บทที่ 5
ประตูบ้านของเธอมีสลักประตูเพิ่มมาชิ้นหนึ่ง
เสี่ยวหม่านมองสลักประตูชิ้นนั้นก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ
หลายวันก่อนตอนที่เธอเห็นสลักประตูก็งงงัน
เธอไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเขาออกจากบ้านหรือไปหาของชิ้นนี้มาตอนไหน บ้านเธอไม่มีอุปกรณ์ชนิดนี้ แสดงว่าเขาต้องออกไปซื้อมา
หรือว่าจะสั่งซื้อออนไลน์
แต่จะว่าไปวันหนึ่งเธอก็ไม่อยู่บ้านตั้งสิบชั่วโมง
ช่วงไม่กี่วันแรกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่นอนอยู่บนเตียง ต่อมาพออาการเริ่มดีขึ้นก็มีช่วงตื่นนานขึ้น กินอาหารก็มากขึ้น ก่อนที่จะรู้จักกับเขา เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าผู้ชายจะกินได้เยอะขนาดนี้ ทุกวันหลังเลิกงานสิ่งที่เธอทำเป็นอย่างแรกคือไปซื้อของกินเข้ามา
กระเพาะของเขานี่อย่างกับหลุมดำ
ที่แย่ที่สุดก็คือ…เขากินเข้าไปมากขนาดนั้น หุ่นยังดีอยู่เลย!
ใช่ว่าเธอจะไม่เคยเห็นผู้ชายหุ่นดีมาก่อน ตั้งแต่เธอเรียนมัธยมปลายจนถึงมหาวิทยาลัยที่อเมริกา เธอเจอคนที่เล่นกล้ามเป็นงานอดิเรกอยู่ไม่น้อย แต่มีไม่กี่คนที่จะมีซิกแพคกับวีไลน์ขึ้นแบบเขา
แม้ว่าตอนหลังเขาจะรู้จักใส่กางเกงเวลานอนแล้ว แต่เขายังคงไม่ชอบสวมเสื้อท่อนบนอาจเป็นเพราะผ้าพันแผล การใส่เสื้อผ้าคงจะทำให้เขาอึดอัดจริงๆ เวลาส่วนใหญ่เขาจึงมักจะเปลือยท่อนบน ทำเอาเธอเผลอทีไรเป็นต้องมองทุกที
เมื่อวานเธอเกือบจะเดินชนผนังเพราะเหตุนี้ น่าขายหน้ามาก ยังดีที่เขาไม่ทันสังเกต
ที่จริงแล้วเธอไม่รู้เลยว่าจะจัดการกับผู้ชายคนนี้อย่างไรดี
ทุกวันเมื่อเธอเลิกงานกลับถึงบ้านจะต้องมีอะไรให้เธอแปลกใจอยู่ตลอดเวลา
หลอดไฟดวงเล็กที่หลังบ้านเธอถูกเปลี่ยนใหม่ มีการติดตั้งสายดินของเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งประตูหน้าประตูหลังก็ติดตั้งสลักที่ต้องล็อกจากด้านใน
เกิ่งเนี่ยนถังเป็นคนมีอารมณ์ขัน แม้ภายนอกจะชอบสัพยอกหยอกล้อเธออยู่บ่อยๆ แต่มันก็เท่านั้น เมื่ออยู่ด้วยกันได้ระยะหนึ่งเธอก็มองออกว่าเขาได้รับการอบรมมาดีจริงๆ เธอไม่ได้คิดไปเอง
เขาล้างจานและซักเสื้อผ้าเป็น เขายืมเครื่องซักผ้าเธอซักผ้าใช้แล้วทั้งหมดในกระเป๋าเดินทาง
เขาเปลี่ยนผ้าพันแผลเองทุกวัน และจัดการกับผ้าพันแผลที่ใช้แล้วได้อย่างเรียบร้อย ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากช่วย เพียงแต่ในตอนกลางวันที่เธอไปทำงานเขาก็เปลี่ยนเองเสร็จสรรพ
เขาวางของที่หยิบเอามาใช้ทุกอย่างกลับคืนที่เดิม แขวนผ้าเช็ดตัวให้เรียบร้อยแทนที่จะวางพาดไว้ แม้ว่าจะบาดเจ็บอยู่ แต่เขาก็ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ และยังเก็บเสื้อผ้าและถุงเท้าที่ซักกับปั่นแห้งแล้วไปทั้งหมด ไม่ได้ปล่อยให้คาอยู่ในเครื่องปั่น
เขายังช่วยทิ้งขยะและทำแม้กระทั่งล้างห้องน้ำ ใช้โถส้วมเสร็จก็จะวางฝารองนั่งกลับคืนที่เดิม
แล้วก็สลักประตูเหล่านั้น
ตอนเธอถามเขา เขาก็บอกว่าแบบนี้จะได้ปลอดภัยขึ้น
‘กุญแจประตูบ้านคุณเก่าไปแล้ว ผมกระตุกนิดเดียวก็เปิด’ เขาพูดอย่างมีเหตุผล ‘สลักประตูแม้จะไม่ซับซ้อน แต่ก็มีประโยชน์แล้วก็ราคาถูก คุณแค่ต้องไม่ลืมล็อกมันทุกครั้งหลังเข้าบ้านมา’
‘ใครจะไปเหมือนคุณ เที่ยวบุกรุกที่อยู่ชาวบ้านเขายามวิกาล’
‘กันไว้ดีกว่าแก้ คุณก็รู้’
เธออยากจะหัวเราะ แต่ก็รู้ว่าเขาพูดถูก เธอทราบดีว่าเขาทำเพื่อเธอ
สวรรค์ เธออยากจะรู้จริงๆ ว่าใครกันนะที่อบรมเลี้ยงดูเขามาได้ดีขนาดนี้
น่าจะเป็นผู้หญิงสักคน
ไม่รู้ว่าเป็นแม่หรือว่าแฟนเขา หรือจะเป็นภรรยาเขากันนะ
แม้เธอจะรู้สึกว่าเขาน่าจะยังไม่แต่งงาน แถมอยู่มาหลายวันอย่างนี้ยังไม่ใส่แหวนแต่งงานให้เห็น แต่ใครจะไปรู้ล่ะ
อย่างน้อยเธอกับเขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์กำกวมต่อกัน แต่เรื่องอย่างนี้เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง เธอควรจะถามเขาให้ชัดเจน
เสี่ยวหม่านลงกลอนประตู หอบเอาของกินถุงใหญ่น้อยเข้ามา เขากำลังเปลือยร่างท่อนบนเดินเข้ามาในห้องรับแขกด้วยสภาพที่ทั่วทั้งตัวเปรอะเปื้อนคราบเขม่า ระหว่างที่เขาเดิน ฝุ่นเขม่าก็ร่วงลงมา พอเห็นเธอก็ไม่ลืมที่จะยิ้มและโบกมือทักทาย
“ไฮ กลับมาแล้วหรือ”
เธอปากอ้าตาค้างมองดูชายที่ราวกับไปกลิ้งอยู่ในกองขี้เถ้ามา
“เย็นนี้มีอะไรกิน” เขาเดินมาทางเธอ หน้าครึ่งหนึ่งดำครึ่งหนึ่งเทา แม้แต่บนผมก็ยังเปื้อน กางเกงยีนกับผ้าพันแผลยิ่งแล้วใหญ่
“ชีส แฮม ขนมปัง สเต็กเนื้อวัวกับแอปเปิล” เธอไม่ได้ห้ามเขาช่วยถือของ แค่ถาม “เกิดอะไรขึ้น คุณไปทำอะไรที่ไหนมาถึงได้มีสภาพแบบนี้”
“ในปล่องไฟ” เขาชี้ไปที่เตาผิงของห้องรับแขก ตอบยิ้มๆ “คุณมีเตาผิงของแท้ ผมเลยสงสัยว่ามันยังใช้งานได้อยู่มั้ย”
เธอนิ่งไปอีกครั้ง อันที่จริงตั้งแต่ย้ายเข้ามาเธอก็ยังไม่ได้พิสูจน์
“สวรรค์ คุณรู้ตัวใช่มั้ยว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เขาถือของไปที่ห้องครัว กล่าวยิ้มๆ “แผลเริ่มจะสมานแล้ว คันมากเลย เตือนให้ผมรู้ตัวเป็นพักๆ”
ขณะพูดเขาก็เกาผ้าพันแผลสองที
เธอเดินตามหลังเขาไป ทั้งโกรธระคนขำ ได้แต่ถาม
“ตกลงว่าใช้ได้ใช่มั้ย”
“ข้างบนมีรังนก ผมเอามันออกไปแล้ว”
“สมัยนี้ไม่มีใครเขาใช้เตาผิงกันแล้ว” เธออดพูดไม่ได้ “คุณรู้นี่ว่าบ้านฉันมีฮีตเตอร์”
“คุณไม่มีวันรู้หรอกว่าจะได้ใช้มันตอนไหน” เขากอดอกว่า “ลอนดอนมีหิมะตก แล้วถ้าวันนั้นเกิดไฟดับขึ้นมาล่ะ”
“ถึงจะไฟดับแต่ฉันก็ไม่มีฟืนให้เผาอยู่ดี”
“คุณมีนะ เครื่องใช้ในบ้านทำจากไม้ทั้งนั้นเลย” เขายิ้มให้เธอขณะวางของลงบนโต๊ะอาหาร
“เครื่องใช้พวกนี้ไม่ใช่ของฉันสักหน่อย เป็นของเจ้าของบ้าน อีกอย่างเขตนี้เป็นเขตปลอดควัน จะก่อเพลิงไม่ได้” เธอพูดขำๆ “เอาเถอะ คุณรีบไปอาบน้ำทำความสะอาดดีกว่า ใครมาเห็นเข้าจะนึกว่าคุณกำลังเล่นบทโอลิเวอร์ ทวิสต์”
“โอลิเวอร์ ทวิสต์? ไม่ใช่วูฟเวอรีนหรอกหรือ โฮก…”
ว่าแล้วก็กำสองมือขึ้นทำท่าอย่างวูฟเวอรีน เบ่งกล้ามแยกเขี้ยวอ้าปากร้องคำราม ทำเธอกรีดร้องตกใจก่อนจะหัวเราะออกมา
“รีบไปอาบน้ำ” เธอยิ้มและสั่ง “แล้วมากินข้าว”
“Yes sir!”
เขาทำท่าวันทยหัตถ์ ฉวยแอปเปิลหนึ่งลูกเข้าห้องไปอาบน้ำ
“แล้วคุณแต่งงานยัง”
“ยัง” เขาพูดหน้าไม่เปลี่ยนสี
“ดีแล้ว” เธอก้มหน้ากินเนื้อสเต็กอยู่ สักพักก็นิ่งไปก่อนจะรีบอธิบายว่า “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ แค่ไม่อยากให้ใครต่อใครเข้าใจผิด”
“ผมยังไม่แต่งงาน ไม่มีภรรยา แล้วก็ไม่มีแฟน” เขาจ้องเธอ ส่งยิ้มให้แล้วกล่าว “ตอนนี้ยังไม่มี”
เธอกลอกตา เกือบหลุดคำว่าดีแล้วออกมาอีกครั้ง แต่ก็รีบหั่นสเต็กเข้าปากหยุดตัวเองไม่ให้พูดจาเลอะเทอะ แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงสายตาของเขา
“ผมยังไม่ได้แต่งงานจริงๆ” เขาหัวเราะขบขัน “ผมสาบานได้ ให้คุณดูบัตรประชาชนผมก็ได้”
“ไม่ต้องหรอก” เธอหน้าแดงถึงใบหู “ฉันไม่ได้อยากจะทำตัวเป็นนักสืบ ฉันแค่ไม่อยากเดินๆ อยู่ก็ถูกคนกล่าวหาว่าเป็นมือที่สาม”
“แม่คนแสนซื่อ เวลาแบบนี้คุณควรจะยืนกรานขอดูบัตรประชาชนถึงจะถูก ผู้ชายมีแต่พวกไร้ยางอาย พอคิดจะทำอย่างว่าขึ้นมา คำสาบานก็แค่พูดๆ ไปงั้น คำสาบานในเวลาแบบนี้ก็แค่เพื่อหยุดปากผู้หญิง ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงมากน้อยแค่ไหนต้องมาเสียรู้ให้กับไม้นี้”
พูดบ้าอะไรเนี่ย!
ทว่าคำพูดของเขาก็ทำให้เธอต้องยิ้มอีกครั้ง อดตีฝีปากต่อไม่ได้
“บัตรประชาชนก็ปลอมแปลงได้”
“เพราะฉะนั้นต้องขอดูพาสปอร์ตประกอบด้วย แล้วก็อย่าลืมไปส่องตามโซเชียล เอารูปเขาไปเสิร์ชอีกทีบนกูเกิลด้วย” เขาพูดไปก็แกว่งมีดหั่นสเต็กไป “คุณไม่รู้หรอกว่ามีคนโง่ที่โพสต์ข้อมูลส่วนตัวแถมตั้งค่ารูปภาพเปิดเป็นสาธารณะเยอะมากแค่ไหน”
“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ ครั้งหน้าฉันจะยืนกรานขอตรวจสอบต่อแน่นอน สืบค้นไปถึงบรรพบุรุษแปดชั่วโคตร เอาให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่เป็นมือที่สามที่สี่ที่ห้า ค่อยตกลงเป็น…เพื่อน…เขา!”
พอพูดถึงสองคำสุดท้าย เธอก็จงใจเน้นเสียง
เขาหัวเราะ เลิกคิ้วกล่าว “จะคบเพื่อนก็ต้องระวังให้ดี คบเพื่อนผิดชีวิตเปลี่ยน”
“อย่างคบคุณ?”
คำพูดนี้ตบมุกได้ดังมาก เขาหัวเราะฮาใหญ่ทำให้เธอพลอยหัวเราะตาม
เขาคนนี้ช่างเป็นคู่หูที่น่าสนใจจริงๆ
มีชีวิตชีวา ร่าเริงแจ่มใส บางครั้งก็ทำให้เธอโกรธแทบตาย บางครั้งก็ทะเล้นทำให้เธอได้หัวเราะดังๆ
ตั้งแต่ไปเรียนหนังสือที่อเมริกาเป็นต้นมา เธอใช้เวลาส่วนใหญ่อาศัยอยู่คนเดียวในหอนอก ชินกับการอยู่คนเดียวตั้งนานแล้ว แทบจะลืมว่าการอยู่กับคนอื่น ได้คุยเล่นกันแบบนี้น่าเบิกบานใจแค่ไหน มีคนกินข้าว ดูหนัง พูดคุยสัพเพเหระร่วมกันเป็นรสชาติอย่างไร
ว่าตามจริง เธอย้ายมาที่นี่ได้ไม่กี่เดือน ได้เปิดทีวีดูแค่ไม่กี่ครั้งเอง
ก่อนหน้านี้เธอไปทำงานทุกวัน ทำวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และโบราณคดี ยุ่งเสียจนกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ปาเข้าไปสองสามทุ่มแล้ว ที่ผ่านมาเธอคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว อยู่บ้านดูทีวีเป็นอะไรที่เสียเวลา แต่ตอนนี้เธอกลับพบว่าการใช้เวลาทั้งวันขลุกอยู่กับการอ่านข้อมูลจนสายตาพร่าพราย พอได้กลับบ้านมาพักผ่อนสักหน่อย เช้าวันถัดไปก็จะทำงานได้ประสิทธิผลดีขึ้น มีสมาธิมากขึ้น
ในช่วงที่เขามาพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ พอเขากินอาหารเสร็จก็จะลุกไปดูทีวีที่ห้องรับแขก ให้เธอได้กลับห้องเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเป็นธรรมชาติ
บางครั้งเวลาเธออาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนออกมาจากห้อง ถ้าเขายังดูรายการทีวีไม่จบ เธอก็จะไปนั่งบนโซฟาดูทีวีกับเขาด้วย ที่ทำให้เธอแปลกใจก็คือเขาไม่ชอบดูรายการข่าว แต่ชอบดูช่องหนังกับถ่ายทอดสดกีฬา ที่เธอเหลือเชื่ออีกอย่างก็คือเขาชอบดูรายการทำอาหารมากเป็นพิเศษ
เขาเล่าให้ฟังว่ามีน้าสาวที่ทำอาหารเก่งมาก เสริมอีกว่าอาของเขาทักษะการทำอาหารย่ำแย่มาก แต่ก็ยังเปิดร้านอาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้ร้านเจ๊งจึงไปดึงตัวน้าสาวที่ฝีมือการทำอาหารเป็นเลิศมาโดยด่วน แล้วก็สู่ขอเธอ
เรื่องที่เขาเล่ามานั้น เธอฟังไปหัวเราะไป ไม่ได้เก็บมาคิดจริงจัง
เขาอยู่ที่นี่ได้ครึ่งเดือน รอยฟกช้ำดำเขียวบนใบหน้าค่อยเปลี่ยนเป็นจางลง
ในช่วงนี้เธอจะนอนบนโซฟา เธอไม่มีปัญหาอะไรกับการนอนโซฟาเพราะเธอเองก็ไม่ใช่คนตัวสูง ยืดตัวนอนตามปกติบนโซฟาได้ ไม่ได้ยุ่งยากอะไร
แต่ที่ยุ่งยากก็คือพอเขาอาการดีขึ้นแล้ว เธอไม่อาจเมินข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเป็นชายหน้าตาหล่อเหลามีเสน่ห์ รูปร่างสูงล่ำ โดยเฉพาะในเวลาที่พวกเขาทั้งสองคนนั่งอยู่บนโซฟาดูทีวีด้วยกัน มันช่างเป็นเรื่องยากสำหรับเธอจริงๆ
กินอิ่มอาบน้ำเสร็จ ข้างนอกฟ้ามืด คนสองคนมานั่งด้วยกันบนโซฟาอันอบอุ่น ช่างยากที่จะไม่ให้คนคิดอะไรเลยเถิด
เธอรู้สึกถึงความอุ่นจากร่างกายเขา ได้กลิ่นของเขาแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นกลิ่นยา ยิ่งไปกว่านั้นเขาชอบนำท่อนแขนกำยำวางพาดบนขอบโซฟาด้านหลังเธอ บางทีก็ก้มลงมาพูดกับเธอ ทำให้เธอยิ่งเกร็งเข้าไปใหญ่ ไม่ว่าทีวีจะฉายอะไร เธอก็เห็นทุกอย่างพร่ามัวไปหมด
เวลาที่เธอรู้สึกตัวก็จะรีบบังคับตัวเองให้จดจ่ออยู่กับภาพเคลื่อนไหวบนจอ เพื่อไม่ให้เขาจับได้ว่าเธอแอบมองเขาแทนที่จะดูทีวี
ทีวีเปลี่ยนมาฉายโฆษณา เธออดใจไม่อยู่แอบมองเขาอีกครั้ง เขากำลังไถหน้าจอมือถืออยู่
แล้วเธอก็สังเกตเห็นภาพบนจอมือถือของเขาว่าไม่ได้เป็นหน้าจอสำหรับผู้ใช้งาน ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ตอนเธอชาร์จแบตให้เขาก็เห็นแล้วว่ามือถือเขาไม่ใช่มือถือรุ่นที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไป
บนมือถือสีดำนั้นไม่มีชื่อเครื่องหมายการค้าหรือสัญลักษณ์ใดๆ กำกับอยู่ ขนาดบริษัทมือถือที่ดังที่สุดในโลกยังมีตราแอปเปิลโดนกัดเลย
แต่ของเขาไม่มีอะไรเลย
“คุณเป็นสายลับรึเปล่า”
คำถามนี้อยู่ๆ ก็หลุดออกมาจากปาก เธอเองก็ไม่ทันตั้งตัว ส่วนที่มีเหตุผลของเธอรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ควรอยู่ร่วมกับเขา แต่เห็นได้ชัดว่าส่วนที่เป็นความรู้สึกของเธอไม่คิดเช่นนั้น
ตายแล้ว
“คุณไม่จำเป็นต้องตอบ ถือซะว่าฉันไม่ได้ถาม” เธอโพล่ง
ได้ยินดังนั้นเขากลับยิ้ม “ผมไม่ได้เป็น”
“อ้อ” เธอตอบรับคำหนึ่ง บังคับให้ตัวเองมองไปที่หน้าจอ แต่หางตาเห็นเขาเริ่มเล่นโทรศัพท์
ไถแล้วไถอีก…ไถแล้วไถอีก…
โฆษณาจบไปแล้วอีกเรื่อง
ไถแล้วไถอีก…ไถแล้วไถอีก…
เธอขบริมฝีปากเพื่อยั้งตัวเองไว้
ไถแล้วไถอีก…ไถแล้วไถอีก…
โอย! บ้าจริง! ช่างมันเถอะ!
“ถ้าคุณไม่ใช่สายลับ งั้นทำไมถึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ก่อการร้าย” คำถามที่ติดอยู่บนปลายลิ้นหลุดออกมาในที่สุด
“ผมแค่บังเอิญไปเจอระหว่างปฏิบัติหน้าที่” เขาพูดและยิ้มให้เธอ
“งานอะไรถึงได้ไปเกี่ยวโยงกับผู้ก่อการร้าย”
“ตรวจสอบเหตุผิดปกติ”
“ตรวจสอบเหตุผิดปกติ?”
“ผมเป็นคนขององค์กรเรดอาย” เขาพูดพลางเลิกคิ้วยิ้มให้ “ผมเคยให้นามบัตรคุณไปแล้วนี่”
“นามบัตรใครก็ปลอมได้” เธอเลิกแสร้งทำเป็นดูทีวีแล้วหันมาประสานมือไว้ที่อก จ้องมองเขาตรงๆ “อย่ามาล้อเล่นน่า ต่อให้คุณเป็นคนขององค์กรเรดอาย ถ้าคุณมีพ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอาจริง ทำไมได้รับบาดเจ็บแล้วคุณถึงไม่กลับบ้าน มามุดหัวหลบอยู่ที่นี่ทำไม”
“ถามจริง?”
“ถามจริง”
หญิงสาวตรงหน้าพูดด้วยความสงบ ดวงตากลับส่อแววไม่สบายใจ แต่เธอก็ไม่หลบตา
มองเธอแล้วอยู่ๆ หัวใจก็บีบรัดขึ้นมา เขาหุบยิ้มเอามือเสยผมก่อนจะรับคำ
“ความจริงก็คือผมได้รับบาดเจ็บมาแบบนี้ถ้าขืนกลับไปแม่คงตกใจแย่ กลับบริษัทก็คงถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เพราะว่าเจ้านายผมพอดีเป็นพี่เขยผมด้วย นั่นหมายความว่าทั้งเขาทั้งผมจะถูกพี่สาวผมกระทืบเข้าให้ อีกอย่างนั่นจะยิ่งทำให้พี่หลันมองว่าผมยังอายุน้อย ใช้แต่อารมณ์ แล้วก็ขาดวิจารณญาณในการตัดสินใจ”
“บ้าที่สุด ที่ฉันอยากได้ยินคือความจริง” เธอพูดพลางจ้องเขาอย่างโกรธเคือง
“นี่ผมก็พูดความจริง จริงที่สุดเลย”
เขามองดูเธอที่แสดงสีหน้าไม่เชื่อถืออย่างยิ่ง เกิ่งเนี่ยนถังรู้สึกทั้งระอาและเหลืออด ถอนใจแล้วพูดต่อว่า “คุณก็รู้ว่าถ้าผมอยากทำงานสายนี้ต่อ ผมควรจะปกป้องตัวเองได้พร้อมกับพาลูกค้ากลับมาอย่างสมบูรณ์ปลอดภัย แต่บาดแผลจะทำให้ไม่มีใครเชื่อในตัวผม”
ตอนเริ่มพูดฟังดูเหมือนเขากำลังล้อเล่น แต่พอมาถึงตอนท้าย รอยยิ้มกลับเหือดหายไป เขาขมวดคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัว นัยน์ตาส่อแววเคืองขุ่น
“ผมทำพลาด ประเมินพลาดตอนที่ผู้หญิงคนนั้นไล่ตามมา”
ทันใดนั้นเธอก็รู้ว่าเขาพูดความจริง ที่เธอคิดว่าเขาพูดเพ้อเจ้อทั้งเรื่องจระเข้ ป่าอะเมซอน การไล่ล่าของชนเผ่าพื้นเมืองในเขตป่าดิบชื้น ทั้งหมดล้วนเป็นความจริง
“คนเราก็ทำพลาดกันได้” เธอได้ยินตัวเองพูด
“ผมเกือบจะทำทั้งตัวเองและลูกค้าตาย” เขายิ้ม แต่สีหน้ากลับยิ่งขรึมลง จากนั้นเขาก็หลบตาเธอแล้วขบกราม “นั่นเป็นการตัดสินใจที่เกี่ยวพันถึงชีวิต”
เธอตระหนักได้ในทันทีว่าหลายวันมานี้ที่เขาดูเหมือนปลอดโปร่งอารมณ์ดี ในใจกลับจมจ่อมกับความทุกข์ เขาโทษที่ตัวเองทำพลาดมาตลอด
‘บาดแผลจะทำให้ไม่มีใครเชื่อในตัวผม’
ที่เขาต้องการคือความไว้ใจจากใคร ครอบครัว? เพื่อนร่วมงาน?
คงจะเป็นทั้งหมด เขาเลยมาซ่อนอยู่ที่นี่ ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
“คุณมันโง่เง่า”
คำพูดเธอทำให้เขาชะงัก เงยหน้าขึ้นมอง
“เอ๊ะ?”
“ถ้าคุณไม่อยากถูกมองว่าเป็นเด็กแปดขวบก็อย่าทำตัวเป็นเด็กแปดขวบ” เธอมองเขาแล้วว่า “แผลของคุณเยอะขนาดนั้นถึงจะหายดีแล้วก็จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ คุณคิดว่าพี่สาวกับพี่เขยคุณโง่ขนาดไหนกัน หรือคิดว่าไม่เห็นก็เท่ากับไม่มี”
เขาเลิกคิ้วขึ้นพูดพึมพำ “แผลเป็นก็มีหลายแบบ”
“คุณกำลังหลอกตัวเอง”
“ผมแค่ไม่อยากให้คนอื่นเป็นห่วง” เขางึมงำ
“เฮอะ” เธอส่งเสียงเยาะ หันกลับไปดูทีวี
“เฮอะอะไร” เขาซักอย่างอดเสียไม่ได้
“คุณก็แค่อยากรักษาหน้าตางี่เง่าของคุณ” เธอกล่าวหน้าไม่เปลี่ยนสี
“หน้าตาของผู้ชายเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่งี่เง่าเลยสักนิด” เขาพ่นลมหายใจพรืด นั่งกอดอกมองไปทางทีวี ไม่มองหน้าเธออีก เพียงเอ่ยว่า “อีกอย่างตอนนี้คุณควรจะปลอบใจผมสิ มาหาว่าผมโง่เง่าอย่างนี้ไม่น่ารักเลย นิสัยแบบนี้เดี๋ยวก็หาแฟนไม่ได้หรอก”
เธอหยิบหมอนอิงโยนใส่เขา
เขายิ้มพลางส่งเสียงประท้วง “นี่!”
เธอหยิบหมอนอิงอีกใบโยนใส่เขา
เขารับไว้แล้วพูดโต้ “วิญญูชนใช้เหตุผลไม่ใช้กำลัง คนถ่อยถึงจะ…”
เธอหันไปหยิบหมอนอิงบนโซฟาเดี่ยว เขาโน้มตัวรั้งเอวฉุดเธอกลับมาด้านหลัง
“ว้าย!” เสี่ยวหม่านร้อง พูดทั้งที่ยังยิ้ม “คุณจะทำอะไร ปล่อยฉัน”
“ปล่อยคุณ?” เขาจับตัวเธอมากดลงบนโซฟา ยึดแขนของเธอไว้ ถามทั้งยิ้มเช่นกันว่า “ทำไมต้องปล่อย ปล่อยให้คุณโยนหมอนใส่ผมอีกหรือ”
มองดูชายที่คร่อมอยู่เหนือร่างเธอแล้วเสี่ยวหม่านก็ใจเต้นรัวแรงขึ้นมา
“คุณบอกว่าวิญญูชน…ใช้เหตุผลไม่ใช้กำลัง…” เธอหอบเบาๆ พลางเอ่ยเตือนเขา
ชั่วเวลานั้นเหมือนเขาเองก็รู้สึก รอยยิ้มบนใบหน้าพลันสลาย
“ผมเคยพูดหรือว่าผมเป็นวิญญูชน” เขาถามกลับเสียงแหบพร่า
เสี่ยวหม่านพูดไม่ออกเพราะว่ารอยยิ้มที่หายไปของเขา เพราะว่าเขาอยู่ใกล้มาก เพราะว่าเธอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากร่าง น้ำหนักและหัวใจเต้นของเขา ความอยากเล่นแต่เดิมของเธอพลันหายวับไป
ชั่วขณะหนึ่งที่ราวกับเวลาได้หยุดเดิน เหลือเพียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำ
เขาสบตาเธอแล้วโน้มศีรษะลงมาใกล้จนเธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขา ราวกับเธอสามารถลิ้มรสเขาได้จากปลายลิ้น ริมฝีปากชมพูของเธอสั่นเล็กน้อย เธอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
ในเวลานั้นเองมือถือเขาก็ดังขึ้น
เขาได้สติ ปล่อยมือเธอ ลุกไปรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล?”
เสี่ยวหม่านลุกขึ้นมาหน้าแดงจรดใบหู มองดูเขาขบกรามขณะที่รับฟังคู่สนทนาก่อนที่จะหยักยิ้มขึ้นตามความเคยชิน พูดด้วยรอยยิ้ม
“ผมยังอยู่ในอังกฤษ”
อีกฝ่ายพูดอีกไม่กี่คำ เขาก็เอ่ยปากตอบ
“ไม่มีปัญหา ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
เขากดปุ่มวางสายหันมามองเธอ เธอมองออกว่ารอยยิ้มเขาส่งไปไม่ถึงดวงตาอย่างเห็นได้ชัด เขาขยับปากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็พูดไม่ออก
“คุณจะไปแล้วสินะ” เธอพูดแทนเขา
“ผมใช้วันหยุดหมดแล้ว” เขาพูดเหมือนจะพูดเล่น
เธอรู้ว่าเป็นเรื่องงาน
เสี่ยวหม่านอยากจะเตือนว่าบาดแผลเขายังไม่หายดี แต่เขาคงจะรู้ดี
เธอสงบอารมณ์ความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน เอ่ยปากพลางยิ้ม
“แสดงว่าคืนนี้ฉันคงจะกลับไปนอนที่เตียงได้แล้วสินะ”
“ถูกต้อง” เขายิ้มอีกครั้ง
“ดีจังเลย” เธอเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิบนโซฟา ออกท่าโบกมือไล่เขา “รีบไปสิ ฉันแทบรอไม่ไหวแล้ว”
เขาเดินยิ้มกลับไปที่ห้อง หยิบกระเป๋าเดินทางสีดำออกมาภายในเวลาไม่ถึงนาที เร็วขนาดนี้ทำให้เธอรู้ว่าเขาเก็บกระเป๋าไว้เรียบร้อยแต่แรกแล้ว และพร้อมที่จะจากไปได้ทุกเมื่อ
เมื่อเขามาที่ห้องรับแขก เธอกำลังนั่งคุกเข่าเก็บหมอนอิงบนพื้น พอเห็นเขาก็ไม่ได้ลุกขึ้นมา แต่นั่งอยู่อย่างนั้น
“อย่าลืมลงกลอนประตูล่ะ” เขาส่งยิ้มให้พลางพูดเตือน
“ได้” เธอนั่งอยู่บนพื้น กอดหมอนอิงใบนั้นไว้พลางพยักหน้า
เขาอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรอีก สุดท้ายก็เพียงยิ้มอีกครั้งแต่ไม่ได้พูดอะไร สาวเท้าไปที่ประตู
เสี่ยวหม่านมองดูเขาเปิดแล้วก็ปิดประตูลง เธอยังคงนั่งอยู่บนพื้น กอดหมอนอิงนุ่มนิ่มเอาไว้
เธอได้ยินเสียงเขาเปิดประตูรถ แล้วก็ปิดประตูรถ ได้ยินเสียงเขาสตาร์ตเครื่องยนต์แล้วก็ขับออกไป
ในบ้านกลับคืนสู่ความเงียบสงัด เงียบจนเธอได้ยินเสียงเดินของเข็มนาฬิกาเรือนเก่าบนผนัง
ติ๊กต่อก…ติ๊กต่อก…ติ๊กต่อก…ติ๊กต่อก…
ติ๊กต่อก…ติ๊กต่อก…ติ๊กต่อก…ติ๊กต่อก…
เธอกอดหมอนอิงแล้วก็ถอนใจ นั่งเหม่ออยู่เป็นนานค่อยลุกจะไปลงกลอนประตู เดินไปได้ครึ่งทางก็ได้ยินเสียงรถจากด้านนอก
เสี่ยวหม่านนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเปิดประตูออกดู เห็นเขาแล่นรถบึ่งมาจอดที่หน้าบ้าน ลงรถสาวเท้าก้าวใหญ่มาหาเธอ
“อะไรกัน คุณลืม…”
เธอพูดไม่ทันจบเขาก็มาอยู่ตรงหน้าห่างจากเธอไม่กี่ก้าว ดึงตัวเธอเขาไปในอ้อมกอดแล้วจูบเธอ
ความร้อนวูบปะทุขึ้นมาทั่วร่างทำให้หัวสมองเธอขาวโพลน เพียงรู้สึกถึงวงแขนแข็งแกร่งกับริมฝีปากร้อนผ่าวของเขา
พอเขาปล่อยเธอ เธอก็ยังคงนิ่งอึ้งไม่โต้ตอบอะไร
เขาเผยอยิ้ม ยกนิ้วขึ้นไล้ริมฝีปากเธอทำให้เธอครางออกมา
“บ้าที่สุด” เขาสบถขึ้นเสียงเบาพลางยิ้ม “สัตว์ประหลาดน้อย คุณนี่ถูกหลอกใช้ง่ายจริงๆ”
เอ๋?
เสี่ยวหม่านได้สติคืน อยากจะขัดขืน แต่เขากลับจูบเธออีกครั้ง
ครั้งนี้โลกทั้งใบพลันสว่างขึ้นมา
ขณะที่เธอถูกจูบจนหน้ามืดตาลาย ร่างไม่สามารถยืนมั่น ได้แต่ยื่นแขนจะโอบรอบคอเขา เขาก็ผละออกจากแขนเธอ
“ให้ตายสิ ผมต้องไปแล้ว…คุณล็อกประตูให้เรียบร้อยนะ…”
ว่าไงนะ
เธอจ้องเขาด้วยสายตาตกตะลึง แต่ตาทึ่มนั่นก็ยังเดินจากไปทั้งอย่างนี้ ทิ้งเธอไว้ เดินขึ้นรถภายในสามก้าว ขับรถจากไปต่อหน้าต่อตาเธอ
เสี่ยวหม่านนิ่งงัน มือแตะริมฝีปาก ทั่วทั้งใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
นี่เขา…ทำอะไรของเขาเนี่ย
Comments
comments