บทที่ 1
วันนั้นเป็นวันที่อากาศแจ่มใส
แสงแดดอุ่นๆ ทำให้รู้สึกกระหายน้ำ
แล้วผมก็ได้พบความฉ่ำชื่นนั้นจากเขา
ซู่
ค่ำคืนที่ฝนตกฟ้าร้อง อาชินลูบแขนของตัวเองไปมาท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นของปลายฤดูใบไม้ร่วง แว่นที่ใส่อยู่ไหลลงมาที่กลางสันจมูก เขาจึงใช้นิ้วดันมันกลับขึ้นไปให้เข้าที่อีกครั้ง
เขากำลังหยิบเอกสารที่ระเกะระกะอยู่บนโต๊ะดูทีละแผ่น มือค่อยๆ ขยับอย่างเชื่องช้า สีหน้าเรียบเฉย แล้วสุดท้ายเขาก็วางมันลงราวกับโยนทิ้ง โดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนมองเขาด้วยสายตาตื่นเต้นอยู่ข้างๆ
“เอ่อ คุณรยูอาชินครับ นี่เป็นคดีที่ผมเลือก”
อาชินเงยหน้าขึ้นมองแล้วรับเอกสารที่ถูกยื่นมา แต่แล้วก็ขมวดคิ้วเมื่ออ่านเอกสารนั้นจบ
“ชื่อจูชางอีใช่มั้ย”
“ครับ ใช่ครับ”
“ผมไล่คุณออก ไปซะ”
“…ครับ?!”
*
ชางอีนั่งอยู่ในคาเฟ่อย่างตื่นเต้น เพราะยอนฮีเพื่อนสมัยเด็กติดต่อมาว่าอยากส่งไม้ต่องานพิเศษให้
หลังจากได้รับบาดเจ็บ ชางอีก็ไม่สามารถเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลอาชีพได้อีกต่อไป จึงต้องหางานพิเศษอื่นทำ ส่วนยอนฮีนั้น ด้วยอาการป่วยของพ่อ ทำให้เธอต้องกลับไปอเมริกา งานพิเศษที่เธอทำอยู่จึงว่างลง เธอจึงติดต่อมาหาชางอี เพื่อนสนิทที่กำลังหางานทำ ซึ่งชางอีก็ไม่อยากพลาดโอกาสนี้
“แหม แต่งตัวมาซะหล่อเลยนะ”
“แหงสิ ก็บอกว่าวันนี้อาจได้สัมภาษณ์ เลยต้องแต่งตัวให้ดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้านหน่อย”
“ที่บอกว่าสัมภาษณ์ จริงๆ ก็คือให้ทำงานเลยแหละ ตอนนั้นฉันก็เจอแบบนี้”
ยอนฮีส่งกระดาษ A4 ที่ระบุข้อมูลเกี่ยวกับงานที่ตัวเองทำในช่วงที่ผ่านมา มันทั้งละเอียดและเป็นระเบียบ ยอนฮีต้องทำอะไรเยอะแยะ ถ้าเปลี่ยนคนทำกะทันหันแบบนี้น่าจะวุ่นวายพอสมควร
ชางอีดื่มกาแฟพลางอ่านรายละเอียดในกระดาษนั้น
“ชื่อ ‘รยูอาชิน’ นายอาจจะรู้จัก เขาเป็นนักสืบเอกชน เป็นเจ้าของ ‘สำนักงานนักสืบทงเน’ ที่อยู่ถัดไปอีกบล็อกทางนู้น”
“ในประเทศเราอาชีพนักสืบยังไม่ถูกกฎหมายไม่ใช่เหรอ”
“โอ๊ย ข้ามๆ เรื่องนั้นไปเถอะน่า รู้มั้ยว่าเขาเก่งขนาดไหน เขาเป็นที่ปรึกษาให้ตำรวจด้วยนะ”
“มีใบอนุญาตมั้ย”
“จูชางอี อยากจะทำจริงมั้ยเนี่ย”
“อยากสิ”
“งั้นก็หุบปาก”
ชางอีพยักหน้าพลางหัวเราะเบาๆ จากที่เขารู้ ยอนฮีไม่ได้เปลี่ยนงานพิเศษมากว่าสามปีแล้ว ทำยาวนานขนาดนี้ คนที่ชื่อรยูอาชินก็น่าจะเป็นคนที่น่าเชื่อถือได้อยู่
จากคำอธิบายของยอนฮี ว่าที่นายจ้างของเขาเป็นคนดีมาก ทำงานนักสืบมาตั้งแต่เรียนจบ และเป็นที่ปรึกษาให้ตำรวจมาหลายสิบคดี นอกจากนั้นอัตราการคลี่คลายคดีเล็กๆ ก็แทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ มีนักสืบหลายคนที่รับงานแล้วแต่ทำไม่ได้ก็จะโยนให้คนอื่นทำต่อ แต่สำหรับเขานั้น เป็นคนที่ทำหน้าที่จนหยดสุดท้ายจริงๆ
ตัวอย่างหนึ่งที่เลื่องลือก็คือมีงานตามหาตุ๊กตาที่เด็กน้อยทำหาย แม้จะไม่มีร่องรอยอะไรเลย แต่เขาก็ขุดคุ้ยทุกพื้นที่ที่อยู่ในความทรงจำของเด็กน้อย สุดท้ายก็นำตุ๊กตาที่หาเจอไปซักจนสะอาดแล้วนำไปคืนให้ ซึ่งค่าตอบแทนจากงานนั้นคือไอศกรีมจากเด็กน้อย
ทั้งไขคดีเก่ง ทั้งใจดี ฟังดูแล้วน่าจะเป็นคนที่สุดยอดมากๆ
“แต่เขามีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งก็คือไม่ชอบผู้ชาย ไม่ชอบแบบจริงจัง ฉันเล่าเรื่องของนายให้เขาฟังบ้างแล้ว เขาก็ดูเฉยๆ ไม่ได้ว่าอะไร”
“คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
“เดี๋ยวฉันไปส่งถึงสำนักงาน ที่นั่นเขาใช้เป็นที่พักด้วย แต่ฉันจะไม่เข้าไปนะ พอดีว่ามีธุระอื่นที่ต้องไปทำต่อน่ะ”
แล้วการพบกันครั้งแรกก็เริ่มต้นจากตรงนั้น แต่เวลานี้ภาพผู้ชายแสนดีที่จินตนาการอยู่ในหัวชางอีถูกทำลายลงในเวลาไม่ถึงสิบนาที
“คุณยอนฮีก็เล่ารายละเอียดงานให้ฟังแล้ว เมื่อเช้าผมก็บอกชัดเจนไปแล้ว แต่ดูท่าคุณคงอยากเป็นผู้ช่วยแค่วันเดียวแล้วโดนไล่ออก”
“เอ่อ ไม่ใช่ครับ ในเกณฑ์ของผม ผมคิดว่ามันเป็นคดีที่ด่วนมาก ก็เลยเลือก เอ่อ…ผมขอโทษครับ”
ชางอีไม่กล้าบอกว่าเมื่อเช้าไม่ได้ยินที่อาชินพูด เขาจึงเอ่ยขอโทษแล้วรอคอยคำตอบจากอาชินด้วยสีหน้าประหม่า
“เมื่อเช้าผมบอกแล้วไงว่าให้ฉีกเอกสารของสายสืบอูซองฮูทิ้งไปเลย”
พอเห็นชางอีทำหน้างง อาชินก็ฉีกเอกสารฉบับนั้นอย่างไม่พอใจ เสียงกระดาษถูกฉีกทำเอาใบหน้าของชางอีซีดเผือด
“เอาไปทิ้งซะ”
ตอนที่ยอนฮีเล่าให้ฟังก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นถึงขนาดนี้ แค่บอกว่าไม่ชอบผู้ชาย แต่ก็ไม่ได้บอกว่ามองผู้ชายด้วยสายตาขยะแขยงแบบนี้
“ผมขอโทษครับ แต่คุณรยูอาชินครับ”
ชื่อของตัวเองที่ออกมาจากปากของชางอีทำให้อาชินยักคิ้วข้างหนึ่ง ก่อนจะกอดอกพร้อมกับเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้
“ว่าไง”
“แต่ไม่ว่าจะดูยังไง คดีนี้ก็เป็นคดีด่วนไม่ใช่เหรอครับ”
“คดีของไอ้อูซองฮู ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ไม่ด่วน”
“อย่าด่วนสรุปเองแบบนี้สิครับ!”
ชางอีตะโกนพลางหยิบเอกสารที่ถูกฉีกยื่นมาอีกครั้ง มันคือภาพสถานที่เกิดเหตุกับภาพศพ พร้อมคำอธิบายที่เขียนเอาไว้ด้วยว่าเหยื่อรายที่สาม ต้นทางที่ส่งเอกสารนี้มาให้คือสถานีตำรวจท้องที่ ซึ่งชางอีไม่สามารถเฉยเมยต่อคดีแบบนี้ได้
“ดูสิครับว่าสภาพของเหยื่อเป็นยังไง ฆาตกรโหดเหี้ยมมาก และเพราะคดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในพื้นที่ละแวกนี้ ผมจึงคิดว่าเป็นหนึ่งในคดีที่เร่งด่วนจริงๆ คดีนี้เป็นคดีที่ตำรวจขอให้ช่วย ผมไม่ได้ให้คุณเลือกทำเพราะเงิน แต่ให้เลือกทำเพราะมันเป็นคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในท้องที่นี้ซึ่งมีเด็กๆ ที่คุณต้องเอาใจใส่อาศัยอยู่ต่างหากล่ะ!”
คำพูดนั้นทำให้อาชินขมวดคิ้ว เขาเป็นคนที่ยึดถือตามกฎของตัวเองมาโดยตลอด แต่ที่ชางอีพูดมาก็ไม่ผิด ระหว่างนั้นเองเสียงแจ้งเตือนข้อความทางมือถือของเขาก็ดังขึ้น
‘รยูอาชิน คดีนี้เป็นฆาตกรรมต่อเนื่อง ช่วยทีเถอะนะ ส่วนเรื่องเงินจัดการให้เรียบร้อย หัวหน้าก็อนุมัติแล้วด้วย -อูซองฮู-’
“…”
เฮ้อ อาชินถอนหายใจยาว หลังจากนั่งนิ่งมองเอกสารที่ตัวเองฉีกทิ้งไปได้สักพัก เขาก็นำเทปใสมาติดเอกสารที่ถูกฉีกขาดให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม
ชางอีมองภาพนั้นแล้วยิ้มอย่างดีใจ ตามคำพูดของยอนฮี เขาคนนี้เกลียดผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ชื่อ ‘อูซองฮู’ ไม่แน่ว่าต้นเหตุที่ทำให้เขาเกลียดผู้ชาย อาจเป็นอูซองฮูคนนี้ก็ได้
“คุณรยูอาชิน”
“จะเรียกชื่อเต็มยศไปถึงเมื่อไหร่ คุณเป็นผู้ช่วยผม เรียกผมว่า ‘คุณนักสืบ’ สิ”
“เอ่อ ครับ คุณนักสืบ”
“มีอะไรก็ว่ามา”
“ต่อไปนี้ถ้าเป็นคดีของสายสืบอูซองฮู ผมจะพยายามมองข้ามไป แต่คดีนี้ขอให้คุณช่วยอดทนหน่อยนะครับ”
อาชินจ้องชางอีเขม็ง เขาเกลียดอูซองฮูมาก แค่ได้ยินชื่อก็รู้สึกขัดใจแล้ว
“ดี คราวหน้าถ้าเอาคดีของหมอนี่มาให้อีก ผมไล่ออกแน่”
“คอยดูได้เลยครับ”
อาชินเห็นว่าชางอีเป็นคนที่ยอนฮีแนะนำมาจึงตั้งใจว่าจะทำดีด้วย แต่ตอนนี้ต้องมาทะเลาะกันเสียแล้ว อันที่จริงเขาก็ไม่ได้เกลียดผู้ชายมากถึงขนาดทำงานด้วยไม่ได้ แต่เขาสะดวกใจที่จะทำงานร่วมกับผู้หญิงมากกว่า
อาชินลุกขึ้นยืน พอยืนเทียบกันแล้ว ชางอีสูงกว่าเขามาก น่าจะสูงประมาณหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรได้ ผมก็ยุ่งๆ ชี้ไปชี้มา น่าหงุดหงิดชะมัด อาชินถอนหายใจสั้นๆ ปัดผมที่ปรกหน้าแล้วจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เขาสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรตามมาตรฐานผู้ชายเกาหลี แต่พอยืนข้างๆ ชางอีแล้ว เขาดูเหมือนเด็กประถมในทันที ปมด้อยที่ไม่ได้รู้สึกมานานจึงชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะที่กำลังหงุดหงิดอยู่ในใจ สายตาของอาชินก็ประสานกับสายตาของชางอีที่กำลังมองมา
“ชางอี เราจะไปหาสายสืบอูซองฮูกัน คุณเป็นคนขับนะ”
“ครับ คุณนักสืบ”
ชางอีถือเอกสารออกจากสำนักงานไปก่อน และแน่นอนว่าไม่ลืมคว้ากุญแจรถมาด้วย
แม้จะต้องทำงานจริงตั้งแต่วันแรก ไม่มีช่วงเวลาให้ศึกษาหรือฝึกงานอะไรเลย แต่ชางอีก็มุ่งมั่นและตั้งใจมาก ตามที่ยอนฮีบอกไว้ว่างานนี้เป็นงานของผู้ช่วยนักสืบที่ต้องคอยจดบันทึกและอัดเสียงสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามพูด ก็ไม่น่าจะยากสักเท่าไหร่
ชางอีเช็กเครื่องบันทึกเสียงที่ยอนฮีให้ไว้อีกครั้งก่อนจะหย่อนลงในกระเป๋าเสื้อโค้ต ยอนฮีบอกว่าอาชินเป็นคนเจ้าระเบียบมาก แต่ถ้าปรับตัวได้ก็ไม่มีปัญหา และถึงแม้ว่าจะเป็นคนดื้อดึงแต่ก็มีเหตุผล
ขณะที่กำลังยืนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น อาชินก็เดินมาที่ลานจอดรถ คืนนี้มีทั้งฝนตกและฟ้าร้อง แต่อาชินกลับใส่เพียงแค่เสื้อคลุมบางๆ เพียงตัวเดียว
“ต่อให้ไปพบคนที่เกลียดมากขนาดไหน ยังไงก็ควรแต่งตัวให้เหมาะสม คุณใส่แค่นั้นไม่หนาวแย่เหรอครับ”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
“แต่คุณควรแต่งตัวให้เหมาะกับอากาศที่กำลังเปลี่ยนแปลงนะครับ”
แล้วชางอีก็คลายผ้าพันคอของตัวเองไปพันให้ อาชินจึงกัดกรามพร้อมกับทำหน้าสะอิดสะเอียนเต็มที่
พอกดรีโมตปลดล็อก รถแกรนด์แอดเวนเจอร์สีเงินก็มีไฟกะพริบขึ้นก่อนประตูจะถูกเปิดออก อาชินขึ้นนั่งฝั่งข้างคนขับ คาดเข็มขัดนิรภัย แล้วเริ่มอ่านเอกสารสรุปคดีที่ชางอีส่งให้
ส่วนชางอีก็ขึ้นนั่งประจำที่คนขับ ปรับที่นั่งและกระจกมองหลังเพื่อให้ได้ระดับสายตาที่เหมาะกับตัวเอง จากนั้นก็กดเนวิเกเตอร์ อาชินคงไปที่สถานีตำรวจแห่งนี้บ่อยๆ จนบันทึกที่อยู่เอาไว้ว่า <ไอ้เวร> ลงในรายการโปรด พอชางอีลองกดดูก็พบว่าอยู่ห่างจากที่นี่สิบห้ากิโลเมตร จากนั้นเขาก็ปลดเบรกมือเตรียมออกรถ
“ก็ไม่เซ่อนี่”
“ก็ไม่เท่าไหร่ครับ”
“ไร้สาระ”
อาชินเก็บเอกสารสรุปคดีใส่ลิ้นชักหน้ารถ เวลาอยู่บนรถเขามักจะหลับตาพิงหมอนรองคอที่ติดเอาไว้ตรงพนักพิง ชางอีเหลือบมองแล้วจึงเปิดฮีตเตอร์ให้ความอบอุ่น
คืนนี้ฝนตกหนักกว่าที่คิด ที่ปัดน้ำฝนจึงทำงานไม่หยุด
“ปกติคุณนักสืบเลิกงานกี่โมงครับ”
ท่าทางที่นั่งกอดอกหลับตาของอาชินนั้นดูก็รู้ว่าไม่ได้หลับจริงๆ ชางอีจึงพยายามชวนคุย
“หกโมง แต่ถ้ามีงานค้างก็ยืดเวลาออกไป”
“ผมก็คงจะต้องทำแบบนั้นสินะครับ”
“ถ้าไม่อยากทำก็ออกไป”
“ไม่ใช่ครับ ถ้าคุณนักสืบทำงานล่วงเวลา ผมก็จะทำด้วย”
“ไม่จำเป็น เวรเอ๊ย”
แล้วบทสนทนาก็เป็นอันยุติ ชางอีไม่ชินกับการถูกเกลียดแบบนี้เลย เขาชักเริ่มสงสัยว่าทำไมอาชินถึงทำท่าจงเกลียดจงชังเขามากขนาดนี้ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็คืออาชินเกลียดสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘ผู้ชาย’ และคนที่เกลียดจริงๆ ตอนนี้น่าจะเป็นผู้ชายที่ชื่ออูซองฮู ชางอีชักสงสัยขึ้นมาตงิดๆ ว่าคนคนนั้นเป็นผู้ชายแบบไหนกันนะ ถึงได้ถูกเกลียดมากขนาดนี้
“คุณนักสืบ”
“เรียกทำไมนักหนา”
“ผมอยากรู้ว่าผู้ช่วยผู้ชายคนก่อนหน้ายอนฮี ทำงานอยู่นานแค่ไหนเหรอครับ”
“หนึ่งวัน”
“…”
“…”
“แล้ว…ผู้ช่วยผู้ชายที่อยู่นานที่สุดล่ะครับ”
“ห้าวัน”
“…”
โห ดูท่ารยูอาชินจะเป็นคนเรื่องเยอะกว่าที่คิด แต่เยอะขนาดนี้ไม่ต้องไปบำบัดที่โรงพยาบาลประสาทเลยหรือเนี่ย
ระหว่างติดไฟแดง ชางอีก็เหลือบไปมองอาชินอีกครั้ง แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายยังคงหลับตาอยู่เหมือนเดิม
“คุณนักสืบก็รู้จากยอนฮีล่วงหน้าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับว่าผู้ช่วยคนใหม่คือผู้ชาย”
“แล้วไง”
“ถ้าไม่พอใจ ก็ควรจะปฏิเสธแต่แรกสิครับ”
“พอใจ”
“ครับ?”
“บอกว่าพอใจไงล่ะ”
โกหกรึเปล่าเนี่ย หรือเพราะเขาเป็นเพื่อนของยอนฮีก็เลยเกรงใจ ชางอีรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย
“เพราะผมเป็นเพื่อนยอนฮีเหรอครับ”
“จะให้โอกาสแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”
ชางอีคิดว่าตัวเองควรจะดีใจที่อาชินให้โอกาสเขามากกว่าผู้ช่วยผู้ชายคนอื่นๆ
“…ได้ยินจากยอนฮีว่าคุณเกลียดผู้ชาย”
“รู้แล้วก็ดี”
อาชินขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้นมาสักครู่ แล้วหลับตาลงอีกครั้ง
“ไฟเขียวแล้ว”
“เอ่อ ครับ”
พอรถออกตัวอีกครั้ง อาชินก็เคาะนิ้วราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ลืมตาแล้วมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ตอนแรกเขาอยากจะไล่ชางอีออกไปทันที แต่เห็นว่าเป็นคนที่ยอนฮีแนะนำมา จึงอยากลองให้โอกาสสักครั้ง
“แค่รักษาระยะห่าง ไม่ต้องมาโดนตัว อย่างผ้าพันคอนี่ ทีหลังแค่ส่งให้เฉยๆ ก็พอ”
พอชางอีพยักหน้า อาชินก็กระแอมเบาๆ ราวกับเป็นการส่งสัญญาณว่ารับรู้แล้ว ระหว่างนั้นเนวิเกเตอร์ก็แจ้งว่าเหลืออีกครึ่งทางจะถึงที่หมาย ชางอีจึงกระชับพวงมาลัยให้แน่นขึ้นแล้วจดจ่ออยู่กับการขับรถ
ครั้นใกล้ถึงที่หมายอาชินก็ลืมตาขึ้นช้าๆ ชางอีคิดว่าเจ้าตัวคงจะมาบ่อยมากจนกะระยะได้ว่าใกล้จะถึงแล้ว จนถึงขณะนี้เขาก็ยังสงสัยว่าทำไมอาชินถึงได้เกลียดผู้ชายมากขนาดนี้ ชางอีได้แต่คิดวนไปวนมาพลางหาที่จอดรถ
“เฮ้อ ในที่สุดก็ต้องมาจนได้”
“ผมขอโทษนะครับ”
“รู้แล้วก็อย่าทำให้ต้องมาที่นี่อีก เพราะที่มีไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมเป็นโรคเกลียดผู้ชาย”
“ครับ”
ได้ยินจากยอนฮีว่าอาชินอายุยี่สิบห้า แต่การพูดจาของอาชินกลับข่มชางอีที่อายุมากกว่าถึงสองปี เจ้านายน้อยผู้ร้ายกาจ ท่าทางงานนี้จะไม่ง่ายเลย
ลานจอดรถอยู่ไม่ไกลจากตัวอาคาร แต่เพราะฝนที่ตกหนักมากจึงควรต้องใช้ร่ม ในขณะที่ชางอีหันไปหาร่มที่เบาะหลัง อาชินกลับเปิดประตูรถอย่างรวดเร็ว
“บนรถไม่มีร่มเหรอครับ”
“ไม่มี”
อาชินลงจากรถแล้วเดินฝ่าสายฝนไป ชางอีจึงรีบลงจากรถแล้ววิ่งตาม
“รีบวิ่งสิครับ”
ฝนตกหนักแบบนี้ยังมัวเดินเอ้อระเหยอยู่ได้ ชางอีดันหลังอาชินให้วิ่ง อาชินจึงหันขวับมามองด้วยความหงุดหงิดทันที ชางอีจึงนึกขึ้นได้ว่าเพิ่งได้รับคำเตือนมาหยกๆ ว่าห้ามโดนตัวอีกฝ่าย
ทันทีที่เปิดประตูสถานีตำรวจเข้าไป อากาศอบอุ่นภายในก็กระทบร่างกายของอาชิน ตำรวจหลายนายกำลังรอคอยการมาของเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออูซองฮู พอเห็นอาชิน เขาก็ลุกขึ้นพรวดแล้วกางแขนออก
“เชิญครับ คุณนักสืบรยูอาชิน และ…คุณผู้ช่วย!”
แน่นอนว่าอาชินไม่มีทางให้ตัวเองถูกกอด เขาเดินเลี่ยงซองฮูไปหาตำรวจหญิงเพื่อฟังสรุปรายงานคดี
“สวัสดีครับ ช่วยอธิบายคดีให้ผมฟังหน่อยนะครับ”
นี่สินะ รยูอาชินในภาคคนดีที่ยอนฮีพูดถึง คิดแล้วชางอีก็หันไปยิ้มให้ซองฮู ความสูงของคนคนนี้พอๆ กับชางอี แต่ซองฮูผอมกว่า หน้าตาก็ดี รูปร่างก็สมส่วน ถ้าไม่ได้เป็นตำรวจก็ไปเป็นนายแบบได้สบายๆ
“แหม อาชิน จ้างบอดี้การ์ดมาซะด้วย”
นั่นคือประโยคแรกที่ซองฮูมองชางอีแล้วพูดออกมา ชางอีจึงยิ้มเขินๆ ก่อนเดินไปยังเก้าอี้ที่ถูกเตรียมเอาไว้ให้ เขารอให้อาชินนั่งก่อนแล้วจึงนั่งลงข้างๆ
แม้ระยะทางระหว่างลานจอดรถกับอาคารของสถานีตำรวจจะใกล้กัน ใช้เวลาเดินแค่แป๊บเดียวก็ถึง แต่เพราะฝนที่ตกหนักมาก สภาพของอาชินจึงเปียกมะล่อกมะแล่ก ร่างเล็กๆ นั้นกำลังสั่นเทาราวกับลูกหมาหลงทาง แต่ชางอีก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป ได้แต่มองอย่างเป็นห่วงอยู่เงียบๆ
เมื่อตำรวจหญิงนำกาแฟมาเสิร์ฟ อาชินก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ภาคเทวดาของอาชินตามที่ยอนฮีบอกเป็นแบบนี้นี่เอง ในเสี้ยววินาทีนั้นชางอีแอบรู้สึกเสียดายที่ตัวเองเกิดมาเป็นผู้ชาย
ทันทีที่สายสืบอูซองฮูลุกขึ้นอธิบายรายละเอียดของคดี ชางอีก็รีบเปิดเครื่องอัดเสียง
“คดีฆาตกรรมนี้เกิดขึ้นที่เขตคังฮยาง ฆาตกรฆ่าเหยื่อแล้วจงใจทิ้งศพเอาไว้ให้เห็น ศพถูกแทงตามร่างกายหลายแผล สาเหตุการเสียชีวิตคือเสียเลือดมาก ประวัติส่วนตัวของเหยื่อใส่ไว้ในเอกสารแล้ว นำไปอ่านที่สถานที่พบศพได้…ก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์ฆาตกรรมที่คล้ายคลึงกันอยู่สองคดี โดยสิ่งที่คล้ายคือรูปแบบการฆ่าและตำแหน่งที่แทง ต่างกันแค่สถานที่พบศพ”
ซองฮูพูดคล่องมากราวกับเตรียมพร้อมที่จะรายงานให้อาชินฟังมานานแล้ว โลกของตำรวจคือการไล่ล่าคนร้าย แต่ตอนนี้ตำรวจกำลังขอความช่วยเหลือให้คนอื่นช่วยตามหาตัวคนร้าย มันเป็นการการทำที่เสียศักดิ์ศรีไม่มากก็น้อย แต่เพื่อการจับตัวคนร้ายมาลงโทษให้ได้ ไม่ว่าวิธีไหนก็ต้องทำ
“ดูเหมือนคนร้ายจะไม่ได้ฆ่าส่งเดช แต่วางแผนในเรื่องของเวลา วิธีการและสถานที่เอาไว้ แถมเหยื่อที่ถูกฆ่าก็มีความสัมพันธ์กันด้วย นั่นคือทุกคนเคยเรียนโรงเรียนมัธยมปลายที่เดียวกัน…นายช่วยยืนยันเรื่องนี้หน่อยนะ อาชิน”
พอเห็นอาชินทำหน้างง ซองฮูก็พูดให้ชัดเจนขึ้น
“พวกเขาเคยเรียนโรงเรียนมัธยมปลายเดียวกับพวกเรา มันเป็นการจงใจชัดๆ พวกเขาอาจเคยพัวพันในเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนก็ได้”
อาชินทำหน้าเครียดทันที จากนั้นก็รีบเก็บเอกสารและรูปถ่ายของเหยื่อเข้าซองราวกับไม่อยากฟังอีกต่อไปแล้ว ชางอีจึงรีบปิดเครื่องอัดเสียง
“ที่เหลือผมจะเข้าไปดูในสถานที่พบศพครับ และตอนส่งตำรวจมาช่วยผม ช่วยส่งสิบตำรวจเอกยูนจียอนมานะครับ ไม่เอาอูซองฮู”
“ได้ครับ”
หัวหน้าทีมสืบสวนรับปาก
“แล้วทางตำรวจต้องการให้ผมช่วยสืบอะไรบ้างครับ”
อาชินยกกาแฟขึ้นดื่มพลางมองหัวหน้าทีมสืบสวน
“ทางเราได้ไปสำรวจสถานที่พบศพและได้ร่องรอยของคนร้ายมาบ้างแล้ว”
อาชินรับเอกสารมาจากหัวหน้าทีม ในเอกสารเขียนไว้ว่าผู้ชายรูปร่างธรรมดา ใส่รองเท้าเบอร์สองแปดศูนย์ เป็นข้อมูลที่ไม่เลวแต่ก็ไม่มีอะไรเด่นชัด อาชินเท้าคางอ่านก่อนจะส่งต่อให้ชางอีจดบันทึกเอาไว้
“ไม่ต้องจดๆ อันนั้นเป็นสำเนา เอาไปได้เลย”
“อ๋อ ครับ”
ท่าทางเงอะงะของชางอีเรียกเสียงหัวเราะในหมู่ตำรวจ บรรยากาศที่ตึงเครียดจึงดูผ่อนคลายลงไปมาก
“ฝนตกหนักแบบนี้ยิ่งง่ายต่อการชะล้างหลักฐานมากนะครับ ดังนั้นต้องรักษาสถานที่พบศพเป็นอย่างดี แล้วตอนนี้ศพอยู่ที่ไหนเหรอครับ”
“ส่งไปที่สถาบันนิติเวชแล้ว คุณได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูศพได้ เพียงแค่แสดงบัตรประชาชนของคุณ ส่วนสถานที่พบศพก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ทีมสืบสวนบางส่วนได้ไปตั้งศูนย์สืบสวนที่นั่นแล้วล่ะ พรุ่งนี้ทุกคนในทีมก็ต้องย้ายไปทำงานที่นั่นกันหมดจะได้สะดวกต่อการติดต่องาน”
“แล้วผมล่ะครับ”
“ทางเราเตรียมห้องพักไว้ให้คุณกับผู้ช่วยห้องนึง”
“เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแบบนี้ คิดจะให้ผมนอนห้องเดียวกับคุณยอนฮีเหรอครับ”
“แหม คิดมากไปแล้วครับ”
“ช่างมันเถอะครับ”
“ฮ่าๆๆ พรุ่งนี้ห้องพักถึงจะพร้อมนะครับ”
“ครับ หัวหน้าทีม”
บทสนทนาระหว่างอาชินกับหัวหน้าทีมนั้นช่างต่างกับตอนที่คุยกับซองฮูลิบลับ ทั้งท่าทางและน้ำเสียง ทันทีที่คุยเสร็จ อาชินก็ลุกก่อนเป็นคนแรก
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“กินข้าวด้วยกันก่อนสิครับ”
“ไม่ล่ะครับ ผมจะไปกินกับผู้ช่วย ยังมีงานต้องสะสางอีกเยอะเลยครับ”
“งั้นก็ตามสบายครับ”
อาชินโค้งคำนับให้ทุกคนแล้วเดินไปที่ประตูโดยมีซองฮูเดินตามหลังไป
“เฮ้ อาชิน คุยกันหน่อยสิ”
“ไม่”
ชางอีมองสองคนนั้นอยู่ห่างๆ ท่าทางดูสนิทกันมากกว่าที่คิด แต่ทำไมอาชินถึงได้เกลียดซองฮูมากขนาดนั้น
“อาชิน อย่าเครียดไปนักเลย ผ่อนคลายบ้างก็ได้”
“ผมชอบความเครียด ถ้าไม่ได้มาคุยเรื่องงานก็ไปซะ”
“ดื้อชะมัดเลย”
ถ้าเดินออกไปทางประตูอีกฝั่งหนึ่งของสถานีตำรวจ ก็จะพบกับระเบียงที่นำไปสู่ทางออกหลัก หากเดินทางนั้นก็อาจจะถูกฝนสาด แต่มันเป็นทางเดียวที่เขาจะหลบไปให้พ้นจากคนคนนี้
อาชินหันไปมองชางอีแล้วพยักหน้าให้ตามมา ตั้งแต่มาชางอียังไม่ได้กล่าวทักทายซองฮูเลย ได้แต่ยิ้มให้นิดๆ เท่านั้น เขาจึงหันไปเอ่ยกับซองฮูเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท
“สวัสดีครับ ผมจูชางอี เป็นผู้ช่วยคนใหม่ของคุณนักสืบครับ”
“ได้ยินมาว่าคุณยอนฮีแนะนำมา ไม่คิดว่าจะเป็นผู้ชายตัวยักษ์แบบนี้”
“คุณรู้ได้ยังไงครับว่ายอนฮีแนะนำผมมา”
“หมอนี่เล่าให้ฟัง”
ซองฮูชี้ไปที่อาชิน อาชินจึงยักไหล่พร้อมพูดปนรำคาญ
“ไอ้นี่มันเป็นพวกสตอล์กเกอร์”
“เกินไปแล้วน่า นี่ฉันเป็นรุ่นพี่นายนะ”
“อย่าไปหลงกล หมอนี่แหละสตอล์กเกอร์”
ซองฮูส่ายหน้าอย่างเอือมระอาก่อนจะยื่นเอกสารอีกฉบับให้อาชิน
“ส่วนนี้คือข้อมูลที่ฉันคัดแยกเอาไว้เพราะคิดว่านายน่าจะสนใจ”
“อ้อ หมดธุระแล้วใช่มั้ย”
“อะไรกัน พูดจาเย็นชาจังนะ”
“ไปซะ”
“เดี๋ยวก่อนสิ ขอคุยส่วนตัวแค่ห้านาที!”
“ไปให้พ้น เราไปกันเถอะชางอี”
“รยูอาชิน!”
“คุณนักสืบ ทำแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอครับ”
แม้ซองฮูจะเป็นต้นเหตุของโรคเกลียดผู้ชาย แต่การพูดคุยของคนทั้งคู่ดูเหมือนคนสนิทที่หยอกล้อกันมากกว่าคนที่เกลียดกัน
อาชินหันมามองที่ชางอีเป็นการบอกว่าเขาอยากกลับเดี๋ยวนี้
“ผมจะไปซื้อร่มที่ร้านสะดวกซื้อหน้าสถานีตำรวจ พวกคุณคุยกันไปก่อนนะครับ”
“ไม่เป็นไร ผมตากฝนได้”
“คุณผู้ช่วยไปเถอะ เดี๋ยวผมดูแลหมอนี่อยู่ตรงนี้เอง”
“ครับ เดี๋ยวมานะครับ”
ชางอียิ้มก่อนจะยกเสื้อขึ้นคลุมหัวตัวเองแล้วรีบวิ่งออกไปจากสถานีตำรวจ ถ้าเกลียดมากจริงๆ อาชินก็ต้องตามออกมาแล้ว แต่อาชินก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments