บทที่ 2
อาชินมองตามชางอีอย่างไม่พอใจ ท่าทางแบบนั้นจึงทำให้ซองฮูยิ้มออกมา อารมณ์แปรปรวนของอาชินมองยังไงก็ช่างเพลิดเพลินและดูน่ารักจริงๆ
“บุหรี่มั้ย”
“มวนนึง”
ทันทีที่ซองฮูยื่นบุหรี่ให้ อาชินก็รับมาคาบแล้วจุดไฟ ช่วงแรกๆ ที่ยอนฮีเป็นผู้ช่วยนั้น อาชินมาที่สถานีตำรวจแห่งนี้อยู่บ่อยๆ แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้มาอีกเลยเป็นเวลาประมาณสองปีมาแล้ว ดังนั้นคนที่ดีใจในตอนนี้ก็คือซองฮู
“ดูเหมือนนายจะหายจากโรคบ้านั่นแล้วนะ”
“หมายความว่าไง”
อาชินทำตาขวาง ขว้างบุหรี่ที่ยังสูบไม่หมดลงพื้น จากนั้นก็กระชับผ้าพันคอให้แน่นขึ้น
“ก็ผ้าพันคอนั่น ใครให้มาล่ะ”
“ชางอีให้มา รู้ได้ไงว่ามันไม่ใช่ของผม”
“ปกติแล้วนายไม่พันผ้าพันคอแบบนี้”
“น่าขนลุกชะมัด”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรำคาญของอาชินทำให้ซองฮูยิ้มแล้วพ่นควันบุหรี่ออกมา ระหว่างนั้นอาชินก็เห็นชางอีกำลังวิ่งกลับเข้ามา
“ไปล่ะ”
“เดี๋ยวสิ รยูอาชิน”
ซองฮูคว้าข้อมือของอาชินเอาไว้ เจ้าตัวจึงหันไปมองอย่างไม่พอใจ
“ปล่อย”
“ถ้าไม่ปล่อยล่ะ”
“ปล่อยนะ ไอ้บ้า!”
“ไม่ปล่อย”
“ปล่อยนะ! จูชางอี! สตาร์ตรถเลย!”
อาชินสะบัดมือเต็มแรงแล้วจ้องมองซองฮูอย่างเกรี้ยวกราด
“ต่ำ”
แม้จะถูกด่าแต่ซองฮูก็ยังสูบบุหรี่ต่อไปอย่างอารมณ์ดี
*
ชางอีเอียงคอมองด้วยความสงสัยเมื่อเห็นอาชินขึ้นรถมาด้วยความหงุดหงิด คงจะทะเลาะกับซองฮูมาสินะ
“คุณนักสืบทะเลาะกับคุณซองฮูเหรอครับ”
“ถามมาก อยากโดนไล่ออกเหรอ”
“ขอโทษครับ”
“อย่าปล่อยให้ไอ้ซองฮูอยู่กับผมตามลำพังอีกเป็นครั้งที่สอง”
“ครับ”
“กลับสำนักงาน”
“ครับ”
อาชินขยับเปลี่ยนท่านั่งให้สบายมากขึ้นก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดต่อ
“แล้วก็คอยอยู่ข้างๆ ผมตลอด ห้ามไปไหน เข้าใจมั้ย”
“ว่าไงนะครับ”
“บอกให้อยู่ข้างๆ ตลอด ถ้าไม่อยากโดนไล่ออก ก็ทำตามที่สั่ง”
“ครับ”
แล้วชางอีก็ขับรถออกจากสถานีตำรวจเพื่อกลับไปยังสำนักงานโดยมีอาชินนั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ข้างๆ ชางอีไม่กล้าถามอะไรต่อ ได้แต่เหลือบมองอาชินทุกครั้งที่รถติดไฟแดงด้วยความเป็นห่วง
พอใกล้จะถึงที่หมาย อาชินก็เรียกสติกลับคืนมา แล้วหยิบเอกสารที่ได้รับมาจากตำรวจออกมาดู เขาอ่านเอกสารอย่างละเอียดและตั้งอกตั้งใจไม่เหมือนตอนอยู่ที่สถานีตำรวจ
“เมื่อกี้ไม่เห็นคุณอ่านแบบนี้”
“ผมจะไม่มีสมาธิถ้ามีผู้ชายอยู่เยอะๆ ทุกครั้งก็จะเอามาอ่านทีหลังแบบนี้แหละ”
“แต่กับผมไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ”
“ก็บอกว่าไม่ชอบที่ที่มีผู้ชายเยอะๆ ไง ยิ่งมีรุ่นพี่ซองฮูยิ่งเกลียด”
ดูเหมือนอารมณ์ของอาชินจะเย็นลงแล้ว สังเกตได้จากทั้งน้ำเสียงและคำเรียกซองฮู ชางอีจึงยิ้มอย่างโล่งอก
“ผมถามได้มั้ยครับว่าทำไมถึงคุณถึงได้เกลียดคุณซองฮูขนาดนั้น”
“ไม่ได้”
“ไม่ได้จริงๆ เหรอครับ”
“ยังไม่ได้”
คำตอบนั้นทำให้ชางอีเข้าใจว่าสักวันอาชินคงจะเผยออกมาให้รับรู้ เพียงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ชางอีได้แต่คิดในใจว่าจริงๆ แล้วอาชินก็ไม่ใช่คนที่แย่อะไรขนาดนั้นหรอก
ใกล้ถึงสำนักงานเต็มทีแล้ว ชางอีจึงถือโอกาสที่ยังเหลืออยู่นี้ถามต่อ
“เคยเรียนที่เดียวกับคุณซองฮูเหรอครับถึงได้เรียกว่ารุ่นพี่”
“เขาเป็นรุ่นพี่สมัย ม.ปลาย อายุมากกว่าหนึ่งปี แต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เขาดร็อปเรียนไปหนึ่งปี พอกลับเข้ามาเรียนใหม่ ก็เลยได้มาเรียนรุ่นเดียวกัน”
“คงจะสนิทกันมากใช่มั้ยครับ”
“หยุดพูดเลย ขนลุก”
“แล้ว…”
“หุบปากแล้วคุยเรื่องงานกัน นี่คือรายชื่อเหยื่อ”
อาชินยื่นเอกสารแผ่นหนึ่งให้ สีหน้าและแววตาของเขาดูเครียดมาก ชางอีจึงหาที่จอดรถข้างทางแล้วรับเอกสารนั้นมาอ่าน ในเอกสารมีข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อทั้งสามราย ชางอีค่อยๆ ดูชื่อและรูปของเหยื่ออย่างตั้งใจ
“คิมอึนชิกเป็นเหยื่อรายแรก ฮอซองอิลเป็นรายที่สอง และก็ปาร์คจองกิล…”
“หยุด…”
“ว่าไงนะครับ”
อาชินกัดริมฝีปากแล้วยกมือขึ้นกุมหัว ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวราวกับกำลังทุกข์ทรมาน ชางอีตกใจกับภาพที่เห็น จึงรีบออกรถอย่างรวดเร็ว
พอรถเลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถของสำนักงานซึ่งเป็นทั้งที่ทำงานและที่พักของอาชิน ชางอีก็ดับเครื่อง แต่อาการของอาชินยังคงไม่ดีขึ้น ดูเหมือนการพูดชื่อของเหยื่อจะส่งผลบางอย่างที่ไม่ดีต่ออาชินเอาซะเลย
“คุณนักสืบ…”
ชางอีเรียกอย่างระมัดระวังพร้อมกับยกมือขึ้นเพื่อจะแตะไหล่ แต่ทันทีที่น้ำหนักมือของชางอีกดไปที่ปลายไหล่ อาชินก็สะดุ้งและขยับตัวไปชิดประตูรถทันที… อาการแบบนี้ถ้าไม่ใช่การตื่นกลัวก็คืออาการสติหลุด
“คุณนักสืบเป็นอะไรไปครับ”
“อย่า…อย่ามาจับ”
“ครับ ไม่จับครับ คุณไม่เป็นไรนะครับ”
หรือการได้ยินชื่อของเหยื่อจะทำให้ความทรงจำเลวร้ายผุดขึ้นมา มันอาจจะเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้อาชินเกลียดผู้ชายก็ได้ ชางอีพยายามวิเคราะห์หาสาเหตุ ระหว่างนั้นอาชินที่พอตั้งสติได้แล้วก็หยิบเอกสารแล้วเปิดประตูรถ
“ตามมา”
“เอ่อ…ครับ!”
ชางอีรีบลงจากรถแล้ววิ่งตามอาชินไป
ทันทีที่เข้ามาในสำนักงาน อาชินก็โยนเอกสารลงบนพื้น แล้วเดินไปยังไวท์บอร์ดข้างโต๊ะทำงาน ชางอีที่วิ่งตามมาถึงกับงุนงงกับท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไปราวกับคนละคนของอาชิน
แล้วอาชินก็เริ่มเขียนชื่อของเหยื่อบนกระดาน
คิมอึนชิก
ฮอซองอิล
ปาร์คจองกิล
เขียนเสร็จก็ก้มหน้านิ่งไปสักพัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเขียนชื่อ ‘ลีวอนมิน’ ‘คังฮเยกยูน’ และ ‘อูซองฮู’ ต่อลงไป จากนั้นก็ก้าวถอยหลังออกมายืนมองชื่อเหล่านั้น
ท่ามกลางรายชื่อที่ถูกเขียนต่อจากชื่อของเหยื่อ คิ้วของชางอีขมวดเข้าหากันทันทีที่เห็นชื่ออันคุ้นเคย
“ทำไมชื่อของคุณซองฮูถึงไปอยู่บนนั้นด้วยล่ะครับ”
“หุบปากไปก่อน คิมอึนชิกตายยังไง ไอ้หมอนั่นเสียเลือดมากจนตายใช่มั้ย”
ชางอีรีบหารายงานการตายของเหยื่ออ่านดู สาเหตุการตายของคิมอึนชิกคือมีบาดแผลถูกแทงหลายแห่ง
“ครับ ถูกแทงหลายแผล…มันโหดไปมั้ยเนี่ย”
อาชินเขียนคำว่า ‘ถูกแทง’ ไว้ข้างหลังชื่อของคิมอึนชิก แล้วกอดอกพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เวลาที่วิเคราะห์ครุ่นคิด ท่าทางของอาชินจะกลับมาดูเย็นชาอีกครั้ง ชางอีจึงแอบถอนหายใจเบาๆ
“ตำแหน่งที่ถูกแทงล่ะ”
“อืม…ปาก คอ ฝ่ามือ อวัยวะเพศ ทวารหนัก เป็นบาดแผลฉกรรจ์ทั้งหมดครับ”
ทันทีที่ได้ฟัง อาชินก็ถึงกับเข่าอ่อน ชางอีจึงรีบเข้าไปประคองด้วยความตกใจ
“ไม่เป็นไรนะครับคุณนักสืบ”
“มะ…ไม่เป็นไร แค่มึนๆ ปล่อยได้แล้ว”
“เอ่อ…ครับ”
ชางอียังคงจับแขนข้างหนึ่งของอาชินเอาไว้เพราะกลัวจะล้มลงไปอีก ในขณะที่อาชินพยายามสะบัดออก แต่ชางอีไม่ยอมปล่อย จนเมื่ออาชินดูโอเคขึ้น ชางอีถึงได้ยอมปล่อยมือ
แล้วสิ่งที่อาชินเขียนต่อจากการถูกแทงก็คือ ‘ปาก คอ ฝ่ามือ อวัยวะเพศ ทวารหนัก’ จนครบทุกคน
“ดูนะ ชื่อเหยื่อ วิธีสังหาร ตำแหน่ง ปกติผมจะเขียนข้อมูลของเหยื่อในรูปแบบนี้”
“ครับ ทั้งหมดถูกแทงที่ปาก คอ ฝ่ามือ อวัยวะเพศ ทวารหนักเหมือนกันหมดเลยครับ”
“ใช่”
ชางอีดูรายชื่ออีกครั้งและพยายามทำความเข้าใจว่าผู้ตายมีความสัมพันธ์กันยังไง
คิมอึนชิก : ถูกแทง – ปาก คอ ฝ่ามือ อวัยวะเพศ ทวารหนัก
ฮอซองอิล : ถูกแทง – ปาก คอ ฝ่ามือ อวัยวะเพศ ทวารหนัก
ปาร์คจองกิล : ถูกแทง – ปาก คอ ฝ่ามือ อวัยวะเพศ ทวารหนัก
ลีวอนมิน
คังฮเยกยูน
อูซองฮู
ชางอีหันไปมองอาชินที่กำลังหลับตาและยกมือขึ้นกุมขมับ กลิ่นแชมพูหอมสดชื่นที่ไม่ได้เข้ากับสถานการณ์ลอยมาจากผมดำที่ยาวสลวยลงมาถึงเอวของเขา
“แล้วอีกสามชื่อที่เขียนบนกระดานคืออะไรครับ”
ชางอีถามพร้อมกับวาดนิ้วเป็นวงกลมล้อมรอบตั้งแต่ชื่อลีวอนมินมาจนถึงอูซองฮู อาชินลืมตาขึ้นมาช้าๆ แล้วเดินโซเซไปล้มตัวนั่งลงบนโซฟา
“คนที่จะตายเป็นรายต่อไป”
“หา?!”
ชางอีจ้องชื่อคนทั้งสามที่เหลืออย่างเคร่งเครียด แม้ว่าอีกสองชื่อจะเป็นคนที่ไม่รู้จักแต่ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าตกใจอยู่ดี สิ่งที่ต้องรู้โดยเร็วที่สุดตอนนี้ก็คือความสัมพันธ์ของสามคนที่กำลังจะเป็นเหยื่อรายต่อไป ไม่สิ ต้องรู้ความสัมพันธ์ของทั้งห้าคนนี้และซองฮูให้ได้ และจากอาการที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน ชางอีไม่เชื่อว่าอาชินจะไม่รู้อะไร
“มันคืออะไรยังไงกันครับ คุณใช้บรรทัดฐานอะไรระบุชื่อพวกเขาเหล่านี้ แล้วคุณซองฮูมาเกี่ยวอะไรด้วย คุณรู้หรือครับว่าฆาตกรเป็นใคร”
“เปล่า ผมไม่รู้หรอกว่าใครคือฆาตกร…แต่ถ้าลงมือฆ่าลักษณะนี้แล้ว ผมค่อนข้างแน่ใจว่ารุ่นพี่ซองฮูจะเป็นรายสุดท้าย คนที่จะตายรายต่อไปก็คือไอ้หมอนั่น ลีวอนมิน”
“นี่มันอะไรกันเนี่ย! ถ้าสิ่งที่คุณพูดมันจะเกิดขึ้นจริง ก็หมายถึงชีวิตของคุณซองฮูด้วยไม่ใช่เหรอครับ ถ้างั้นก็ต้องรีบบอกตำรวจแล้วเร่งมือสืบสวนให้เร็วที่สุดเพื่อช่วยชีวิตคุณซองฮูและคนที่เหลือ…ผมอยากรู้เหมือนกันว่าคุณรู้รายชื่อพวกนี้ได้ยังไง!”
“ผมจะไม่ทำ ผมจะไม่รับทำคดีนี้”
“ว่าไงนะครับ”
“ผมไม่ทำ จะไม่มีการช่วยเหลือจากผมในคดีนี้”
แล้วอาชินก็หยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกพร้อมเปิดลำโพงเพื่อให้ชางอีได้ยินด้วย หลังจากเสียงรอสายดังได้ไม่นาน เสียงหัวเราะก็ดังมาจากปลายสาย
[ฮ่าๆ อาชิน โทรมามีอะไรเหรอ ได้เบาะแสอะไรแล้วเหรอ]
“ผมไม่ทำแล้ว”
[…อะไรนะ]
“ผมจะไม่ทำคดีนี้ โชคดีนะ”
“คุณนักสืบ!!!”
ชางอีโกรธที่อาชินพูดออกไปอย่างนั้น จึงพุ่งเข้าไปแย่งมือถือแล้วพูดกับปลายสายแทน “ขอโทษด้วยครับ คุณนักสืบไม่ได้ตั้งใจ พบกันพรุ่งนี้นะครับ” ก่อนจะโยนมือถือลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม การกระทำนั้นทำให้อาชินจ้องหน้าชางอีเขม็งแล้วพูดออกไปอย่างเย็นชา
“ออกไป”
“คุณนักสืบ!”
“ออกไป! ที่นี่ไม่ต้องการคุณแล้ว”
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้”
“ออกไป!!!”
“คุณรยูอาชิน!!!”
“ไอ้พวกนั้นมันสมควรตายแล้ว!!”
“รู้ตัวมั้ยครับว่ากำลังพูดอะไรออกมา!”
ชางอีปรี่เข้าไปเขย่าไหล่ของอาชินหวังจะให้เจ้าตัวได้สติ แม้เขาจะเป็นแค่ผู้ช่วยแต่ชางอีก็รู้สึกอยากจะกำราบอีกฝ่าย อาชินรู้เรื่องทั้งหมดอยู่คนเดียว เป็นเพียงคนเดียวที่จะกำหนดชีวิตของคนอื่น แต่ชางอีจะไม่ยอมปล่อยมันไปแบบนี้ ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องช่วยชีวิตของเหยื่อที่เหลือรวมถึงซองฮูให้ได้
“บอกให้ออกไปไง!!”
“คุณนักสืบ คุณช่วยชีวิตคนได้นะ!”
“คนอย่างไอ้สารเลวพวกนั้น…!”
อาชินดิ้นสุดแรง แต่ก็ต้านแรงของชางอีไม่ไหว แล้วทั้งสองก็เสียการทรงตัวจนล้มทับกัน
“เฮือก!”
เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของชางอี แต่เป็นเสียงของอาชิน ชางอียังคงจับไหล่ของอาชินแน่น ขาทั้งสองกำลังคร่อมร่างของอาชินอยู่
“เหยื่อพวกนั้นเป็นคนแบบไหนไม่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญคือต้องช่วยชีวิตพวกเขา นั่นต่างหากคือหน้าที่ของคุณ!”
“…”
“การช่วยเหลือคนคือเหตุผลที่คุณเลือกทำงานเป็นนักสืบไม่ใช่เหรอ!”
ความเงียบยังคงดำเนินต่อไป อาชินไม่โต้ตอบอะไรสักคำจนชางอีรู้สึกแปลกใจ แต่แล้วอาชินก็หลับตาลง สองมือพยายามดึงเสื้อของชางอี ขาทั้งสองข้างหุบชิด หายใจหอบ ร่างสั่นเทาอย่างรุนแรง ราวกับคนตกอยู่ในอาการหวาดกลัวอย่างสุดขีด
เมื่อเห็นท่าทางไม่ค่อยดีของอีกฝ่าย ชางอีก็รีบผละออกทันที
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
อาชินลืมตาขึ้นมาแล้วน้ำตาก็ไหลริน แต่ชางอีได้เห็นภาพความอ่อนแอนั้นเพียงครู่ จากนั้นอีกฝ่ายก็รีบลุกขึ้นไปนั่งที่มุมหนึ่งของโซฟาอีกตัวด้วยท่าทางตื่นตระหนก
“คุณนักสืบ…”
“…”
อาชินไม่ตอบคำใด เอาแต่นั่งตัวสั่น
ชางอีคิดว่านี่น่าจะเป็นหนึ่งในอาการของโรคเกลียดผู้ชาย
สามสิบนาทีผ่านไป
“ผมไม่ใช่คนแบบนั้นนะครับ”
“รู้แล้ว…”
“ขอโทษที่ใช้กำลังนะครับ”
“ตอนนี้ผมไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น”
อาชินยกมือปิดหน้าพร้อมเอนพิงพนักโซฟาอย่างหมดแรง เมื่อกี้เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย แล้วเขาก็ไม่อยากเผชิญกับความรู้สึกแบบนั้นอีก ชั่วขณะที่เห็นภาพผู้ชายอยู่เหนือร่างตัวเองนั้น มันน่ากลัวจนอยากจะอาเจียน ทำไมเขาต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้
อาชินไม่อยากช่วยทำคดีนี้เลย ถ้าเขารับงานนี้เพื่อช่วยเหลือคนพวกนั้นสิจะยิ่งแปลก
ชางอีถอยออกมายืนมองอยู่ห่างๆ เพื่อให้หัวใจที่เต้นรัวจนแทบจะระเบิดออกมาของอาชินค่อยๆ ผ่อนคลายลง ซึ่งชางอีเดาว่าอาการเหล่านี้ต้องเกี่ยวกับการเกลียดผู้ชายและรายชื่อบนไวท์บอร์ดนั่นอย่างแน่นอน
เวลายังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางความเงียบ ชางอีทอดสายตาไปทางอื่น ในขณะที่อาชินยังคงเอามือปิดหน้าอยู่อย่างนั้น
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน REDMOON SYNDROME ฉบับเต็ม
ที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 47 บูธเอเวอร์วาย Y04 โซน Hall A, บอลรูม
ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป, JamClub หรือคลิกสั่งซื้อได้ที่ Jamshop
Comments
comments