สามารถอ่านบทก่อนหน้าได้ที่ >> บทที่ 4.1
หลี่จื้อเฟิงไม่ได้เข้าไปรับและไม่ได้กล่าวขอบคุณ โหยวเหมี่ยวรู้สึกขบขัน บรรยากาศเงียบงันไปครู่ใหญ่จนโหยวเต๋อชวนรู้สึกกระอักกระอ่วน ทำเสียงกระแอมไอแล้วเอ่ยว่า “เหมี่ยวเอ๋อร์”
โหยวเหมี่ยวถือจดหมายอยู่ในมือ มองดูเขาด้วยสายตาเย็นชา ริมฝีปากนั่น คิ้วนั่น คล้ายเฉียวเคอเอ๋อร์ที่มองเขาอย่างโกรธแค้นและไม่ยอมอ่อนข้อให้ในตอนนั้นมาก นี่เป็นสีหน้าที่โหยวเต๋อชวนเกลียดมากที่สุดในชีวิต ทุกครั้งที่เฉียวเคอเอ๋อร์ทะเลาะกับเขา เพลิงโทสะมักจะอัดแน่นเต็มอกโหยวเต๋อชวน แต่หาที่ระบายไม่ได้
“เจ้า คล้ายมารดาเจ้ามาก” โหยวเต๋อชวนสะกดกลั้นเพลิงโทสะ พูดเน้นเสียงทีละคำ
“ข้ารู้ว่าท่านเกลียดท่านแม่ข้า เมื่อก่อนไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้แล้ว นางผูกมัดท่านมาสิบกว่าปี ท่านคงเกลียดนางแทบตายจนพาลเกลียดข้าไปด้วยสินะ”
โหยวฮั่นเกอหน้าเปลี่ยนสี มองโหยวเหมี่ยวแล้วหันไปมองโหยวเต๋อชวน
“เปล่า” โหยวเต๋อชวนถอนหายใจยืดยาว เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าผิดต่อเคอเอ๋อร์ ผิดต่อเจ้า”
โหยวเหมี่ยวได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจ โหยวเต๋อชวนกล่าวต่อว่า “ส่วนที่ควรให้เจ้า สักเหรียญเดียวก็จะไม่ให้ขาดหายไป ภายหน้าไม่ว่าเจ้าหรือพี่ใหญ่เป็นขุนนาง กิจการของตระกูลก็เป็นของพวกเจ้าทั้งสองคนละครึ่ง พ่อประกาศในงานชุมนุมตระกูลแล้ว และบอกทางบ้านน้าเจ้าอย่างชัดเจนแล้วเช่นกัน ไม่อย่างนั้นน้าเจ้าคงมาอาละวาดถึงบ้านแล้ว”
พอโหยวเหมี่ยวเห็นโหยวเต๋อชวนพูดเบี่ยงประเด็น และโหยวฮั่นเกอยังคงนั่งฟังอยู่ด้านข้างก็แค่นหัวเราะ “น้าเล็กจะมีปัญญาอะไรมาอาละวาด”
โหยวเต๋อชวนไม่สนใจเขา พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็เงยหน้ามองโหยวเหมี่ยว “เจ้ายังไม่ถึงวัยที่จะรับสืบทอดกิจการของตระกูล เจ้าไม่ไหว พี่ใหญ่เจ้าก็ไม่ไหว เรื่องนี้ข้ารู้ดี”
“ท่านพ่อ ข้าไม่สามารถ” โหยวฮั่นเกอค้อมตัวพูด
โหยวเหมี่ยวทราบดีว่าตัวเองนิสัยไม่ค่อยดี บอกว่าจะไปศึกษาเล่าเรียนที่เมืองหลวง แต่ความจริงแล้วเอาแต่ผลาญเงินโดยอ้างเรื่องสานสัมพันธ์กับพวกผู้ดีมีอำนาจ เรื่องนี้ผูกมัดตัวเขาอย่างตัดไม่ขาด แต่เขาไม่เสียใจเลยสักนิด โหยวเต๋อชวนจ่ายเงินก้อนนี้ได้ ไม่จ่ายก็เสียเปล่า เพราะถึงไม่จ่ายให้เขา นางหวังก็ต้องเอาไปใช้จ่ายอยู่ดี
“ข้าตั้งใจว่าอีกไม่กี่วันจะกลับเมืองหลวง ส่วนสินค้าจากนอกด่านท่านเลือกชิ้นที่ดีๆ ไป ที่เหลือข้าจะเอาไปขาย หาเงินค่าเดินทาง…”
โหยวเต๋อชวนหัวเราะ
“พ่ออยากถามเจ้า เจ้ามาทำอะไรที่นี่ จะเขียนจดหมายตอบสหายหรือ” โหยวเต๋อชวนถาม
โหยวเหมี่ยวได้เพียงแค่หาเหตุผลมาอ้างเท่านั้น บิดายอมพูดกับเขาดีๆ แล้ว ถ้าเขาอยากขอเงินคงก่อเรื่องร้ายแรงนักไม่ได้ สีหน้าผ่อนคลายลง “ข้าจะเขียนจดหมายให้สหายสองคนในเมืองหลวงคนละฉบับ”
“คนที่ส่งจดหมายหาเจ้า?”
“ยังมีอีกคน คุณชายของท่านอัครเสนาบดี หลี่เหยียน”
โหยวเหมี่ยวดึงกระดาษมา แต่โหยวเต๋อชวนกลับกดไว้ก่อน “ปีนี้ปล่อยเจ้ากลับไปเมืองหลวงไม่ได้แล้ว”
“ทำไม” โหยวเหมี่ยวขมวดคิ้ว
“นอกด่านมีข่าวสงครามอยู่เนืองๆ เกรงว่าทางเหนือคงไม่ปลอดภัย”
“ทางเหนือไม่ปลอดภัยก็ไม่แน่ว่าจะรักษาเมืองหลวงเอาไว้ไม่อยู่ ตาแก่ ท่านคิดอะไรอยู่กันแน่” โหยวเหมี่ยวหัวเราะเยาะ
“เจ้าโง่!” โหยวเต๋อชวนตวาด “ทางเหนือไม่ปลอดภัยแปลว่าจำเป็นต้องเกณฑ์ทหารเพิ่มภาษี ราชสำนักก็ต้องเร่งระดมกำลังคนด้วยเช่นกัน ดังนั้นคงเกณฑ์แรงงานในแถบเจียงหนานเจียงเป่ยเยอะมาก ถ้าเจ้าถูกคนฝ่ายองค์ชายสามดึงตัวไป มิต้องเร่งร้อนเขียนจดหมายมาขอเงินจากทางบ้านที่อยู่ห่างตั้งแปดร้อยลี้หรอกหรือ”
“ข้ากับองค์ชายสามไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันสักหน่อย…”
“แล้วถ้ารัชทายาทแบมือขอเงินจากเจ้าเล่า ท้องพระคลังว่างเปล่า คงเรียกภาษีในแถบเจียงหนานเจียงเป่ยเพิ่มขึ้นอีก ถึงตอนนั้นอัครเสนาบดีหลี่กับฮ่องเต้คงขอยืมเงินจากพ่อค้าเกลือพ่อค้าชาเป็นการเร่งด่วน เจ้าโดนกักตัวอยู่ในเมืองหลวง ข้าจะไม่ควักเงินได้หรือ”
โหยวเหมี่ยวแค่นหัวเราะ พูดไปพูดมาก็เสียดายเงิน เดิมคิดจะพูดค่อนแคะกลับไปสักหลายประโยค ถ้าเปิดศึกกับพวกชาวหูจริงๆ ใต้หล้าคงพลิกคว่ำ ต่อให้ท่านมีความสามารถล้นฟ้าก็ปกป้องกิจการของตัวเองไม่ได้ทั้งหมด แต่พอฉุกคิดอีกที เงินนี้เป็นของโหยวเต๋อชวน เขาอยากให้ใครก็ให้คนนั้น เก็บไว้ตายไปเอาติดตัวใส่โลง หรือโดนชาวหูปล้นไปก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา
โหยวเหมี่ยวครุ่นคิดก่อนเอ่ย “แล้วท่านคิดจะทำอย่างไร”
“ก่อนตายมารดาเจ้ามีที่ดินผืนหนึ่ง เมื่อสิบห้าปีก่อนคิดจะไปจัดการให้เรียบร้อย ต่อมาล้มป่วยบ่อยๆ สุขภาพไม่ค่อยดีจึงทำไม่สำเร็จ ชาวนาสี่ครอบครัวเช่าอาศัยและคอยดูแลแทน ถ้าเจ้าตั้งใจจริงจะยกที่ดินผืนนั้นให้ หากเจ้าสามารถปลูกอะไรออกมาได้ สามปีให้หลังจะให้พี่ใหญ่เจ้าเข้าเมืองหลวงแทน ส่วนกิจการของตระกูลก็ยกให้เจ้าเป็นคนดูแล พวกเจ้าสองคนสับเปลี่ยนกัน”
โหยวเหมี่ยวฟังแล้วอดขันไม่ได้ เหลือบมองโหยวฮั่นเกอก็เห็นว่าอีกฝ่ายมีผิวหยาบกร้าน ท่าทางเหมือนหนุ่มบ้านนอกที่เพิ่งเข้าเมือง มาวันนี้ติดตามบิดาที่มีเงินทองร่ำรวย สวมเสื้อคลุมตัวยาวตัดเย็บอย่างดีก็ดูท่าทางไม่เลว แต่กลิ่นอายความเป็นชาวนาก็แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่ดี อย่างเขาเนี่ยนะจะเข้าเมืองหลวง เจ้าบ้านนอกจะทำอะไรได้ ไม่รู้จักกินไม่รู้จักเล่น พวกหลี่เหยียนคงไม่เหลือบแลเขาด้วยซ้ำ
“ข้าไม่ไป” โหยวเหมี่ยวดื้อดึงอีกรอบ “ช่างเหลวไหลสิ้นดี”
“ไม่ไปก็ต้องไป ไม่มีเงินให้เจ้ามากกว่านี้แล้ว”
“ท่าน…”
“เวลานี้ตกลงใจแล้วว่าจะไม่ยอมให้เจ้าเข้าเมืองหลวง อาเจ้าก็เขียนจดหมายมาบอกว่าหนึ่งปีมานี้เจ้าใช้เงินล้างผลาญมาก ทางบ้านรับการใช้เงินของเจ้าไม่ไหวแล้ว…”
“ท่านล้อเล่นอะไรกัน ท่านจะตัดเงินไม่กี่พันตำลึงหรือ เอาของคืนให้ข้า ข้าจะใช้เงินตัวเองกลับเมืองหลวง!”
“เจ้าจะเอาเงินมาจากไหน เจ้ามีเงินหรือ ไม่ใช่ตาแก่คนนี้มอบให้เจ้าหรอกหรือ แล้วเจ้าจะเอาอะไรไปสานสัมพันธ์กับสหายอันธพาลพวกนั้น…”
โหยวเต๋อชวนเริ่มมีโทสะ โยนความผิดให้อีกฝ่ายทั้งหมด เรื่องตั้งบุตรที่เกิดจากภรรยาเอกใหม่นั้นเขาตั้งใจแน่วแน่ไม่มีทางโยกคลอน ขณะที่คิดจะสงบสติอารมณ์แล้วกล่าวอะไรอีกสักนิด โหยวเหมี่ยวกลับแค่นหัวเราะเย็นชา “ท่านมอบให้ข้า? ท่านมีเงินหรือ ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะท่านแม่ข้าช่วยท่านไว้ ท่านมีหรือจะก่อร่างสร้างตัวสำเร็จ นอนหลับฝันหวานต่อไปเถอะ!”
“…!”
“สุนัขแก่กินข้าวนิ่ม* แม่ข้าช่วยเจ้าสร้างกิจการใหญ่โต เท้าหน้าเพิ่งก้าวจากไป เจ้าก็พลิกหน้าทำเป็นไม่รู้จักเสียแล้ว ทั้งยังแต่งเมียใหม่ และยอมรับลูกนอกสมรสอีก…”
“ท่านพ่อ! โปรดระงับโทสะ!”
“ข้าจะฟาดเจ้าคนเดรัจฉานให้ตาย!”
โหยวเหมี่ยวยังกล่าวไม่ทันจบ แท่นฝนหมึกก็ถูกเขวี้ยงใส่หน้า โหยวเหมี่ยวรีบเบี่ยงหลบทันที แต่หลี่จื้อเฟิงกลับขยับเข้ามาคว้าแท่นฝนหมึกไว้ในมือ ทั้งสองคนไม่โดนฟาดแต่โดนน้ำหมึกสาดเลอะทั้งตัว สภาพทุลักทุเลดูไม่ได้
ในชีวิตของโหยวเต๋อชวนเกลียดมากเวลามีคนพูดถึงเรื่องนี้ ทุกครั้งที่คนข้างนอกพูดถึงเขา มักจะพูดทำนองว่า ‘โหยวเต๋อชวนกินข้าวนิ่ม’ เสมอ เขาจึงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธจัด
“ท่านพ่อ…” โหยวฮั่นเกอรีบรั้งบิดาไว้ พยายามหว่านล้อมให้ระงับโทสะ โหยวเหมี่ยวเดินออกจากห้องหนังสือด้วยเนื้อตัวเลอะน้ำหมึก จดหมายก็ไม่เขียนแล้ว เดินออกไปตามระเบียงทางเดินอย่างขุ่นแค้น
“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ!” โหยวฮั่นเกอเห็นโหยวเต๋อชวนโดนลูกชายคนเล็กยั่วโทสะจนหน้าแดง ล้มนั่งลงไปบนเก้าอี้ก็รีบหว่านล้อมให้หายขุ่นเคือง พร้อมตะโกนร้องเรียกให้คนช่วย นางหวังได้ยินก็วิ่งเข้ามาด้วยความแตกตื่น
ในที่สุดโหยวเหมี่ยวก็ระเบิดถ้อยคำเกรี้ยวกราดออกมาจนได้ เด็กหนุ่มหยุดยืนพิงเสา ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างบอกไม่ถูก
หลี่จื้อเฟิงยืนอยู่ด้านหลังโหยวเหมี่ยว ใบหน้าซีกซ้ายเปื้อนน้ำหมึก ส่วนใบหน้าซีกขวาของโหยวเหมี่ยวก็เลอะน้ำหมึกเช่นกัน โหยวเหมี่ยวถอนหายใจ หมุนตัวกลับมากอดเอวหลี่จื้อเฟิง และฝังใบหน้าลงกับไหล่อีกฝ่าย
จากนั้นหลี่จื้อเฟิงก็ยกมือขึ้นโอบโหยวเหมี่ยว ทั้งสองคนยืนกอดกันและกันอยู่ตรงระเบียงทางเดินเงียบๆ
บ่ายวันถัดมา มีแขกมาที่โรงชาอีกครั้ง คราวนี้ชาวไร่กับพวกคนงานแวะมามอบของอวยพรปีใหม่ วางเรียงรายเต็มลานบ้าน โหยวฮั่นเกอเดินมาเคาะประตูแล้วพูดจากด้านนอกประตูว่า “น้องชาย”
เวลานี้โหยวเหมี่ยวยังไม่หายไข้ดี ตอนตื่นนอนยังคงมีอาการไอ มู่ฉีเอ๋อร์เห็นโหยวฮั่นเกอก็ค้อมตัวเชิญเขาเข้าไปในห้องชั้นนอก โหยวฮั่นเกอถามว่า “ไข้หายดีแล้วหรือ”
โหยวเหมี่ยวกำลังสะลึมสะลือจึงตอบอะไรไม่รู้เรื่อง แค่ถลึงตามองเหมือนลูกเสือน้อยที่ไม่ไว้วางใจในตัวมนุษย์ โหยวฮั่นเกอจึงเอ่ยต่อว่า “วันนี้ชาวไร่มาคารวะที่ปราสาทเขา ท่านพ่อบอกให้เจ้าออกไปพบกับพวกเขาด้วย เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นชาวไร่ชาวนาของตน นอกจากนี้ยังมีอั่งเปาต้องแจกจ่าย พวกท่านลุงท่านน้าจากหยางโจวก็แวะมาด้วย เจ้าว่า…”
“รู้แล้ว” โหยวเหมี่ยวตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ตาแก่อยู่กับแขกเหรื่อหรือ”
“ใช่ พี่ใหญ่ไม่รู้ธรรมเนียมและไม่รู้กฎระเบียบ จึงไม่รู้ว่าควรจะแจกจ่ายอย่างไร…เดิมคิดว่าจะให้ลุงหลินแจก แต่ท่านพ่อบอกว่าอย่างน้อยเราสองคนก็ต้องไปคนหนึ่ง…”
“ข้าไปเอง” โหยวเหมี่ยวแค่นเสียงตอบ
โมโหก็ส่วนโมโห โหยวเหมี่ยวยังรู้จักดูสถานการณ์ ควรทำอะไรตอนไหนก็ต้องทำตามนั้น วันนี้มีคนในตระกูลแวะมา คิดว่าน่าจะเป็นผู้อาวุโสในสกุลโหยว โหยวเต๋อชวนต้องดูแลแขกทำให้ปลีกตัวไปไม่ได้ ถ้าจะให้พ่อบ้านที่เพิ่งมาใหม่ไปจัดการพวกคนเช่าที่ก็คงไม่เหมาะ เพราะหนึ่งกลัวควบคุมฝูงชนไม่ไหว สองนั่นเป็นคนที่นางหวังจ้างมา เกรงว่าจะทำตัวตระหนี่ถี่เหนียว คนนอกอาจนินทาแล้วจะพานให้โหยวเหมี่ยวขายหน้าไปด้วย
* กินข้าวนิ่ม เป็นคำแสลง หมายถึงผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกิน
คิดว่าโหยวฮั่นเกอก็คงกังวลเรื่องนี้เหมือนกัน ถึงได้ตั้งใจมาเชิญโหยวเหมี่ยวออกหน้า
โหยวเหมี่ยวสวมเสื้อตัวในชั้นเดียวก้าวลงจากเตียง ส่งเสียงไอหลายหน โหยวฮั่นเกอรีบเข้าไปประคองแล้วบอกว่า “เจ้าเขียนแค่จำนวนเงินก็พอ ตรงนี้มีรายการของ เดี๋ยวข้าจะให้คนแจกจ่ายตามรายการ…”
แต่โหยวเหมี่ยวกลับโบกมือ หลี่จื้อเฟิงหยิบเสื้อคลุมตัวนอกมาสวมให้เขา ส่วนโหยวฮั่นเกอกล่าวต่อว่า “ไม่ต้องรีบร้อน เจ้ากินข้าวเช้าก่อนค่อยไปก็ได้ ให้พวกเขารออีกสักพัก”
หลังจากล้างหน้าแต่งตัว โหยวเหมี่ยวก็มานั่งกินโจ๊กเล็กน้อย ก่อนตามโหยวฮั่นเกอไปที่ห้องของอีกฝ่าย หยิบรายการออกมาคลี่ดูแล้วจัดสรรเงินอั่งเปาตามรายการของขวัญที่คนเช่าที่มอบให้
โหยวฮั่นเกอคอยช่วยอยู่ด้านข้าง “น้องชาย เจ้าอย่าโกรธท่านพ่อเลยนะ ตั้งแต่ปีก่อนเขาก็ไม่ค่อยโมโหแล้ว”
โหยวเหมี่ยวไม่ได้พูดอะไร สังเกตเห็นว่าในห้องของโหยวฮั่นเกอจัดอย่างเรียบง่าย บนโต๊ะไม่มีหนังสือสักเล่ม แม้ว่าจะเป็นห้องที่โหยวเหมี่ยวเคยอยู่มาก่อน แต่พอเก็บกวาดแล้วก็เรียบโล่ง มีแค่สวนกระถางและแขวนภาพเขียนพู่กันคำว่า ‘เดินทางร้อยลี้ ผ่านเก้าสิบยังขาดอีกครึ่งทาง’*
ห้องนี้อย่าว่าแต่จะเอามาเปรียบเทียบกับผ้านวมหรือพรมขนสัตว์ชั้นดีของตนเองเมื่อก่อนนี้เลย กระทั่งบ้านโหยวเต๋อโย่วในเมืองหลวงยังเทียบไม่ติด
โหยวเหมี่ยวจัดสรรเงินเสร็จก็สั่งให้บ่าวรับใช้ถือตามไปที่ด้านหน้าลาน โหยวฮั่นเกอกลับทำตัวเป็นผู้ติดตาม
“คุณชาย” คนเช่าที่จดจำเขาได้ก็คลี่รอยยิ้มแจ่มใส โหยวเหมี่ยวก็ส่งยิ้มตอบกลับไปแล้วเริ่มแจกจ่ายเงิน ชาวไร่นับร้อยคน บ้างก็แบกหาบ บ้างก็เข็นเกวียนมายืนออกันที่นี่
คนพวกนี้ล้วนคาดหวังว่าจะได้เช่าไร่ชาของสกุลโหยวต่อในปีหน้า พอสิ้นปีต่างก็รีบร้อนเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วเก็บไว้เองเล็กน้อย เนื่องจากโหยวเต๋อชวนไม่ขึ้นค่าเช่าจึงพอจะหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้บ้าง
“หัวผักดองสิบห้าไห…นี่ข้าชอบกิน” โหยวเหมี่ยวขีดฆ่ารายการแล้วบอกว่า “มา มอบให้เจ้า”
ชาวไร่รับซองด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแล้วกล่าวว่า “เพราะทราบว่าคุณชายชอบกินจึงดองใส่ไหไว้ตั้งแต่ต้นปี เมียข้าบ่นอยู่บ่อยๆ ว่าไม่รู้คุณชายโหยวจะกลับมาวันไหน…”
“ตั้งใจดีจริงๆ”
“ปีหน้าอย่าขึ้นค่าเช่านะ คุณชาย!” มีคนชะโงกหน้าตะโกนมาจากด้านหลัง
โหยวเหมี่ยวตอบ “ไม่ขึ้นค่าเช่า!”
ชาวไร่ค่อยโล่งใจ เสียงพูดคุยหัวเราะดัง
“ไก่ป่าสองคู่ เป็ดเป็นๆ สิบตัว…” โหยวเหมี่ยวขีดฆ่ารายการแล้วมอบเงินให้คนเช่าที่ อย่างมากสามถึงห้าตำลึงเงิน อย่างน้อยห้าเฉียนถึงหนึ่งตำลึง คนเช่าที่เหล่านี้ล้วนทำงานให้สกุลโหยวมาทั้งปี ใบชาที่เด็ดได้ก็เอามาชั่งขายให้โหยวเต๋อชวน ต้นปีหน้าต้องจ่ายค่าเช่าที่ให้ปราสาทเขาปี้อวี่ หลายคนจึงหวังว่าจะเอาของขวัญวันปีใหม่เหล่านี้มาแลกเงินทองกลับบ้านไปฉลองปีใหม่
นี่เป็นธรรมเนียมในแถบเจียงเป่ยเจียงหนาน ถ้าหากในหนึ่งปีคนเช่าที่หาเงินได้น้อย เจ้าของที่ดินต้องมอบเงินอั่งเปาชดเชยให้ ส่วนคนเช่าที่จะนำของอะไรก็ได้มาแลกกับเงินอั่งเปากลับบ้าน เพื่อจะได้เป็นลางดี ฉลองปีใหม่อย่างเต็มที่และจะได้ทำงานให้เจ้าของที่ดินต่อไปในปีหน้า
* เดินทางร้อยลี้ ผ่านเก้าสิบยังขาดอีกครึ่งทาง ใช้เป็นสำนวนคำสอนว่าแม้จะใกล้เป้าหมายแล้วก็ต้องยืนหยัด อย่าย่อท้อและพยายามต่อไป
“ข้าวสารสิบสองตั้น** ถั่วแดงหนึ่งตั้น…เนื้อตากแห้งห้าชั่ง…” โหยวเหมี่ยวเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าขยันขันแข็งน่าดู ที่บ้านคงรวยใหญ่แล้ว”
“แม่ข้าไปเจรจาสู่ขอหญิงให้ข้าแล้ว แต่ทางครอบครัวเจ้าสาวขอสินสอดเพิ่มอีกหน่อย…” บุรุษร่างแข็งแรงกำยำหัวเราะซื่อๆ
โหยวเหมี่ยวกระดิกนิ้ว ส่งสัญญาณให้โหยวฮั่นเกอล้วงเงินออกมาอีก เพิ่มเงินให้เขาไปอีกสองตำลึงเงิน มอบให้พร้อมกับซองอั่งเปาแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องขึ้นมาเชิญดื่มสุราแล้ว วันแต่งงาน แค่หันมาทางปราสาทเขาแล้วโขกศีรษะก็พอ”
ชายที่มีร่างแข็งแรงกำยำฉีกยิ้มกว้าง บอกขอบคุณเป็นการใหญ่ก่อนหอบเงินทองจากไป
“ไก่เป็นๆ ห้าตัว…”
“ไก่เป็นๆ สิบตัว…”
สุ่มไก่วางเรียงรายเต็มพื้น ส่งเสียงร้องกะต๊ากๆ ดังระงม
“ปลาตากแห้งหนึ่งคันรถ…”
“สุราข้าวสิบไห…”
โหยวเหมี่ยวแจกเงิน โหยวฮั่นเกอยืนกุมข้อมือดูอยู่ข้างๆ คนเช่าที่ทักทายเขาก็พยักหน้าแล้วยิ้มให้ ครู่ต่อมานางหวังก็พาหม่าอี๋เหนียงกับสาวใช้กลุ่มหนึ่งมา โหยวเหมี่ยวเหลือบมองนางแวบหนึ่ง นางหวังกับหม่าอี๋เหนียงคลุมตัวด้วยขนสัตว์ที่ตนเองนำกลับมา ดูท่าทางหรูหราฟุ้งเฟ้อมาก
“ท่านแม่” โหยวฮั่นเกอเอ่ยทัก
นางหวังพยักหน้า ยืนดูโหยวเหมี่ยวแจกเงินอยู่ด้านข้าง คนเช่าที่คนหนึ่งเดินมาข้างหน้าแล้วยิ้มพร้อมถามโหยวเหมี่ยวว่า “คุณชาย ปีหน้าได้โปรดอย่าขึ้นค่าเช่าเลย พ่อกับข้าทำงานให้ตระกูลนี้มาตั้งสี่สิบปีแล้ว…”
“ไม่ขึ้นค่าเช่า วางใจได้ กตัญญูต่อบิดาให้มากๆ กลับไปฉลองปีใหม่เถอะ” โหยวเหมี่ยวโบกมือ
นางหวังที่ยืนฟังอยู่ด้านข้างหน้าเปลี่ยนสีทันควัน แต่โหยวเหมี่ยวไม่สนใจนาง เวลานางหวังยืนอยู่ใกล้ๆ โหยวเหมี่ยวมักจะรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เขาทราบดีว่านางหวังมาคอยจับตาดู เพื่อไม่ให้ลูกชายตัวเองโดนเขาแย่งบทเด่นไปหมด
โหยวเหมี่ยวรู้สึกเบื่อหน่าย พลันคิดว่าการอยู่บ้านเช่นนี้ช่างไร้ความหมาย สู้มองหาสถานที่สักแห่งแล้วรีบจากไปดีกว่า
“เจ้ามาแทน” โหยวเหมี่ยวบอกให้โหยวฮั่นเกอมารับช่วงต่อ ก่อนหมุนตัวเดินจากไป
“น้องชาย!” โหยวฮั่นเกอตะโกนอยู่ทางด้านหลัง
โหยวเหมี่ยวเดินไปตามระเบียงทางเดินอย่างโดดเดี่ยว สายลมพัดมาวูบหนึ่ง กลีบดอกไม้ในสวนปลิดปลิวจากก้านร่วงโปรยปรายลงสู่พื้นดิน
โหยวเหมี่ยวได้ยินโหยวฮั่นเกอเรียกตนเองเช่นนั้น ในใจก็รู้สึกอบอุ่นนิดๆ สามปีที่อยู่ในเมืองหลวง แม้จะมีสหายเที่ยวเล่นสนุกด้วยกัน แต่เขามักรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวอ้างว้างเพราะอยู่ห่างไกลบ้านเสมอ ทุกครั้งที่แวะไปจวนของหลี่เหยียน เห็นน้องชายที่เกิดจากแม่ผู้เป็นอนุของอีกฝ่าย หลี่เหยียนไม่เคยแยแสเด็กคนนั้น ไม่ว่าจะของเล่นของใช้ก็ไม่อนุญาตให้น้องชายแตะต้องเด็ดขาด เพราะกลัวจะทำข้าวของเสียหาย
** ตั้น เป็นหน่วยมาตราตวงสมัยโบราณของจีน มีค่าเท่ากับ 10 โต่ว หรือ 100 ลิตร
ตอนนั้นโหยวเหมี่ยวเคยคิดว่ามีพี่น้องแท้ๆ สักคนคงดี และถ้าตัวเองมีน้องชายซุกซนน่ารักคนหนึ่ง จะไม่มีทางทำกับเขาอย่างที่หลี่เหยียนทำเด็ดขาด
แต่พอถึงตาตัวเองจริงๆ ในบ้านมีโหยวฮั่นเกอเพิ่มมาอีกคน ชั่วขณะนั้นโหยวเหมี่ยวก็อธิบายความรู้สึกของตัวเองไม่ถูกเหมือนกัน
เขาไม่ได้เกลียดชังอะไรโหยวฮั่นเกอและไม่ได้เกลียดนางหวัง แค่คร้านจะสนทนากับสองแม่ลูกนั่น ทุกคนล้วนแย่งชิงข้าวของของตัวเองเท่านั้น พวกพ่อค้ามีคำกล่าวที่คุ้นหูกันดีว่า ‘มุ่งหาประโยชน์ หลีกเลี่ยงอันตราย’ ถ้าพูดอย่างไร้ยางอายหน่อยก็คือ ‘คนเราไม่ทำเพื่อตัวเอง ฟ้าสังหารดินทำลาย’
ถ้าจะเกลียดก็คงเกลียดโหยวเต๋อชวนบิดาของตัวเองที่ตอนนั้นไม่ได้เรื่อง สร้างปัญหาเอาไว้มากมาย
โหยวเหมี่ยวยืนนิ่ง หลี่จื้อเฟิงที่อยู่ด้านหลังก็หยุดตาม โหยวเหมี่ยวเอ่ยว่า “เจ้าใบ้ พูดสักคำสิ”
หลี่จื้อเฟิงเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ข้าไม่อยากอยู่ในบ้านนี้แล้ว รำคาญใจ”
หลี่จื้อเฟิงพยักหน้า โหยวเหมี่ยวกล่าวต่อว่า “เราไปที่ไหนซักแห่งของท่านแม่ข้าตอนยังมีชีวิตอยู่กันเถอะ เจ้าจะไปด้วยหรือไม่”
หลี่จื้อเฟิงพยักหน้าอีก โหยวเหมี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย หลี่จื้อเฟิงจึงตอบว่า “ไป เจ้าไปไหน ข้าก็ไปที่นั่น”
โหยวเหมี่ยวพอใจมาก ตั้งใจว่าจะขอเงินจากบิดาสักก้อนแล้วหนีไปไกลแสนไกล ไม่อยู่ในปราสาทเขาปี้อวี่อีก จะได้อยู่อย่างสบายใจเสียที
จากนั้นโหยวเหมี่ยวก็สาวเท้าเดินเข้าไปในห้องโถง โหยวเต๋อชวนกำลังสนทนากับท่านปู่สองคน ส่วนพวกเมียๆ อยู่ห้องฝั่งตะวันตกกับหม่าอี๋เหนียง โหยวเหมี่ยวสะบัดแขนเสื้อเดินเข้าไปผงกหัวพร้อมรอยยิ้ม “ท่านปู่ห้า ท่านปู่แปด ท่านพ่อ”
โหยวเต๋อชวนหยุดพูด ท่านปู่ห้าจึงถามว่า “เหมี่ยวจื่อไปเล่าเรียนในเมืองหลวงเป็นอย่างไร”
“อ้อ กลับบ้านมาอ่านตำรา เตรียมตัวรอเข้าเมืองหลวงไปสอบเคอจวี่ในอีกสองสามปี” โหยวเหมี่ยวหัวเราะตอบ
“หลายปีมานี้ทางเหนือไม่ค่อยปลอดภัยนัก” โหยวเต๋อชวนหันไปอธิบายให้ผู้เฒ่าทั้งสองฟัง
“เหมันตฤดูปีนี้ขบวนสินค้าของเต๋อโย่วโดนปล้นไปครั้งหนึ่งไม่ใช่หรือ” ท่านปู่แปดพยักหน้า
“ใช่ๆๆ ข้าก็อยู่ในขบวนสินค้านั้นด้วย…” โหยวเหมี่ยวรีบตอบ
โหยวเหมี่ยวเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ท่านปู่ทั้งสองฟัง พวกผู้เฒ่าฟังแล้วตกใจ กล้ามเนื้อบนใบหน้าของโหยวเต๋อชวนกระตุกถี่ โหยวเหมี่ยวขยายเรื่องราวใหญ่โตขึ้นสิบเท่า สุดท้ายเล่าว่า “ยังดีที่ข้าซื้อบ่าวไว้คนหนึ่งจากในเมืองหลวง…”
โหยวเต๋อชวนเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเช่นกัน สุดท้ายถามว่า “ทหารรักษาเมืองที่มาช่วยพวกเจ้าชื่ออะไร ต้องขอบคุณเขาให้ดีๆ”
“ข้าไม่รู้ ไม่ต้องขอบคุณเขาแล้ว ต่อไปถ้ามีโอกาสข้าจะจัดการเอง…จริงสิ ท่านพ่อ”
ทั้งสามคนในห้องโถงต่างก็มองไปที่โหยวเหมี่ยว เขาเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปปราสาทเขาอะไรสักอย่างที่ท่านพูดถึงคราวก่อน ปัดกวาดเก็บข้าวของเสียหน่อย อย่างไรเสียก็เป็นบ้านของท่านแม่ข้า”
“ปราสาทเขาเจียงปัว?” ท่านปู่แปดถามแล้วเงยหน้าขึ้นมองโหยวเต๋อชวนแวบหนึ่ง
โหยวเต๋อชวนหน้าเปลี่ยนสีทันควัน ท่านปู่ห้ากล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ามีใจคิดจะสอบขุนนางก็ไม่จำเป็นต้องไปที่เขาเจียงปัว ที่นั่นมีอะไรดี”
“อยู่บ้านสงบจิตสงบใจอ่านตำราไม่ได้ เปลี่ยนสถานที่จะได้เงียบหูหน่อย” โหยวเหมี่ยวตอบยิ้มๆ
“เจ้าอยู่บ้านก็ดีแล้ว จะลำบากลำบนทำเรื่องพวกนั้นทำไม” โหยวเต๋อชวนถาม
“ท่านให้ข้าไปเถอะ ท่านพ่อ ข้ากำลังคิดถึงท่านแม่พอดี ข้าวของที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้าก่อนตาย ไม่ได้ไปดูตั้งหลายปี ในเมื่อมีเวลาว่างก็ควรไปดูเสียหน่อย”
“ไม่ใช่ว่าพ่อไม่อยากให้เจ้าไป แต่ปราสาทเขาเจียงปัวมีแม่น้ำขวางกั้น คลื่นลมแรงอันตรายมาก…และไม่ใช่สถานที่ดีอะไร…”
โหยวเหมี่ยวแค่นหัวเราะอยู่ในใจ เมื่อวานเพิ่งบอกให้ข้าไปที่นั่นไม่ใช่หรือ ทำไมวันนี้เจอคนในตระกูลเข้ากลับเปลี่ยนคำพูด
“ไปศึกษาตั้งแต่ตอนนี้” โหยวเหมี่ยวเอ่ยต่อ “ภายภาคหน้าจะได้ช่วยท่านดูแลกิจการอย่างไรเล่า”
สองพ่อลูกต่างมีความคิดของตนเองจึงสนทนากันต่อหน้าสองผู้เฒ่าในตระกูลแค่ไม่กี่ประโยค พวกท่านปู่ทั้งสองล้วนเป็นคนเฉลียวฉลาด ดูออกว่าหลังจากโหยวเหมี่ยวกลับมาสองพ่อลูกก็มีปัญหาขัดแย้งกัน ท่านปู่ห้านิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ลำบากเจ้าแล้ว เหมี่ยวจื่อ”
โหยวเหมี่ยวหัวเราะหึๆ จากนั้นท่านปู่แปดก็สั่งสอนว่า “เต๋อชวน คำพูดที่เจ้าเคยกล่าวในงานชุมนุมตระกูล จำต้องยึดถือปฏิบัติตามนั้น ตาแก่อย่างพวกเรา ไม่นานก็ต้องตาย ได้แต่พึ่งลูกหลานเผากระดาษเงินกระดาษทองเซ่นไหว้สุสาน เฉียวเคอเอ๋อร์ช่วยเจ้าก่อร่างสร้างตัว เจ้าก็ควรรักษาความยุติธรรมเอาไว้ อย่าลำเอียง”
โหยวเต๋อชวนเหงื่อแตก ละล่ำละลักพูดว่า “ขอรับๆ”
ขณะกำลังสนทนากัน บ่าวรับใช้ก็ยกอาหารกลางวันมาให้ โหยวเต๋อชวนสั่งให้เรียกโหยวฮั่นเกอเข้ามากินด้วยกัน ระหว่างมื้ออาหารผู้เฒ่าทั้งสองพากันซักถามโหยวเหมี่ยว เนื่องจากโหยวเหมี่ยวเข้าเมืองหลวงสามปี ห่างเหินจากญาติสนิทมิตรสหายมานาน จึงตอบคำถามแล้วคำถามเล่า ส่วนโหยวฮั่นเกอเอาแต่นั่งกินและยิ้มแย้มอยู่ด้านข้าง
คืนนั้นโหยวเหมี่ยวกลับไปที่ห้องก็ลงมือเก็บข้าวของ เรื่องที่เขาจะไปปราสาทเขาเจียงปัวรู้กันทั่วบ้านแล้ว นางหวังยังมอบเงินให้เขาเป็นพิเศษอีกด้วย
พ่อบ้านนำเงินมาที่หน้าประตูแล้วพูดว่า “คุณชาย นี่เป็นของที่ฮูหยินกำชับให้ข้าน้อยนำมามอบให้…”
“ไม่ต้อง ขอบคุณในความหวังดีของนาง รับไว้ด้วยใจพอ”
บ่าวไพร่ในบ้านไม่มีใครเข้ามาช่วยโหยวเหมี่ยวเก็บข้าวของ หลี่จื้อเฟิงยุ่งวุ่นวายอยู่ในห้อง เก็บของเสร็จก็มีถึงหกลังด้วยกัน
“คุณชาย นายท่านเชิญท่านไปที่ห้องหนังสือ…” พ่อบ้านเอ่ย
“บอกเขาให้เลิกพูดพล่ามเสียที ข้าไม่อยู่ฉลองปีใหม่แล้ว”
พ่อบ้านไม่กล้าพูดอะไรมาก รีบกลับไปรายงาน ครู่ต่อมาก็นำโฉนดที่ดินมามอบให้ “นายท่านให้คุณชายเก็บไว้ ส่วนเงินทองพวกนี้ก็มอบให้คุณชายไว้ใช้สอย”
มู่ฉีเอ๋อร์นำโฉนดที่ดินและบัญชีของปราสาทเขาเจียงปัวเข้ามา โหยวเหมี่ยวเปิดดูอยู่ใต้แสงไฟครู่หนึ่ง
“มู่ฉีเอ๋อร์ เจ้าไปกับพ่อบ้าน” โหยวเหมี่ยวเอ่ย “ไม่ต้องมาปรนนิบัติชั่วคราว มีหลี่จื้อเฟิงก็พอ”
“คุณชาย…” มู่ฉีเอ๋อร์ยืนอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกเป็นครู่ใหญ่ น้ำตาไหลออกจากสองตา
โหยวเหมี่ยวไม่อยากพามู่ฉีไปเพราะไม่อยากให้เจ้าตัวต้องเดือดร้อนด้วย และทราบดีว่ามู่ฉีเองก็ไม่อยากตามไปจึงหาทางบอกปัดเสียตั้งแต่ตอนนี้ อย่างน้อยก็ดีกว่าตามไปด้วย คนอื่นโดนย้ายไปหมดแล้ว เหลือแค่มู่ฉีเอ๋อร์ที่ถูกปล่อยเข้ามาในห้องเขา นางหวังต้องเคยพูดอะไรกับเขาไว้ก่อนแน่ คาดว่าคงสั่งให้มู่ฉีเอ๋อร์คอยจับตาดูเขา โหยวเหมี่ยวจึงไม่พาไปด้วย ทิ้งเขาไว้ที่ปราสาทเขาก็เพื่อให้ทำงานลำบากนั่นเอง
โหยวเหมี่ยวแค่อยากอยู่ที่ปราสาทเขานั่นจนกว่าจะพ้นปีใหม่เท่านั้น หลังปีใหม่ค่อยคิดหาทางอื่น ดีดลูกคิดรางแก้วคำนวณดังแก๊กๆ…เอาโฉนดที่ดินของปราสาทเขาเจียงปัวไปจำนอง พอถึงเมืองหยางโจวก็ไปรับเงินค่าเช่าของสิบปี เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมได้เงินมาสักห้าหกพันตำลึง แล้วค่อยเดินทางเข้าเมืองหลวง จ่ายเงินให้บุตรชายของเสนาบดีกรมอากรช่วยออกใบอนุญาตค้าขาย จากนั้นซื้อสินค้าจำนวนหนึ่งเดินทางไปขายนอกด่าน
ลำบากลำบนเช่นนี้ไม่กี่ครั้งก็มีเงินแล้ว ภูเขาเงินภูเขาทองย่อมรออยู่ไม่ไกล โหยวเหมี่ยววาดภาพชีวิตภายภาคหน้าในทางบวก เหมือนฝันกลางวันว่าหยิบไข่ไก่สองใบมาก็กลายเป็นแม่ไก่ออกไข่ได้ และหลงเคลิ้มอยู่ในฝันนั้น
ตกกลางคืนโหยวเหมี่ยวนอนหลับไม่สนิท เช้าวันถัดมาจึงตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง “เวลาอะไรแล้ว”
“ยามห้า” หลี่จื้อเฟิงที่อยู่ด้านนอกพลิกตัวลุกขึ้นมาปรนนิบัติทันที
เดิมทีโหยวเหมี่ยวคิดจะนอนอีกนิด แต่รู้สึกว่านอนต่อก็นอนไม่หลับ รีบลุกขึ้นมาเก็บของดีกว่า ขณะกำลังคิดอยู่นั้น โหยวเหมี่ยวยังไม่ลุกขึ้นมา แต่เอาผ้านวมม้วนพันตัวเล่น หลี่จื้อเฟิงจึงเอนนอนตาม
พอโหยวเหมี่ยวยันตัวลุกขึ้นมานั่ง หลี่จื้อเฟิงก็ลุกตามราวกับรู้ใจเขา สวมเสื้อคลุมตัวนอก เอาผ้าคาดเอวแล้วเดินเข้ามาปรนนิบัติเขาล้างหน้าหวีผม
“ข้าวของเก็บเสร็จแล้วหรือ”
หลี่จื้อเฟิงรับคำ โหยวเหมี่ยวเอ่ยต่อว่า “หนังสือต้องนำไปด้วย”
“หนังสือครึ่งคันรถได้” โหยวเหมี่ยวมองหลี่จื้อเฟิงในกระจก จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ เขายกมือขึ้นจับอุ้งมือใหญ่ของอีกฝ่าย หลี่จื้อเฟิงเงยหน้ามองเขาตอบกลับมาในกระจก
“ดีที่มีเจ้าอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นตัวข้าคนเดียว กลับจากเมืองหลวงมาก็เหมือนสุนัขข้างถนน ไม่รู้ว่าจะอดทนผ่านมาได้อย่างไร”
มุมปากของหลี่จื้อเฟิงกระตุกเล็กน้อย โหยวเหมี่ยวเปลี่ยนเสื้อผ้า หลี่จื้อเฟิงยืนรออยู่ด้านข้าง
เวลากลางคืนในช่วงเหมันตฤดูค่อนข้างยาวนาน ท้องฟ้านอกปราสาทเขายังคงมืดมิด พวกบ่าวไพร่เข้ามาช่วยกันยกหีบขึ้นรถ ด้านหลังหนักอึ้งไปด้วยหนังสือครึ่งคันรถ โหยวเหมี่ยวไม่อยากพูดกับบิดาให้มากความ จึงไม่ไปบอกลาเขา แต่ยืนพ่นลมหายใจอยู่ข้างรถ ไอร้อนที่พ่นออกมากลายเป็นหมอกขาว
“คุณชาย” มู่ฉีเอ๋อร์เรียก
“ถ้าอยู่ที่นั่นเข้าที่เข้าทางแล้ว ต้องการคนปรนนิบัติจะเรียกเจ้าไป คำพูดนี้จดจำไว้ในใจพอ อย่าพูดมากไป”
มู่ฉีเอ๋อร์รีบพยักหน้า โหยวเหมี่ยวหันไปมองบ่าวกลุ่มนั้น อยากเลือกคนที่หน้าตาหมดจดไปเป็นบ่าวรับใช้สักสองสามคน หลี่จื้อเฟิงจะได้ไม่ต้องลำบากวุ่นวายทำเองหมด แต่พอกวาดตามองแล้วก็รู้สึกว่าไม่น่าสนใจสักคน ส่วนมากถูกนางหวังซื้อตัวไว้หมดแล้ว แทนที่จะเก็บหูตาของคนอื่นไว้ข้างกาย ไม่สู้ไปหาซื้อคนที่โน่น
เมื่อวานโหยวเต๋อชวนมอบเงินให้แปดสิบตำลึงเงิน แปดสิบตำลึงอยู่ในเมืองหลวงไม่ถึงเดือนก็ใช้หมดเกลี้ยงแล้ว แต่เวลานี้อยากได้เงินเยอะกว่านี้ก็ไม่มีแล้ว จำต้องกระเหม็ดกระแหม่ใช้สอยอย่างรอบคอบ โหยวเหมี่ยวเก็บเงินทอง โฉนดที่ดินและบัญชีของปราสาทเขาเจียงปัวให้เรียบร้อย จู่ๆ ก็มีคนวิ่งตรงมาที่ประตูชั้นที่สองของปราสาทเขา พร้อมตะโกนว่า “น้องชาย! น้องชาย!”
โหยวเหมี่ยวกำลังจะขึ้นรถ เท้าข้างหนึ่งเหยียบขึ้นไปแล้วก็พบว่าเป็นโหยวฮั่นเกอ จึงก้าวลงมาใหม่
“ทำไมไม่รอท่านพ่อตื่นมาคุยกันสักคำก่อน” โหยวฮั่นเกอวิ่งหอบฮักมา
“มีอะไร” โหยวเหมี่ยวเหลือบมองเขาก็เห็นว่ายังสวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยดี
“พี่ชายจะไปส่งเจ้า” โหยวฮั่นเกอเอ่ย
เดิมทีโหยวเหมี่ยวไม่อยากเรียกพี่เรียกน้องกับเขา แม้ทราบดีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของโหยวฮั่นเกอ หากในใจก็ปล่อยวางไม่ลงอยู่ดี แต่ท่าทางถ่อมตัวของโหยวฮั่นเกอก็ทำให้โหยวเหมี่ยวใจแข็งด้วยไม่ลง
เขาเคยลิ้มรสความทุกข์จากการกำพร้ามารดามาตั้งแต่เด็ก แต่โหยวฮั่นเกอไม่มีบิดาตั้งแต่เกิด ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาใช้ชีวิตอย่างไรก็คงเหมือนโหยวเหมี่ยวนั่นแหละ
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือพวกเขาล้วนมีเลือดของสกุลโหยวไหลเวียนอยู่ในร่าง พี่ชายคนนี้จะไม่ยอมรับก็ทำไม่ได้ ไม่สนใจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ยอมรับก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เหมือนอย่างบิดานั่นแหละ จะทำเป็นไม่รู้จักบิดาคนนี้ย่อมได้ แต่สุดท้ายเขาก็มีตัวตนอยู่จริง
“ข้าไม่ได้เกลียดเจ้า พี่ใหญ่” โหยวเหมี่ยวเอ่ย
โหยวฮั่นเกอตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าโหยวเหมี่ยวเปิดปากพูดก็ตรงเข้าประเด็นทันที โหยวฮั่นเกออึกอักอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดว่า “เมื่อก่อนข้า…อยากมีน้องชายมาตลอด เหมี่ยวจื่อ พี่ชาย…ข้า…”
“ข้ารู้ นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ข้าไปล่ะ แล้วเจอกันใหม่”
“นี่เป็นเงินที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้า…” โหยวฮั่นเกอล้วงถุงใบเล็กๆ ออกจากอกเสื้อยื่นให้โหยวเหมี่ยว
โหยวเหมี่ยวมองถุงผ้ามอมแมมใบเล็กแล้วมองสบตาอีกฝ่าย
จะไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวหยิ่งอะไรอีก อย่างน้อยก็ควรให้โอกาสปรับความเข้าใจกัน ภายภาคหน้าตาแก่ตายไป มีอะไรจะเอ่ยปากร้องขอความช่วยเหลือได้ง่าย
โหยวเหมี่ยวรับถุงผ้าใบนั้นมา มีน้ำหนักพอสมควร ข้างในน่าจะเป็นก้อนเงินจำนวนหนึ่ง โหยวเหมี่ยวพยักหน้าแล้วหมุนตัวขึ้นรถ “ไปล่ะ”
หลี่จื้อเฟิงสะบัดแส้ เสียงเพียะดังกังวานอยู่ท่ามกลางหมอกยามเช้า ม้าสองตัวลากรถวิ่งกุบกับออกเดินทาง เลี้ยวเลาะไปตามเส้นทางบนเขา โหยวฮั่นเกอยังคงยืนอยู่หน้าประตู มองส่งรถม้าวิ่งจากไปไกล
โหยวเหมี่ยวนั่งซึมกะทืออยู่ในรถ เวลานี้ปราสาทเขาปี้อวี่ที่อยู่ด้านหลังและเมืองหลิวโจวที่เลือนรางท่ามกลางสายหมอกเหมือนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเขาอีกต่อไป
ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ม่านหมอกสลายตัว เสียงเพลงหวานนุ่มนวลของสาวเก็บใบชาดังกังวานในหุบเขา
รถม้าคันหนึ่ง ข้าวของเครื่องเรือนจำนวนหนึ่ง คนสองคน เดินทางไปสู่ชีวิตใหม่ของโหยวเหมี่ยวด้วยกัน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
สามารถอ่านบทอื่นๆได้ที่ >> บทที่ 1.1 | บทที่ 1.2 | บทที่ 2.1 | บทที่ 2.2 | บทที่ 3.1 | บทที่ 3.2 | บทที่ 4.1 | บทที่ 4.2 | บทที่ 5.1 | บทที่ 5.2
Comments
comments