X
    Categories: Jamsaiทดลองอ่านล่ารักเกมอันตราย ชุด Red Eye

ทดลองอ่าน ล่ารักเกมอันตราย ตอนที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 3

กติกาเกมนักล่า

 ผู้เล่นสามารถเลือกวางเงินเดิมพันนักล่าหรือเหยื่อได้ตามต้องการ

เหยื่อไม่มีการแบ่งเลเวล การวางเงินเดิมพันเท่ากัน

นักล่าแบ่งออกเป็นเลเวล เลเวลสูงขึ้นเงินเดิมพันก็สูงขึ้นด้วย

นักล่าและเหยื่อมีประวัติข้อมูลให้ตรวจสอบได้

หากเหยื่อเสียชีวิต เงินที่วางเดิมพันไว้กับเหยื่อจะโอนไปเป็นของผู้เล่นที่วางเงินไว้กับนักล่า

หากนักล่าเสียชีวิต เงินที่วางเดิมพันไว้กับนักล่าจะถูกโอนไปในลักษณะเดียวกัน

เงินที่เดิมพันไปแล้วไม่อาจยกเลิกหรือเรียกคืนได้ แต่สามารถเพิ่มเงินเดิมพันกับนักล่าหรือเหยื่อที่อยู่ในเกมได้

ผู้เล่นสามารถประมูลนักล่าได้ และส่งนักล่าของตนเข้ารับการฝึกพิเศษ เมื่อนักล่าเข้าร่วมการแข่งและชนะการแข่งขัน ผู้เล่นจะได้รับเงินที่ชนะการเดิมพัน

หากเกมได้เริ่มต้นแล้ว เกมจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อเหยื่อตายทั้งหมด

 

บทที่ 1

 

กรุงแบกแดด ประเทศอิรัก

ฝุ่นทรายสีเหลืองคละคลุ้งอยู่ในอากาศทำให้ทั้งเมืองดูราวกับตกอยู่ในม่านหมอก ทุกหนแห่งมีแต่ทราย

ดวงอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผาอยู่กลางศีรษะ แม้กระทั่งผู้คนที่หลบอยู่ในร่มเงาของตลาดนัดยังรู้สึกร้อนจนแทบจะเป็นลม

สภาพอากาศที่นี่ร้อนแห้งแล้ง แมลงวันที่ตอมหึ่งๆ อยู่บนผลไม้และอาหารตามแผงขายพากันบินอย่างฉวัดเฉวียน

ในตลาดเก่าแก่แห่งนี้ หญิงสาวคนหนึ่งคลุมหน้าด้วยผ้าคลุมสีดำ ถือแผ่นดินเหนียวแกะสลักลายนูนขึ้นมา เอ่ยปากต่อราคาเป็นภาษาอาหรับ

“คุณพ่อค้า ไม่ทราบว่านี่ราคาเท่าไหร่”

“หนึ่งร้อยห้า” เมื่อได้ฟังสำเนียงของเธอ เจ้าของร้านก็ตาเป็นประกาย รีบเสนอราคาทันที “ดอลลาร์สหรัฐฯ”

หญิงสาวเอ่ยปากต่อราคาโดยไม่กะพริบตา “สิบห้า”

“หนึ่งร้อย”

“ฉันมีแค่สิบห้า”

“เจ็ดสิบห้า ให้ถูกกว่านี้ไม่ได้แล้ว นี่เป็นวัตถุโบราณอายุกว่าร้อยปี”

หญิงสาวเลิกต่อราคา วางแผ่นดินเหนียวในมือลงแล้วตั้งท่าจะเดินจากไป

เจ้าของร้านเห็นดังนั้นก็ชิงพูดขึ้น “สาวน้อย อย่างนั้นห้าสิบเอาไหม”

เธอไม่แม้แต่จะเหลียวกลับ

“สี่สิบ? สามสิบล่ะ?”

เธอยังคงเดินต่อไป เงาร่างเล็กบางกำลังจะกลืนหายเข้าไปในฝูงชน

เจ้าของร้านก็ตะโกนขึ้นมาว่า “ก็ได้! พับผ่าสิ! สิบห้าก็สิบห้า!”

หญิงสาวร่างเล็กบางคนนั้นหยุดฝีเท้าแล้วหันหลังกลับมา หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่

เจ้าของร้านขายวัตถุโบราณบ่นพึมพำงึมงำแต่ก็ยังรับเงินไปแต่โดยดี หญิงสาวจ่ายเงินเสร็จก็อุ้มแผ่นดินเหนียวไว้ในอ้อมกอดแล้วเดินกลับเข้าไปในฝูงชนอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ดวงตาที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าคลุมหน้าของเธอเปล่งประกายสุกใสเต็มไปด้วยความตื่นเต้นสุดขีด

เธอไม่อยากเชื่อเลยว่าจะพบแผ่นดินเหนียวรูปลามาซูที่ถอดแบบมาเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนในตลาดเล็กๆ

แม้จะเห็นแค่แวบเดียว แต่จากการฝึกฝนมานานปีเธอมองปราดเดียวก็รู้ว่านี่คือแผ่นดินเหนียวแบบเดียวกับของที่ศาสตราจารย์ทำ ไม่ว่าจะเป็นเส้นผมที่หยักเป็นลอนกับขนนกที่มีรายละเอียดเด่นชัดบนปีกอินทรี กับสัดส่วนของกล้ามเนื้อที่ชัดเจนบนกีบเท้าวัวทั้งห้า ใบมีดที่ใช้แกะสลักต้องมีความคมกริบ ทุกรายละเอียดที่ปรากฏถึงได้ดูสวยสมจริงราวกับมีชีวิต

เข้าคู่กัน เธอพบคู่ของมันแล้ว เป็นลามาซูที่คู่กับลามาซูของศาสตราจารย์

แผ่นดินเหนียวที่อยู่ที่บ้านเป็นสมบัติที่เธอได้มาจากทางศาสตราจารย์ที่ปรึกษาในคณะโบราณคดีเมื่อหลายปีก่อน เธอรู้ว่าลามาซูที่เป็นสัตว์เทพเฝ้าประตูจะต้องมีเป็นคู่ เนื่องจากฝีมือแกะสลักของช่างฝีมือที่ไม่ปรากฏชื่อผู้นี้ดูสวยงามราวกับมีชีวิต เธอจึงอยากตามหาคู่ของมันมาโดยตลอด แต่ก็รู้ว่าโอกาสมีน้อยมาก เมืองแห่งนี้เผชิญกับไฟสงครามมาหลายปี เปลี่ยนไปจากสมัยที่ศาสตราจารย์มาเยือนเมื่อครั้งยังหนุ่มมาก ต่อให้มีลามาซูอีกแผ่นจริงๆ เกรงว่าจะถูกโยนตกแตกหรือไม่ก็ถูกกระสุนเป่าจนพรุน เธอเลยไม่เคยคาดหวังมาก่อนว่าจะหาเจอ

เธอมาที่นี่แค่มาเดินเล่นตามคำแนะนำของศาสตราจารย์ แล้วก็แค่มาสูดอากาศ

ใครจะไปรู้ว่าเธอจะบังเอิญพบแผ่นดินเหนียว อีกทั้งลามาซูในอ้อมแขนเธอนอกจากส่วนอกที่สึกไปเล็กน้อย สภาพของมันยังคงดีอยู่

เธอระงับความเบิกบานล้นใจไว้ แต่ไม่ได้ชะลอฝีเท้าอันรวดเร็วลง เธออยากจะกลับไปยังโรงแรมที่พักให้เร็วที่สุด จะได้นำมันออกมาตรวจดูกับแสงไฟอย่างละเอียด แต่ลึกลงไปในใจเธอรู้ว่าเธอถูกแล้ว แผ่นดินเหนียวแผ่นนี้กับอีกแผ่นเป็นคู่กันและปั้นแกะขึ้นจากคนคนเดียวกัน

ถ้าไม่เพราะกลัวเป็นเป้าสายตาผู้คน เธอคงอดใจไม่อยู่กระโดดโลดเต้นบนถนนไปแล้ว

ในเวลานี้ แม้แต่สภาพอากาศที่แห้งแล้ง ผงทรายที่ทำให้เธอระคายตา และดวงอาทิตย์ที่แผดเผาผู้คนยังเปลี่ยนเป็นน่ารักขึ้นมาทันที

ขณะที่เธออุ้มแผ่นดินเหนียวหนักด้วยความเบิกบานสำราญใจอยู่นี้เอง จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวสับสนของฝูงชนรอบข้าง มีคนตะโกนอะไรสักอย่างเป็นภาษาอาหรับข้างหลังเธอ

เธอหันกลับไปมอง พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่กลางสี่แยก เธอยังไม่ทันตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น วินาทีต่อมาก็ถูกกระแทกลอยออกมา

หลังจากเกิดเรื่อง เมื่อเธอมีโอกาสได้คิดดูก็มักจะรู้สึกว่าหากเธอเป็นชาวมุสลิมจริงๆ บางทีเรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น เพราะผ้าคลุมหน้าจะยังคงปกปิดใบหน้าของเธอไว้ด้วยเทคนิคการคลุมผ้าชั้นดี แต่เธอไม่ได้เป็นชาวมุสลิม

เธอเป็นชาวเอเชีย ชาวตะวันออก มีตาดำผิวเหลือง แล้วยังมีจมูกที่ไม่สู้จะโด่งสักเท่าไรนัก

เธอยังซุ่มซ่ามสุดๆ ชั่วชีวิตนี้เคยใส่ผ้าคลุมหน้ายังไม่ถึงห้าครั้ง ส่วนใหญ่เวลามาที่นี่จะมีผู้ช่วยชาวท้องถิ่นคนหนึ่งที่มีน้ำใจคอยช่วยเธอใส่

และวันนี้ก็เป็นหนึ่งในห้าครั้งนั้น

ชีวิตคนมีขาขึ้นย่อมมีขาลง เวลานี้ถือเป็นช่วงที่โชคร้ายที่สุดในชีวิตเธอแล้ว

แผ่นดินเหนียวในมือเธอกระเด็นออกไปตามแรงกระแทก ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายมีใครหรืออะไรก็ไม่รู้ดึงผ้าคลุมหน้าของเธอ ด้วยฝีมือการพันผ้าที่ย่ำแย่ของเธอทำให้ผ้าคลายออกในอึดใจถัดมา เผยให้เห็นใบหน้าเล็กๆ

ไม่น่า? ไม่นะ!

เธอร้องด้วยความตื่นตระหนก ไม่ใช่เพราะว่าใบหน้าเธอปรากฏออกมา อย่างไรเธอก็ไม่ใช่ชาวมุสลิม ที่เธอคลุมหน้าก็แค่เพื่อทำตัวให้เข้ากับขนบธรรมเนียม แม้คลุมใบหน้าไว้จะอบสักหน่อยแต่ก็ช่วยกันแดดได้ เธอไม่สนว่าใครจะเห็นหน้าเธอ เธอสนแต่แผ่นดินเหนียวล้ำค่าแผ่นนั้น ชั่วเวลานั้นหัวใจเธอกระดอนขึ้นมาถึงลำคอ จังหวะที่แผ่นดินเหนียวร่วงลงบนพื้น หัวใจเธอบีบรัดด้วยกลัวว่ามันจะตกแตก

แต่มันไม่แตก

เธอถอนใจอย่างโล่งอก ไม่ได้รีบเก็บผ้าคลุมหน้าที่หล่นลงพื้นเป็นอย่างแรก แต่รีบคลานไปเก็บแผ่นดินเหนียวที่ตกไว้ก่อน

ภายหลังถึงได้คิดว่านี่เป็นการตัดสินใจผิดครั้งที่สองของวันนั้น

แผ่นดินเหนียวรอดจากความชุลมุนวุ่นวายเข้ามาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ฝูงชนรอบข้างกระจายตัวออกจากกันจนทางเปิด เธอหันกลับไปพบว่าคนที่ชนเธอตัวลอยนั้นเป็นชายคนหนึ่ง

ชายผิวเหลืองผู้มีผมและตาสีดำคนหนึ่งคร่อมอยู่เหนือร่างเธอ มือหยาบแข็งแรงสองข้างที่กรำแดดจนเป็นสีแทนวางอยู่สองข้างเอวของเธอ

เธอจ้องชายคนนั้น ชายคนนั้นก็จ้องเธอ จากนั้นก็ส่งยิ้มให้

“ไฮ”

เขายิ้มพลางทักทายเป็นภาษาอังกฤษ

“ขอโทษนะ”

ชายตรงหน้ามีดวงตาดำขลับราวกับหินออบซิเดียนผ่านการหลอมจากลาวาภูเขาไฟ แถมยังมีรอยยิ้มสดใสชนิดที่เธอไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยในชีวิตนี้ รอยยิ้มนั้นสว่างเจิดจ้าชวนหลงใหล ทำให้หัวใจเธอหยุดเต้นไปก่อนจะกลับมาเต้นเร็วแรงขึ้นอีกครั้ง

รอยยิ้มตรงหน้าเจิดจ้าบาดตาจนเธออดส่งยิ้มตอบเขาไม่ได้

อึดใจถัดมาเขาก็รีบลุกจากร่างเธออย่างรวดเร็ว ขณะที่ลุกขึ้นเขาก็จับข้อศอกพยุงเธอลุกขึ้นมาด้วย

เธอยืนให้มั่น แต่ยังหน้ามืดตาลายอยู่นิดหน่อย ขณะที่ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็ได้ยินเสียงผู้ชายตะโกนโหวกเหวก

เมื่อเธอหันไปมองก็เห็นชายไว้เคราดกเฟิ้มถือมีดยาวสีเงินวาววับชี้ตรงมาที่หน้าเธอ

ชั่ววินาทีนี้สมองของเธอขาวโพลน

ขณะที่เธอคิดว่าชีวิตน้อยๆ นี้จะจบเห่เสียแล้ว พลันมีคนพุ่งเข้ามากระชากเอวเธอถอยมาด้านหลัง ในขณะเดียวกันเหล็กดำท่อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าพร้อมเสียงดังเคร้ง หยุดมีดยาวที่เกือบจะผ่าหัวเธอเอาไว้ได้

ชายไว้เคราแกว่งมีดฟันขวับซ้ำอีก ขวับ! ขวับ! ขวับ!

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

มีดยาวสีเงินส่องประกายอยู่ตรงหน้า เธอมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากประกายของคมมีด แต่ก็ได้ยินเสียงโลหะกระทบกันดังเคร้งคร้างๆ

เธอตื่นตระหนกจนลมหายใจติดขัด รู้สึกเพียงว่ามีคนเหวี่ยงตัวเธอหันไปหันมาจนหมุนคว้างไปตั้งแต่หัวจรดเท้า

เธอกรีดร้องเสียงหลงท่ามกลางโลกที่หมุนคว้าง

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นคราหนึ่ง

เมื่อเธอรู้ตัวอีกทีก็เห็นชายไว้หนวดที่ถือมีดกวัดแกว่งไปมาคนนั้นถูกเท้าข้างหนึ่งเตะลอยไปชนกับแผงผลไม้

เป็นเท้าของชายที่อยู่ข้างหลังเธอ

เธอหันไปมองทั้งที่ยังอกสั่นขวัญหาย ชายคนนั้นยิ้มยิงฟันให้เธอ จากนั้นก็ทิ้งแท่งเหล็กที่ไม่รู้ว่าไปหยิบมาจากแผงร้านไหนในมือทิ้ง หันหลังวิ่งไปยังอีกทางหนึ่ง

เธอยืนตะลึงอยู่ที่เดิม ชายไว้เคราพลันลุกขึ้นมา เธอตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าวด้วยกลัวถูกไล่ฟันอีก ขณะที่เธอคิดจะหันหลังวิ่งหนีเอาตัวรอด ชายไว้เครากลับไม่สนใจเธอ เพียงถือมีดร้องคำรามไล่ตามชายคนนั้นไป

ผ่านไปประมาณสามวินาทีเธอถึงจะตระหนักได้ว่าชายไว้เคราไม่ได้จะฟันเธอตั้งแต่แรก แต่จะฟันชายคนนั้น เธอเพียงแต่โชคไม่ดีไปยืนขวางอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาพอดีเลยถูกพ่วงเข้าไปด้วย

เธอหอบหายใจทั้งใบหน้าซีดเผือด มองเห็นชายกลุ่มหนึ่งตะโกนโหวกเหวกเป็นภาษาอาหรับไล่ตามไป สองคนในกลุ่มนั้นมีอาวุธปืน

เวลานั้นเธอหลบแนบชิดกำแพง โชคดีที่คนเหล่านั้นไม่ทันสังเกตเห็นเธอ

พอเธอเรียกขวัญกลับคืนมาได้ก็พบว่ามือทั้งสองเธอยังกอดแผ่นดินเหนียวแผ่นนั้นไว้แน่น ผู้คนบนถนนยังคงจ้องมาที่เธอ

เธอเป็นชาวต่างชาติคนหนึ่ง

แม้จะไม่มีผมสีทองตาสีน้ำข้าว เครื่องหน้าโดดเด่น แต่เธอก็รู้ดีว่าเธอดูแตกต่าง เธอรู้ว่าตัวเองดูสะดุดตาแค่ไหนเมื่ออยู่ที่นี่ โดยเฉพาะตอนที่ผ้าคลุมที่ปกปิดใบหน้าเธอหลุดออกมา

ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนที่นี่จะสวมผ้าคลุมหน้า บางคนเลือกสวมแบบคลุมแค่ศีรษะ แต่ก็มีไม่น้อยที่เลือกคลุมหน้าไว้เหมือนเธอตอนก่อนหน้านี้ ทว่าผู้หญิงที่ไม่ได้สวมอะไรปิดคลุมเรือนผมเลยมีจำนวนน้อยมาก และเห็นได้เด่นชัดมาก

เธอถือแผ่นดินเหนียวลามาซูในมือไว้แน่นพลางก้มหน้าก้มตารีบเดินจากไป เร่งฝีเท้าให้พ้นจากที่เกิดเหตุอันชุลมุนวุ่นวายโดยเร็วที่สุด

ระหว่างทางเธอยังไม่วายหันกลับไปมองเป็นระยะด้วยกลัวว่าคนพวกนั้นจะตามเธอมา

ชายคนนั้นเป็นคนผิวเหลืองเหมือนกับเธอ มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าคนอื่นจะคิดว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่ ทำให้เธอรู้สึกว่าทุกคนบนถนนเอาแต่จ้องมองมาทางเธอ

หลังจากขึ้นรถประจำทางแล้ว เธอมองดูท้องถนนในเมืองนอกหน้าต่าง ไม่มีใครตามเธอมา ไม่มีใครสนใจเธอ เธอค่อยๆ ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก

เมื่อเธอกลับถึงโรงแรม ปิดประตู ล็อกกุญแจเรียบร้อยแล้วนั่งลงบนเตียงถึงได้พบว่าฝ่ามือเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ

เธอวางแผ่นดินเหนียวที่ถือไว้แนบอก รวมทั้งวางกระเป๋าเป้ลงบนเตียง แล้วเปิดเครื่องปรับอากาศ

อากาศกรุงแบกแดดร้อนระอุ เธอสวมชุดยาวออกไปเดินจนเหงื่อชุ่มทั่วทั้งหลัง เธอถอดชุดยาวออก เห็นแผ่นดินเหนียวลามาซูพลอยเปียกชุ่มเพราะเธอ แถมยังมีรอยบิ่นเพิ่มอีกมุมหนึ่ง ก็รู้สึกเจ็บใจและกลัวว่าจะมีรอยบิ่นเพิ่มที่ส่วนอื่นเพราะเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อครู่ เธอจึงรีบนำมันมาวางข้างโต๊ะหนังสือ เปิดโคมไฟตั้งโต๊ะแล้วพิจารณาโดยละเอียด

มองแวบแรกสภาพของมันก็ยังดีอยู่ แต่เพียงครู่เดียวเธอก็พบว่าบริเวณอกของลามาซูมีรอยบิ่น

“บ้าจริง”

เธอสบถ แต่ทันใดนั้นก็พบว่ารอยบิ่นตรงนั้นดูไม่เป็นธรรมชาติ หรือจะพูดให้ถูกก็คือสีของส่วนที่แยกออกกับส่วนที่อยู่รอบข้างไม่ตรงกัน

เธออึ้งไปสักพักก่อนจะโน้มโคมไฟลงมาใกล้ๆ ก้มมองดูอีกที แล้วก็พบว่าส่วนที่แยกออกนั้นมีสีแตกต่างกันจริง ที่จริงแล้วยังมีอีกหลายจุดที่มีสีไม่เหมือน เธอตกตะลึง หยิบแผ่นดินเหนียวมาพลิกดูใต้แสงไฟ ผลปรากฏว่าส่วนที่มีสีเหล่านี้บนแผ่นดินเหนียวมีความแตกต่างกันเพียงนิดเดียว ไม่ได้เป็นแค่ที่ส่วนอกเท่านั้น ที่เคราบนใบหน้าก็มี บริเวณเหล่านี้เดิมก็มีรอยลอกอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนเธอเห็นมันในตลาดยังนึกว่าเป็นการสึกกร่อนตามกาลเวลา การเก็บรักษาจึงสมบูรณ์สู้ชิ้นที่เธอมีอยู่ไม่ได้

แต่มาถึงตอนนี้ เมื่อนำมาส่องใต้แสงไฟโดยละเอียด เธอถึงพบว่านี่ไม่ใช่ร่องรอยจากการสึกกร่อนตามกาลเวลาหรือแรมปี

เธอเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ที่สีของแผ่นดินเหนียวไม่เหมือนกันบางครั้งเพราะว่าเป็นของปลอม แต่นี่ก็ไม่ใช่ของปลอม เธอได้มองแผ่นดินเหนียวที่บ้านมาหลายครั้ง รูปปีกอินทรี มัดกล้ามเหนือกีบเท้า ลวดลายประดับแบบนี้ดูอย่างไรก็เป็นฝีมือช่างคนเดียวกัน

แต่บางทีอาจมีคนปลอมขึ้นมาภายหลังได้สมจริงมากก็ได้

จากนั้นเธอนึกคึกอะไรขึ้นมาไม่รู้ลองเอานิ้วเขี่ยรอยร้าวนั้นดู หินส่วนนั้นก็กะเทาะร่อนออกมาเผยให้เห็นสีที่ไม่เหมือนกับส่วนอื่น มองดูแล้วเหมือนกับมีรอยตรงนั้นมาตั้งแต่แรก

เธอใจเต้นขึ้นมาทันใด

เป็นไปไม่ได้น่า…ไม่ใช่ว่ามันคือ…

เวลานั้นเธอเริ่มตื่นเต้น หลังจากวางแผ่นดินเหนียวลงอย่างระวังก็หยิบถุงอุปกรณ์ออกมาจากกระเป๋าเดินทาง ค้นหาแปรงและคีมหนีบ แล้วอาศัยแสงจากโคมไฟเริ่มทำความสะอาดมันด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด

แสงแดดนอกหน้าต่างเริ่มเปลี่ยนสี เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะ เนื่องจากกำลังมีสมาธิจดจ่อเป็นอย่างมากจึงไม่ทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเวลา

ท้องฟ้าเริ่มมืด พระจันทร์ขึ้นมาประดับอยู่บนฟ้าค่ำคืน

ตอนที่เธอหยุดงานในมือก็เป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืน ผู้คนต่างปิดไฟนอนกันหมดแล้ว

แต่เธอยังไม่นอน ทุกส่วนที่สีไม่เท่ากันของแผ่นดินเหนียวในมือเธอถูกทำความสะอาดจนเผยให้เห็นรูปลักษณ์เดิมของมัน

ยามเช้ามืด ขณะที่ท้องฟ้ากำลังอยู่ในช่วงใกล้สว่าง เธอก็ทำงานเสร็จเรียบร้อย

หลังจากเก็บกวาดอีกครึ่งชั่วโมงเธอก็ดูออกแล้วว่ามันคืออะไร เมื่อเธอทำความสะอาดมันจนหมดจด เมื่อเธอหยุดมือวางแปรงและคีมลง วินาทีที่ได้มองดูมันใจก็เต้นระทึก รู้สึกลำคอตีบตันขึ้นมาดื้อๆ

ไม่ใช่ลามาซู

พระเจ้า

เธอกุมอกตัวเอง เพ่งพินิจงานแกะสลักที่งดงามตรงหน้า มองดูส่วนโค้งงามบนช่วงอกของมันกับกรงเล็บราชสีห์ดูแข็งแรง

มันคืออัปซาซู

ลามาซูเฝ้าประตูมักจะมีเป็นคู่ เป็นลามาซูเพศผู้คู่กัน

ที่เป็นลามาซูกับอัปซาซูตัวผู้ตัวเมียคู่กันแบบนี้หาได้ยากมาก เธอไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย

ดินแดนแถบนี้มีสภาพสังคมชายนำหญิงตามมาหลายพันปี หรือว่าเป็นเพราะแบบนี้ วันดีคืนดีใครสักคนคงนำมันมาแกะใหม่ เปลี่ยนมันจากเพศหญิงเป็นเพศชาย

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะช่วงอกเปลือยเปล่าอันงดงาม เพราะรอยยิ้มเข้มแข็งแฝงความมั่นใจ เพราะท่าทางแข็งแกร่งเปี่ยมไปด้วยพลังของมัน หรือว่าเพื่อรักษาผลงานสลักชิ้นงามนี้ไม่ให้ถูกคนทำลายทิ้ง คนผู้นั้นถึงได้เปลี่ยนรูปโฉมของมันไว้

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะทำด้วยเหตุผลอะไร มันถูกซ่อนโดยการปกปิดไว้ด้วยดินเหนียว ถอดแบบคู่ของมันปั้นขึ้นเป็นตัวลามาซู เพราะอย่างนี้ถึงเก็บมันไว้ในสภาพที่สมบูรณ์ได้

อัปซาซูภายใต้แสงไฟตรงหน้าดูราวกับกำลังส่องประกาย

อัปซาซูชิ้นนี้งดงามจริงๆ เมื่อลูบไล้ไปตามรอยแกะสลักเธอก็แทบจะรับรู้ได้ถึงความตั้งใจของช่างที่แกะมันขึ้นมา

ขณะที่เธอกำลังปลาบปลื้มใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทันใดนั้นก็มีเสียงเบาๆ ดังมาจากทางประตู

เธอเงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ เห็นประตูห้องถูกผลักเปิดออก

คนเปิดประตูเห็นเธอนั่งอยู่หน้าโต๊ะก็ชะงักนิ่งอยู่กับที่

เธอก็เช่นกัน นั่งนิ่งอึ้งอยู่บนเก้าอี้

ผู้มาเยือนยังคงยืนอยู่นอกประตู แสงไฟบนระเบียงสาดส่องให้เห็นรูปลักษณ์เขาอย่างชัดเจน

เป็นชายคนเมื่อตอนกลางวันคนที่แม้ตกอยู่ใต้สถานการณ์คับขันก็ยังยิ้มออกมาได้

อึดใจนั้นเธอไม่รู้ว่าควรร้องตะโกน โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ หรือว่าลุกขึ้นวิ่งหนี

เขาคงจะเห็นเธอเหลือบมองโทรศัพท์บนโต๊ะ จึงยกมุมปากขึ้นพูดว่า

“ถ้าผมบอกว่านี่เป็นบริการรูมเซอร์วิส คุณคงไม่เชื่อสินะ”

เธอกะพริบตาปริบๆ สมองหยุดทำงาน ผ่านไปหนึ่งวินาทีเธอถึงค่อยตระหนักได้ว่าเขากำลังพูดภาษาจีน แถมยังพูดจาติดตลกด้วย

“ตอนนี้…” เธอเหลือบตามองนาฬิกาบนโต๊ะแล้วก็ต้องตกใจ

ตายแล้ว ตีสี่

ดูจากความมืดมิดภายนอกหน้าต่างแล้ว เธอคาดว่าตอนนี้เป็นเวลาตีสี่ ไม่ใช่สี่โมงเย็น

เธอสงบสติอารมณ์มองดูชายที่ยืนอยู่ที่ประตูคนนั้น พูดว่า “…ตีสี่ ฉันว่าคงไม่มีโรงแรมที่ไหนให้บริการรูมเซอร์วิสในเวลานี้หรอก”

เขายิ้มอีกครั้ง ปล่อยลูกบิดประตู แล้วยกสองมือกอดอกยืนพิงกรอบประตูไว้ พูดยิ้มๆ ว่า “เอ ที่จริงแล้วผมแน่ใจว่ามีที่พักหรือโรงแรมไม่น้อยนะที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงสามร้อยหกสิบห้าวัน พยายามให้บริการแก่ลูกค้าทุกเวลาที่ลูกค้าต้องการ”

เธอทำเป็นนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ ทั้งที่หัวใจเต้นแรงแทบกระดอนออกจากอก ข้างกายเธอไม่มีสิ่งของใดจะใช้เป็นอาวุธได้เลย

ตอนนี้เป็นเวลาตีสี่ คนส่วนใหญ่คงหลับสนิทกันแล้ว เธอต้องร้องดังแค่ไหนถึงจะปลุกคนให้ตื่นจากการหลับลึกได้

ขณะที่ความคิดนี้แวบเข้ามา เธอก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทำไมชายคนนี้ถึงมาปรากฏตัวหน้าประตูห้องเธอในเวลาแบบนี้

นั่นเพราะเวลาแบบนี้ทุกคนต่างก็กำลังหลับใหล

ชายตรงหน้าแม้จะไม่ได้เข้ามาใกล้ขึ้น แต่ก็ไม่ได้ถอยออกไปไหน

การที่เขาหยุดอยู่ที่ประตูทำให้เธอใจเต้นรัว เธอได้ยินเสียงตัวเองถามออกไปว่า

“คุณเป็นใคร ทำไมถึงรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ คุณสะกดรอยตามฉันมาหรือ”

เธอแน่ใจว่าเธอไม่รู้จักกับชายตรงหน้า

เทียบกับความตื่นตระหนกของเธอแล้ว เขาดูสงบนิ่งกว่ามาก ร่างบึกบึนของเขาพิงอยู่กับกรอบประตู เธอไม่ได้เปิดไฟในห้อง แสงไฟจากระเบียงจึงทำให้ใบหน้าของเขาตกอยู่ในความสลัว แต่ก็ยังขับเน้นกล้ามเนื้อบนช่วงไหล่ของเขา

เธอเชื่อว่าส่วนอื่นบนร่างกายเขาก็คงกำยำไม่แพ้กัน ภาพฉากเมื่อตอนกลางวันผุดขึ้นในความทรงจำอย่างกะทันหัน เธอจำได้ว่าเขาเหวี่ยงเธอที่ตัวค่อนข้างหนักไปมาได้อย่างง่ายดายเพียงไร แล้วก็จำได้ว่าเขาเอาชนะชายไว้เคราได้อย่างไรทั้งที่มีเธอพ่วงอยู่ด้วย

เธอแน่ใจว่าเขาต่อยเธอสลบได้ในครั้งเดียว

เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ยกมือขึ้นเสยผมแล้วยิ้มอีกครั้ง

เพียงแต่ครั้งนี้รอยยิ้มบนในหน้าเขานั้นดูเหมือนจะจนใจ ตามด้วยถอนหายใจแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ของเธอออกมาจากกระเป๋าหลังกางเกงยีน พร้อมกับพูดว่า “ผมเอากระเป๋าสตางค์ของคุณมา ในนั้นมีนามบัตรของโรงแรม รู้ไหมว่าคุณไม่ควรเขียนเลขห้องไว้บนนั้นจริงๆ นะ”

เธอนิ่งงัน เมื่อเขาโยนกระเป๋าสตางค์มาให้ก็ยื่นมือไปรับอย่างงุ่มง่าม ความจริงเขาโยนได้แม่นมาก เดิมกระเป๋าสตางค์ใบนั้นควรจะหล่นลงมาในอ้อมแขนเธอพอดี แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเธออ่อนหัดด้านกีฬา อารามตกใจไม่ทันตั้งตัว มือขวาเธอก็ไปปัดกระเป๋าสตางค์ที่สมควรจะรับได้ในตอนแรก ท่ามกลางความวุ่นวายเธอใช้มือซ้ายคว้าคืนมา ผลก็คือใช้แรงมากไปทำให้กระเป๋าสตางค์ลอยข้ามหัว เธอรีบหมุนตัวไปรับด้วยมือขวาแต่รับไม่ได้ จึงรีบยื่นมือซ้ายไปรับ สุดท้ายก็เสียหลักจากเก้าอี้ล้มไปด้านหลัง

ขณะที่กำลังจะลงไปจูบกับพื้น เธอก็ร้องเสียงหลง

กระเป๋าสตางค์กระเด็น เก้าอี้ล้มลงกับพื้น แต่เธอไม่ล้ม

ในห้วงคับขันจวนเจียน ชายคนนั้นเคลื่อนจากทางประตูเข้ามาคว้าเอวของเธอไว้ราวปาฏิหาริย์ เธอไม่ทันได้เห็นหรอก เพราะขาดอีกแค่ไม่กี่เซนติเมตรหน้าของเธอก็จะทิ่มถึงพื้นเพราะความซุ่มซ่าม แต่เธอรู้สึกถึงมือของเขา มือใหญ่และแขนแกร่งที่รั้งและเหวี่ยงตัวเธอไปมาเมื่อตอนกลางวันกลับมาวางบนรอบเอวของเธออีกครั้ง

วินาทีต่อมา เธอถูกดึงขึ้นมาจากพื้น สองเท้าได้ยืนมั่นคงอีกครั้ง

“เหวอ อันตรายจริงๆ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”

บรรยากาศน่าอึดอัดดำเนินไปครู่หนึ่ง

พอตั้งสติได้เธอก็หันขวับ เห็นเขาชูสองมือขึ้นเป็นท่ายอมจำนนแล้วถอยไปข้างหลังก้าวหนึ่ง เอ่ยปากทั้งรอยยิ้ม

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้”

เธอหน้าแดง ทั้งเคืองทั้งประหม่า ถอยออกมาจ้องหน้าเขาแล้วพูดว่า “ฉันเป็นนักวิจัยประวัติศาสตร์ มาที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยนวิจัย ฉันไม่มีของมีค่าอะไรติดตัวทั้งนั้น”

“อันที่จริงแล้วคุณมี” เขาเลิกคิ้วขึ้น นัยน์ตาแฝงรอยยิ้ม

เธอนิ่งไป “ฉันไม่มี”

“คุณมี” เขายังคงชูมือสูงขึ้นเพื่อแสดงว่าไม่มีเจตนาร้าย แต่มือขวากลับชี้ไปยังกระเป๋าที่เธอทิ้งไว้บนเตียงเมื่อตอนกลับมา “ตอนผมเอากระเป๋าสตางค์ของคุณมา ผมยังใส่ของลงไปด้วย”

เธอนิ่งไปอีกครั้ง

ก็ใช่ ตอนนั้นเธอกำลังง่วนอยู่กับการกอบกู้ลามาซู…อัปซาซู ที่จริงเธอไม่ได้สนใจเลยว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่

เวลาเธอออกนอกประเทศมักจะพกกระเป๋าสตางค์สองใบเพื่อความสะดวก ใบหนึ่งเล็กใบหนึ่งใหญ่ ใบเล็กไว้ใส่เศษเหรียญกับธนบัตรไม่กี่ใบ ปกติก็จะใช้เศษเหรียญในกระเป๋าสตางค์ใบเล็ก ในเวลาจำเป็นถึงจะใช้กระเป๋าสตางค์ใบใหญ่ที่มีสิ่งใช้ระบุตัวตน แต่ตลอดทางขากลับนอกจากเงินค่ารถประจำทางก็ไม่ได้จับจ่ายอะไรอีก พอกลับมาถึงก็เอาแต่จดจ่ออยู่กับแผ่นดินเหนียวแผ่นนั้น เลยไม่ได้รับรู้ว่ากระเป๋าสตางค์หายไป

ว่าตามจริงเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเอากระเป๋าสตางค์ของเธอไปตอนไหน ก็ต้องไม่รู้อยู่แล้วว่าเขาใส่ของลงไปตอนไหน

แต่จะว่าไปตอนนั้นออกจะวุ่นวาย เขามีโอกาสทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไรกัน

“ตอนที่คุณล้มลงแล้วเอาแต่กอบกู้เจ้าก้อนหินนั่นไงล่ะ”

คำพูดของเขาที่อยู่ๆ ก็สวนมาทำเอาเธอสะดุ้งได้สติคืน ถึงได้รู้ว่าเมื่อกี้เผลอพูดสิ่งที่สงสัยออกไป

“นั่นไม่ใช่ก้อนหิน แต่เป็นแผ่นดินเหนียวต่างหาก มันคือลามาซู…อัปซาซู ปกติต้องมีเป็นคู่ ผู้คนวางมันไว้หน้าประตูหรือไม่ก็ฝังไว้ที่ฐานประตูบ้านให้เป็นสัตว์เทพทำหน้าที่คุ้มครอง พวกมันเป็นสัตว์เทพที่แข็งแกร่งและมีพละกำลังมาก สามารถปัดเป่าความชั่วร้าย ฉันมีอยู่แล้วตัวหนึ่ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาคู่ของมันเจอ พวกมัน…” เธอชินกับการตอบคำถาม พูดไปถึงครึ่งค่อยรู้ตัว ไม่รู้ว่าตัวเองจะอธิบายให้เขาฟังไปทำไม แถมชายคนนี้ยังบุกรุกห้องของเธอ เธอเป็นบ้าอะไรเนี่ย กลัวคนไม่รู้หรือว่าเธอเจอของมีค่า

เธอรีบบังคับตัวเองให้หยุดปาก โชคดีที่ผู้ชายตรงหน้าดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอัปซาซูบนโต๊ะเลยแม้แต่น้อย

เขาเพียงยักไหล่ พูดว่า “คุณก็น่าจะรู้แล้วว่าตอนนั้นผมไม่ค่อยสะดวก ก็เลยยืมใช้กระเป๋าของคุณ ที่ผมเอากระเป๋าสตางค์คุณมาก็เพื่อจะได้รู้ที่อยู่ของคุณ คุณจะตรวจกระเป๋าสตางค์คุณก่อนก็ได้ ผมรับประกันว่าไม่มีอะไรหายไป ที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อมาเอาของคืน ได้ของแล้วผมจะไป โอเคไหม”

ไม่ค่อยสะดวก? ก็เลยฝากไว้? คำพูดพวกนี้ช่างฟังดูดี เขาในตอนนั้นไม่ใช่ว่าโดนไล่ฆ่าอยู่หรือไง

เธอห้ามตัวเองไม่ให้ก้มลงเก็บกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาตรวจดู ขณะที่จับตาดูชายคนนั้นพูดเธอก็ค่อยๆ ลดมือลง เอื้อมไปที่กระเป๋าของเธอบนเตียง

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ถามความเห็นเธอจริงๆ

เขาคว้ากระเป๋าเธอไปอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบแผ่นโลหะที่เธอไม่เคยพบเห็นมาก่อนออกมาจากกระเป๋าเธอ วัตถุนั้นมีสีดำ และบนนั้นยังมีสายไฟสีสันต่างกัน

เขานำโลหะแผ่นนั้นเก็บใส่กระเป๋ากางเกงที่บั้นท้าย วางกระเป๋าเธอกลับคืนไปที่เดิม

“นั่นคืออะไร”

พอพูดออกไปเธอก็เสียใจทีหลัง รีบยกสองมือขึ้นหันฝ่ามือไปทางเขาแล้วพูด

“เอาเถอะ ไม่ต้องพูด ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ฉันไม่อยากรู้”

เขาเหลือบตาขึ้นมอง ยกมุมปากขึ้นอีกครั้งเป็นรอยยิ้มที่น่าหลงใหล

“ฉลาดนี่” เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “แต่ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังหรอก นี่มันก็แค่…”

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่อยากรู้…” พอเขาเริ่มเอ่ยปาก เธอก็รีบร้องห้าม

“ชิ้นส่วนของระเบิดลูกหนึ่งน่ะ” แต่เขาไม่หยุด

“ก็ฉันบอกว่าฉันไม่อยาก…คุณว่าไงนะ! คุณวางระเบิดไว้ในกระเป๋าฉันงั้นเหรอ!” เธอมองเขาด้วยความตระหนก “บ้าจริง ฉันบอกว่าไม่อยากรู้ไงล่ะ!”

“ไม่ใช่ระเบิด แค่ชิ้นส่วนส่วนเดียว” เขามองเธอยิ้มๆ “ไม่ใช่ส่วนที่เป็นชนวนสักหน่อย คนที่ไล่ตามผมเมื่อตอนกลางวันเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้าย ตอนแรกพวกเขาจะวางระเบิดในแบกแดด ผมแยกส่วนนี้ออกมา ทำให้ระเบิดใช้การไม่ได้ พอไม่มีปัญญาจะก่อเหตุ พวกเขาถึงได้โกรธขนาดนั้น โชคดีได้ความช่วยเหลือจากคุณ”

พูดพลางเขาก็อาศัยจังหวะที่เธอไม่ทันตั้งตัวก้มลงหอมแก้มเธอ

“ขอบคุณนะ”

เธอพ่นลมพรืด กุมแก้มตัวเองอย่างรวดเร็ว พูดทั้งหน้าแดงจรดใบหู “ฉันไม่ได้ช่วยคุณ!”

“คุณช่วย เพียงแต่คุณไม่รู้” เขาหัวเราะอย่างเบิกบานสุดขีดขณะที่หมุนตัวเดินกลับไปยังประตูพลางพูด “อ้อใช่ ถ้าหากผมเป็นคุณ ผมจะรีบหยิบตั๋วเครื่องบินใบนั้นและเก็บสัมภาระเดินทางกลับบ้านทันที”

“ตั๋วเครื่องบินไหน” เธออึ้ง ถามอย่างงงงัน

“ที่กระเป๋ากางเกงขาสั้นของคุณ”

ชายหนุ่มกล่าวทิ้งท้ายโดยไม่หันมามอง แล้วเดินออกจากห้องของเธอไป

เมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็ล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองดู พบตั๋วเครื่องบินออนไลน์หนึ่งใบ ในนั้นพิมพ์เป็นชื่อภาษาอังกฤษของเธอ

เธอไม่รู้เลยว่าเขาใส่ตั๋วเครื่องบินลงในกระเป๋ากางเกงเธอตอนไหน เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นจากตั๋วใบนั้นก็พบว่าประตูห้องของเธอปิดเสียแล้ว

ในห้องกลับคืนสู่ความเงียบดังเดิม

หากไม่ใช่เพราะเก้าอี้ที่ล้มลงบนพื้นกับตั๋วเครื่องบินออนไลน์ในมือ เธอคงคิดว่าตัวเองเผลอหลับฝันไป

หัวใจยังคงเต้นรัวเร็วอยู่ในอก

ผ่านไปสักพักเธอค่อยได้สติ รีบเดินไปล็อกกุญแจด้านในบนประตูที่ลืมล็อกก่อนหน้านี้

แต่ว่าแบบนี้ก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี

เธอมองดูรอยพับตั๋วเครื่องบินอิเล็กทรอนิกส์ ก่อนจะสบถเบาๆ

“บ้าจริง”

แม้จะไม่อยากทำตามที่ชายคนนั้นบอก แต่เธอรู้ว่าการแลกเปลี่ยนวิจัยของเธอคงสิ้นสุดเพียงเท่านี้

กลุ่มผู้ก่อการร้าย? ระเบิด?

อย่าล้อเล่นไปหน่อยเลย ต่อให้เธอชื่นชอบเมโสโปเตเมียกับดินแดนระหว่างสองลุ่มแม่น้ำแค่ไหนก็ไม่อยากจะเสี่ยงเอาชีวิตมาทิ้งหรอก

เธอเป็นนักวิจัยคนหนึ่ง ไม่ใช่คนในกองกำลังพิเศษหรือหน่วยปฏิบัติการสอดแนม

สวรรค์รู้ว่าสมัยที่เธอเรียนหนังสือ หนึ่งร้อยเมตรเธอใช้เวลาวิ่งตั้งยี่สิบสามวินาที ถ้าหากชายไว้เครานึกถึงเธอขึ้นมา แล้วบังเอิญเจอเธอตามท้องถนน ต่อให้เธอมีสักเก้าชีวิตก็คงไม่รอด

ผืนฟ้าแผ่นดินกว้างใหญ่ ชีวิตเล็กๆ ของเธอก็ยิ่งใหญ่ ตอนนี้เทคโนโลยีพัฒนาไปไกล เธอกลับประเทศไปแล้วยังสามารถใช้อินเตอร์เน็ตติดต่อกับนักวิจัยที่นี่ได้

ตัดสินใจได้ดังนี้เธอก็กลับไปยังโต๊ะทำงาน เริ่มลงมือจัดกระเป๋าและเขียนอีเมล์ส่งไปขอโทษกับทางศูนย์วิจัยท้องถิ่น แต่งเรื่องว่ามีคนในครอบครัวล้มป่วยต้องรีบกลับไปดูแล

ฟ้ายังไม่ทันสาง เธอก็นั่งรถมาถึงสนามบิน

ไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง เธอก็นั่งอยู่บนเครื่องบินออกจากประเทศแห่งนี้ไป

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

sangdow Marcom: