สามารถอ่านบทก่อนหน้าได้ที่ >> บทที่ 1 – บทที่ 3
บทที่ 4
อีกราวครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าค่อยๆ มาจอดอยู่ที่หน้าภูเขาเขียวขจีลูกหนึ่ง มีสายลมเย็นรื่นโชยพัดแผ่วๆ นำพากลิ่นหอมของต้นหญ้ามาด้วย
หวงฝู่จี้เลิกผ้าม่านรถม้ามองออกไปด้านนอก เห็นแปลงสมุนไพรที่ปลูกทอดตัวไปตามทิวเขาไกลสุดสายตา เป็นทัศนียภาพอันสงบสวยงาม ที่นี่ก็คือ…
“ถึงแล้ว พวกเราลงจากรถกันเถอะ ยังต้องเดินเท้าตามทางนี้ไปอีกนิดถึงจะไปถึงที่ภูเขาด้านหน้าได้”
ทันทีที่เผยจื่ออวี๋ลงจากรถ พวกคนงานที่กำลังทำงานกันอยู่ในสวนสมุนไพรก็วางงานในมือของตนเองลงและวิ่งมาหานาง
“คุณหนู!” พวกคนงานถอดหมวกหญ้าที่ใช้กันแดดออกจากศีรษะ พร้อมกล่าวคำทักทายเผยจื่ออวี๋กันเสียงดัง
“เหนื่อยหน่อยนะทุกคน ท่านลุงเฉิน ท่านได้ใส่ปุ๋ยกับยาฆ่าแมลงให้ต้นกล้าในสองแปลงนี้ตามที่ข้าสั่งเอาไว้หรือไม่” เผยจื่ออวี๋ถามพลางปรายตาไปมองดูสวนสมุนไพรแวบหนึ่ง
ท่านลุงเฉินผู้เป็นหัวหน้าคนงานพยักหน้า “เรียนคุณหนู เมื่อเช้าพวกเราจัดการทำตามที่คุณหนูสั่งเรียบร้อยแล้วขอรับ ตอนนี้กำลังถอนหญ้ากันอยู่”
เผยจื่ออวี๋พยักหน้า “ดีแล้ว พวกท่านลุงเฉินทำงานกันต่อไปเถอะ ข้าไม่ได้มีเรื่องอะไรหรอก แค่พาสหายมาดูอะไรหน่อยเท่านั้น”
“ขอรับ ถ้าหากคุณหนูมีเรื่องอะไรจะใช้ก็เรียกข้าได้ตลอดเวลาเลยนะขอรับ ข้าจะรีบมาทันที” ท่านลุงเฉินยกมือขึ้นชี้นิ้วสั่งให้พวกคนงานทำงานในสวนสมุนไพรกันต่อไป
“เจ้าค้าสมุนไพรทั้งหมดนี่เลยหรือ” หวงฝู่จี้เพิ่งลงจากรถตามหลังนางมาเอ่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นเผยจื่ออวี๋พูดคุยกับพวกคนงาน
“อืม” นางผงกศีรษะ ก่อนจะชี้มือไปยังทางเดินสายเล็กๆ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก “ถ้าจะไปที่ภูเขาด้านหน้าต้องเดินตามทางถนนเส้นนี้ขึ้นไป” ตอนที่นางมาบุกเบิกทำแปลงสมุนไพรนั้นได้ซ่อมแซมถนนเพื่อใช้เข้าออกทางภูเขาด้านหลังได้เลย จึงไม่มีความจำเป็นต้องไปเข้าออกทางภูเขาด้านหน้าอีก
หวงฝู่จี้พยักหน้า เขาม้วนแขนเสื้อขึ้น เดินไปตามทางถนนเส้นเล็กสายนั้นด้วยท่าทีแคล่วคล่องว่องไว เพียงชั่วพริบตาเดียว ชายหนุ่มก็ขึ้นไปอยู่บนถนนสายเล็กนั้นเรียบร้อยแล้ว
เผยจื่ออวี๋ได้แต่เบิกตามองดูหวงฝู่จี้ที่เหมือนเหยียบเมฆข้ามไปได้ด้วยอาการตะลึงลาน นางชี้นิ้วตามเงาแผ่นหลังสูงใหญ่ของชายหนุ่มพร้อมกับเอ่ยถามปาเจี่ยวและเตาโต้วที่ตามหลังนางมาอย่างตื่นๆ ว่า “พวกเจ้าว่า…คุณชายหวงผู้นี้บาดเจ็บอยู่มิใช่หรือ แล้วเพราะอะไรเขาถึงเคลื่อนไหวได้ว่องไวอย่างน่าเหลือเชื่อได้เช่นนี้เล่า”
ปาเจี่ยวพยักหน้ารับคำอย่างหนักแน่น “ปาเจี่ยวยืนยันได้ว่าเขายังบาดเจ็บอยู่จริงๆ ขอรับ อีกทั้งยังบาดเจ็บหนักมากด้วย”
เตาโต้วผงกศีรษะด้วยสีหน้าจริงจังเช่นกัน “นี่ขนาดร่างกายไม่แข็งแรงดี ยังสามารถเคลื่อนไหวได้ราวกับเทพเซียนเช่นนี้ ไม่เลวเลยจริงๆ”
“พวกเจ้าสองคนเลิกชมเขาได้แล้ว รีบตามไปเร็ว” เผยจื่ออวี๋ดึงชายกระโปรงขึ้นสูงก่อนรีบติดตามไปอย่างไม่ค่อยสำรวมนัก
หวงฝู่จี้ไม่ได้คิดถึงบาดแผลบนตัวที่ยังไม่หายสนิทพวกนั้น เขาเอาแต่ก้าวยาวๆ ปีนขึ้นเขาไปโดยไม่หยุด ไม่ทันถึงครึ่งชั่วยามชายหนุ่มก็เห็นยอดเขาสูงที่เผยจื่ออวี๋บอก บนนั้นมีแหดาวตกที่ทำจากเหล็ก และคนเฝ้าอีกจำนวนไม่น้อย ถ้าหากจะบอกว่าในนั้นไม่มีอะไรเลยจริงๆ เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
เผยจื่ออวี๋คิดไม่ถึงว่าฝีเท้าของชายหนุ่มจะรวดเร็วปานนี้ ขนาดนางกับปาเจี่ยวและเตาโต้วออกแรงกึ่งวิ่งกึ่งเดินกันแล้วก็ยังไล่ตามหลังเขาได้ไม่ทัน
กว่าพวกนางจะเดินหอบกันมาถึงยอดเขา หวงฝู่จี้ก็กวาดตาสำรวจพื้นที่รอบๆ ไปเรียบร้อยแล้ว
“คุณชายหวง นี่ท่านเดินหรือเหาะเหินกันแน่ เหตุใดถึงได้ว่องไวเพียงนี้ ขนาดพวกข้ายังตามกันไม่ทันเลย!” หญิงสาวยกมือขึ้นตบหน้าอกตนเองเบาๆ ขณะมองดูหวงฝู่จี้ทรุดตัวลงไปนั่งยองๆ ที่พื้นและเก็บไม้มาเขี่ยๆ ดินเข้ามาไว้เป็นกอง
“ข้าเห็นว่าเย็นมากแล้วเลยอยากจะรีบมาเก็บดินกลับไปเร็วๆ ไม่อย่างนั้นอาจลงจากเขาไปไม่ทันฟ้ามืด” หวงฝู่จี้มองดูคนทั้งสามที่พยายามตามหลังเขามาจนหน้าซีดด้วยสีหน้ายิ้มๆ
เผยจื่ออวี๋มองดูดินแดงที่ฟุ้งกระจายอยู่ข้างเท้าชายหนุ่ม “ว่าแต่…ท่านจะเอามันกลับไปอย่างไรหรือ”
“เห็นทีวันนี้คงยังไม่ได้เอากลับ ทำได้เพียงแค่ดูลักษณะของดินแดงที่นี่ก่อนเท่านั้น”
“แล้วเป็นอย่างไรบ้าง เหมาะหรือไม่”
เขาส่ายหน้า เอ่ยอย่างผิดหวัง “ดินของที่นี่ยังไม่ค่อยเหมาะเท่าไร แต่ดินบนยอดเขาใกล้ๆ นี่ดูเหมือนจะเหมาะ ข้าอยากจะลองเข้าไปดู แต่กลับถูกคนที่เฝ้าอยู่ไล่ออกมา”
เผยจื่ออวี๋มองไปทางทิศที่เขาชี้แล้วก็หันไปบอกกับเตาโต้ว “เตาโต้ว คนที่เฝ้าอยู่วันนี้ใช่คู่ซี้ของเจ้าหรือไม่ เจ้าไปถามเขาดูซิว่าพอจะให้คุณชายหวงเข้าไปเอาดินได้หรือไม่”
“คู่ซี้?” เตาโต้วมองเผยจื่ออวี๋ด้วยสายตางงๆ เพราะคุณหนูของพวกเขาชอบใช้ศัพท์ที่พวกเขาไม่เข้าใจอยู่บ่อยๆ พวกเขาเลยเห็นเรื่องแปลกจนเลิกแปลกใจกันไปแล้ว เพียงแต่ทุกครั้งที่เจอศัพท์คำใหม่ก็จะมีอาการนิ่งงันไปเล็กน้อยเท่านั้น
“เด็กของเจ้า สหายสนิทของเจ้า คนที่โตมาด้วยกันอย่างไรเล่า”
“อ๋อ หมายความว่าแบบนี้นี่เอง ขอรับ คุณหนูโปรดรอสักครู่” เตาโต้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
เขาวิ่งข้ามไปหาคนที่ยอดเขาอีกลูกหนึ่ง ทำมือทำไม้ ชี้โน่นบอกนี่กันอยู่พักใหญ่
ไม่นานเตาโต้วก็วิ่งกลับมาส่ายหน้าให้อย่างผิดหวัง “คุณหนู คู่ซี้ข้าบอกว่าไม่ได้ เขาบอกช่วงนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร เจ้านายของพวกเขาให้คอยจับตาดูเรื่องการเข้าออกเป็นพิเศษ ไม่ให้ใครเข้าไปใกล้ได้ง่ายๆ ถ้าหากจะเข้าไปจริงๆ ก็ต้องมีหนังสืออนุญาตอะไรพวกนั้น และถ้าหากเขาปล่อยคนเข้าไปส่งเดชก็อาจจะถูกไล่ออกได้เหมือนกัน”
“เช่นนี้หมายความว่าแม้แต่บริเวณที่อนุญาตให้คนเข้าไปเก็บฟืนได้ ตอนนี้ก็ห้ามเข้าแล้วสิ?” เผยจื่ออวี๋มุ่นหัวคิ้ว
หวงฝู่จี้ไม่ได้คาดหวังมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะต้องเข้าไปได้สำเร็จ เพียงแต่คิดอยู่ในใจว่าถ้าติดต่อกับพวกหลิงอีได้เมื่อไรก็จะให้พวกเขาแอบเข้าไปสำรวจดู
แต่ใช่ว่าการมาของเขาในครั้งนี้จะไม่ได้อะไรเลย เพราะอย่างน้อยเขาก็ได้ข่าวที่มีประโยชน์จากเผยจื่ออวี๋ อีกทั้งคนเฝ้าที่นี่ยังเป็นสหายสนิทของเตาโต้วอีกด้วย ดังนั้นพวกเขาย่อมต้องรู้เรื่องที่คนอื่นไม่รู้กันไม่มากก็น้อย ต่อไปเขาก็แค่เพียงคอยตีสนิทกับเตาโต้วให้มากขึ้นเท่านั้น
“แม้แต่คนเก็บฟืนก็ห้ามเข้า ทำไมถึงเป็นแบบนั้นได้เล่า หรือว่าพวกเขาขุดเจอสายแร่ทองคำในนั้นหรืออย่างไร” เผยจื่ออวี๋ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ข้าก็รู้สึกว่าพวกเขาน่าจะขุดเจอสายแร่เหมือนกันนะขอรับ คุณหนู เพราะเมื่อครู่คู่ซี้ของข้าบอกว่าไม่รู้ที่ด้านในภูเขากำลังขุดอะไรกันอยู่ ทุกวันเป็นต้องขนดินแดงไปทิ้งกันที่หมู่บ้านบนภูเขาหลายคันรถ กับบางทีก็มีเสียงระเบิดดังมา ถ้าหากว่าคุณชายหวงอยากจะได้ดินจริงๆ ก็ให้ไปเอาที่หมู่บ้านได้เลย”
“หมู่บ้าน? อยู่ที่ไหนหรือ” หวงฝู่จี้ถามอย่างร้อนใจยิ่งกว่าเผยจื่ออวี๋เสียอีก
เตาโต้วชี้มือไปด้านหนึ่ง “เดินไปทางนี้ไม่นานก็ถึงแล้วขอรับ”
“เราไปดูกันหน่อยเถอะ” เขาไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ปฏิเสธ แต่ชิงเดินออกไปก่อนทันที
กว่าที่สามนายบ่าวจะได้สติกลับมากันอีกครั้ง ชายหนุ่มก็เดินห่างจากพวกเขาไปหลายจั้ง* แล้ว
ทันใดนั้นอีกาตัวหนึ่งก็บินมาร้อง ‘แกว๊กๆ’ อยู่เหนือศีรษะของพวกเขาโดยไม่ได้นัดหมาย ดูท่าว่าวันนี้แต่ละคนคงจะมีเรื่องไม่สู้ดีนักเข้ามาเสียแล้ว…
ในราตรีอันเงียบสงัดพลันเกิดเสียงนกร้องหวีดแหลมแทรกขึ้นมาทำลายความสงบลง พร้อมๆ กับเงาดำสองร่างกระโดดเหาะอยู่บนหลังคาอย่างแคล่วคล่องว่องไว โดยเหินข้ามหลังคาบ้านไปทีละหลังๆ
ในที่สุดเมื่อเงาดำทั้งสองได้มาพบกันบนที่สูงแห่งหนึ่ง เจ้าของร่างทั้งสองก็ดึงผ้าปิดหน้าของตนเองลง และประสานสายตากับอีกฝ่ายอย่างสงบเยือกเย็น
“หลิงซาน เจ้าไปเจอเครื่องหมายลับที่นายท่านทิ้งไว้ที่ไหน”
“ประตูตะวันตก แล้วเจ้าเล่า”
“เมื่อวานตอนเช้า ข้าเข้าเมืองไปยังไม่เห็นนายท่านทิ้งเครื่องหมายลับอะไรเลยคิดว่านายท่านคงจะเพิ่งมาทิ้งเครื่องหมายลับนี้เอาไว้เมื่อวานตอนบ่ายหรือไม่ก็วันนี้ นี่ถ้าหากว่าไม่ได้เห็นเครื่องหมายลับนี่วันนี้ ข้าว่าจะไปที่อำเภอถัดไปแล้ว” หลิงอีกล่าวขึ้นด้วยท่าทีเร่งร้อนก่อนเอ่ยถามต่อ “เจ้าบอกหลิงเอ้อหรือยัง”
“ทันทีที่ข้าเห็นเครื่องหมายลับนี่ที่ประตูเมืองก็ส่งข่าวไปบอกหลิงเอ้อแล้ว คิดว่าเขาน่าจะมาถึงเร็วๆ นี้”หลิงซานพูดเหมือนจะรำพึง “ได้เห็นเครื่องหมายลับนี่เสียที พวกเราจะได้สบายใจกันได้”
“อย่าเพิ่งด่วนดีใจกันไปก่อนเลย การที่นายท่านเพิ่งจะมาเผยตัวเอาตอนนี้ยังไม่น่าจะใช่เรื่องน่ายินดีหรอก ที่ข้าเป็นห่วงที่สุดคือพิษในร่างของนายท่าน…” หลิงอีเตือนอีกฝ่าย
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมาทันที องครักษ์ทั้งสองต่างมองตากันอย่างคิดหนัก
“แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ขอเพียงนายท่านยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ก็เป็นโชคดีที่สุดในความโชคร้ายนี้แล้ว” หลิงอีพูดอย่างติดจะเป็นกังวลอยู่บ้าง
ในตอนนี้เองทางด้านเหนือก็มีเงาดำอีกสายหนึ่งกำลังเร่งรุดมาที่พวกเขาเช่นกัน ทั้งสองคนจึงชักดาบออกมาเตรียมพร้อม แต่พอเห็นว่าเงาร่างโปร่งนั้นเป็นของหลิงเอ้อแล้ว ทั้งสองคนถึงได้เก็บอาวุธและคอยให้อีกฝ่ายมาถึงแทน
“หลิงอี หลิงซาน พวกเจ้าได้ข่าวอะไรจากนายท่านบ้างหรือไม่” หลิงเอ้อยิงคำถามมาทั้งที่เท้ายังไม่แตะพื้นดีด้วยซ้ำ
* จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร
“นายท่านทิ้งเครื่องหมายลับเอาไว้ให้แล้ว คอยอีกไม่นาน นายท่านน่าจะเร่งติดต่อพวกเรามา”
เพิ่งจะสิ้นเสียงเขา ก็มีเสียงขลุ่ยดังแว่วมาในราตรีอันเงียบสงัด เสียงขลุ่ยนั้นมีทำนองทอดยาวที่พวกเขาสามคนต่างรู้จักกันดีว่าเป็นสัญญาณที่หวงฝู่จี้ใช้เรียกพวกเขา
องครักษ์ทั้งสามจึงรีบตามเสียงไป เงาร่างทั้งสามสายต่างหายลับไปในความมืด
หวงฝู่จี้ยืนเอามือไพล่หลังคอยอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ของเรือนด้านหลังโรงหมอ พร้อมกับแหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่ถูกเมฆหมอกยามราตรีบดบังไว้
เขาไม่แน่ใจว่าพวกหลิงอีจะมาที่อำเภอชุ่ยถีนี้หรือไม่ เพียงแต่หวังว่าทั้งสามคนจะเอาชีวิตรอดไปได้เหมือนอย่างเขาเท่านั้น
แต่เดิมเขาไม่คิดว่าพวกหลิงอีจะตามมาได้ไวขนาดนี้ ยิ่งคิดไม่ถึงว่าไม่ถึงหนึ่งเค่อ* หลังจากที่พวกเขาพบเครื่องหมายลับของผู้เป็นนายแล้ว แต่ละคนจะรีบตามมากันอย่างพร้อมหน้าได้ขนาดนี้ นี่จึงทำให้หวงฝู่จี้รู้สึกดีใจอยู่บ้าง
วันนั้นพวกเขาต่างต้องกระโดดน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด แต่เกิดไปเจอกับคลื่นใต้น้ำ ทำให้สามนายบ่าวต้องกระจัดกระจายกันออกไป มาวันนี้ได้พบหน้ากันใหม่อีกครั้ง คนที่ดีใจจึงไม่ได้มีแค่หวงฝู่จี้คนเดียว แต่พวกหลิงอีทั้งสามคนเองก็ดีใจอย่างมากเช่นกัน
“ผู้น้อยหลิงอี หลิงเอ้อ และหลิงซาน คารวะนายท่าน!” องครักษ์ทั้งสามต่างคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อแสดงความเคารพ พร้อมเปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน
“รีบลุกขึ้น ข้าบอกแล้วว่าอยู่ข้างนอกให้งดเว้นธรรมเนียมจุกจิกของวังหลวงไปก่อน” หวงฝู่จี้หมุนตัวกลับมาทำสัญญาณมือให้ลุกขึ้น
“พวกผู้น้อยดีใจเหลือเกินที่เห็นว่านายท่านปลอดภัยสบายดี” หลิงอีพูดด้วยน้ำเสียงยินดี
“นายท่าน แล้วพิษในร่างของท่าน?” หลิงเอ้อยังไม่ลืมว่าตอนที่พวกเขากระโดดลงไปในน้ำนั้น พิษในตัวของนายท่านได้เกิดกำเริบขึ้น
“นายท่าน แล้วแผลของท่านล่ะขอรับ” หลิงซานถามอย่างเป็นห่วง
“วางใจเถอะ นายของพวกเจ้าได้พบกับผู้สูงส่งท่านหนึ่ง นางได้ช่วยเชิญหมอมารักษาทำให้บาดแผลของข้าดีขึ้นมากแล้ว รวมถึงพิษก็ถูกขจัดออกไปด้วย เพียงแต่ลมปราณยังไม่อาจฟื้นฟูได้ไวอย่างใจเท่านั้น จำเป็นต้องพักรักษาตัวอยู่อีกสักระยะ” หวงฝู่จี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้องครักษ์ทั้งสามคนฟังอย่างสั้นกระชับ
เมื่อได้ยินเขาเล่าเช่นนี้แล้ว ทั้งสามคนจึงค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างมาก แต่ละคนต่างระบายลมหายใจยาวกันด้วยความโล่งอก โชคดีที่นายท่านส่งข่าวมาเสียก่อน หาไม่แล้วถ้าหากพวกเขายังหาตัวนายท่านไม่พบอีก ก็คงจะไปไหนไม่ได้ นอกจากจะส่งข่าวไปที่เมืองหลวงอย่างเดียว
ซึ่งถ้าหากนายท่านมีอันเป็นไปจริงๆ พวกเขาทั้งสามคนก็ไม่มีทางจะกลับเมืองหลวงได้อีก
“เวลานี้สถานการณ์เร่งด่วน ข้ามีเรื่องจะมอบหมายให้พวกเจ้าทั้งสามคน เรื่องที่ข้ายังมีชีวิตอยู่นี้ต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับ ห้ามให้ตวนอ๋องรู้เรื่องเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เสียการใหญ่ที่กำลังทำกันอยู่ได้”
* เค่อ หน่วยนับเวลาของจีนที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที
“นายท่านโปรดบัญชา พวกผู้น้อยจะต้องทำเรื่องที่ท่านมอบหมายมาให้สำเร็จลุล่วงให้จงได้” ทั้งสามคนต่างประสานมือรอรับคำสั่ง
“พวกเจ้าเข้ามานี่…” หวงฝู่จี้ออกคำสั่งพวกเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ
“นายท่านโปรดวางใจ ผู้น้อยจะทำตามคำสั่งของท่านให้สำเร็จโดยไวที่สุด” สามองครักษ์ต่างบอกออกมาพร้อมกัน
“จำไว้ อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น” หวงฝู่จี้กำชับอีกครั้งก่อนโบกมือ แล้วเงาร่างของคนทั้งสามคนก็หายวับไปในความมืด
วันต่อมา ที่โรงหมอมีคนไข้ที่ได้รับบาดเจ็บแห่กันมาตั้งแต่เช้าตรู่ ส่งเสียงดังโหวกเหวกไปทั่ว เหล่าเด็กช่วยงานทั้งหลายต้องไปดูแลคนเจ็บกันจนมือไม้เป็นระวิง
และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เผยจื่ออวี๋ต้องเอาสมุนไพรมาส่ง ที่หน้าประตูใหญ่ของโรงหมอจึงมีทั้งคนเจ็บและยาสมุนไพรกองอยู่ ทว่ากลับมีคนมาช่วยยกยาสมุนไพรแค่ไม่กี่คนเท่านั้น บริเวณหน้าประตูใหญ่จึงถูกปิดกั้นเสียจนน้ำไม่อาจซึมผ่านไปได้เลย
แม้แต่ตัวของเผยจื่ออวี๋เองยังต้องมาช่วยยกสมุนไพรด้วยกระบุงแล้วกระบุงเล่า หวงฝู่จี้ที่ยังบาดเจ็บอยู่อยากจะเข้าไปช่วยด้วย แต่ก็ต้องระวังไม่ให้กระทบกระเทือนมากจนเกินไปนัก เขาจึงใช้มือข้างที่ยังดีเข้าไปช่วยยกยาสมุนไพรที่มีน้ำหนักเบาขึ้นมาแทน
“คุณชายหวง! ท่านหยุดเลยนะ ให้พวกปาเจี่ยวทำน่ะดีแล้ว ท่านลืมที่ท่านหมอจางสั่งไว้แล้วหรือไร” พอเห็นหวงฝู่จี้ยกยาสมุนไพรขึ้นหาบบนบ่า เผยจื่ออวี๋ก็ส่งเสียงร้องห้ามมาทันที
เมื่อวานตอนที่พวกเขากลับลงมาจากบนภูเขา หญิงสาวก็ถูกท่านหมอจางอบรมเสียชุดใหญ่โทษฐานไม่รู้จักดูแลคนป่วย ถึงได้พาคนไข้ที่เพิ่งเฉียดตายมาออกไปตะลอนปีนเขาขุดดิน นี่ถ้าหากว่าเกิดมีคนไข้มาตายที่โรงหมอ ป้ายร้านเขาคงถูกพังยับ อะไรทำนองนั้น
ทำเอาวันนี้หญิงสาวไม่กล้าให้หวงฝู่จี้ช่วยงานอะไรหนักๆ อีก ด้วยเกรงว่าจะถูกท่านหมอจางตวาดใส่ซ้ำ
“ไม่เป็นไร ข้ามิใช่กระดาษเปื่อยเสียหน่อย”
“ไม่ได้ๆ ท่านไปนั่งรับลมที่ใต้ต้นไม้นั่นแหละดีแล้ว งานหนักๆ พวกนี้ให้พวกเราทำเองดีกว่า อย่าลืมสิว่าท่านยังเป็นคนป่วยอยู่ ข้ายังไม่อยากถูกท่านหมอจางเอ็ดเป็นเด็กๆ ด้วย” นางรีบยกยาสมุนไพรลงมาจากบ่าของชายหนุ่ม
“ขอโทษด้วย เป็นข้าที่ทำให้ท่านต้องวุ่นวาย” คิดถึงเมื่อวานว่าเป็นเพราะเขาที่ทำให้นางถูกท่านหมอจางดุว่าอย่างหนักแล้ว หวงฝู่จี้ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้
“ไม่เป็นไรๆ ท่านหมอจางหาเรื่องบ่นข้าเป็นประจำอยู่แล้ว ท่านอย่าได้เก็บเอามาใส่ใจเลย” พูดจบนางก็ยกยาสมุนไพรเข้าไปด้านในต่อ
ตอนที่หวงฝู่จี้กำลังคิดว่าตนเองพอจะช่วยอะไรได้หรือไม่นั้น ที่หางตาก็เหลือบไปเห็นหลิงอีกับหลิงซานที่เปลี่ยนมาสวมชุดชาวบ้านเข้าพอดี เขาจึงทำสัญญาณมือส่งให้พวกเขาอย่างแนบเนียนเพื่อบอกมิให้อีกฝ่ายใจร้อนลงมือ เพราะนี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะแสดงออกว่าพวกเขารู้จักกัน
รอจนเผยจื่ออวี๋เดินออกมาด้วยสภาพเหงื่อแตกเต็มหน้าแล้ว หวงฝู่จี้จึงส่งสัญญาณให้พวกเขาออกมาแสดงตัวว่าเป็นญาติได้
เผยจื่ออวี๋ใช้แขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากขณะก้าวข้ามธรณีประตูออกมาพบชายสองคนที่เนื้อตัวสกปรกด้วยฝุ่นผง ใบหน้าดำคล้ำ คล้ายชาวบ้านสามัญทั่วไปหรือไม่ก็พวกชาวไร่ชาวนา ทั้งสองกำลังมองมาที่นางด้วยน้ำตาเอ่อคลอ สีหน้าแตกตื่นยินดีอย่างยิ่ง
หญิงสาวขมวดหัวคิ้ว นางไม่รู้จักสองคนนี้เสียหน่อย เพราะเหตุใดจึงต้องหลั่งน้ำตาราวกับเป็นญาติมิตรที่พลัดพรากจากกันมานานหลายปีด้วย เผยจื่ออวี๋เกิดคำถามขึ้นในใจ
นางเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อให้แน่ใจว่ามิใช่เป็นการพบญาติแบบผิดฝาผิดตัว และเมื่อเห็นคนทั้งสองพุ่งตัวเข้ามาหา หญิงสาวก็เผลอเบี่ยงหลบตามสัญชาตญาณ ทว่าชายทั้งสองกลับคุกเข่าลงตรงหน้านางเสียงดัง น้ำตาร้อนๆ เอ่อล้นออกมาจากกระบอกตาทั้งสองข้าง มือดำเลอะด้วยดินโคลนนั้นยื่นตรงมาที่หญิงสาว…
และคว้าหมับเข้าที่มือของหวงฝู่จี้ที่อยู่ข้างๆ พลางร้องไห้ออกมาด้วยความยินดีว่า “คุณชาย…ในที่สุดพวกเราก็หาท่านพบแล้ว…”
เผยจื่ออวี๋จึงหันไปมองสองหนุ่มร่างใหญ่ที่จับมือของหวงฝู่จี้ไว้ด้วยความแปลกใจ “คุณชายหวง สองคนนี้คือญาติของท่านที่เล่าว่าหายตัวไปหรือ”
“ถูกต้อง พวกเขาคือหลิงอีกับหลิงซาน” หวงฝู่จี้ผงกศีรษะ “หลิงอีหลิงซาน นี่คือแม่นางเผย นางช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
หลิงอีกับหลิงซานรีบโขกศีรษะลงกับพื้นให้เผยจื่ออวี๋อย่างแรง “ขอขอบคุณแม่นางเผยที่ช่วยชีวิตคุณชายของเรา บุญคุณยิ่งใหญ่นี้พวกเราสองพี่น้องไม่มีวันลืมเลือน ต่อไปภายหน้าหากท่านมีสิ่งใดจะใช้สอยพวกเราสองพี่น้อง ขอแม่นางเผยโปรดอย่าได้เกรงใจ ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ พวกเราก็ยินดีขอรับ”
เผยจื่ออวี๋แทบจะกระโดดหนีตั้งแต่ตอนที่เห็นพวกเขาคุกเข่าแล้ว นางรีบโบกมือปฏิเสธวุ่นวาย “พวกเจ้าไม่ต้องคุกเข่าให้ข้าหรอก ข้าไม่ชินกับการที่มีคนมาคุกเข่าให้ ส่วนเรื่องขอบคุณหรือตอบแทนก็ไม่จำเป็นเหมือนกัน ไม่ต้องเอามาใส่ใจหรอก”
“หลิงอีหลิงซาน พวกเจ้าสองคนไปช่วยยกสมุนไพรพวกนี้เข้าไปในเรือนด้านหลังของโรงหมอก่อนเถอะ”
“ขอรับคุณชาย”
หลิงอีกับหลิงซานต่างยกกระบุงยาขึ้นวางบนบ่า พร้อมฉวยเอายาสมุนไพรหอบใหญ่ติดไปด้วย เช่นนี้แค่เดินไปกลับสองรอบ ยาสมุนไพรบนรถก็ถูกขนไปจนหมด เหลือแค่เพียงห่อยาที่เป็นพวกของเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
เผยจื่ออวี๋มองดูสองหนุ่มที่เรี่ยวแรงมหาศาลด้วยสายตาตื่นตะลึง เมื่อข้าวของที่ปาเจี่ยวกับเตาโต้วต้องขนกันถึงห้าหกรอบ กลับถูกสองคนนี้ขนไปได้แค่เพียงสองสามรอบเท่านั้น ช่างแรงดีเสียจนน่าตกใจ
ได้เห็นสีหน้าตื่นตกใจของหญิงสาวแล้ว หวงฝู่จี้จึงรีบอธิบาย “เมื่อก่อนพวกเขาสองคนเป็นคนงานชักลากไม้อยู่ในป่า ก็เลยเรี่ยวแรงดี”
เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าล่ะถึงได้มีเรี่ยวแรงเกินผู้อื่น
หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างอึ้งงัน
“นี่แม่นางเผยมิใช่หรือ เพราะเหตุใดวันนี้ถึงไม่ไปแจกหมั่นโถวที่ถนนเล่า”
จู่ๆ ก็มีเสียงหยอกเย้าดังมาจากที่ด้านข้างของคนทั้งคู่
“ไม่แจกหมั่นโถวต่อนั่นแหละดีแล้ว ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อนว่าหลังแต่งงานข้าไม่อนุญาตให้เจ้าใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเช่นนี้อีก”
เผยจื่ออวี๋กับหวงฝู่จี้ต่างขมวดหัวคิ้วและหันหน้าไปมองพร้อมกัน แล้วก็ได้เห็นชายผู้หนึ่งยืนอยู่ ที่หางตาของเขามีไฝเม็ดใหญ่สีดำ สวมใส่ชุดยาวหรูหราสีสันฉูดฉาด มีองครักษ์คุ้มกันรอบตัว แค่ดูก็รู้ว่าเป็นพวกลูกเศรษฐีประเภทเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เขากำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“เคอโหย่วไฉ เจ้ายังหลับไม่ตื่นหรืออย่างไร ถึงได้ละเมออะไรเช่นนี้ออกมา” เผยจื่ออวี๋ยกสองมือขึ้นกอดอกขณะปรายตามองอีกฝ่ายอย่างดูถูก
“ฮ่าๆ เจ้าว่าข้าละเมออย่างนั้นหรือ ข้าจะบอกให้นะว่าวันนี้พ่อข้าเห็นดีเรื่องจะให้ส่งแม่สื่อไปสู่ขอเจ้าแล้ว อีกไม่นานเจ้าก็ต้องมาเป็นฮูหยินของข้า เช่นนี้เจ้ายังจะมาหาว่าข้าละเมออีกหรือไม่” เคอโหย่วไฉชี้พัดในมือมาที่หญิงสาว ขณะบอกข่าวล่าสุดเรื่องที่บิดาเขาบอกมาให้นางฟังด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม
เขาชื่นชอบสตรีผู้นี้มานานแล้ว เพียงแต่นางไม่เคยมีสีหน้าดีๆ ให้เขาเห็นบ้างเลย รอให้เขาแต่งนางเข้าบ้านได้เมื่อไร ดูซิว่านางยังกล้ากำแหงกับสามีอีกหรือไม่
“พ่อเจ้าเห็นชอบ แต่ข้ายังไม่เห็นชอบด้วยสักหน่อย เจ้านึกว่าเจ้าเป็นใคร คิดจะมาอวดเบ่งแต่งข้าเป็นฮูหยิน ไปล้างหน้าให้ตื่นเต็มตาก่อนเถอะไป!”
เผยจื่ออวี๋ลอบสะดุ้งกับเรื่องที่เคอโหย่วไฉพูดอยู่ในใจ เพราะไม่รู้ว่ามารดาได้กำหนดเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของนางลับหลังหรือไม่
“เฮอะ เจ้ากล้าไม่เห็นดีด้วยหรือ! สตรีดุร้ายเช่นเจ้าคิดจะจัดการเรื่องงานแต่งเองหรือไร ที่พ่อข้ายอมให้เจ้าแต่งมาเป็นเมียของข้าก็นับว่าเป็นบุญกุศลที่บ้านเจ้าสร้างมาแล้ว ทางที่ดีเจ้าจงเลิกคิดกำแหงกับว่าที่สามีในอนาคตเช่นข้าดีกว่า หาไม่หลังแต่งงานข้าจะสั่งสอนเจ้าให้น่าดูชม ให้รู้เสียบ้างว่าใครกันแน่ที่เป็นสามีเจ้า!” เคอโหย่วไฉพูดพลางคิดจะใช้มือที่คล้ายเท้าหมูมาลูบใบหน้าของเผยจื่ออวี๋อย่างไม่คิดที่จะรักษามารยาท
แต่เผยจื่ออวี๋มุ่นหัวคิ้วแล้วรีบก้าวหลบเท้าหมูที่คิดจะมาแปะติดกับหน้านางอย่างว่องไว อีกทั้งยังขู่คำรามกลับไป “จะทำอะไรน่ะ จะพูดก็พูดไปสิ แต่นี่จะขยับมือมาทำอะไรมิทราบ”
“ข้าใกล้จะเป็นสามีเจ้าอยู่แล้ว แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้หรือไร!” เคอโหย่วไฉเบ้ปากอย่างขัดใจ
ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยได้กำไรจากนางเลยสักครั้ง ทุกครั้งที่เขาพาลูกน้องออกจากบ้านไปสั่งสอนพวกคนที่ขัดหูขัดตาตามท้องถนนแล้วถูกสตรีที่เหมือนแม่ไก่นางนี้เห็นเข้า นางเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ในสภาพน่าอนาถเหล่านั้น ซ้ำยังช่วยจ่ายค่ายาให้แก่คนพวกนั้น ทั้งค่าทำขวัญ ค่าชดเชยอะไรต่อมิอะไรอีก
แต่อย่าเห็นว่าแม่เสือตัวนี้หน้าตาหมดจด รูปร่างสะโอดสะองเหมือนจะผลักให้ล้มได้ง่ายๆ เพราะนางไม่รู้ไปฝึกวิชามาจากที่ไหน ถึงทำให้เขาไม่สามารถจับนางได้อยู่มือเลยสักครั้ง กลายเป็นพวกเขาเสียเองที่ถูกนางสั่งสอนจนเหล่าบรรพบุรุษแทบจำลูกหลานของตนเองไม่ได้
มาวันนี้บิดาของเขาบอกแล้วว่าจะให้แม่สื่อไปเจรจาเรื่องงานวิวาห์ของสองตระกูล ตอนที่บิดาตกปากรับคำนั้น เคอโหย่วไฉดีใจมากถึงขนาดพาสมัครพรรคพวกมาเพื่อประกาศต่อหน้านางให้รู้ว่าสิ่งใดที่เรียกว่าสามีเป็นเสมือนท้องฟ้า!
“ข้าไม่เชื่อว่าวันนี้จะแตะไม่ถูกตัวเจ้า!” เคอโหย่วไฉสะบัดแขนเสื้อก่อนออกคำสั่งกับพวกลูกน้อง “จับตัวนางมาให้ข้า วันนี้ข้าจะต้องลูบคลำนางให้จงได้!”
หวงฝู่จี้ที่อยู่ด้านข้างได้ยินแล้วก็จะก้าวออกมาข้างหน้าทันที แต่กลับถูกเผยจื่ออวี๋รั้งตัวเอาไว้พร้อมสั่นศีรษะ
“ท่านเป็นคนต่างถิ่น อาจถูกเขาตามคิดบัญชีได้ง่าย อย่าคิดออกหน้าให้ข้าเลย อีกอย่างหนึ่งแขนท่านยังไม่หายด้วย เรื่องที่เป็นเรื่องของข้า ข้าจะจัดการเอง ลำพังแค่เจ้าลูกกระจ๊อกสามตัวนี่ไม่อยู่ในสายตาข้าอยู่แล้ว”
“เจ้าเป็นสตรีตัวคนเดียวจะรับมือพวกคนต่ำช้านี่ได้อย่างไร”
หญิงสาวกระตุกมุมปากขึ้นอย่างภาคภูมิ ก่อนใช้นิ้วโป้งขึ้นเช็ดปลายจมูกอย่างเย่อหยิ่งเล็กน้อย “คอยดูไปเถอะ ท่านนึกว่าข้าตั้งตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ถ้าหากเป็นแค่สตรีอ่อนแอ ป่านนี้ข้าคงกลายเป็นศพไร้ที่ฝังไปนานแล้ว”
เห็นท่าทีเหมือนคนมีแผนอยู่ในใจของนางแล้ว หวงฝู่จี้ก็ระงับความรู้สึกที่อยากจะออกหน้าแทนหญิงสาวเอาไว้ เพราะถ้าหากเกิดเรื่องคับขันขึ้นจริงๆ ที่ด้านหลังก็ยังมีหลิงอีและหลิงซานคอยเฝ้าระวังอยู่
เผยจื่ออวี๋เบ้ปากอย่างหมิ่นๆ พร้อมปรายหางตามอง “เข้ามาเลย ดูซิว่าวันนี้เจ้าจะเตรียมมาเล่นงานข้าได้อย่างไร!”
ท่าทียิ้มเยาะเหมือนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเช่นนี้ทำให้เคอโหย่วไฉฉุนขาด และรู้สึกว่าไม่อาจยอมเสียหน้าได้จนต้องตะโกนสั่ง “รุมกันเข้าไป! จับนางมัดส่งมาให้ข้า วันนี้ข้าจะเข้าหอก่อนวิวาห์!”
สิ้นคำสั่งของเคอโหย่วไฉ กลุ่มองครักษ์ที่เขาพามาด้วยก็กรูกันเข้าไปล้อมเผยจื่ออวี๋
แต่ทันทีที่หญิงสาวพลิ้วร่าง คนคนหนึ่งก็ลงไปนอนหมอบ แล้วอีกคนก็ลงไปนอนวัดพื้น ตามมาด้วยอีกหลายคนที่ถูกเตะเสียกระเจิดกระเจิง ทุกคนดูไม่ออกว่านั่นเป็นวิชาของสำนักไหนถึงได้ทำให้เหล่าลูกสมุนที่พากันบุกเข้าไปต่างถูกนางเตะกระเด็นออกมา และได้แต่นอนร้องเสียงโอดโอยกันในสภาพที่นอนซ้อนกันเป็นชั้นๆ เช่นนี้
เคอโหย่วไฉเองเห็นท่าไม่ดีก็เตรียมถลกชุดเผ่นหนี แต่กลับถูกเผยจื่ออวี๋จิกตัวเอาไว้และโยนเขาไปกองรวมกับพวกลูกน้อง
ชาวบ้านที่มุงดูความครึกครื้นกันอยู่ต่างปรบมือชมกันเกรียวกราว “เยี่ยม ยอดเยี่ยม!”
บนแผ่นหลังของเคอโหย่วไฉที่ซ้อนทับอยู่ด้านบนสุดถูกเท้างามๆ เหยียบเข้าอย่างจัง
บังเกิดเป็นเสียงร้องโหยหวนสะท้านฟ้าสะเทือนดินขึ้นมาทันควัน “อ๊าก!”
เผยจื่ออวี๋เหยียบเท้าไว้บนหลังของเขาขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่น “เคอโหย่วไฉ ข้าจะบอกเจ้าให้นะว่าต่อให้ชาตินี้ทั้งชาติข้าไม่ได้แต่งให้ใครก็ไม่มีทางยอมแต่งให้เจ้า ทางที่ดีเจ้าจงตัดใจจากข้าเสีย!”
“ปล่อย ปล่อยข้า ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว” เคอโหย่วไฉที่ถูกเผยจื่ออวี๋ออกแรงนิดหน่อยก็สยบเขาได้ร้องเสียงแหลมออกมาราวกับหมูถูกเชือด มือข้างที่ไม่ได้ถูกตรึงเอาไว้ทุบใส่พวกลูกน้องที่อยู่ใต้ร่างจนพากันร้องครางเสียงดังระงม
“ไอ้เจ้าโง่พวกนั้น ยังไม่รีบเอาตัวนางออกไปให้ข้าอีกหรือ!” เคอโหย่วไฉเจ็บจนหน้าแดงไปหมดแล้วจึงหันไปตวาดใส่พวกลูกน้องอีกสองสามคนที่ไม่ได้เข้ามารบราอะไรด้วย
ทว่าทันทีที่เขาส่งเสียงตวาด เผยจื่ออวี๋ก็ออกแรงกดที่แผ่นหลังของเคอโหย่วไฉเข้าไปอีกจนอีกฝ่ายร้องโหยหวนออกมาราวกับหมูถูกเชือด
“พวกเจ้ากล้าเข้ามาอีกก็ลองดู ดูซิว่าข้าจะกล้าตัดเท้าหมูของเขาทิ้งหรือไม่” เผยจื่ออวี๋หันไปคำรามเสียงเย็นใส่เหล่าลูกน้องที่ความจริงเป็นแค่จิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์* พวกนั้น พร้อมๆ กับออกแรงซัดมือของเคอโหย่วไฉจนอีกฝ่ายเจ็บจนน้ำตาร่วง
* จิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์ หมายถึงพวกที่แอบอ้างบารมีผู้อื่นมาข่มขู่หลอกลวงผู้คน
“แม่นางเผย พวกเราไม่กล้าแล้ว ขอท่านได้โปรดรีบปล่อยคุณชายของเราเถิด คุณชายของพวกข้าแค่อยากหยอกเย้าท่านเล่นเท่านั้นนะขอรับ” ลูกน้องของเคอโหย่วไฉรีบเอ่ยขอร้อง ด้วยหวังว่าเผยจื่ออวี๋จะรีบปล่อยตัวคุณชายของพวกเขา ไม่เช่นนั้นกลับไปแล้วพวกเขาต้องถูกเล่นงานหนักแน่
เผยจื่ออวี๋ที่แต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนร่าเริงแจ่มใส เข้าถึงได้ง่าย และมีแต่รอยยิ้มให้กับทุกคน แม้แต่กับขอทานยากไร้ มาเวลานี้กลับมีท่าทีเหี้ยมหาญน่ากลัวราวกับแม่เสือ ทำเอาหวงฝู่จี้ถึงกับตกตะลึงพรึงเพริดไปชั่วขณะด้วยคิดไม่ถึงว่านางจะมีด้านที่ดุดันเช่นนี้
ทว่าเขากลับไม่ได้รู้สึกรังเกียจตัวตนด้านนี้ของนางเลย เมื่อคนพวกนั้นล้วนแต่เป็นนักเลงที่ชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่การที่ตัวนางซึ่งเป็นแค่สตรีอ่อนแอกลับมีวรยุทธ์แปลกประหลาดเช่นนี้นั้นเป็นเรื่องน่าชื่นชมมากจนเขาอดลอบยกย่องนางอยู่ในใจไม่ได้
“เคอโหย่วไฉ เจ้าอยากให้ข้าปล่อยตัวเจ้าหรือไม่” เผยจื่ออวี๋เอียงตัวลงไปถามเสียงเย็น
“อยาก อยากสิ ปล่อยข้าไปเถิด!” แขนเขาใกล้จะหักอยู่แล้ว เคอโหย่วไฉจึงรีบอ้อนวอนด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ
“เช่นนั้นเจ้ายังคิดจะแต่งกับข้าอีกหรือไม่”
เคอโหย่วไฉเริ่มลังเล
“ถ้าหากไม่อยากให้คืนเข้าหอกลายเป็นงานศพเจ้า ก็จงล้มเลิกความคิดที่จะแต่งงานกับข้าเสีย หาไม่แล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า”
“ไม่แต่งแล้ว ข้าไม่แต่งแล้ว!” เคอโหย่วไฉตัวสั่นสะท้านรีบยกมือขึ้นสาบาน “ถ้าหากข้ายังจะแต่งกับเผยจื่ออวี๋อีก ขอให้พ่อข้าหมดลูกสิ้นหลานไปนับตั้งแต่บัดนี้!”
กับสตรีที่ดุร้ายป่าเถื่อนเยี่ยงนี้ เขากลัวว่าตนเองจะมีชีวิตแค่ถึงเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน แต่ไม่มีทางมีชีวิตอยู่ถึงคืนเข้าหอแน่
“เจ้าจงอย่าลืมคำสาบานนี้เด็ดขาด ถ้าหากเจ้ากล้าลืมและหาเรื่องมาระรานข้าอีกล่ะก็ ข้าจะทำให้พ่อเจ้าหมดลูกสิ้นหลานไปจริงๆ แน่!” สิ้นคำเตือน หญิงสาวก็ถีบอีกฝ่ายพลางตะโกนลั่น “ไสหัวไป!”
ทั้งหมดรีบหุบปีกหดหางเผ่นไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องดังสนั่นของผู้คนรอบด้าน
บทที่ 5
เมื่อมหันตภัยร้ายผ่านพ้นไปแล้ว หวงฝู่จี้ก็อดเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า “แม่นางเผย ท่านทำเช่นนี้จะไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ”
เผยจื่ออวี๋เพียงแสดงสีหน้าไม่ยี่หระให้เขาก่อนกล่าว “วางใจเถอะ แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นได้แค่ลูกไล่ของข้าเท่านั้น ไม่เคยเอาชนะข้าได้เลยสักหน”
“เมื่อก่อนเขาก็เคยมาหาเรื่องท่านอย่างนั้นหรือ”
“อืม ตั้งแต่สมัยที่ข้าเก็บฟืนอยู่บนภูเขาแล้ว เมื่อก่อนพวกเราเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ต่างก็ช่วยเหลือจุนเจือกันดี สมัยนั้นเขาเป็นเด็กที่ชอบแกล้งคนในหมู่บ้านอยู่บ่อยๆ แต่ก็ถูกข้าเอาท่อนฟืนไล่ฟาดอยู่หลายครั้งเหมือนกัน พอโตขึ้นมาหน่อย ไม่รู้ว่าพ่อเขาไปดวงดีมาจากที่ไหนเลยย้ายเข้ามาอยู่ในตัวเมืองได้ เขาเลยยิ่งกร่างหนักขึ้น มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าไปเจอเขาแกล้งคนอยู่บนถนนเลยตามไปสั่งสอนเขาอย่างเก่า และนับตั้งแต่นั้นมาพอเห็นข้าเขาก็เผ่นหนีไปไกลลิบแล้ว มีวันนี้นี่แหละที่ทำวางโตกล้าเข้ามาหาเรื่องข้าก่อน”
“ถึงท่านจะเอาชนะเขาได้ แต่อย่างไรท่านก็ยังเป็นเพียงสตรี สมควรระมัดระวังตนเองให้มาก”
“ข้ารู้ ท่านคิดว่าเพราะเหตุใดข้าถึงต้องเอาปาเจี่ยวกับเตาโต้วออกจากบ้านมาด้วยทุกครั้งเล่า นั่นก็เพื่อความปลอดภัยอย่างไรล่ะ”
“แล้ว…เรื่องพ่อของเขา ท่านคิดว่าจะใช้ขู่เขาได้ผลหรือ” ตอนที่ได้ยินเรื่องแต่งงานของนาง หวงฝู่จี้รู้สึกอึดอัดคับข้องใจอย่างประหลาด
“วางใจเถอะ พ่อเขาพูดก็เป็นเรื่องของพ่อเขา ลงว่าข้าไม่ตกลงเสียอย่าง แม่ข้าก็ไม่มีทางจับข้าประเคนส่งให้ใครได้ง่ายๆ อยู่แล้ว” เรื่องนี้นางมั่นใจอย่างมาก
ได้ยินหญิงสาวพูดเช่นนี้ หวงฝู่จี้ก็ค่อยรู้สึกสบายใจขึ้น เพียงแต่…เพราะเหตุใดเขาถึงต้องวุ่นวายใจถึงเพียงนี้ด้วย แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
“แต่เพื่อป้องกันมิให้ท่านแม่หัวอ่อนของข้าถูกฝูงแม่สื่อปั่นหัวจนเผลอพยักหน้า ข้าว่าข้ารีบกลับไปดูนางก่อนจะดีกว่า” ต่อให้มารดาของนางไม่รับปาก ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆ จะยอมแพ้ไม่พูดอะไรอีกนี่นา แล้วถ้าท่านแม่โดนชักแม่น้ำทั้งห้าจนหลวมตัวยอมให้ลูกสาวแต่งงาน เผยจื่ออวี๋นั่นแหละที่จะโชคร้าย
“เตาโต้ว เจ้ากับปาเจี่ยวเอาใบส่งของไปให้ท่านหมอจางแล้วก็เดินกลับกันเองนะ ข้าต้องรีบกลับไปที่บ้านก่อน ป้องกันไม่ให้ท่านแม่ถูกหลอกได้”
หญิงสาวรีบยกสมุนไพรที่เหลืออยู่บนรถอีกนิดหน่อยลงพลางร้องสั่งพวกเตาโต้ว ก่อนกระตุกสายบังเหียนควบม้าออกไป
ปาเจี่ยวที่รีบวิ่งตามออกมาทีหลังมองตามเผยจื่ออวี๋ที่ทิ้งบริวารทั้งสองคนเอาไว้ ได้แต่ชี้นิ้วตามหลังรถม้าของพวกเขาที่วิ่งห่างออกไปจนฝุ่นตลบ “คุณหนูทิ้งพวกเราอีกแล้วหรือ”
เตาโต้วผงกศีรษะ “คงจะกลับไปไล่พวกแม่สื่อตามเคยนั่นแหละ นี่ก็ไม่รู้ว่ารอบที่เท่าไรแล้วด้วย”
“พวกเจ้าพูดราวกับว่านางเคยทำเช่นนี้มาก่อน” หวงฝู่จี้ถามขึ้น
ปาเจี่ยวกับเตาโต้วต่างพยักหน้าพร้อมกันอย่างปลงๆ
ปาเจี่ยวกลอกตาขณะยกยาสมุนไพรบนพื้นขึ้นมา “ลำพังแค่ปีนี้อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีสักหกครั้งแล้วกระมัง คนที่มาสู่ขอก็มีมาไม่ซ้ำหน้ากันเลย แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนกันหมด แต่ว่าพวกแม่สื่อก็ยังเพียรมาพูดจาหลอกล่อฮูหยินของพวกเราให้หัวหมุน จะได้เผลอพยักหน้ายอมรับงานแต่งอยู่นั่นแหละ”
“คุณหนูเราคิดจะอยู่เป็นโสดไปจนตลอดชีวิต ต่อให้พวกแม่สื่อย่ำธรณีประตูจนพังก็ไร้ประโยชน์” เตาโต้วที่เดินเข้าไปในร้านยาบ่นพึมพำ “ไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่าในหัวสมองของพวกแม่สื่อคิดอะไรกันอยู่ ถ้าหากคุณหนูของพวกเราอยากแต่งงาน ตอนที่คุณชายรองของท่านข้าหลวงประจำมณฑลมาสู่ขอ นางก็ตอบรับไปแล้ว เรื่องอะไรจะต้องลากยาวมาจนป่านนี้ด้วย”
หวงฝู่จี้จึงดึงตัวอีกฝ่ายเข้าไปถามในร้าน “เพราะเหตุใดนางถึงไม่ตอบรับการสู่ขอ” หากพูดถึงศักดิ์ฐานะ การแต่งงานกับข้าหลวงประจำมณฑลจะช่วยยกระดับของเผยจื่ออวี๋ได้มากทีเดียว
“คุณหนูบอกว่านางต้องการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียวตลอดชีวิต บุรุษคนไหนคิดจะแต่งงานกับนางก็ต้องเขียนเป็นหนังสือสัญญามาเลยว่าจะมีนางเป็นภรรยาแค่คนเดียวเท่านั้น ถ้าหากผิดสัญญาขึ้นมาเมื่อไรก็ต้องหย่าให้นางทันที” ปาเจี่ยวอธิบายต่อ “นางไม่ยอมแบ่งปันสามีกับหญิงอื่น เพราะเรื่องความรักสำหรับนางแล้ว ต้องเป็นหนึ่งไม่มีสองเท่านั้น”
หวงฝู่จี้มองดูปาเจี่ยวกับเตาโต้วที่ก้าวเข้าไปในร้านยาด้วยความรู้สึกหวั่นไหวในใจ
ผัวเดียวเมียเดียวตลอดชีวิต? เพราะเหตุใดสตรีที่เพิ่งจะอายุแค่สิบหกปีอย่างเผยจื่ออวี๋ถึงได้กล้าพูดจาอะไรแบบนี้ออกมา ถึงขั้นเรียกร้องบุรุษที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ หรือนางไม่รู้ว่าการที่บุรุษผู้หนึ่งมีสามภรรยาสี่อนุนั้นเป็นเรื่องถูกต้องตามหลักฟ้าดินอยู่แล้ว
หลิงอีกับหลิงซานที่เดินออกมาจากโรงหมอ เห็นหวงฝู่จี้กำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองอยู่ก็สบตากันอย่างงงงัน หลิงอีถามอย่างเป็นห่วงขึ้นว่า “นายท่าน เหตุใดจึงมายืนเหม่ออยู่ที่นี่เล่าขอรับ”
หวงฝู่จี้ถึงได้สติกลับมา เขาสั่นศีรษะตอบ “ไม่มีอะไร” แค่ตกใจกับคำพูดของเผยจื่ออวี๋ นางเป็นแค่สตรีตัวเล็กๆ คนหนึ่งแท้ๆ แต่กลับมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ถึงขนาดกล้าวาดมโนภาพสามีของตนเองออกมาอย่างชัดเจนอีกด้วย
ผ่านไปชั่วอึดใจเขาก็ออกคำสั่ง “หลิงซาน เจ้าตามไปคุ้มครองแม่นางเผยด้วย ข้าไม่อยากให้ผู้มีพระคุณของข้าต้องมีอันตราย” ถึงเผยจื่ออวี๋จะบอกว่านางสามารถรับมือได้อย่างง่ายๆ แต่เขากลับยังรู้สึกว่าไม่เหมาะสมอยู่ดี จึงสั่งให้คนของตนไปคุ้มกันนางด้วย
“ขอรับ” หลิงซานรับคำสั่งและพลิ้วร่างหายวับไปจากร้านยา
“หลิงอี ตอนนี้ข้ามีเรื่องหนึ่งจะให้เจ้าทำ” หวงฝู่จี้เม้มริมฝีปากก่อนกระซิบสั่ง
“ขอรับ ผู้น้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” แล้วหลิงอีก็รีบวิ่งตรงไปที่ที่ว่าการอำเภอ
“ลูกจ๋า ลูกแม่ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว” หวงซื่อพุ่งตัวเข้ามาในห้องของลูกสาวตั้งแต่เช้าตรู่ ท่าทางดีอกดีใจราวกับได้ลาภก้อนใหญ่มาหมาดๆ
“มีอะไรหรือท่านแม่ ยิ้มร่ามาแต่เช้าเชียว เก็บเงินตำลึงได้หรือเจ้าคะ” เผยจื่ออวี๋กำลังใช้ผ้าซับน้ำบนใบหน้าถามด้วยรอยยิ้ม เพราะนานแล้วที่นางไม่ได้เห็นมารดามีท่าทางเบิกบานใจเช่นนี้
“ลำพังเก็บเงินตำลึงได้แม่จะดีใจอะไรนักหนาเชียว”
“ถ้าเช่นนั้นมีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ ดูท่านสิ ยิ้มไม่หุบเลยจริงๆ”
“ข้างบ้านเราที่เป็นบ้านร้างมานานแล้วหลังนั้น เช้าวันนี้มีคนย้ายมาอยู่แล้ว” หวงซื่อใช้พัดผ้าโปร่งบางวาดเป็นภาพสระบัวสวยสดชี้ไปทางบ้านหลังที่อยู่ติดกัน
“ท่านแม่ แค่ข้างบ้านมีคนย้ายเข้ามาอยู่ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับท่านเลยนี่เจ้าคะ จะดีใจไปทำไมกัน”
โบราณกล่าวไว้ว่าจะทำดีให้ใครย่อมต้องมีเหตุ ดูจากท่านแม่ของนางดีอกดีใจกับการที่ข้างบ้านมีคนย้ายเข้ามาเช่นนี้ทำให้เผยจื่ออวี๋รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ อยู่บ้าง
“อวี๋เอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ย้ายเข้ามาที่บ้านหลังติดกับเราเป็นถึงคุณชายคนหนึ่งเชียว”
“แล้วอย่างไรหรือเจ้าคะ” เผยจื่ออวี๋หวีผมให้ตนเองไปพลางเอ่ยถาม
เมื่อชาติก่อนนางเคยชินกับการดูแลตนเอง เพราะฉะนั้นถึงแม้จะหาเงินได้มาก แต่ในช่วงเวลาหลายปีหลังจากที่ย้อนมาในยุคโบราณนี้ นางยังไม่เคยคิดเรื่องจะซื้อหาสาวใช้มาปรนนิบัติอยู่ข้างตัวเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดล้วนทำเองทั้งสิ้น เมื่อมีประสบการณ์นานวันเข้า จนถึงตอนนี้หญิงสาวก็สามารถเกล้ามวยสวยๆ ให้ตนเองได้หลายทรงแล้ว
“คุณชายผู้นั้นรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาเอาการเชียว แม่สืบข่าวมาแล้วว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน ซ้ำยังเป็นผู้ประสบอุทกภัยในครั้งนี้ด้วย ทำให้สูญเสียทรัพย์สมบัติไปกับน้ำหมด เหลือแค่เพียงบ้านหลังที่เป็นของบรรพบุรุษหลังหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นเมื่อไม่มีที่อื่นให้ไปเลยย้ายมาปักหลักที่นี่”
หวงซื่อเล่าด้วยอาการตื่นเต้น รู้สึกราวกับนี่เป็นเขยขวัญที่ฟ้าประทานมาให้ แต่สาเหตุสำคัญก็คือเขยคนนี้หน้าตาดีมาก เรียกได้ว่าหล่อเหลาประดุจเทพเซียนลงมาจากสวรรค์เสียด้วยซ้ำ
เผยจื่ออวี๋ปักปิ่นโมราที่แกะเป็นรูปผลโสมลงบนมวยผมที่ตนเกล้าเรียบร้อย สำรวจดูเงาในกระจกอีกครั้ง ก่อนผุดลุกขึ้น “ท่านแม่ ที่ท่านเล่ามาทั้งหมดนี่ อย่าบอกนะว่าท่านได้เลือกเขาเป็นเขยแล้ว ถ้าหากเขายอมแต่งเข้าตระกูลเราเช่นนั้นก็ดีสิ”
“เจ้านี่ช่างรู้ใจแม่เสียจริงๆ” หวงซื่อยิ่งฉีกยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม
“ผู้ที่รู้ใจมารดาที่สุดย่อมต้องเป็นบุตรสาวอยู่แล้วสิเจ้าคะท่านแม่”
“ลูกรัก คุณชายที่เพิ่งย้ายมาที่ข้างบ้านเรานั้นท่วงท่างามสง่า ท่าทางไม่ใช่ธรรมดาเลย เหมือนกับ…”
“เหมือนกับท่านพ่อหรือเจ้าคะ” เผยจื่ออวี๋กลอกตาและอดที่จะเหน็บมารดาไปอีกหน่อยไม่ได้ว่า “ท่วงทีงามสง่า หน้าตาหล่อเหลา ยามอยู่บนหลังม้าก็ช่างทรนงองอาจ ท่านแม่ คนผู้นั้นเป็นแค่บิดาที่ไร้ความรับผิดชอบของข้าเท่านั้น และข้าก็ไม่อยากแต่งให้กับบุรุษที่เหมือนกับท่านพ่อ…”
หวงซื่อหัวเราะเก้อๆ สีหน้าแดงเรื่อ “อวี๋เอ๋อร์ เจ้าพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร จะหาสามีสักคนก็ต้องหาที่หน้าตาดีหน่อย ดีกว่าแต่งให้กับคนหน้าตาบูดเบี้ยวอัปลักษณ์เป็นไหนๆ”
“มิผิด คนใจดีหรือร้ายอยู่ห่างกันแค่เพียงเส้นกั้นบางๆ เท่านั้น คนหน้าตาบูดเบี้ยวอัปลักษณ์ที่รักและให้ความสำคัญกับท่านอาจทำให้ท่านเหมือนได้ดื่มน้ำผึ้งหวานไปตลอดชีวิต แต่ถ้าหน้าตาไม่ดีแล้วยังเป็นเดรัจฉานใจชั่วร้ายอีก ย่อมทำให้ท่านต้องน้ำตาอาบหน้าทุกวันเหมือนกัน
สตรีนั้นถ้าได้แต่งงานกับคนดี ชีวิตก็เหมือนได้ฉลองเทศกาลความรักทุกวี่วัน แต่ถ้าแต่งงานผิด ชีวิตก็อับเฉาเหมือนต้องอยู่ในเทศกาลชิงหมิง* ทุกเช้าค่ำ ท่านแม่ ท่านอยากจะเลือกแบบไหนกันเล่า” ทั้งที่มารดานางก็อายุอานามพอสมควรแล้ว แต่ความคิดอ่านกลับยังเหมือนเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนไม่มีผิด เรื่องนี้ทำให้เผยจื่ออวี๋ปวดหัวนัก
“ย่อมต้องเลือกฉลองเทศกาลความรักอยู่แล้ว…แต่ลูกเอ๋ย จะให้นึกรักคนหน้าตาอัปลักษณ์นี่…ก็มิใช่เรื่องง่าย…” หวงซื่อแย้งลูกสาวเสียงเบา
เผยจื่ออวี๋ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นางตบไหล่มารดาพลางกล่าวอย่างถนอมน้ำใจอีกฝ่ายว่า “ท่านแม่ ลองคิดถึงภรรยาเอกของสามีท่านดูสิว่านางทำกับท่านอย่างไร และทำกับลูกสาวของสามีท่านอย่างไรบ้าง”
“อวี๋เอ๋อร์ แม่ไม่อาจมอบฐานะลูกสาวของภรรยาเอกให้เจ้าได้…” ถึงแม้ว่าบุตรสาวของนางจะมีความสามารถ แต่ก็ไม่อาจได้รับการรับรองอย่างเหมาะสม เรื่องนี้เป็นสิ่งที่นางปวดใจอย่างที่สุด
* เทศกาลชิงหมิง (เช็งเม้ง) เทศกาลที่ชาวจีนไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่สุสานหรือหลุมฝังศพ
“ท่านแม่ ข้าไม่เคยดูถูกชาติกำเนิดของตนเองเลย จะลูกภรรยาเอกหรืออนุแล้วอย่างไร พวกเรายังต้องอาศัยสองมือของตนเองทำมาหากินอยู่ทุกวี่วัน เงินทุกอีแปะที่ไม่ต้องแบมือขอมาจากคนอื่นแต่หามาด้วยตนเองนั้นสามารถใช้จ่ายได้อย่างสบายใจ ไม่ว่าใครที่ไหนก็ไม่กล้ามาชี้หน้าว่าข้าทั้งนั้น เพราะฉะนั้นท่านก็อย่าดูแคลนตนเองสิ รู้หรือไม่”
หวงซื่อเก็บความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจของตนเอาไว้ ผงกศีรษะ ก่อนเกลี้ยกล่อมลูกสาวต่ออย่างไม่ยอมแพ้ “แต่…ลูกแม่ คุณชายที่อยู่ข้างบ้านเราท่าทีไม่เลวจริงๆ อย่างไรเจ้าก็ลองดูเขาก่อน”
“ท่านแม่!” เผยจื่ออวี๋กล่าวเสียงแข็ง
หวงซื่อเห็นลูกสาวเริ่มมีโทสะก็รีบหุบปากฉับ “ได้ๆ แม่ไม่พูดแล้ว เจ้าอย่ามีโมโหเลย”
“ท่านแม่ นี่สายมากแล้ว ข้าต้องไปที่สวนสมุนไพรก่อนล่ะ วันนี้ต้องลงต้นกล้าใหม่ ข้าต้องไปคอยสั่งงานด้วย”
เผยจื่ออวี๋รีบปลีกตัวออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อมิให้มารดามีโอกาสได้พูดถึงคุณชายที่เพิ่งย้ายเข้ามาที่บ้านหลังติดกันอีก เพราะดีไม่ดีนางอาจถึงขั้นจูงมือลูกสาวไปเลือกหาเขยขวัญทั้งน้ำหูน้ำตาก็ได้
ต่อให้อีกฝ่ายเป็นเทพเซียนลอยมาจากสวรรค์ เผยจื่ออวี๋ก็ไม่สนใจ รีบชิงเผ่นหนีก่อนเป็นดีที่สุด
แต่สิ่งที่ผู้เป็นแม่บอกทำให้นางรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะเดินออกทางประตูหน้าไปผ่านข้างบ้านเหมือนอย่างเคย ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงเลือกเดินไปที่ห้องครัวเพื่อหยิบเอาซาลาเปามาหลายลูกก่อนเดินออกไปทางประตูหลังแทน ด้วยไม่รู้ว่ามารดาของตนจะจัดฉาก ‘บังเอิญเจอหน้า’ รอเอาไว้หรือไม่ เพราะฉะนั้นถ้าหากเลี่ยงได้ก็เลี่ยงไว้ก่อนจะดีกว่า
เผยจื่ออวี๋ค่อยๆ เปิดประตูหลังบ้านออกอย่างเบามือราวกับเป็นโจรขโมย ซ้ำตอนที่ก้าวออกจากบ้าน นางยังรีบเผ่นออกไปอย่างไวเหมือนมีปีศาจไล่หลัง
จากประตูหลังของบ้านนางเดินไปที่สวนสมุนไพรต้องใช้เวลาพักใหญ่ ป่านนี้พวกคนงานคงกำลังคอยให้นางไปสอนพวกเขาปลูกพืชสมุนไพรกันอยู่ ต้นอ่อนของสมุนไพรพวกนั้นกว่าจะเพาะเลี้ยงขึ้นมาได้ก็ไม่ง่ายเลย ถ้าหากไม่รีบปลูกให้เสร็จก่อนเที่ยงแล้วล่ะก็มีหวังได้ตายกันหมดแน่ๆ เผยจื่ออวี๋จึงไม่อาจรอช้าได้
เพียงแต่คนเรานั้นยิ่งรีบก็ยิ่งทำผิดพลาด ยิ่งกลัวอะไรก็ยิ่งได้เจออย่างนั้น ด้วยเหตุนี้หลังจากที่เผยจื่ออวี๋ก้มหน้าก้มตาออกวิ่งไปข้างหน้าได้ไม่กี่เชียะ* จู่ๆ ประตูหลังของบ้านที่อยู่ติดกันแต่ถูกทิ้งร้างมานานก็เปิดผางออก พร้อมกับมีเงาร่างสูงสง่าในชุดสีขาวก้าวออกมาในจังหวะที่หญิงสาวไม่ทันสังเกตเห็น เผยจื่ออวี๋จึงพุ่งเข้าใส่เขาอย่างจัง
“โอ๊ย!” หญิงสาวร้องเสียงแหลม ร่างกระเด้งถอยกลับไปข้างหลังหลายก้าวก่อนทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้น ความเจ็บแผ่ซ่านไปทั่วบั้นท้าย
นี่นางชนถูกอะไรกันจึงเจ็บระบมไปหมดเช่นนี้ อีกทั้งยังชนเข้าที่หน้าอกเสียด้วย ป่านนี้หน้าอกหน้าใจของนางมิใช่เขียวช้ำไปหมดแล้วหรือ
“แม่นาง ขออภัยที่ข้าซุ่มซ่าม แม่นางไม่เป็นไรอะไรใช่หรือไม่” เมื่ออีกฝ่ายได้ยินเสียงร้องก็รู้ว่าตนเองได้เผลอชนคนเข้าจึงรีบร้อนถามขึ้นทันที
เผยจื่ออวี๋ที่นั่งจุกอยู่ที่พื้นทั้งยังมึนไม่หายต้องยกมือขึ้นนวดหน้าอกของตน
อีกฝ่ายเห็นแม่นางผู้นี้ยังคงไม่ตอบคำถามเขา จึงถามย้ำด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “แม่นาง ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
เผยจื่ออวี๋กระตุกมุมปากพลางสั่นศีรษะ ก่อนจะกล่าวตอบ “ข้าไม่เป็นไร”
* เชียะ (ฉื่อ) เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน สมัยโบราณเทียบระยะประมาณ 10 นิ้ว หรือหนึ่งส่วนสามเมตร ปัจจุบันยังใช้คำนี้ในความหมายว่า ‘ฟุต’
“แม่นางเผย เหตุใดจึงเป็นท่านไปได้” หวงฝู่จี้ก้มหน้าลงมอง ครั้นเห็นใบหน้านางชัดเจนก็อุทานออกมาเบาๆ ก่อนร่างสูงจะคุกเข่าลงมาประคองนางอย่างระมัดระวัง “ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“คุณชายหวง เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่…” นางมองดูเขาอย่างไม่มีจริตเขินอายเลยสักนิด และไม่ได้ถือเรื่องที่ชายหญิงไม่พึงใกล้ชิดกันด้วย ในเมื่อผู้อื่นมีน้ำใจช่วยเหลือ นางก็ไม่ได้คิดเป็นอื่น แต่เมื่อได้เห็นประตูหลังที่ยังไม่ได้ปิดกลับบานนั้น เผยจื่ออวี๋ก็เข้าใจเรื่องราวทุกอย่างได้ทันที
“อย่าบอกนะว่าท่านคือเพื่อนบ้านที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ของข้า และบ้านของบรรพบุรุษที่ท่านใช้คนไปหานั้นคือหลังนี้?” โลกนี้คงไม่มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้หรอกกระมัง
“มิผิด เป็นที่นี่” หวงฝู่จี้ผงกศีรษะ
เผยจื่ออวี๋ถึงกับเบิกตาโตมองเขา อะไรจะบังเอิญขนาดนี้ เช่นนั้นเขยขวัญแสนดีที่มารดาของนางอยากได้ก็คือคุณชายหวง…
“ว่าแต่แม่นางเผยมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรหรือ”
นางเม้มปากก่อนชี้นิ้วไปที่บ้านซึ่งอยู่ด้านหลังของตนเองอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “ข้าอยู่ที่นี่”
“บังเอิญจริง เช่นนี้เราก็เป็นเพื่อนบ้านกันน่ะสิ” หวงฝู่จี้รู้สึกตื่นเต้นและยินดีมาก
“ใช่ บังเอิญจริงๆ” นางยิ้มอย่างเก้อๆ
แม้นางกับคุณชายหวงจะนับได้ว่าเป็นสหายที่พูดคุยกันได้ แต่อย่างไรก็เป็นแค่เพียงสหายกันเท่านั้น นางไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับเขาแม้แต่น้อย และไม่ได้คิดอยากจะเจอเรื่องบังเอิญอย่างน่าตกใจเช่นนี้มาก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางรู้ว่ามารดาของตนกำลังวาดหวังสิ่งใดอยู่ และคุณชายหวงผู้นี้ก็เป็นคนที่มารดาต้องตาเข้าอย่างจัง ความรู้สึกนั้นจึงยิ่งพิกลมากขึ้น
“มารดาของแม่นางเผยช่างมีน้ำใจยิ่งนัก คงต้องขอวานให้แม่นางเผยช่วยไปขอบคุณท่านให้ด้วย ฝากบอกว่าลูกท้อหวานมาก รสดีจริงๆ”
“เอ๋?” เผยจื่ออวี๋ได้ยินแล้วก็ให้งุนงงยิ่งนัก
“เดิมข้าคิดว่าจะรออีกสองวันไว้ให้จัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่อยไปทักทายเพื่อนบ้าน” หวงฝู่จี้ยิ้มบางๆ “แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อวาน มารดาของแม่นางเผยก็หิ้วลูกท้อตะกร้าหนึ่งมาทักทายข้าก่อน เพื่อแสดงความยินดีและหวังว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน”
“แม่ข้าหิ้วลูกท้อไปทักทายท่านถึงบ้าน?” หญิงสาวนัยน์ตาเบิกกว้างขึ้นอีกครา และอุทานอย่างไม่อยากเชื่อ
“มารดาของแม่นางเผยคุยเก่งยิ่งนัก…”
คุยเก่ง! ดวงตาของเผยจื่ออวี๋แทบถลนขณะยื่นมือออกไปคว้าชายเสื้อของชายหนุ่มทันควัน “ท่านแม่ของข้าพูดอะไรกับท่านบ้าง”
มารดานางเป็นแม่ศรีเรือนที่ประตูใหญ่ไม่ออก ประตูรองไม่ย่าง สำรวมกิริยาอาการ ไม่พูดจากับบุรุษแปลกหน้าตามอย่างกุลสตรียุคโบราณทุกประการ แต่เพราะเหตุใดเพื่อหาสามีให้ลูกสาวแล้ว นางถึงแหวกกฎประเพณีเสียได้
“ก็ถามถึงอายุ ครอบครัว และคนที่บ้านข้าอะไรพวกนั้น…”
พอได้ฟังคำพูดของชายหนุ่ม ใบหน้าของเผยจื่ออวี๋ก็ราวกับเริ่มปริร้าว นี่มารดานางวิ่งโร่ไปหาเขยให้นางจริงๆ ด้วย ซ้ำยังทำเรื่องน่าอับอายอีกมากมาย จนเพียงแค่นางได้ฟังก็จะลมใส่อยู่แล้ว!
นางต้องรีบบอกกล่าวกับคุณชายหวงเอาไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าปล่อยให้มารดารู้ว่าทั้งสองคนสนิทกันพอดู และนางเคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้แล้ว คุณชายหวงอาจถูกลำเลิกให้แต่งงานเพื่อทดแทนบุญคุณก็เป็นได้
หวงฝู่จี้ก้มหน้าลงส่งยิ้มนิดๆ ให้หญิงสาว พอได้เห็นสีหน้าแข็งค้างของเผยจื่ออวี๋ก็เอ่ยตัดบทความคิดของนางว่า “แม่นางเผยไม่ดีใจที่ข้ามาเป็นเพื่อนบ้านของท่านหรือ”
“ดีใจสิ ทำไมจะไม่ดีใจ เพียงแต่ข้ากำลังคิดถึงเรื่องหนึ่งอยู่” เมื่อถูกคนเอ่ยแทรก นางจึงจำเป็นต้องตอบรับอย่างจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไร เผยจื่ออวี๋ฝืนยิ้มออกมาพร้อมกับส่งซาลาเปาให้อีกฝ่ายสองลูก
“นี่เป็นของขวัญต้อนรับจากข้า พอดีตอนนี้ข้ามีธุระอยู่ คงอยู่คุยกับท่านไม่ได้” พูดจบนางก็ยกชายกระโปรงออกวิ่งไปทันที
หวงฝู่จี้เห็นหญิงสาวเผ่นแน่บไปราวกับเห็นผีเช่นนี้ก็คิดว่าตนเองน่ากลัวนักหรือไร
“นายท่าน” เมื่อเผยจื่ออวี๋จากไปไกลแล้ว หลิงอีถึงได้ก้าวออกจากประตูมา “เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยพร้อมออกเดินทางแล้วขอรับ”
“หลิงอี ข้าหน้าตาน่ากลัวมากหรือ”
“เพราะเหตุใดนายท่านจึงถามเช่นนั้นล่ะขอรับ”
“เจ้าไม่เห็นท่าทางของแม่นางเผยตอนที่เห็นข้าแล้วก็รีบเผ่นหนีเหมือนเจอผีนั่นหรอกหรือไร” ชายหนุ่มชี้มือไปทางที่เผยจื่ออวี๋วิ่งหนีไป
“บางทีอาจเกี่ยวกับเรื่องที่มารดาของนางพูดกับนางเมื่อเช้าวันนี้ แม่นางเผยเลยวางตัวไม่ถูกน่ะขอรับ” หลิงอีชำเลืองมองไปทางตรอกด้านหลังที่ว่างเปล่า
“พูดเรื่องอะไร”
“นางอยากให้นายท่านแต่งเข้าบ้านสกุลเผยขอรับ” หลิงอีตอบด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึก
คำพูดนั้นทำให้หวงฝู่จี้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที “แต่งเข้า? แม่ของนางช่างคิดออกมาได้ คิดจะให้ข้าแต่งเข้าบ้านนาง มีหวังได้ถูกเสด็จพ่อข้าประหารทั้งตระกูลล่ะไม่ว่า”
“เรื่องแต่งสามีเข้าบ้านนี้เป็นความคิดของแม่นางเผยเองขอรับ”
หวงฝู่จี้ได้ยินดังนั้นก็หยุดเสียงหัวเราะลงทันใด ด้วยไม่รู้ว่าเผยจื่ออวี๋ที่ไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานจะคิดอะไรแบบนี้ออกมาได้
ดูจากท่าทีดุดันเยี่ยงหญิงแกร่งของนางแล้ว ต่อให้คิดจะแต่งสามีเข้าบ้านจริงก็ยังเป็นเรื่องยาก เพราะนางดูเหมือนกุลสตรีที่ไหน สตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีคนใดจะเที่ยววิ่งชนนั่นชนนี่
แต่ถึงแม้นางจะเป็นหญิงแกร่ง เขาก็ยังสัมผัสถึงความเป็นอิสตรีของนางได้ เพราะตอนที่หญิงสาวเข้ามาชนถูกตัวของเขา ชายหนุ่มรับรู้ถึงทรวงอกอวบหยุ่นที่กระทบถูกร่างของเขาได้อย่างชัดเจน พร้อมกันนั้นก็ได้กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ที่ทำให้เขาถึงกับตะลึงงันไปชั่วขณะ
หวงฝู่จี้ก้มหน้าลงมองซาลาเปาสองลูกที่ถูกยัดเข้ามาในมือตนเอง…นี่เขาเป็นอะไรไปนะ ทำไมถึงไปคิดถึงเรื่องที่ไม่ควรคิดขึ้นมาได้
ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนยกซาลาเปาขึ้นกัดกิน รสชาติถูกปากไม่เลวทีเดียว
เรื่องที่หวงฝู่จี้ย้ายมาที่หมู่บ้านของพวกเขากลายเป็นข่าวใหญ่ พวกชาวบ้านจึงส่งพืชผักผลไม้ที่ตนปลูกมาให้ที่บ้านของชายหนุ่มเพื่อเป็นของขวัญต้อนรับเพื่อนบ้านใหม่ให้เขา มีทั้งแตง เผือก ฟักทอง หรือไม่ก็ไปขุดเอาหน่อไม้มาให้ ไปจนถึงจับปลาใส่ข้องมาให้สองตัวเลยก็มี
เห็นได้ชัดว่าพวกชาวบ้านต่างยินดีต้อนรับคุณชายหวงกันมากแค่ไหน ถึงได้ส่งของกำนัลมาให้อย่างไม่มีตระหนี่กันเช่นนี้ ไม่เหมือนนางที่ให้แค่ซาลาเปาสองลูกเท่านั้น
ตามหลักแล้วนางสมควรจะมอบของดีของบ้านตนเองเพื่อแสดงความจริงใจ แต่ถ้าจะให้โสมกันจริงๆ ก็ออกจะมีราคาค่างวดมากเกินไปสักหน่อย
เพื่อตอบแทนน้ำใจของพวกชาวบ้าน หวงฝู่จี้จึงให้คนล้มหมูตัวอ้วนพีหลายตัวและแบ่งเนื้อไปให้แต่ละบ้าน
ซ้ำยังเชิญเหล่าแม่ครัวในหมู่บ้านให้มาทำอาหารหม้อใหญ่อีกหลายอย่าง แต่ละอย่างล้วนเต็มไปด้วยเนื้อและผัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อนั้นมีมากพอที่จะเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านได้เลยทีเดียว อีกทั้งยังมีเหล้าขาวอีกหลายไห ให้ผู้คนทั้งหมู่บ้านได้มาร่วมกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ
เมื่อมีคนมอบเนื้อมาให้กินแกล้มเหล้าเช่นนี้ ทำให้พวกชาวบ้านที่ไม่ได้แตะถูกเนื้อกันมาเป็นปีต่างซดเหล้าชามใหญ่ก่อนกินอาหารกันจนปากมันย่อง ทุกคนต่างล้อมวงกินสุราอาหารด้วยความเบิกบานใจ บรรยากาศคึกคักราวกับเป็นงานฉลองอะไรก็มิปาน
ตอนที่หวงฝู่จี้ออกมาทักทายทุกคนนั้น บรรยากาศก็ยิ่งคึกคักมากขึ้น ทุกคนต่างพากันไปกล่าวคำขอบคุณเขา
ยิ่งหวงฝู่จี้เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ท่าทางงามสง่าอ่อนโยน ก็ทำให้เหล่าดรุณีวัยแรกผลิตกหลุมเสน่ห์จนต้องมาต่อแถวเฝ้าคอยอยู่ที่หน้าบ้านชายหนุ่ม ด้วยหวังว่าตนจะไปเข้าตาหวงฝู่จี้ในสักวัน หรือต่อให้ไม่ได้เป็นภรรยาเอก แค่ได้เป็นอนุหรือสาวใช้ประจำตัวก็ยังดี
แม้แต่น้องสาวของเคอโหย่วไฉที่ชื่อว่าเคอโหย่วจินเองก็เป็นหนึ่งในเด็กสาว ‘วัยแรกผลิ’ กลุ่มนั้นด้วย ซ้ำนางยังพาตัวเข้าไปยืนถึงที่หน้าประตูบ้านของชายหนุ่มอย่างเตรียมพร้อมที่จะ ‘บังเอิญพบกัน’ ได้ทุกเวลา
เผยจื่ออวี๋ที่กลับมาจากข้างนอก เห็นภาพพวกนี้อยู่ทุกวันจนต้องสั่นศีรษะอย่างอดทอดถอนใจไม่ได้ นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว เพราะเหตุใดสตรีพวกนี้ถึงได้ไม่ยอมตัดใจกันสักที การเป็นอนุภรรยาที่ไม่ได้รับการยกย่องของผู้อื่นนี่มันมีดีที่ตรงไหนกัน
นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“คุณหนู จะให้รถม้าเข้าไปในบ้านเลย หรือท่านจะลงที่หน้าประตูดีขอรับ” เตาโต้วที่มีหน้าที่บังคับรถม้าถามขึ้น
เผยจื่ออวี๋ปรายตามองบ้านสกุลหวงที่ปิดประตูสนิทแล้วก็เลิกผ้าม่านรถขึ้น “ข้าลงที่หน้าประตูดีกว่า”
“ขอรับ” เตาโต้วจึงกระตุกบังเหียนให้รถม้าหยุดลงที่หน้าบ้านสกุลเผยอย่างแช่มช้า
ปาเจี่ยวหยิบเก้าอี้เตี้ย กระโดดลงจากรถม้าไปตั้งให้อย่างคล่องแคล่ว “คุณหนูระวังนะขอรับ เมื่อวานฝนตกหนัก ตอนนี้พื้นยังไม่แห้งดีเลย”
“ข้ารู้ พวกเจ้าเอาขนมในรถลงมาด้วย จัดแบ่งอย่างไรรู้กันอยู่แล้วนะ แต่ให้เบามือหน่อยล่ะ ของที่ต้องให้ท่านแม่ข้าอย่าได้ทำแตกเสียหายเชียว” หญิงสาวหันไปสั่ง
ต้นอ่อนสมุนไพรพวกนั้นต้องใช้เวลาปลูกลงดินอยู่หลายวัน จนเมื่อวานถึงได้แล้วเสร็จ ดังนั้นเพื่อเป็นการตกรางวัลให้แก่พวกคนงาน วันนี้นางจึงไปซื้อขนมมาแจกจ่ายให้ทุกคนตั้งแต่เช้า และซื้อขนมแป้งอบเกล็ดหิมะที่มารดาชอบกินมาให้ด้วย
“วางใจได้ขอรับคุณหนู ปาเจี่ยวจะส่งขนมพวกนี้ให้ไปถึงเรือนของฮูหยินอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยทีเดียว” ปาเจี่ยวพูดพลางหยิบเอากล่องขนมในตัวรถออกมา
แต่ก่อนที่เผยจื่ออวี๋จะเข้าประตูบ้านไป สายตาก็เหลือบไปมองบ้านสกุลหวงที่ปิดประตูเงียบแวบหนึ่ง ก่อนย่างเท้าก้าวข้ามธรณีประตู ทว่ากลับได้ยินเสียงแจ่มใสคุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหูเสียก่อน
“แม่นางเผย”
เผยจื่ออวี๋ชะงักค้างไปทันทีที่ได้ยินเสียง และนึกด่าตนเองอยู่ในใจว่าไม่น่าช้าเลยจริงๆ มิเช่นนั้นคงไม่ต้องมาเจอกับอีกฝ่ายเข้า
นางกระตุกยิ้มอย่างฝืนๆ ก่อนหมุนตัวไปมองหวงฝู่จี้ที่เดินเข้ามาใกล้ “คุณชายหวง ไม่ได้เจอกันหลายวัน สบายดีหรือ”
“ท่านกลับมาพอดีเลย ข้ามีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากท่านสักหน่อย” มุมปากของหวงฝู่จี้แอบซ่อนรอยยิ้มขบขันเอาไว้
ชายหนุ่มรู้ดีว่าหลายวันมานี้เผยจื่ออวี๋จงใจให้เตาโต้วขับรถม้าตรงเข้าไปในตัวบ้านเสมอ สาเหตุก็เพราะมารดาของนางเพียรพูดถึงเรื่องนั้นกรอกหูนางอยู่ทุกวัน
ถึงแม้หญิงสาวจะไม่ได้คิดอะไร แต่การที่ถูกมารดาพูดใส่หูว่าเขาดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ซ้ำยังบังคับให้นางไปทักทายชายหนุ่มที่บ้านเพื่อเพาะบ่มความสัมพันธ์กันอีกทำให้เผยจื่ออวี๋รู้สึกเข้าหน้าอีกฝ่ายได้ไม่ติด
นางไม่อยากให้มารดาเข้าใจผิด และยิ่งไม่อยากถูกสาวๆ พวกนั้นรุมทึ้งด้วย ดังนั้นจึงพยายามรักษาระยะห่างจากชายหนุ่มเอาไว้
ทว่าการที่หวงฝู่จี้เดินเข้ามาหานางก็ทำให้สายตาคมกริบประดุจใบมีดหลายคู่พุ่งตรงมาที่หญิงสาว จนเผยจื่ออวี๋รู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วทั้งร่าง
ทั้งที่พวกนางต่างเฝ้าคอยให้ชายหนุ่มออกมาพูดคุยด้วยวันแล้ววันเล่า แต่ก็ไม่เคยได้สมหวัง ดังนั้นทันทีที่เห็นหวงฝู่จี้คุยกับเผยจื่ออวี๋ ทุกคนจึงอดมองหญิงสาวด้วยสายตาเกลียดชังจนอยากจะเอามีดมาสับให้แหลกไม่ได้ ทำราวกับว่าเผยจื่ออวี๋ไปแย่งเอาคนของพวกนางมาอย่างไรอย่างนั้น
ยิ่งสายตาของเคอโหย่วจินด้วยแล้ว นางทำเหมือนอยากจะจับร่างบางของเผยจื่ออวี๋มาฉีกเป็นชิ้นแล้วเอาไปเลี้ยงหมูเลยด้วยซ้ำ
เผยจื่ออวี๋จึงถลึงตาตอบกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ ก็เห็นอยู่ว่านางไม่ได้เป็นฝ่ายที่เข้าหาหวงฝู่จี้ก่อน ซ้ำถ้าจะมาคิดทบทวนกันให้ดี ตัวนางเองต่างหากที่รู้จักกับเขามาก่อนหน้าใครทุกคนเสียอีก
ท่าทีที่เปลี่ยนไปเป็นดุดันอย่างกะทันหันของหญิงสาวทำให้หวงฝู่จี้ชะงักค้างไปเล็กน้อย “แม่นางเผย ข้ารบกวนอะไรท่านอยู่หรือไม่”
“ไม่” เผยจื่ออวี๋ตอบสวนกลับทันที
“แต่ท่านดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร”
“ไม่มีอะไร ข้าแค่แพ้เกสรดอกไม้เท่านั้น” นางถูจมูกและมองไปทางหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังของเขาที่เหมือนจะอาบน้ำหอมกันมาทั้งไห ขนาดนางยืนอยู่ห่างตั้งไกลยังแทบทนไม่ไหว แล้วคุณชายท่านนี้จะไม่รู้สึกได้อย่างไร มิใช่ว่าสำลักน้ำหอมตายไปแล้วหรอกหรือ
“เกสรดอกไม้?” หน้าดอกไม้บานในช่วงฤดูใบไม้ผลิผ่านไปแล้วไม่ใช่หรือ แต่เมื่อหวงฝู่จี้มองตามสายตาของหญิงสาวไปแล้วถึงได้เข้าใจ เขาโคลงศีรษะพลางยิ้มน้อยๆ “เป็นข้าที่ทำให้แม่นางเผยต้องลำบาก”
“ไม่เกี่ยวกับท่านหรอก คุณชายหวงบอกว่ามีเรื่องคุยกับข้ามิใช่หรือ ถ้าหากมีธุระอะไรก็เข้าไปพูดกันในบ้านข้าก่อนเถอะ”
ทันทีที่หวงฝู่จี้ก้าวเข้าประตูบ้านสกุลเผยมา หวงซื่อก็ได้รับรายงานจากแม่นมอู๋ว่าคุณชายหนุ่มรูปงามที่อยู่บ้านติดกันมายืนพูดคุยกับลูกสาวของนางอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ ทำเอาผู้เป็นมารดาถึงกับนั่งไม่ติด ต้องรีบวิ่งมาที่หน้ากระจกเพื่อลูบผมเผ้าให้เข้าที่จนแน่ใจว่าไม่มีเส้นไหนกระดิกออกมาแล้วจัดแต่งเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนให้แม่นมอู๋รีบประคองออกไปเพื่อคิดหาทางให้บุตรสาวเชิญคุณชายหวงเข้ามาดื่มน้ำชาคุยกันในบ้านให้ได้
“แม่นมอู๋ เจ้าว่าอวี๋เอ๋อร์จะไม่รู้ความจนทำเสียเรื่องไล่คนออกไปหรือไม่” หวงซื่อถามอย่างเป็นกังวล
แม่นมอู๋ไม่อาจสาดน้ำเย็นใส่ผู้เป็นนาย แต่ก็รู้นิสัยของคุณหนูดีว่านางอาจทำเรื่องเช่นนั้นได้ “ก็…เป็นไปได้เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเราก็ช้าไม่ได้แล้ว รีบไปกันเถิด จะต้องหาทางให้คุณชายหวงรั้งอยู่ดื่มน้ำชาด้วยให้ได้ คนดีๆ อย่างคุณชายหวงนั้นหาง่ายเสียที่ไหน มือใครยาวสาวได้ก็ต้องสาวเอา สองวันมานี้ข้าเห็นยายเด็กโหย่วจินนั่นมาคอยเฝ้าอยู่ ไม่บอกก็รู้ว่ามีแผนอะไรอยู่ในใจ ข้าทนมองเห็นอวี๋เอ๋อร์ของเราต้องพลาดจากคนดีๆ แบบนี้ไปไม่ได้หรอก” หวงซื่อยิ่งพูดยิ่งสาวเท้าเร็วขึ้น
“ฮูหยิน ถึงท่านจะร้อนใจเรื่องการแต่งงานของคุณหนู แต่คุณหนูจะยอมทำตามใจท่านหรือเจ้าคะ”
“เรื่องนี้ไม่อาจตำหนิลูกสาวข้าได้ ผู้ใดใช้ให้นางมีมารดาอ่อนแอเช่นข้ากันเล่า ทำให้นางต้องปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่เล็กและคอยดูแลข้ามาจนตนเองโตเป็นสาว” หวงซื่อพูดพลางถอนหายใจ “ถ้าหากสามีข้าไม่ได้ไปออกรบไกลแสนไกล เรื่องทั้งหมดคงไม่เป็นเช่นนี้ ป่านนี้พ่อของอวี๋เอ๋อร์คงจัดการเรื่องแต่งงานให้นางไปแล้ว ไม่ใช่ปล่อยให้นางอายุล่วงเลยมาเกือบสิบเจ็ดปีก็ยังไม่มีวี่แววที่จะได้แต่งงานเช่นนี้”
“แต่เวลานี้เราก็มีโอกาสแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ฮูหยินท่านก็อย่าได้เป็นกังวลไปเลย” แม่นมอู๋ปลอบใจ
“ใช่แล้ว เมื่อมีโอกาสมาเราก็ต้องรีบคว้าเอาไว้ ห้ามปล่อยให้หลุดมือไปเป็นอันขาด”
บทที่ 6
เผยจื่ออวี๋เดินนำหวงฝู่จี้เข้าไปในตัวบ้านหลังน้อยที่มีไม้ดอกและไม้ยืนต้นปลูกเอาไว้มากมายอย่างเป็นระเบียบ มีทางเดินเล็กๆ โรยด้วยเม็ดกรวดทอดนำไปสู่เรือนใหญ่โตโอ่โถงแห่งหนึ่ง
หวงฝู่จี้ลอบชื่นชมทัศนียภาพของบ้านสกุลเผยแห่งนี้อย่างเงียบๆ เพราะถึงเรือนหลังนี้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน ส่วนภายในตัวเรือนนั้นแม้จะไม่ได้วิจิตรงดงามอะไรนัก แต่ก็สวยสง่าเรียบง่าย มีรสนิยม บ่งบอกถึงความละเอียดใส่ใจ และมีภาพวาดทิวทัศน์แขวนประดับอยู่ทุกจุด
“คุณชายหวง เชิญทางนี้ ห้องโถงอยู่ด้านใน” เผยจื่ออวี๋ชี้ไปทางห้องโถงซึ่งอยู่ตรงหน้า
“บ้านของแม่นางเผยช่างจัดแต่งได้งดงามดีจริง ทุกมุมล้วนมีภาพทิวทัศน์ประดับอยู่ แม้จะไม่ได้ดูพิสดาร แต่ก็แตกต่างจากผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง เชื่อว่าท่านคงต้องสิ้นเปลืองความคิดไปไม่น้อยเลย”
ชายหนุ่มเหลือบไปมองก้อนหินประหลาดที่ซ้อนทับกันอยู่ที่สระน้ำก็รู้ว่ามันเป็นหินที่งมขึ้นมาจากใต้ทะเลสาบผลึกอำพัน ซึ่งศิลาเหมันต์ของทะเลสาบผลึกอำพันที่มีค่าควรเมืองเช่นนี้ มิใช่ของที่เศรษฐีผู้ใดจะซื้อหามาครอบครองได้
มิน่าเล่า สตรีที่อยู่เบื้องหน้าเขาถึงได้กล้าพูดกล้าเจรจา สามารถแจกเสบียงอาหารให้แก่ผู้ประสบภัยติดต่อกันถึงสองเดือน และช่วยเหลือเขาได้อย่างไม่หวั่นต่อค่ายาค่ารักษา ซ้ำยังบอกเขาอีกด้วยว่าไม่ต้องตอบแทนบุญคุณ ที่แท้นางก็มั่งคั่งถึงเพียงนี้ ถึงได้ไม่ต้องคอยมองสีหน้าของผู้ใด เขาไม่แปลกใจอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดลูกสาวของอนุภรรยาเช่นนางถึงได้กล้าบอกว่าจะแต่งสามีเข้าบ้าน
“ตอนนั้นมีท่านลุงที่เป็นช่างไม้คนหนึ่งเกิดล้มป่วย จำเป็นต้องใช้ตัวยาหายากที่ต่อให้มีเงินก็หาซื้อไม่ได้ พอข้ารู้ก็เลยส่งยาตัวนั้นให้เขาไป พอเขาหายดีก็ยืนกรานว่าจะตอบแทนข้าด้วยการซ่อมแซมและต่อเติมบ้านให้ ดูเหมือนท่านลุงคนนั้นจะเคยทำงานในอุทยานของวังหลวงมาก่อน และบอกว่าช่างไม้ในวังพวกนั้นเป็นแค่ลูกศิษย์รุ่นหลังของเขาเท่านั้น ตอนแรกข้าคิดว่าเขาแค่คุยโม้ไปอย่างนั้นก็เลยไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจมากนัก แต่พอได้เห็นเขาทำงานออกมาได้แบบนี้แล้ว ข้าก็ชักจะเชื่อเขาอยู่เหมือนกัน”
นางชี้นิ้วไปที่รอยสลักที่ดูไม่ค่อยสะดุดตาเท่าไหร่นัก “เขาบอกว่าฝีมืองานแกะสลักระดับปรมาจารย์เช่นนี้ ต่อให้มีเงินก็ไม่อาจหาซื้อได้ ท่านเชื่อหรือไม่”
“เชื่อ” ผลงานการแกะสลักพวกนั้นล้วนเป็นฝีมือระดับชั้นครูของวังหลวงทั้งสิ้น ตัวเขาที่เติบโตขึ้นมาในวังหลวงตั้งแต่อ้อนแต่ออกย่อมดูรู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด
ยิ่งเมื่อเหยียบเข้าไปในห้องโถงที่ดูประณีตโอ่อ่าแล้ว ลักษณะการตกแต่งภายในก็ยิ่งยืนยันความคิดของหวงฝู่จี้มากขึ้น โดยเฉพาะตอนที่เขาเห็นภาพลงรักสี่ฤดูสี่ภาพที่แขวนอยู่บนกำแพงนั่น
ใบหน้าหล่อเหลาที่มีรอยยิ้มอบอุ่นแขวนประดับอยู่ของเขามีอาการแข็งค้างไปเล็กน้อย หางคิ้วงามสง่าทั้งสองเลิกขึ้นนิดหนึ่ง ในใจชักเริ่มรู้สึกนับถือหญิงสาวขึ้นมา เมื่อเผยจื่ออวี๋ผู้นี้สามารถมีภาพที่เขาใช้นามพู่กันว่า ‘คุณชายจี้ซาน’ มาไว้ในครอบครองได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ…
เมื่อตระหนักถึงความร่ำรวยและน้ำใจอันมากล้นของหญิงสาวแล้ว หวงฝู่จี้ก็ได้แต่นึกทึ่งว่าดรุณีน้อยที่ยังไม่ได้ออกเรือนคนหนึ่งจะมีความสามารถถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“คุณชายหวง เชิญมานั่งที่นี่ก่อนเถิด ตามสบายนะ ไม่ต้องเกรงใจ” นางเชิญให้ชายหนุ่มนั่งลง
สาวใช้ที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีแล้วนำชาหลงจิ่ง* ที่เก็บมาก่อนฤดูฝนและเพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ กำลังอุ่นๆ ชุ่มคอเข้ามาให้ก่อนยอบเข่าถอยหลังออกไป เหลือไว้เพียงพวกเขาสองคนในห้องโถงใหญ่แห่งนั้น
เผยจื่ออวี๋นั่งลงในตำแหน่งเจ้าของบ้าน นางยกน้ำชาขึ้นมาจิบคำหนึ่งก่อนเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมายิ่ง “วันนี้คุณชายหวงไม่ได้ขึ้นเขาไปหาดินมาทำงาน แสดงว่าต้องมีเรื่องด่วนเป็นแน่ เช่นนี้ก็ไม่ต้องอ้อมค้อมกับข้า มีอะไรก็พูดมาเถิด”
ถึงนางจะพยายามหลบเลี่ยงเพื่อนบ้านใหม่คนนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้เรื่องของชายหนุ่มเอาเสียเลย เนื่องจากปาเจี่ยวและเตาโต้วที่เป็นคนสนิทของนางทั้งสองคนต่างข้ามกำแพงไปฝึกยุทธ์กับคนรับใช้ที่บ้านของหวงฝู่จี้อยู่ทุกวัน ทำให้มีข่าวสารเกี่ยวกับตัวเขามาเข้าหูนางอยู่ไม่น้อย
นางรู้ว่าช่วงนี้เขามีงานยุ่งมาก เพราะต้องไปขุดดินกลับมาปั้นกาน้ำอยู่บ่อยๆ แม้จะไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนไปเอาดินจากเขาลูกไหน ถึงได้ไม่เห็นเงาของเขาสักเท่าไร แต่ทุกครั้งที่กลับมานางก็จะเห็นชายหนุ่มมีดินโคลนเลอะเต็มตัวอยู่เสมอ
* หลงจิ่ง คือชาเขียวชนิดหนึ่งของจีน ปลูกมากในเมืองหังโจวและมณฑลเจ้อเจียง ใบชามีลักษณะแบน สีเขียว มีกลิ่นหอม รสชาติละมุน
จากที่เตาโต้วเล่า เพราะหวงฝู่จี้ต้องออกไปหาดินที่เหมาะสมกับการทำกาจึงต้องพาคนรับใช้สองคนออกไปด้วยเป็นประจำ และเวลาไปกันทีหนึ่งก็จะหายไปตลอดทั้งวัน
หวงฝู่จี้สั่นศีรษะพลางถอนหายใจ “ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไรหรอก ข้าก็แค่ไปสำรวจดูที่บริเวณเชิงเขารอบๆ แต่ก็ไม่เจอดินที่เหมาะกับการทำกาน้ำเลย ดูท่าว่าดินที่ขุดได้จากบริเวณสวนสมุนไพรของท่านคงดีที่สุดแล้วจริงๆ”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เผยจื่ออวี๋ก็อดเป็นกังวลแทนอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะถ้าหากไม่มีดินแล้วจะทำกาได้อย่างไร และถ้าทำกาไม่ได้ เขาจะทำมาหากินได้อย่างไร
“ที่ข้ามาพบท่านวันนี้ก็เพราะมีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือ”
“ว่ามาเถอะ ท่านอยากให้ข้าช่วยเรื่องอะไร ถ้าหากข้าช่วยได้จะต้องช่วยท่านอย่างแน่นอน” เผยจื่ออวี๋วางถ้วยชาในมือลง ตามองจับจ้องที่ชายหนุ่มนิ่ง
“ท่านก็ทราบว่าอุทกภัยครั้งนี้ทำให้ผู้คนมากมายไร้บ้านให้กลับ ตัวข้านั้นยังดีที่ยังมีมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษเอาไว้ให้ ถึงได้พอมีที่อาศัยได้บ้าง เพียงแต่…เรื่องเป็นเช่นนี้ หลิงซานมีญาติที่เพิ่งตามหาตัวกันเจอเมื่อสองวันก่อน แต่เดิมเขาทำงานอยู่สำนักคุ้มภัยแห่งหนึ่ง แต่ท่านก็เห็นอยู่ว่าบ้านข้าไม่จำเป็นต้องมีองครักษ์…”
“ท่านอยากให้ข้ารับตัวญาติของหลิงซานเอาไว้หรือ แต่งานที่สวนสมุนไพรมันเหนื่อยนะ…”
“มิใช่ ข้าไม่อาจรับตัวญาติของหลิงซานเอาไว้ได้ เพราะฉะนั้นจึงคิดจะให้เขาไปหางานที่สำนักคุ้มภัยอื่นแทน แต่เมื่อวานไม่รู้ว่าเขาไปได้ข่าวมาจากที่ไหน บอกว่าบนเขามีประกาศรับสมัครองครักษ์อยู่ เขาเลยอยากไปเข้ารับการทดสอบที่นั่น ได้ยินว่าจำเป็นต้องมีคนในพื้นที่ช่วยแนะนำเลยมาขอให้ข้าช่วยฝากงานให้ แต่ตัวข้านั้นก็เพิ่งจะย้ายมาที่นี่ได้ไม่นาน ยังไม่ค่อยรู้จักใครเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องบากหน้ามาขอร้องให้แม่นางเผยช่วย…”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่ไปเข้ารับการทดสอบจะมีดีแค่หมัดมวยอย่างเดียวไม่ได้นี่นา” หญิงสาวกล่าวอย่างลังเลใจ
“ญาติของหลิงซานสามารถรับมือกับบุรุษตัวโตๆ ทีเดียวพร้อมกันสองสามคนได้อย่างไม่มีปัญหา เรื่องนี้จึงไม่ต้องเป็นห่วง เพียงแต่คงต้องขอไหว้วานให้แม่นางเผยช่วยออกหน้าให้ ไม่ทราบว่าจะเป็นการรบกวนหรือไม่”
“ไม่ลำบากหรอก ข้ารู้จักกับคนคุมของพวกเขาดี และอีกไม่นานก็ต้องไปส่งยาสมุนไพรที่พวกเขาสั่งไว้เป็นประจำ ถึงตอนนั้นให้ญาติของหลิงซานตามข้าไปด้วย แล้วข้าจะถือโอกาสบอกกล่าวกับคนคุมให้เอง”
“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนแม่นางเผยแล้ว นี่เท่ากับท่านได้ช่วยเหลือข้าด้วย เพราะต่อไปเมื่อญาติของหลิงซานได้ทำงานที่นั่น จะได้ช่วยข้านำดินกลับมาให้บ้าง” หวงฝู่จี้รีบประสานมือขอบคุณ
เมื่อเห็นเผยจื่ออวี๋ตอบรับเรื่องที่จะช่วยฝากงานให้อย่างไม่มีอาการลังเลใจแล้ว หวงฝู่จี้ก็ค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก เพราะขอเพียงหลิงเอ้อแฝงตัวเข้าไปที่นั่นได้ เชื่อว่าอีกไม่นานย่อมต้องรู้ความลับของอีกฝ่ายได้แน่นอน
ตวนอ๋องเอ๋ย คอยดูไปเถอะว่าครั้งนี้ข้าจะสับเจ้าอย่างไร! ข้าจะไม่ให้เจ้าได้ผุดได้เกิดขึ้นมาอีกเลย
“พูดอะไรแบบนั้น…” หญิงสาวพูดยังไม่ทันจบ หวงซื่อก็เดินยิ้มร่าเข้ามาแล้ว
“เผยฮูหยิน” หวงฝู่จี้รีบลุกขึ้นคารวะผู้มาใหม่
“คุณชายหวง ยินดีต้อนรับ ไม่ต้องเกรงใจ นั่งก่อนๆ ทำไมวันนี้ถึงได้มีเวลามานั่งที่นี่ได้เล่า” ทันทีที่เห็นหวงฝู่จี้ หวงซื่อก็รู้สึกดีใจอย่างมาก หน้าบานยิ้มไม่หุบราวกับแม่ยายกำลังมองดูลูกเขยอย่างไรอย่างนั้น
แต่เดิมนั้นหวงฝู่จี้ไม่ได้คิดจะปิดบังตัวตนอะไร แต่เมื่อมาถึงที่หมู่บ้านและถูกเผยจื่ออวี๋เข้าใจผิด เขาจึงปล่อยเลยตามเลย ยอมรับว่าตนแซ่หวงไปเสีย “วันนี้ข้ามาขอให้แม่นางเผยช่วยเหลือน่ะขอรับ”
“อ๋อ มีอะไรก็บอกกล่าวกันได้ พวกเราเป็นเพื่อนบ้านกัน โบราณว่าญาติที่อยู่ไกลสู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ไม่ได้ อะไรที่ช่วยเหลือกันได้ก็ต้องช่วยกันอยู่แล้ว คุณชายหวงไม่ต้องเกรงใจนะ ท่านเพิ่งมาที่นี่ถ้าหากมีอะไรไม่คุ้นก็มาถามอวี๋เอ๋อร์ของเราได้” จู่ๆ หวงซื่อก็พูดพล่ามน้ำไหลไฟดับเหมือนจะไม่ยอมหยุดเอาง่ายๆ
ได้เห็นท่าทีของมารดาที่เหมือนเห็นอีกฝ่ายเป็นลูกเขยไปแล้ว คิ้วงามของเผยจื่ออวี๋ก็มีอาการกระตุก ในใจแอบร้องครวญว่า ท่านแม่ ทำอะไรก็ดูกาลเทศะเสียหน่อยเถิด อย่าอวดไส้อวดพุงของตนเองให้คนอื่นเห็นชัดนักสิ!
ท่าทียินดีต้อนรับอย่างมากของหวงซื่อทำให้หวงฝู่จี้นิ่งงันไปพักหนึ่ง ก่อนมองไปทางเผยจื่ออวี๋ที่มีสีหน้าประดักประเดิดคล้ายอยากจะเป็นลมเต็มแก่ นางกลอกตาไปมาและทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ทำให้หวงฝู่จี้อดยกมุมปากขึ้นสูงด้วยความรู้สึกขบขันไม่ได้ เขาผงกศีรษะเออออตามหวงซื่อไปว่า “เผยฮูหยินกล่าวถูกแล้ว เพื่อนบ้านกันก็สมควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
ถึงแม้ว่าหวงซื่อจะเป็นแค่อนุภรรยา แต่ทุกคนในบ้านหลังนี้กลับเรียกนางว่า ‘ฮูหยิน’ อย่างให้ความเคารพนับถือ และหวงฝู่จี้เองก็เรียกตามคนอื่นๆ ไปด้วยเช่นกัน
เผยจื่ออวี๋ได้แต่ลอบถอนหายใจเฮือกๆ อยู่ในอก
คุณชายหวง ท่านอย่าเอาแต่ยอมทำตามใครต่อใครไปง่ายๆ แบบนี้ได้หรือไม่ หรือท่านไม่รู้เลยหรือว่าท่านแม่ของข้าคิดจะจับท่านไปทำอะไร
“ใช่แล้วๆ” พอหวงฝู่จี้เห็นดีด้วย หวงซื่อก็ยิ้มร่าราวดอกไม้บานมากขึ้นกว่าเก่า แต่ก็ยังไม่ลืมหันไปเตือนเผยจื่ออวี๋ที่กำลังคิดแต่จะรักษาระยะห่างจากเพื่อนบ้านหนุ่มคนนี้ด้วยสีหน้าระรื่นว่า “อวี๋เอ๋อร์ ต่อไปถ้าหากคุณชายหวงมีเรื่องอะไร เจ้าจะต้องช่วยเหลือเขาให้มากๆ อย่าได้บอกปัดเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”
เผยจื่ออวี๋กลอกตาอย่างพูดไม่ได้หัวเราะไม่ออก
ท่านแม่ ท่านอย่ายิ้มประจบเขานักจะได้หรือไม่ รอยยิ้มของท่านแบบนี้เหมือนกับหมาป่าที่กำลังหิวโซมาเจอลูกแกะตัวขาววิ่งตัดหน้าเลยคิดอยากจะคาบกลับไปฝากลูกหมาป่าที่รังอย่างไรอย่างนั้น
“อวี๋เอ๋อร์ ได้ยินหรือไม่” เห็นลูกสาวยังลังเลไม่ยอมตอบ หวงซื่อจึงเรียกซ้ำอีกคำหนึ่ง
“ได้ยินแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ ต่อไปถ้าหากคุณชายหวงมีเรื่องอะไรอยากให้ข้าช่วย ข้าจะต้องช่วยเขาอย่างเต็มที่แน่นอน ท่านอย่าได้เป็นห่วงเลย”
มารดานางคิดอะไรอยู่ มีหรือเผยจื่ออวี๋จะไม่รู้ แต่นางคงไม่อาจกำราบมารดาต่อหน้าคนนอกได้ เผยจื่ออวี๋จึงได้แต่ตอบรับไปก่อนอย่างฝืนใจ
“เช่นนั้น เผยฮูหยิน แม่นางเผย ในเมื่อพวกเราเป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว พวกท่านก็อย่าเรียกข้าว่าคุณชายหวงอีกเลย เรียกชื่อของข้าเลยจะดีกว่า”
“เอาสิๆ เช่นนั้นต่อไปท่านก็เรียกชื่ออวี๋เอ๋อร์ได้เลยเหมือนกัน เช่นนี้จะได้สนิทกันมากขึ้นอีกด้วย” การได้สนิทชิดเชื้อกันมากยิ่งขึ้นเป็นสิ่งที่หวงซื่อต้องการอยู่แล้ว ในรัศมีสิบห้าลี้นี้นางหาชายหนุ่มรูปงามอย่างเพื่อนบ้านคนนี้ไม่พบเลยจริงๆ เขาช่างหล่อเหลาและงามสง่าไม่แพ้บิดาของอวี๋เอ๋อร์เลยทีเดียว
ตั้งแต่เล็กอวี๋เอ๋อร์ก็เป็นเด็กที่ไม่มีบิดาคอยให้ความรัก และไม่มีผู้ใหญ่ช่วยจัดการเรื่องงานวิวาห์ให้ ตัวนางผู้เป็นมารดาจึงร้อนใจแทนบุตรสาวนัก ยิ่งพอพ้นจากหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านรวงที่ไหนอีกแล้ว คุณชายหวงจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด นางจะต้องช่วยอวี๋เอ๋อร์จับเขาให้อยู่มือให้จงได้
“เพียงแต่…” หวงซื่อจำเป็นต้องรู้ชื่อของเขยขวัญที่คัดเลือกมาคนนี้เสียก่อน นางอิดออดอยู่นิดหนึ่งก่อนเอ่ยถามด้วยท่าทีขวยใจว่า “ชื่อของคุณชายหวงคือ…”
“ข้ามีนามว่าหวงฝู่จี้ คนข้างนอกมักเรียกข้าว่าจี้ซาน พวกท่านก็เรียกข้าเช่นนี้เถิด หรือถ้าหากฮูหยินกระดากปาก จะเรียกข้าว่าอาจี้ก็ยังได้” หวงฝู่จี้แสดงท่าทางของผู้น้อยที่เคารพผู้ใหญ่อย่างเต็มที่
เผยจื่ออวี๋รู้มานานแล้วว่าชายหนุ่มมีชื่อว่าหวงฝู่จี้ แต่ชื่อจี้ซานนี้…ทำไมมันถึงได้ฟังดูคุ้นๆ นัก ราวกับว่านางเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน เผยจื่ออวี๋พยายามเค้นหาชื่อนี้ในสมองอยู่เป็นนานแต่กลับไม่พบสิ่งใดเลย
“เช่นนี้ก็เรียกว่าอาจี้เถอะ เราต่างก็เป็นเพื่อนบ้านกัน เรียกอาจี้ก็ฟังดูสนิทสนมกันดี ลูกก็ว่าแบบนั้นใช่หรือไม่” หวงซื่อหันไปถามลูกสาวที่ใจลอยคิดนั่นคิดนี่อยู่ พร้อมขยิบหูขยิบตาให้สัญญาณ “อวี๋เอ๋อร์ ลูกว่าอย่างไรเล่า”
“อ๋อ ใช่ๆ” เผยจื่ออวี๋เรียกสติที่ล่องลอยไปให้กลับคืนมาแล้วพยักหน้ารับ
“เช่นนั้นต่อไปเจ้าก็อย่าเรียกคุณชายหวงอีกเลย ให้เรียกอาจี้ว่าพี่จี้แทน ต่อไปก็ต้องคอยดูแลกันและกันให้ดี ได้ยินแล้วใช่หรือไม่”
พี่…จี้…
ช่วงเวลานั้นเผยจื่ออวี๋รู้สึกเหมือนมีอีกาสีดำบินผ่านเหนือศีรษะ ได้แต่มองผู้เป็นแม่อย่างพูดอะไรไม่ออก
ท่านแม่ อะไรจะยกระดับความสนิทขึ้นมารวดเดียวสามขั้นได้ไวปานนี้ ท่านเพิ่งจะรู้จักกับหวงฝู่จี้เองไม่ใช่หรือ! แล้วจู่ๆ จะให้ข้าเรียกเขาว่าพี่จี้แบบนี้ ท้องไส้จะไม่ปั่นป่วนแย่หรืออย่างไร
“อาจี้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าฮูหยินแล้ว เรียกน้าหวงดีกว่า”
“ขอรับน้าหวง” การรั้งอยู่ที่นี่ทำให้เขาต้องรู้จักทำดีกับคนที่นี่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเผยจื่ออวี๋และมารดาที่เขาต้องทำดีด้วยเป็นพิเศษ เพื่อจะได้หาหลักฐานในการซ่องสุมกำลังพลเพื่อการกบฏของตวนอ๋องได้สะดวกยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้หวงฝู่จี้จึงไม่ถือสาเรื่องคำเรียกขานที่เป็นเรื่องเล็กน้อยพวกนี้
ตอนที่ได้เห็นสายตาที่ดูเหมือนเข้าใจอะไรต่อมิอะไรดีของหวงฝู่จี้แล้ว เผยจื่ออวี๋ก็ยิ่งรู้สึกประดักประเดิดจนอยากจะขุดหลุมลงไปมุดหน้าหนีให้มันรู้แล้วรู้รอด และในขณะเดียวกันก็ลอบถอนหายใจอย่างปลงอนิจจังกับตนเอง
ช่างเถอะ นางจะไม่สนใจแล้ว ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้คิดอะไรกับเขา ขอแค่นางแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างเดียว ไม่เล่นไปตามแผนของมารดา ทุกคนก็จะสามารถรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรกันต่อไปได้
อีกประการหนึ่ง ยามนี้นางจำเป็นต้องทุ่มเทความคิดไปที่เรื่องการค้าของสวนสมุนไพรว่าจะต้องทำอย่างไรให้มันใหญ่โตและมั่นคงมากขึ้น เพราะหลังจากอุทกภัยผ่านไปแล้ว ความต้องการยาสมุนไพรก็พุ่งสูงขึ้นจนนางไม่มีเวลาว่างมากพอจะมาสนใจว่าท่านแม่คิดฟุ้งซ่านอะไร อย่างมากเผยจื่ออวี๋ก็แค่ยืนกรานไม่ยินยอมอย่างเดียว ดังนั้นเวลานี้ท่านแม่อยากจะทำอะไรก็ทำไปเถิด
หลังดื่มน้ำชาคำสุดท้ายเสร็จ เผยจื่ออวี๋ก็ยืดตัวขึ้น “ท่านแม่ ข้าต้องไปที่สวนสมุนไพรก่อน ท่านนั่งอยู่เป็นเพื่อนคุณชายหวงไปนะ คุณชาย…จี้ซาน รบกวนท่านพาคนที่ท่านเพิ่งพูดถึงเมื่อครู่มาที่สวนสมุนไพรของข้าด้วย”
“เอ๋? ลูกแม่ เจ้ามิใช่เพิ่งจะกลับเข้ามาหรอกหรือ” ทำไมแค่ก้าวเข้าประตูบ้านมา พูดจากันได้แค่สองประโยค ลูกสาวของนางก็จะออกไปแล้ว แทนที่จะคว้าโอกาสอันงามที่อุตส่าห์นำตัวมาส่งให้ถึงหน้าประตู
“เดี๋ยวข้าต้องส่งของ เลยต้องไปดูที่สวนสมุนไพรก่อน”
“จะดูของอะไรนักหนา เมื่อวานเจ้าบอกว่าให้พวกคนงานจัดเตรียมเอาไว้แล้วมิใช่หรือ แม่ไม่ให้ไป ต้องอยู่กินมื้อกลางวันที่บ้านเสียก่อน แม่ให้แม่นมเจียงตุ๋นไก่ไว้ให้เจ้าด้วย กินเสร็จแล้วค่อยไป” หวงซื่อสั่งลูกสาวเสียงเย็น
“อืม เจ้าค่ะ” เมื่อมารดาพูดถึงขนาดนี้ นางย่อมต้องยอมนั่งลงแต่โดยดี
ตอนที่เผยจื่ออวี๋ข้ามมิติมาที่นี่ มีหลายครั้งที่หวิดได้ไปรายงานตัวกับยมบาล แต่ก็ได้หวงซื่อเที่ยวไปหยิบยืมเงินจากเพื่อนบ้าน หนึ่งอีแปะบ้าง สองอีแปะบ้าง เพื่อพาลูกสาวไปหาหมอ
นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาเผยจื่ออวี๋ก็สาบานกับตนเองว่าต่อไปภายหน้า นอกเหนือจากเรื่องใหญ่อย่างเรื่องแต่งงานแล้ว เรื่องเล็กน้อยทั้งหลายนางจะไม่ขัดความประสงค์ของมารดาเด็ดขาด
หวงฝู่จี้ชิมน้ำชารสเลิศด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้พลางมองดูอากัปกิริยาของสองแม่ลูก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาถึงได้รู้สึกขบขันปนอบอุ่นลึกๆ อยู่ในใจ นี่หรือคือท่าทีที่คนเป็นแม่ลูกทั่วไปเขาเป็นกัน
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยพูดคุยกับเสด็จพ่อเสด็จแม่อย่างสนิทชิดเชื้อเช่นนี้มาก่อนเลย หวงฝู่จี้จึงอดรู้สึกอิจฉาความรักระหว่างแม่ลูกของเผยจื่ออวี๋กับหวงซื่อขึ้นมาไม่ได้
“อาจี้ เจ้าก็อยู่กินมื้อกลางวันด้วยกันก่อนเถอะ ดูเจ้าสิ ผอมขนาดนี้ น้าหวงจะบำรุงเจ้าเอง ห้ามปฏิเสธเด็ดขาดนะ” จะตีเหล็กต้องตีตอนร้อน หวงซื่อไม่คิดที่จะปล่อยลูกเขยที่เข้าตาตนเองไปง่ายๆ และไม่คอยถามความเห็นชอบของลูกสาวให้เสียเวลา แต่ลงมือทำตัวเป็นสื่อรักให้ทั้งคู่ทันที
เผยจื่ออวี๋ทำหน้าบูดปากยื่นอย่างไม่พอใจ ท่านแม่นางไม่ยอมถามความสมัครใจของผู้อื่นก็รั้งตัวเขาไว้กินข้าวด้วยแบบนี้ มันจะไม่ล้ำเส้นกันเกินไปหรอกหรือ
“ท่านแม่ ท่านยังไม่ได้ถามคุณชาย…เอ่อ จี้ซานเลย ถ้าเกิดเขามีธุระอื่นแล้วท่านไปกักตัวเขาเอาไว้กินข้าวด้วยแบบนี้มันจะไม่เหมาะ” เผยจื่ออวี๋เอ่ยเตือนมารดา
“นอกจากเรื่องที่ข้าตั้งใจมาพบแม่นางเผยแล้ว ข้าก็ไม่ได้มีธุระอื่นอีก”
“เช่นนั้นเจ้าก็อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนได้ใช่หรือไม่ ปกติอวี๋เอ๋อร์มีงานยุ่งมาก น้าหวงต้องกินข้าวคนเดียวอยู่บ่อยๆ ไหนๆ วันนี้เจ้าก็มาทั้งที อยู่กินข้าวเป็นเพื่อนน้าหวงกับอวี๋เอ๋อร์เถอะ” หวงซื่อเอ่ยด้วยท่าทีน่าสงสาร
หางตาของเผยจื่ออวี๋กระตุกนิดๆ ก่อนจะลอบกัดฟันกรอด ท่านแม่ของนางเล่นบทโศกเรียกความสงสารออกมาอีกแล้ว ทุกครั้งเวลาที่รู้ว่าลูกสาวโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาเมื่อไร นางก็จะงัดเอาบทนี้ขึ้นมาเล่น แต่เนื่องจากเวลานี้มีคนนอกอยู่ด้วย เผยจื่ออวี๋จึงไม่สะดวกจะขัดขวางผู้เป็นแม่ ได้แต่ปล่อยให้นางเรียกคะแนนสงสารจากผู้อื่นต่อไป
ท่านแม่นะท่านแม่ คิดจะบังคับให้ผู้อื่นมานั่งกินเลี้ยงดูตัวกันหรืออย่างไร!
แม้จะรู้สึกงงๆ อยู่บ้าง แต่หวงฝู่จี้ก็ตัดสินใจทำตัวตามน้ำไปก่อน เพราะเขาจำเป็นต้องเร่งสร้างความสนิทสนมกับคนในบ้านสกุลเผยเอาไว้เพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์ต่อการสืบข่าวของเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่คิดปฏิเสธคำเชิญของหวงซื่อ
“เช่นนั้นข้าก็ขอน้อมรับคำสั่งของน้าหวงขอรับ”
พอรู้ว่าชายหนุ่มถูกมารดาของนางไล่ต้อนจนต้องอยู่กินข้าวด้วย หาใช่ความสมัครใจของเจ้าตัวไม่ เผยจื่ออวี๋ก็หันไปส่งสายตาท้อใจอย่างเป็นการขอร้องมิให้เขาถือสาท่านแม่ของนาง ทว่ามุมปากของหวงฝู่จี้กลับยกขึ้นมานิดๆ
ยิ้มแบบนั้นของเขา มันหมายความว่าอย่างไรกันนะ
หลังจากที่หลิงเอ้อแทรกตัวเข้าไปที่ภูเขาจงหลิงได้สมความตั้งใจ ไม่ถึงสองวันก็มีข่าวดีพร้อมแผนที่ค่ายแบบคร่าวๆ ส่งกลับมาให้ผู้เป็นนายดู
จากข่าวที่หลิงเอ้อรายงานกับแผนที่ เห็นได้ชัดว่าที่ภูเขาจงหลิงแห่งนี้มีนอกมีในอยู่จริงๆ เพราะตวนอ๋องไม่เพียงแต่ลอบซ่องสุมกำลังคน แต่ลอบผลิตอาวุธขึ้นเองด้วย โดยใช้ภูเขาจงหลิงแห่งนี้เป็นแหล่งผลิตอาวุธ อาศัยที่แนวสันเขาเชื่อมต่อกัน ภูมิประเทศมีลักษณะสูงชันอันตรายอย่างยิ่ง และมีหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี ทำให้เหมาะแก่การซ่องสุมกำลังคนยิ่งนัก
เมื่อได้แผนที่มาอยู่ในมือแล้วเช่นนี้ หวงฝู่จี้กับหลิงอีและหลิงซานก็สามารถเร้นกายเข้าไปสืบหาหลักฐานเพื่อเพิ่มโทษฐานคิดกบฏต่อแผ่นดินของตวนอ๋องในยามราตรีได้
ทุกวันหลิงอีกับหลิงซานจะสลับสับเปลี่ยนกันไปขุดดินตรงจุดที่กำหนดเอาไว้ เพื่อไปคอยข่าวจากหลิงเอ้อ
และเพื่อไม่ให้ชาวบ้านทั่วไปสงสัย หลิงอีกับหลิงซานจึงใช้เวลาว่างสร้างเตาเผากาให้หวงฝู่จี้อันหนึ่งพร้อมกับขึ้นเขาไปช่วยเขาตัดไม้ฟืนกลับมา ทำให้ผู้คนในหมู่บ้านต่างรู้กันว่าชายหนุ่มทั้งสามคนกำลังเตรียมตัวทำกาขายกันอยู่ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครติดใจสงสัยเรื่องที่พวกเขาจะขึ้นไปที่ภูเขาอีก
เมื่อแผลที่แขนของหวงฝู่จี้ดีขึ้น ชายหนุ่มก็เริ่มแสร้งทำเป็นประดิษฐ์กาน้ำชาด้วยการปั้นกาน้ำจากดินทุกวันและนำอุปกรณ์มาวาดลวดลายบนตัวกาอย่างประณีต
หวงฝู่จี้หยิบมีดไม้ไผ่ขึ้นมา หรี่ตาคู่งามลงแกะลายลงบนกาน้ำชาจื่อซา* ที่อยู่ในมืออย่างมีสมาธิ และในตอนนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เผยจื่ออวี๋ที่ถือแตงโมลูกใหญ่อยู่ที่หน้าประตูเป่าไรผมที่ตกลงมาระหน้าผากในระหว่างที่คอยคนมาเปิดประตูให้
วันนี้แดดแรงและอากาศก็ร้อนจัด นี่ถ้าหากไม่ใช่ว่านางมีธุระที่จำเป็นต้องไหว้วานเขาก็คงไม่ยอมมาที่นี่หรอก
หวงฝู่จี้แง้มบานประตูใหญ่ออกดูก่อนว่าผู้มาเยือนเป็นใคร เพราะถ้าหากเป็นพวกหลิงอี ตามปกติแล้ว เวลาที่พวกเขากลับมาก็จะไม่เคาะประตูแบบนี้
แต่ในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังคิดสงสัยอยู่นั้น เผยจื่ออวี๋ก็ส่งเสียงผ่านรอยแยกของประตูเข้ามา “จี้ซาน นี่ข้าเอง ท่านอยู่บ้านหรือไม่”
หวงฝู่จี้จึงวางมีดไม้ไผ่ในมือลงและตะโกนตอบกลับไป “คอยเดี๋ยวนะ”
เมื่อประตูเปิดออก สิ่งที่เห็นก็คือรอยยิ้มเก้ๆ กังๆ ของเผยจื่ออวี๋ เพราะนับตั้งแต่ที่หญิงสาวรู้ว่าเขามาเป็นเพื่อนบ้านของนาง เผยจื่ออวี๋ก็คอยรักษาระยะห่างจากเขามาโดยตลอด ทว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้นางวางตัวเหินห่างจากเขานั้น หวงฝู่จี้รู้อยู่แก่ใจดี
* กาน้ำชาจื่อซา เป็นกาที่ใช้สำหรับชงน้ำชาซึ่งอยู่คู่กับประเพณีการชงน้ำชามาอย่างช้านาน กล่าวกันว่ากาน้ำชาจื่อซาเริ่มใช้กันมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่งจนถึงราวราชวงศ์หมิงหวู่จง โดยวัสดุที่ใช้ทำกาน้ำชาจื่อซาได้มาจากดินที่เรียกว่า ‘ดินจื่อซา’ ซึ่งเป็นดินที่มีแร่ธาตุผสมอยู่ โดยเป็นที่รู้กันในหมู่ของผู้ที่สนใจหรือนักดื่มชาว่าหากชงชาด้วยการใช้กาน้ำชาจื่อซาจะทำให้ได้รสชาติที่หอมกรุ่นของชาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากกาน้ำชาจื่อซามีลักษณะของโครงสร้างเนื้อดินที่เมื่อถูกเผาด้วยความร้อนแล้ว เนื้อดินจะมีความยืดหยุ่นและมีรูพรุนทำให้ดูดซับความหอม และเก็บรสชาติตลอดจนสีของน้ำชาได้เป็นอย่างดี
รอให้เขาจัดการธุระเรียบร้อยเมื่อไร จะช้าหรือเร็วย่อมต้องเดินทางกลับเมืองหลวงเพื่อไปกราบทูลเสด็จพ่ออยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องของพวกเขาสองคนจึงไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ และเขาก็ไม่ต้องการทำให้หญิงสาวเสื่อมเสียจนไม่อาจสู้หน้าใครได้อีก ดังนั้นหวงฝู่จี้จึงยินยอมร่วมมือเพื่อเว้นระยะห่างจากนางด้วยเช่นกัน
“อวี๋เอ๋อร์มีธุระอะไรหรือ”
“ท่านกำลังยุ่งอยู่หรือ” นางส่งแตงโมที่อยู่ในมือให้ชายหนุ่ม “นี่ ท่านแม่ให้ข้าเอามาให้ท่าน”
“ท่านน้าหวง!” เขามองดูแตงโมในมือแล้วก็อดทอดถอนใจออกมาไม่ได้ ทั้งที่เขาตั้งใจรักษาระยะห่างจากเผยจื่ออวี๋ แต่มารดาของนางกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และคอยส่งขนมของกินมาให้เขาทุกสองวันสามวัน จนพวกหลิงอีที่ออกไปหาข่าวเรื่องตวนอ๋องไม่จำเป็นต้องรีบกลับมาจัดการเรื่องอาหารการกินให้เขาด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวท่านเอาแตงโมลงไปแช่ไว้ในบ่อน้ำ แล้วช่วงเย็นๆ ก็ค่อยเอากลับขึ้นมา จะได้หวานเย็นชื่นใจ” เผยจื่ออวี๋ชี้มือไปทางบ่อน้ำที่อยู่ในลานบ้านของเขา
“ฝากขอบคุณท่านน้าหวงแทนข้าด้วย”
เท่าที่เขารู้แตงโมนี้มิใช่ชาวบ้านสามัญจะมีกินกันได้ทุกคน ยิ่งเวลานี้อุทกภัยเพิ่งจะผ่านพ้นไป ราคาของแตงโมก็ยิ่งสูงพรวดพราด นับว่าท่านน้าหวงทุ่มเทไม่น้อยเพื่อให้พวกเขาสองคนได้มีโอกาสพบปะกันเช่นนี้
หวงฝู่จี้เห็นเผยจื่ออวี๋ยืนอยู่หน้าประตูมีท่าทีเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง เขาจึงเอ่ยถามขึ้น “น้าหวงยังมีสิ่งใดฝากมาอีกหรือ”
นางสั่นศีรษะ “ท่านแม่ข้าไม่มีอะไรแล้ว แต่เป็นข้าเองที่มีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากท่าน เพราะแบบนั้นท่านแม่ข้าถึงได้ฝากแตงโมมาให้ท่านด้วย”
หวงฝู่จี้หรี่นัยน์ตาคู่งามลง เผยจื่ออวี๋คนนี้ถ้าหากไม่มีกิจธุระสำคัญจริงๆ ก็ไม่คิดจะไปมาหาสู่กับเขาง่ายๆ เป็นแน่ “เช่นนั้นก็เข้ามาคุยกันก่อนเถอะ อย่าคุยกันที่หน้าประตูแบบนี้เลย”
“เช่นนั้นก็ขอรบกวนแล้ว” เผยจื่ออวี๋ก้าวตามชายหนุ่มเข้าไปในตัวบ้านพร้อมกับปิดประตูตามหลัง
หวงฝู่จี้นำนางมาตรงที่เขาทำงาน และเอาผลแตงโมลงไปเก็บไว้ในบ่อน้ำตามคำบอกของหญิงสาว เขาชี้มือไปที่เก้าอี้หวายที่อยู่ใต้ชายคาบ้าน พร้อมหยิบเอากาที่วาดลายเสร็จไปครึ่งหนึ่งแล้วขึ้นมาทำงานต่อ “เรานั่งคุยกันตรงนี้เถอะ ข้าต้องถือโอกาสที่กายังไม่แห้งดีวาดลายให้เสร็จก่อน หวังว่าท่านคงไม่ถือสา”
“ไม่ถือๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ข้าเองก็ไม่อยากทำให้ท่านเสียงานด้วย” เผยจื่ออวี๋กวาดตามองไปรอบๆ บริเวณที่นั่งทำงานของชายหนุ่ม
“ท่านคงมิใช่จะมาสำรวจดูสถานที่ทำงานของผู้น้อยกระมัง” หวงฝู่จี้หยุดงานในมือลงแล้วเอ่ยถามด้วยมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นน้อยๆ
“มิใช่แน่นอน เพียงแต่เห็นท่านเริ่มทำงาน ข้าเลยต้องหยุดคิดก่อนว่าควรพูดเรื่องที่ตั้งใจจะมาพูดกับท่านดีหรือไม่”
“ว่ามาเถอะ เจ้ามิใช่บอกว่ามีเรื่องอยากให้ข้าช่วยหรือไร”
“คือ…ข้ารู้ว่าท่านรู้หนังสือก็เลยอยากจะมาเชิญท่านให้ช่วยไปสอนหนังสือให้เด็กๆ ที่สถานศึกษาเป็นการชั่วคราว”
“สอนหนังสือเด็กที่สถานศึกษา?” เขาชะงักและวางงานในมือลงทันที
ดวงตาสีดำเป็นประกายที่จับจ้องมาทำให้เผยจื่ออวี๋มีท่าทีนั่งไม่ติดอยู่บ้าง “พอดีว่าอาจารย์ที่ข้าเชิญมาคนนั้น เดิมเขาอาศัยอยู่ที่เรือนพักด้านหลังของสถานศึกษากับภรรยา ในบ้านไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย และไม่ค่อยสนิทสนมคุ้นเคยกับคนแปลกหน้าเท่าไร ดังนั้นเมื่อภรรยาของเขาตั้งครรภ์ เขาจึงไปขอร้องให้แม่ยายมาช่วยอยู่ดูแลภรรยาในช่วงอยู่ไฟให้
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อวานจู่ๆ ภรรยาของเขาก็เกิดคลอดก่อนกำหนด ส่วนแม่ยายก็กำลังดูแลสะใภ้อีกคนที่เพิ่งคลอดลูกเช่นกันจนไม่สามารถปลีกตัวมาได้ อาจารย์ท่านนั้นเป็นห่วงภรรยามากก็เลยตัดสินใจอยู่ดูแลนางด้วยตนเอง และขอลาหยุดเป็นเวลาหนึ่งเดือน” เผยจื่ออวี๋ไม่ได้มีความคิดคร่ำครึอย่างคนโบราณที่ว่าสามีไม่ควรเข้าไปในห้องคลอด ตรงกันข้ามนางกลับคิดว่าการที่สามีภรรยารักใคร่และห่วงใยกันเป็นเรื่องดีมากยิ่งกว่า นางจึงยินดีสนับสนุน แต่ปัญหาเรื่องสถานศึกษาก็ออกจะหนักหนาเอาการอยู่
“ข้าไม่อยากให้ช่วงหนึ่งเดือนนี้ต้องเสียเปล่า จึงอยากจะขอเชิญท่านไปช่วยสอนหนังสือให้เด็กๆ สักเดือน แค่เดือนเดียวเท่านั้น” หญิงสาวมองเขาตาเป็นประกายพลางชูนิ้วชี้ยืนยัน “เดือนเดียวก็พอ”
“สอนหนังสือ…” เขางึมงำ
“ใช่แล้ว ส่วนเรื่องค่าสอนรับรองว่าข้าจะไม่เอาเปรียบท่านเด็ดขาด”
“มิใช่ ข้าเพียงแต่แปลกใจที่เจ้าเปิดสถานศึกษาด้วยเท่านั้น”
“นั่นก็ไม่ถือว่าเป็นสถานศึกษาอะไรจริงจังนักหรอก ท่านก็น่าจะรู้ว่าพวกคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ทำงานในสวนสมุนไพรของข้าทั้งนั้น แต่จะให้พวกเด็กๆ เข้าไปในสวนสมุนไพรก็ไม่ได้ ดังนั้นเพื่อดูแลเด็กๆ ที่พ่อแม่ต้องทำงาน ข้าเลยออกเงินเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือให้พวกเขาโดยไม่คิดเงิน”
“เจ้าเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือให้พวกเขาโดยไม่คิดเงิน?” เรื่องนี้ทำให้หวงฝู่จี้ประหลาดใจอย่างแท้จริง
“นอกจากนี้ข้ายังเชิญแม่ครัวอีกคนให้มาทำอาหารกลางวันกับอาหารว่างให้พวกเขาโดยไม่ต้องเสียเงิน และมีแม่นมอีกสองคนคอยดูแลพวกเด็กๆ อีกด้วย แบบนี้พ่อแม่ของพวกเขาก็จะได้ตั้งใจทำงานกันได้โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอย่างไรเล่า”
ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจอย่างมากที่ได้รู้ว่าเผยจื่ออวี๋ดูแลคนงานของนางถึงเพียงนี้ และเขาก็ไม่เคยได้ยินด้วยว่ามีคนค้าขายที่ไหนเคยทำมาก่อน
“ข้าเพียงแต่คิดว่าถ้าหากรู้หนังสือแล้วต่อไปเด็กพวกนี้ก็อาจจะมีโอกาสที่ดีมากขึ้น ไม่ต้องเก็บตัวอยู่แต่บนภูเขาตัดฟืนล่าสัตว์ไปตลอดชีวิต”
“มิผิด” คำพูดคำจาของหญิงสาวยิ่งทำให้หวงฝู่จี้รู้สึกพิศวง ด้วยไม่คิดเลยว่าเผยจื่ออวี๋ที่เป็นสตรีอายุแค่สิบหกปีจะมีความคิดอ่านไม่เหมือนผู้คนทั่วไปได้ถึงเพียงนี้ ถึงขนาดคิดถึงอนาคตของผู้อื่นอีกด้วย
ในชีวิตชาวป่าชาวเขาล้วนไม่เคยอ่านหนังสือเลยสักเล่ม และไม่รู้หนังสือสักตัว ไม่สิ น่าจะบอกว่าลำพังแค่ชาวบ้านในเมืองใหญ่ทั่วไปก็หาคนรู้หนังสือได้ไม่มากแล้ว ยิ่งถ้าหากใครอยากจะส่งบุตรหลานเข้าสถานศึกษาก็ต้องจ่ายเงิน แต่ลำพังค่ากินค่าอยู่ก็อัตคัดกันจะแย่ ไหนเลยจะเจียดเงินมาร่ำเรียนหนังสือกันได้อีก
“แล้วเจ้าไม่เสียดายเงินหรือ นั่นมันเงินไม่ใช่น้อยเลย”
“ก็แค่เดือนละไม่กี่สิบตำลึงเท่านั้น สำหรับข้าแล้วไม่เจ็บไม่คันอะไรเลยสักนิด แต่มันอาจเป็นอนาคตที่สดใสของเด็กๆ พวกนั้นก็ได้ แล้วจะมีอะไรที่ไม่น่ายินดีกันเล่า อีกประการหนึ่งข้าก็ยังต้องอาศัยพ่อแม่ของพวกเขา ถ้าหากไม่ได้พ่อแม่ของพวกเขาตั้งอกตั้งใจช่วยงานในสวนสมุนไพร ไหนเลยที่ข้าจะทำเงินได้มากมายเพียงนี้ ลำพังสองมือของข้าคงทำไม่ไหวแน่ๆ หรือท่านว่าไม่จริง”
ความคิดอ่านของหญิงสาวช่วยเปิดมุมมองให้กับชายหนุ่มเป็นอันมาก อีกทั้งยังรู้สึกเลื่อมใสในตัวนางอีกด้วย เขาจึงผงกศีรษะรับ “เจ้าพูดถูก”
ได้ยินชายหนุ่มเห็นพ้องกับความคิดของตนแล้ว เผยจื่ออวี๋ก็ดีใจจนตาเป็นประกาย นางตื่นเต้นจนคว้ามือที่เปื้อนดินโคลนของชายหนุ่มไปกุมไว้แน่น “แสดงว่าท่านตอบรับไปช่วยสอนหนังสือแทนเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วใช่หรือไม่”
หวงฝู่จี้มองมือข้างที่ถูกหญิงสาวจับเอาไว้แน่นแล้วก็รู้สึกแปลกๆ จังหวะหัวใจที่เคยเต้นเป็นปกติกลับเต้นถี่เร็วขึ้น และสูบฉีดโลหิตร้อนๆ ให้แล่นพล่านไปทั่วร่าง
เผยจื่ออวี๋มองตามสายตาของชายหนุ่มไปแล้วก็เผลออุทานออกมาคำหนึ่ง นางรีบปล่อยมือของเขาพร้อมกับก้าวถอยหลังไปอีกหลายก้าว ก่อนจะพยายามอธิบาย “ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ แค่ดีใจมากเกินไปหน่อยเท่านั้น หวังว่าท่านจะไม่ถือสา”
สวรรค์ โชคดีแค่ไหนแล้วที่มารดานางไม่ได้ตามมาด้วย หาไม่หากว่าฝ่ายนั้นมาเห็นเข้าคงต้องรีบจับนางให้แต่งงานกับคุณชายหวงแทบไม่ทันแน่นอน
หวงฝู่จี้หลุบสายตาลง ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างน่ามอง “ข้าไม่ถือ คนเราดีใจจนลืมตัวกันได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
เผยจื่ออวี๋ยกมือขึ้นตบหน้าอกตนเองเบาๆ “โชคดีที่ท่านเข้าใจ แต่เรื่องนี้ท่านจะต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับ ถ้าหากท่านแม่ของข้ารู้เข้าล่ะก็ นางจะต้องมาพูดเรื่องให้ท่านแต่งเข้าบ้านข้าแน่ๆ จำไว้นะว่าจะต้องเก็บไว้เป็นความลับสุดยอด”
“วางใจเถอะ เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชื่อเสียงของเจ้า ข้าต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับแน่นอน”
“ขอบคุณ ขอบคุณมาก” นางขอบคุณเขาอีกครั้ง
“อวี๋เอ๋อร์ ดูเหมือนเจ้าจะกลัวท่านน้าหวงจับเจ้าแต่งงานมาก” เขาหยิบมีดไม้ไผ่ขึ้นมาวาดลวดลายบนตัวกาต่อ
“กลัวสิ ใครจะไม่กลัว!” หญิงสาวเดินไปที่โต๊ะน้ำชาที่อยู่ด้านข้างและรินน้ำให้ตนเองถ้วยหนึ่ง ปากก็บ่นกระปอดกระแปด “จะให้แต่งงานกับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน ไม่รู้ว่ากลมหรือแบน เป็นคนดีสุภาพบุรุษ หรือเถื่อนถ่อยกักขฬะก็ไม่รู้ เป็นท่าน ให้ท่านแต่งงานกับสตรีแปลกหน้า ท่านไม่กลัวหรือ”
“นับแต่โบราณมาการแต่งงานต้องสุดแต่บิดามารดาจัดการให้ เจ้าเองก็เป็นสตรี เหตุใดจึงหัวแข็งนักเล่า” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อพระวงศ์เช่นเขา การแต่งงานล้วนเกี่ยวพันกับการเมืองและผลประโยชน์ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการแต่งงานของตนเอง หรือรับเอาสตรีที่ตนพึงใจเพียงอย่างเดียวมาเป็นภรรยาได้
“ใครบอกล่ะ ข้าไม่มีทางยอม อย่างไรก็ไม่แต่ง! ถ้าหากไม่ใช่คนที่ข้าชอบ ไม่ใช่คนที่ข้าอยากจะอยู่ร่วมกับเขาไปทั้งชีวิตแล้วล่ะก็ ข้าจะไม่มีวันยอมแต่งงาน ต่อให้ท่านแม่ฆ่าข้าให้ตายก็เถอะ” นางกล่าวด้วยท่าทีจริงจังหนักแน่น
“แล้วถ้าหากบิดาเจ้าเป็นคนจัดการให้เจ้าเล่า เจ้าจะไม่แต่งได้หรือ”
“บิดาข้า?!” เผยจื่ออวี๋ยิ่งทำหน้าเยาะ มุมปากยิ้มเย้ยหยันขึ้นมาอีกหลายส่วนขณะย้อนถาม “เขายังไม่ตายกลางสนามรบอีกหรือ”
ได้ยินนางแช่งชักบุพการีของตนเช่นนี้ หัวคิ้วของหวงฝู่จี้จึงอดขมวดเข้าหากันไม่ได้ เผยเจิ้นเทียนเป็นเสาหลักของบ้านเมือง แต่ตัวเผยจื่ออวี๋ที่เป็นลูกสาวของเขาแท้ๆ กลับแช่งพ่อของตนเองเสียได้…
“หรือเจ้าไม่รู้ว่าบิดาของเจ้าเผยเจิ้นเทียนเป็นแม่ทัพใหญ่ และเพราะมีเขาตรึงกำลังอยู่ที่ชายแดน ทำให้ข้าศึกไม่กล้าเข้ามารุกรานแคว้นต้าเยี่ยของเรา”
“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้า เขาเป็นคนสำคัญในสายตาของฮ่องเต้ เป็นเสาหลักของบ้านเมืองแล้วอย่างไร ในสายตาข้า เขาก็เป็นแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น แล้วคนแปลกหน้ามีสิทธิ์อะไรมายุ่มย่ามกับเรื่องแต่งงานของข้า” นางแค่นเสียงเย็นด้วยท่าทางไม่ยี่หระ “อีกอย่าง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะลืมข้ากับท่านแม่ไปนานแล้วก็ได้ แล้วจะยังมีแก่ใจมาคิดถึงเรื่องแต่งงานของข้าได้อย่างไร”
“เจ้าออกจะโดดเด่นถึงเพียงนี้ เขาไม่มีทางลืมเจ้าได้หรอก” หวงฝู่จี้พยายามแก้ตัวแทนเผยเจิ้นเทียน
“เขาต้องลืมพวกเราไปนานแล้วแน่นอน บิดาข้ามีลูกเมียเยอะแยะถึงเพียงนั้น แค่ขาดข้ากับท่านแม่ไปสองคนจะนับว่าเป็นกระไรกัน” เผยจื่ออวี๋มองเขาเหมือนเป็นเรื่องขำขัน
“ใครต่อใครต่างก็รู้ว่าแม่ทัพเผยเป็นวีรบุรุษผู้รักชาติ ข้าได้ยินมาว่าตอนที่เขาเผชิญหน้ากับความตายอยู่ในสนามรบก็ยังอุตส่าห์พาเพื่อนร่วมทัพกลับมาด้วยจนได้ แล้วเขาจะเป็นคนที่ไม่มีความรับผิดชอบถึงขนาดลืมลูกเมียได้อย่างไรกัน”
“จี้ซาน ท่านอย่ามาคิดเปลี่ยนภาพลักษณ์ความเป็นคนไร้ความรับผิดชอบของบิดาข้าเลย ข้ากับท่านแม่มาอยู่ที่นี่กันสิบสองปีแล้ว บิดาข้าเคยถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวงถึงสามครั้ง และแต่ละครั้งก็อยู่ที่บ้านนานถึงสามเดือน แต่ทั้งสามครั้งนั้น มีครั้งไหนบ้างที่เขาคิดจะมาเยี่ยมข้ากับท่านแม่ ถึงจะบอกว่าเขามีงานยุ่งมากไม่อาจเดินทางไกลๆ มาหาเราด้วยตนเองได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะส่งคนสนิทมาดูมาแลกันบ้าง หรือไม่ก็มีจดหมายมาสักฉบับก็ยังดี แต่นี่ไม่มีเลย ไม่มีเลยสักครั้ง! แล้วท่านยังจะให้ข้าคิดเข้าข้างตนเองว่าเขายังไยดีข้ากับท่านแม่อยู่อีกหรือ ข้าทำไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นอย่ามาพูดเลยว่าในใจเขายังมีข้ากับท่านแม่อยู่” หญิงสาวโค้งมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา และไม่คิดที่จะพูดจาอะไรอีก
คำพูดประโยคนี้ทำให้เขาไม่อาจค้านอะไรนางได้เลยจริงๆ ทว่านี่ก็เป็นเรื่องภายในสกุลเผยซึ่งตัวเขาที่เป็นคนนอกไม่อาจสอดมือเข้าไปได้
เผยจื่ออวี๋ขยับตัวลุกขึ้น “เอาล่ะ ในเมื่อตกลงกันได้แล้วข้าก็จะกลับล่ะ พรุ่งนี้เช้าข้าจะพาท่านไปดูสถานศึกษา ดีหรือไม่”
“เอาสิ” เขาพยักหน้ารับ
เห็นท่าทีของหวงฝู่จี้ที่เปลี่ยนไปเป็นเครียดขรึมอย่างกะทันหัน เผยจื่ออวี๋ก็รู้ได้ว่าตนพูดมากเกินไป อีกทั้งยังเป็นการบอกปัดความหวังดีของเขาอีกด้วย นางจึงอยากขอโทษ แต่จะให้ขอโทษเรื่องที่บิดานางเป็นบุรุษที่ไร้ความรับผิดชอบนั้นนางก็ทำไม่ลงจริงๆ
หางตาของหญิงสาวมีแววเจ็บปวดและท้อใจ นางมองดูชายหนุ่มแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ท่านทำงานต่อเถอะ”
สายตาคับแค้นใจที่เก็บซ่อนอยู่ในแววตาของเผยจื่ออวี๋ไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาของหวงฝู่จี้ ทำให้ชายหนุ่มบังเกิดความรู้สึกสงสารหญิงสาวอย่างยากจะระงับ และอยากที่จะขจัดปัดเป่าความทุกข์ใจใดๆ ให้กับนางด้วย…
จวบจนเงาร่างของเผยจื่ออวี๋หายลับออกนอกประตูไปแล้ว หลิงอีที่กลับมาถึงได้พักใหญ่ถึงได้ทิ้งตัวลงมาจากหลังคา
“นายท่าน เรื่องที่ท่านสั่งเรียบร้อยหมดแล้วขอรับ” หลิงอีหยิบเอาจดหมายลับที่มีคราบฝุ่นออกมาจากแขนเสื้อ “นายท่าน นี่เป็นข่าวจากหลิงเอ้อ ขอท่านลองอ่านดู”
หวงฝู่จี้เปิดจดหมายออกอ่านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าไปบอกหลิงซานว่าให้ลงมือคืนนี้”
“ขอรับ”
หวงฝู่จี้มองบานประตูที่ปิดสนิทอีกครั้ง “หลิงอี ส่งข่าวกลับไปที่เมืองหลวง ให้คนตรวจสอบเรื่องอนุภรรยาสกุลเผยถูกไล่ออกจากจวนแม่ทัพด้วย”
นายท่านไม่เคยสอดมือไปยุ่งกับครอบครัวของผู้ใดมาก่อน แต่ครั้งนี้กลับให้คนตรวจสอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ? หลิงอีรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร นอกจากรับคำสั่ง “ขอรับ ข้าจะรีบส่งพิราบสื่อสารไปให้ทำการตรวจสอบเดี๋ยวนี้”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
สามารถอ่านบทอื่นๆได้ที่ >> บทที่ 1 – บทที่ 3 | บทที่ 4 – บทที่ 6 |
Comments
comments