บทที่ 4
ชายหนุ่มโดยสารเครื่องบินที่เร็วที่สุด บินข้ามครึ่งโลก
หลายชั่วโมงบนเครื่องบินนั่น ความคิดเขาสับสนวุ่นวายอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าจะหลับตาลงก็ยังคงมองเห็นภาพของผู้หญิงคนนั้น
เขายังจำเหตุการณ์ที่เจอกับเธอครั้งแรกได้ ตอนนั้นเขาอยู่บนเรือลำหนึ่ง เรือขนสินค้าขนาดใหญ่
…
เขาถีบประตูให้เปิดออก หลังประตูบานนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่ง
หญิงสาวแปลกหน้านอนอยู่บนพื้นในห้องสีขาว เธอสวมเสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้นสีดำ ทั้งที่เขาออกแรงถีบประตูนั่น แต่ใบหน้าที่บอบช้ำของเธอก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ไม่ตื่นตระหนก ไม่มีความหวาดกลัว ไม่มีความโล่งใจ ดีใจหรือความยินดีแม้แต่น้อย
เธอเพียงแต่ลุกขึ้นนั่ง จ้องมองเขาด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย
‘ลุกขึ้นเร็ว ที่นี่จะระเบิดแล้ว’ เขาร้องบอก
เธอไม่ขยับ ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แล้วเธอก็ยกมือขึ้นมา เขาถึงได้รู้ว่าสองมือของเธอถูกใส่กุญแจมือเอาไว้ ที่เท้าของเธอก็เช่นกัน กุญแจมือเท้าทั้งสองยังมีโซ่เหล็กเชื่อมต่อกันอีกด้วย โซ่เหล็กนี้ถูกเชื่อมติดกับผนังด้านหลังของเธอ
เขาอึ้งไป พบว่ากุญแจที่ล็อกมือกับเท้าของเธอไว้นั้นไม่มีรูกุญแจ ทำให้เขาอดที่จะสบถออกมาไม่ได้ เงยหน้าขึ้นมาองเธอ ‘กุญแจไฟฟ้ารึ’
‘ใช่’
‘ปลดล็อกยังไง’
‘มันควบคุมด้วยเสียง’ เธอพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย ‘ต้องใช้เสียงของคนที่กำหนดไว้ถึงจะปลดล็อกได้’
เมื่อได้ยินเขารู้สึกเย็นวูบเข้าไปในหัวใจ
คนที่นี่บ้างก็หนีไป บ้างก็ตายไป ตัวเขา เขิ่นเอิน อาเหล่ย อาเฟิงเสี่ยงอันตรายบุกเข้ามาเพราะได้ข้อมูลว่ามีคนจำนวนมากถูกขังไว้ที่นี่
ก่อนที่เขาจะเจอผู้หญิงคนนี้ก็ได้ช่วยปล่อยคนไปบ้างแล้ว เขาเข้าใจว่าช่วยเหลือได้ทั้งหมดแล้ว เดิมเขาจะจากไปแต่ก็เห็นประตูบานนั้นเข้าเสียก่อน
เมื่อมองเห็นดวงตาเหม่อลอยไร้จุดหมายของเธอ วินาทีนี้เขาคิดว่าเธอคงคิดว่าตัวเองไม่อาจมีชีวิตรอดไปได้
ทันใดนั้นมีเสียงเร่งออกมาจากทางหูฟัง
‘อาวั่น นายอยู่ที่ไหน ที่นี่กำลังจะระเบิดแล้ว นายต้องรีบออกมาโดยด่วน!’
‘ฉันอยู่ตรงสุดทางเดินท้ายเรือ ที่นี่ยังมีตัวประกันอีกคน เธอถูกล่ามไว้ เป็นกุญแจไฟฟ้า’ เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง
ในขณะนั้นเอง เสียงระเบิดดังสนั่นก็ลอยมา ห้องสั่นสะเทือนไปทั้งห้อง หูฟังของเขามีเสียงแสบแก้วหูดังขึ้น เขารีบกระชากมันออกอย่างรวดเร็ว ระเบิดได้ตัดขาดระบบสื่อสาร
ที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือเสียงระเบิดยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลูกที่สองลูกที่สาม และเสียงก็ใกล้เข้ามาทุกที วินาทีถัดมาพื้นก็เริ่มเอียง
‘คุณรีบหนีไปเถอะ’ หญิงสาวตรงหน้ามองเขา ใช้น้ำเสียงราบเรียบชวนให้โมโหพูดว่า ‘คุณไม่ต้องช่วยฉัน ฉันไม่ใช่ตัวประกัน แล้วคุณก็ไม่อาจปลดล็อกกุญแจนี่ได้…’
เขาไม่รอให้เธอพูดจบ หมุนตัวออกไป แต่ก็ไม่ได้ไปไกล เขาเจอตู้ดับเพลิงอยู่ด้านนอกประตู เขาถีบตู้นั้นแตก หยิบขวานที่อยู่ในตู้ออกมาแล้ววิ่งกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง
เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาได้เห็นแววตาที่ราบเรียบของเธอแสดงความประหลาดใจขึ้นมาเพียงแวบเดียว
เขาไม่เสียเวลาพูดอะไรกับเธอ ใช้แรงยกขวานขึ้นฟันแผ่นเหล็กที่เชื่อมกับโซ่เหล็ก
ห้องทั้งห้องสั่นไหวด้วยแรงระเบิด ในวันที่ฟ้าสนั่นดินสะเทือนนั้น เขาเงื้อขวานฟันไปสุดกำลัง จนกระทั่งแผ่นเหล็กนั้นเริ่มหลวม เขาเปลี่ยนมาใช้ชะแลง วางขวานคั่นไว้ด้านบน แล้วกระทืบลงไปอย่างแรง
เมื่อเขาออกแรงซ้ำลงไปหลายรอบ ในที่สุดแผ่นเหล็กที่เชื่อมกับโซ่ก็หลุดจากผนัง
เขาใช้ขวานฟันเข้าไปที่สายไฟที่ควบคุมกุญแจมือและเท้าของเธอ เมื่อไม่มีกระแสไฟฟ้า กุญแจมือเท้าก็หมดสภาพ พวกมันร่วงหล่นลงที่พื้น
เขาหันกลับมาเห็นเธอยืนนิ่งจ้องมองเขาอยู่ เข้าคว้ามือเธอแล้ววิ่งออกไป
ทางเดินทุกทิศทุกทางมีเปลวไฟลามออกมา เสียงระเบิดเหมือนกับปีศาจวิ่งไล่ตามหลังเขาและเธอ พื้นก็เอียงมากขึ้น เขาพาเธอวิ่งขึ้นไปด้านบนพลางค้นหาแผนที่ในหัวเพื่อหาทางออกที่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็ว แต่ระเบิดอีกลูกก็ได้ปิดทางออกสุดท้ายไปแล้ว มองดูไฟที่กำลังลุกท่วมบันไดเหล็ก เขาสบถเสียงดัง แล้วผู้หญิงคนนั้นก็พลิกมือมาจับเขาไว้
‘นั่น’
เขาหันกลับมาเห็นเธอชี้ไปอีกด้านแล้วบอกเขา
‘ยังมีบันได สำหรับพนักงานซ่อมบำรุงใช้’
ท่ามกลางเปลวเพลิง เขามองอะไรไม่เห็นเลย เมื่อเธอหมุนตัววิ่งออกไป เขาก็วิ่งตามเธอไปอย่างไม่ต้องคิดอะไรแล้ว
สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงก็คือความเร็วของเธอ ซ้ำท่าทางยังสงบนิ่งอีก แม้ว่าจะมีควันหนาทึบ เปลวไฟลามเลียไปทุกที่ แต่เธอก็ยังหาบันไดเหล็กนั้นได้อย่างแม่นยำ แล้วก็ปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่วราวกับลิง เขาตามเธอไปด้วยความรวดเร็ว ปีนขึ้นไปบนยอดด้วยความยากลำบาก ระเบิดอีกลูกทำให้เธอเสียหลักตกลงไป ยังดีที่เขาคว้าตัวเธอไว้ได้ทัน
และเป็นอีกครั้งที่เธอมองเขาอย่างประหลาดใจ
เขาดึงตัวเธอขึ้นมา
พื้นเรือเอียงมากขึ้น ได้ยินเสียงน่ากลัวของน้ำที่ซัดมา เขาดึงตัวเธอให้มุ่งไปยังทางออกต่อไป วันนั้นแสงแดดเจิดจ้า เบื้องหลังยังมีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง รู้สึกได้ถึงอันตราย เขากอดเธอไว้แนบอก วินาทีถัดมาทั้งคู่ถูกเหวี่ยงตกลงไปในทะเล
ในขณะนั้นประสาทสั่งงานเขาหยุดชะงัก ปล่อยมือออก เมื่อเขาได้สติกลับมาถึงได้รู้ตัวว่าตนเองตกลงมาในทะเลแล้ว กำลังจะจมลงก้นทะเลพร้อมกับเศษเหล็กและสิ่งของต่างๆ
เขามองเห็นเรือขนสินค้าที่อยู่ไม่ไกลนักถูกเพลิงลุกไหม้และกำลังจะจมลง มองเห็นมือที่ไร้เรี่ยวแรงทั้งสองข้าง มองเห็นดวงอาทิตย์ที่สาดส่องลงบนพื้นน้ำส่งประกายระยิบระยับ
เขาลองขยับแข้งขา แต่พวกมันไม่ค่อยให้ความร่วมมือ แล้วในขณะนั้นเขาก็มองเห็นเธอ
ผู้หญิงคนนั้นดำดิ่งลงมาในทะเลสีครามด้วยความรวดเร็วราวกับเป็นนางเงือก ว่ายเข้าตรงมาหาเขาแล้วจับมือเขาไว้ จากนั้นก็พาเขาขึ้นมาสู่ผิวน้ำ
หานอู่ฉีขับสปีดโบ๊ตด้วยความเร็วสูงเข้ามาใกล้ อาเหล่ยและอาเฟิงยื่นมือออกมาดึงทั้งคู่ขึ้นจากทะเล
ขณะที่อยู่บนเรือเขาก็สำลักน้ำทะเลที่อยู่เต็มปอด ในที่สุดก็สามารถนั่งลงได้ มองเห็นหญิงสาวที่เปียกไปทั้งตัวห่มผ้าที่เขิ่นเอินส่งให้ เธอกำลังจ้องมองดูเรือลำนั้นจมลงไปอย่างไร้ความรู้สึก
‘นี่ คุณยังโอเคไหม’
เธอดึงสายตากลับมา ใบหน้ายังคงไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ไม่มีความโล่งใจ ไม่มีความยินดี ไม่ได้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก มือเธอไม่ได้สั่น ดวงตานิ่งไม่กะพริบ
เธอยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างความสงบนิ่ง ดูสงบนิ่งจนน่ากลัว
นี่ไม่ใช่ปฏิกิริยาของคนธรรมดาที่เพิ่งหนีตายออกมาได้ และคนธรรมดาก็คงไม่ถูกใส่กุญแจข้อมือข้อเท้าไว้แบบนั้น
ลมทะเลพัดผมที่เปียกชื้นและใบหน้าเล็กๆ ที่มีหยดน้ำเกาะของเธอ ไม่รู้ว่าเธอได้แผลที่หน้าผากตั้งแต่เมื่อไหร่ รอยแผลยังมีเลือดไหลซึมออกมา
เขารีบคว้ากระเป๋าพยาบาลที่อยู่ใต้เก้าอี้ขึ้นมา หยิบสำลีแผ่นกับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์มาทำความสะอาดแผลและห้ามเลือดให้เธอ เป็นอีกครั้งที่เธอได้แต่นิ่งเงียบ
ขณะที่เขาช่วยปิดพลาสเตอร์ที่หน้าผากให้กับเธอก็อดที่จะถามไม่ได้ว่า
‘คุณชื่ออะไร’
เธอใช้ดวงตาดำขลับที่สงบนิ่งจ้องมองเขาครู่หนึ่ง จึงได้เอ่ยออกมาสองพยางค์
‘ฮั่วเซียง’
เรือสินค้าที่ถูกไฟไหม้กำลังจมลง ส่งเสียงดังน่ากลัว เขาหันกลับไปมอง เห็นว่ามันขาดเป็นสองส่วน เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง เปลวไฟลุกโชนพร้อมกับควันดำหนาทึบพุ่งตามขึ้นมา
หานอู่ฉียังคงขับเรือสปีดโบ๊ตพุ่งทะยานอยู่ในท้องน้ำ ค่อยๆ ทิ้งห่างจากเรือสินค้าที่กำลังจมลงสู่ใต้ท้องทะเล
‘ทำไมคุณถึงถูกขังไว้บนเรือนั่น’
เธอไม่ตอบ ได้แต่มองเรือลำนั้น ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ในขณะที่เขาคิดว่าเธอคงจะไม่ตอบแล้วนั้น เธอก็เอ่ยปากขึ้น
‘เพราะฉันฆ่าหัวหน้าของแบล็กแชโดว์’
เขานิ่งไป เธอหันกลับมามองเขาด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกพร้อมกับพูดต่อว่า
‘ฉันเป็นหนึ่งในนั้น ฉันคือนักฆ่าที่แบล็กแชโดว์ฝึกมา’
นั่นคือองค์กรนักฆ่าที่ได้รับการขนานนามว่าแบล็กแชโดว์ เป็นทีมลอบสังหารมืออาชีพ
แบล็กแชโดว์รับงานทุกอย่าง ขอเพียงมีเงินจ่าย ไม่สนว่าจะผิดหรือถูก ไม่สนว่ามีคุณธรรมหรือไม่
แบล็กแชโดว์คัดเลือกเด็กที่มีความสามารถจากที่ต่างๆ ทั่วโลก ลักพาตัวเด็กพวกนั้นมา ใช้ยาและสะกดจิตล้างสมองพวกเด็กๆ ใช้วิธีโหดแต่ได้ผลเร็วในการฝึกและคัดเลือก ทำให้เด็กพวกนั้นกลายเป็นเครื่องมือฆ่าคนที่เลือดเย็น
ฮั่วเซียงก็เป็นหนึ่งในนั้น จริงๆ แล้วเธอเป็นระดับหัวแถว
เดิมทีคนของเรดอายยังสงสัยว่าทำไมพวกตนถึงสามารถทำลายองค์กรนักฆ่าที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้ง่ายดายเช่นนี้ หลังจากถูเจิ้นพบข้อมูลซึ่งดาวน์โหลดมาจากคอมพิวเตอร์ในเรือขนส่งที่จมลงใต้ทะเลลำนั้นจึงได้รู้ว่าเป็นเพราะเธอ
เธอเป็นนักฆ่า เป็นนักฆ่ามือดีที่สุดขององค์กรแบล็กแชโดว์
แต่เพื่อปกปิดสาเหตุที่แท้จริงที่อยู่ๆ เธอก็ทรยศองค์กร เธอจึงฆ่าผู้นำองค์กร ทำให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกออกเป็นสองฝ่าย แย่งชิงอำนาจกันภายใน จึงเป็นโอกาสให้คนของเรดอายสามารถกำจัดองค์กรนักฆ่าให้หมดสิ้น
เมื่อพวกเขากลับมาที่เรดอาย อาหนานที่เป็นหมอก็ช่วยเธอตรวจบาดแผล จึงพบว่าเธอมีกระดูกหักหลายแห่ง ทั้งด้านหลังและหน้าอกก็มีรอยช้ำขนาดใหญ่ ซ้ำยังมีเลือดออกภายใน แต่กลับไม่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจากเธอแม้แต่น้อย
เธอมีเพียงแค่ความสงบนิ่ง นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างที่ควรจะนั่ง เหมือนกับหุ่นไม้ไม่มีผิด
คนขององค์กรนักฆ่าแบล็กแชโดว์ส่วนใหญ่ถูกล้างสมอง คนพวกนั้นไม่คิดว่าการฆ่าคนเป็นสิ่งผิด พวกเขาไม่มีมโนธรรมไม่มีความรู้สึก การยึดมั่นจงรักภักดีต่อผู้นำองค์กรเป็นเงื่อนไขเดียวของการมีชีวิตอยู่
พวกเขาไม่สามารถทรยศต่อชายที่เลี้ยงดูสั่งสอนและฝึกฝนพวกเขาขึ้นมา ชายที่พัฒนาระบบนักฆ่านี้ขึ้นมา
‘ทำไมล่ะ’
มองดูร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลแต่ยังนิ่งสงบได้ของผู้หญิงคนนั้น เขาจำได้ว่าตัวเองอดที่จะเดินเข้าไปถามไม่ได้
เธอกะพริบตาสองสามที เมื่อได้สติขึ้นมาก็เอ่ยออกมาเพียงประโยคเดียว
‘ฉันแค่จำได้ว่าตัวเองชื่ออะไร’
ดวงตาดำขลับคู่นั้นยังคงไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เธอพูดช้าๆ ด้วยเสียงแหบๆ
‘ฮั่วเซียง คือสมุนไพรอย่างหนึ่ง ขับความชื้น ระบายความร้อน หยุดอาเจียน แม่เลยตั้งชื่อฉันว่า…ฮั่วเซียง’
เธออยู่ในชุดผู้ป่วยที่อาหนานเอามาให้ นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย มองเขาพร้อมอธิบาย
‘ฮั่วเซียง ไม่ใช่ชื่อของนักฆ่า’
เขามองผู้หญิงตรงหน้าอย่างตกใจ ไร้คำพูดชั่วขณะหนึ่ง
เขาเคยอ่านข้อมูลของเธอ ตอนที่ถูกจับตัวมาเธอเพิ่งจะเจ็ดขวบ เขานึกไม่ออกเลยว่าเวลาล่วงเลยมาหลายปี ผู้หญิงคนนี้ยังจำคำพูดของแม่ที่พูดกับเธอไว้ตอนนั้นได้
‘ฉันไม่ใช่นักฆ่า ฉันคือฮั่วเซียง’
น้ำเสียงของเธอช้าและสงบ สองแขนที่เต็มไปด้วยบาดแผลไขว้กันอยู่ข้างหน้า ใบหน้ายังคงไร้ความรู้สึก ดวงตาดำขลับคู่นั้นไม่กะพริบ แต่คำพูดที่เรียบนิ่งของเธอทำให้เขารู้ว่าเธอไม่อาจลืมมันไปได้
ต่อมาเขาออกจากเรดอายแล้วมาเปิดกิจการที่ลอนดอน
เดือนต่อมา ในคืนที่ฝนตกพรำๆ อยู่ๆ เธอก็ปรากฏตัวที่หน้าประตู
เธอไม่ได้เคาะประตู ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนอย่างนั้น อยู่ตรงทำนบของแม่น้ำข้างๆ เรือ เหมือนกับเป็นวิญญาณที่ลอยอยู่
เขาเห็นเธอจากหน้าต่างเรือ แสงไฟจากบ้านเรือส่องสว่างไปที่ใบหน้าเธอ เขามองเห็นลมหายใจที่เป็นไอสีขาวเธอ
คืนนั้นอากาศหนาวมาก
เธอยืนอยู่ตรงนั้นทั้งคืน ทั้งใบหน้าและดวงตาคู่นั้นยังคงไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมา แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดและความรู้สึกไร้ที่พึ่งของเธอ
เขามองเธอผ่านหน้าต่าง ยังลังเลและไม่แน่ใจ รอให้เธอยอมแพ้และจากไป
แต่เธอไม่…
ฝนยังตกอยู่ เขาเปิดประตูออก
เธอต้องการงานทำ เขาก็ให้งานเธอทำ
เขาไม่เคยถามเธอว่าทำไมเธอถึงออกจากเรดอาย
เขารู้ว่าเพราะอะไร ในตอนนั้นเธอไม่อาจใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้ แล้วก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนปกติได้ ยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่อาจรู้สึกว่าเป็นหนึ่งเดียวกับเรดอายหรือพวกคุณอาเกิ่งได้
เธอรู้สึกแปลกแยกกับความอบอุ่นและครึกครื้นของครอบครัวใหญ่ ไม่ใช่ว่าเพราะคนพวกนั้นไม่ยอมรับเธอ แต่เธอสูญเสียความรู้สึกของคนทั่วไป
เป็นนักฆ่าของแบล็กแชโดว์จะต้องเลือดเย็นไร้และความรู้สึก
นักฆ่าของแบล็กแชโดว์เป็นเพียงหมาก เป็นเพียงเครื่องมือที่ไม่จำเป็นต้องมีความคิดของตัวเอง แค่รับฟังคำสั่งเท่านั้น
องค์กรนักฆ่าล้างสมองเธอ แม้ว่าเธอจะหลุดจากการควบคุมแล้ว แต่เธอก็ไม่อาจจะเรียกความรู้สึกและอารมณ์กลับคืนมาได้
บางครั้งการเอาใจใส่ที่มากเกินไปกลับกลายเป็นที่มาของแรงกดดัน สิ่งแวดล้อมดีๆ กลับทำให้คนเจ็บปวดมากขึ้น
แม้จะไม่ใช่สิ่งที่เธออยากจะทำ แต่ความจริงก็คือมือทั้งสองข้างของเธอเปื้อนเลือด ยิ่งเธอมีความรู้สึกชัดเจนขึ้น ยิ่งเข้าใจว่าตัวเองเคยทำอะไรมาบ้าง เธอยิ่งไม่อาจอยู่ในที่สว่างและมีความสุขได้
แสงยิ่งสว่าง เงาก็ยิ่งชัด สว่างมากก็ยิ่งรู้สึกแปดเปื้อนมาก
‘ฉันไม่ใช่นักฆ่า ฉันคือฮั่วเซียง’
เธอพูดแบบนี้
ไม่แสดงความรู้สึก ไม่ได้แปลว่าเธอไม่ได้รู้สึกจริงๆ
เธอรู้ตัวดีว่าตัวเองทำอะไร เคยทำอะไร เธอไม่ได้แสดงออกมาไม่ได้แปลว่าเธอไม่รู้สึกเจ็บปวด
เธอไม่มีที่ไปถึงได้มาหาเขา
เขาให้งานเธอทำ ให้เธอเป็นผู้ช่วย ช่วยเขาทำงานต่างๆ
เธอตั้งอกตั้งใจเรียนรู้ เธอทำมันได้ดีด้วย จากที่แม้แต่เครื่องซักผ้าก็ยังใช้ไม่เป็น เขายังจำได้ว่าเธอหอบเสื้อผ้ามายืนอยู่หน้าเครื่องซักผ้าแล้วจ้องมองอยู่นานมาก
เมื่อเขาสอนเธอใช้เครื่องซักผ้าแล้วเธอก็เหมือนกับแมวที่นั่งจ้องมองเสื้อผ้าในเครื่องที่หมุนไปมาอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับไปไหน
เธอค่อยๆ เรียนรู้จากเรื่องทั่วไป เรียนรู้ที่จะพูดคุยกับคนอื่น แม้ว่าส่วนใหญ่เธอจะมีสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ก็มีบางครั้งที่เธอก็ยังแสดงอารมณ์ออกมาบ้าง
รอยยิ้มเล็กๆ…ขมวดคิ้วน้อยๆ…ถอนหายใจอย่างโล่งอกเบาๆ…
เมื่อเวลาผ่านไปในที่สุดเธอก็สามารถแสดงอารมณ์ออกมาได้ และมันทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่เขาเห็น ทุกครั้งที่เขาเจอ
เธอพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ พยายามมากกว่าใครทั้งหมด แต่ไอ้สารเลวหานอู่ฉีกลับมาหาเธอถึงที่!
…
เขาลืมตาขึ้น มองท้องฟ้าสีครามไร้ขอบเขตนอกหน้าต่าง
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเธออยากจะจากไปเอง
เธอรู้แล้วว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร เธอเข้าใจการแสดงอารมณ์ สำหรับเธอ เรดอายเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเขา เธอไม่ใช่นักฆ่าแล้ว ด้วยฝีมือของเธอทำให้เธอสามารถรับหน้าที่ตรวจสอบคดีของเรดอายได้สบายๆ
เขาทึกทักเองว่าเธอจะมีชีวิตที่ดีกว่าหากอยู่กับเรดอาย เขาคิดเอาเองว่านี่คือสิ่งที่เธอเลือกแล้ว
แต่ไม่ใช่…
เธอไม่ได้อยากจะกลับไปเรดอาย เธอถูกตามกลับไป
เมื่อเขาคิดทบทวนถึงได้รู้ว่าเพราะอะไรหานอู่ฉีถึงต้องการเธอ
ผ่านมาตั้งหลายปีไอ้สารเลวนั่นเพิ่งจะมาตามหาเธอ คนแซ่หานต้องการให้เธอทำอะไรบางอย่างซึ่งมีแต่เธอเท่านั้นที่ทำได้
มันต้องการให้เธอกลับมาเป็นนักฆ่าอีกครั้ง
‘เลเวลหนึ่ง เขตเจ็ด ซีกโลกใต้’
‘นักล่าหมายเลขห้า ไม่มีการเต้นของหัวใจและลมหายใจ โปรดหยุดการลงเงินเดิมพัน’
เสียงที่ดังขึ้นในครั้งแรกไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้เล่นทั้งหลาย นี่เป็นเพียงเกมในเลเวลที่หนึ่ง เลเวลต่ำสุด เครื่องมืออุปกรณ์ของนักล่าและเหยื่อมีไม่มาก แม้ว่ากล้องวงจรปิดกับเครื่องดักฟังจะมีภาพและเสียงที่ชัดเจน แต่ไม่ได้ติดตามตัว มีเพียงผู้เล่นระดับต้นที่ให้ความสนใจเกมเลเวลต่ำๆ แบบนี้
ต่อให้คนที่ตายจะเป็นนักล่าก็ตาม
เมื่อถึงที่สุดแล้วแม้แต่กระต่ายน้อยก็ยังหันกลับมาสู้กับสิงโต เหยื่อที่อ่อนแอจะฆ่านักล่าตาย แม้ไม่น่าเป็นไปได้แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น
ดังนั้นเมื่อนักล่าหมายเลขห้าถูกกำจัดไปจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้เล่นเท่าไหร่นัก แต่อีกห้านาทีถัดมามีข้อความขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ผู้เล่นที่วางเงินเดิมพันในเขตเจ็ดงุนงงไปตามๆ กัน รีบเข้าไปในระบบเพื่อดูสถานการณ์
‘นักล่าหมายเลขหกสิบสาม ไม่มีการเต้นของหัวใจและลมหายใจ โปรดหยุดการลงเงินเดิมพัน’
‘นักล่าหมายเลขสิบเจ็ด ไม่มีการเต้นของหัวใจและลมหายใจ โปรดหยุดการลงเงินเดิมพัน’
‘นักล่าหมายเลขเก้าสิบแปด ไม่มีการเต้นของหัวใจและลมหายใจ โปรดหยุดการลงเงินเดิมพัน’
บนหน้าจอแสดงใบหน้าของนักล่าพร้อมมีเส้นสีแดงขีดฆ่าหมายถึงเสียชีวิตแล้วขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วจนน่าตกใจ
เมื่อยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนหน้าในเขตเจ็ดยังมีนักล่าถึงสิบสามคน โดยมีเหยื่อเหลือเพียงหกคนเท่านั้น ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแปดชั่วโมง เหยื่อหกคนรอดชีวิตเพียงหนึ่งคน นักล่าสิบสามคนเหลือรอดแปดคน และระยะเวลาเพียงสิบนาที เหยื่อที่มีชีวิตรอดเพียงคนเดียวสามารถจัดการนักล่าไปได้อีกสี่คน เพียงแค่ชั่วพริบตาต่อมาก็จัดการไปได้อีกสองคน
ในขณะที่ยังไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น นักล่าบนกระดานถูกยกเลิกทั้งหมด บนหน้าจอมีอักษรตัวใหญ่ขึ้นมาเป็นคำว่า
‘เกมโอเวอร์’
ต่อจากนั้นก็มีตัวหนังสือวิ่งตามมาว่า
‘เลเวลหนึ่ง เขตเจ็ด ซีกโลกใต้ เกมได้จบลงแล้ว’
‘ผู้ชนะคือเหยื่อหมายเลขสิบสอง พี.เอช.’
ผู้เล่นจากทั่วโลกต่างพากันดึงภาพขึ้นมาดู กล้องจับภาพส่วนใหญ่ใช้การไม่ได้ แต่ยังพอจะหลงเหลืออยู่บ้าง หมู่บ้านในเหมืองถ่านหินกำลังถูกเผา มีเปลวเพลิงเต็มไปหมดทุกที่ แต่ท่ามกลางเพลิงที่กำลังลุกไหม้มีภาพของคนคนหนึ่งอยู่
เจ้าหน้าที่ควบคุมกล้องวงจรปิดบังคับกล้อง ดึงภาพให้เข้ามาใกล้ เห็นภาพของผู้หญิงที่มีเส้นผมและดวงตาสีดำยืนอยู่บนถนน ภาพตอนนี้ขยายใหญ่ขึ้น ดึงภาพใบหน้าของเธอเข้ามาใกล้กว่าเดิม เป็นภาพขนาดใหญ่ของผู้หญิงที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด
ราวกลับรู้สึกได้ถึงกล้องจับภาพ ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าจ้องมองอย่างไร้ความรู้สึก ยกปืนในมือระเบิดกล้องวงจรปิดซึ่งห่างออกไปไกลมาก
กระสุนนัดนั้นทำให้เกิดเสียงร้องตกใจของใครหลายคน แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่หัวเราะออกมา นั่นก็แสดงว่า ‘เธอ’ รู้สึกถึงกล้องที่ซ่อนอยู่
เกิดความปั่นป่วนกับผู้เล่นจากทั่วโลก ต่างพากันดึงภาพจากเลเวลหนึ่งในเขตเจ็ดขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น และมีทิ้งข้อความเพื่อขอเข้าเดิมพันในเลเวลสองของเขตเจ็ดอย่างต่อเนื่อง
ผู้หญิงคนนี้สามารถปลิดชีพนักล่าเขตเจ็ดทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียว เป็นม้ามืดที่หาตัวจับยาก!
ดังนั้นผู้เล่นที่ออนไลน์อยู่ต่างอยากรู้ว่าเธอเป็นใคร และเมื่อไหร่เกมเลเวลสองของเขตเจ็ดจะเริ่มขึ้น หน้าจอของเกมมีประกาศขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพื่อยืนยันขั้นตอนการเล่นใหม่และเปิดกระดานเดิมพัน เลเวลสองของเขตเจ็ด
ข้อมูลในฐานะนักข่าวขุดคุ้ยคดีของเธอ รวมทั้งฝีมือที่เฉียบขาดในเลเวลหนึ่งของเขตเจ็ด ถูกตัดต่อเป็นโฆษณาที่น่าสนใจ พร้อมกับดนตรีเร้าใจ ฉายบนหน้าจออย่างต่อเนื่อง
การปรากฏตัวของเธอทำให้ผู้เล่นเกมนักล่าทั้งหลายครึกครื้นขึ้นมา
เงินเดิมพันเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตามการประกาศสถานะของนักล่าและเหยื่อ
เมื่อยอดตัวเลขสูงทะลุห้าสิบล้านดอลลาร์ก็เป็นเวลาเดียวกันกับชายที่กำลังชื่นชมแสงไฟระยิบระยับยามค่ำคืนในตึกระฟ้าทางซีกโลกเหนือได้รับข้อความ
เขาหันหลังเดินกลับมาที่โต๊ะ กดเบาๆ ไปบนภาพสวิตช์ที่ปรากฏขึ้นบนกระจกโต๊ะทำงาน
ต่อมาลำแสงสีต่างๆ ก็พุ่งออกมาจากโต๊ะไปที่ผนังสีดำ ทำให้เกิดภาพบนผนังอย่างชัดเจน เมื่อเขามองรูปร่างหน้าตาของผู้หญิงคนนั้น กระดานพนันก็ได้เริ่มขึ้น ยังมีตัวเลขเงินเดิมพันที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างบ้าคลั่ง และแน่นอนว่าเขาไม่มีทางพลาดโฆษณาชิ้นสำคัญนั่นด้วย
ผู้หญิงคนนั้นฝีมือดีมาก ดีจนเกินไปด้วยซ้ำ
เขาได้เห็นข้อมูลที่เกี่ยวกับเธออย่างละเอียด สถานที่เกิดของเธอ พ่อแม่เธอ โรงเรียนที่เธอเรียนมา งานที่เธอทำ ส่วนสูง น้ำหนัก สิ่งที่เธอชื่นชอบ ที่อยู่ของเธอในปัจจุบัน แม้กระทั่งภาษีที่เธอจ่ายอยู่ทุกปี ยังมีตัวเลขในบัญชีธนาคาร รวมถึงข้อมูลการใช้จ่ายเงินตั้งแต่เธอเกิดจนกระทั่งเธอกลายเป็น พี.เอช. ข้อมูลต่างๆ ที่เธอเปิดโปงทางอินเตอร์เน็ตก็ปรากฏขึ้นมาด้วย
ผู้หญิงคนนี้น่าสนใจมาก น่าสนใจมากจริงๆ
ขณะมองหญิงสาวที่เข้าไปในเหมืองถ่านหินร้างตามลำพัง ชายคนนั้นกดปุ่มแล้วออกคำสั่งเบาๆ ว่า
“ล้มเธอซะ”
หลังอากาศยานไร้คนขับรับคำสั่งก็ข้ามยอดเขาบินไปที่หมู่บ้านเล็กๆ นั่น เล็งปืนและยิงไปที่ผู้หญิงคนนั้น
หญิงสาวล้มลงกับพื้น
หลอดไฟตรงมุมบันไดติดๆ ดับๆ
หานอู่ฉีไม่ได้สนใจมอง เขาเดินตรงขึ้นไปบนชั้นห้า มือข้างหนึ่งบีบนวดต้นคอที่เมื่อยล้าพลางอ้าปากหาว เขาไม่ได้นอนหลับมานานกว่าสามสิบหกชั่วโมงแล้ว เขารู้ว่าถึงเวลาที่เขาควรจะนอนพักได้แล้ว
เมื่อมาถึงหน้าประตูห้อง เขาเปิดประตูเข้าไป วางมือถือลงบนโต๊ะน้ำชาในความมืด เทน้ำใส่แก้ว แล้วก็แอบถอนหายใจเบาๆ
ในห้องนอนเงียบสงบ แสงจากนอกหน้าต่างเข้ามาเล็กน้อยทำให้เห็นเฟอร์นิเจอร์ในห้องรับแขกได้รางๆ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หานอู่ฉีรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
เขารู้ดี ถ้าหมอนั่นไม่อยากให้เขารับรู้ เขาก็คงไม่อาจรับรู้การมีตัวตนของหมอนั่นได้
ในขณะที่ผลักประตูเข้ามา เขาก็พบ…หรือควรจะพูดว่ารู้สึก…ถึงสายตาคมกริบที่จ้องมองเขาราวกับมีมีดวางอยู่ต้นคอเขา
เขายังไม่ได้ดื่มน้ำแม้แต่คำเดียวก็มีคนก็มาหาถึงบ้านแล้ว เขาว่าเขาคงไม่ต้องคิดถึงสองชั่วโมงที่จะได้นอนแล้ว
หานอู่ฉีถือแก้วน้ำ หันตัวกลับมาอย่างช้าๆ มองเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวในเงามืด
ชายหนุ่มยังนั่งนิ่งราวกับรูปปั้น แต่กลับมีไอเย็นออกมาจนเขาขนลุก
“เธออยู่ที่ไหน”
“ใคร” หานอู่ฉีเลิกคิ้วแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
ชายหนุ่มยังคงนั่งอยู่ แต่รังสีอำมหิตกลับพลุ่งพล่าน
“เธออยู่ที่ไหน”
หานอู่ฉีถือแก้วน้ำแล้วนั่งพิงฉากที่กั้นบนโต๊ะ ยกแก้วขึ้นดื่มน้ำ แกล้งพูดว่า “พูดจริงๆ นะอาวั่น นายจะไม่พูดให้ชัดเจนหน่อยเหรอไง ฉันจะรู้ได้ยังไงว่านายตามหาใคร จะว่าไปนายเข้ามาได้ยังไงน่ะ ฉันคิดว่าอาเจิ้นจะยกระดับระบบรักษาความปลอดภัย…”
ยังไม่ทันที่หานอู่ฉีจะพูดจบ ชายคนนั้นก็พุ่งมาหาเขาอย่างกับวัวบ้า กระชากคอเสื้อเขาลากออกจากห้อง อัดเขากระแทกผนังทางเดินอย่างแรง
“นายรู้ว่าฉันพูดถึงใคร! เธออยู่ที่ไหน!”
หานอู่ฉีจ้องมองชายหนุ่มที่กำลังโมโหจนแทบกระชากเสื้อเขาขาด เขาไม่ได้คิดจะต่อต้าน มองเห็นเข่อเฟยที่สวมชุดนอนวิ่งออกมาดู เขายกมุมปากขึ้นพร้อมพูดว่า “อ๋อ นายหมายถึงผู้ช่วยแสนเก่งกาจของนายใช่ไหม ผ่านมาตั้งนานแล้ว ฉันคิดว่านายไม่สนใจแล้วเสียอีก เสี่ยวเฝย ฮั่วเซียงจากอาวั่นมาหาพวกเรานานแค่ไหน สิบวัน ยี่สิบวัน หรือสามสิบวันแล้ว”
ถึงแม้จะอดแกล้งแซวไม่ได้ แต่เพื่อไม่ให้อาวั่นยิ่งคลั่งเข้าไปใหญ่ เขาจึงเอ่ยปากเตือนชายหนุ่มว่ายังมีคนอื่นอยู่ด้วย
ส่วนเสี่ยวเฝยหรือเข่อเฟยเมื่อเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ตอบแบบไม่คิดอะไร
“ฮั่วเซียงน่ะเหรอ สามสิบแปดวันแล้วล่ะ”
เมื่อพูดออกไปแล้วเธอถึงรู้สึกว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่ค่อยปกตินัก เห็นอาวั่นถลึงตามองเธออย่างโกรธๆ กระชากเสื้อคลุมของหานอู่ฉีแล้วผลักเจ้าตัวไปกระแทกผนังอีกครั้ง ทำให้เธอคิดขึ้นได้ว่าหัวหน้าตัวแสบของตนทำเรื่องอะไรไว้ จึงรีบหัวเราะกลบเกลื่อน “เอ่อ…ฮะๆ…อาวั่น ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ดูเหมือนโทรศัพท์จะดัง ฉันไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ พวกคุณค่อยๆ คุยกันนะ”
เข่อเฟยหัวเราะพลางเดินออกไป เปิดประตูห้องตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วผลุบหายเข้าไป
หานอู่ฉีเห็นแบบนั้นก็แอบขำตัวเองอยู่ในใจ ควรจะรู้ดีว่าอย่าคาดหวังให้เสี่ยวเฝยอยู่ช่วยเขา
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเขาก็เลยคิดว่าต้องทำต่อไปให้สุด พูดต่อไปว่า
“จะว่าไปแล้วนายสนใจอะไร นี่มันสามสิบกว่าวันเข้าไปแล้ว นายเพิ่งคิดจะมาหาเธอตอนนี้ ไม่ช้าไปหน่อยเหรอ”
ทันทีที่ได้ยิน แววตาของอาวั่นก็เหมือนมีประกายไฟแวบขึ้นมา ปล่อยหมัดออกไปทีเดียวก็หยุดรอยยิ้มของไอ้สารเลวตรงหน้าได้
“เฮ้ย!” หานอู่ฉีไม่คิดว่าหมอนี่จะลงมือจริงๆ เขาเอามือกดห้ามเลือดที่จมูก สบถออกมา
อาวั่นกระชากเสื้อคลุมอีกฝ่าย จ้องมองอย่างโกรธแค้น “ที่ผ่านมาฉันคิดว่าต่อให้นายจะไม่ละอายใจหรือต่ำทรามแค่ไหนก็จะไม่ล้ำเส้น…”
“เธอยินดีมากับฉันเองนะ ฉันแค่ให้เธอช่วยงานบางอย่างที่เธอถนัด”
ประโยคนี้ไม่พูดก็แล้วไป พูดออกมาแล้วเหมือนยิ่งเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก
“งานถนัด? เธอถนัดงานอะไร”
อีกหมัดหนึ่งถูกเหวี่ยงออกมา โชคดีที่หานอู่ฉีรู้ตัวก่อนจึงยกมือขึ้นรับได้ทัน สะบัดตัวให้หลุดจากอาวั่นได้ แต่ชายหนุ่มเพิ่มความเร็วในการต่อสู้ เขาจึงต้องรับทั้งซ้ายและขวา แอบร้องด้วยความเจ็บปวด
บ้าเอ๊ย! นี่ไม่ใช่วัวกระทิงของเรดอาย แต่เป็นหัวรถจักรที่บ้าคลั่งต่างหาก!
ทันทีที่ความคิดนี้เพิ่งผ่านไป หานอู่ฉีก็โดนอีกหมัดชกเข้าที่หน้าอกขวาอย่างแรง แม้ว่าเขาจะใช้แขนไขว้กันและย่อเข่าเพื่อรับแรงไว้ได้ทัน แต่หมัดนั้นยังทำให้สองเท้าเขาไม่ติดพื้น ตัวลอยกระแทกกับผนังปูนข้างบันได ร่วงตกลงมาอย่างแรง
“ไอ้เวรเอ๊ย! นี่เอาจริงใช่ไหม!”
แม้ว่าหัวเขาจะแข็ง แต่ต้องกระแทกเข้ากับผนังปูนก็ยังรู้สึกมึงงงไปชั่วขณะ หน้าอกด้านขวาก็ยังเจ็บแปลบ ยังไม่ทันตั้งสติได้ก็ได้ยินเสียงเจ้าบ้านั่นตะคอกถามขึ้น
“นายคิดว่าเธออยากทำงานถนัดแบบนั้นเหรอ! นายรู้ไหมว่าเธอต้องพยายามแค่ไหนถึงจะมีชีวิตอยู่ได้ นายก็รู้เธอต้องทุกข์ทรมานเพราะเรื่องนี้มากขนาดไหน เธอไม่แสดงออกไม่ได้แปลว่าเธอเลือดเย็นไร้ความรู้สึก! หลายปีนี้เธอไม่อาจจะนอนหลับได้สนิท ต้องตกใจตื่นเพราะฝันร้าย มันเหมือนเป็นวิญญาณที่เกาะติดเธอไม่ยอมปล่อย เธอก้าวออกมาด้วยความยากลำบาก แต่นายก็มาลากเธอกลับเข้าไปอีก!”
ทุกประโยคของคำพูดยืดยาวนี้จะตามด้วยหนึ่งหมัด รวดเร็วจนหานอู่ฉีไม่มีโอกาสจะแก้ต่าง ทำได้แค่พยายามตั้งรับ พยายามหลบหลีก แต่ใครจะไปคิดว่าอาวั่นจะยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
เห็นเขาพุ่งเข้ามาอีกด้วยดวงตาแดงก่ำ หานอู่ฉีกัดฟันทนต่อความเจ็บปวด รับหมัดขวาเสยอีกที แล้วเอียงตัวอย่างรวดเร็วพร้อมรับหมัดซ้ายที่หมอนั่นเหวี่ยงมาไว้ได้ ย่อตัวให้ต่ำลง ใช้ไหล่กระแทกให้เขาผละออกไป แต่โชคไม่ดี มือเท้าของอาวั่นยาวมาก ตอนที่เขาถูกกระแทกออกนั้นขาของเขากระแทกโดนกระจกห้องเข่อเฟยกับถูเจิ้นจนแตกเสียงดังลั่น แม้กระทั่งผนังห้องก็พังลงมาด้วย
เข่อเฟยที่แอบอยู่ในห้องร้องขึ้นด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดจะออกมาช่วยแม้แต่นิดเดียว กลับกอดโทรศัพท์หลบมุมอยู่ แล้วรายงานสถานการณ์ให้กับคนในสายฟังต่อ
ความเสียหายตรงหน้าทำให้หานอู่ฉีถึงกลับโกรธจนหน้าเขียว แต่ก็ไม่ลืมข้อกล่าวหาที่ร้ายกาจนั่น
หานอู่ฉีมองชายหนุ่มที่ลุกขึ้นมาจากกองเศษกระจกที่แตกอยู่บนพื้น เขารีบถอยหลังหลบอย่างรวดเร็ว ออกมาอยู่ในระยะที่ปลอดภัย แล้วรีบยกมือขึ้นร้องเสียงดัง
“เดี๋ยวนะ นี่นายคิดว่าฉันให้เธอช่วยทำอะไรฮะ”
อาวั่นจ้องมองเขาอย่างโมโห สองมือกำหมัดแน่น โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เธอออกมาจากองค์กรนักฆ่านั่นก็เพราะไม่ต้องการทำเรื่องพวกนั้น แต่เธอคิดว่าติดหนี้บุญคุณเรดอาย ติดหนี้บุญคุณนาย ถึงแม้เธอจะไม่อยากทำ เธอก็ไม่อาจปฏิเสธคำขอร้องของนายได้”
คำพูดนี้ทำให้หานอู่ฉีหมดอารมณ์ล้อเล่น
“นายคิดว่าฉันให้เธอช่วยทำอะไร ฆ่าคนรึไง ”
อาวั่นหรี่ตามอง ถามกลับด้วยอารมณ์เอาเรื่อง “นายกล้าพูดว่าไม่ใช่”
“ไม่ใช่”
หานอู่ฉีมีสีหน้านิ่ง หลังสบถด่าออกมาแล้วจึงเอ่ยไปว่า “ฉันไปหาเธอเพราะต้องการความช่วยเหลือ ฉันต้องการคนแฝงตัวเข้าไปในเกมนักล่าเวรนั่น”
ได้ยินเข้าอาวั่นก็นิ่งงัน “เกมนักล่าอะไร”
“เกมที่เอาคนจริงๆ ไปเป็นเหยื่อให้ล่าน่ะสิ”
คำพูดนี้หานอู่ฉีไม่ได้ตอบ อาวั่นหันขวับไปตามเสียง มองถูเจิ้นที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ชายหนุ่มผมทองนัยน์ตาฟ้ายังคงหล่อเหลาเหมือนเมื่อห้าปีก่อน แม้ว่าทางเดินจะเละเทะ ข้าวของแตกกระจัดกระจาย แต่เขายังคงสงบนิ่ง
“นายก็รู้ว่าอาเหล่ยมีพี่น้องฝาแฝดชื่ออากวง”
อาวั่นย่อมต้องรู้สิ เขากับมั่วเหล่ยทำงานด้วยกันมา รู้ว่าหมอนั่นมีพี่น้องฝาแฝดที่ตกทะเลหายสาบสูญไป
ถูเจิ้นมองดูเขาแล้วพูดว่า “อากวงก็อยู่ในเกมนั่นด้วย”
เมื่อเห็นถูเจิ้นปรากฏตัวขึ้น เข่อเฟยจึงยื่นหน้าออกมา รีบเดินอ้อมพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว มายืนอยู่ข้างถูเจิ้นพร้อมกับพูดเสริมต่อว่า “จริงๆ นะ ฮั่วเซียงรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วก็รับปากจะช่วยพวกเรา”
อาวั่นขมวดคิ้ว เห็นเพียงหนุ่มผมทองหล่อเหลามองหน้าเขา ถูเจิ้นไม่พูดอะไรเยิ่นเย้อ บอกคำตอบที่ทำให้เขาต้องดั้นด้นมาถึงที่นี่
“เธออยู่ที่ออสเตรเลีย”
ต่อมาถูเจิ้นก็พยักเพยิดไปทางบันได พูดสั้นกระชับว่า “ถ้านายอยากรู้รายละเอียด ลงไปข้างล่าง ฉันจะอธิบายให้ฟัง”
เกมวิปริตเวรตะไลนั่น!
ถูเจิ้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เขารับรู้อย่างง่ายและกระชับ
เกมนั่นก็เป็นอย่างที่พวกเขาพูด คือเอาคนธรรมดาไปเป็นเหยื่อ เอาฆาตกรต่อเนื่องจากทั่วโลกไปเป็นนักล่า นี่คืออาชญากรข้ามชาติ แต่เพราะเจ้ามือกับผู้เล่นล้วนเป็นคนที่มีทั้งอำนาจและอิทธิพลจึงสามารถกลบเกลื่อนหลักฐานได้ ถึงตอนนี้จึงไม่มีข้อมูลเล็ดลอดออกมา
เหล่าคนที่หายสาบสูญไปมีหลายคนที่ไม่ได้หายสาบสูญจริงๆ แต่ถูกลักพาตัวไป
ตอนที่มั่วกวงหายสาบสูญไปนั้น ทุกคนพากันคิดว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงเข้าไปอยู่ในเกมนี้ได้ แต่ภาพถ่ายตรงหน้าที่พวกเขาหามาได้ในฝรั่งเศสพิสูจน์ว่าก่อนหน้านี้มั่วกวงอยู่ในเกมจริงๆ ถึงแม้จะไม่มีอะไรมายืนยันได้ว่าตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ แต่เรื่องจริงก็คือเกมนักล่ายังคงมีอยู่
“ก่อนหน้านี้เราหาคนที่รอดชีวิตหนีออกมาคนหนึ่ง เธอช่วยพวกเราค้นหาสนามล่าบางแห่งเจอ ผู้เล่นกับสนามล่ากระจายตัวอยู่ทั่วโลก เราจับผู้เล่นได้คนหนึ่งและทำลายสนามล่าไปหลายแห่ง แต่เพราะเหตุนี้ฝ่ายนั้นจึงรู้ว่ามีเรดอายอยู่ ฝ่ายนั้นส่งนักล่าออกมาก่อกวนพวกเรา แต่ก็โดนพวกเราจับตัวไว้ แม้ว่าพวกมันจะรู้ข้อมูลไม่มากนัก แต่ก็ทำให้พวกเรารู้ว่าจะเข้าไปในเกมนี้ได้อย่างไร”
ถูเจิ้นอธิบายไปพร้อมกับที่อาวั่นเปิดอ่านข้อมูลในแฟ้ม
“องค์กรนี้มีขนาดใหญ่มาก เกรงว่าคนที่สร้างเกมนี้ขึ้นมาไม่ได้หวังเงินเพียงอย่างเดียว พวกมันเคยลักพาตัวนักวิทยาศาสตร์ไปหลายคน นายยังจำเกาอี้ได้ไหม นักวิทยาศาสตร์ที่ปรึกษาของเราที่อาศัยอยู่บนเขา”
อาวั่นรู้จักเกาอี้ หมอนั่นนิสัยดื้อรั้นจัดการยาก ตอนที่เขายังทำงานกับเรดอายนั้นเคยไปส่งของให้เกาอี้หลายครั้ง เขารู้ดีว่าทำไมเกาอี้ถึงอาศัยอยู่บนเขาเพียงลำพัง เป็นเพราะตอนวัยรุ่นหมอนั่นเคยโดน…
อาวั่นอึ้งไป เงยหน้าขึ้นอย่านึกไม่ถึง
“เขาเคยเป็นเหยื่อรึ”
“ถูกต้อง” หานอู่ฉีเดินเข้ามาพูดต่อว่า “เขาเคยเป็นเหยื่อ เป็นเพราะได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรงจึงทำให้เขาสูญเสียความทรงจำช่วงนั้นไป ไม่นานมานี้พวกเราถึงได้รู้ว่าเขาเป็นหนึ่งให้ผู้เสียหายช่วงแรกของเกมนี้ นั่นก็แปลว่าคนที่สร้างเกมนี้ขึ้นมาไม่ได้ทำแค่เพื่อความสนุก สะใจ หรือแค่หาเงินได้เท่านั้น”
ได้ยินเสียงหานอู่ฉีที่เขาเกลียดขี้หน้า แต่ก็ยังยอมหันหน้ากลับไปมอง
หานอู่ฉีฉลาดพอที่จะหยุดอยู่ในระยะที่ปลอดภัย มองมาที่อาวั่นแล้วเอ่ยขึ้น “พวกมันทำงานเป็นระบบ มีการวางแผน หน่วยงานใหญ่ ไม่สามารถตรวจสอบช่องทางการเงินได้ พวกเราติดตามพวกมันมาปีกว่าแล้ว แต่เบาะแสที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ ฉันต้องการเอาคนเข้าไปในเกมนี้ แต่ไม่อาจใช้คนของเรดอายได้ ดังนั้นฉันเลยไปหาฮั่วเซียง”
หานอู่ฉีดึงเก้าอี้ออกมานั่งพร้อมกับพูดต่อ
“ไม่ว่าอากวงจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่สมควรควรจะมีเกมนี้ต่อไป คนที่หายตัวไปนั้น คนที่กลายเป็นเหยื่อ ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ในความหวาดกลัว ถูกไล่ล่า ถูกตามฆ่า”
“ต้องยุติเกมนรกนั่น” หานอู่ฉีมองชายหนุ่มที่ทำสีหน้าเย็นชาพร้อมพูดว่า “ถูกต้อง ฉันยอมรับที่ฉันไปหาฮั่วเซียงเพราะเธอได้รับการฝึกพิเศษมา มีเพียงฮั่วเซียงเท่านั้นถึงสามารถมีชีวิตในสภาพแวดล้อมแบบนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมแบบไหนเธอก็รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร รู้ว่าจะต้องดูแลตัวเองอย่างไร”
ถึงแม้อาวั่นไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ก็อดโมโหไม่ได้เช่นกัน เขาโยนแฟ้มคดีไปตรงหน้าหานอู่ฉี
“ดังนั้นนายเลยสร้างตัวตนของ พี.เอช. ขึ้นมา โยนฮั่วเซียงเข้าไปในเกมนั่น ให้กลายเป็นเหยื่อ”
“พวกเราหาไอ้พวกวิปริตนั่นไม่เจอ จึงทำได้แต่เพียงให้พวกมันเดินมาหาเราเอง ตัวตนของ พี.เอช. ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีก่อน ตอนที่พวกเรารู้ว่ามีเกมนี้อยู่ อาเจิ้นก็เริ่มสร้างตัวตนนี้ขึ้นมา ผู้เล่นที่ร่วมเล่นเกมนี้เป็นพวกวิปริตทั้งนั้น วิธีที่พวกมันเลือกเหยื่อดูเผินๆ เป็นการสุ่ม แต่จริงๆ แล้วพวกมันใช้เกมนี้จัดการเสี้ยนหนาม เอาศัตรูหรือคนที่ขวางหูขวางตา ลักพาตัวแล้วมาโยนเข้าไปในเกม ดังนั้นอาเจิ้นจึงสร้าง พี.เอช. นักข่าวสืบสวนสอบสวนที่สอดมือเข้าไปเปิดโปงเรื่องทั้งทางการเมืองและธุรกิจ”
หานอู่ฉีพูดๆ ไปก็ถอนหายใจอีก แสดงท่าทีเหมือนโดนกล่าวหา “ตอนแรกฉันไม่ได้คิดจะให้ฮั่วเซียงมาเป็น พี.เอช. เดิมฉันจะไปหานาย แต่ตอนที่ไปถึงลอนดอน นายไม่อยู่ แล้วพอฮั่วเซียงรู้ว่าฉันจะมาหานาย เธอเลยโน้มน้าวว่าเธอเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า”
คำพูดนี้ทำเอาอาวั่นนิ่งงัน
“เธอโน้มน้าวนาย?”
“ผู้หญิงดูคุกคามและน่ากลัวน้อยกว่าผู้ชาย ทำให้คนไม่ค่อยระวังตัว เทียบกับนายที่ทำงานกับเรดอายมาหลายปีแล้วยังเปิดสำนักงานนักสืบเอกชนในลอนดอนอีก เธอเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ไม่มีใครรู้จักเธอ” หานอู่ฉียกมือทั้งสองแบออกแบบไม่มีทางเลือก พูดต่อว่า “แล้วฉันก็พบว่าเธอพูดถูก เธอได้รับการฝึก เธอรู้ว่าว่าจะดูแลตัวเองอย่างไร เธอรู้ว่าจะเอาชีวิตรอดในป่าได้ยังไง เธอไม่เคยถูกเปิดเผยตัว เธอรู้ว่าเธอจะรับมือฆาตกรพวกนั้นยังไง”
เขาถลึงตามองหานอู่ฉีอย่างไม่เชื่อสายตา “นายจะบอกฉันว่าฮั่วเซียงว่างมากไม่มีอะไรจะทำ ก็เลยโดดลงหาเรื่องใส่ตัวเองงั้นรึ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” หานอู่ฉีวางมือประสานกันไว้ด้านหน้า มองชายหนุ่มที่เปิดเผยความรู้สึกแท้จริงออกมา “ถ้าเลือกได้แล้วล่ะก็ ฉันไม่อยากให้เธอมายุ่งเรื่องนี้ แต่หากจะยุติเกมวิปริตนั่น เราต้องรู้ให้ได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเกมนี้ต้องการอะไรกันแน่ ฉันต้องการคนที่มีความสามารถ นายจะโทษฉันที่ลากเธอเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ก็ได้ แต่ถ้าเธอไม่ยินยอม ฉันก็ไม่ได้บังคับ เธอมีปัญหาของตัวเองที่จะต้องเผชิญหน้า ฉันว่านายก็รู้อยู่แก่ใจว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้ พวกเรารู้ว่าเธออยู่ในเรือนั่น ทำงานต่างๆ แทนนาย จัดการบัญชี…เรื่องพวกนี้มันไม่พอหรอก สำหรับเธอแล้วมันไม่พอ”
ประโยคนี้ทำให้อาวั่นขบกรามแน่น
บ้าเอ๊ย! เขารู้ว่าสิ่งที่ชายคนนี้พูดไม่ผิด แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ดี
หลังพยายามระงับอารมณ์โกรธอาวั่นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นายพูดว่านายไม่ได้ให้ฮั่วเซียงเป็นนักฆ่า แต่อยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นยังไงเธอก็ต้องลงมือเพื่อรักษาตัวให้รอด”
“ฉันรู้” หานอู่ฉีสูดลมหายใจลึก “มีแต่เธอเท่านั้น ในสถานการณ์แบบนั้นมีแต่ฮั่วเซียงถึงสามารถช่วยคนที่ถูกลักพาตัวไปได้ แล้วเธอก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอทำได้ดีมาก”
อาวั่นนิ่งไป หานอู่ฉีหันไปทางหน้าจอแล้วพยักหน้า เขาหันมองตาม เห็นถูเจิ้นดึงภาพอีกภาพขึ้นมา
เป็นภาพเวลาจริง เขาเห็นถูฉินกับเฟิงชิงหลานซึ่งเป็นคนของเรดอายอยู่ที่ด้านหนึ่งของเหมืองร้าง กำลังช่วยชายหญิงสี่คนที่มีสภาพสะบักสะบอม ชายสองคน หญิงสองคน มองเพียงแวบเดียวก็เห็นว่าในนั้นไม่มีเธออยู่ด้วย
“ฮั่วเซียงล่ะ”
“เธอยังอยู่ในเกม” ถูเจิ้นตอบ “นี่เป็นเพียงเลเวลแรกของเขตเขตหนึ่ง ภารกิจของเธอคือเข้าร่วมเกม แยกนักล่าและเหยื่อออกจากกัน ทำให้เหมือนกับเหยื่อเสียชีวิตแล้วซ่อนพวกเขาไว้ จากนั้นถูฉินจะรับผิดชอบช่วยพวกเขาออกมาตอนที่เกมยุติลง”
“เธอไม่อาจออกมาพร้อมกับเหยื่อได้ เธอยังคงต้องอยู่ต่อไป เลื่อนเลเวลขึ้นไป” หานอู่ฉีพูดต่อพร้อมกับหยิบแก้วน้ำที่มีน้ำแข็งอยู่ขึ้นมาดื่ม แล้วล้วงเอาน้ำแข็งขึ้นมาประคบไปที่ดวงตาบวมของตน พูดเสริมต่อไปว่า “มีเพียงแค่เล่นเกมต่อไป พวกเราถึงจะได้ข้อมูลที่เพิ่มขึ้น”
นั่นก็แปลว่าจะมีการฆ่ากันมากขึ้นและสถานการณ์ก็อันตรายมากขึ้นด้วย
แฟ้มคดีที่ถูเจิ้นเพิ่งให้เขามานั้นแสดงข้อมูลที่เรดอายรู้เกี่ยวกับระดับชั้นของเกม
ถึงแม้จะผ่านตาอย่างรวดเร็ว เขาก็ยังจับประเด็นสำคัญได้อย่างว่องไว
เลเวลยิ่งสูง เกมก็ยิ่งอันตราย นักล่าก็จะมีฝีมือที่ดีขึ้นด้วย โหดร้ายมากขึ้น วิปริตมากขึ้น ดวงตาของนักล่าในชั้นสูงๆ ข้างหนึ่งจะมีกลไกพิเศษ สามารถส่งภาพเหตุการณ์ในขณะนั้นไปยังผู้เล่นได้ ผู้เล่นสามารถควบคุมนักล่าได้มากขึ้น เพราะพวกเขาสามารถระเบิดดวงตาข้างนั้นได้
หานอู่ฉียืนขึ้น “ยังมีอีกเรื่องที่นายควรจะรู้ไว้ ฉันไม่ได้สั่งให้เธอฆ่าคน ฉันแค่ต้องการให้เธอใช้เทคนิคล้มคน อาหนานผสมยาชาขึ้นมาชนิดหนึ่ง ทำเป็นยาทาเล็บ ให้เธอทาไว้ที่เล็บ เจ้าสิ่งนั้นสามารถทำให้คนหมดสติไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มีสภาพเหมือนกับคนตาย ซึ่งก็ต้องให้อีกฝ่ายมีแผลเล็กๆ น้อยๆ บางคนอาจจะมีผลข้างเคียงตามหลัง แต่ฉันเชื่อว่าคงไม่มีใครสงสารพวกฆาตกรฆ่าคนพรรค์นั้นหรอก”
อาวั่นอึ้งไปอีกครั้ง ไม่คิดว่าหานอู่ฉีจะใช้ไม้นี้
ท่าทางที่นิ่งงันของเขาทำให้หานอู่ฉีหัวเราะอย่างได้ใจ
“ก็อย่างที่พูดไปเมื่อกี้ เรื่องแบบนี้มีเพียงเธอเท่านั้นที่ทำได้ แล้วเธอก็ทำได้ดีซะด้วย”
พูดแล้วหานอู่ฉีก็วางน้ำแข็งในมือลง มองไปที่ชายหนุ่มที่ไม่สบอารมณ์ พูดต่อว่า “แม้ว่าต้องใช้เวลาถึงสามสิบแปดวันกว่านายจะมาตามหาเธอที่นี่ แต่ฉันเชื่อว่ายังไงซะนายก็ยังแคร์เธออยู่ไม่มากก็น้อย เพราะอย่างนั้นฉันถึงบอกเรื่องนี้กับนาย ตอนนี้ปัญหาก็คือนายแคร์เธอแค่ไหน”
คำถามนี้ทำให้อาวั่นตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง เม้มริมฝีปากบางเป็นเส้นตรง
บ้าเอ๊ย เขารู้ว่าไอ้สารเลวนี่จะพูดอะไรต่อ หานอู่ฉีก็รู้ว่าเขารู้ แต่ก็ไม่ได้คิดห้ามปราม คนแซ่หานยิ้มเล็กๆ พูดต่ออย่างไร้สำนึก
“พวกเราไม่อาจฝังระบบติดตามตัวในร่างกายเธอ มีเพียงแค่คอนแท็กเลนส์ที่เกาอี้คิดค้นขึ้นเท่านั้น กับนาฬิกาข้อมือเข้าคู่กันที่อยู่กับเสี่ยวหลาน เพื่อป้องกันการถูกตรวจพบ เกาอี้จึงปรับคลื่นการส่งข้อมูลไปอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด สามารถส่งข้อมูลได้เป็นครั้งคราว สัญญาณแรงพอให้พวกเรารู้ว่าเธออยู่ตรงไหนเท่านั้น แต่ไม่มีภาพและเสียง”
อาวั่นได้ยินแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปดูไม่ดี
หานอู่ฉียังคงพูดต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน “ถึงแม้ว่าเราจะมีคนอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือเธอ แต่คนของเรดอายก็ไม่อาจเข้าใกล้จนเกินไป ไม่อาจเปิดเผยใบหน้า ข้อมูลของพวกเราทุกคนอยู่ในมือของฝ่ายนั้นแล้ว ตามเบาะแสที่อาเจิ้นและเกาอี้มีอยู่ทำให้เราเชื่อว่าอีกฝ่ายครอบครองเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด นั่นก็คือเทคโนโลยีตรวจสอบใบหน้าซึ่งน่าจะเป็นโปรแกรมพื้นฐานที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของพวกมัน ถ้ามีการตรวจพบคนของเรามันก็จะร้องเตือน พวกมันอาจจะตรวจสอบข้อมูลของเหยื่ออีกรอบ ซึ่งก็แปลว่าอาจจะทำให้เธอถูกเปิดเผยฐานะและตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายยิ่งขึ้น”
ชั่วชีวิตนี้ไม่มีวันไหนที่เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นหุ่นเชิดให้กับเจ้าสารเลวนี่ได้เท่าครั้งนี้
แม้ว่าตาเขาจะลุกเป็นไฟ หานอู่ฉีก็ยังหัวเราะได้อย่างสบายใจและยื่นมือมาตบไหล่เขา
“ฉันต้องการคนเข้าไปช่วยเธอ ดังนั้นอาวั่นถ้านายยังแคร์เธออยู่ ฉันแน่ใจว่านายไม่ถือสาที่จะช่วยฉันจัดการเรื่องนี้ใช่ไหม”
เขาถลึงตามองชายไร้ยางอายที่อยู่ตรงหน้า เส้นเลือดตรงขมับกระตุก เขารู้สึกถึงเลือดในกายที่กำลังพลุ่งพล่าน ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะบีบคอไอ้สารเลวนี่ให้ตาย ไอ้คนสารเลวและน่ารังเกียจ
ไอ้ลูกเต่า! มันซ้อนแผนเขา!
ตั้งแต่ทีแรก คนแซ่หานรู้ว่าเขาจะต้องมาตามหาฮั่วเซียง นี่ต่างหากที่เป็นหนึ่งในสาเหตุว่าทำไมฮั่วเซียงถึงโน้มน้าวหมอนี่ได้
ก็เหมือนกับที่เจ้าตัวเคยพูดไว้ หมอนี่ต้องการคน คนที่ทำงานได้
ถ้ามีสองคนที่ใช้ได้ เรื่องอะไรจะใช้แค่คนเดียว
ไอ้คนไร้ยางอายนี่รู้ว่าเขาจะไม่ยอมให้ฮั่วเซียงยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ และรู้ว่าถ้าฮั่วเซียงรู้เรื่องแล้วจะทำอย่างไร ดังนั้นจึงถือโอกาสตอนที่เขาไม่อยู่มาหาฮั่วเซียง
“แน่นอนว่าถ้านายไม่สนใจ นายรู้ว่าประตูอยู่ทางไหน แต่อย่าคิดนานนักนะ ฉันเกรงว่าพวกมันจะพาเธอไปที่อื่น…”
ไม่ต้องรอให้หานอู่ฉีพูดจบ เขาก็ออกหมัดอย่างดุดันอีกครั้ง
แม้จะเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว แต่หมัดนี้ก็ยังทำให้หานอู่ฉีเห็นดาว จมูกที่เดิมเลือดหยุดไหลแล้วก็ไหลออกมาอีก คำด่าหยาบคายหลุดออกมาจากปากไม่ได้ขาด
“เธออยู่ที่ไหน”
อีกครั้งหนึ่งอาวั่นถามเกี่ยวกับเธอด้วยน้ำเสียงเย็น
ครั้งนี้หานอู่ฉีไม่ได้โยกโย้ เขารู้ว่าคำถามนี้แปลว่าหมอนี่จะอยู่ช่วย ยอมยื่นมือเข้ามาเองเพราะฮั่วเซียง เขาเอามือเช็ดจมูก เงยหน้ามองอาวั่น ยกมุมปากขึ้นพูดว่า
“รัฐควีนส์แลนด์ ออสเตรเลีย”
“พี่อู่ ทำไมพี่ถึงไม่บอกเขาไปตรงๆ ล่ะว่าฮั่วเซียงอยู่ที่ไหน”
เมื่ออาวั่นขึ้นไปด้านบนแล้ว เข่อเฟยก็มองตาดำช้ำเป็นวงของเจ้านายตัวเอง เลือดไหลออกจากทางจมูก มือยื่นกระดาษทิชชูให้เขาแล้วก็อดที่จะถามไม่ได้
แม้ว่าจะอยู่ที่เรดอายมานานหลายปี แต่เข่อเฟยก็ยังไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเขา เธอไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมเขาถึงต้องอ้อมโลกถึงจะยอมบอกคำตอบให้กับอาวั่น มันก็น่าโดนต่อยแล้วล่ะ
“ถ้าพูดชัดเจนตั้งแต่แรก บอกให้เข้าใจ อาวั่นก็ต้องไปหาฮั่วเซียงอยู่แล้วไม่ใช่หรือ เขาก็มาตั้งไกลขนาดนี้”
“สามสิบแปดวัน”
หานอู่ฉีรับกระดาษทิชชูที่เข่อเฟยส่งมาให้ เช็ดเลือดที่จมูกออก ยกมุมปากพูดอย่างประชดประชัน “เขาใช้เวลาถึงสามสิบแปดวันถึงจะตามหาฮั่วเซียง ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นถึงยอมรับว่าฮั่วเซียงมีความสำคัญกับเขามากแค่ไหน ฮั่วเซียงไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมห้อง ไม่ใช่แค่ผู้ช่วย หมอนั่นมันไอ้ทึ่มคนหนึ่ง ต้องการคนเคาะกะโหลกแรงๆ สักที ต่อไปเขาจะได้ไม่เสียใจทีหลัง”
เข่อเฟยถึงกับอึ้งไป มองหน้าหัวหน้าแล้วก็ร้องอ๋อ
“พี่อู่ พี่เป็นคนบอกฮั่วเซียงว่าอาวั่นอยู่ที่ไหนใช่ไหม”
“ใช่แล้วยังไง ฮั่วเซียงต้องการคนสอนให้เธอปรับตัวเข้ากับสังคม อาวั่นเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่ฉันคิดออก” แต่พูดกันตามตรงเขาก็คิดไม่ถึงว่าหมอนั่นจะยังยืนหยัดได้ถึงห้าปีโดยไม่จับเธอกิน
“ไม่ใช่มั้ง?” เข่อเฟยถลึงตามองเขา ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “พี่อู่ ไม่ใช่ว่าพี่ยังแค้นเรื่องที่เขาลาออกหรอกนะ”
“ว่าอะไรนะ” เขาเลิกคิ้ว ยิ้มเล็กน้อย “นี่เธอคิดว่าฉันเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยอย่างนั้นเหรอ”
เขาเป็นคนอย่างนั้นแหละ
เธอเกือบจะหลุดปากตอบออกไปแล้ว แต่เพราะถูเจิ้นที่นั่งอยู่หลังคอมพิวเตอร์เงียบๆ กระแอมขึ้น ทำให้เธอได้สติขึ้นมา
“ไม่ใช่แน่นอน ฉันจะไปคิดอย่างนั้นได้ยังไง พี่อู่ทำแบบนี้ต้องมีเหตุผลของพี่ ไม่ใช่เพราะพี่ยังโกรธที่เขาพูด…”
พูดไปได้ครึ่งเดียวอยู่ๆ เธอก็หยุด
“พูดอะไรนะ พูดให้มันชัดเจนหน่อยสิ”
หานอู่ฉีจ้องมองเธอ สองมือยกมือขึ้นกอดอก หัวเราะอย่างสนิทสนม
“ฮ่า…ฮ่าๆ…ฮ่าๆๆ…” เธอหัวเราะอย่างคนที่ไปไม่ถูก พยายามจะหาข้อแก้ตัว แต่กลับคิดอะไรไม่ออก ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้จึงได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปให้สามี “ใช่แล้ว! อาเจิ้น ตอนนั้นอาวั่นพูดว่ายังไงนะ”
ยังนับว่าเธอฉลาด
ถูเจิ้นแอบอมยิ้มให้กับท่าทางเหมือนกระต่ายน้อยที่ถูกหมาป่าไล่ล่า เห็นแก่ที่เธอรู้ว่าต้องส่งสัญญาณช่วยเหลือมา พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า
“เรื่องตั้งนานมาแล้วใครจะไปจำได้”
พูดได้ดี! ไม่เสียทีที่เป็นอัจฉริยะไอคิวสูงถึงสองร้อย!
เข่อเฟยได้ยินแล้วก็ซาบซึ้งใจอย่างมาก รีบรับความช่วยเหลือของสามีที่โยนมาให้ทันที พูดต่ออย่างรวดเร็วว่า “ใช่แล้ว เรื่องนานขนาดนั้นใครจะไปจำได้ ฉันลืมไปตั้งนานแล้ว”
หานอู่ฉียิ่งเลิกคิ้วสูงขึ้น “แน่ใจนะ”
“แน่ใจ! แน่ใจ! ฉันลืมมันไปหมดแล้ว!” เธอยกมือขึ้นสาบาน “ลืมไปหมดแล้ว คิดไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว…”
ถูเจิ้นเอ่ยกับภรรยา ก่อนที่เธอจะพูดไปเรื่อยจนทำให้เสียเรื่อง
“เข่อเฟย คุณจะเอาขยะไปทิ้งไม่ใช่เหรอ รถขยะมาแล้วนะ”
“รถขยะมาแล้ว? รถขยะไม่ใช่จะมาตอนหก…” เธอช้าไปสักเล็กน้อยถึงจะรับรู้ถึงแววตาของถูเจิ้น แล้วก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที รีบเปลี่ยนคำพูด “อ้อใช่ วันนี้ต้องเอาขยะรีไซเคิลไปทิ้ง ฉันลืมไปเลยนะเนี่ย ฉันไปเก็บขยะรีไซเคิลก่อนล่ะ ไม่งั้นจะไม่ทัน”
พูดจบก็หันหลัง ขยับขาวิ่งขึ้นไปข้างบนอย่างรวดเร็ว พร้อมบอกกับตัวเองอย่างซาบซึ้งใจ
“ท่านอาเจิ้น แม้มิอาจกล่าวขอบคุณ แต่ติงเข่อเฟยคนนี้จะจดจำบุญคุณที่ช่วยชีวิตครั้งนี้ไว้ตลอดไป”
ช่วงนี้พี่อู่มีแรงกดดันเยอะ พี่หลานก็ไม่อยู่ ไม่มีวิธีช่วยลดแรงกดดัน เขามักจะหาโอกาสทรมานพนักงานบ่อยๆ ตอนนี้เหล่าลูกน้องถูกส่งออกไปทำงาน ที่เหลืออยู่ก็ไม่กี่คน เธอจะจำให้แม่นว่าครั้งหน้าจะต้องหลีกให้ไกล ทำงานให้เยอะพูดให้น้อยด้วย
“ทิ้งขยะ”
หานอู่ฉีเลิกคิ้วสงสัย
“วันนี้เป็นวันทิ้งขยะรีไซเคิล” ถูเจิ้นพูดด้วยน้ำเสียงปกติ นิ้วมือเคาะคีย์บอร์ดด้วยความรวดเร็ว พูดรับมุกภรรยาหัวทึ่มของตน “เธอต้องรีบไปคัดพวกขยะไซเคิลออกมา แล้วอีกอย่าง เขิ่นเอินจัดการเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าอยากจะดูไหม”
หานอู่ฉีเก็บรอยยิ้ม สองมือกอดอก เริ่มพูด
“แน่นอน โชว์ให้ดูซิ”
ถูเจิ้นเคาะคีย์บอร์ดอีกสองครั้ง วินาทีถัดมาผนังด้านหน้าแสดงภาพจากโปรเจคเตอร์ขึ้นมาหลายภาพ
หานอู่ฉีดวงตาเป็นประกาย ฉีกยิ้มเผยให้เห็นฟันขาว
เกมนักล่า
ในเมื่อเป็นเกมก็ไม่มีใครกำหนดว่าเขาจะร่วมด้วยไม่ได้
ไม่มีบัตรเชิญ? ไม่ใช่สมาชิก? ไม่ใช่ผู้เล่น?
อย่ามาล้อเล่น! ใครต้องการของพวกนี้กันล่ะ!
ตอนนี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้ว ถ้าเขาไม่ลากสารเลวพวกนั้นออกมา เขาก็ไม่ใช่คนแซ่หาน!
Comments
comments
No tags for this post.