X
    Categories: everYทดลองอ่านปราชญ์กู้บัลลังก์

ทดลองอ่านนิยายวาย ปราชญ์กู้บัลลังก์ บทที่ 3.2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 12

สามารถอ่านบทก่อนหน้าได้ที่ >> บทที่ 3.1

 

อย่างน้อยบิดาก็ยังใส่ใจอยู่บ้าง แต่โหยวเหมี่ยวกลับยิ่งรู้สึกขุ่นเคืองใจ บ่าวคนหนึ่งกำลังกวาดสวน เขาเป็นบ่าวที่เคยปรนนิบัติรับใช้โหยวเหมี่ยวมาก่อนนั่นเอง ชื่อว่ามู่ฉี เวลานี้มู่ฉีโยนไม้กวาดทิ้งแล้วละล่ำละลักพูดว่า “คุณชาย!”

โหยวเหมี่ยวทราบดีว่าสีหน้าตัวเองคงแย่มาก ไม่ยอมปริปากพูดสักคำ เดินเข้าห้องก็เหวี่ยงประตูปิดโครม

หลี่จื้อเฟิงกับมู่ฉียืนอยู่ในสวน มองหน้ากันไปมาโดยไม่ได้สนทนาอะไรกันอยู่ครู่ใหญ่

 

ในห้องยังตกแต่งเหมือนเดิมทุกอย่าง โหยวเหมี่ยวล้มตัวลงนอนคว่ำบนเตียงพลางครุ่นคิดกลับไปกลับมา ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะพบเจอกับเรื่องเช่นนี้

นางหวังที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามา ทั้งยังมีบุตรชายคนโตที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เรียกว่าเปลี่ยนแปลงชนิดฟ้าดินพลิกคว่ำตีลังกาเลยทีเดียว นึกจะเปลี่ยนตัวบุตรที่เกิดจากภรรยาเอกก็เปลี่ยนกันทันที เรื่องเช่นนี้เปลี่ยนแปลงกันได้ด้วยหรือ?! จู่ๆ โหยวเหมี่ยวก็ลุกพรวดขึ้นมา คิดจะไปซักถามที่เรือนใหญ่ให้ชัดเจน แต่เดินวนเวียนอยู่ในห้องสองรอบแล้วตัดสินใจทรุดตัวลงนั่ง ทุกอย่างราวกับฝันร้ายก็ไม่ปาน

ยามจันทราเผยโฉมบนท้องนภา มู่ฉีเคาะประตูบอกว่า “คุณชาย ได้เวลากินอาหารแล้ว”

โหยวเหมี่ยวเผลอหลับไป พอตื่นขึ้นมาก็ปวดหัวเหมือนจะระเบิด มู่ฉียกถาดอาหารเข้ามา โหยวเหมี่ยวไม่ได้มีโทสะ แค่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “คนอื่นเล่า ชุนเซียง หมิงเยี่ย พวกนางเล่า”

“ถูกย้ายไปปรนนิบัติคุณชายใหญ่แล้ว ไม่คิดว่าคุณชายจะกลับมาเร็วเช่นนี้จึงยังไม่ได้ส่งคนใหม่มาที่เรือนปีกตะวันออก พรุ่งนี้ข้าน้อยจะไปเร่งพ่อบ้านหลินดูว่าเมื่อไร…” มู่ฉีตอบ

“ช่างเถอะ” โหยวเหมี่ยวเอ่ยแทรก “รอท่านพ่อกลับมาค่อยว่ากัน พวกเจ้าก็ไปกินเถอะ ไม่ต้องมาปรนนิบัติข้า”

มู่ฉีจัดวางอาหารบนโต๊ะแล้วจุดเตาไฟเพิ่มความอบอุ่น อาหารการกินไม่ได้แตกต่างจากเมื่อก่อนเพราะคงไม่กล้าตัดทอนมากนัก โหยวเหมี่ยวทราบดีว่านางหวังไม่กล้าวางอำนาจกับเรื่องอาหารการกินของเขาแน่ ไม่เช่นนั้นรอโหยวเต๋อชวนกลับมาถามคงบอกกล่าวลำบาก

หลี่จื้อเฟิงเก็บข้าวของอย่างลวกๆ แล้วมานั่งกินข้าวกับมู่ฉีนอกห้อง โหยวเหมี่ยวกินอะไรก็รู้สึกขมคอไปหมด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จึงคีบกินแค่ไม่กี่คำแล้วกลับไปล้มตัวนอนบนเตียง เรื่องราวต่างๆ วนเวียนอยู่ในหัว ยามสอง* มู่ฉีเข้ามาตัดไส้เทียนดับไฟนอน เรือนปีกตะวันออกเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึมเงียบสงัดตลอดทั้งคืน

วันรุ่งขึ้นโหยวเหมี่ยวตื่นมา ไม่มีใครให้เรียกใช้สักคน เมื่อก่อนตอนยังอยู่บ้าน สาวใช้สี่คนและบ่าวชายสองคนมักจะส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจพูดคุยกันอยู่ในสวนไม่หยุด เวลานี้เหลือเพียงมู่ฉีกับหลี่จื้อเฟิง ทว่าเงียบกริบไม่มีเสียงพูดคุยกันสักนิด มู่ฉีตื่นเช้ามาก็รีบเข้ามาปรนนิบัติแต่โหยวเหมี่ยวเอ่ยว่า “ให้หลี่จื้อเฟิงทำแทน ส่วนเจ้าไม่ต้องออกไป ปิดประตูเสีย ข้าถามประโยคหนึ่ง เจ้าก็ตอบประโยคหนึ่ง”

หลี่จื้อเฟิงขยับเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ โหยวเหมี่ยวเปลี่ยนชุดพลางซักถามมู่ฉีไปด้วย

“ฮูหยินกับคุณชายใหญ่อะไรนั่นย้ายเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร” โหยวเหมี่ยวถาม

มู่ฉีรับใช้โหยวเหมี่ยวมาตั้งแต่อายุสิบสอง นายบ่าวอยู่ด้วยกันมาห้าปี ไม่เหมือนบ่าวไพร่คนอื่นๆ ในบ้าน เขาทราบเรื่องที่โหยวเหมี่ยวโดนลดฐานะเป็นบุตรชายคนรองดี เวลานี้ยังถูกส่งมาทำงานในเรือนปีกตะวันออก จึงตระหนักดีว่าชั่วชีวิตนี้อย่าได้คิดเป็นอื่นอีกเลย เพราะตนเองกลายเป็นคนที่ลงเรือลำเดียวกับคุณชายโหยวเหมี่ยวไปแล้ว สิ่งที่ควรบอกกล่าวก็จงพูดไปให้หมด “ย้ายเข้ามาเมื่อสองปีก่อนขอรับ”

* ยามสอง คือช่วงเวลา 21.00 น. ถึง 23.00 น.

 

“แล้วตั้งให้เป็นตี๋จื่อ** ตั้งแต่เมื่อไร” โหยวเหมี่ยวถามต่อ

“ปีที่แล้วขอรับ”

“เชิญท่านลุงท่านอาท่านทวดดื่มสุราด้วยหรือไม่”

มู่ฉีพยักหน้า โหยวเหมี่ยวบันดาลโทสะขึ้นมาทันที เรื่องใหญ่โตขนาดนี้กลับไม่มีใครบอกเขาสักคน?!

“คุณชายใหญ่ชื่ออะไร”

“ชื่อตัวแรกของคุณชายใหญ่คือ ‘ฮั่น’ ตัวหลังคือ ‘เกอ’ ”

โหยวฮั่นเกอ…โหยวเหมี่ยวฟังแล้วเข้าใจทันที ในตระกูลนี้คนที่จัดอยู่อันดับสองมักใช้ชื่อที่มีตัวอักษรคำว่าน้ำประกอบอยู่ด้วย***

“บิดาข้าเป็นคนให้กำเนิดอย่างนั้นหรือ ทำไมข้าไม่รู้ ทำไมไม่เคยมีใครบอกข้าเรื่องนี้”

มู่ฉีได้ยินดังนั้นก็แสดงสีหน้าขุ่นเคืองนิดๆ ขบคิดแล้วเอ่ยว่า “ใครเล่าจะรู้ได้ พอนางเข้ามาก็ยึดครองทั้งบ้าน ลุงหวังก็ขอลากลับบ้านด้วยความชรา ทั้งยังเปลี่ยนตัวสมุห์บัญชีคนใหม่อีก…”

โหยวเหมี่ยวพยักหน้านิดๆ อย่างน้อยเขาก็รู้สองเรื่องแล้ว คือหนึ่ง การแต่งตั้งบุตรชายคนโตเป็นเรื่องที่ผู้อาวุโสในสกุลโหยวยอมรับแล้ว สอง บุตรคนโตคนนี้ยังเป็นพี่ชายร่วมบิดาแต่ต่างมารดาของเขา

โหยวเหมี่ยวเดินทางเข้าเมืองหลวงตอนอายุสิบสอง สมัยเด็กเคยได้ยินเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับบิดามารดามาบ้าง ทางบ้านท่านน้าเคยเป่าหูและบอกเขาว่าโหยวเต๋อชวนมีคนอื่นอยู่ข้างนอก แต่บุรุษจะมีสามภรรยาสี่อนุก็เป็นเรื่องปกติ ทั้งโหยวเต๋อชวนยังเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยมหาศาล หากเขาคิดจะแต่งงานใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่โหยวเหมี่ยวจะเข้าไปกำหนดกะเกณฑ์ได้ แต่จู่ๆ ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ โหยวเหมี่ยวย่อมต้องขุ่นเคืองเป็นธรรมดา

เมื่อหลายปีก่อนโหยวเต๋อชวนเริ่มคิดส่งเขาไปเป็นขุนนางในราชการ บางทีอาจจะวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้วก็เป็นได้

โหยวเหมี่ยวกินอาหารเช้าอย่างใจลอย หลังจากกินข้าวเสร็จก็มีคนมารายงานว่าแม่นมซุนมาหาเขา

แม่นมซุนเป็นแม่นมของโหยวเหมี่ยว เคยเลี้ยงดูเขาจนอายุเจ็ดปีค่อยขอกลับบ้านไป เวลานี้โหยวเหมี่ยวกำลังอัดอั้นตันใจไม่รู้จะระบายกับใคร พอเห็นแม่นมซุนเดินเข้ามาก็ตาแดงก่ำทันที

“เสี่ยวเหมี่ยวจื่อที่น่าสงสารของข้า…” พอแม่นมซุนเข้ามาก็กอดโหยวเหมี่ยวร้องห่มร้องไห้

“อย่าร้อง! แม่นม ท่านอย่าร้องสิ!” โหยวเหมี่ยวรีบโพล่งเสียงดัง

คำพูดของโหยวเหมี่ยวแฝงสะอื้น ไม่กล้ามองแม่นมซุนนานนัก แม่นมซุนร่ำไห้น้ำตานองหน้า เช็ดน้ำหูน้ำตาสูดน้ำมูกร่ำร้องทำนอง ‘แก้วตาดวงใจ’ และ ‘บรรพบุรุษ’ ทั้งสองร่ำไห้กันอยู่ในห้องครู่ใหญ่ โหยวเหมี่ยวประคองแม่นมซุนให้นั่งดีๆ แล้วชงชาให้นางด้วยตัวเอง

“นี่เป็นชะตาลิขิต แม่นม อย่าทำร้ายร่างกายตัวเองเลย” โหยวเหมี่ยวฝืนใจพูดปลอบประโลมแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

** ตี๋จื่อ คือบุตรที่เกิดจากภรรยาเอก

*** ชื่อโหยวเหมี่ยว ( 游淼) คำว่าเหมี่ยวมีตัวอักษรน้ำ (水) ประกอบอยู่ในชื่อ

“ท่านน้าเล็กได้ยินเรื่องของคุณชายก็โมโหมาก เดินทางมาที่หยางโจวสองครั้ง แต่โดนขัดขวางอยู่นอกประตู จึงกลับไปปรึกษาหารือกับท่านลุงใหญ่เจ้าบ้านโรงชาเส้าหยวน แต่ทุกคนกลับช่วยอะไรไม่ได้จึงสั่งให้คนแก่ๆ อย่างข้านำคำพูดมาบอกว่าหากคุณชายอยู่ที่นี่ไม่ได้ก็กลับไปที่ซูโจวเถอะ”

“ช่างเถอะๆ ท่านแม่ข้าจากไป แต่ท่านพ่อยังอยู่แล้วจะย้ายไปอยู่บ้านท่านลุงได้อย่างไร ท่านเพิ่งมาจากซูโจว เคยได้ยินทางนั้นพูดอะไรบ้างหรือไม่”

“เรื่องในอดีตเก็บซ่อนมาตั้งหลายปี คิดไม่ถึงว่าจนถึงตอนนี้แล้วเรื่องราวยังไม่จบสิ้นอีก…”

เมื่อคืนโหยวเหมี่ยวครุ่นคิดทั้งคืน แต่ยังมีเรื่องที่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก พอได้ยินแม่นมซุนพูดเช่นนี้ก็เข้าใจได้ทันที

ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดาตนเอง ปกติทางบ้านท่านน้าก็มักจะพูดถึงอยู่บ่อยๆ ตอนท่านแม่แต่งกับท่านพ่อ ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ตื่นเต้นยินดีด้วยเลย แต่ลุงคนหนึ่งของโหยวเต๋อชวนเป็นคนกำหนดกะเกณฑ์ให้สกุลโหยวมาสู่ขอเฉียวเคอเอ๋อร์ของโรงชาเส้าหยวน ตอนนั้นโหยวเต๋อชวนไม่พอใจการตัดสินใจของผู้อาวุโสในตระกูล และได้ยินว่าท่านพ่อมีคนที่ชอบพออยู่ก่อนแล้ว แต่หลังจากท่านแม่แต่งเข้าสกุลก็รู้จักวางตัว หลายปีมานี้จึงสงบสุขไร้เรื่องราว ท่านพ่อไม่ได้หาอนุเข้าบ้านอีก ท่านแม่ก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องพวกนี้ต่อหน้าโหยวเหมี่ยวในวัยเด็ก

หลังจากท่านแม่สิ้นไปหลายปี ผู้อาวุโสในสกุลโหยวล้วนแก่ชราหรือถึงแก่กรรมกันไปหมด

ดังนั้นท่านพ่อจึงรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่าก่อนแต่งงาน นางหวังเองก็กล้ำกลืนความอัปยศอดสู ทั้งที่ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแล้ว แต่กลับต้องอดทนรอโหยวเต๋อชวนถึงสิบกว่าปี รอจนกิจการของโหยวเต๋อชวนมั่นคงดีแล้ว ค่อยตบแต่งเข้าสกุลโหยวอย่างเปิดเผยออกหน้าออกตา

ตอนโหยวเหมี่ยวได้ยินเรื่องพวกนี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยคิดย้ายไปอยู่บ้านลุง แต่เขาทราบดีว่าสถานการณ์ของโรงชาเส้าหยวนเป็นอย่างไร ลูกเศรษฐีอย่างท่านลุง วันๆ เอาแต่ผลาญสมบัติที่บรรพบุรุษสั่งสมมา ไม่มีความทะเยอทะยาน ส่วนท่านน้าเล็กก็ยากจนไร้ทรัพย์สินเงินทอง หลายปีมานี้โรงชาเส้าหยวนมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ เขากลับไปยังจะทำอะไรได้เล่า

แม่นมซุนยังนั่งดื่มชาอยู่ในห้อง แต่จู่ๆ มู่ฉีก็รีบร้อนเดินเข้ามาส่งสายตาให้ผู้เป็นนาย โหยวเหมี่ยวเลิกคิ้วเล็กน้อย เอ่ยสั่งว่า “มีอะไรก็พูดมา แม่นมไม่ใช่คนนอก”

“นายท่านกับ…คุณชายใหญ่กลับมาแล้ว” มู่ฉีเอ่ยเสียงสั่น

แม่นมซุนได้ยินดังนั้นก็เบะปาก ใบหน้ายับย่น ร้องห่มร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบ

“ข้าจะไปพบท่านพ่อ หลี่จื้อเฟิง เจ้าตามข้าไป มู่ฉีเอ๋อร์ เจ้าเรียกรถม้าสักคัน ส่งแม่นมกลับบ้าน”

โหยวเหมี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึก จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย หลี่จื้อเฟิงที่นั่งฟังบทสนทนาอยู่นอกห้องก็ลุกขึ้นเดินตามโหยวเหมี่ยวออกไป แม่นมซุนเดินยักแย่ยักยันออกไปพูดกำชับหลี่จื้อเฟิงว่า “เจ้าเป็นคนที่ไหน ทำไมไม่เคยเห็นมาก่อน…เอาเถอะ คุณชายของข้าช่างอาภัพนัก เจ้าต้องคอยดูแลปรนนิบัติเขาให้ดีๆ ล่ะ…”

หลี่จื้อเฟิงพยักหน้ารับ โหยวเหมี่ยวพูดปลอบโยนแม่นมซุนอีกครู่หนึ่งก่อนเดินทะลุระเบียงทางเดินไป ระหว่างโหยวเหมี่ยวยืนอยู่ในสวนของเรือนปีกตะวันออกก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังแว่วมาจากเรือนใหญ่ เป็นเสียงบิดาของตนกำลังร้องสั่งผู้คน

หลังฝนตกท้องฟ้าสดใส แต่ปลายรองเท้าของโหยวเต๋อชวนยังเปื้อนโคลนบางส่วน เขาเอามือไพล่หลังเดินนำหน้าบุตรชายโหยวฮั่นเกอขึ้นมา บ่าวรับใช้ที่แบกเกี้ยวเดินตามทั้งสองคนมาไกลๆ

โหยวเหมี่ยวมีหน้าตาคล้ายท่านน้า ส่วนโหยวฮั่นเกอหน้าตาคล้ายโหยวเต๋อชวน คิ้วดกหนาขีดตรง ติดตามมารดามาหลายปีทำให้กลายเป็นเด็กหนุ่มที่ดูเคร่งขรึมเป็นผู้ใหญ่ เรียวคิ้วมักจะขมวดเล็กน้อย ใบหูกว้าง ผิวค่อนข้างดำคล้ำและหยาบกร้าน ดวงตาทั้งคู่ฉายแววข่มคน บ่งบอกว่าเป็นคนช่างคิด

“เจ้าคิดอย่างไร” โหยวเต๋อชวนเอ่ย

“ท่านพ่อ ลูกคิดว่าสินค้าชุดนี้ ถ้าปล่อยเร็วได้ก็ไม่ควรรีรอ ต้นปีหน้าใบชาชุดใหม่ก็จะเข้ามาแล้ว ปล่อยไว้เช่นนี้อาจล้นตลาดได้”

โหยวเต๋อชวนพยักหน้า ไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้านหรือเห็นด้วย

พอผ่านเข้าประตูชั้นที่สองก็เดินอ้อมสวนไป นางหวังเดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “กลับมาแล้วหรือ”

โหยวฮั่นเกอรีบค้อมตัวคารวะมารดา นางหวังประคองโหยวเต๋อชวนเข้าไปด้านในแล้วเอ่ยว่า “โหยวเหมี่ยวกลับมาถึงตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

โหยวเต๋อชวนรับคำอืมแล้วถามต่อ “ระหว่างทางราบรื่นดีหรือไม่”

“ไม่ได้เล่าอะไร พักอยู่หนึ่งวัน”

นางหวังปลดเสื้อคลุมตัวนอกให้โหยวเต๋อชวน สาวใช้เดินประคองอ่างน้ำกับผ้าเช็ดหน้าเข้ามาเป็นแถว นางหวังเอ่ยต่อว่า “จัดเตรียมอาหารให้นายท่านของพวกเจ้า สุราที่อุ่นไว้คงกำลังได้ที่”

“ถ้าโหยวเหมี่ยวยังเหนื่อยก็…” โหยวเต๋อชวนกล่าว

“ท่านพ่อ” โหยวเหมี่ยวยืนประสานมืออยู่นอกธรณีประตู พอเอ่ยปากพูดทุกคนในห้องก็หันมามองเขาพร้อมกัน

“มาได้จังหวะพอดี” นางหวังกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพี่เกรงว่าเจ้า…”

“โหยวเหมี่ยว” โหยวเต๋อชวนกล่าวต่อว่า “มาได้จังหวะพอดี ข้ามีเรื่องอยากบอกเจ้า”

“อื้ม” โหยวเหมี่ยวยืนอยู่ด้านนอก มองสามคนพ่อแม่ลูกยิ้มแย้มแจ่มใสก็ไม่อยากเข้าไป

โหยวฮั่นเกอเอ่ยว่า “น้องชาย เจ้ากลับมาแล้ว”

ถ้านับตามลำดับอาวุโสแล้ว โหยวเหมี่ยวควรเป็นคนเข้าไปคารวะทักทายโหยวฮั่นเกอและเรียกว่าท่านพี่ก่อนถึงจะถูกต้อง แต่โหยวเหมี่ยวกลับไม่ยอมเรียก ไม่เรียกหวังฮูหยินและไม่เรียกพี่ใหญ่ สีหน้าโหยวเต๋อชวนเริ่มไม่ค่อยดี

“ไปคุยกันที่ห้องหนังสือ” โหยวเต๋อชวนส่งสัญญาณให้โหยวเหมี่ยวไปก่อน

ขณะโหยวเหมี่ยวหันหลังก็เหลือบเห็นรอยยิ้มประสบความสำเร็จของนางหวังและสีหน้าที่ดูซับซ้อนของโหยวฮั่นเกออยู่ทางด้านหลังบิดา

ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจทันทีว่าเวลานี้สองแม่ลูกเหมือนกำลังเดินอยู่บนผิวน้ำแข็งเปราะบาง เกรงว่าคงจะอกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดเวลา คงไม่ได้มีชีวิตดีกว่าเขาสักเท่าไร

 

โหยวเต๋อชวนทรุดนั่งหลังโต๊ะเขียนหนังสือ แสงตะวันยามบ่ายส่องลอดหน้าต่างเข้ามา โหยวเหมี่ยวมองสังเกตบิดาของตนแล้วอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้

สีหน้าของโหยวเต๋อชวนดูเป็นมิตรขึ้นมาก เมื่อก่อนเวลาโหยวเหมี่ยวเห็นผู้เป็นบิดา คิ้วดกหนาคู่นั้นมักจะขมวดมุ่นเป็นประจำ จมูกงุ้มเหมือนเหยี่ยว ริมฝีปากบางดูดุไร้ความเมตตา เมื่อก่อนท่านพ่อมักจะวางท่าเคร่งขรึมน่าเกรงขาม มาวันนี้ค่อยดูสมเป็นพ่อขึ้นมาก

“เจ้าซื้อบ่าวมาอีกแล้ว?” โหยวเต๋อชวนเอ่ยถาม

“สหายมอบให้” โหยวเหมี่ยวตอบ

โหยวเหมี่ยวไม่กล้าเล่าความเป็นมาของหลี่จื้อเฟิง อย่างน้อยก็ไม่กล้าบอกตอนนี้ โหยวเต๋อชวนถามอีกว่า “เจ้าชื่ออะไร”

“เขาชื่อหลี่จื้อเฟิง” โหยวเหมี่ยวตอบแทน

“ข้าถามเขา ไม่ได้ถามเจ้า”

“หลี่จื้อเฟิงขอรับ” หลี่จื้อเฟิงเปิดปากพูด

โหยวเหมี่ยวถือถ้วยน้ำชา นั่งพิงพนักเก้าอี้ โหยวเต๋อชวนถามต่อว่า “บ่าวที่ยกให้เจ้าเมื่อก่อนนั้น ควรคืนให้เจ้าก็ต้องคืน อีกไม่กี่วันจะให้พวกนางไปที่เรือนปีกตะวันออก”

โหยวเหมี่ยวไม่ได้ปริปากพูด สองพ่อลูกนั่งกันเงียบๆ ในใจโหยวเหมี่ยวมีความคิดผ่านเข้ามาหลายอย่าง แต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดจากตรงไหนดี หลังจากเงียบกันอยู่นาน โหยวเต๋อชวนก็ตัดสินใจทำลายความเงียบ

“เจ้าสูงขึ้นมาก” โหยวเต๋อชวนเอ่ย “ดูเหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้ว ชินกับการอยู่ในเมืองหลวงหรือยัง”

เสียงถ้วยชาแตกดังเพล้ง ในที่สุดโหยวเหมี่ยวก็ใช้วิธีนี้แสดงความโกรธของตัวเองออกมา น้ำชาหกสาดโต๊ะ

“ทำไมท่านไม่บอกข้า! หรือว่าข้าไม่ใช่ลูกของท่าน?!” โหยวเหมี่ยวตัวสั่นเทิ้ม โหยวเต๋อชวนไม่พูดถึงเรื่องศึกษาร่ำเรียนในเมืองหลวงยังพอว่า แต่พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมา โหยวเหมี่ยวก็นึกถึงเรื่องในบ้านที่อีกฝ่ายปิดบังตน ทำให้โมโหจัดจนควบคุมตัวเองไม่อยู่

“เหิมเกริม!” โหยวเต๋อชวนตกตะลึงก่อนตวาดด้วยความโมโห

“ท่านแม่ข้าติดค้างอะไรท่าน ท่านจะตั้งตี๋จื่อคนใหม่ก็ปิดบังไว้ไม่ยอมบอกข้า ส่งข้าไปเมืองหลวง ปิดบังข้าตั้งสามปีเต็มๆ!” โหยวเหมี่ยวตะคอกเสียงดังโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งนั้น

“พี่ใหญ่เจ้าระหกระเหินอยู่ข้างนอกสิบกว่าปี…”

“แล้วข้าเล่า?! แล้วข้าเล่า!!”

“พ่อไม่ได้คิดตั้งตี๋จื่อใหม่ เจ้าสองคนต่างก็เป็นตี๋จื่อกันทั้งคู่…”

“ท่านไม่บอกข้าสักคำ ลอบทำลับหลังข้า นึกว่าข้าไม่รู้หรือว่าท่านกำลังคิดอะไร ท่านส่งข้าไปเรียนที่เมืองหลวงคงวางแผนเอาไว้ก่อนแล้วสินะ?! หาทางขับไล่ข้าไปเร็วๆ?!”

“เจ้าไปเมืองหลวงสามปี ศึกษาวิชาตำราอะไรได้บ้าง นอกจากทำตัวเกกมะเหรก กินดื่มเล่นการพนันแล้วเจ้ายังทำอะไรอีกบ้าง วันนี้ยังมีหน้ากลับมาขอเงินที่บ้านอีก?!”

โหยวเหมี่ยวปลดปล่อยโทสะรุนแรงเหมือนเสือหนุ่มที่กำลังเดือดดาลจัด โต้เถียงกับโหยวเต๋อชวนอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้ สองพ่อลูกต่างฝ่ายต่างแผ่ความเกรี้ยวกราดออกมา โหยวเหมี่ยวรู้ใจบิดาตนเองดี โหยวเต๋อชวนทำการค้ามาเกือบยี่สิบปี ก่อร่างสร้างตัวได้จากพันธุ์ชาและคนปลูกชาที่ภรรยาเอกพามาด้วยจนกลายเป็นเศรษฐีร่ำรวยมหาศาลอย่างทุกวันนี้ แต่พ่อค้าต่อให้ร่ำรวยสักแค่ไหน ถ้าราชสำนักคิดเล่นงานเขา นอกจากใช้เงินทองแล้วก็ไม่มีหนทางอื่น

บุตรชายคนโตรับสืบทอดกิจการครอบครัว บุตรชายคนรองเป็นขุนนาง แผนการนี้ผ่านการดีดลูกคิดรางแก้วคำนวณอย่างรอบคอบ แต่โหยวเหมี่ยวไม่ต้องการให้เขาสมหวัง โหยวเต๋อชวนเอ่ยต่อว่า “เจ้าไปตั้งสามปี วันๆ ไม่เคยทำงานทำการ นอกจากขอเงินแล้วยังจำได้หรือว่าข้าเป็นพ่อ นอกจากขอเงินแล้วเคยคิดจะเขียนจดหมายถึงทางบ้านบ้างหรือไม่”

โหยวเหมี่ยวแค่นหัวเราะ “ท่านพ่อ ถ้าอย่างนั้นเราก็พอกันนั่นแหละ”

โหยวเต๋อชวนโดนลูกชายบังเกิดเกล้าดักคอจนพูดไม่ออก ได้แต่สูดลมหายใจหนักหน่วง

“เจ้ากับฮั่นเกอล้วนเป็นตี๋จื่อกันทั้งคู่” ในที่สุดโหยวเต๋อชวนก็สงบอารมณ์ได้ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “พี่ใหญ่เจ้าดูแลกิจการ ส่วนเจ้าเป็นขุนนางในราชสำนัก ไม่ดีตรงไหน”

หลี่จื้อเฟิงยืนอยู่ด้านหลังโหยวเหมี่ยวด้วยสีหน้าบอกอารมณ์ไม่ถูก

“เจ้ามีนิสัยซุกซนตั้งแต่เด็ก อยู่บ้านก็อยู่ไม่สุข ภายภาคหน้าเจ้าทำงานในราชสำนักต้องการใช้สอยเงินทอง พี่ใหญ่เจ้าไม่เอาเปรียบเจ้าแน่นอน เดิมทีพ่อก็อยากยกกิจการให้เจ้า แต่จนใจเพราะเจ้าไม่ชอบคิดบัญชีทำการค้า แต่เรายังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ ข้าขอถามเจ้า เจ้าอยู่ในเมืองหลวง…”

จู่ๆ โหยวเหมี่ยวก็หน้าเปลี่ยนสี หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ข้ากลับมาคราวนี้ ไม่คิดจะกลับไปเมืองหลวงอีก”

โหยวเต๋อชวนคิดไม่ถึงว่าโหยวเหมี่ยวบอกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนทันที พลิกสีหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้ากระดาษด้วยซ้ำ จึงแค่นเสียงเย็นชาตอบกลับไป “ไม่กลับเมืองหลวง? เจ้าจะทำอะไร”

“ไม่ทำอะไร อยู่บ้านเฉยๆ เงินหมดแล้วกลับเมืองหลวงไปก็ไม่มีประโยชน์”

“ถ้าเจ้าอยากจะท่องตำราอยู่บ้านก็เป็นเรื่องดี ย่างเข้าวสันต์จะเชิญอาจารย์มา จะได้สอนพี่ใหญ่ให้รู้หนังสือด้วย สามปีให้หลังค่อยเข้าเมืองหลวงไปสอบก็ไม่สาย” โหยวเต๋อชวนพยายามสะกดกลั้นโทสะ

“ช่างเถอะ ไม่อยากเรียนแล้ว น่าเบื่อ”

สองพ่อลูกจ้องหน้ากันเงียบๆ ครู่ใหญ่ เสียงของโหยวเต๋อชวนฟังออกว่ากำลังโมโหจัด “ข้าถามเจ้า ไปร่ำเรียนได้อะไรมาบ้าง”

“ไม่ได้ไปเรียน ฟังสิ่งที่อาจารย์พูดไม่รู้เรื่อง”

“ดี ดีมาก” โหยวเต๋อชวนบันดาลโทสะ พยักหน้าพลางเอ่ยออกมา

“ข้าตั้งใจว่าจะสู่ขอภรรยาที่เฉลียวฉลาดมาสักคน นำเงินทองมาให้ข้าใช้ก่อร่างสร้างตัว สร้างกิจการ อาศัยเงินภรรยาจับจ่ายใช้สอย สร้างโรงชาขึ้นมาสักแห่งจะได้เสพสุขชั่วชีวิต…”

ครู่ต่อมาโหยวเต๋อชวนก็คว้าพู่กัน แท่งหมึก และแท่นฝนหมึกบนโต๊ะขึ้นมาขว้างปาเป็นชุด

“ข้าจะฟาดเจ้าลูกเนรคุณอย่างเจ้าให้ตาย…!”

“เดรัจฉาน!”

โหยวเต๋อชวนมีหรือจะไม่เข้าใจคำพูดของโหยวเหมี่ยว จงใจพูดเสียดสีเขาชัดๆ จึงตวาดลั่นด้วยความโกรธจัด วิ่งไล่ตามออกจากห้องหนังสือ โหยวเหมี่ยวไปหลบด้านหลังหลี่จื้อเฟิง หลี่จื้อเฟิงคิดจะปกป้องเขา แต่โดนโหยวเต๋อชวนผลักออก จากนั้นหยิบหวายออกมาไล่ตีต่อ โหยวเหมี่ยวจึงวิ่งหนีออกไปที่สวน ฝูงนกบินแตกฮือด้วยความตกใจ

“เจ้าเดรัจฉาน! แม่ข้าเป็นคนช่วยให้เจ้าได้ปราสาทเขานี้มาแท้ๆ…”

โหยวเหมี่ยวยืนอยู่ในสวน วางท่าไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน อ้าปากก็ด่าทอบุพการีตัวเอง โหยวเต๋อชวนได้ยินก็รู้ว่าเรื่องนี้ชักไม่ค่อยดีแล้ว ไม่เรียกบ่าวไพร่ให้เสียเวลา หมุนตัวหาท่อนไม้ไล่ฟาด

“เจ้ามันข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน* ระวังแม่ข้าจะมาหาเจ้าตอนกลางคืน…” โหยวเหมี่ยวตะคอกด่าอีก

“ข้าจะฟาดลูกเนรคุณอย่างเจ้าให้ตาย!” โหยวเต๋อชวนหน้าเขียวหน้าดำ วิ่งตามโหยวเหมี่ยวพร้อมตวาดด่าทอลั่น

นางหวังกับหม่าอี๋เหนียงแตกตื่นตกใจ พาสาวใช้และบ่าวชายวิ่งตามออกมาจากห้องโถง ตอนโหยวเต๋อชวนออกจากประตู เท้าไปเตะโดนกระถางดอกไม้ จึงเอาท่อนไม้ค้ำวิ่งกะโผลกกะเผลกไล่ตามโหยวเหมี่ยวไป หน้าแดงคล้ำราวตับหมู

“เจ้าเดรัจฉาน!”

* ข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน เป็นสำนวนที่หมายความว่าเมื่อกระทำการบรรลุเป้าหมายแล้วกลับกำจัดผู้ที่ให้ความช่วยเหลือสนับสนุน

โหยวเหมี่ยววิ่งหลบไปมา ตะโกนด่าทอพลางวิ่งหลบหลังชั้นวางกระถางดอกไม้ โหยวเต๋อชวนกระชากชั้นวางกระถางล้มคว่ำดังโครมครามไม่หยุด โหยวเหมี่ยวตะโกนอีกว่า “ตอนเจ้าแต่งงานกับแม่ข้าก็แอบซ่อนคนไว้ข้างนอก เจ้าไม่รู้สึกผิดต่อแม่ข้าบ้างหรือ เจ้า…”

โหยวเต๋อชวนชูท่อนไม้ทำท่าจะฟาด โหยวเหมี่ยวรีบวิ่งไปหลบหลังหลี่จื้อเฟิง ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งพุ่งปราดเข้ามาข้างกายโหยวเต๋อชวน รั้งมือเขาไว้พลางพูดหว่านล้อม คนผู้นั้นก็คือโหยวฮั่นเกอ

“ท่านพ่อ อย่าโมโหเลย ฟังข้าก่อน…”

โหยวเหมี่ยวไม่ด่าทอแล้ว ในสวนเละเทะวุ่นวาย กระถางต้นไม้แตกเกลื่อนพื้น โหยวฮั่นเกอพยายามพูดเกลี้ยกล่อมว่า “ท่านพ่อ ท่านพ่อ อย่าโมโหเลย”

โหยวฮั่นเกอยืนขวางอยู่หน้าโหยวเต๋อชวน ลอบส่งสายตาให้โหยวเหมี่ยวรีบๆ หลบไป สีหน้านางหวังดำคล้ำดูไม่ได้ โหยวฮั่นเกอเอ่ยว่า “น้องชาย เจ้ากลับไปพักก่อนเถอะ”

โหยวเหมี่ยวแค่นหัวเราะ ทราบดีว่าเป็นน้ำใจจอมปลอม จะปล่อยให้คนอย่างเจ้ามาห้ามทัพ? ขณะที่คิดจะพูดดักคอ ก็ยังนึกเรื่องฉีกหน้ากากอีกฝ่ายไม่ออก ทั้งสามคนยืนจังก้าอยู่ในสวน ในที่สุดนางหวังก็เดินเข้ามาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “เอาล่ะๆ สองพ่อลูกจะมีความแค้นอะไรกันนักหนา จากไปสามปีเพิ่งกลับมา ทำไมพอเจอหน้าก็ทะเลาะเบาะแว้งกันเสียแล้ว ท่านพี่ก็อย่าโมโหเลย โหยวเหมี่ยวเขา…”

ทว่าโหยวเหมี่ยวไม่รอให้นางพูดต่อก็ยกมือกระชากชั้นวางกระถางในสวนนอกห้องหนังสือล้มคว่ำ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ต้นไผ่ล้ำค่า ต้นหางนางแอ่น ต้นเศรษฐีเรือนในหล่นแตกกระจายเกลื่อนพื้น ไม่รู้ว่ากระถางเคลือบราคาแพงแตกหักเสียหายไปกี่ใบ

โหยวเหมี่ยวหมุนตัวเดินจากไป

โหยวเต๋อชวนสูดลมหายใจอย่างหนักหน่วง ตวาดเสียงดังลั่นราวฟ้าผ่าด้วยความโกรธจัด

“เจ้าลูกอกตัญญู! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

 

โหยวเหมี่ยวเดินออกจากสวนหน้าห้องหนังสือไป จนกระทั่งมองไม่เห็นโหยวเต๋อชวนค่อยหยุดเท้า แต่โหยวเต๋อชวนก็เหมือนคนใบ้กินบอระเพ็ด ขมอยู่ในใจพูดไม่ออก

วันนั้นตอนเขาพาโหยวฮั่นเกอไปงานชุมนุมตระกูล ผู้อาวุโสในตระกูลล้วนคัดค้านเรื่องยกนางหวังขึ้นเป็นภรรยาเอก

หนึ่งเพราะยังไม่ได้ตบแต่งนางหวังอย่างเป็นทางการ สองเพราะการยกขึ้นเป็นภรรยาเอกเช่นนี้ โหยวฮั่นเกอย่อมต้องกลายเป็นทายาทไปโดยปริยาย

ทุกคนเห็นว่าควรให้โหยวฮั่นเกอเป็นแค่ลูกอนุ ภายหน้าแบ่งทรัพย์สินส่วนหนึ่งให้เขาก็พอ

ถ้าแต่งงานใหม่หลังภรรยาคนแรกตายแล้วค่อยยกขึ้นเป็นภรรยาเอก เรื่องอื่นยังพูดง่าย เพราะโหยวเหมี่ยวยังคงเป็นบุตรคนโตเช่นเดิม แต่จู่ๆ จะยกนางหวังเป็นภรรยาเอกเช่นนี้ โหยวฮั่นเกอก็ต้องกลายเป็นบุตรคนโตแทน โหยวเหมี่ยวกลับต้องมาเชื่อฟังโหยวฮั่นเกอ ลำดับย่อมกลับตาลปัตรวุ่นวาย

ทว่าโหยวเต๋อชวนไม่เคยสนใจกฎเกณฑ์มาตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม เขากับโหยวเหมี่ยวล้วนมีนิสัยดื้อดึงหัวรั้น เมื่อเชื่อมั่นในสิ่งใดแล้วไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจง่ายๆ

แต่เพราะเหตุนี้นี่เอง โหยวเต๋อชวนจะผิดก็ตรงละเมิดกฎเกณฑ์ เรื่องลดฐานะลูกชายคนโตของโหยวเหมี่ยวนั้นยังไม่ต้องพูดถึง เขายังไม่ได้ปรึกษาหารือกับลูกคนนี้ก็ข้ามไปคิดถึงเรื่องสืบทอดกิจการก่อนแล้ว ใครเป็นพี่เป็นน้องยังไม่ตกลงกันให้แน่ชัด อีกทั้งพอโหยวเหมี่ยวกลับถึงบ้านมายืนอยู่ตรงหน้า โหยวเต๋อชวนก็ด่วนตัดสินบุตรชายตัวเอง

โหยวเต๋อชวนมีชนักติดหลังจึงปล่อยให้ลูกอกตัญญูพูดจากระทบเหน็บแนม ทั้งด่าทอทั้งพูดจาเสียดสี แต่ในที่สุดก็สะกดกลั้นโทสะไม่ไหว ผลักโหยวฮั่นเกอออกห่างแล้วยืนตะโกนด่าลูกอกตัญญูเสียงดังลั่นข้ามกำแพงสวน

“ข้าส่งเจ้าเข้าเมืองหลวงไปร่ำเรียนวิชา เจ้ากลับไม่ยอมตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เอาแต่ผลาญเงินทองปีละสองพันตำลึง นอกจากแบมือขอเงินแล้วก็ไม่เคยเขียนจดหมายกลับบ้าน วันนี้กลับมายังไม่รู้จักพูดจาแสดงความกตัญญูสักนิด ยังมีหน้ามาด่าพ่อข่มพี่ในบ้าน เพื่อแย่งชิงตำแหน่งตี๋จื่อ พี่ใหญ่เจ้ากับเจ้าต่างก็เป็นลูกที่เกิดจากพ่อ เจ้าสองคนต่างก็เป็นลูกหลานสกุลโหยวเหมือนกัน ดูสิพี่ใหญ่ของเจ้าดีกับเจ้าแค่ไหน แล้วตัวเจ้าเล่า?!”

โหยวเหมี่ยวทั้งโกรธทั้งอายจนหน้าแดงก่ำ ยืนกำหมัดแน่นอยู่ริมกำแพง

“ท่านพ่อ…อย่าโมโหอีกเลย” โหยวฮั่นเกอประคองโหยวเต๋อชวนทำท่าจะกลับเข้าห้องหนังสือ นางหวังรีบเข้าไปลูบอกปลอบประโลมโหยวเต๋อชวนให้คลายโทสะ

โหยวเต๋อชวนโมโหจัดจนเลือดขึ้นหน้า เอาท่อนไม้ชี้กำแพง ด่าทอว่า “ดูจากนิสัยและพฤติกรรมของเจ้า วันหน้าข้าแก่ตายไป หากปล่อยให้เจ้าเป็นเจ้าบ้าน พี่ใหญ่เจ้ายังจะมีข้าวกินอีกหรือ จะช้าหรือเร็วกิจการของตระกูลก็ต้องพังพินาศด้วยน้ำมือเจ้า เจ้าจากบ้านไปสามปี ร่ำเรียนอะไรไม่ได้สักอย่าง กลับบ้านมามือเปล่ายังกล้าทำตัวเหิมเกริมใส่ข้าอีก?! เจ้าคนไร้ประโยชน์ไม่รู้จักแสวงหาความก้าวหน้า ทำไมสวรรค์ไม่ขว้างสายฟ้าผ่าเจ้าให้ตายๆ ไปเสีย”

“พอเถอะๆ…ท่านพี่โปรดระงับอารมณ์ด้วย เหมี่ยวจื่อมีนิสัยดื้อรั้น พูดกันตรงๆ…ก็เป็นลูกชายแท้ๆ ของท่าน…ท่านพี่อย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ…” นางหวังรีบเกลี้ยกล่อม

โหยวเหมี่ยวหมุนตัวเดินกลับไป ยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา เดินไปเดินมา ในที่สุดก็สะอื้นออกมาจนได้ เขาวิ่งพรวดพราดเข้าไปในเรือนปีกตะวันออก โหยวเต๋อชวนยังคงส่งเสียงด่าทออยู่ในห้องหนังสือ แต่ฟังไม่ชัดเจนว่าด่าอะไรบ้าง โหยวเหมี่ยวผลักประตูเข้าไปแล้วล้มตัวลงบนเตียง สะอื้นร่ำไห้เป็นการใหญ่

ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัว หลี่จื้อเฟิงกับมู่ฉีนั่งประจันหน้ากันอยู่นอกห้อง โหยวเหมี่ยวผล็อยหลับไปจนถึงเวลาจุดเทียนเข้าไฟ มู่ฉีเอ๋อร์ยกอาหารเข้ามาให้ โหยวเหมี่ยวหน้าซีดเซียวไม่รู้สึกอยากอาหารจึงเอ่ยว่า “เก็บไปเถอะ”

ดังนั้นมู่ฉีเอ๋อร์กับหลี่จื้อเฟิงจึงเอาอาหารเหล่านั้นมากินกันเอง ยามสองโหยวฮั่นเกอมาเคาะประตู “โหยวเหมี่ยว พี่มีเรื่องจะพูดกับเจ้า”

“คุณชายหลับแล้ว” เสียงตอบของหลี่จื้อเฟิงดังอยู่นอกเรือน

โหยวเหมี่ยวไม่ตอบ ในใจคิดว่ารีบไสหัวไปเร็วๆ

โหยวฮั่นเกอผละจากไป โหยวเหมี่ยวนอนหลับต่อจนฟ้าสว่าง เช้าวันถัดมารู้สึกแข้งขาอ่อนยวบ ตลอดทั้งตัวไม่มีเรี่ยวแรง ตอนกินโจ๊กก็รู้สึกขมปากขมคอไปหมด

“คุณชาย อย่าหาว่าข้าน้อยปากมาก…” มู่ฉีเอ๋อร์กระซิบ

“พูดมาสิ” โหยวเหมี่ยวเอ่ย

“คนอื่นย้ายเข้ามาแล้ว คุณชายจะทำอย่างไรก็ไล่นางมารร้ายกับเจ้าคนบ้านนอกนั่นไปไม่ได้อยู่ดี…ข้าน้อยคิดว่าวางแผนยาวๆ ดีกว่า ถ้าคุณชายโมโหโทโสจนส่งผลเสียต่อร่างกาย มิตรงกับคำกล่าวที่ว่า…อะไรเจ็บปวดอะไรชื่นมื่นนั่นหรือ…”

“เราเจ็บปวด ศัตรูชื่นมื่น”

โหยวเหมี่ยวเอาตะเกียบคนโจ๊กแล้วคีบขิงซอยเป็นเส้นออกไปวางด้านข้าง มู่ฉีเอ๋อร์เอามือประสานกันด้านหน้าละล่ำละลักพูดว่า “ใช่ๆ คำนั้นแหละ…”

โหยวเหมี่ยวนั่งฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขารู้ว่ามู่ฉีเอ๋อร์ก็ทนอยู่ไม่ไหวแล้ว อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนของโหยวเหมี่ยว ย่อมคาดหวังให้เขาพาไปอยู่เมืองหลวงด้วยเหมือนสือฉีเอ๋อร์ อย่างน้อยนี่ก็เป็นความคิดที่ดีอย่างหนึ่ง

แต่โหยวเหมี่ยวตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กลับไปเมืองหลวง หากโหยวเต๋อชวนอยากให้เขาไป โหยวเหมี่ยวไม่มีทางทำตามความต้องการของอีกฝ่าย เรื่องอะไรจะปล่อยกิจการของทางบ้านให้โหยวฮั่นเกอ เจ้านั่นไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ในเมื่อเป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาเอกเหมือนกัน กิจการของปราสาทเขาปี้อวี่แห่งนี้ก็ต้องแบ่งกันอย่างเท่าเทียม เดิมทีโหยวเหมี่ยวไม่เคยคิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของบิดา แต่พอเห็นคนไม่รู้จักทำตัวเป็นนกกาเหว่าแย่งชิงรังนกสาลิกาก็กล้ำกลืนฝืนทนไม่ไหว

เขาจะไม่กลับไปสอบเป็นขุนนางที่เมืองหลวง ท่านพ่อต้องการให้เขาทำอะไร เขาจะไม่ยอมทำตามทั้งนั้น ตาแก่นั่นคิดว่าเรื่องทุกอย่างต้องเป็นไปตามใจต้องการอย่างนั้นหรือ อย่าฝัน!

โหยวเหมี่ยวเขวี้ยงตะเกียบทิ้ง ตัดสินใจว่าจะอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อ ต่อให้เกลียดชังนางหวังและโหยวฮั่นเกอสองแม่ลูกสักแค่ไหนก็ต้องอยู่สู้กับคนพวกนั้น

หลังจากโหยวเหมี่ยวกินข้าวเช้าแล้วก็ยังรู้สึกว่าร่างกายอ่อนปวกเปียกไม่มีแรง ในหัวมีเสียงดังวิ้งๆ ตลอดเวลา ใต้เท้าเบาหวิวเหมือนเหยียบปุยนุ่น จึงล้มตัวลงบนเตียง หลับไปนานเท่าไรก็สุดรู้ จนกระทั่งรู้สึกว่ามีนิ้วเย็นๆ สัมผัสหน้าผากตนเอง พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นมู่ฉีเอ๋อร์กำลังโมโห “อากาศบนเขาค่อนข้างชื้น ช่วงเหมันต์มักจะมีฝนตกบ่อยๆ”

“มีไข้แล้ว” เสียงหลี่จื้อเฟิงตอบ

มู่ฉีเอ๋อร์รีบขยับเข้ามาดูด้วยความตกใจ โหยวเหมี่ยวลุกขึ้นอย่างอ่อนเพลียแล้วเอ่ยว่า “ไม่เป็นอะไรมาก แค่ไม่ชินอากาศเท่านั้น คงเพราะไม่ได้กลับบ้านตั้งสามปี นอนพักไม่กี่วันเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”

โหยวเหมี่ยวนอนหลับไปทั้งที่ยังแต่งตัวเต็มยศ หลี่จื้อเฟิงจึงประคองเขาขึ้นมาเพื่อช่วยถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก แล้วจัดแจงให้เขานอนสบายขึ้น จากนั้นยกเตาไฟเข้ามา ในที่สุดโหยวเหมี่ยวที่หนาวจนต้องนอนขดตัวสั่นระริกอยู่ใต้ผ้านวมก็รู้สึกอุ่นขึ้น

หลี่จื้อเฟิงออกไปนอกห้องแล้วบอกว่า “เชิญหมอ”

“รีบบอกนายท่านก่อน เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปรายงาน” มู่ฉีเอ๋อร์เอ่ย

หลี่จื้อเฟิงโบกมือแล้วชี้ที่พื้น บอกให้มู่ฉีเอ๋อร์อยู่ที่นี่ จากนั้นเปลี่ยนชุดแล้วเดินลัดเลาะระเบียงไปที่เรือนใหญ่

 

เมื่อคืนโหยวเต๋อชวนโกรธจัด ตอนกลางคืนดื่มยาดับร้อนในตับสองชามก่อนนอน เช้ามาฟ้ายังไม่สว่างก็ตื่นมานั่งใจลอยอยู่ในห้องโถง โหยวฮั่นเกอก็ตื่นแต่เช้า แวะมาทักทายบิดา โหยวเต๋อชวนแค่พยักหน้าเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็ถือถ้วยชานั่งเหม่อต่อ

โหยวฮั่นเกอก็ไม่ได้ปริปากพูด ทรุดตัวลงนั่งในห้องโถง

นางหวังแต่งตัวเสร็จ เดินออกมาก็เห็นคนนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา บ่าวรับใช้ยกอาหารเข้ามาวาง ในที่สุดโหยวฮั่นเกอก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า “ลุงหลิน ช่วยอะไรหน่อย ไปดูสิว่าน้องชายข้าตื่นหรือยัง”

พ่อบ้านประสานมือ หรี่ตาลงครึ่งหนึ่งพลางเอ่ยว่า “เมื่อครู่เพิ่งมาจากทางนั้น คุณชายรองยังนอนหลับอยู่ขอรับ”

“กินไปเถอะ ไม่ต้องสนใจเจ้าเดรัจฉานนั่น” โหยวเต๋อชวนแค่นเสียงเย็นชา

โหยวเต๋อชวนขยับตะเกียบ ตอนโหยวฮั่นเกอยกชามแอบเหลือบมองมารดาแวบหนึ่ง นางหวังเอ่ยว่า “จัดบ่าวไพร่ไปให้เหมี่ยวจื่อหลายๆ คน มู่ฉีเอ๋อร์คนเดียวคงวุ่นมาก”

“เฮ้อ” โหยวเต๋อชวนถอนหายใจและวางชามลงเสียงดัง “เจ้าเด็กคนนั้นดื้อรั้นนัก เจ้าทำเรื่องพวกนี้ไป เขาก็ไม่ยอมรับน้ำใจเจ้าหรอก ไม่มีอะไรก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา เจ้าคนหัวรั้น พูดอะไรไม่ฟัง ฮั่นเกอ แม่เจ้าบอกว่าเมื่อคืนเจ้าแวะไปดูเขา คงไม่ได้โดนเจ้านั่นด่าเปิงกลับมากระมัง”

โหยวฮั่นเกอยิ้ม แต่ไม่ตอบ

“เจ้าเป็นพี่ใหญ่ก็ควรดูแลน้องชาย…” นางหวังเอ่ย

โหยวเต๋อชวนโพล่งขึ้นมาว่า “ต่อไปไม่ต้องสนใจเขา จะเป็นจะตายก็ปล่อยเขาไป”

“ท่านพี่พูดอะไรอย่างนั้น” นางหวังเอ่ยอย่างขุ่นเคืองพลางลอบส่งสายตา

โหยวฮั่นเกอกินโจ๊กของตัวเองแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ท่านพ่อลำเอียงรักน้อง ข้าเข้าใจ”

โหยวเต๋อชวนถลึงตาหนวดกระดิกด้วยความโมโห ขณะที่กำลังจะเอ่ยต่อ นางหวังกลับหัวเราะออกมา โหยวฮั่นเกอก็อดหัวเราะคิกไม่ได้ สามคนพ่อแม่ลูกยิ้มแย้มเบิกบาน โหยวเต๋อชวนจึงพูดต่อไม่ออก

“คนที่อยู่ข้างกายเหมี่ยวจื่อมีสองคน อีกคนไม่รู้ว่ามาจากไหน ไม่มีมารยาทเลยสักนิด ให้เก็บกวาดสวนด้านนอก ทำงานจิปาถะยังพอว่า แต่เรื่องชีวิตประจำวันอาหารการกินคงไม่พอ”

โหยวเต๋อชวนนึกถึงบ่าวคนที่ติดตามโหยวเหมี่ยวมาเมื่อคืนก็ถามว่า “บ่าวคนนั้นชื่ออะไร ไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงมาก่อน”

“ได้ยินว่าเป็นทาสที่เพื่อนเขามอบให้ เมื่อก่อนเคยทำผิด ฆ่าคน ฟังดูน่ากลัว…”

โหยวเต๋อชวนหน้าเปลี่ยนสีทันควัน

“เคยฆ่าคน? ไหนว่าฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิตไม่ใช่หรือ” โหยวฮั่นเกอไม่รู้เรื่องนี้จึงขมวดคิ้วถาม

“จะเป็นไปได้อย่างไร! เรื่องนี้ต้องไปถามให้แน่ชัด ถ้าเป็นคนเลวร้าย ขืนปล่อยไว้ในบ้านคง…”

ขณะกำลังจะพูด บ่าวไพร่ที่อยู่ด้านนอกก็ชะโงกหัวมองเข้ามา

พ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบถามว่า “มีอะไร”

“หลี่จื้อเฟิง…ขอพบนายท่าน”

“หลี่…อะไรเฟิง คือใคร” โหยวเต๋อชวนถาม

“เขาเป็นคนที่ติดตามคุณชายรองมาวันก่อน ยังบอกอีกว่ามีเรื่องต้องการเรียนนายท่าน” บ่าวรับใช้ตอบ

พูดถึงก็มาพอดี นางหวังหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย พ่อบ้านเอ่ยตำหนิว่า “ไม่เห็นหรือว่าเวลาอะไร คนมาใหม่ไม่รู้จักกฎระเบียบ หรือกระทั่งเจ้าเองก็ไม่รู้”

“เขาบอกว่ามีเรื่องใหญ่ ชักช้ารีรอมิได้” บ่าวรับใช้รีบอธิบาย

โหยวเต๋อชวนเพิ่งเคยเจอบ่าวไพร่ที่ไม่รู้จักกฎระเบียบเช่นนี้เป็นครั้งแรก แต่มาได้จังหวะพอดี จะได้ซักถามดูให้แน่ชัด ถ้าหากเป็นคนชั่วช้าต่ำทรามจะได้เอาเงินฟาดหัวสักก้อนแล้วไล่กลับบ้านไป ว่าแล้วก็สั่งว่า “ให้เขาเข้ามา”

นางหวังวางตะเกียบ เงยหน้ามองออกไปนอกเรือน หลี่จื้อเฟิงสวมชุดสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่นอกธรณีประตู ไม่ยอมเข้ามาและไม่แสดงการคารวะ โหยวเต๋อชวนเจอตัวเจ้าคนนี้ก็เริ่มมีโทสะกรุ่นๆ พอเห็นอีกฝ่ายหน้าตาหล่อเข้มคมคาย เบ้าตาลึก ตรงโหนกคิ้วมีรอยแผลเป็นจากดาบ เกรงว่าจะเป็นเจ้าพวกเดนตายที่ไม่รู้ว่าเก็บมาจากไหนจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรลงไป หลังจากตัดสินใจได้แล้วอีกไม่กี่วันค่อยหาเหตุผลขับไล่ไป

ถ้าจะขับไล่เจ้าคนพวกนี้ไปก็ต้องใช้เงินฟาดหัวแต่ห้ามด่าทอก่อนไล่ไปเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอาจผูกใจเจ็บ หาโอกาสกลับมาแก้แค้นได้

โหยวเต๋อชวนสะกดกลั้นโทสะแล้วถามว่า “มีอะไร”

“บุตรชายของท่านล้มป่วยจึงอยากขอเงินเล็กน้อย ข้าจะไปเชิญหมอมารักษาเขา” หลี่จื้อเฟิงยืนรายงานอยู่นอกธรณีประตู

“ไม่ต้องสนใจเขา ป่วยตายเสียก็ดี”

หลี่จื้อเฟิงมองทั้งสามคนในห้องโถงแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร นางหวังโดนจ้องจนรู้สึกหวาดกลัว กระสับกระส่าย รีบหว่านล้อมว่า “ท่านพี่อย่ากล่าวด้วยโทสะเลย…”

พ่อบ้านรีบไล่คนออกไป “ออกไปๆ นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรอยู่ ไม่รู้จักกฎระเบียบเลยจริงๆ”

หลี่จื้อเฟิงแค่ยืนอยู่ข้างนอก คนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็รู้สึกกดดัน ราวกับไม่ว่าจะนั่งหรือยืนก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้องไปหมด พ่อบ้านรีบตวาดใส่ “รีบลากเขาออกไป”

“ช้าก่อนๆ” โหยวฮั่นเกอเอ่ยแทรก “เจ้าชื่อหลี่จื้อเฟิงหรือ”

หลี่จื้อเฟิงไม่ตอบคำถามเขา หันหลังเดินจากไปทันที คราวนี้ยิ่งทำให้โหยวเต๋อชวนโกรธจัด กระทั่งบ่าวคนหนึ่งยังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา อย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน โหยวฮั่นเกอวางตะเกียบแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะไปเชิญหมอให้น้องรอง”

“กินข้าวของเจ้าก่อนเถอะ ไล่บ่าวนั่นไปก็พอ” นางหวังเอ่ย

“ข้าไปเองดีกว่า กำลังอยากลงจากเขาไปเที่ยวเล่นพอดี ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านค่อยๆ กินเถอะ” โหยวฮั่นเกอตอบ

โหยวฮั่นเกอยังกินข้าวไม่หมดดีก็ลุกขึ้นเดินออกไป โหยวเต๋อชวนห้ามไม่ทันจึงทำได้เพียงโคลงศีรษะแล้วถอนหายใจยาวเหยียด นางหวังย่อมทราบดีว่าอีกฝ่ายถอนหายใจเรื่องอะไรจึงเอ่ยว่า “เขาควรทำเช่นนี้อยู่แล้ว”

“ทั้งคู่ล้วนเป็นลูกชายของข้า แต่ทำไมนิสัยใจคอถึงต่างกันมากขนาดนี้”

“จะแตกต่างกันได้อย่างไร โหยวเหมี่ยวเหมือนท่านตอนหนุ่มไม่มีผิด นิสัยมุทะลุบุ่มบ่ามเช่นนี้ อีกคนก็เหมือนท่านหลังจากแต่งงานสร้างเนื้อสร้างตัวแล้ว” นางหวังกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

โหยวเต๋อชวนย้อนคิดถึงตอนอายุสิบหกที่เดินทางไปหยางโจว เขาผลาญเงินทองพันตำลึงด้วยความลำพอง แล้วก็หัวเราะตอบกลับไปว่า “หึ เจ้าเด็กนี่เรื่องดีๆ ไม่รู้จักเลียนแบบ แต่การผลาญเงินเป็นว่าเล่นกลับลอกเลียนได้ไม่ผิดเพี้ยน”

“ถ้าสกุลเฉียวไม่ได้ช่วยท่านไว้” นางหวังเอ่ย “เกรงว่าท่านในตอนนั้นคงเหมือนโหยวเหมี่ยวตอนนี้ โดนทางบ้านฟาดตีแล้วไล่ออกไป ตอนนั้นสร้างหนี้รักไว้น้อยเสียเมื่อไร”

ตอนนั้นโหยวเต๋อชวนร่ำเรียนเขียนอ่านได้ดี ทั้งยังเป็นบัณฑิตอัจฉริยะในเจียงหนานและเจียงเป่ย เชี่ยวชาญด้านกาพย์กลอนจนพวกสาวๆ พากันหลงใหล แต่ก็เพราะนิสัยปล่อยเนื้อปล่อยตัวหลงระเริงกับชีวิตจึงทำให้เขาสอบเคอจวี่กี่ครั้งก็ไม่ผ่าน ไม่เคยได้รับความสนใจจากขุนนางผู้คุมสอบ เงินทองที่สั่งสมมาก็ใช้จนเกลี้ยง กลายเป็นบัณฑิตตกยาก

ปีอิ้งเทียนที่สามสิบสาม นางหวังขายสมบัติในบ้านส่งเขาเข้าเมืองหลวงไปสอบคัดเลือกขุนนาง แต่สวรรค์ก็ไม่เป็นใจ โหยวเต๋อชวนสอบตกอีกครั้ง ไม่มีเงินเหลือติดตัว ตอนกลับมาแวะท่องเที่ยวที่เมืองชางโจวก็ถูกผู้อาวุโสในตระกูลบีบบังคับให้แต่งงานกับเฉียวเคอเอ๋อร์ เวลานั้นนางหวังตั้งครรภ์แล้วแต่ไม่ยอมเป็นอนุ และยินดีเลี้ยงดูโหยวฮั่นเกอจนเติบใหญ่ด้วยตัวคนเดียว

พอมาลองคิดดู โหยวเต๋อชวนก็ติดค้างนางหวังเยอะมาก มาวันนี้เขามีฐานะร่ำรวยแล้ว ตอนส่งบุตรชายคนรองโหยวเหมี่ยวเข้าไปศึกษาร่ำเรียนในเมืองหลวงก็ตั้งใจว่าจะซื้อตำแหน่งขุนนางให้ ลูกคนนี้ไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน* ทว่ารู้จักแต่หาเรื่องใส่ตัว พอหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตแล้ว โหยวเต๋อชวนก็โคลงศีรษะพลางถอนหายใจ “ข้าติดค้างเจ้ากับฮั่นเกอจริงๆ ตอนนี้แก่แล้ว หาเรื่องใส่ตัวไม่ไหว แค่อยากใช้ชีวิตอยู่กับพวกเจ้าอย่างสงบเท่านั้น”

นางหวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่ก็ถึงเวลาช่วยพวกเขาหาศรีภรรยา จะได้ช่วยดูแลพวกเขาสองพี่น้อง ข้าว่า…”

“เฮ้อ ไม่ได้” โหยวเต๋อชวนตอบ “ลูกคนโตกับคนเล็กต่างกัน ฮั่นเกอยังไม่ได้จัดการสู่ขอ จะให้โหยวเหมี่ยวแต่งงานก่อนได้อย่างไร…”

นางหวังหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย โหยวเต๋อชวนเอ่ยต่อว่า “เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง ถึงเวลาค่อยๆ ทำไปทีละขั้น ข้าว่าเจ้าเด็กนั่นต้องหาเรื่องอีกแน่ เกรงว่าเจ้าจะทนไม่ไหว”

เดิมนางหวังอยากรีบจัดการเรื่องแต่งงานสู่ขอภรรยาให้โหยวเหมี่ยว จะได้เจรจาเรื่องแยกบ้านออกไปก่อร่างสร้างตัวสะดวก คนในปราสาทเขาปี้อวี่ครึ่งหนึ่งอยู่ฝ่ายนาง เรื่องที่โหยวเหมี่ยวเอะอะโวยวายเมื่อคืน นางหวังย่อมมีแผนการอยู่ในใจ คิดว่าโหยวเหมี่ยวคงอยู่ในบ้านนี้อีกไม่นาน รีบๆ เจรจาเรื่องแต่งงานแล้วไล่ออกไป จะได้ไม่ต้องมาตีหน้าถมึงทึงกันทุกวัน

“แล้วคนที่ติดตามเขา” นางหวังถามต่อ “ท่านพี่คิดจะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้ ดูท่าทางน่ากลัว ไม่รู้จักกฎระเบียบ ข้าเหลือบดูก็ตกใจกลัวแล้ว เกรงว่าคงอยู่ในเรือนนานๆ ไม่ได้”

“รอเจ้าเด็กนั่นหายป่วยก่อน ค่อยมอบเงินให้ก้อนหนึ่งแล้วบอกให้เขาไปจากที่นี่เอง”

 

* ไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน เป็นสำนวนที่หมายถึงผู้มีปัญญาหลักแหลม มีพื้นภูมิดี หรือมีผู้คอยสนับสนุน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

สามารถอ่านบทอื่นๆได้ที่ >> บทที่ 1.1 | บทที่ 1.2 | บทที่ 2.1 | บทที่ 2.2 | บทที่ 3.1 | บทที่ 3.2 | บทที่ 4.1 | บทที่ 4.2 | บทที่ 5.1 | บทที่ 5.2

หน้าที่แล้ว1 of 12

Comments

comments

Jamsai Editor: