครั้งวกลงใต้ บางครั้งก็ลัดเลาะเส้นทางหลวงหักเลี้ยวขึ้นเหนือ เส้นทางช่วงนี้เดินทางยากลำบากที่สุด เพราะเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า มองไปไม่เห็นขอบฝั่ง พายุหิมะไม่มีอะไรกีดขวางจึงส่งเสียงกึกก้องเสมือนเสียงยักษ์คำราม และพัดกระโชกใส่พวกเขาเต็มแรง
โหยวเหมี่ยวรู้ว่าหากออกจากเมืองหวงโจว เข้าสู่เมืองเหลียงโจว เจอท้องฟ้าสดใสอีกครั้งก็ปลอดภัยแล้ว
พ่อค้าเหล่านี้นำสินค้าจากเมืองหลวงไปแลกเปลี่ยนกับของดีจากชาวหูนอกด่าน แล้วเลี้ยวลงใต้ไปทำการค้าครั้งที่สองที่เหลียงโจว หลิวโจว และหยางโจว โดยนำสินค้าไปแลกเปลี่ยนเป็นก้อนเงินหรือตั๋วเงิน จากนั้นก็เดินทางกลับเมืองหลวงไปรายงานผล
กรมอากรได้ชื่อว่าขูดรีดเก่งที่สุดในเมืองหลวง เพราะกรมอากรจะมอบป้ายวาณิชให้เหล่าพ่อค้า ถ้าหากพ่อค้าคนใดไม่มีป้ายวาณิชก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ค้าขายที่อื่นเด็ดขาด ดังนั้นกรมอากรจะริบเงินทองที่ได้จากการค้าขายไปห้าส่วนพร้อมจดรายชื่อไว้ โหยวเต๋อโย่วซึ่งเป็นเจ้าของสินค้ากับขุนนางต่างๆ ริบไปสี่ส่วน หนึ่งส่วนสุดท้ายที่เหลือแจกจ่ายให้พวกพ่อค้า
ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่ทุกปีก็มีผู้คนมากมายแวะเวียนมามอบเงินทองและของขวัญให้โหยวเต๋อโย่ว พยายามสรรหาสารพัดวิธีให้ได้เป็นหนึ่งในรายชื่อนั้น เพื่อจะได้รับเงินสี่สิบตำลึงจากการออกเดินทางค้าขาย
เมื่อถึงแถบเจียงเป่ย ขนสัตว์ กระดูกสัตว์ กำยานพวกนี้จะขายได้ราคาสูง จากนั้นนำไปแลกเป็นผ้าปัก ชาบรรณาการ และแป้งชาดจากหยางโจว…โหยวเหมี่ยวเอนพิงหน้าต่างรถงีบหลับไป มือควานข้างๆ โดยไม่รู้ตัว แต่กลับหาหลี่จื้อเฟิงไม่เจอ
เรียกใช้คนผู้นี้มาไม่กี่เดือน เวลานี้ไม่มีแล้วจึงรู้สึกไม่เคยชิน สายลมเย็นเยียบด้านนอกพัดโอบล้อมรถม้าจนได้ยินเสียงคำรามดังเป็นระยะ โหยวเหมี่ยวขดตัวอยู่ใต้เสื้อผ้าด้วยความอ่อนเพลีย
รถม้าจอดในป่าแห่งหนึ่ง ห่าวซันเฉียนตะโกนสู้ลมมาจากด้านนอก “คุณชาย ลมแรงเกินไป พวกเราไปต่อไม่ได้แล้ว ต้องพักกลางป่าคืนหนึ่ง”
โหยวเหมี่ยวตบหน้าต่างรถเป็นสัญญาณว่ารู้แล้ว ที่แห่งนี้อยู่ห่างจากเมืองเหยียนเปียนนับร้อยลี้ ถ้ารู้แต่แรกคงไม่ออกจากเมือง ใครจะรู้ว่าพายุหิมะจะมาเร็วเกินไป เวลานี้จะกลับไปก็ไม่ทันเสียแล้ว คงต้องเข้าไปหลบในป่าบนเนินเขาก่อน พวกพ่อค้าเดินขดตัวเหมือนกุ้งเอาผ้าคลุมปิดสินค้าบนรถม้าและตอกหมุดยึดไว้เพื่อกันลมกันหิมะ เสียงลมพัดผ้าสะบัดดังพึ่บพั่บเป็นระยะ หลังจากตอกหมุดยึดเสร็จแล้วพวกพ่อค้าก็มุดเข้าไปในรถม้าที่อัดแน่นไปด้วยกองขนสัตว์ รักษาชีวิตเอาไว้ก่อน
โหยวเหมี่ยวกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ในรถ อึดอัดไม่สบายตัว ลมหนาวเล็ดลอดเข้ามาทุกทิศทางจนทำให้เขารู้สึกปวดหัว ผ้านวมเย็นชื้น สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ขยับตัวลงพื้น หยิบหนังสือเล่มหนึ่งแล้วเอาผ้านวมห่อตัวจนหนาเตอะมานั่งผิงไฟ
สายลมด้านนอกค่อยๆ เบาลง โหยวเหมี่ยวคิดถึงหลี่จื้อเฟิงขึ้นมา ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน แต่แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าม้าวิ่งเข้ามาใกล้ ทีแรกโหยวเหมี่ยวคิดว่าเป็นทหารจากเมืองเหยียนเปียนมา แต่รอบข้างกลับไม่มีสุ้มเสียงใดๆ ขณะที่คิดจะเปิดหน้าต่างรถดูก็พลันได้ยินเสียงแผดร้องดังขึ้นมา
“อ๊าก…”
หัวใจของโหยวเหมี่ยวหดเกร็ง เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น คนในขบวนสินค้าตื่นกันหมด เสียงของห่าวซันเฉียนตะโกนอยู่ข้างนอกว่า “โจรปล้นขบวนสินค้า ทุกคนระวังตัว!”
เสียงแผดร้องดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย โหยวเหมี่ยวตกใจจนหน้าซีดเผือด สองขาสั่นระริก ได้ยินห่าวซันเฉียนตะโกนอีกว่า “ทุกคนรีบชักดาบออกมา ส่วนคุณชายอยู่ในรถ อย่าลงมาเด็ดขาด!”
โหยวเหมี่ยวอยู่ในรถม้าตามลำพัง ม่านตาหดแคบลง สมองโง่งม เขาเคยได้ยินคนเล่าเรื่องโจรปล้นขบวนสินค้ามาก่อน เมื่อก่อนใต้หล้าวุ่นวายจึงมีโจรภูเขาฆ่าคนปล้นเงินทองอยู่ทั่วไป แต่หลายปีมานี้แผ่นดินสงบร่มเย็น เหตุใดยังมีโจรปล้นขบวนสินค้าอีกเล่า
หัวใจของโหยวเหมี่ยวเต้นรัวแรง เอาแต่ปลอบใจตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่เป็นไรๆ คนพวกนี้กล้าเดินทางออกนอกด่านย่อมต้องมีฝีมือกันบ้าง แต่ไหนแต่ไรมาขบวนพ่อค้าในเส้นทางซีเป่ยก็ดุร้ายกว่าโจรภูเขาเสียอีก คาดว่าคงเตรียมพร้อมรับมือกันไว้ล่วงหน้าแล้ว เสียงกรีดร้องดังมาจากข้างนอกอีกรอบ ตามด้วยเสียงแผดร้องของฝูงม้า โหยวเหมี่ยวกลั้นหายใจ ปีนลงจากแท่น ควานหามีดสั้นที่หลี่เหยียนมอบให้ตอนออกจากเมืองมากำไว้ในมือและซ่อนตัวอยู่ใต้แท่น
เสียงตะโกนของชาวหูดังขึ้นเรื่อยๆ ข้างนอกเอะอะวุ่นวายไปหมด โหยวเหมี่ยวมองอะไรไม่เห็นสักอย่าง และไม่กล้าชะโงกหน้าออกไปดู เขาได้แต่แยกแยะจากเสียงว่าข้างนอกมีกี่คนและสถานการณ์เป็นอย่างไร
“ระวัง! พวกเขามีธนู…”
เสียงตะโกนสะดุดกลางคัน ตามด้วยเสียงแผดร้องลั่น
เสียงธนูแหวกอากาศพุ่ง ‘สวบ’ ทะลุหน้าต่างปักเข้าไปในผนัง หางธนูยังสั่นไม่หยุด เสียงแผดร้องดังแว่วมาเป็นระยะ ครู่ต่อมาก็เงียบกริบ
เสียงผู้ชายชาวหูพูดอะไรสักอย่างอยู่ข้างนอก ตามด้วยเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาจากทุกทิศทาง
ชาวหูหัวเราะลั่น โหยวเหมี่ยวฟังภาษาของพวกเขาไม่รู้เรื่อง เขาซ่อนตัวพลางก่นด่าคนพวกนี้อยู่ในใจว่าปล้นชิงสินค้าเมื่อไรไม่ปล้น ดักปล้นสินค้าตรงทางเข้าเมืองไม่สะดวกกว่าหรือ สินค้าของชาวจงหยวนทั้งนั้น เวลานี้เพิ่งจะมาปล้นชิงก็ได้แต่ขนสัตว์ หนังสัตว์ และสินค้าพื้นเมืองนอกด่านกลับคืนไปเท่านั้น…ว่าแต่ทำไมพวกเขาไม่ปล้นชิงก่อนหน้านี้เล่า ตลอดทางจากเขาหยางโค่วมาเป็นโอกาสที่ดีมาก ทำไมไม่ปล้นตอนนั้น
โหยวเหมี่ยวพลันฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง…คนพวกนี้คงไม่ใช่หลี่จื้อเฟิงพามากระมัง ในใจร้องบอกว่าไม่ใช่แน่ๆ…ทว่าความคิดนี้ดุจเงามืดที่โรยตัวลงมาครอบงำความคิดเขา
รถม้าขยับไหวอย่างแรงโดยไม่มีลางบอกล่วงหน้า โหยวเหมี่ยวสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ พวกชาวหูส่งเสียงเอะอะโหวกเหวก ตามด้วยรถม้าพลิกล้มตะแคงซ้ายทั้งคัน โหยวเหมี่ยวโดนเหวี่ยงหัวกระแทกจนมึนงงไปหมด ม้าแผดเสียงร้องลั่น จากนั้นตามด้วยเสียงฝีเท้าม้าวิ่งห่างออกไป
รถม้าทั้งคันพลิกตะแคงอยู่บนพื้น ถ่านติดไฟกระเด็นออกมาตกลงบนผ้านวม เปลวไฟลุกขึ้นมาทันที โหยวเหมี่ยวไออย่างหนัก ได้ยินเสียงวุ่นวายสับสนจากด้านนอกแต่เขาไม่สามารถหลบซ่อนตัวอยู่ในรถอีกต่อไป ได้แต่เอาเสื้อคลุมตัวนอกคลุมหัว ผลักหน้าต่างรถเปิด ชาวหูตะโกนโหวกเหวกอยู่ใกล้ๆ โหยวเหมี่ยวเพิ่งโผล่หัวออกไปก็โดนหิ้วตัวออกจากรถแล้วลากไปโยนทิ้งบนพื้นหิมะเย็นเฉียบ
โหยวเหมี่ยวคิดในใจว่าจบสิ้นแล้ว สิ่งที่เขาคิดจะร้องตะโกนในเวลานี้ไม่ใช่คำว่าข้ามีเงิน พวกเจ้าอย่าฆ่าข้านะ แต่อดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้ว่าในจำนวนคนเหล่านี้มีหลี่จื้อเฟิงอยู่ด้วยหรือไม่
พวกชาวหูหน้าตาดุร้ายถือคบเพลิงยืนอยู่รอบตัว ตอนแรกโหยวเหมี่ยวตื่นตระหนกขวัญหนีดีฝ่อ แต่พอกวาดตามองคนพวกนี้แล้วก็ค่อยๆ สงบเยือกเย็น ขอบคุณฟ้าขอบคุณดิน ไม่มีหลี่จื้อเฟิง
แต่พริบตาต่อมาก็คิดว่าต่อให้ส่งจดหมายแจ้งก็ไม่แน่ว่าจะปรากฏตัว
หัวหน้าชาวหูตะโกนประโยคคล้ายออกคำสั่ง จากนั้นก็มีคนเข้ามายึดตัวโหยวเหมี่ยวไว้แน่น เอาผ้ายัดปากแล้วโยนขึ้นหลังม้าซึ่งบรรทุกสินค้าที่ปล้นมาได้ พวกชาวหูขึ้นหลังม้าพลางสนทนากันด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิม โหยวเหมี่ยวแยกไม่ออกว่าคนพวกนี้มาจากเผ่าไหน หันไปมองด้านหลังก็พบว่าสินค้าที่โดนชาวหูปล้นมามีไม่ถึงสิบคันรถ คิดว่าพ่อค้าคงหลบหนีกันไปได้ไม่น้อย
ใช่แล้ว คนเถื่อนพวกนี้เห็นเขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชั้นดี คงคิดจะเอาเขาเป็นตัวประกัน เพื่อให้แคว้นเทียนฉี่เอาเงินมาไถ่ตัว
พอคิดตกโหยวเหมี่ยวก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
เวลานี้สิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดคือการเจอหลี่จื้อเฟิง แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ คนในขบวนสินค้าที่ถูกลักพาตัวทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีแค่เขาคนเดียว พวกชาวหูประมาทเกินไปจึงไม่ได้ค้นตัวเขาและริบมีดสั้นไป ก่อนหน้านี้โหยวเหมี่ยวเอามีดสั้นซุกไว้ในรองเท้า เวลานี้ลองเขย่าเท้าขวาก็รู้สึกหนักนิดๆ มีดสั้นยังคงอยู่
มือโดนจับมัดไพล่หลัง แต่คงไม่ยากที่จะดึงมีดสั้นออกมาตัดเชือกแล้วหลบหนีไป
ทว่าเวลานี้หิมะตกหนัก ที่ราบขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา ตัดเชือกแล้วจะหนีไปไหนได้ เกรงว่าเดินไม่ถึงสองชั่วยามคงแข็งตายบนพื้นหิมะแล้ว ดังนั้นตอนนี้อย่าเพิ่งหนีดีกว่า รอดูสถานการณ์ก่อน โหยวเหมี่ยวคำนวณจากทิศทาง เวลานี้พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ยิ่งเดินก็ยิ่งย้อนกลับไป…ถ้าออกนอกด่านไปไกล เกรงว่าชีวิตนี้คงไม่มีวันได้กลับเข้าเมืองอีกแล้ว
ในใจสับสนว้าวุ่น เอาแต่ขบคิดกลับไปกลับมา ตอนมองเลยไปเห็นหมู่บ้านอยู่ไกลๆ ท้องฟ้าขมุกขมัวก็เริ่มสว่างแล้ว ดวงตะวันซ่อนตัวอยู่หลังเมฆหนา เกล็ดหิมะยังคงโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย
ตรงนั้นเป็นหมู่บ้านที่โดนเผาจนไหม้เป็นเถ้าถ่าน แค่มองก็รู้ว่าโดนชาวหูปล้นแล้วยึดครองเป็นที่มั่นชั่วคราว พื้นหิมะอาบย้อมไปด้วยเลือด สองข้างทางมีซากศพนอนเกลื่อนกลาด
ชาวหูโยนตัวโหยวเหมี่ยวเข้าไปในบ้านที่ยังมีสภาพดี หัวโหยวเหมี่ยวกระแทกกับพื้นไม้ ภาพตรงหน้าดำมืด เขาพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นคลานอย่างยากลำบาก แสงในห้องค่อนข้างมืดสลัว ถ่านไม่กี่ก้อนที่กำลังลุกไหม้วางอยู่ในอ่างสำริด นอกจากนี้ยังได้ยินเสียงคนไออยู่ในห้องอีกด้วย
“อู้อี้…” โหยวเหมี่ยวที่มีผ้ายัดปากค่อยๆ คลานเข้าไป
“ใคร” เสียงเด็กหนุ่มดังมาจากมุมห้อง
“อื้อ…” โหยวเหมี่ยวพลิกตัวนอนบนพื้น
ครู่ใหญ่ต่อมา ดวงตาของโหยวเหมี่ยวก็เริ่มคุ้นเคยกับความมืด เขากวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งที่น่าจะอายุพอๆ กับเขา
“เจ้าก็ถูกจับมาหรือ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามเสียงต่ำ
โหยวเหมี่ยวพยักหน้า เด็กหนุ่มหันหลัง ยื่นมือที่โดนมัดไพล่หลังไปที่หน้าโหยวเหมี่ยวแล้วดึงผ้าที่อุดปากเขาออก
โหยวเหมี่ยวพ่นลมหายใจยืดยาว
“อย่าเพิ่งพูด…” เด็กหนุ่มกล่าวต่อ “ถ้าขืนส่งเสียงจะถูกทุบตี”
ทั้งสองคนกระซิบกระซาบเสียงเบา
“เจ้าชื่ออะไร”
“จ้าวเฉา” เด็กหนุ่มตอบ “เจ้าเล่า ทำไมโดนจับตัวมาที่นี่”
โหยวเหมี่ยวมองสำรวจอีกฝ่ายก็เห็นเนื้อตัวมอมแมม สวมเสื้อขนสัตว์ แล้วตอบว่า “ข้าชื่อโหยวเหมี่ยว ตามขบวนสินค้าล่องลงเจียงเป่ย แต่ถูกโจรปล้นระหว่างทาง”
“ข้าลอบออกมาล่าสัตว์กับบ่าว คิดไม่ถึงว่าจะเจอคนพวกนี้เข้า มารดามันเถอะ”
“เผ่าอะไร”
“ส่วนหนึ่งเป็นชาวต๋าต๋า* ข้าคิดว่า…” จ้าวเฉาลดเสียงลงตอบ
“มีส่วนเกี่ยวพันกับพวกเฉวี่ยนหรงหรือไม่” โหยวเหมี่ยวหัวใจสะดุดวูบ
“ไม่ เหตุใดเจ้าถึงถามเช่นนี้ ชาวเฉวี่ยนหรงอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนชาวต๋าต๋าอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ พวกเขาพูดคุยกันไม่เข้าใจด้วยซ้ำ” จ้าวเฉารู้สึกประหลาดใจ
โหยวเหมี่ยวผงกหัว ก้อนหินยักษ์ที่กดทับใจร่วงหล่น “ข้าจะคิดหาวิธีช่วยเจ้าออกไป”
“อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองเหยียนเปียนมาก พวกเขามีสุนัข หนีไปได้ไม่ไกลก็ไล่ตามทันแล้ว” จ้าวเฉารีบเตือน
โหยวเหมี่ยวรับคำ พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง เด็กหนุ่มสองคนนั่งพิงผนัง โหยวเหมี่ยวอดมองสำรวจจ้าวเฉาไม่ได้ แม้ว่าเด็กหนุ่มจะสวมเสื้อเกราะหนัง แต่กลับมองไม่เห็นบุคลิกห้าวหาญองอาจเยี่ยงทหารเลยสักนิด เสื้อเกราะของเขาเปื้อนเลือดไม่น้อย หว่างคิ้วแฝงประกายคมกริบราวกับจะกัดกินคน ผ้าป่านทอหยาบที่สวมอยู่ใต้ชุดเกราะขาดวิ่นจนแทบปิดบังร่างกายไม่มิด
“ข้าขอถามเจ้าหน่อย” ระหว่างสนทนากัน จ้าวเฉาแผ่อำนาจกดดันผู้คน แม้ว่าจะสนทนากันเบาๆ แต่น้ำเสียงที่จำแนกเจตนาไม่ค่อยออกก็ทำให้โหยวเหมี่ยวรู้สึกว่าจะไม่ใส่ใจอีกฝ่ายไม่ได้
“เจ้ามากับขบวนสินค้าของใคร” จ้าวเฉาเลิกคิ้ว ลดเสียงลงกระซิบถาม “ขบวนสินค้าของสกุลโหยวหรือ”
“ใช่ๆ” โหยวเหมี่ยวรีบพยักหน้ารัวๆ
จ้าวเฉาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “ผู้ดูแลโกดังของกรมอากร โหยวเต๋อโย่ว?!”
“เจ้ารู้จักเขา? เขาเป็นอาข้า” โหยวเหมี่ยวประหลาดใจมาก
จ้าวเฉาพยักหน้า มองสำรวจหน้าโหยวเหมี่ยวโดยอาศัยแสงไฟแล้วกล่าวว่า “เจ้าเป็นคนเจียงเป่ยสินะ เจ้าชื่อโหยวเหมี่ยวใช่หรือไม่ ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง…”
“ใช่ๆๆ! ข้าชื่อโหยวเหมี่ยว เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ” โหยวเหมี่ยวตกตะลึง
จ้าวเฉาไม่ตอบ แค่มองโหยวเหมี่ยว ยิ้มนิดๆ แล้วพยักหน้า
โหยวเหมี่ยวคิดไม่ถึงว่าจะมาเจอคนที่รู้จักตัวเองในสถานที่เช่นนี้ ในใจคิดว่าคราวนี้คงไม่ลำบากแล้ว
“รอทางเมืองหลวงได้รับจดหมายต้องส่งคนมาช่วยเจ้าแน่ อดทนรอหน่อยเถอะ จำไว้ว่าอย่าบุ่มบ่ามเด็ดขาด เราจำเป็นต้องรักษาชีวิตไว้ก่อน” จ้าวเฉาเอ่ยต่อ
โหยวเหมี่ยวพยักหน้าหงึกหงัก ตระหนักดีว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าต้องมีความเป็นมาไม่ธรรมดาแน่จึงลดเสียงลงถามว่า “แล้วเจ้าเล่า”
“เจ้าไม่รู้จักข้า ท่านพ่อข้าเป็นขุนนางเล็กๆ เท่านั้น ข้าออกมาล่าสัตว์กับเพื่อน คิดไม่ถึงว่าจะถูกจับตัว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องข้าก็ได้”
“ในรองเท้าข้ามีมีดสั้น เราตัดเชือกให้ขาดก่อนเป็นอย่างไร”
“ตอนนี้ไม่ได้ ต้องรอจังหวะเหมาะก่อน วางใจเถอะ พวกเราหนีออกไปได้แน่”
* ต๋าต๋า หรือตาตาร์ (Tatar) เป็นชนเผ่าเร่ร่อนทางตอนเหนือ อาศัยอยู่บริเวณเขตปกครองตนเองอุยกูร์ ของมณฑลซินเจียงในปัจจุบัน
หลังจากอกสั่นขวัญแขวนมาตลอดคืน ในที่สุดโหยวเหมี่ยวก็รู้สึกใจสงบลง เขานั่งขดตัวอยู่ข้างกายจ้าวเฉา เอียงหัวพิงไหล่อีกฝ่ายแล้วอ้าปากหาว เรือนร่างของจ้าวเฉาไม่ได้บึกบึนกำยำแม้จะตัวสูงกว่าโหยวเหมี่ยวพอสมควร ดูลักษณะแล้วเหมือนคุณชายตระกูลใหญ่ที่ได้รับการดูแลมาเป็นอย่างดีมากกว่า แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับรู้สึกปลอดภัยเวลาอยู่ด้วย
ราวกับว่าแค่เอนพิงอีกฝ่าย กระท่อมไม้มืดชื้นแห่งนี้ก็รู้สึกปลอดภัยขึ้น
เสียงคนดังแว่วมาจากข้างนอกและอยู่ใกล้มาก โหยวเหมี่ยวรีบปลุกตัวเองให้ตื่น ตอนเงยหน้าขึ้นก็เห็นจ้าวเฉากำลังก้มมองตนเองพอดี
“ทำไม” โหยวเหมี่ยวรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา คิ้วขมวดมุ่น “มีข้าวกินแล้ว?”
โหยวเหมี่ยวโดนมัดมือมัดเท้า ตื่นมาไม่สามารถเช็ดหน้าเช็ดตาด้วยตัวเองจึงยื่นหน้าเข้าไปเช็ดกับคอเสื้อจ้าวเฉาแทน
“เจ้าหน้าตางดงามนัก คล้ายมารดาหรือบิดา?” จ้าวเฉาลดเสียงลงกระซิบถาม
“มารดา”
โหยวเหมี่ยวยิ้ม ริมฝีปากแดงฟันขาวเรียงตัวสวย ตอนอยู่ในเมืองหลวงแต่งกายหรูหราเหมือนพวกหลี่เหยียน ผิงเอ้อร์ เด็กหนุ่มวางท่าฮึกเหิมลำพองควบม้าวิ่งทะยาน ผู้คนที่เคยพบเห็นล้วนบอกว่าเขาหล่อเหลางามสง่า เว้นแต่บิดาของเขาเท่านั้น เพราะบิดามักจะเอ่ยอย่างไม่พอใจว่าหมอนปักลาย ข้างในมีแต่ฟางข้าว
ประตูเปิดออก ท้องฟ้าข้างนอกปลอดโปร่งแล้ว แสงสว่างสาดลอดเข้ามาในห้อง โหยวเหมี่ยวกับจ้าวเฉาหรี่ตาลง ชาวหูร่างสูงใหญ่กำยำเดินเข้าประตูมาแล้วโยนขนมเปี๊ยะกับก้อนหิมะลงพื้น โหยวเหมี่ยวกำลังคิดว่าจะกินอย่างไรก็เห็นชาวหูคนนั้นเดินตรงเข้ามากระชากคอเสื้อเขา
โหยวเหมี่ยวแผดร้องลั่น จ้าวเฉาก็ตะโกนว่า “อย่ารังแกเขา!”
คนผู้นั้นพูดรัวเป็นชุด โหยวเหมี่ยวฟังไม่เข้าใจ แต่จ้าวเฉากลับผุดลุกขึ้นเอาหัวพุ่งชนชาวหูคนนั้นแล้วอ้าปากกัดข้อมือ ชาวหูปล่อยโหยวเหมี่ยวทันที โยนเขาทิ้งไปด้านข้างแล้วจิกหัวจ้าวเฉากระแทกใส่ผนังเสียงดังตึงๆ สองที
“ปล่อยเขา!” โหยวเหมี่ยวตะโกนเสียงดัง “จ้าวเฉา จ้าวเฉา…!”
“ยะ…อย่าพูด” จ้าวเฉาโดนกระแทกจนพูดอู้อี้ฟังไม่รู้เรื่อง ชาวหูคนนั้นโดนจ้าวเฉายั่วโมโหจึงลากตัวเขาออกไป
โหยวเหมี่ยวทั้งร่ำไห้ทั้งตะโกนว่า “จ้าวเฉา! จ้าวเฉา!”
ประตูกระแทกปิดโครม เสียงแส้ฟาดดังมาจากข้างนอกชัดเจน โหยวเหมี่ยวเข้าใจแล้วว่าจ้าวเฉาตั้งใจปกป้องคนที่ไม่ได้รู้จักมักจี่กันมาก่อนอย่างเขาเลยส่งตัวเองไปรับการทุบตีแทน เขานั่งคุกเข่าตัวสั่นน้ำตานองหน้าอยู่บนพื้น สะอึกสะอื้นพูดว่า “จ้าวเฉา…จ้าวเฉา…”
โหยวเหมี่ยวซบหน้ากับพื้นร่ำไห้ จ้าวเฉาที่อยู่ข้างนอกโดนฟาดตีจนส่งเสียงด้วยความเจ็บปวด แต่พวกชาวหูกลับหัวเราะลั่นอย่างคึกคะนอง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ประตูเปิดอีกครั้ง จ้าวเฉาที่มีเลือดท่วมหน้าโดนโยนเข้ามานอนแน่นิ่งราวกับสุนัขตายก็ไม่ปาน โหยวเหมี่ยวหลุดเสียงอุทานว่า “จ้าวเฉา!”
จ้าวเฉากระเสือกกระสนพลิกตัวกลิ้งจนถึงข้างผนังแล้วพูดเสียงขาดเป็นห้วงๆ “ข้าไม่เป็นไร…ไม่ต้องกลัว”
เกล็ดหิมะเกาะพราวเต็มหน้าจ้าวเฉา ดวงตาข้างซ้ายบวมเป่ง มุมปากเปื้อนคราบเลือด นอนพิงอกโหยวเหมี่ยว ในขณะที่โหยวเหมี่ยวพยายามกลั้นเสียงสะอื้น ตัวสั่นเทา จ้าวเฉาฝังศีรษะกับตัวโหยวเหมี่ยว หอบหายใจอย่างหนักอยู่พักหนึ่งก็ค่อยๆ สงบลง
“ไปกินเสียสิ…” จ้าวเฉาเอ่ยเสียงเบา
โหยวเหมี่ยวกลั้นเสียงสะอื้น ขยับเข้าไปโน้มตัวลงคาบขนมเปี๊ยะกลับมา และคาบก้อนหิมะที่โยนทิ้งอยู่บนพื้นกลับมาด้วย
“ขอน้ำข้าหน่อย…”
โหยวเหมี่ยวอมก้อนหิมะไว้ในปาก พอละลายแล้วก็ก้มหัวลงป้อนใส่ปากจ้าวเฉา ลูกกระเดือกของจ้าวเฉาขยับขึ้นลง โหยวเหมี่ยวกัดขนมเปี๊ยะเล็กน้อยแล้วเคี้ยวจนละเอียด ก่อนป้อนให้จ้าวเฉา
หน้าโหยวเหมี่ยวแดงเล็กน้อย ใช่ว่าเขาไม่เคยจุมพิตกับบุรุษ แต่การป้อนอาหารจ้าวเฉาในตอนนี้กลับทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง ภายในห้องมืดมิด ราวกับว่าต่างก็ต้องฝากชีวิตไว้ที่กันและกัน
“ทำไมเจ้าต้องช่วยข้า”
จ้าวเฉาตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าเห็นเจ้ารูปงามหล่อเหลาเลยทนเห็นเจ้าโดนทุบตีไม่ได้ แค่รักหยกถนอมบุปผาเท่านั้น ไม่ได้หรือ”
“ข้าต้องตอบแทนเจ้าแน่” โหยวเหมี่ยวหัวเราะไม่ออกร่ำไห้ไม่ได้
“ขออีกที คิดเสียว่าเป็นการตอบแทนละกัน”
โหยวเหมี่ยวโน้มตัวก้มลงติดพื้น กัดขนมเปี๊ยะคำหนึ่งแล้วเคี้ยว ในใจคิดว่าถ้ารู้จักคนผู้นี้ในเมืองหลวงคงตัวติดกันน่าดู กระทั่งหลี่เหยียน ผิงเอ้อร์ยังไม่ดีกับเขาเท่าจ้าวเฉา ความละเอียดอ่อนและอ่อนโยนของเด็กหนุ่มช่างน่าประทับใจนัก โหยวเหมี่ยวเคยผ่านเรื่องนั้นกับหลี่จื้อเฟิงมาแล้วจึงอดหวั่นไหวไม่ได้
เมื่อโหยวเหมี่ยวป้อนอีกรอบ จ้าวเฉากลับสอดลิ้นเข้ามาป้อนอะไรบางอย่างกลับมา โหยวเหมี่ยวลองกัดสิ่งนั้นก็พบว่ามันแข็งมากจึงอมไว้ในปากแล้วใช้ลิ้นเลียดู เลียไปก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือด คล้ายไข่มุกที่รูปทรงไม่ค่อยเรียบกลมนัก
“…”
“พี่ชายให้เจ้าเป็นรางวัล ฮ่าๆๆ”
“อะไร” โหยวเหมี่ยวเอ่ยเสียงอู้อี้
โหยวเหมี่ยวคายสิ่งนั้นออกมาตรงสาบเสื้อก็พบว่าเป็นฟันซี่หนึ่ง พลันเข้าใจทันทีว่าคงหลุดตอนที่จ้าวเฉาโดนทุบตีเมื่อครู่นี้
“โยนทิ้งไปเถอะ” จ้าวเฉากล่าว
โหยวเหมี่ยวตาแดงเรื่อ คาบไว้แล้วตะแคงตัวให้คอเสื้อเผยอ จากนั้นหย่อนลงถุงลับในอกเสื้อของตนเอง เด็กหนุ่มทั้งสองป้อนอาหารป้อนน้ำให้กันและกันอยู่ในห้องมืดๆ
ภายในห้องหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ จ้าวเฉาเอนพิงอกโหยวเหมี่ยวแล้วขับร้องบทเพลงด้วยเสียงแหบพร่า
“ฟ้าดินสถิตชั่วนิจนิรันดร์…หทัยข้าแสนโศกศัลย์หม่นไหม้ ชีวานี้ยืนยงอีกยาวไกล มิฝันใฝ่ร้องขอสิ่งอื่นใด…เฝ้าทุกข์ทนวอนขอหาได้ไม่ ครั้นตัดใจกลับปล่อยวางมิลง…”*
โหยวเหมี่ยวเคยได้ยินบทเพลงนี้มาก่อน ห้วงความคิดของเขาย้อนกลับไปยังดินแดนเจียงเป่ยอันแสนห่างไกล
“ผู้รู้ใจตระหนักดีข้าชอกช้ำ…ไม่รู้ใจพร่ำถามไยเว้าวอน…”
“เจ้ารู้จักบทเพลงนี้ด้วยหรือ” จ้าวเฉาถามอย่างอ่อนล้า
“ท่านแม่เคยสอนข้าตอนเด็ก” โหยวเหมี่ยวเอ่ยอย่างใจลอย
หลังคาเหนือศีรษะแตกทะลุเป็นรูใหญ่ ดวงจันทร์กลมโตที่ลอยเด่นกลางท้องนภาส่องแสงลอดรอยแตกลงมา
* จากคัมภีร์ซือจิง ซึ่งเป็นหนังสือที่รวมบทกวีเก่าแก่ที่สุดของจีนตั้งแต่ยุคราชวงศ์โจว
“มารดาเจ้าอยู่ที่เจียงเป่ยหรือว่าเมืองหลวง”
“สิ้นแล้ว ฝังอยู่ที่เจียงเป่ย”
“บทเพลงนี้ท่านแม่ก็เป็นคนสอนข้าเช่นกัน”
“มารดาเจ้าเล่า”
“สิ้นแล้วเช่นกัน ฝังอยู่ที่เหลียงโจว”
“บิดาเจ้าจะส่งคนมาช่วยเจ้าหรือไม่”
“ข้าเป็นลูกอนุ” จ้าวเฉายิ้มขมขื่น
โหยวเหมี่ยวพอจะเข้าใจแล้วจึงพยักหน้าก่อนถามต่อ “บิดาเจ้าเป็นขุนนางอะไร”
“ขุนนางตำแหน่งเล็กมาก ในบ้านไม่มีใครมองหน้าข้าตรงๆ อย่าถามอีกเลย เอาแต่อาศัยบิดามารดาบรรพบุรุษไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
“รอออกไปได้แล้วเจ้าก็มาอยู่กับข้าสิ ข้ารับรองเลยว่าเจ้าต้องมีเงินทองใช้ไม่หมดไม่สิ้นแน่” โหยวเหมี่ยวเอ่ยด้วยความยินดี
“ได้ ตกลงตามนี้” จ้าวเฉาหัวเราะตอบ
โหยวเหมี่ยวอยากตอบแทนบุญคุณจ้าวเฉาจากใจจริง ไม่ใช่เพราะเรื่องอื่น แต่เพราะเรื่องที่เขายอมโดนทุบตีแทนตัวเองนั่นเอง เขากล่าวต่อว่า “ข้าจะร้องเพลงให้เจ้าฟังบ้าง”
“ขุนเขามีแมกไม้พฤกษ์มีกิ่งก้าน ใจข้าพิสมัยท่านหารู้ไม่…”*
เสียงของโหยวเหมี่ยวใสกังวาน จ้าวเฉายกมุมปากยิ้มแล้วเอ่ยว่า “บทเพลงของชาวเยวี่ย? มารดาเจ้าเป็นสตรีแคว้นเยวี่ยหรือ”
โหยวเหมี่ยวพยักหน้า ทั้งสองคนนั่งพิงกันและหลับไปอย่างเงียบๆ ระหว่างสะลึมสะลือกึ่งหลับกึ่งตื่น จ้าวเฉากระซิบข้างหูเขาว่า “รอคนที่บ้านมาไถ่ถอนตัวเจ้าแล้ว พอเจ้ากลับถึงเมืองหลวง ช่วยข้าตามหาคนผู้หนึ่ง เป็นคนในจวนเสนาบดีกรมพิธีการนามว่าเติ้งหลิน…”
โหยวเหมี่ยวรู้จักคนผู้นี้ ปกติแล้วตนเองกับหลี่เหยียน ผิงเอ้อร์ บุตรชายเสนาบดีกรมทหารและเสนาบดีกรมอาญาสนิทสนมกันดี เพราะบิดาหรือลุงน้าอาของคนพวกนี้ล้วนเป็นขุนนางในราชสำนัก และถือหางฝ่ายรัชทายาท แต่เสนาบดีกรมพิธีการกับขุนนางในศาลสถิตยุติธรรมไม่ได้อยู่ฝ่ายรัชทายาทจึงไปมาหาสู่กันน้อยมาก
“เจ้าอย่าเพิ่งคิดมากเลย” โหยวเหมี่ยวกล่าวต่อ “เราต้องไปด้วยกัน ข้าจะจ่ายเงินไถ่ตัวเจ้ากลับไปด้วย”
“ไปด้วยกันได้ก็ดี ถ้าไม่ได้ ฝากเจ้าส่งข่าวถึงสกุลเติ้งตามที่ข้าบอกก็พอ แล้วแต่ดวงเถอะ”
โหยวเหมี่ยวรับคำอืมแล้วพิงจ้าวเฉาหลับต่อ มือเท้าโดนมัดจนเริ่มชา อึดอัดไม่สบายตัว ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน รู้สึกตัวอีกทีเมื่อจ้าวเฉาร้องปลุกเขา
“ตื่นเถอะ โหยวเหมี่ยว” จ้าวเฉาเอ่ย “ได้ยินเสียงอะไรหรือไม่”
“อะไร” โหยวเหมี่ยวปรือตา เงยหน้าขึ้นมองอย่างง่วงงุน
ริมฝีปากของจ้าวเฉาแทบจะแตะกับปากเขา กระซิบตอบว่า “ข้างนอกมีความเคลื่อนไหว”
เสียงแผดร้องของชาวหูดังแว่วมาแต่ไกล และมีคนกำลังขู่ตะคอกเสียงกร้าวอยู่ไกลๆ ด้วยภาษาที่พวกเขาฟังไม่ออก โหยวเหมี่ยวได้ยินชัดเจน “มีคนมาช่วยแล้วหรือ”
“เจ้าไปซ่อน…”
* มาจากบทประพันธ์ ‘บทเพลงของชาวเยวี่ย’ ซึ่งเป็นเพลงโบราณ ปรากฏอยู่ในหนังสือซัวย่วนสมัยราชวงศ์ฮั่น
โหยวเหมี่ยวสะบัดเท้าโดยไม่รอให้จ้าวเฉากล่าวจบ มีดสั้นร่วงลงมาจากรองเท้า จากนั้นหันหลังหยิบมีดสั้นมาบั่นเชือกที่มัดข้อมือ มีดสั้นเล่มนั้นคมกริบมากจนเรียกได้ว่าฟันเหล็กเหมือนเต้าหู้ แค่เฉือนก็ขาดทันที จ้าวเฉาเอ่ยว่า “มีดดี! ได้มาจากไหน”
“หลี่เหยียนมอบให้” โหยวเหมี่ยวกระซิบตอบขณะหมุนตัวกลับไปตัดเชือกให้จ้าวเฉาด้วยความตื่นเต้นยินดี
“สมบัติล้ำค่าของอัครเสนาบดีหลี่” จ้าวเฉาพูดแหย่ “ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นของพระราชทาน บอกมาตามตรงเถอะ ชีวิตของเจ้าในเมืองหลวงไม่เลว หลี่เหยียนถูกตาต้องใจเจ้าสินะถึงได้ขโมยสมบัติของบิดามามอบให้เจ้าเช่นนี้”
โหยวเหมี่ยวหน้าแดงเรื่อ กำหมัดทำท่าจะต่อย สองมือของจ้าวเฉาหลุดจากพันธนาการแล้วจึงรีบหยุดเขาไว้ก่อน จากนั้นตัดเชือกที่มัดเท้า โหยวเหมี่ยวเอ่ยว่า “มีดสั้นเล่มนี้เจ้าเก็บไว้…”
“เจ้าเก็บไว้ป้องกันตัวเถอะ” จ้าวเฉายัดมีดสั้นใส่มือโหยวเหมี่ยว จากนั้นจูงมือเขาเดินไปที่หน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอกก็เห็นคนกำลังสาวเท้าวิ่งตรงมาที่กระท่อมหลังน้อย จ้าวเฉารีบโพล่งว่า “รีบกลับไปเร็ว”
ทั้งสองคนถอยกลับไปตรงมุมผนังตามเดิม จ้าวเฉาเอาเชือกพันกันอย่างหลวมๆ โหยวเหมี่ยวแสร้งทำเป็นยังโดนมัด เพิ่งจะหมอบตัวลง ประตูก็ถูกผลักเปิดท่ามกลางเสียงทะเลาะวิวาท ชาวหูที่มีหนวดเครารกเฟิ้มหน้าเดินเข้ามาแล้วปิดประตู ยืนเฝ้าอยู่ในกระท่อมหลังน้อย และพูดกับพวกเขาหลายคำ
โหยวเหมี่ยวฟังไม่เข้าใจจึงหันไปมองคนข้างๆ แต่จ้าวเฉาส่ายหน้าตอบ
เจ้าคนนั้นยืนเฝ้าอยู่ข้างหน้าต่างและมองออกไปข้างนอก ได้ยินเสียงแผดร้องลั่นดังมาจากข้างนอก ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแผดร้อง ความตื่นเต้นยินดีในใจโหยวเหมี่ยวก็เพิ่มขึ้นอีกส่วน หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ลอบส่งสายตาให้จ้าวเฉา แต่จ้าวเฉากลับส่ายหน้า บ่งบอกเป็นนัยๆ ว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาด
คนที่ยืนเฝ้าทำท่าจะออกไปช่วยหลายครั้ง แต่พอเดินไปถึงประตูกลับเกิดอาการลังเล โหยวเหมี่ยวยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกร้อนรนใจ อยากจะพุ่งเข้าไปเอามีดสั้นแทงเจ้านั่นให้ตาย แต่ครู่ต่อมาก็ได้ยินเสียงตะโกนจากด้านนอก คนเฝ้ายามตอบรับแล้วกระชากดาบเล่มหนึ่งออกมาจากข้างเอวก่อนหมุนตัวกลับมา
“ลุย!” จ้าวเฉาตะโกน
โหยวเหมี่ยวรู้ว่าคนเฝ้ายามคงคิดจะฆ่าพวกเขาสองคน หรือไม่ก็จับพวกเขาเป็นตัวประกัน เวลานี้ถ้าขืนยังไม่ดิ้นรนต่อสู้แล้วจะรอถึงเมื่อไร โหยวเหมี่ยวกำมีดสั้นไว้ในมือแล้วพุ่งตัวไปข้างนอก แต่คนเฝ้ายามกลับยกเท้าถีบ จ้าวเฉาคำรามเสียงกร้าวด้วยความโกรธแค้นแล้วพุ่งชนจากด้านข้าง
คนเฝ้ายามเห็นทั้งสองคนหลุดจากพันธนาการโดยไม่ทราบสาเหตุก็ตกตะลึงพรึงเพริด โหยวเหมี่ยวจึงรีบฉวยโอกาสนี้โถมตัวเข้าไปเอามีดสั้นแทงอกอีกฝ่าย
คนเฝ้ายามคำรามเสียงดัง ซัดฝ่ามือใส่โหยวเหมี่ยวจนกระเด็นออกห่างจากตัว เลือดพุ่งสาดเต็มตัวโหยวเหมี่ยว มีดสั้นแทงลึกเข้าไปในอกชาวหู แต่ยังไม่โดนหัวใจ แค่ติดอยู่ตรงกระดูกซี่โครง เลือดสดๆ พุ่งกระฉูด จ้าวเฉาคำรามว่า “ตายเสียเถอะ!”
จ้าวเฉากระโจนโถมตัวใส่หลังคนเฝ้ายาม โหยวเหมี่ยวโดนฝ่ามือที่ใหญ่โตราวบาตรพระฟาดใส่จนได้ยินเสียงวิ้งดังอยู่ในหัว ตัวสั่นกระตุกไม่หยุด คนเฝ้ายามหมุนตัวกลับมาผลักจ้าวเฉาล้มลงพื้นและบีบคอด้วยท่าทางที่ดูคล้ายพยัคฆ์คลุ้มคลั่ง ท้ายทอยจ้าวเฉากระแทกกับผนัง ฟองน้ำลายฟูมปากทันที ดิ้นรนยกขาถีบ แต่คนเฝ้ายามเพิ่มแรงบีบเค้นหนัก โหยวเหมี่ยวโซเซลุกขึ้นยืน และเห็นจ้าวเฉาที่โดนบีบคอจนหน้าแดงก่ำขยับปากพะงาบๆ พูดกับเขา
“รีบ…หนี…”
คนเฝ้ายามจับตัวจ้าวเฉาเหวี่ยงกระแทกผนัง หลายวันมานี้พวกเขาแทบไม่ได้กินอะไรเลยจึงไม่มีแรงตะเกียกตะกายลุกขึ้นด้วยซ้ำ หน้าอกของชาวหูคนนั้นแดงฉานไปด้วยเลือดสดๆ ชูดาบยาวขึ้นแล้วโถมตัวใส่จ้าวเฉา
“ย้าก…” โหยวเหมี่ยวตะโกนลั่น พุ่งตัวเข้าใส่โดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น
เมื่อเห็นจ้าวเฉากำลังจะโดนดาบของชาวหูฟันขาดสองท่อน โหยวเหมี่ยวก็พุ่งเข้าไปกอดขาชาวหูคนนั้นทันที
ชาวหูโดนกระชากล้มหงายหลังแต่ก็ยังหันไปถีบคอคนที่ฉุดรั้งตัวเองได้ทันที โหยวเหมี่ยวส่งเสียงเหมือนกำลังกระอักเลือด แต่ยังคงกอดขาชาวหูเอาไว้แน่น จ้าวเฉานอนกระตุกอยู่ตรงตีนผนัง ลุกไม่ขึ้น มือข้างหนึ่งจิกอยู่ที่พื้นข้างตัว
ชาวหูถีบหน้าโหยวเหมี่ยวเป็นครั้งที่สอง ภาพตรงหน้าโหยวเหมี่ยวดำมืด ถีบครั้งที่สามตรงอก ในหัวของโหยวเหมี่ยวมีเพียงความคิดเดียว…ต่อให้ข้าต้องตายก็ไม่ยอมปล่อยมือเด็ดขาด
โหยวเหมี่ยวฮึดด้วยกำลังเฮือกสุดท้าย ขณะนั้นเองจ้าวเฉาควานเจอหินก้อนหนึ่งก็รีบคว้าไว้ ก่อนโถมตัวเข้าไปฟาดหน้าชาวหูคนนั้นเต็มแรง เขาดิ้นรนลุกขึ้นแต่มือขวาที่กำดาบกลับโดนจ้าวเฉาเหยียบไว้
จ้าวเฉาฟาดไม่ยั้ง ชาวหูคนนั้นชักกระตุกอยู่ครู่หนึ่ง จ้าวเฉาจับมีดสั้นที่ยังปักค้างตรงอกแล้วออกแรงบิดอย่างแรง ก่อนตายชาวหูแผดเสียงลั่น สองเท้าดิ้นถีบสะเปะสะปะ ถีบจนโหยวเหมี่ยวเกือบสิ้นลมตาม
ก้อนหินฟาดลง ยกขึ้นแล้วฟาดลง ฟาดลงอีกจนชาวหูคนนั้นแน่นิ่งไปแล้ว
จ้าวเฉายังคงฟาดตีไม่หยุด หลังจากฟาดซ้ำอีกสิบกว่าที ชาวหูยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง ลูกตาปูดโปน มันสมองทะลักออกมาเปื้อนหน้า เลือดสดๆ ผสมกับมันสมองสีชมพูขยายวงกว้าง
โหยวเหมี่ยวฟุบลงกับพื้น ได้ยินเสียงดังวิ้งๆ อยู่ในหัว ท้องไส้ปั่นป่วนราวกับคลื่นในมหาสมุทร
จ้าวเฉาอุ้มเด็กหนุ่มขึ้นมาแล้วตบหน้าพลางเอ่ยเรียกอย่างร้อนรน โหยวเหมี่ยวพยายามลืมตา เสียงที่ได้ยินอยู่ไกลๆ ค่อยๆ กลับคืนมา แต่เสียงที่ผ่านเข้าหูฟังดูเลื่อนลอย เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกล
“ไม่ได้กินข้าว” จ้าวเฉากล่าวต่อ “เลยไม่มีแรง…”
“ตายแล้วหรือ…”
“ตายเสียยิ่งกว่าตายอีก…”
ทั้งสองคนเปื้อนเลือดทั้งตัว จ้าวเฉากระชากมีดสั้นออกมาแล้วเอ่ยว่า “ไป…ไป…”
“ข้าไม่ไหวแล้ว…เจ้ารีบหนีไปเถอะ…”
จ้าวเฉาตะคอกข้างหูเขา “จะตายอยู่ที่นี่ไม่ได้!”
โหยวเหมี่ยวเริ่มมีเรี่ยวแรงกลับมาบ้างเล็กน้อย จ้าวเฉาช่วยประคองให้ลุกขึ้น จากนั้นทั้งสองคนก็เดินโซเซ ผลักประตูแล้วล้มคว่ำลงกลางพื้นหิมะ
ข้างนอกไม่มีคนเลยแม้แต่คนเดียว ริมกองไฟที่อยู่ห่างออกไปมีศพชาวหูนอนตายหลายศพ โลกพลันเงียบสงัดลง จ้าวเฉากินหิมะหลายคำแล้วผุดลุกขึ้นใหม่ กึ่งอุ้มกึ่งประคองโหยวเหมี่ยว ทั้งสองคนรีบวิ่งโซซัดโซเซออกไปนอกหมู่บ้านโดยไม่หยุดดูทิศทาง ระหว่างทางสะดุดล้มหลายครั้งแต่ก็ลุกขึ้นมาได้ จ้าวเฉาประคองโหยวเหมี่ยวแล้วพาหลบหนีไปด้วยกัน
“ทำไมไม่มีคนเลย”
“ไม่รู้…คงโดนทหารของทางการกวาดล้างกระมัง…เราต้องหาม้าสักตัว…”
ทั้งสองคนหนีไปถึงทางเข้าหมู่บ้านก็ได้ยินเสียงตวาดเกรี้ยวกราดดังมาจากข้างนอก ตามด้วยลูกศรพุ่งตรงเข้ามา จ้าวเฉากระชากโหยวเหมี่ยวหมอบลงกับพื้นแล้วปกป้องไว้ใต้ร่าง ชาวหูสองคนที่อยู่ด้านหลังแผดเสียงตะโกนลั่น ชูดาบยาววิ่งไล่ตามมา
“อย่ามอง…” จ้าวเฉาใช้ร่างกายปกป้องโหยวเหมี่ยว
โหยวเหมี่ยวหมอบคว่ำกับพื้นหิมะ ด้านหน้าลำตัวหนาวเย็น แต่แผ่นหลังรับรู้ได้ว่าหัวใจของจ้าวเฉากำลังเต้นรัวแรง
“ตายแล้วหรือ…” โหยวเหมี่ยวถาม
จ้าวเฉาไม่ตอบ
จากนั้นเสียงที่ดังมาจากไกลๆ พลันเงียบลง ลูกศรดอกหนึ่งพุ่งเข้าปักอกชาวหูที่อยู่หน้าสุดแล้วทะลุผ่านร่างนั้นไปเสียบคอคนที่วิ่งตามมาด้านหลังจนเลือดพุ่งกระฉูด คนที่ตามไล่ล่าทั้งสองคนแผดร้องพร้อมกันก่อนล้มตึงลงไปบนพื้นหิมะ
จ้าวเฉาหอบหายใจพลางดึงตัวโหยวเหมี่ยวลุกขึ้นยืน
เด็กหนุ่มคนหนึ่งกระโจนข้ามกองหิมะตรงทางเข้าหมู่บ้านแล้วเหนี่ยวคันธนูยิงรัวต่อเนื่อง ยิงคนที่ตามมาล้มคว่ำไปสองคน
“อย่ากลัว มีคนมาช่วยแล้ว” จ้าวเฉาตอบ
โหยวเหมี่ยวโซเซลุกขึ้น เปลือกตาบวมเป่งจนแทบลืมไม่ขึ้น จ้าวเฉาสูงกว่าโหยวเหมี่ยวครึ่งศีรษะ ยืนขวางอยู่ด้านหน้า โหยวเหมี่ยวมองข้ามไหล่อีกฝ่ายไปก็เห็นอีกคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่
บุรุษคนนั้นสวมเสื้อคลุมหนังหมาป่าสีเทา ท่อนล่างสวมชุดเกราะเหล็กตีเกล็ดเป็นแผง กับรองเท้าตีเกล็ด สะพายกระบอกใส่ลูกศรไว้ด้านหลัง หยิบลูกศร เหนี่ยวคันธนู พาดลูกศร ปล่อยสาย การเคลื่อนไหวทั้งหมดดำเนินเป็นจังหวะต่อเนื่องกัน รวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ ชาวหูที่แห่เข้ามาจากทุกทิศทางโดนยิงล้มคว่ำเหมือนใบไม้ร่วง
“ไป!” บุรุษหนุ่มตะโกน
“หลี่จื้อเฟิง?” โหยวเหมี่ยวตะโกนลั่น
หลี่จื้อเฟิงหันมามองเขาแวบหนึ่ง ยิงธนูพลางถอยหลัง คุ้มครองทั้งสองคนเดินอ้อมกองหิมะ โหยวเหมี่ยวจำเขาได้อย่างยากลำบากเพราะต้องเพ่งมองด้วยดวงตาที่บวมเป่งจนลืมตาได้ไม่เต็มที่ อ้าปากพะงาบๆ แต่พูดอะไรไม่ออก
เสียงชายคนหนึ่งตะโกนมาจากไกลๆ “เราจะบุกเข้าไปทางนี้!”
หลี่จื้อเฟิงตะโกนว่า “คนหนีออกมาแล้ว!”
“รีบไปเถอะ!”
“กำลังหลักของพวกเขาใกล้จะเจอพวกเราแล้ว!”
“รีบขึ้นม้า!”
“คุณชายจ้าว!”
จ้าวเฉาได้สติกลับมา อุทานว่า “หลินเฟย!”
ทหารนายหนึ่งพุ่งปราดเข้าคุกเข่าข้างเดียวตรงพื้นแล้วกล่าวอย่างร้อนรนว่า “ข้าน้อยเป็นทหารรักษาเมืองเหยียนเปียนตำแหน่งเซี่ยวเว่ย นามหลินเฟย…”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสนทนากัน รีบไปเถอะ!” จ้าวเฉารีบเอ่ย
ม้าศึกร้องเสียงดัง หลี่จื้อเฟิงยิงศัตรูสองคนสุดท้ายล้มคว่ำก็หมุนตัวกลับมาอุ้มโหยวเหมี่ยวขึ้นม้า ก่อนพลิกตัวขึ้นซ้อนหลัง สองขาหนีบท้องม้าไว้
“ย่าห์…!”
ม้าศึกสิบกว่าตัวควบตะบึงตามกันไปอย่างรวดเร็ว โหยวเหมี่ยวรู้สึกเหมือนฟ้าดินตีลังกาพลิกคว่ำ ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำไมคนที่มาช่วยเขาถึงเป็นคนผู้นี้ไปได้ เขายกมือขึ้นโอบคอหลี่จื้อเฟิง ลมหนาวพัดกรูใส่จนตัวสั่น หลี่จื้อเฟิงถอดเสื้อคลุมหนังหมาป่ามาห่อตัวโหยวเหมี่ยวไว้ในอ้อมแขนอย่างมิดชิด ระหว่างที่ควบม้าตะบึงไปข้างหน้าก็ก้มลงจุมพิตหน้าผากเขา
“ศัตรูไล่ตามมาแล้ว เจ้าชื่ออะไร” จ้าวเฉาตะโกนมาจากไกลๆ
“เขาเป็นชาวเฉวี่ยนหรง! บ่าวของคุณชายโหยว เขาเป็นคนมาแจ้งข่าวให้เราตามออกมา” หลินเฟยตอบ
“อีกฝ่ายมีจำนวนคนเยอะมาก” มีคนตะโกนขึ้นมา
กลุ่มคนที่ควบอยู่บนหลังม้าศึกตะโกนหารือกัน แต่หลี่จื้อเฟิงกลับไม่ได้เอ่ยพูดแม้แต่คำเดียว โหยวเหมี่ยวถามอย่างอ่อนแรง “ทำไมเจ้าถึงย้อนกลับมา”
พายุหิมะเกรี้ยวกราดรอบตัวราวกับสูญสลายไปหมดสิ้น เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาเกาะบนตัวพวกเขาอย่างอ่อนโยน หลี่จื้อเฟิงตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ข้าคิดถึงเจ้า”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
สามารถอ่านบทอื่นๆได้ที่ >> บทที่ 1.1 | บทที่ 1.2 | บทที่ 2.1 | บทที่ 2.2 | บทที่ 3.1 | บทที่ 3.2 | บทที่ 4.1 | บทที่ 4.2 | บทที่ 5.1 | บทที่ 5.2
Comments
comments