X
    Categories: everYทดลองอ่านปราชญ์กู้บัลลังก์

ทดลองอ่านนิยายวาย ปราชญ์กู้บัลลังก์ บทที่ 3.1 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 11

สามารถอ่านบทก่อนหน้าได้ที่ >> บทที่ 2.2

บทที่ 3

ลูกศรพุ่งกรูเข้ามาดุจห่าฝน เสียงชาวหูลอยมาตามลม หลินเฟยตะโกนว่า “ระวังลูกศร! มันไล่ตามทันแน่”

ชาวหูไล่ตามมาแล้ว จ้าวเฉารีบตะโกนว่า “แยกกันหนี แยกกันหนี!”

“หนีไปทางเหนือ เข้าเหยียนเปียน” หลินเฟยตะโกนต่อ

หลี่จื้อเฟิงร้องอืมคำหนึ่ง

“เราจะล่อพวกมันไปก่อน ชาวเฉวี่ยนหรง เจ้ารีบพาเขาหนีลงใต้ มุ่งตรงไปตามเส้นทางหลวง พอถึงเขตเมืองเหลียงโจวก็ปลอดภัยแล้ว” จ้าวเฉาตะโกน

ม้าศึกของหลี่จื้อเฟิงหักเลี้ยว โหยวเหมี่ยวมองลอดเสื้อขนสัตว์ออกไปก็เห็นจ้าวเฉาและหลินเฟยพาทหารกลุ่มหนึ่งหลอกล่อพวกชาวหูนับร้อยคนไปอีกทาง หูได้ยินเสียงจ้าวเฉาตะโกนอีก

“โหยวเหมี่ยว! รักษาตัวด้วย!”

หลี่จื้อเฟิงควบม้าพาโหยวเหมี่ยวพุ่งเข้าไปในป่าทางทิศตะวันตก หักเลี้ยวหลายหนก่อนวกลงทางใต้ เข้าสู่เส้นทางหลวง วิ่งควบตะบึงไปท่ามกลางพายุหิมะ พวกคนที่ตามไล่ล่าถอยห่างออกไปจนโดนสลัดทิ้งอย่างไม่เห็นฝุ่น

ควบม้าวิ่งอยู่หนึ่งวันเต็มๆ โหยวเหมี่ยวทั้งหิวทั้งง่วง หลับพิงอกหลี่จื้อเฟิงมาตลอดทางจนกระทั่งได้ยินเสียงของหลี่จื้อเฟิงดังขึ้นมา ไม่ได้เสียงดังแต่ฟังชัดเจนมาก

“ถึงแล้ว เจ้าไปเถอะ”

โหยวเหมี่ยวลืมตา สุดเส้นทางหลวงมีด่านที่อยู่ตรงช่องแคบเล็กๆ ซึ่งโดนหิมะกลบไปกว่าครึ่ง จู่ๆ ด้านหลังก็เบาโหวง หลี่จื้อเฟิงร่วงจากหลังม้าลงไปนอนกองบนพื้นหิมะโดยไม่มีสัญญาณบอกกล่าวทำให้ม้าตื่นตกใจ มันส่งเสียงร้องฮี้ลั่นแล้วพาโหยวเหมี่ยววิ่งทะยานไปข้างหน้า

“หลี่จื้อเฟิง!” โหยวเหมี่ยวตะโกนเสียงดัง

ม้าตัวนั้นพาโหยวเหมี่ยววิ่งโคลงเคลงไปหลายจั้ง* โหยวเหมี่ยวพยายามดิ้นรนขัดขืนจึงตกจากหลังม้าด้วย จากนั้นก็หันหลังวิ่งกลับไปหาหลี่จื้อเฟิง และพบว่าด้านหลังช่วงเอวของอีกฝ่ายมีลูกศรปักอยู่ดอกหนึ่ง เสื้อขาดๆ เหนือบาดแผลเปียกชุ่มเลือดสีดำ โหยวเหมี่ยวคุกเข่าลงบนพื้นหิมะ พลิกตัวหลี่จื้อเฟิงแล้วเขย่าเรียกไม่หยุด

“เจ้าตื่นสิ ห้ามตายนะ…ห้ามตาย!” โหยวเหมี่ยวตะโกนอยู่ข้างหู “เจ้าผลาญเงินข้าไปตั้งสองร้อยห้าสิบตำลึงเชียวนะ!”

หลี่จื้อเฟิงหายใจอย่างยากลำบาก โหยวเหมี่ยวซบลงไปฟังตรงอกก็พบว่าหัวใจของอีกฝ่ายยังเต้นอยู่ ครู่ต่อมาก็รับรู้ได้ว่ามือใหญ่ของหลี่จื้อเฟิงกำลังลูบหัวตัวเอง

เขามองตาหลี่จื้อเฟิงอย่างตกตะลึง แววตาคู่นั้นพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน

“เจ้าอดทนหน่อยนะ” โหยวเหมี่ยวกล่าว “ข้าจะไปเรียกคนมาช่วยเจ้า ข้าจะไปเรียกคนมา!”

หลี่จื้อเฟิงไอไม่หยุด โหยวเหมี่ยวลุกขึ้นยืนแล้วมองไปไกลๆ ไม่รู้ว่าด่านช่องแคบที่มีหิมะกองทับถมนั่นจะมีคนอยู่หรือไม่ ม้าตัวนั้นหันกลับมามองจากที่ไกลๆ โหยวเหมี่ยวตะโกนเสียงดังว่า “มีคนอยู่หรือไม่?!”

เขารวบรวมกำลังจับแขนของหลี่จื้อเฟิงพาดไหล่ตัวเองแล้วประคองให้ลุกขึ้น หลี่จื้อเฟิงหนักราวขุนเขาจนแทบทับโหยวเหมี่ยวแบน โหยวเหมี่ยวยังเป็นหนุ่มน้อย แต่พยายามแบกบุรุษร่างใหญ่เดินโซเซย่ำกองหิมะตรงไปข้างหน้า

“มีคนอยู่หรือไม่…?!”

* จั้ง เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร

เสียงของโหยวเหมี่ยวลอยไปกับสายลมหวีดหวิว เกล็ดหิมะที่เกาะเส้นผมยาวกระเซิงของหลี่จื้อเฟิงปลิวกระจายตามลม หิมะหยุดตกแล้ว

“ใคร?!”

มีคนขี่ม้าออกมาจากด่าน ทหารเฝ้าด่านนั่นเอง รอดแล้ว

แผ่นหินยักษ์เหนือด่านสลักตัวอักษรคำว่า ‘ด่านเจิ้งเหลียง’ นี่เป็นด่านแรกของทางเหนือ พอเข้าด่านจะเป็นเขตกวนตง** เข้าสู่ดินแดนของชาวฮั่นอย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นเดือนสุดท้ายก่อนหมดเหมันตฤดู แต่ตรงราวแขวนป้ายโลหะมีป้ายชื่อเรียงรายบ่งบอกว่ามีทหารประจำอยู่ที่ด่านสิบกว่านาย ลึกเข้าไปเป็นค่ายทหารของแม่ทัพเฝ้าด่านเขตกวนตง ส่วนทางทิศตะวันออกเป็นเขตเมืองเหลียงโจว

ทหารแคว้นเทียนฉี่พาโหยวเหมี่ยวกับหลี่จื้อเฟิงเข้าไปในบ้านเล็กๆ ภายในมีกองไฟกำลังลุกโชติช่วง หิมะบนตัวพวกเขาทั้งคู่ละลายจนกลายเป็นแอ่งน้ำบนพื้น หลี่จื้อเฟิงนอนนิ่งอยู่บนเตียง พวกทหารคุ้นเคยกับบาดแผลจากธนูดีจึงยกสุรามาให้ คนผู้หนึ่งเอ่ยว่า “หลบไปๆ”

โหยวเหมี่ยวถามด้วยความร้อนใจว่า “เขาคงไม่ตายกระมัง”

“ไม่ตายๆ!” พวกทหารตอบ “เด็กไปเล่นข้างๆ นู่น นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า เขาแค่เสียเลือดมากเกินจนหน้ามืดเท่านั้น”

“เมื่อครู่ข้านึกว่าเขาตายเสียแล้ว”

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า…” พวกทหารหัวเราะเบิกบาน คนที่มีผ้าพันแผลพันรอบตัวเดินถือมีดสั้นเข้ามาแล้วหยอกล้อว่า “หึ อดทนมาได้นานขนาดนี้ นับว่าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง”

โหยวเหมี่ยวคุกเข่าข้างเดียวอยู่ข้างเตียง จับมือหลี่จื้อเฟิงไว้แล้วกล่าวว่า “เจ้าจะให้ข้าจากไปคนเดียวได้อย่างไร…”

“คู่รักสินะ” ทหารนายหนึ่งหยอกล้อด้วยความปากเบา “โดนธนูยิงแค่นี้ก็ทำท่าจะเป็นจะตาย”

หลี่จื้อเฟิงไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ทหารอีกนายเอ่ยว่า “จับเขาไว้ ข้าจะดึงลูกศรออกแล้ว”

ธนูโดนพลังกระแทกหักดังเปร๊าะ หลี่จื้อเฟิงยังคงจ้องมองโหยวเหมี่ยวโดยไม่ยอมปล่อยให้คลาดสายตา จากนั้นทหารนายนั้นก็กดมีดลงไปแล้วแซะหัวลูกศร เมื่อหัวลูกศรเหล็กร่วงเคร้งลงพื้น ทหารอีกนายก็ราดสุราลงไปที่แผล มือของหลี่จื้อเฟิงกำแน่น หัวคิ้วขมวดเป็นปม

“ใช้ได้”

พวกทหารพอกยาให้หลี่จื้อเฟิงแล้วเอาผ้าพันไว้อย่างแน่นหนา เซี่ยวเว่ยเอ่ยว่า “ลุกขึ้น”

หลี่จื้อเฟิงเอามือยันตัวลุกขึ้นมานั่ง โหยวเหมี่ยวเห็นอีกฝ่ายปลอดภัยดีก็วางใจ ตอนที่เซี่ยวเว่ยพันแผลให้เขาสังเกตเห็นรอยสักตรงคอหลี่จื้อเฟิงก็ขมวดคิ้ว “…ชาวเฉวี่ยนหรงหรือ”

พอคำพูดดังกล่าวหลุดออกจากปาก ภายในห้องพลันเงียบกริบ พวกทหารค่อยๆ ถอยหลังกันไปหมด มือแตะอยู่ที่ฝักดาบข้างเอว

โหยวเหมี่ยวรีบร้อนอธิบายว่า “อย่าเพิ่งลงไม้ลงมือกัน! เขาเป็นทาสบ้านข้า ข้ากล้ารับประกันว่าเขาไม่มีทางฆ่าคนแน่ อย่าทำร้ายเขา”

เซี่ยวเว่ยไม่ได้พูดอะไร โยนผ้าพันแผลทิ้งไว้บนเตียงแล้วหมุนตัวเดินออกไป เอ่ยพร้อมคลี่ยิ้มนิดๆ “หึ น่าสนใจ วันนี้ช่วยสุนัขเฉวี่ยนหรงไว้ตัวหนึ่ง”

พวกทหารออกไปกันหมดแล้ว ในห้องเหลือเพียงโหยวเหมี่ยวกับหลี่จื้อเฟิงสองคน

** เขตกวนตง คือพื้นที่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน

โหยวเหมี่ยวหยิบผ้าพันแผลมากางแล้วพันรอบเอวหลี่จื้อเฟิง ตั้งแต่ต้นจนจบชายหนุ่มไม่ได้ปริปากพูดสักคำ เอาแต่นั่งเงียบตลอดเวลา

“อีกสักครู่ข้าจะลองออกไปคุยดู” โหยวเหมี่ยวกล่าว “ไม่ต้องกลัว พวกเขาไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”

หลี่จื้อเฟิงรับคำ โหยวเหมี่ยวจึงกล่าวต่อ “แผลธนูไม่ได้ร้ายแรงอะไร เหตุใดจึงหลอกข้า”

ในที่สุดหลี่จื้อเฟิงก็ตอบว่า “เจ้าไม่ได้บอกว่าให้ข้าไปด้วย”

โหยวเหมี่ยวทั้งขันทั้งปวดใจ ดึงผ้าพันแผลให้รัดแน่น เรือนร่างแข็งแกร่งของหลี่จื้อเฟิงเกร็งตัวขึ้นมาทันที โหยวเหมี่ยวโยนเสื้อขนสัตว์คืนให้และบอกให้เขาเอาคลุมตัวไว้ จากนั้นผลักประตูออกไปคุยกับเซี่ยวเว่ย

ท้องฟ้าเริ่มปลอดโปร่งอีกครั้ง เซี่ยวเว่ยกับทหารหลายนายกำลังยืนอยู่กลางพื้นหิมะเหมือนกำลังปรึกษาหารือกัน โหยวเหมี่ยวเดินเข้าไปเอ่ยว่า “พี่ชายทุกท่าน ข้ามีเรื่องอยากสนทนาด้วย”

ทุกคนต่างมองเขาด้วยสายตาระแวง โหยวเหมี่ยวประสานมือคารวะ เซี่ยวเว่ยอายุสี่สิบเศษ รูปร่างผอมแต่ท่วงท่าองอาจห้าวหาญประสานมือคารวะตอบ เจอคนเช่นไรก็จงสนทนาด้วยเช่นนั้น โหยวเหมี่ยวเรียนรู้กลวิธีนี้จากเมืองหลวงจนช่ำชองดี ทราบดีว่าทหารพวกนี้กินไม้อ่อนไม่กินไม้แข็ง หากเอาฐานะคุณชายเข้าข่มหรือเอาเงินทองฟาดหัวย่อมไร้ประโยชน์ งานนี้ต้องพูดจากันอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น

โหยวเหมี่ยวเล่าว่าได้คนผู้นี้มาจากมือหลี่เหยียนอย่างไร พาเขาไปที่เมืองเหยียนเปียนแล้วปล่อยกลับไปอย่างไร ระหว่างทางเจอพวกชาวหูปล้นทรัพย์แล้วหลี่จื้อเฟิงพาทหารมาช่วยฝ่าวงล้อมอย่างไร…

ทหารนายหนึ่งหัวเราะพลางกล่าวว่า “นับว่าเป็นทาสที่จงรักภักดีคนหนึ่ง”

เซี่ยวเว่ยพยักหน้า ขณะที่กำลังจะกล่าววาจาก็มีจดหมายมาจากนอกด่านเจิ้งเหลียงพอดี

“เรียนหวังเซี่ยวเว่ย…”

ทหารนายนั้นแต่งชุดทหารเมืองเหยียนเปียน พลิกตัวลงจากม้าแล้วตรงเข้ามายื่นหนังสือราชการฉบับหนึ่ง หวังเซี่ยวเว่ยคลี่ออกดูแวบหนึ่งก็หันไปบอกโหยวเหมี่ยวว่า “ตามข้ามา”

เมื่อโหยวเหมี่ยวถูกพาตัวเข้าไปในเรือนพักทหาร หวังเซี่ยวเว่ยก็เอ่ยว่า “เมืองเหยียนเปียนส่งจดหมายมาถามหาร่องรอยของพวกเจ้าสองคน”

โหยวเหมี่ยวลอบอุทานในใจว่าดีเหลือเกิน เช่นนี้ก็แปลว่าจ้าวเฉากลับไปถึงเมืองเหยียนเปียนอย่างปลอดภัยแล้ว

“จ้าวเฉาเล่า” โหยวเหมี่ยวถาม “เขารอดพ้นจากอันตรายแล้วสินะ”

หวังเซี่ยวเว่ยทำท่าประหลาดใจเล็กน้อย มองโหยวเหมี่ยวแวบหนึ่งแล้วตอบว่า “ใช่”

“ข้าจะตอบจดหมายเขา”

“เรื่องของทาสเฉวี่ยนหรง แต่ไหนแต่ไรมาเป็นเรื่องที่ชาวบ้านไม่ประกาศทางการไม่ยุ่งวุ่นวาย คนผู้นี้เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง ทุ่มเทปกป้องเจ้าสุดกำลังจนพาเจ้ามาถึงที่นี่ ตอนนั้นพวกข้าเคยเปิดศึกกับชาวเฉวี่ยนหรง สองแคว้นรบรากัน ต่างฝ่ายต่างทำเพื่อนายของตน แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่พอคิดถึงพี่น้องที่ต้องตายด้วยน้ำมือของชาวเฉวี่ยนหรง ข้าก็…เจ้ากับอะ…คุณชายจ้าวมีความสัมพันธ์อย่างไรกัน”

โหยวเหมี่ยวเขียนจดหมายตอบจ้าวเฉา พยักหน้าหงึกหงักแล้วเงยหน้าถามว่า “ทำไม”

หวังเซี่ยวเว่ยยื่นจดหมายให้เขาดู “จ้าวเฉาบอกว่าเจ้าเป็นน้องชายของเขา และบอกพวกเราว่าต้องตามหาเจ้าให้เจอ”

โหยวเหมี่ยวยิ้ม ในเมื่อจ้าวเฉากล่าวเช่นนี้ โหยวเหมี่ยวจึงเรียกเขาว่าพี่ชายด้วยสีหน้าระรื่น จดหมายเขียนอย่างสละสลวย เปี่ยมล้นด้วยน้ำมิตรไมตรี บอกกล่าวว่ารอดพ้นจากอันตรายแล้ว แต่ยังไม่ลืมช่วงเวลาทุกข์ยากตรากตรำด้วยกันมา เวลานี้กำลังมุ่งหน้าสู่เมืองเหลียงโจวเพื่อหาทางกลับบ้าน

หวังเซี่ยวเว่ยมองโหยวเหมี่ยวเขียนจดหมายแล้วกล่าวชมว่าเขาเขียนตัวอักษรงดงามมาก “ขบวนพ่อค้าเพิ่งผ่านด่านเจิ้งเหลียงออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เมื่อหนึ่งวันก่อน เจ้าตามไปตอนนี้ก็น่าจะทัน”

“ได้ ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้”

โหยวเหมี่ยวคลำหาตราประทับประจำตัว แต่เพิ่งรู้ว่าทำหล่นหายไปนานแล้วจึงเอานิ้วแตะหมึกชาดประทับรอยนิ้วมือแทน ก่อนส่งจดหมายให้หวังเซี่ยวเว่ยแล้วขอยืมรถม้าคันหนึ่ง หวังเซี่ยวเว่ยยังมอบคนให้เขาอีกคนหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็รีบร้อนเดินทางตรงไปยังเมืองเหลียงโจวทั้งคืน

ด่านเจิ้งเหลียงมีรถม้าเก่าทรุดโทรมแค่คันเดียว และเป็นรถม้าที่เหลือทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนองค์หญิงมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี ทหารเป็นผู้บังคับม้า ส่วนโหยวเหมี่ยวนั่งพิงหลี่จื้อเฟิงอยู่ในรถ รถม้าหน้าตาเรียบง่ายไม่ได้หรูหราอะไรแต่โหยวเหมี่ยวกลับรู้สึกสบายมาก ราวกับว่าพอกลับเข้าไปในด่าน ทุกอย่างก็สงบสุขและปลอดภัย

จะว่าไปแล้วนี่ต่างหากที่เป็นดินแดนของชาวฮั่นอย่างแท้จริง เมื่อก่อนเขาไม่เคยมีความคิดเช่นนี้ แต่หลังจากผ่านประสบการณ์เดินทางออกนอกด่านสักหน พอกลับเข้าจงหยวนอีกครั้งก็รู้สึกว่าทุกคนที่เคยเจอมาเป็นคนดี ทุกสิ่งที่เคยพบเห็นล้วนดีงามไปหมด โหยวเหมี่ยวเห็นหลี่จื้อเฟิงยังคงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็คิดถึงใจอีกฝ่าย ตอนตนเองอยู่นอกด่านเป็นคนต่างถิ่น คิดว่าตอนหลี่จื้อเฟิงอยู่ในจงหยวนก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน อย่าว่าแต่ยังมีฐานะทาสติดตัวอีก

“ข้าจะปล่อยเจ้ากลับไป” โหยวเหมี่ยวเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เดิมทีก็คิดจะปล่อยเจ้าไปจากจงหยวนดินแดนอันน่าเศร้าอยู่แล้ว”

หลี่จื้อเฟิงมองโหยวเหมี่ยวแวบหนึ่ง โหยวเหมี่ยวเอ่ยต่อว่า “กลับไปจงหยวนอีกครั้ง เจ้าจะไม่คิดถึงบ้านเกิดหรือ”

หลี่จื้อเฟิงส่ายหน้า

“ไม่คิดถึงบ้านเกิดก็ดี ต่อไปคอยติดตามข้าแล้วกัน”

หลี่จื้อเฟิงล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้โหยวเหมี่ยว นั่นก็คือหนังสือสัญญาขายตัวฉบับเก่าของเขานั่นเอง โหยวเหมี่ยวกล่าวว่า “เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้ากับจ้าวเฉาอาจจะตายไปแล้วก็ได้ ต่อไปเราเรียกขานกันเป็นพี่น้องเถอะ ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไป”

แม้ว่าโหยวเหมี่ยวจะไม่ยอมรับของสิ่งนั้น แต่หลี่จื้อเฟิงยังคงยื่นส่งให้แล้วบอกว่า “การคุ้มครองเจ้าเป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว ต่อให้มากกว่านี้ก็ไม่ได้มากเกินไป เดิมทีชาวเฉวี่ยนหรงก็ไม่มีภูมิลำเนาดั้งเดิม ดังนั้นจึงไม่เคยมีเรื่องการคิดถึงบ้านเกิดอะไรทำนองนั้น”

โหยวเหมี่ยวรับคำ กอดเอวหลี่จื้อเฟิงแล้วฝังใบหน้ากับอกแกร่ง หมวกของหลี่จื้อเฟิงแปลกมาก ดูคล้ายครึ่งหนึ่งของหัวหมาป่า สิ่งที่ดูเหมือนเขี้ยวสองอันบดบังใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มทำให้ดูแตกต่างเป็นคนละคน

โหยวเหมี่ยวนอนขดตัวอยู่ในอ้อมอก สองแขนกอดรอบเอวของอีกฝ่ายแล้วเริ่มง่วง หลี่จื้อเฟิงโอบประคองเขาไว้ในอ้อมแขนแกร่ง ก่อนโหยวเหมี่ยวจะหลับ ความคิดสุดท้ายที่อยู่ในหัวคือ หลี่จื้อเฟิงผู้นี้ไม่เลวทีเดียว เงินสองร้อยห้าสิบตำลึงเรียกว่าซื้อสมบัติล้ำค่ามาได้แล้ว

รถม้าแล่นมาหนึ่งวัน ในที่สุดก็ถึงเมืองต้าเหลียง ทหารเข้าไปถามนายอำเภอจนพบขบวนสินค้าจากเมืองหลวงที่ยังอยู่ในต้าเหลียง ห่าวซันเฉียนรอดพ้นจากอันตรายมาได้ ขบวนสินค้าทำคุณชายโหยวหายก็แตกตื่นวุ่นวายกันยกใหญ่ ตอนนั้นสถานการณ์สับสนชุลมุนมาก คนขับรถม้าตายไปไม่น้อย คนที่รักษาชีวิตไว้ได้ก็หลบหนีกันไปหมด ต่อให้มีเงินมากมายแค่ไหนแต่ไม่มีชีวิตอยู่ใช้เงินแล้วยังจะมีประโยชน์อันใด

ตอนหนีมาถึงเมืองต้าเหลียง ห่าวซันเฉียนยัดเงินให้ขุนนางท้องถิ่น เพื่อให้ช่วยเชิญคนออกตามหาร่องรอยของโหยวเหมี่ยว จากเมืองต้าเหลียง ด่านเจิ้งเหลียง จนถึงเมืองเหยียนเปียนต้องใช้เวลาเดินทางหลายวัน กว่าข่าวสารจะส่งไปส่งมา บวกกับเสียเวลาระหว่างทางอีกไม่น้อย พวกพ่อค้าจึงร้อนรนดุจไฟลน จนกระทั่งเห็นโหยวเหมี่ยวกลับมา ทุกคนต่างรู้สึกกระอักกระอ่วนกันไปหมด

แต่โหยวเหมี่ยวไม่สนใจ แค่หัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยว่า “กลับมาก็ดีแล้ว ไม่ต้องห่วง คราวนี้สร้างความวุ่นวายให้พวกเจ้าแล้ว”

พวกพ่อค้าพ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก ห่าวซันเฉียนรีบเข้ามาระบายทุกข์ว่าคราวนี้สูญเสียสินค้าไปมาก ทั้งยังปล่อยให้คุณชายประสบเคราะห์ร้ายอีก กลับไปเกรงว่าคงจบเห่แน่ โหยวเหมี่ยวเอ่ยปลอบใจ ทราบดีว่าการฉกฉวยผลประโยชน์หลีกเลี่ยงภัยอันตรายเป็นนิสัยติดตัวของพวกพ่อค้า และจะโทษพวกเขาเสียทั้งหมดก็ไม่ได้

วันนั้นขบวนรถม้าทั้งหมดหยุดพักที่เมืองต้าเหลียงหนึ่งวัน และเตรียมออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น

แม้ว่าการค้าขายในต้าเหลียงจะไม่ได้คึกคักเท่าเหยียนเปียน แต่ก็เป็นเมืองสำคัญแห่งหนึ่งในเขตกวนตง โหยวเหมี่ยวกินเนื้อแพะมือหยิบ* ครึ่งชั่ง ตับวัวสองตำลึง** ชานมม้าอีกชามโตอยู่ในโรงเตี๊ยมอย่างตะกละตะกลาม ในที่สุดก็รอดสักที เด็กหนุ่มหิ้วพวงองุ่น นั่งไขว่ห้าง กินพลางชมทิวทัศน์ไปด้วย

หลี่จื้อเฟิงถือชามใบหนึ่ง ในนั้นเป็นแป้งแช่น้ำแกงแพะ*** ชามใหญ่ นั่งยองๆ ก้มหน้าก้มตากินอยู่นอกห้องอาหาร

พวกพ่อค้าล้วนชมเขาว่าเป็นทาสที่จงรักภักดีมาก เมืองต้าเหลียงเป็นด่านสุดท้ายก่อนออกนอกด่าน ดังนั้นขบวนสินค้าจากทั่วสารพัดทิศต่างก็มารวมตัวกันที่นี่ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในสถานที่ต่างๆ ดังมาเข้าหูโหยวเหมี่ยวเป็นระยะ ส่วนใหญ่จะพูดว่าชาวหูทางเหนือเริ่มลุกฮือกันอีกแล้ว หลายปีมานี้แถวชายแดนเริ่มวุ่นวายมากขึ้นทุกที เกรงว่าคงทำการค้าระยะยาวได้อีกไม่กี่ปี

โหยวเหมี่ยวลุกขึ้น สอดมือซุกแขนเสื้อ หลี่จื้อเฟิงรีบวางชามอาหารที่เพิ่งกินได้ครึ่งเดียวไว้ข้างๆ แล้วลุกตาม โหยวเหมี่ยวเอ่ยว่า “เจ้ากินต่อเถอะ”

“ไม่กินแล้ว” หลี่จื้อเฟิงตอบ

“กินเถอะ กินอิ่มแล้วจะได้ไปกับข้าสบายๆ” โหยวเหมี่ยวหัวเราะฮิๆ

หลี่จื้อเฟิงหยิบชามขึ้นมากินต่อ โหยวเหมี่ยวก้มลงจับหมวกหัวหมาป่าที่สวมอยู่บนศีรษะอีกฝ่าย พอหลี่จื้อเฟิงเงยหน้าขึ้นมองก็หัวเราะออกมา

โหยวเหมี่ยวพาหลี่จื้อเฟิงเดินทะลุตลาดที่เต็มไปด้วยโคลนเพื่อไปซื้อเสื้อผ้า ที่นี่มีผ้าไหมเสฉวนผ้าดิ้นซูโจวมากมาย ราคาแพงกว่าแถบเจียงเป่ยเสียอีก แต่มีชุดที่ตัดเย็บแล้วให้เลือกหลากหลายกว่า และไม่ได้จำกัดรูปแบบ ยิ่งเดินทางลงใต้ อากาศก็ยิ่งอบอุ่นขึ้น ไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อขนสัตว์ตลอดเวลา เวลานี้หลี่จื้อเฟิงสวมขนและศีรษะหมาป่า ด้านหลังเสื้อกั๊กผ้าสองชั้นยังห้อยหางหมาป่า จะพากลับบ้านในเครื่องแต่งกายเช่นนี้ไม่ได้ จำเป็นต้องหาชุดเปลี่ยนใหม่ก่อน

“เอาชุดนี้” โหยวเหมี่ยวถูกใจเสื้อคลุมยาวลายเมฆมงคลสีครามตัวหนึ่ง ฝีเข็มเย็บปักอย่างละเอียดลออ มองเผินๆ ไม่สะดุดตา แต่สวมใส่แล้วดูดี โหยวเหมี่ยวแต่งกายด้วยชุดหรูหรา ดังนั้นจะปล่อยให้ผู้ติดตามแต่งตัวโทรมนักก็ไม่ดี

* อาหารขึ้นชื่อของทางตะวันตกเฉียงเหนือ เอาเนื้อแพะไปต้มแล้วตุ๋นต่อจนนุ่ม จากนั้นหั่นกินเป็นชิ้นๆ หรือเอาไปนึ่งแล้วราดซีอิ๊ว เป็นต้น สมัยโบราณเวลากินมักใช้มือหยิบจับจึงเป็นที่มาของชื่ออาหารชนิดนี้

** ตำลึง เป็นทั้งหน่วยเงินและหน่วยชั่งของจีน โดยน้ำหนัก 1 ตำลึงเท่ากับ 31.25 กรัม

*** อาหารขึ้นชื่อของทางตะวันตกเฉียงเหนือ นำแป้งมาปิ้งจนนุ่มแล้วฉีกเป็นชิ้นๆ ต้มกับน้ำแกงเนื้อแพะ และใส่วุ้นเส้นเพิ่ม

หลี่จื้อเฟิงไม่ได้เอ่ยวาจาใดๆ พับกางเกง ถอดเสื้อกั๊ก เผยให้เห็นผิวสีทองแดงที่ดูแข็งแรง ร่างผอมแต่แข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้าก็ไม่ปาน สวมแค่เสื้อตัวในบางๆ และพันผ้าคาดเอวก็ดึงดูดสายตาจากสาวๆ รอบตัวได้

“ทาส…” มีคนสังเกตเห็นรอยสักตรงคอหลี่จื้อเฟิงก็ลดเสียงลงกระซิบกระซาบ

“ชาวหู?”

“ขวัญกล้าจริงๆ พาทาสชาวหูเข้ามาในด่าน มือเท้าก็ไม่ล่ามโซ่ตรวน…”

“ไม่รู้ว่าเป็นคุณชายบ้านไหน…”

โหยวเหมี่ยวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยื่นมือไปจัดคอเสื้อหลี่จื้อเฟิงให้ปิดรอยสักไว้แล้วเอ่ยว่า “พอถึงบ้านข้า ห้ามพูดผิดเด็ดขาด”

“อื้ม” หลี่จื้อเฟิงพยักหน้า

“ถึงตอนนั้นเรามาตกลงกันไว้ก่อน บอกเขาว่าเจ้าเป็นคนที่หลี่เหยียนมอบให้ข้า ส่วนเรื่องอื่นห้ามพูดส่งเดช”

“ทราบแล้ว” หลี่จื้อเฟิงตอบรับอย่างว่าง่าย

“ถ้าถามเจ้าว่าเป็นคนอะไร เจ้าก็บอกไปว่าเป็นชาวฮั่น” โหยวเหมี่ยวเอ่ยต่อ

หลี่จื้อเฟิงไม่ได้โต้ตอบอะไร จู่ๆ โหยวเหมี่ยวก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ กระทั่งชาวฮั่นยังมีคำกล่าวว่าห้ามลืมรากเหง้าของตนหรือนับถือโจรเป็นพ่อ ชาวเฉวี่ยนหรงเองก็คงเป็นเช่นเดียวกัน

หลี่จื้อเฟิงย่อมไม่อยากบอกว่าตนเองเป็นชาวฮั่น เพราะเลือดที่ไหลเวียนในร่างเป็นเลือดของชาวเฉวี่ยนหรง อีกอย่างคิ้วและตาของเขาก็ไม่เหมือนชาวฮั่น

โหยวเหมี่ยวกำลังจะกล่าวอย่างอื่นต่อ หลี่จื้อเฟิงก็ตอบรับก่อน “ได้”

“ช่างเถอะ” โหยวเหมี่ยวเอ่ย “เจ้าบอกความจริงเถอะ เรื่องท่านพ่อข้าจะคิดหาวิธีภายหลัง”

โหยวเหมี่ยวจูงนิ้วชี้และนิ้วกลางของหลี่จื้อเฟิงเดินออกจากร้านขายเสื้อผ้ากลับไปยังขบวนรถ ค่าใช้จ่ายในเมืองต้าเหลียงล้วนหักจากบัญชีของขบวนสินค้า เหตุการณ์ดำเนินไปตามนี้หลายวัน ขบวนสินค้าเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ตรงไปยังสถานที่ค้าขายสินค้าเหมันตฤดูแห่งสุดท้าย…เจียงเป่ย

 

เจียงหนานและเจียงเป่ย* แบ่งออกเป็นเมืองหลิวโจว หยางโจว ซูโจว เป็นต้น เมื่อเดินทางเข้าใกล้แม่น้ำฉางเจียง อากาศก็เริ่มอบอุ่นขึ้น ตลอดการเดินทางสิบกว่าวันมานี้ แม้ว่าจะยังมีหิมะตกลงมาอย่างบางเบานานๆ ที แต่หิมะตกลงมาพร้อมฝน และมักจะโปรยปรายลงมาเวลาอยู่บนเนินเขาหรือในป่าเขียวชอุ่ม เทียบกับนอกด่านที่เป็นหิมะเกรี้ยวกราดพร้อมสายลมเย็นเฉียบพัดบาดผิว และตกลงมาทีก็กลบทุกหนแห่ง เหมันตฤดูในเจียงเป่ยเรียกว่าสวรรค์บนดินโดยแท้

“ถึงบ้านเจอท่านพ่อข้าให้เรียกนายท่าน เข้าใจหรือไม่”

“อืม”

“อยู่แค่หนึ่งเดือนเท่านั้น เจ้าอย่าทะเลาะกับพวกบ่าวล่ะ…”

“อื้ม”

“คฤหาสน์สกุลโหยวไม่เหมือนหลังที่อยู่ในเมืองหลวง บ่าวไพร่บางคนเข้ามาในเรือนไม่ได้ เจ้าเป็นคนของข้า เข้าห้องข้าได้ แต่ห้ามเข้าห้องโถง และห้ามเดินไปไหนมาไหนส่งเดช…”

“ทราบแล้ว”

* เจียงหนานและเจียงเป่ย คือพื้นที่บริเวณตอนใต้และตอนเหนือของแม่น้ำฉางเจียงหรือแยงซีเกียง

โหยวเหมี่ยวสั่งกำชับหลี่จื้อเฟิงซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดทาง ระหว่างนั้นยังเล่าเรื่องในบ้านให้ฟังไม่น้อย เวลาอยู่กับพวกลูกผู้ดีมีตระกูลในเมืองหลวงห้ามโอ้อวดตัว จำต้องปกปิดความร่ำรวยเอาไว้ แต่กับบ่าวรับใช้ของตัวเอง อยากจะโอ้อวดแสดงสักแค่ไหนก็ทำได้

“สรุปว่า” โหยวเหมี่ยวกล่าว “การกินอยู่ใช้สอย ต่อให้เป็นโอรสสวรรค์ในเวลานี้ยังเทียบไม่ได้ ติดตามข้านับว่าเป็นบุญวาสนาที่สั่งสมมาตั้งแต่ชาติปางก่อนของเจ้าแล้ว”

“อื้ม” หลี่จื้อเฟิงยกมุมปากนิดๆ และมองออกไปนอกรถ

“เคยมาหลิวโจวหรือไม่”

หลี่จื้อเฟิงส่ายหน้า

ขบวนพ่อค้าหยุดที่เมืองเจียงเฉิง ห่าวซันเฉียนสั่งให้รถม้าสองคันพาโหยวเหมี่ยวไปส่งที่คฤหาสน์สกุลโหยวในอำเภอเพ่ยเสี้ยน

ระหว่างทางเห็นภูเขาชาสีเขียวเข้มยาวเป็นพืด ชาวไร่กำลังเด็ดใบชาชุดสุดท้ายของเหมันตฤดู ไร่นากว้างสุดลูกหูลูกตา ต้นชานับพัน โหยวเหมี่ยวนั่งอยู่ข้างหน้าต่างที่เปิดกว้าง เอ่ยกับหลี่จื้อเฟิงด้วยความภาคภูมิใจว่า “เจ้าดูภูเขานี้ ที่ดินนี้ แม่น้ำนี้…”

“…ต้นไม้ที่ปลูกบนภูเขา ปลาที่เลี้ยงอยู่ในน้ำ สัตว์บกสัตว์ปีก ดอกไม้นกหนอนแมลง” โหยวเหมี่ยวหัวเราะฮ่าๆ “ล้วนเป็นกิจการของบ้านสกุลโหยว ล้วนเป็นของข้า”

ดวงตาของหลี่จื้อเฟิงฉายแววตกตะลึง พยักหน้านิดๆ โหยวเหมี่ยวยกเท้าขึ้นวางบนต้นขาหลี่จื้อเฟิง รถม้าแล่นไปข้างหน้าไม่หยุด หมอกยามเช้าปกคลุมภูเขาชา ฝนเพิ่งตกทำให้ทางเดินเปียกชื้น สูดอากาศสดชื่นบนภูเขา เทียบกับเมืองหลวงที่คึกคักวุ่นวาย นอกด่านที่เต็มไปด้วยเม็ดทราย สถานที่แห่งนี้นับว่าเป็นสวรรค์บนดิน หรือเมืองลับแลอย่างแท้จริง

เวลาเที่ยงวัน รถม้าจอดลงข้างทาง คนขับรถม้าเชิญโหยวเหมี่ยวลงมากินอาหาร ต้มใบชาสี่ชนิด ข้าวผัดสองสี และกุ้งทอดน้ำมัน ปลาหิมะที่หั่นเป็นแผ่นบางเฉียบเหมือนปีกแมลงปอห่อไข่คลุกแป้งทอดน้ำมันเดือดพล่านจนกรอบเหลืองอร่าม พอเข้าปากก็ละลายทันที โหยวเหมี่ยวกินอาหารมื้อนี้อย่างอารมณ์ดี

ออกจากบ้านไปสามปี ไม่ได้กินอาหารหลิวโจวอร่อยๆ เช่นนี้นานแล้ว โหยวเหมี่ยวบอกหลี่จื้อเฟิงว่า “รอถึงบ้านแล้ว อาหารที่จะได้กินอร่อยกว่านี้หลายเท่า”

หลี่จื้อเฟิงพยักหน้า ประคองชามนั่งกินบะหมี่ลูกชิ้นปลาอยู่หน้าร้านอาหาร รสชาติเป็นเลิศ

เถ้าแก่เนี้ยยกน้ำชามาให้โหยวเหมี่ยวแล้วเอ่ยว่า “คุณชายโหยวเหมี่ยวไม่ได้กลับบ้านหลายปีแล้ว”

“อย่างนั้นหรือ” โหยวเหมี่ยวยิ้มแล้วรับถ้วยชามา ชาเทียนฉิงเหมาเจียนปี้อวี่ลอยอยู่ในถ้วยกระเบื้องลายดอกไม้ น้ำชาส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว เมื่อก่อนโหยวเหมี่ยวเป็นคนที่ใกล้ชิดคนง่าย อีกทั้งยังมีหน้าตาหล่อเหลางามสง่า พวกชาวไร่ในบริเวณนี้ล้วนเป็นคนงานของสกุลโหยว เห็นเขาก็รักใคร่เอ็นดูกันหมด

แต่วันนี้เถ้าแก่เนี้ยกลับทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่พูดไม่ออก โหยวเหมี่ยวมัวแต่ร้อนใจอยากรีบกลับบ้านจึงไม่ทันได้สังเกต เขาชี้หลี่จื้อเฟิงแล้วกล่าวว่า “นี่คือคนของข้าในเมืองหลวง เป็นคนซื่อสัตย์ดีมาก”

“นายท่านโหยวให้คุณชายกลับมาคงมีอะไรจะบอกกล่าว คุณชายทราบหรือไม่เจ้าคะ” เถ้าแก่เนี้ยยิ้มแย้มพลางผงกหัวตอบ

โหยวเหมี่ยวขบคิดก่อนตอบ “จะให้ข้าแต่งภรรยารับสืบทอดกิจการชาปี้อวี่ไม่ใช่หรือ ยังมีเรื่องอะไรอีก”

แม้ว่าบิดาจะส่งเขาไปศึกษาร่ำเรียนในเมืองหลวง เพื่อจะได้เป็นขุนนางสักตำแหน่ง แต่ถ้าจะเปลี่ยนใจกลางคัน คิดรั้งเขาอยู่ที่เจียงเป่ยต่อไปก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ โหยวเหมี่ยวหัวเราะร่วน “ภายภาคหน้ารอข้ารับสืบทอดกิจการชาแล้ว ควรทำอย่างไรก็ทำกันไปตามนั้น ไม่ขึ้นค่าเช่าพวกเจ้าหรอก วางใจเถอะ”

“คุณชายไม่ลืมคนเก่าคนแก่ แค่ได้ติดตามคุณชายก็เป็นวาสนาของพวกเราแล้ว” เถ้าแก่เนี้ยกล่าว

โหยวเหมี่ยวพยักหน้า เถ้าแก่เนี้ยถอนหายใจแล้วออกไปตากเสื้อ ส่วนหลี่จื้อเฟิงที่กำลังกินบะหมี่เลื่อนสายตาขึ้นมองนาง

หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จ โหยวเหมี่ยวก็สั่งให้รถม้ากลับไป ที่นี่อยู่ห่างจากปราสาทเขาปี้อวี่ไม่ถึงสิบลี้ เมื่อกลับมาถึงบ้านเกิดโหยวเหมี่ยวก็รู้สึกเบิกบานใจมากจึงตัดสินใจว่าจะเดินกลับบ้านเอง

พื้นดินยังชุ่มฉ่ำ หลี่จื้อเฟิงกล่าวว่า “คุณชาย ข้าจะแบกท่านเอง”

โหยวเหมี่ยวก็ไม่เกรงใจ กระโดดขึ้นหลังอีกฝ่ายทันที หลี่จื้อเฟิงแบกเขาเดินไปอย่างช้าๆ ระหว่างทางมีคนขับเกวียนผ่านมา โหยวเหมี่ยวตะโกนเรียก คนผ่านทางเห็นโหยวเหมี่ยวก็เอ่ยว่า “คุณชายโหยวหรือ”

“คุณชายโหยวกลับมาแล้ว…”

“เหตุใดไม่นั่งรถม้าเล่า”

“กลับมาเยี่ยมบ้าน” โหยวเหมี่ยวหัวเราะตอบ

สัมภาระของโหยวเหมี่ยวโดนโจรปล้น ข้าวของจึงสูญหายหมด ทรัพย์สินเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็มีแค่หลี่จื้อเฟิง ระหว่างทางสนทนากันไปจนกระทั่งเห็นปราสาทเขาปี้อวี่ทั้งหมดปรากฏบนไหล่เขาจึงกระโดดลงพื้น

เวลาใกล้พลบค่ำเต็มที บ่าวไพร่สองคนกำลังกวาดพื้น และเพ่งมองดูเขาอยู่ไกลๆ บ่าวคนหนึ่งคิดจะวิ่งเข้าไปรายงาน แต่บ่าวอีกคนกลับรั้งตัวไว้แล้วโบกมือ

โหยวเหมี่ยวค้นพบความผิดปกติในที่สุด จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องราวมากมายที่เมื่อก่อนไม่เคยขบคิดอย่างละเอียด…นี่มันอะไรกัน ตนเองกลับมาถึงอำเภอเพ่ยเสี้ยนแล้ว แต่ทำไมไม่มีใครในบ้านมาต้อนรับเขา

“คุณชาย”

“คุณชายกลับมาแล้ว”

บ่าวรับใช้ทั้งสองประสานมือคารวะ โหยวเหมี่ยวตอบว่า “กลับมาแล้ว ทำไมไม่มีใครมารับข้าเลย ลุงหูเล่า”

โหยวเหมี่ยวเดินตรงไปที่ประตูใหญ่ บ่าวที่กำลังเคลิ้มหลับคนหนึ่งเห็นโหยวเหมี่ยวกลับมาก็สะดุ้งตื่น บ่าวอีกสองคนรี่เข้าไปทุบเขา “จะนอนไปถึงไหน คุณชายกลับมาแล้ว” ระหว่างพูดก็ส่งยิ้มให้โหยวเหมี่ยว “เจ้านี่เป็นบ่าวมาใหม่ขอรับ”

“ไม่เป็นไร เกี้ยวเล่า ทำไมยังไม่เตรียมเกี้ยวมารับ”

บ่าวคนนั้นส่งสายตาให้พวกพ้องอีกสองคน ดวงตาฉายแววลังเล คนหนึ่งตอบว่า “เรียนคุณชาย นายท่านวันนี้กับคะ…คุณ…ออกไปข้างนอก เกี้ยวตัวเล็กอยู่ข้างในปราสาทเขา จะให้คนนำมาเดี๋ยวนี้”

“ลุงหูเล่า?” โหยวเหมี่ยวถาม “บอกให้เขาทำป้ายให้คนผู้นี้ด้วย”

ระหว่างพูดก็ชี้หลี่จื้อเฟิงแล้วกล่าวว่า “เขาชื่อหลี่จื้อเฟิง อากาศหนาวมากจึงไม่ให้สือฉีเอ๋อร์ตามกลับมา มีแค่เขาเท่านั้นที่ติดตามข้ามาจากเมืองหลวง”

“ขอรับๆ” พวกบ่าวไพร่ผงกหัวพร้อมกัน บ่าวคนหนึ่งเอ่ยว่า “คุณชาย…ไม่มีสัมภาระมาด้วยหรือ”

โหยวเหมี่ยวกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ระหว่างทางโดนโจรปล้นไปหมด แต่ปลอดภัยดีแค่ตกใจนิดหน่อย”

บ่าวทั้งสามคนมองหน้ากันไปมา จู่ๆ คนหนึ่งก็เอ่ยว่า “คุณชาย ลุงหูกลับบ้านเดิมไปแล้วขอรับ”

“กลับบ้านไปแล้ว?”

“ขอรับ” บ่าวคนนั้นตอบ “ขอลากลับบ้านด้วยความชรา จึงเปลี่ยนพ่อบ้านคนใหม่ ชื่อว่าหลินซื่อ ลุงหวังพ่อบ้านรองก็ไปแล้ว เวลานี้สมุห์บัญชีคนใหม่เป็นคนดูแลเรื่องเงินทอง หม่าอี๋เหนียง* เป็นคนเชิญมา”

ทำไมเปลี่ยนพ่อบ้านไม่เขียนจดหมายมาบอกกล่าวกันสักคำ กระทั่งสมุห์บัญชียังเปลี่ยน โหยวเหมี่ยวสะบัดแขนเสื้อแล้วกล่าวว่า “ช่างเถอะ เกี้ยวยังไม่มา ข้าขึ้นไปเองก็ได้”

ด้านหน้าประตูใหญ่ของปราสาทเขามีผนังฉากกั้น หลี่จื้อเฟิงสะพายสัมภาระติดตามอยู่ด้านหลังโหยวเหมี่ยว ทั้งสองเริ่มต้นขึ้นเขา ออกกำลังบ้างก็ดีเหมือนกัน พอพลบค่ำ ไอหมอกที่เห็นอยู่ไกลๆ เริ่มแตกกระจาย แสงตะวันตกดินส่องรัศมีสีทองลอดรอยแยกของม่านเมฆลงมาอาบย้อมต้นชานับพันนับหมื่นต้นบนภูเขา โหยวเหมี่ยวเห็นแล้วก็บังเกิดความอาลัยรักบ้านเกิดขึ้นมา

เมื่อผ่านประตูรอง โหยวเหมี่ยวก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้ากลับมาแล้ว”

สาวใช้หลายคนที่กำลังตักน้ำอยู่ริมบ่อหันมามองโหยวเหมี่ยวแล้วแสดงอาการกระวนกระวายใจออกมาเล็กน้อย ครู่ใหญ่ต่อมา สาวใช้คนหนึ่งก็ย่อกายคารวะ เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายกลับมาแล้ว”

โหยวเหมี่ยวรู้สึกหนักอึ้งในใจ ในที่สุดก็รับรู้ถึงความผิดปกติแล้ว

“อุ๊ยตาย กลับมาแล้วหรือ…” ตัวยังมาไม่ถึงแต่เสียงถึงก่อน สตรีนางหนึ่งสวมชุดสีเทาอมชมพูเดินออกมา ปักปิ่นดอกไม้และปัดแป้งชาดหนาเตอะ

คนผู้นี้คือนางหม่า เป็นอนุของโหยวเต๋อชวนผู้เป็นบิดาของโหยวเหมี่ยว คนที่บ่าวไพร่เรียกว่า ‘หม่าอี๋เหนียง’ ก็คือนางนี่เอง หลังจากมารดาของโหยวเหมี่ยวถึงแก่กรรมก็ไม่เห็นหม่าอี๋เหนียงคลอดบุตรให้โหยวเต๋อชวนเลยสักคน โหยวเหมี่ยวจึงเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวที่เกิดกับภรรยาเอก ปกติเวลาเจอนางก็แค่ปฏิบัติตัวด้วยอย่างมีมารยาท ไม่ได้สนทนากันเท่าไรนัก

แต่เวลานี้กลับมีสตรีอีกนางยืนอยู่ด้านหน้าหม่าอี๋เหนียง สวมชุดผ้าไหมปักลายสีฟ้าอ่อน และพันขนจิ้งจอกรอบคอ เกล้าผมทรงมวยตกหลังม้า** ปักปิ่นหยกชิ้นหนึ่ง จี้หยกที่ห้อยอยู่กับปิ่นแกว่งตัวไปมาสะท้อนแสงภายใต้แสงตะวันยามอัสดง

ดูจากรูปโฉมของสตรีนางนั้นแล้วน่าจะมีอายุห้าสิบปีได้ หางตามีริ้วรอยตีนกา ไม่ได้ทาปากแดงแต่ดูมีอำนาจข่มคน โหยวเหมี่ยวทราบแค่ว่ามีญาติผู้หญิงมาอยู่ในบ้าน แต่ไม่เคยเห็นนางมาก่อน ขณะกำลังจะเอ่ยปากทักทายตามมารยาท สตรีนางนั้นกลับชิงเอ่ยขึ้นก่อน

“นี่คือโหยวเหมี่ยว?” สตรีนางนั้นหันไปถามหม่าอี๋เหนียงโดยไม่มีท่าทางเกรงใจแม้แต่น้อย

โหยวเหมี่ยวเลิกคิ้ว ยังไม่ได้ปริปากพูด หม่าอี๋เหนียงก็ชิงพูดขึ้นอีกคน

หม่าอี๋เหนียงมองสตรีนางนั้นแล้วเอ่ยว่า “นี่คือฮูหยินของเรา โหยวเหมี่ยว ตามหลักแล้วเจ้าต้องเรียกว่าไท่ไท่” นางกล่าวแล้วยิ้มพลางจับตาดูสีหน้าของโหยวเหมี่ยว

ฮูหยิน?!!

โหยวเหมี่ยวตกตะลึง ท่านแม่ของเขาต่างหากเป็นฮูหยินโหยวที่ตบแต่งเข้าสกุลอย่างสง่าผ่าเผย เหตุใดเขาจากบ้านไปสามปีกลับมีฮูหยินโผล่ขึ้นมาอีกคน นี่มันอะไรกัน

“เจ้าเป็นใคร” โหยวเหมี่ยวไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ประกายไฟแล่นเปรี๊ยะ เขาพลันฉุกคิดถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา นั่นก็คือคนที่เคยได้ยินชื่อเวลาบิดามารดาทะเลาะกันตอนเขายังเด็กมาก…นางหวัง

* อี๋เหนียง เป็นคำที่ลูกหลานใช้เรียกอนุภรรยาของพ่อ

** ทรงมวยตกหลังม้า เป็นหนี่งในทรงผมของสตรีชาวฮั่นที่แต่งงานแล้ว เป็นลักษณะมวยเอียงๆ คล้ายคนกำลังตกจากหลังม้า

“เจ้าไม่รู้จักข้า แต่ข้ารู้จักเจ้า” น้ำเสียงสงบราบเรียบของนางแฝงความตื่นเต้นเล็กน้อย “มารดาเจ้าคือเฉียวเคอเอ๋อร์ จุ๊ๆ ดวงตากับคิ้วนั่นถอดแบบกันมาไม่ผิดเพี้ยน”

สตรีนางนั้นเชิดคาง แววตาฉายแววรังเกียจเดียดฉันท์อย่างปิดไม่มิด โหยวเหมี่ยวสูงกว่าพอสมควรจึงทอดสายตาลงมองนางอย่างพินิจพิจารณา

“หวังฮูหยิน” โหยวเหมี่ยวเอ่ยเรียบๆ “ยินดีที่ได้พบ เหตุใดจึงวิ่งมาที่บ้านข้าเล่า เวลานี้ควรเรียกเจ้าว่าหวังอี๋เหนียงมากกว่ากระมัง”

นางหวังหน้าเปลี่ยนสีทันที ร้องฮึคำหนึ่ง หม่าอี๋เหนียงรีบเอ่ยว่า “เวลานี้เป็นไท่ไท่แล้ว โหยวเหมี่ยว เจ้าต้อง…”

“ช่างเถอะ รอบิดาเจ้ากลับมา ให้เขาบอกเจ้าด้วยตัวเอง” นางหวังปรามหม่าอี๋เหนียงแล้วแค่นเสียงเย็นชา

โหยวเหมี่ยวก็ไม่มีความอดทนพอจะต่อปากต่อคำกับนางหวัง หันไปถามสาวใช้ของนางว่า “ท่านพ่อข้าจะกลับมาเมื่อไร”

สาวใช้แสดงอาการกระวนกระวายพร้อมเงยหน้ามองนางหวัง แต่หม่าอี๋เหนียงเอ่ยแทรกขึ้นก่อนว่า “บิดาเจ้ากับคุณชายใหญ่ไปตรวจบัญชีที่หยางโจว…”

อีกฝ่ายยังกล่าวไม่จบประโยค แต่โหยวเหมี่ยวรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงดังอื้ออึงสะท้อนกลับไปกลับมาในหัว

คุณชายใหญ่…

โหยวเหมี่ยวแค่นหัวเราะ คำพูดของหม่าอี๋เหนียงเรียกว่าโจมตีคนต้องมุ่งโจมตีใจก่อน โหยวเหมี่ยวเข้าใจสาเหตุที่เกิดความผิดปกติในบ้านได้ทันที สามปีที่เขาเข้าไปร่ำเรียนในเมืองหลวง นอกจากบิดาจะแต่งงานใหม่และยกนางหวังขึ้นเป็นภรรยาเอกแล้ว

ในบ้านยังมีลูกชายเพิ่มมาอีกคน…

นี่หมายความว่าอย่างไร

โหยวเหมี่ยวหันหลังทันที ปล่อยให้หม่าอี๋เหนียงปิดปากหัวเราะไป แต่นางหวังไม่ยอมให้เขาจากไปง่ายๆ “หยุดนะ”

โหยวเหมี่ยวหน้าเปลี่ยนสีทันควัน ถามว่า “ทำไม”

“คนผู้นี้เป็นคนของเจ้าหรือ ทำไมไม่รู้จักมารยาทสักนิด ได้ยินว่าสือฉีเอ๋อร์ติดตามเจ้าไปเมืองหลวง…”

“หลี่จื้อเฟิงยังไม่ได้เข้าบ้าน ฮูหยินก็คิดจะลงโทษโบยตีเขาเพื่อข่มข้าให้ได้แล้วหรือ”

นางหวังมีความคิดเช่นนั้นอยู่จริงๆ ในเมื่อข่มโหยวเหมี่ยวไม่ได้ก็หาเรื่องทุบตีบ่าวรับใช้ของเขา แต่โหยวเหมี่ยวคาดเดาความคิดของนางได้ก่อน นางจึงย้อนถามกลับไปพร้อมรอยยิ้มว่า “หลี่จื้อเฟิง บอกมาสิว่าเมื่อก่อนเจ้าเคยฆ่าคนมาแล้วกี่คน”

หลี่จื้อเฟิงมองโอ่งเครื่องเคลือบสีเขียวใบใหญ่ตรงกลางลาน ปลาทองสีเหลืองอร่ามว่ายวนไปมาในโอ่ง ผิวน้ำสะท้อนภาพท้องฟ้าที่มีเมฆขาว

เนิ่นนานหลี่จื้อเฟิงค่อยเอ่ยว่า “หนึ่งร้อยสิบห้าคน ชาวฮั่นสิบหกคน ชาวต๋าต๋าเจ็ดสิบเอ็ดคน ชาวเฉวี่ยนหรงหนึ่งคน ชาวอูตี๋สองคน ชาวเชียงสิบสองคน ชาวเซียนเปยหนึ่งคน ชาวเจี๋ยสี่คน ชาวซยงหนูเจ็ดคน และเด็กอีกหนึ่งคน” กล่าวจบก็เงยหน้ามองโหยวเหมี่ยว

ทุกคนต่างไม่ได้เอ่ยวาจา สีหน้าของหม่าอี๋เหนียงบ่งบอกถึงสิ่งที่คิดอยู่ในใจชัดเจน

โหยวเหมี่ยวก็ตกใจเช่นกัน แม้ว่าจะไม่แสดงออกทางสีหน้า ในใจคิดว่าคนพวกนี้คงคิดว่าหลี่จื้อเฟิงพูดโกหก แต่ดูจากลักษณะของหลี่จื้อเฟิงแล้วไม่น่าจะโกหกเขา

“เจ้าไม่ได้…เข้ามาจงหยวนตั้งแต่อายุสิบห้าสิบหกหรือ” โหยวเหมี่ยวถาม

หลี่จื้อเฟิงตอบ “ล้วนฆ่าก่อนผ่านพิธีหมาป่าเดียวดายออกด่าน“

โหยวเหมี่ยวหัวเราะ หันไปเลิกคิ้วให้นางหวัง มองสีหน้านางแต่ปากเอ่ยพูดกับหลี่จื้อเฟิง

“เวลาอยู่ในบ้าน ถ้ามีคนคิดทุบตีเจ้า จับเจ้า นอกจากข้าพยักหน้าแล้ว เจ้าไม่ต้องสนใจทั้งนั้น ถ้ามีคนกล้าลงมือกับเจ้า เจ้าก็ตอบโต้กลับไปได้เลย ขอแค่อย่าทุบตีคนจนถึงตายก็พอ”

“ทราบแล้ว” หลี่จื้อเฟิงตอบ

“ไปเถอะ” โหยวเหมี่ยวเอ่ยยิ้มๆ

นางหวังหน้าดำคล้ำ ไม่กล้าพูดอะไรอีก โหยวเหมี่ยวกับหลี่จื้อเฟิงเดินออกไปตามระเบียงทางเดินที่เชื่อมต่อกับประตูชั้นที่สอง พอพ้นระเบียงทางเดิน รอยยิ้มบนใบหน้าโหยวเหมี่ยวพลันเลือนหายไปหมด สีหน้าคล้ำทะมึน

หลี่จื้อเฟิงยังคงเดินตามหลังโหยวเหมี่ยวเช่นเดิม

โหยวเหมี่ยวเดินไปได้ระยะหนึ่งก็ยืนพิงเสาระเบียงพลางสูดหายใจ ความคิดในสมองสับสนวุ่นวาย คงต้องพักแล้วทำความเข้าใจกับเรื่องราวทั้งหมดก่อน

“…ไป” เสียงของโหยวเหมี่ยวแหบพร่า เขาพาหลี่จื้อเฟิงเดินทะลุสวนดอกไม้ สาวใช้คนหนึ่งที่กำลังอุ้มแมวขยับปากพูด โหยวเหมี่ยวจึงหยุดชะงักฝีเท้า

“คุณชาย ที่พักท่านอยู่ที่เรือนปีกตะวันออกเจ้าค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งเอ่ย

“หึ” โหยวเหมี่ยวยิ้มตอบโดยไม่มีวี่แววของโทสะ “กระทั่งเรือนพักยังเปลี่ยนให้ข้า?”

บุตรชายคนโตซึ่งเกิดจากภรรยาเอกจะพักที่เรือนใหญ่ บุตรชายคนรองพักที่เรือนปีกตะวันออก ส่วนบุตรสาวกับอนุภรรยาพักที่เรือนปีกตะวันตก ถ้าไม่มีคำสั่งของโหยวเต๋อชวน ใครจะกล้าแตะต้องห้องโหยวเหมี่ยว ฉวยโอกาสตอนเขาไม่อยู่ ขนย้ายข้าวของเขาไปที่เรือนปีกตะวันออก นั่นก็แปลว่าตนเองโดนลดฐานะเป็นบุตรชายคนรองแล้ว

แต่โหยวเหมี่ยวไม่ได้มีโทสะ และไม่ได้เดินจากไป บิดาไม่อยู่บ้าน ตอนนี้เอะอะไปก็ไม่มีประโยชน์ รังแต่จะทำให้คนอื่นหัวเราะขบขันเสียเปล่าๆ เขาเดินทะลุสวนดอกไม้ของเรือนใหญ่กลับไปตามทางเดิม ก่อนไปเหลือบมองเรือนที่เคยเป็นของตัวเองแวบหนึ่งก็เห็นว่านกขุนทองที่ห้อยอยู่ใต้ชายคาซึ่งเคยเลี้ยงไว้เมื่อสามปีก่อน ดอกไม้ที่เคยปลูก ปลาทองในอ่างแก้วหลิวหลีล้วนไม่อยู่แล้ว สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือไผ่หางหงส์ยาวเป็นทิวแถวบดบังประตูเรือน

โหยวเหมี่ยวเดินไปที่เรือนปีกตะวันออก ที่นี่เคยซ่อมแซมใหม่มาแล้วครั้งหนึ่ง สระน้ำด้านหน้าภูเขาจำลองก็เปลี่ยนหินก่อรอบสระใหม่ เสาเรือนกับชายคาก็ทาสีใหม่เอี่ยม กรงนกห้อยอยู่ใต้ชายคาเรียงรายเป็นแถวยาว

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

สามารถอ่านบทอื่นๆได้ที่ >> บทที่ 1.1 | บทที่ 1.2 | บทที่ 2.1 | บทที่ 2.2 | บทที่ 3.1 | บทที่ 3.2 | บทที่ 4.1 | บทที่ 4.2 | บทที่ 5.1 | บทที่ 5.2

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

Jamsai Editor: