บทที่ 1
ไม่นานมานี้แคว้นต้าฉินมีเรื่องน่ายินดี
เยี่ยเจา แม่ทัพเจิ้นเป่ย (แม่ทัพพิทักษ์เหนือ) ทำสงครามนานนับแปดปี ในที่สุดก็ตีเมืองหลวงของชาวหมานตะวันตก* แตก ล้างอายที่เคยตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ไม่เพียงชิงดินแดนกลับคืนมา ยังบีบให้อีกฝ่ายสวามิภักดิ์เป็นข้ารับใช้
เมื่อข่าวดีแพร่สะพัดมาถึงก็สร้างความปลาบปลื้มยินดีไปทั่วเมืองหลวง บรรดาขุนนางบุ๋นบู๊พากันแซ่ซ้องสดุดี หมายยกย่องเทิดทูนแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ให้เป็นวีรบุรุษอันดับหนึ่งในใต้หล้ากันจนแทบรอไม่ไหว จักรพรรดิแห่งต้าฉินเร่งแต่งตั้งเยี่ยเจาขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองทัพใต้หล้า และมีคำสั่งให้ยาตราทัพกลับมารับบำเหน็จรางวัล
ไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะมีม้าเร็วถือสารมาถวาย ความว่า…
แม่ทัพเจิ้นเป่ยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและขอพระราชทานอภัยกราบทูลด้วยความสัตย์ว่าตนเป็นสตรี
ข่าวนี้ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงไปทั่วแคว้น เซ็งแซ่ไปทั้งแผ่นดิน ครั้นจักรพรรดิได้สดับยังถึงกับเผลอพ่นชาโสมใส่ซ่งกุ้ยเฟย** ผู้เป็นอัครชายาจนเปียกเปื้อนไปทั้งกาย
หากจะกล่าวถึงสกุลเยี่ยนี้ถือเป็นตำนานเล่าขานบทหนึ่ง นับแต่สถาปนาแคว้นต้าฉินขึ้นก็รับราชการทหารสืบกันมาทุกรุ่น พลีชีพเพื่อชาติไปแล้วทั้งสิ้นสิบสามคน เป็นตระกูลที่มีความซื่อสัตย์ภักดีต่อชาติอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เจิ้นกั๋วกง*** (กั๋วกงพิทักษ์แผ่นดิน) แก่ผู้นำตระกูล
แปดปีก่อนชาวหมานจินผู้นำในแถบหมานตะวันตกเข้ามารุกราน เข่นฆ่าเผาผลาญปล้นสะดม ตีหัวเมืองที่ภูเขาเฮยซานแตกไปสิบแปดเมืองติดต่อกัน ในครั้งนั้นเยี่ยจง แม่ทัพใหญ่ผู้แกล้วกล้าตั้งมั่นรักษาการณ์อยู่ที่โม่เป่ย**** รับพระราชโองการรี้พลสามสิบหมื่นออกสู้ศึก ก่อนออกเดินทางจักรพรรดิยังพระราชทานงานเลี้ยงที่หอป่าหยกพราว อีกทั้งพระราชทานป้ายเหล็กอักษรแดง* และแผ่นจารึกจิตภักดิ์ตอบแผ่นดิน** ให้เขา
เยี่ยเจา บุตรชายคนเล็กของเยี่ยจงในยามนั้นมีอายุเพียงสิบหกปีก็อาสาเป็นแนวหน้านำทัพไปต่อสู้ พากองทหารม้าเกราะเหล็กห้าพันใช้อุบายแยบยลเข้าต่อตีทัพใหญ่สองหมื่นของหมานจินจนแตกพ่าย จับกุมฮูฮูเทียเอ่อร์ ขุนศึกของหมานจินเป็นเชลย เมืองหลวงได้รับข่าวชัยชนะก็ยินดียกใหญ่ แต่งตั้งเยี่ยเจาเป็นนายกองตรวจการเจิ้นเวย (นายกองตรวจการเหิมหาญ) ทว่าเยี่ยจงผู้เป็นบิดากลับปฏิเสธ
* หมาน แปลว่าป่าเถื่อน โหดร้าย ชาวจีนใช้เป็นคำเรียกชนเผ่าในเชิงเหยียดหยาม ซึ่งชนกลุ่มน้อยส่วนใหญ่มักอยู่ทางใต้ของดินแดนภาคกลาง จึงมักเรียกว่าหมานใต้ (หนานหมาน) แต่บางยุคบางสมัยก็มีหมานตะวันตก (ซีหมาน) และหมานตะวันออก (ตงหมาน)
** ลำดับศักดิ์ของสตรีในวังสมัยโบราณ โดยทั่วไปเรียงตามลำดับดังนี้ หวงโฮ่วหรือฮองเฮา (อัครมเหสี) ถือเป็นประมุขของฝ่ายใน แต่ในรัชกาลหนึ่งอาจไม่แต่งตั้งใครขึ้นเป็นก็ได้ รองลงมาคือกุ้ยเฟย (อัครชายา) ชายาชั้นเฟย (ราชชายา) เจ้าจอมชั้นผิน (พระสนมเอก) เจ้าจอมชั้นกุ้ยเหริน (พระสนม) รองจากนั้นคือนางกำนัลและนางในทั่วไปซึ่งแบ่งชั้นและมีคำเรียกแตกต่างกันตามยุคสมัย
*** กั๋วกง บรรดาศักดิ์ในสมัยโบราณ เป็นตำแหน่งซึ่งกษัตริย์แต่งตั้งให้เชื้อพระวงศ์หรือผู้มีความชอบ บรรดาศักดิ์ห้าขั้นรองจากชั้นอ๋องคือ กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน ซึ่งแต่ละสมัยมีคำเรียกและลำดับแยกย่อยต่างกัน กั๋วกงถือเป็นขั้นหนึ่ง เป็นขั้นสูงสุดในลำดับกง (กงเจวี๋ย)
**** โม่เป่ย คำเรียกทะเลทรายทางเหนือของที่ราบสูงมองโกเลีย
* ป้ายเหล็กอักษรแดง ชาวจีนทั่วไปรู้จักในนาม ‘ป้ายทองเว้นโทษตาย’ บ้างเป็นแผ่นโค้งอย่างกระเบื้อง บ้างเป็นทรงคล้ายปล้องไผ่ผ่าครึ่ง เป็นของที่จักรพรรดิพระราชทานให้ผู้มีคุณูปการแก่บ้านเมือง
** แผ่นจารึกจิตภักดิ์ตอบแผ่นดิน เป็นป้ายทำจากโลหะหรือไม้ที่สลักตัวอักษรคำว่า ‘จิตภักดิ์ตอบแผ่นดิน’ ใช้แขวนประดับเหนือประตูหรือบนผนังเพื่อประกาศเกียรติคุณว่าเป็นผู้เสียสละทุกสิ่งเพื่อแผ่นดิน
ต่อมาเยี่ยเจานำกองทหารม้าสองพันลอบจู่โจมเมืองฉยงโจวยามดึก เผาเสบียงของหมานจินและตัดเส้นทางถอยหนี เมืองหลวงได้รับข่าวชัยชนะก็ยินดียกใหญ่ แต่งตั้งเยี่ยเจาเป็นขุนพลโหยวจี (ขุนพลตระเวนรบ) ทว่าเยี่ยจงก็ปฏิเสธอีก
ภายหลังเยี่ยเจานำทัพสองหมื่นตั้งรับประจัญบานกลางทุ่งหญ้า สังหารข้าศึกไปสองพันกว่าคน จับเชลยศึกได้ถึงสามพันคน เป็นการชนะสงครามครั้งยิ่งใหญ่ เมืองหลวงได้รับข่าวชัยชนะก็ยินดียกใหญ่ แต่งตั้งเยี่ยเจาเป็นแม่ทัพจงอู่ (แม่ทัพยุทธ์ภักดี) ทว่าเยี่ยจงก็ยังคงปฏิเสธพระมหากรุณาธิคุณ ทั้งยังถวายสารกราบทูลว่าชั่วชีวิตนี้เยี่ยเจาไม่ปรารถนาเป็นขุนนาง
โอรสสวรรค์กริ้ว ออกพระราชสาส์นตำหนิติเตียนเยี่ยจง เยี่ยจงจึงต้องสนองพระราชโองการอย่างจนใจ
หนึ่งปีหลังจากนั้นชาวหมานจินรวมตัวกับแปดชนเผ่าในเขตแดนใกล้เคียงวางกำลังซุ่มโจมตี หวังซั่นสุ่ย นายทัพของต้าฉินติดกับ ปราชัยย่อยยับ เยี่ยจงเป็นผู้รักษาด่าน ถูกธนูยิงสิ้นใจตาย บุตรชายคนโตเยี่ยสยงและบุตรชายคนรองเยี่ยเจี๋ยจบชีวิตกลางสนามรบ ชาวหมานจินเข่นฆ่าล้างเมือง ฮูหยินของเยี่ยจงไม่ยอมถูกย่ำยี ปลิดชีพตัวเองอยู่ในเมืองนั่นเอง
แผ่นดินโกลาหล หน้าด่านแจ้งข่าวสถานการณ์คับขัน เร่งเร้าทางเมืองหลวงไม่หยุด เยี่ยเจาได้รับบัญชาท่ามกลางวิกฤต แต่งตั้งเป็นแม่ทัพเจิ้นเป่ยยกพลออกรบเพื่อสานต่อปณิธานบิดา นำกองทหารม้าเกราะเหล็กสามพันลอบจู่โจมทัพใหญ่นับสิบหมื่นของหมานจิน บุกตะลุยสู่ฐานที่มั่นข้าศึกเพียงลำพัง ฆ่าคนไปหลายพันคน เด็ดศีรษะถ่าถั่น นายทัพกระเดื่องนามของหมานจิน จากนั้นใช้กลศึกรุกแล้วถอยสามครั้งสามคราจนกองทัพข้าศึกได้ยินชื่อก็ขวัญผวา กระทั่งกษัตริย์แห่งหมานจินต้องถอยร่นไปร้อยลี้
ต่อมาเยี่ยเจาย้อนไปยังเมืองกานตู รวบรวมกำลังทหารม้าสามหมื่นจัดกระบวนทัพกลับไปปราบปรามด้วยการโจมตีอย่างไม่ให้ทันตั้งตัวครั้งแล้วครั้งเล่า บดขยี้กองทหารของหมานจินเป็นระลอก โลหิตไหลนองดั่งสายน้ำจนเขาได้รับฉายาว่า ‘พญายมแห่งแดนดิน’ แม้แต่ในชาวหมานจินยังมีเพลงพื้นบ้านขับขานแพร่ออกไป
พญายมเยี่ยมกราย ทะเลทรายแดงฉาน ชายหนุ่มโม่เป่ยกลายเป็นโครงกระดูก เด็กน้อยโม่เป่ยร่ำไห้ทุกค่ำคืน
“ไฉนคนพรรค์นี้ถึงเป็นสตรีไปได้”
จักรพรรดิถือสารอ่านซ้ำไปซ้ำมานับสิบรอบ เพียรพยายามเสาะหาร่องรอยพิรุธว่าเป็นฝีมือปลอมแปลงของชาวหมานจิน หากแต่คำตอบที่ได้ทำให้สลดใจแทบน้ำตาริน พระองค์จึงส่งสารไปถามผู้เฒ่าเยี่ยวัยเก้าสิบแปดแห่งคฤหาสน์เจิ้นกั๋วกง
ผู้เฒ่าเยี่ยความจำเลอะเลือนมานานปี กวัดแกว่งไม้เท้าอย่างฮึกเหิมลำพองพร้อมแผดเสียงลั่น
“สกุลเยี่ยไม่มีลูกสาว! มีแต่ลูกชายไร้ดุ้น!”
เฮ้อ…เยี่ยเจาเป็นหญิงจริงๆ ให้ตายสิ
จักรพรรดิถอดใจ บรรดาขุนนางบุ๋นบู๊ก็ถอดใจ
จะทำอย่างไร เสียงถกเถียงดังอึงอล ราตรีนั้นจักรพรรดิหารือกับพระพันปีอยู่ในตำหนักในด้วยเรื่องใดก็สุดรู้
วันรุ่งขึ้นจักรพรรดิไม่ฟังเสียงคัดค้านใดๆ ก็ตบโต๊ะชี้ขาด ซ้ำยังร่ายกลอนสรรเสริญคุณงามความดีของเยี่ยเจาด้วยพระองค์เอง จากนั้นมีบัญชาให้นางคุมเชลยศึกกลับเมืองหลวงและแต่งตั้งนางเป็นเซวียนอู่โหว* (โหวเกริกไกร) ผู้บัญชาการกองทัพใต้หล้า อยู่ประจำการเมืองหลวง ควบคุมกองทหารยี่สิบหมื่นพร้อมปูนบำเหน็จอีกมากมาย
* โหว เป็นบรรดาศักดิ์ในสมัยโบราณ มีลำดับศักดิ์รองจาก ‘กง’ ซึ่งเป็นยศสูงสุดของขุนนาง
ฝ่ายพระพันปีก็มีพระราชเสาวนีย์แต่งตั้งซย่าอวี้จิ่น โอรสคนรองของอดีตอันอ๋อง (อ๋องสันติ) เป็นหนานผิงจวิ้นอ๋อง** (จวิ้นอ๋องใต้สงบ) และยกเยี่ยเจาให้เป็นชายาเอกของเขา ทำให้คนทั้งแผ่นดินต้องตกตะลึงอีกครั้ง
ซย่าอวี้จิ่นผู้นี้ก็เป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองหลวง ตลอดชีวิตมีสามเรื่องซึ่งเป็นที่โจษจันกันอย่างสนุกปากของชาวเมือง
เรื่องแรกคือร่างกาย ซย่าอวี้จิ่นกำพร้าบิดาตั้งแต่เยาว์วัย อ่อนแออมโรค เกือบเอาชีวิตไม่รอดหลายครั้ง ท่านราชครูกล่าวว่าดวงชะตาของเขาขาดผู้อุปถัมภ์ มารดาจึงให้เขารับบุตรสาวของขุนนางขั้นเจ็ดที่เกิดจากอนุภรรยาอันมีดวงชะตาของผู้มีวาสนามาเป็นอนุภรรยาเพื่อแก้เคล็ดเสริมมงคล กระนั้นก็ไร้ประโยชน์ ต่อมามีนักพรตพเนจรรูปหนึ่งจากที่ใดก็สุดรู้มาขอพบ สอนวิธีหายใจฝึกลมปราณและมอบยาทิพย์ให้ อาการของเขาจึงดีขึ้นราวกับปาฏิหาริย์
เรื่องที่สองคืออุปนิสัย วรชายาอันไท่เฟย ชายาอดีตอันอ๋องสูญเสียสามีตั้งแต่ยังสาว นางจึงรักเอ็นดูบุตรชายคนเล็กเป็นที่สุด ทั้งยังสงสารที่เขาร่างกายอ่อนแอ ตามอกตามใจตลอดจนบ่มเพาะนิสัยใจกล้าบ้าบิ่นไม่เกรงใครหน้าไหน วันๆ เกลือกกลั้วอยู่แต่กับพวกสำมะเลเทเมา หยิบโหย่งจับจด ทั้งชนไก่ กัดจิ้งหรีด จับสุนัขสู้กัน พนันแข่งม้าแข่งแมว ทอยลูกเต๋า เป็นลูกค้าประจำของหอคณิกา เป็นยอดของคุณชายจอมเสเพล นอกจากเที่ยวเล่นแล้วไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น ทำมาแล้วทุกสิ่งยกเว้นเรื่องเป็นงานเป็นการ
เรื่องที่สามคือรูปโฉม ทั้งที่เขาเป็นยอดบุรุษขนานแท้ เขากลับมีใบหน้าสวยงามปานจะล่มบ้านล่มเมืองจนยากพรรณนา ที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงที่สุดเห็นจะเป็นตอนเขาไปเที่ยวชมเรือนลมชื่น หอชายบำเรอเลื่องชื่อที่สุดของเมืองหลวงเป็นครั้งแรก เศรษฐีนักเดินเรือไม่รู้ฐานะของเขา ตะลึงนึกว่านางสวรรค์จำแลงกายมา ยอมทุ่มเทเงินทองคราวเดียวนับพันชั่ง จะใช้ไข่มุกสิบโต่ว*** ไถ่ตัวเขาให้ได้จนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น เขาตกใจจนเสียขวัญ ยกนิ้วชี้ฟ้าลั่นคำสาบาน ชั่วชีวิตนี้เขาจงเกลียดจงชังเทพกระต่าย**** เป็นที่สุด จะไม่มาเหยียบหอชายบำเรออีกแม้แต่ครึ่งก้าว
ชื่อเสียงฉาวโฉ่ส่งผลให้การแต่งงานซย่าอวี้จิ่นถูกผัดผ่อนเรื่อยมาจนกระทั่งอายุยี่สิบสองปีเข้าไปแล้ว ได้ลงเอยกับเยี่ยเจาซึ่งย่างเข้าวัยยี่สิบสี่ ประสบความสำเร็จในการกระทำตัวเยี่ยงบุรุษเป็นอันมาก หากแต่ชื่อเสียงในการเป็นสตรีไม่ค่อยดีนักเช่นกัน เป็นคู่ที่สมน้ำสมเนื้อกันพอดี
พระพันปีพอพระทัยอย่างยิ่ง จักรพรรดิก็พอพระทัย เหล่าชายาและฮูหยินของท่านอ๋อง จวิ้นอ๋อง กั๋วกง และท่านโหวก็พึงพอใจ เหล่าบุตรชายของท่านอ๋อง จวิ้นอ๋อง กั๋วกง และท่านโหวที่ยังมิได้แต่งงานยิ่งชอบใจ มีเพียงคนในวังอันอ๋องเท่านั้นที่โศกาอาดูรกันถ้วนหน้าเมื่อได้รับข่าวร้ายนี้
วรชายาอันไท่เฟยสวมเสื้อคลุมยาวผ่าหน้าลายบงกชมัจฉา เครื่องประดับเงินขาวพิสุทธิ์สั่นไหวอยู่บนศีรษะ นางกอดซย่าอวี้จิ่นซึ่งตัวแข็งทื่อเป็นหุ่นไม้ไว้ในอ้อมอก คร่ำครวญอย่างคับแค้นใจ
“ลูกแม่ช่างอาภัพนัก ไยเจ้าต้องมารับเคราะห์ด้วย ภรรยาพรรค์นี้จะอยู่ร่วมชายคาเดียวกันได้อย่างไร”
ซย่าอวี้เชวี่ย อันอ๋องคนปัจจุบันลากขาที่ได้รับบาดเจ็บมาตั้งแต่เยาว์วัยเดินกะเผลกๆ เข้ามากล่าวปราม
** จวิ้นอ๋อง เป็นยศรองจากตำแหน่งชินอ๋อง (อ๋อง) โดยมากมักเป็นทายาทของชินอ๋องซึ่งเป็นพระราชโอรส พระเชษฐา หรือพระอนุชาของจักรพรรดิ
*** โต่ว เป็นหน่วยตวงวัดของจีน 1 โต่ว มีปริมาตรประมาณ 10 ลิตร
**** ชาวจีนมีตำนานเล่าถึงเทพกระต่ายว่าเป็นเทพวีรบุรุษที่เทพีฉางเอ๋อแห่งจันทราส่งมารักษาโรคระบาด โดยจำแลงกายเป็นหญิงงามมายังโลกมนุษย์เพื่อระลึกถึงบุญคุณของเทพกระต่าย ชาวเมืองจึงปั้นรูปเคารพเป็นกระต่ายหูยาวใส่ชุดขุนพล ทั้งยังเป็นตุ๊กตาสำหรับเซ่นไหว้พระจันทร์สำหรับผู้หญิง แต่ต่อมากลับกลายเป็นคำเรียกชายบำเรอ
“พระพันปีตรัสว่าเซวียนอู่โหวมีฐานะสูงศักดิ์สุดจะเปรียบ มิใช่อาแมวอาหมาที่ไหนจะมาทาบทามสู่ขอได้ การแต่งงานนี้อัครมเหสีก็ช่วยเลือกสรรให้ กระทั่งซ่งกุ้ยเฟยก็ไม่คัดค้าน บัดนี้มีพระราชเสาวนีย์ออกมาแล้ว เรื่องตบแต่งเยี่ยเจาเป็นภรรยานั้นต้องเกิดขึ้นแน่นอน ท่านแม่ทำตามพระราชเสาวนีย์จะดีกว่า”
วรชายาอันไท่เฟยถลึงตาใส่เขา
“พวกนางล้วนรักลูกของตัวเอง ไม่ยินยอมรับพญายมแห่งแดนดินผู้นี้ไปเป็นสะใภ้ จนปัญญาที่ท่านพ่อเจ้าล่วงลับไปแล้ว ส่วนเจ้าก็ขาเป๋@@@เข้าร่วมประชุมขุนนางไม่ได้ คำพูดของพวกเราถึงได้ไร้น้ำหนัก กลายเป็นมะพลับนิ่ม* ให้ผู้อื่นบีบเค้น สงสารก็แต่อวี้จิ่นของข้า@@@”
ซย่าอวี้เชวี่ยก้มหน้าเป็นเชิงเห็นพ้องด้วย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าเป็นเพราะเสียงเล่าลือถึงน้องชายย่ำแย่เหลือทนต่างหากถึงไม่มีใครอยากช่วยเหลือ พระพันปีก็ชอบเป็นแม่สื่อแม่ชัก การที่น้องชายถูกจับใส่ตะกร้าล้างน้ำ ใช้เป็นเครื่องสังเวยอุดช่องโหว่ในยามนี้ เขาก็นึกสมน้ำหน้าเช่นกัน ครั้นคิดไปถึงอีกว่ามารดามีใจลำเอียงเสมอมา เขายิ่งลอบสาแก่ใจอยู่สามส่วน
เขาทำทีทอดถอนใจยาวแล้วอ้าปากเอ่ยขึ้น
“เยี่ยเจาเป็นทหารนานปี กลับไม่มีผู้ใดจับได้ว่าเป็นสตรี เห็นทีจะต้องมีเรือนร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เอวหนา ไหล่กว้าง คิ้วหนาตาดุกระมัง”
“ไม่@@@ข้าไม่แต่ง”
ซย่าอวี้จิ่นทำหน้าบึ้งขึ้นหลายส่วน ทว่าซย่าอวี้เชวี่ยยังคงกล่าวสืบไป
“เป็นพระราชเสาวนีย์ของพระพันปี เจ้าจะไม่แต่งได้อย่างไร แม้ข้าจะได้ยินมาว่านางฆ่าคนตาไม่กะพริบ คำเดียวไม่ถูกหูก็สังหารทิ้ง มีเชลยศึกนับพันคนถูกเข่นฆ่าล้มตายเป็นเบือ ถลกหนังคนเป็นๆ ดื่มโลหิตสดๆ แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นสามีนาง หลังจากแต่งเข้ามาในตระกูลเราแล้วนางจะต้องวางตัวเป็นกุลสตรี ตั้งใจเรียนรู้ว่าการเป็นภรรยาทำกันอย่างไร ความป่าเถื่อนดุร้ายก็จะลดน้อยถอยลงไปเอง ฉะนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก”
สีหน้าของซย่าอวี้จิ่นง้ำงอด้วยความไม่พอใจ
อันที่จริงใครๆ ล้วนเคยได้ฟังคำโจษขานน่ากลัวต่างๆ นานาของเยี่ยเจามาแล้ว มีบางครั้งพวกชาวเมืองยังใช้เป็นคำขู่ขวัญเด็กอีกด้วย หยางซื่อ** อนุภรรยาของเขาที่ท่าทีเยือกเย็นมาตลอดถึงกับริมฝีปากขาวซีด ขณะที่เมียบ่าวทั้งสองตกใจกลัวจนละความตั้งใจที่จะประจบประแจงขอพึ่งบารมีไปนานแล้ว พวกนางกอดขาเขาร้องไห้โวยวายอยากมีชีวิตอยู่
ซย่าอวี้จิ่นแค่นยิ้ม
“เหมยเหนียง เจ้าพูดว่านอกจากหัวใจข้าแล้วไม่ต้องการสิ่งอื่นใด วันหน้าจะตั้งใจปรนนิบัติรับใช้นายหญิงน้อยมิใช่หรือ”
เหมยเหนียงสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
“ข้ายั่วยวนท่านเป็นความผิดของข้าเอง ข้าสำนึกตัวแล้ว ท่านก็เห็นแก่ที่ข้าปรนนิบัติท่านมาแต่เล็กแต่น้อย โปรดเมตตาปรานีด้วย ต่อให้ขับไล่ข้าออกไปแต่งงานกับเจ้าหน้าปรุหวงเอ้อร์ที่เรือนบ่าวชั้นเลวก็ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ”
เขาแค่นยิ้มอีก
* มะพลับนิ่ม อุปมาถึงคนที่อ่อนแอไร้อำนาจ ต้องตกเป็นเบี้ยล่างถูกคนอื่นข่มเหงรังแก
** ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่า ‘ซื่อ’ (แปลว่านามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดขึ้นก็มี
“เซวียนเอ๋อร์ เจ้าพูดว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับข้า ถึงตายไปแล้วก็จะอยู่ด้วยกันมิใช่หรือ”
เซวียนเอ๋อร์ขวัญหนีดีฝ่อ
“ขะ…ข้าเป็นนางจิ้งจอกหน้าไม่อาย! ท่านเฆี่ยนตีข้าสักตั้งแล้วลากตัวออกไปขายได้เลย ขายไปที่ใดก็ได้ทั้งนั้น ละเว้นชีวิตข้าด้วยเถอะ หากข้ายั่วโมโหนายหญิงน้อยเข้า เกิดนางบอกว่าอยากถลกหนังขึ้นมา ถึงกับลงมือเองเชียวนะเจ้าคะ”
ซย่าอวี้จิ่นปัดมือพวกนางออกอย่างแรงแล้วผลุนผลันวิ่งออกไป
ครู่หนึ่งแว่วเสียงน้ำดังตูม หญิงรับใช้สูงวัยตะโกนลั่น
“ช่วยด้วย! นายน้อยกระโดดลงทะเลสาบไปแล้ว!”
รัชสมัยเต๋อจงปีที่เก้า ฤดูหนาว
บนถนนในเมืองหลวงที่ถูกกวาดจนสะอาดสะอ้านมีละอองหิมะทับถมกันเป็นชั้นบางๆ ราษฎรสวมใส่อาภรณ์หนาเทอะทะยืนออกันเต็มสองข้างทาง ชะเง้อชะแง้รอคอยอะไรบางอย่าง ม้าเร็วส่งข่าวควบผ่านกลางถนนไปตัวแล้วตัวเล่า องครักษ์หลวงตะโกนเสียงดังโหวกเหวก กว่าจะยับยั้งฝูงชนที่เบียดเสียดยัดเยียดกันจนชุลมุนวุ่นวายได้ก็สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปไม่น้อย
วิถีชีวิตของชาวต้าฉินค่อนข้างจะผ่อนคลาย ธรรมเนียมชายหญิงไม่ใกล้ชิดกันก็ไม่นับว่าเข้มงวดนัก สตรีฐานะยากจนสามารถติดตามบิดามารดาหรือสามีออกมาร่วมวงมุงดูได้ ส่วนสตรีในตระกูลมั่งมีที่ใจกล้าก็จะคลุมหน้าออกจากบ้าน นั่งอยู่ตามชั้นบนของร้านน้ำชาหรือหอสุรา พูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันขณะตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอดูอยู่ไกลๆ
“มาแล้ว ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าม้าแล้ว”
“แม่ทัพเยี่ยจะมาแล้ว”
“นางตัวดี! อย่าผลักสิ! ข้าจะตกลงไปอยู่แล้ว!”
บรรดาสตรีผลักหน้าต่างเปิดแล้วชะเง้อคอออกไปด้วยความตื่นเต้นคึกคัก ด้วยล้วนอยากเห็นยอดสตรีอันดับหนึ่งในใต้หล้า แม่ทัพหญิงคนแรกของราชวงศ์ให้เป็นบุญตา
เสียงฝีเท้าม้าก้องกระหึ่มพร้อมเพรียงกันดังใกล้เข้ามา เบื้องหน้าธงขนาดใหญ่สีเหลืองกระจ่างตาสองผืนเคลื่อนมาใกล้ ผืนหนึ่งปักลายสัญลักษณ์มังกร อีกผืนปักตัวอักษรคำว่าต้าฉิน จากนั้นตามมาด้วยธงสีดำอีกสองผืน ผืนหนึ่งปักลายสัญลักษณ์พยัคฆ์ อีกผืนปักตัวอักษรคำว่าเยี่ย
ธงทิวปลิวไสวอย่างสง่างามท้าแรงลม นำหน้ากรงสองกรงซึ่งมีกษัตริย์กับรัชทายาทแห่งหมานจินถูกขังอยู่ในนั้น
เนื่องจากอากาศหนาวเหน็บ พวกเขายังคงสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ดังเดิม มิได้ให้เปลือยกายแบกหนาม* เพียงถูกป้ายสีสันต่างๆ บนใบหน้าและเสียบหญ้าแห้งสองสามก้านบนศีรษะให้อยู่ในสภาพชวนขบขันตามธรรมเนียมส่งมอบตัวเชลยศึกเท่านั้น
ชาวหมานจินย่ำยีสตรีและปล้นสะดมที่ชายแดนมานานหลายปี สร้างความเกลียดชังหยั่งรากลึกในใจชาวต้าฉิน บัดนี้ความแค้นอันใหญ่หลวงได้รับการสะสางแล้ว ราษฎรตบมือโห่ร้องอย่างรื่นเริงและปาหินใส่เชลยศึกเหล่านี้กันเป็นที่สนุกสนาน
* แบกหนาม มาจากสำนวนเต็มว่า ‘แบกหนามรับผิด’ มีที่มาจากสมัยจั้นกั๋ว เหลียนโพแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเจ้าตั้งแง่อิจฉาลิ่นเซียงหรูขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่อีกฝ่ายคอยแต่หลบฉาก ยอมลงให้อย่างให้เกียรติและเพื่อความมั่นคงของแผ่นดิน ภายหลังเหลียนโพรู้ความจริงจึงสำนึกผิดถอดเสื้อแล้วพันตัวด้วยกิ่งหนามมาขอขมาเพื่อชดใช้ความผิด
ต่อจากนั้นคือขบวนกองทหารม้าประจัญบานแปดร้อยภายใต้บังคับบัญชาของเยี่ยเจาตามประกบติดอยู่เบื้องหลัง ทั้งหมดสวมชุดเกราะทองแดงสีเดียวกัน ควบขี่อาชาพ่วงพี เรียงแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย สีหน้าขึงขัง สายตามองตรงไปเบื้องหน้า เว้นแต่เสียงแผ่วเบายามกระบี่กระทบเครื่องประดับอานม้าแล้วไม่มีใครส่งเสียงใดออกมาเลย
เหล่าสตรีกวาดตามองไปทางแม่ทัพกลางวงล้อมของกองทหารม้าประจัญบานพลางถกเถียงและคาดเดากันดังเจื้อยแจ้วไม่หยุด
“คนใดคือเยี่ยเจา คนที่ขี่ม้าสีเลือดนกทางซ้ายนั่นกระมัง ดูแล้วคล้ายเป็นแม่ทัพ”
“ปัดโธ่! เจ้าตาบอดหรือไร ถึงเยี่ยเจาจะดูเหมือนบุรุษปานใดก็คงไม่ถึงขั้นมีหนวดเครา”
“เจ้าอ้วนทางขวา?”
“ขี้ริ้วเกินไปกระมัง”
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา กองทหารม้าประจัญบานแยกแถวออกเป็นซ้ายขวาอย่างฉับไว เปิดทางโล่งสายเล็กไว้ตรงกลาง
อาชาสีขาวสูงใหญ่ห้อยพู่สีแดงตรงคอและผูกอานสีเงินตัวหนึ่งห้อตะบึงมา บนหลังของมันมีร่างสูงระหงร่างหนึ่งในชุดเกราะโซ่เหล็กประดับแผ่นเงินลายหน้าสัตว์ป่า สวมหมวกเกราะเงินยอดเก้าคดติดขนนก สะพายดาบปลายแหลมเล่มใหญ่ไว้ข้างเอว แผ่นหลังเหยียดตรง ดูแข็งแรงปราดเปรียวไปทุกอิริยาบถ
นางเร่งฝีเท้าม้ามาหยุดอยู่หน้าแถวทหารอย่างรวดเร็ว อาชาของนายทัพคนอื่นพากันขยับถอยหลังไปครึ่งก้าว ใบหน้าฉายแววเคารพนอบน้อม
พริบตาเดียวทุกคนก็สิ้นสงสัย แม่ทัพผู้งามสง่าและองอาจผึ่งผายคนนี้คือเยี่ยเจานั่นเอง
รอบด้านตกอยู่ในความเงียบสงบครู่หนึ่งก่อนที่เสียงจ้อกแจ้กจอแจจะดังระงมยิ่งขึ้น
เนื่องจากวันนี้หิมะตก ท้องฟ้าครึ้มสลัว คนที่ยืนอยู่ชั้นบนมองลงไปจึงเห็นไม่ชัดเจนด้วยถูกเงามืดบดบังสายตา ครั้นเห็นชาวเมืองที่มุงดูบนถนนกระซิบกระซาบข้างหูกันอย่างตื่นเต้นก็พาให้ร้อนอกร้อนใจอย่างยิ่ง สตรีใจกล้าผู้หนึ่งแอบปลดพู่เชือกถักเงื่อนสมปรารถนารูปปลาคู่เงินที่เอวออกมา แล้วทำ ‘หลุดมือ’ หล่นลงไปที่ถนน ตกอยู่ข้างๆ ม้าของเยี่ยเจาพอดิบพอดี
เสียงแส้สะบัดขวับ พู่เชือกถักถูกตวัดเกี่ยวขึ้นมาประหนึ่งพญางูตัวอ่อนพลิ้ว
เยี่ยเจาถือแส้แหงนศีรษะมองไปทางเรือนตึกข้างทาง ประจวบเหมาะกับที่แสงอาทิตย์เจิดจ้าลำหนึ่งแทงลอดม่านฟ้าขมุกขมัวลงมา ฝ่าผ่านเกล็ดหิมะลอยละล่องส่องกระทบใบหน้านาง
จะบรรยายรูปโฉมนี้เช่นไรดี…เล่าลือกันว่าบรรพบุรุษของเจิ้นกั๋วกงมีสายเลือดชาวหู* หลายส่วน เยี่ยเจาจึงมีรูปหน้าคมคายสมส่วนอย่างยิ่ง นางเดินทางสมบุกสมบันทำสงครามไปทั่วทุกที่เป็นเวลานาน ผิวกายกรำแดดจนคร้ามเข้มเนียนกระจ่างดุจสีน้ำผึ้ง ใต้คิ้วเข้มคือนัยน์ตาเย็นเยียบสีอ่อนใสคล้ายลูกแก้ว แฝงไว้ด้วยความเฉียบคมราวกับมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่างได้ จมูกโด่งงาม ริมฝีปากบางเม้มแน่น ลักษณะท่าทางสมเป็นชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทั่วทั้งสรรพางค์กายหาความเป็นหญิงไม่พบแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว ละม้ายคล้ายบุรุษในฝันของสาวน้อยวัยแรกรักครึ่งหนึ่งของต้าฉิน
นางตวัดมือเบาๆ ปลายแส้ยาวก็วาดเป็นวงสวยงามอย่างคล่องแคล่วว่องไวปานเหยี่ยวถลาโฉบเหยื่อ พู่เชือกถักเหินข้ามศีรษะกลุ่มคนที่เบียดเสียดกันไปมา พุ่งแหวกอากาศไปตกลงในอ้อมแขนเจ้าของอย่างแม่นยำ
* ชาวหู เป็นคำที่คนจีนในสมัยโบราณใช้เรียกชนเผ่าต่างๆ ในแถบมองโกเลีย
สตรีผู้นั้นนึกละอายใจอยู่บ้าง ขณะกำลังจะก้มศีรษะลงกลับแลเห็นมุมปากของเยี่ยเจายกยิ้มบางๆ แทบสังเกตไม่เห็น ทำให้นางนิ่งงันไปทั้งร่าง
จะบรรยายรอยยิ้มนี้เช่นไรดี…ประหนึ่งฤดูใบไม้ผลิคืนสู่ปฐพี ภูเขาน้ำแข็งละลายกลางแดดจ้า รวมตัวเป็นธารน้ำไหลระรินที่งดงามดุจภาพวาด ละม้ายคล้ายบุรุษในฝันของสาวน้อยวัยแรกรักอีกครึ่งของต้าฉิน
สตรีทุกนางจับจ้องร่างบนอาชาสีขาวเขม็ง หมายเพียงอยากส่งสายตาหยาดเยิ้มพิฆาตใจแม่ทัพใหญ่ให้ได้ประเดี๋ยวนั้นจนแทบทนรอไม่ไหว
เสียงฝีเท้าม้าห่างออกไปทุกขณะ สะท้อนก้องดังแว่วอยู่ไกลๆ เนิ่นนาน
ในที่สุดเหล่าผู้รอดูอยู่ก็คลายความตื่นเต้นในทีแรกลงได้ พวกเขาชงชากันคนละกาสองกาแล้วต่างคนต่างซุบซิบนินทา
พวกสตรีเยินยอเยี่ยเจาว่าเป็นคู่ครองแสนเลอเลิศจากแดนสวรรค์ที่หาไม่พบในใต้หล้า นึกชังที่สวรรค์ไร้ตา สลับสับเปลี่ยนหยางเป็นหยิน ชาตินี้คงไร้วาสนาแล้ว ฝ่ายบุรุษ นอกจากพวกที่มีใจเสน่หาในบุรุษด้วยกันแล้ว ต่างแค่นเสียงขึ้นจมูกเป็นเชิงเยาะเยี่ยเจาและเอ่ยอย่างชอบใจในคราวเคราะห์ของผู้อื่น
“ตลอดชีวิตของหนานผิงจวิ้นอ๋องชิงชังเรื่องบุรุษชมชอบบุรุษเป็นที่สุด ร่างกายก็อ่อนแอราวกับจะปลิวลม ส่วนเซวียนอู่โหวเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ไม่เป็นสองรองใครในแผ่นดิน ทั้งรูปโฉมก็@@@สง่าห้าวหาญเช่นนี้ เกรงว่าคงเป็นเรื่องยากที่สามีภรรยาจะรักใคร่กลมเกลียวกัน”
“ฮะ พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันก็ไม่รู้ว่าใครคร่อมใคร”
“เดิมพันสิบอีแปะ!** ทรวดทรงองค์เอวอย่างหนานผิงจวิ้นอ๋องมีแต่จะเป็นฝ่ายถูกคร่อม”
“มีคนจะเดิมพันว่าแม่ทัพเยี่ยถูกคร่อมหรือไม่ อย่ามามองข้า ข้าไม่เล่นด้วย ถึงหนึ่งจ่ายร้อยก็ไม่เอา”
“วันหน้านางยักษ์อันดับหนึ่งของเมืองหลวงเราคงมิใช่ฮูหยินสวีแล้วกระมัง”
“เจ้าพวกปากเปราะ ต่อหน้าธารกำนัลยังพูดจาบัดสี เลิกกล่าวค่อนแคะว่าร้ายผู้อื่นสักที!”
“แม่สาวน้อย เลิกคิดเสียเถอะ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าบ้านเจ้าขายหมูเลย ต่อให้เจ้าเป็นธิดาขุนนางบุญหนักศักดิ์ใหญ่ นางก็แต่งเจ้าเป็นภรรยาไม่ได้อยู่ดี”
“น่าเวทนาหนานผิงจวิ้นอ๋องนัก…”
“ใครใช้ให้เมื่อก่อนเขาทำตัวไม่เป็นโล้เป็นพายเอง เวรกรรมหนอเวรกรรม”
วังหลวง นอกประตูฉงเหวิน
โอรสสวรรค์นำเหล่าขุนนางออกมาต้อนรับเยี่ยเจาด้วยพระองค์เอง เยี่ยเจาลงจากม้าถวายบังคมพร้อมส่งมอบตัวเชลยศึกและสินสงคราม
ชาวหมานจินปล้นสะดมชนต่างเผ่ามานานปี เคยบุกทำลายล้างแคว้นโพ้นทะเลรวมถึงแคว้นเล็กแคว้นน้อยอ่อนแอรอบๆ ที่มีสินค้าพื้นเมืองเป็นเครื่องประดับอัญมณี บัดนี้ราชสำนักหมานจินถูกโค่นลง ทรัพย์สมบัติล้ำค่าในท้องพระคลังจึงถูกเยี่ยเจานำมาบรรณาการให้แคว้นต้าฉิน ทั้งพลอยตาแมวขนาดใหญ่ปานเม็ดลำไย แก้วมรกต ทับทิมสีแดงเลือดนก ไพลิน เพชร และไข่มุกหลากสีสัน ยังมีทองกับเงินอีกนับไม่ถ้วน ทุกชิ้นเจียระไนและฝังเลี่ยมด้วยช่างฝีมือเอกอย่างวิจิตรบรรจง ส่องประกายแพรวพราวจนแทบทำให้ดวงตาทุกคนพร่าลาย
** อีแปะ (เหวิน) คือหน่วยเงินสำริด (เป็นเหรียญที่มีรู) ซึ่งมีค่าเล็กที่สุดในหน่วยเงินตราสมัยก่อนของจีน
การทำสงครามติดต่อกันนานหลายปีส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอมานานแล้ว สมบัติจำนวนมหาศาลนี้จะบรรเทาความเดือดร้อนดั่งไฟที่ลามมาถึงคิ้วได้พอดี
“ยอดขุนนางเอ๋ยยอดขุนนาง”
จักรพรรดิจะเข้าไปประคองเยี่ยเจาลุกขึ้น แต่ขณะที่จวนเจียนแตะถูกไหล่นาง หัวหน้าขันทีข้างกายรีบกระแอมไอหนักๆ เสียงหนึ่ง พระองค์ฉุกคิดได้ว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีก็ชักมือคืนกลางคัน โบกมือเบาๆ ทีหนึ่งพลางกล่าวชม
“เจ้าออกศึกแทนบิดา สร้างความดีความชอบยิ่งใหญ่กว่าแม่ทัพหญิงฉินอวี้ในราชวงศ์ก่อนเสียอีก”
เยี่ยเจาเอ่ยตอบ
“ฝ่าบาททรงเลือกใช้ผู้มีความสามารถโดยไม่ยึดติดในธรรมเนียม มีสายพระเนตรแหลมคมเหนือผู้ใด น้ำพระทัยกว้างขวาง เทียบเคียงได้กับกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถมานับแต่อดีตกาลเพคะ”
หนึ่งกษัตริย์หนึ่งขุนนางโต้ตอบกันไปมา ยกยอปอปั้นซึ่งกันและกันสองสามคำตามมารยาทต่อหน้าผู้คน จากนั้นก็รำพึงรำพันถึงความภักดีกล้าหาญของเยี่ยจงที่สละชีพเพื่อแผ่นดิน
จักรพรรดิซึ่งเชิดชู ‘เมตตาธรรม’ เสมอมายังหลั่งน้ำตาหลายหยดต่อหน้าทุกคน ก่อนจะมีบัญชาให้ประกาศพระราชโองการยาวเหยียด อีกทั้งพระราชทานตราผู้บัญชาการกองทัพใต้หล้า ตราเหล็กอักษรแดง แส้เหล็กไหลที่ตกทอดจากบรรพบุรุษ และพระราชทานสมรสกับหนานผิงจวิ้นอ๋อง
นางกล่าวขอบพระทัย สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
จักรพรรดินึกถึงความไม่เอาถ่านของหนานผิงจวิ้นอ๋องก็หวั่นใจว่าขุนนางผู้มีความชอบจะบังเกิดความไม่พอใจ หลังจากกลับถึงวังหลวงยังกล่าวปลอบนางอีกหลายคำลับหลัง
“แม่ทัพเยี่ย พระพันปีทรงเห็นว่าเจ้าตรากตรำกรำศึกเพื่อแผ่นดินมานานหลายปี แม้จะอยู่ในฐานะผิดแผกจากคนอื่นแต่ก็มิใช่ผู้ละกิเลสทางโลก แคว้นต้าฉินเองก็ไม่มีเชื้อพระวงศ์และผู้สูงศักดิ์ที่ครองตัวลำพังจึงยิ่งมิอาจถ่วงรั้งความสุขชั่วชีวิตของเจ้าได้ น่าเสียดายที่เราเฟ้นหาในหมู่เชื้อพระวงศ์อยู่นานสองนาน ผู้ที่มีวัยเหมาะสมเป็นฝั่งเป็นฝาไปหมดแล้ว กระนั้นคงไม่เป็นการดีนักหากจะลากเด็กน้อยอายุสิบห้าสิบหกสักคนมาจับคู่กับเจ้า มีเพียงหนานผิงจวิ้นอ๋องที่ทั้งชาติตระกูลและอายุล้วนเหมาะเจาะ แม้นิสัยใจคอจะเหลวไหลไปสักหน่อย ทว่าเขายังมีข้อดีอยู่บ้าง ทั้งรูปงาม แล้วก็@@@แล้วก็@@@”
พระองค์อึกอักอยู่ชั่วครู่ ครั้นคิดอย่างอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ เลยได้แต่เอ่ยรวบรัดปิดท้าย
“เอาเป็นว่าเขาเป็นคนรูปงามอย่างมาก เจ้าคงเต็มใจกระมัง”
“หม่อมฉันเต็มใจเพคะ”
จักรพรรดิระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งแล้วสั่งให้นางกลับไปเตรียมออกเรือน พระองค์ยังพระราชทานวังหนานผิงจวิ้นอ๋องและให้คนดูแลความเรียบร้อยเป็นอย่างดี เพื่อใช้รับตัวเจ้าสาวในอีกสองเดือนข้างหน้าอีกด้วย
รอเยี่ยเจาออกไปแล้ว จักรพรรดิก็เรียกหัวหน้าองครักษ์หลวงปีกซ้ายมาสั่งกำชับอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ส่งคนไปจับตาดูซย่าอวี้จิ่นอย่างใกล้ชิดเพิ่มขึ้น เจ้านั่นไม่ว่าเรื่องต่ำทรามอะไรกล้าทำทั้งสิ้น บอกเขาว่าหากเขาหนีการแต่งงานจะต้องโทษหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทั้งตระกูล หากมีความเคลื่อนไหวอะไรแม้แต่น้อยให้มารายงานเรา มิเช่นนั้น…พระพันปีไล่เลียงเอาผิดลงมา เราจะเปลี่ยนให้เจ้าแต่งแม่ทัพเยี่ยเป็นภรรยาแทน”
หัวหน้าองครักษ์หลวงปีกซ้ายหน้าถอดสีในบัดดล หลังจากกลับไปแล้วก็ส่งคนไปที่วังอันอ๋อง วางกำลังล้อมด้านในสามชั้นด้านนอกสามชั้นอย่างแน่นหนาไร้ช่องโหว่ และถือทวนปักหลักเฝ้าอยู่ข้างในด้วยตัวเองทั้งวันทั้งคืนไม่ห่าง ทุ่มเทแรงกายแรงใจจนซูบผอมไปถนัดตา ทว่าเรื่องนี้ถูกปิดเงียบไม่กล่าวถึง
นับแต่ซย่าอวี้จิ่นตกน้ำแล้วก็แสร้งล้มหมอนนอนเสื่อมาโดยตลอด เมื่อได้ยินข่าวร้ายเขาก็แค้นใจจนกัดหมอนไม้ไผ่ขาดไปสามใบ
แม้การแต่งงานระหว่างซย่าอวี้จิ่นกับเยี่ยเจาจะไม่สูงส่งเท่าจักรพรรดิอภิเษกสมรส ไม่หรูหราดุจองค์หญิงใหญ่ออกเรือน และไม่ครึกครื้นเหมือนงานเลี้ยงแต่งงานของวังชิ่งอ๋อง หากแต่เป็นเพราะฐานะผิดธรรมดาของแม่ทัพใหญ่และที่มาที่ไปชวนขันของหนานผิงจวิ้นอ๋อง พิธีมงคลจึงถูกจับตามองมากกว่าพิธีทั้งหมดเท่าที่มีมานับร้อยปีของเมืองหลวง
ฝ่ายเจ้าสาวเยี่ยเจาไม่มีลักษณะเยี่ยงสตรีมาตั้งแต่เยาว์วัย คลั่งไคล้ในวิชายุทธ์และตำราพิชัยสงคราม นางเป็นผู้มีพรสวรรค์สูงยิ่งจนพี่ชายทั้งสองมิใช่คู่มือ บันดาลให้ปู่และบิดาปวดใจเหลือจะกล่าว ต่อมาทั้งคู่ตัดสินใจเลี้ยงดูนางอย่างเด็กชาย เพียงอยากลืมเลือนว่านางเป็นสตรีแล้วจะกลายเป็นบุรุษไปจริงๆ
ในการทำสงครามนานแปดปี นางต้องคลุกคลีกับเหล่าชายฉกรรจ์ที่มิได้เล่าเรียนเขียนอ่านในค่ายทหาร กลางวันยกพลทำศึก คุยเรื่องวางค่ายกล ตกดึกกินเนื้อสัตว์แกล้มสุรา คุยเรื่องนารี สำนึกของความเป็นชายเป็นหญิงจึงสับสนหลงผิดจนกลายเป็นความเคยชิน ฝังลึกกลางใจยากเกินแก้ไข กอปรกับเพิ่งรับตำแหน่งคุมกองทัพยี่สิบหมื่นของเมืองหลวงได้ไม่นาน มีเรื่องประดังประเดเข้ามาทุกด้าน บางคราวยุ่งอยู่กับงานจนไม่แม้แต่จะกลับบ้าน นางมิได้ตระหนักเลยว่าตัวเองกำลังจะแต่งงาน
ผู้เฒ่าเยี่ยก็เลอะเลือน ทุกครั้งที่เห็นทุกคนงานยุ่งก็กล่าวด้วยความดีอกดีใจว่า “เหลนข้าจะแต่งภรรยาแล้ว” คนรอบข้างจะอธิบายอย่างไรก็เปล่าประโยชน์ ทำเอาทุกคนไม่รู้ว่าจะร่ำไห้หรือหัวเราะดี
ฝ่ายเจ้าบ่าวซย่าอวี้จิ่นแสร้งป่วยลุกจากเตียงไม่ได้ ลอบส่งคนไปที่คฤหาสน์เจิ้นกั๋วกงปล่อยข่าวลือไม่ดีของตัวเอง เพียงหวังว่าอีกฝ่ายจะรังเกียจตนจนมาขอถอนหมั้น
แต่ไรมาเขาเป็นคนหน้าหนาฟันแทงไม่เข้า ไม่กลัวถูกตีถูกด่า และยิ่งไม่หวั่นเกรงชื่อเสียงฉาวโฉ่ เขาแสดงท่าทีชัดเจนว่าถึงตายก็ไม่แต่งภรรยาผู้นี้เข้าตระกูล จักรพรรดิและพระพันปีถูกบีบให้จนตรอก จำต้องร่วมมือกันกำราบ ลั่นวาจาว่าหากเขายังไม่เชื่อฟังอีกก็จะเล่นงานมารดาเขา เขาถึงได้ไม่ทำเรื่องออกนอกลู่นอกทางเกินไปนัก
ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์หรือราษฎรสามัญชนล้วนชะเง้อคอยาวหมายดูเรื่องตลกขบขัน ถึงขั้นมีบ่อนพนันลับเปิดเดิมพันทายว่าพวกเขาจะทะเลาะเบาะแว้งจนลงมือลงไม้และตกลงหย่ากันหลังจากแต่งงานกี่วัน
ธรรมเนียมต้าฉิน สินเดิมเจ้าสาวให้มารดาเป็นผู้จัดเตรียม@@@
เมื่อครั้งที่โม่เป่ยถูกตีแตก คฤหาสน์เจิ้นกั๋วกงโดนปล้นไม่เหลือหลอ แม้แต่สินเดิมที่ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงทิ้งไว้ให้บุตรสาวก็ถูกชิงไปหมดสิ้น บัดนี้เยี่ยเจาได้รับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพใต้หล้าแล้ว มีทั้งข้าวของเงินทองที่ยึดมาจากชาวหมานจินในระหว่างการทำสงครามหลายปี รวมกับบำเหน็จรางวัลของราชสำนัก นับได้ว่ามีทรัพย์สมบัติมั่งคั่ง แต่นางกลับนำเงินส่วนใหญ่ไปซื้อที่นาร้านค้า ละเลยข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นสินเดิมเจ้าสาวอย่างเช่นตู้เสื้อผ้า โต๊ะประทินโฉม และคันฉ่องลวดลายประณีตซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลารวบรวมสะสมนานปี
สะใภ้ใหญ่หวงซื่อที่ครองตัวเป็นม่าย คอยดูแลความเรียบร้อยในเรือนก็ไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการแทนเยี่ยเจาที่มีอำนาจล้นฟ้า รอจนนางกล่าวเตือนอ้อมๆ ว่าต้องตระเตรียมสินเดิมแล้ว เยี่ยเจาถึงนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้ห่างจากวันแต่งงานเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น
หวงซื่อได้แต่แข็งใจเอ่ยถามด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
“บ้านเราไม่ขัดสนเงินทอง แต่สิ่งของเหล่านี้จะไปหาซื้อจากที่ใดดี”
เยี่ยเจากำลังพลิกอ่านรายชื่อและประวัติความเป็นมาของนายทัพใต้สังกัดตนอยู่ในห้องหนังสือ นางกล่าวโดยไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้น
“ก็หาเอาตามสะดวกเถอะ พอให้มีครบเป็นใช้ได้”
หวงซื่อถามต่อ
“หรือไปหาคนที่รู้จักชอบพอกันในราชสำนัก ขอหยิบยืมจากสินเดิมของลูกสาวพวกเขาสักสองสามอย่าง วันหลังค่อยสั่งทำชิ้นใหม่คืนให้?”
เยี่ยเจาเอ่ยอย่างใจลอย
“ท่านตัดสินใจเถอะ”
หวงซื่อถามอีก
“ยังมีชุดแต่งงานกับเครื่องประดับอีก เจ้าปลีกเวลามาเลือกด้วยเถอะ จะเอาปิ่นมุกหงส์คู่ ปิ่นดอกไม้ไหวประดับกระจกสี ปิ่นผีเสื้อคู่หยกแปดรัตนชาติ ต่างหูดอกกล้วยไม้ฝังไพลิน กำไลหยกขาวสักคู่@@@”
เยี่ยเจาทางหนึ่งงานยุ่งแทบตาย อีกทางฟังนางพูดเจื้อยแจ้วจนปวดเศียรเวียนเกล้า หลังจากข่มใจอยู่นานก็เอ่ยขึ้นอย่างฉุนเฉียวในที่สุด
“หนวกหู ข้าเป็นชายชาตรีผู้หนึ่ง ไหนเลยจะมีความอดทนพอจะไปเลือกของใช้สตรีพวกนี้ ท่านเลือกสักสองสามชิ้นแล้วโยนเข้าไปก็พอแล้ว”
“ชายชาตรี?”
หวงซื่ออ้าปากตาค้าง
เยี่ยเจาเห็นอีกฝ่ายตะลึงงันไป ครู่ใหญ่ต่อมากว่าจะรู้ตัวว่าตนพูดอะไรผิด หวงซื่อก็ร่ำไห้น้ำตาร่วงเผาะไปแล้ว
ธรรมเนียมต้าฉิน สตรีที่เตรียมออกเรือนล้วนปักชุดแต่งงานด้วยตัวเอง@@@
เยี่ยเจาสวมอาภรณ์รัดกุมสีดำแนบกระชับกาย สะพายกระบี่ไว้ข้างตัว นั่งตัวตรงอยู่ในห้องหนังสือ ถืออาวุธลับไว้เต็มมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เห็นเพียงมือซ้ายของนางออกกระบวนท่าไล่วายุล่าตะวัน แมลงวันไม่ดูตาม้าตาเรือสองตัวก็ถูกเข็มยาวแทงทะลุตรึงติดกับผนัง ส่วนมือขวาใช้กระบวนท่าฝนบุปผาเกลื่อนฟ้า เข็มเงินสิบเจ็ดสิบแปดเล่มก็พุ่งเฉียดกรงเล็บของแมวน้อยซึ่งวิ่งมาขโมยอาหารที่นอกหน้าต่างแล้วปักลงดิน ทำให้มันตกใจกลัวเผ่นหนีหัวซุกหัวซุน
เหล่าทหารองครักษ์ผู้ติดตามนางอดร้องชมมิได้ จากนั้นพวกเขาก็พากันกล่าวเยินยอ
“ข้าร่ำเรียนวิชาอาวุธลับมาหลายปี ได้รับคำชี้แนะจากท่านแม่ทัพ นับว่าเป็นบุญวาสนาจริงๆ”
“ท่านแม่ทัพเชี่ยวชาญในสิบแปดศัตราวุธทุกชนิด วรยุทธ์ล้ำเลิศจริงๆ!”
“ผู้กล้าขนานแท้!”
เยี่ยเจาชี้แนะเสียงเย็น
“หลักในการฝึกยุทธ์สำคัญที่ความใส่ใจ”
ทุกคนพยักพเยิดเห็นด้วย
หวงซื่อปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลัง บิดผ้าเช็ดหน้าไปมาพร้อมลากเสียงยาวร้องโอดขึ้นด้วยความคับข้องหมองใจ
“@@@สำคัญที่ความใส่ใจนะ”
ทุกคนจนวาจา ถอยออกไปเงียบๆ
สีหน้าดั่งภูเขาน้ำแข็งของเยี่ยเจาเหยเกลงสามส่วน นางก้มศีรษะ จ้องเขม็งที่โต๊ะปักผ้าซึ่งไม่เข้ากับห้องหนังสือที่เต็มไปด้วยสรรพาวุธและตำราพิชัยสงครามดุจเดิม
บนโต๊ะปักผ้าขึงชุดแต่งงานสีแดงสดปราศจากลวดลายไว้ตัวหนึ่ง สายตานางนิ่งสนิทคล้ายอยากมองเห็นรูโหว่สักรูใจจะขาด จากนั้นนางก็หยิบอาวุธลับอีกเล่มออกมาจากตลับเข็ม ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะสุ่มสี่สุ่มห้าแทงลงไปสุดแรง
ธรรมเนียมต้าฉิน สินเดิมเจ้าสาวมีของรักของหวงก่อนออกเรือนรวมอยู่ด้วย@@@
เยี่ยเจาเป็นต้นเหตุให้พี่สะใภ้ใหญ่กลุ้มอกกลุ้มใจจนผมหงอกไปสามเส้น เมื่อฟังอีกฝ่ายร่ำไห้รำพันถึงพี่ชายที่ตายไปอีกสามชั่วยาม บันดาลให้ในใจรู้สึกผิด นางก็มีท่าทีให้ความร่วมมือขึ้นมาบ้าง สำหรับสินเดิมอื่น หลังจากรวบรวมมาจากหลายทางยังมีของขวัญที่จักรพรรดิกับพระพันปีพระราชทานให้เจ้าสาว สุดท้ายก็ตระเตรียมได้ครบถ้วนแล้ว
ถึงวันแต่งงาน ตอนส่งสินเดิมเจ้าสาว บนถนนสายใหญ่จากคฤหาสน์เจิ้นกั๋วกงไปยังวังอันอ๋องคับคั่งไปด้วยผู้คนอีกคำรบหนึ่ง ชาวเมืองมากมายทั้งลูกจ้างและเจ้าของร้านค้าไม่แม้แต่จะทำมาหากิน พากันแห่มาดูด้วยความสนใจ ทำให้ร้านน้ำชาและหอสุราริมถนนขายดิบขายดีเป็นเท่าตัว กระทั่งแผงขายน้ำขมและเกี๊ยวน้ำข้างทางยังได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ
วังอันอ๋องเปิดประตูหน้าแต่เช้า ผ่านไปไม่นานเท่าไรก็แว่วได้ยินเสียงดนตรี
ผู้ที่หาบสินเดิมเจ้าสาวมามิใช่บ่าวไพร่ธรรมดา หากแต่เป็นคนจากกองทหารม้าประจัญบานทั้งหมด แต่ละคนอกผายไหล่ผึ่ง ก้าวเท้าพร้อมเพรียงกัน หาบหีบใส่เครื่องเรือนหนักอึ้งได้สบายมือราวกับเป็นของเบาๆ พวกเขาเดินมาตามถนนอย่างคึกคักห้าวหาญ สีหน้าเคร่งขรึมประหนึ่งกำลังปฏิบัติภารกิจนำส่งเสบียงและอาวุธยุทธปัจจัยให้ลุล่วง
นับแต่โบราณมามีผู้ใดสามารถใช้กองทหารส่งสินเดิมเจ้าสาวได้ เมื่อพบเห็นกระบวนทัพน่าเกรงขามนี้ ทุกคนอดโห่ร้องชอบใจมิได้
สินเดิมเจ้าสาวหีบแรกที่เคลื่อนผ่านไปเป็นแส้เหล็กไหลที่จักรพรรดิพระราชทานให้ หีบที่สองคือรัดเกล้าทองอัญมณีเจ็ดสีที่พระพันปีพระราชทานให้ อัญมณีส่องประกายแพรวพราวกระทบกันระยิบระยับจนแทบลืมตาไม่ขึ้น
ด้านหลังตามมาด้วยของขวัญที่อัครมเหสี พระราชชายา พระญาติ และขุนนางชั้นผู้ใหญ่กำนัลให้เจ้าสาว มีตู้ตั้งของประดับแปดมงคลฝีมือประณีตบรรจง คันฉ่องจากโพ้นทะเลตะวันตก โต๊ะประทินโฉมไม้พะยูง แต่ละอย่างงามวิจิตรจนชวนให้กังขาว่าพวกเขานำของที่ดีที่สุดของบุตรสาวตัวเองออกมาเพื่อประจบเอาใจแม่ทัพใหญ่ผู้ทรงอำนาจมากที่สุดในขณะนี้ใช่หรือไม่
ต่อจากนั้นเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่คฤหาสน์เจิ้นกั๋วกงจัดหาเพิ่มเติมเอง รวมถึงของมงคลที่พบเห็นบ่อยเช่นพวกถังน้ำลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง แม้วัสดุที่ใช้ทำจะพิถีพิถัน แต่แบบกลับเรียบง่ายยิ่ง ไม่แฝงกลิ่นอายของห้องสตรีสักนิด
สินเดิมเจ้าสาวหนึ่งร้อยยี่สิบหีบเป็นขบวนยาวร่วมหลายลี้ หัวขบวนเข้าประตูวังแล้ว ท้ายขบวนยังไม่ออกจากคฤหาสน์
ซย่าอวี้จิ่นสวมชุดสีแดงหรูหรา ใบหน้าสวยงามซีดขาวดุจกระดาษแต่แรกแล้ว เขากำลังยืนอยู่นอกประตูวัง ต้อนรับแขกเหรื่ออย่างฝืนใจ ลูกตากลอกไปทางซ้ายทีขวาทีราวกับกำลังสำรวจเส้นทางหนี ท่าทางไม่เหมือนผู้ที่จะตบแต่งภรรยา กลับคล้ายกำลังเข้าสู่ลานประหาร
ฝ่ายซย่าอวี้เชวี่ยทักทายแขกเหรื่อที่มาจากทั่วสารทิศด้วยใบหน้าแย้มยิ้มสดใส กระนั้นเขารู้สึกอยู่เช่นกันว่าน้องชายตนมีสีหน้าบูดบึ้งเกินไป จึงเอ่ยปลอบในฐานะพี่น้องร่วมสายเลือด
“เจ้าก็อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย ดีชั่วอย่างไรเจ้าก็แซ่ซย่า เป็นหลานแท้ๆ ของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ถึงแม่ทัพเยี่ยจะมีนิสัยใจคอป่าเถื่อนอย่างไรก็คงไว้หน้ากันบ้าง ไม่ถึงขั้นกระทำเลยเถิดเกินไป ตอนนี้เจ้าเป็นถึงจวิ้นอ๋อง ซ้ำยังแต่งภรรยาแล้ว เจ้าเองก็ต้องปรับปรุงตัวด้วย วันหน้าเลิกก่อความวุ่นวายได้แล้ว”
“พี่สะใภ้รู้หนังสือและมีเหตุมีผล อ่อนโยนเป็นศรีภรรยา ท่านย่อมพูดได้อย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจเป็นธรรมดา” ซย่าอวี้จิ่นหันหน้าไปโต้กลับเสียงห้วนอย่างขุ่นเคือง ทว่าสีหน้าดีขึ้นบ้างเล็กน้อย “สำหรับเยี่ยเจานั่นก็เป็นแม่ทัพของนางไปตามสบายเถอะ ข้าไม่มีวันยอมรับเด็ดขาดว่าคนพรรค์นั้นเป็นสตรี!”
“คนพรรค์ไหนกัน” ซย่าอวี้เชวี่ยขมวดคิ้วดุ “นางปราบปรามชาวหมานจินจนลือลั่นไปทั้งโม่เป่ย เป็นขุนนางที่มีความชอบโดดเด่นเหนือใครในต้าฉิน ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิอย่างมาก ถึงเจ้าจะเหลวไหลสิ้นคิดเพียงใดก็ไม่สมควรเสียมารยาทเช่นนี้ ปลงซะเถอะ ยิ่งกว่านั้นก็ไม่แน่ว่านางจะมิใช่ศรีภรรยา!”
เมื่อสีหน้าบึ้งตึงของน้องชายผ่อนคลายลงเล็กน้อย ซย่าอวี้เชวี่ยคิดจะตีเหล็กเมื่อยังร้อน จะกล่อมอีกฝ่ายให้อารมณ์เย็นลงต่อไป
ไม่คาดว่าห่างไปไม่ไกลนักมีลูกหลานเสเพลของเชื้อพระวงศ์ซึ่งเคยถูกซย่าอวี้จิ่นรังแก พวกเขายักคิ้วหลิ่วตาให้พลางตะโกนใส่
“แม่ทัพเยี่ยรูปงามกล้าหาญชาญชัย หนานผิงจวิ้นอ๋องก็งามสะคราญปานบุปผาดุจจันทรา สมดั่งคำว่าสตรีเก่งกาจบุรุษโฉมงาม เป็นคู่สร้างคู่สมกันโดยแท้! วันหน้าภรรยาเป็นผู้นำ สามีเป็นผู้ตาม เป็นที่กล่าวขานสดุดีไปชั่วกาลนาน!”
ซย่าอวี้จิ่นเกิดมามีใบหน้าสวยงาม การถูกผู้อื่นยกเรื่องรูปโฉมมากล่าวล้อเล่นเป็นเหมือนคำต้องห้ามร้ายแรงที่สุดของเขา ทุกถ้อยทุกคำเหล่านั้นประหนึ่งดาบคมกริบสุดจะเปรียบ แทงเข้าจุดอ่อนแอที่สุดกลางใจเขาอย่างถนัดถนี่จนโลหิตหลั่งรินเป็นสาย
ซย่าอวี้เชวี่ยแข็งใจพยายามพูดปลอบ
“มิได้ย่ำแย่ถึงเพียงนั้นหรอก อย่าไปฟังพวกเขาพูดจาส่งเดช พวกเราดูสินเดิมเจ้าสาวสิ แฝงความเป็นหญิงอยู่มากเชียวนะ คันฉ่องอันนั้นทำได้ประณีตขนาดไหน ดีไม่ดีลึกๆ ในตัวแม่ทัพเยี่ยยังซ่อนจิตใจเฉกเช่นสตรีไว้หลายส่วน แล้วด้านหลังนั่นอะไรน่ะ รูปร่างประหลาด ดูท่าหนักเอาการ@@@”
สินเดิมเจ้าสาวถูกหาบผ่านไปทีละหีบ เครื่องเรือนขนาดใหญ่ผ่านไปชิ้นหนึ่งก็เรียกเสียงร้องชมคราหนึ่ง
หลังจากหีบผ่านไปหมดแล้ว ขบวนหาบสินเดิมเจ้าสาวสามสิบชิ้นสุดท้ายกลับเป็นสิ่งของหน้าตาพิลึกพิลั่นที่ใช้ผ้าแดงหุ้มห่ออย่างแน่นหนามิดชิด คานหาบถูกน้ำหนักกดลงจนต่ำเรี่ยพื้น ส่วนทหารซึ่งรับหน้าที่หาบก็มีเหงื่อกาฬผุดกลางหน้าผากหลายเม็ด ดูเหมือนกินแรงเป็นอันมาก
ทุกคนสนใจใคร่รู้อย่างยิ่ง อยากมองเห็นรูโหว่สักรูบนผ้าแดงใจจะขาด
เคราะห์ดีสวรรค์เบื้องบนเห็นใจให้ทุกคนได้สมความปรารถนา ขณะที่จวนเจียนจะถึงวังอันอ๋อง ไม้คานหนึ่งในนั้นทนรับน้ำหนักไม่ไหวหักเป็นสองท่อน ของตกกระแทกพื้นอย่างแรง ทำให้พื้นศิลาเขียวแตกเป็นรอยร้าวถึงสองรอย ก่อนที่ของจะกลิ้งไปอีกสองตลบ
คนทั้งหมดเบิกตากว้าง หยุดหายใจชั่วขณะ แลมองไปที่สิ่งของบนพื้น
กระบองเขี้ยวหมาป่าทอประกายเย็นเยียบอำมหิตท่อนหนึ่งนอนสงบนิ่งอยู่บนพื้นศิลาเขียว ระหว่างแง่งหนามดูเหมือนยังมีคราบโลหิตเกรอะกรังที่ชะล้างออกไม่หมดจด
เงียบกริบ@@@
ทหารสองนายซึ่งรับหน้าที่หาบของเปลี่ยนไม้คานอีกอันอย่างใจเย็นและช่วยกันนำอาวุธวางกลับเข้าขบวนหาบสินเดิมเจ้าสาวดังเก่า จากนั้นร้องตะโกนเสียงหนึ่งแล้วยกขึ้น สาวเท้าก้าวยาวเดินลิ่วๆ ไป
เงียบกริบเหมือนเดิม@@@
เงียบกริบต่อไป@@@
“รีบมากันเร็วเข้า! อย่าปล่อยให้จวิ้นอ๋องปีนกำแพงหนีไปได้!”
ซย่าอวี้เชวี่ยเป็นผู้เล็งเห็นการณ์ไกลอย่างยิ่ง เขาได้จัดเตรียมชาวยุทธ์ที่เป็นยอดฝีมือไว้แต่แรก
ชั่วพริบตาที่ซย่าอวี้จิ่นเพิ่งปีนกำแพงขึ้นไป เขาก็ถูกลากตัวลงมาแล้วจี้สกัดจุดสำคัญบนร่างสองสามแห่ง ทำให้เขาจะอ้าปากพูดก็มิได้ จะขยับเขยื้อนเคลื่อนกายก็มิได้ ถูกขนาบข้างซ้ายขวาควบคุมตัวไว้เพื่อไม่ให้เป็นต้นตอก่อเหตุอีก
ทันทีที่ถึงฤกษ์มงคล เสียงกลองดังขึ้นพร้อมเกี้ยวเจ้าสาวที่เคลื่อนมาถึงอย่างแผ่วพลิ้วว่องไว
เยี่ยเจาเดินลงมาอย่างเชื่องช้า หน้าเชิดหลังตรง ทรวงอกไม่มีการกระเพื่อมไหว ศีรษะถูกคลุมด้วยผ้าสีแดงเพลิงทำให้มองไม่เห็นสีหน้า นอกจากทับทิมน้ำงามล้ำค่าควรเมืองเม็ดหนึ่งบนสายคาดเอวแล้ว ชุดแต่งงานปราศจากลวดลายใดๆ ทั้งสิ้น
ท่ามกลางเสียงพูดคุยถกเถียงกัน นางเหลียวมองรอบกายแล้วเดินเนิบนาบเข้าสู่โถงประกอบพิธี อากัปกิริยาผึ่งผายเสมือนพยัคฆ์เยื้องกราย
ซย่าอวี้จิ่นถูกชายฉกรรจ์สองคนพยุงตัวลากออกมา เขามีเรือนร่างผอมบาง แม้จะนับว่าเป็นคนตัวสูงในต้าฉิน แต่เขากลับสูงกว่าเยี่ยเจาเพียงครึ่งข้อนิ้วมือ กอปรกับสีหน้าขึ้งเคียดและขยับตัวไม่ได้ ยามคนทั้งสองยืนคู่กันจึงเกิดข้อเปรียบเทียบอย่างชัดเจน ฝ่ายชายแทบจะคล้ายกับภรรยาตัวน้อยที่ถูกอันธพาลบังคับแต่งงานเลยทีเดียว
หากกล่าวอีกนัยหนึ่ง การพระราชทานสมรสในหมู่เชื้อพระวงศ์ก็นับว่าเป็นการจับคลุมถุงชนเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อถูกบังคับให้ตบแต่งพญายมแห่งแดนดินที่ไม่มีใครหาญกล้าแตะต้องผู้นี้เป็นภรรยา บุรุษที่มีมโนธรรมในใจทั้งหลายล้วนหลั่งน้ำตาให้ซย่าอวี้จิ่นด้วยความเห็นใจ
จักรพรรดิส่งคนมาร่วมงานแต่งงานนี้โดยเฉพาะ อีกทั้งพระราชทานสิ่งของแก่หนานผิงจวิ้นอ๋องไม่น้อย ถือเป็นการปลอบขวัญและให้เกียรติทั้งสองฝ่ายเต็มที่ ส่วนวรชายาอันไท่เฟยแทบจะร่ำไห้จนเสร็จสิ้นพิธี หากเป็นสายตาของผู้ไม่รู้ความจริงนางไม่คล้ายแต่งสะใภ้ กลับเหมือนส่งศพลูกชาย
ผู้เฒ่าเยี่ยปลาบปลื้มยินดีขณะเอ่ยกำชับกำชาคู่บ่าวสาว
“พวกเจ้าต้องมีทายาทสืบสกุลโดยไวนะ มีลูกชายสักคนแล้วค่อยไปสนามรบฆ่าพวกมันให้บรรลัยเลย!”
ยามเอ่ยถ้อยคำนี้เขาดูคล้ายสติยังแจ่มใสดี มีแต่ดวงตาจับจ้องมองท้องของซย่าอวี้จิ่นอยู่บ่อยครั้งที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกชอบกล
งานแต่งงานซึ่ง@@@ยากจะบรรยายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ได้ปิดฉากลงอย่างราบรื่น
รอจนท่อนไม้กลายเป็นเรือ* คู่บ่าวสาวถูกส่งตัวเข้าห้องหอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยอดฝีมือที่คอยเฝ้าซย่าอวี้จิ่นไว้ก็คลายจุดบนร่างเขาให้ในที่สุด จากนั้นจึงถอยออกมาอย่างนอบน้อมและไปรับรางวัลโดยไม่รอช้า
ซย่าอวี้จิ่นยืดเส้นยืดสายพลางมองผู้ที่ได้ชื่อว่าภรรยาคนใหม่ซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้า
* มาจากสำนวนเต็มว่า ‘ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ท่อนไม้กลายเป็นเรือ’ หมายถึงเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก
แม้ท่านั่งของนางจะจงใจสำรวมไว้จนสุภาพกว่ายามเดินทัพจับศึกอยู่บ้าง ทว่ายังคงแฝงความห้าวหาญเฉียบขาดดุจเดิม คล้ายพยัคฆ์ร้ายที่นอนนิ่งไม่อนาทรร้อนใจ ไม่มีท่าทางเฉกเช่นสตรีแม้แต่น้อย ยังมีนิ้วชี้ที่เคาะเสาเตียงเป็นจังหวะเหมือนบ่งบอกถึงอารมณ์หงุดหงิดจากละครชวนหัวฉากนี้อีก
นี่น่ะหรือผู้ที่เขาแต่งเป็นภรรยา เป็นชายอกสามศอกมากกว่ากระมัง!
ยอดบุรุษขนานแท้เช่นเขากลับต้องเป็นฝ่ายคับอกคับใจ ราวกับเป็นลูกเขยแต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิงก็ไม่ปาน
ซย่าอวี้จิ่นยิ่งคิดยิ่งโกรธ เกิดแรงฮึดขึ้นมาก็สิ้นความยับยั้งชั่งใจ บอกสิ่งที่คิดอยู่ในใจต่อนางอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เจ้าเป็นก็แต่ภรรยาข้าเท่านั้น อย่าหวังว่าจะก้าวก่ายเรื่องของข้าได้!”
เยี่ยเจาเพียงส่งเสียงตอบสั้นๆ
“อืม”
เสียงนางออกทุ้มด้วยยามออกศึกมักต้องตะโกนออกคำสั่งจนเสียงแตก สุ้มเสียงจึงแหบห้าวไปบ้าง ต่างจากเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานอย่างที่ชาวเมืองนิยมชมชอบกันลิบลับ ทั้งยังแฝงความแข็งกระด้างเป็นเชิงออกคำสั่ง เสมือนไม่เห็นบุรุษที่แผดเสียงเบื้องหน้าอยู่ในสายตา
นับแต่ซย่าอวี้จิ่นเกิดมา มีแต่ตัวเองเป็นฝ่ายมองข้ามผู้อื่น เคยมีครั้งไหนกันที่เขาถูกคนเมินเฉยเช่นนี้ ส่งผลให้เขาอัดอั้นตันใจจนพูดไม่ออก
เยี่ยเจารออยู่นานสองนานก็ไม่เห็นเขาส่งเสียง นางจึงถามขึ้น
“ท่านพูดจบแล้ว?”
ซย่าอวี้จิ่นแค่นเสียงเยาะ กระชากประตูเปิดแล้ววิ่งออกไปสองสามก้าว กอบหิมะใกล้มือขึ้นมากำหนึ่งแล้วถูกับใบหน้าโดยไม่นำพาสายตาประหลาดใจของผู้คน ใช้ความเย็นเสียดกระดูกทำให้ความร้อนรุ่มในหัวเยือกเย็นลงอย่างว่องไว
เขามิใช่คนโง่เขลา ย่อมแจ่มแจ้งดีว่าบรรดาศักดิ์จวิ้นอ๋องเป็นฐานะเลื่อนลอยที่ไร้อำนาจใดๆ เป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่จักรพรรดิใช้ดึงตัวแม่ทัพใหญ่ให้อยู่ภายใต้การควบคุม เยี่ยเจาจึงเป็นภรรยาที่เขาจะเป็นฝ่ายขอหย่าเองไม่ได้ ทางออกเพียงทางเดียวคือทำให้นางรังเกียจชิงชังเขาถึงที่สุด ทุบตีเขาสักยกแล้วเป็นฝ่ายเสนอขอหย่าก่อน
เขาจะทำให้ภรรยาชังน้ำหน้าตัวเองอย่างไรดี
เรื่องนี้เขาพอจะหยิบยืมประสบการณ์โชกโชนของกลุ่มสหายเสเพลมาใช้ได้ กระบวนท่าที่ทรงอานุภาพสูงสุดคือไปพลอดรักกับบ้านเล็กบ้านน้อยในคืนส่งตัวเข้าหอ ฉีกหน้าเจ้าสาวจนไม่เหลือชิ้นดี!
ซย่าอวี้จิ่นใจกล้าบ้าบิ่นมาแต่ไหนแต่ไร คิดจะทำสิ่งใดก็ทำทันที เขาพุ่งตรงไปที่เรือนใจพิสุทธิ์ประเดี๋ยวนั้นเลย เหล่าทหารยามที่เฝ้าอยู่นอกห้องหอมิได้รับคำสั่งจากท่านแม่ทัพก็ไม่กล้าขัดขวาง ส่วนหญิงรับใช้สูงวัยที่เหลือมีคนหนึ่งลอบไปฟ้องวรชายาอันไท่เฟยและอันอ๋องกับชายา
วรชายาอันไท่เฟยกลับไม่เหลียวแลด้วยความสงสารบุตรชายคนเล็กและชิงชังสะใภ้ ขณะที่ซย่าอวี้เชวี่ยสิ้นหวังในตัวน้องชายเหลวไหลของตนมานานแล้ว เพียงหวังให้น้องสะใภ้ผู้แข็งกร้าวออกโรงกำราบซย่าอวี้จิ่นไม่ให้เหิมเกริม เขาจึงไม่สนใจเช่นกัน
ซย่าอวี้จิ่นวิ่งทะยานมาถึงหน้าประตูห้องของหยางซื่ออย่างราบรื่น
นางมองเขาด้วยความหลากใจอยู่ครู่ใหญ่ถึงยอบกายคำนับพลางเอ่ย
“เป็นท่านนี่เอง ต้องโทษข้าที่เบาปัญญาสายตาไม่ดี มิได้พบกันยามดึกแค่ครึ่งปี รอบด้านมืดสนิทไร้แสงตะเกียง ถึงกับจำท่านไม่ได้ไปชั่วขณะ”
ถ้อยคำนี้กล่าวด้วยความคับแค้นใจเหลือแสน ซย่าอวี้จิ่นลูบจมูกอย่างกระอักกระอ่วน หวนคิดขึ้นได้ว่าตัวเองออกไปเที่ยวเตร่เกเรอยู่ข้างนอกหลายปีมานี้ ไม่ค่อยเอาใจใส่สตรีในเรือนตนเท่าไร มีบ้างบางคราวที่เขารำคาญเสียงบ่นมารดาถึงมาอยู่ด้วยคืนสองคืน ทว่าน้อยครั้งนักที่จะนอนค้างกับหยางซื่อซึ่งมีรูปโฉมธรรมดา ตอนนี้พอมีเรื่องเดือดร้อนตัวเองจึงมาหานางก่อน เขาก็บังเกิดความสงสารขึ้นในใจจริงๆ เลยทำทีเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะหันเหไปหาเหมยเหนียงแทน
เหมยเหนียงเห็นซย่าอวี้จิ่นก็พานนึกถึงกระบองเขี้ยวหมาป่าที่พวกสาวใช้ได้ข่าวมา นางตกใจจนใบหน้าซีดเผือด เอ่ยอย่างเด็ดขาด
“วันนี้ร่างกายข้าไม่สะอาด ปรนนิบัติท่านมิได้เจ้าค่ะ”
ซย่าอวี้จิ่นโบกมือพลางเอ่ยอย่างหงุดหงิด
“ข้าไม่ถือสา”
เหมยเหนียงกล่าวฉอดๆ ดังห่าฝนธนูก็ไม่ปาน
“ข้ายังป่วยเพราะถูกอากาศเย็น ปวดท้อง เจ็บตา แขนขาอ่อนแรง หน้าอกจุกเสียด หมู่นี้ก็หลับไม่สนิท ละเมอพูดไม่หยุด ในความฝันยังตีคน กัดคนส่งเดช มะ@@@ไม่ได้จริงๆ นะเจ้าคะ ท่านไปหาเซวียนเอ๋อร์เถอะ”
“เจ้ามันต่ำช้า คอยเหยียบย่ำซ้ำเติมผู้อื่น! เมื่อก่อนยังพูดว่าเราสองคนเป็นพี่น้องผูกพันรักใคร่กัน ที่แท้เจ้าก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้!”
เซวียนเอ๋อร์ซึ่งอยู่ห้องติดกันได้ยินเข้าก็ผลุนผลันออกมาทันทีโดยไม่สางผมเผ้า ชี้หน้าเหมยเหนียงด่าทอหลายคำ จากนั้นก็คุกเข่าดังตุบให้ซย่าอวี้จิ่น ร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหลเปรอะ โขกศีรษะเสียงดังสนั่น
“จวิ้นอ๋องละเว้นเซวียนเอ๋อร์ด้วย โปรดเห็นแก่ที่ข้าปรนนิบัติท่านตั้งแต่เด็ก ให้ข้ามีชีวิตรอดต่อไปด้วยเถอะ ให้ข้าปลงผมออกบวชจวบจนบั้นปลายชีวิต@@@”
โฉมงามประหนึ่งบุปผาสองคน คนหนึ่งแสร้งสติไม่เต็มเต็ง คนหนึ่งร่ำไห้จนกลายเป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่ เอะอะโวยวายจนดูเหมือนนายน้อยผู้หล่อเหลาผ่าเผยอย่างเขากำลังบีบหญิงสาวดีๆ ให้เป็นหญิงคณิกา
เขาหันหน้าไปมองกวาดด้วยหางตา สาวใช้อ่อนวัยด้านข้างที่พอจะงามอยู่สักหน่อยถอยหลบไปไกลสิบเชียะ* ในพริบตา พวกที่ไร้ความงามก็ถอยหลบไปไกลสามเชียะเช่นกัน ส่วนเด็กรับใช้หน้าตาหมดจดก็ก้มหน้างุด แอบกระถดตัวหลบอยู่ในเงามืด
ซย่าอวี้จิ่นรันทดใจสุดพรรณนา กระนั้นจะบีบให้คนกระโดดลงไปทั้งที่รู้ว่าเป็นกองไฟก็ใช่ที่ เขาตรึกตรองอยู่นานก็ตัดสินใจไม่ได้สักที สุดท้ายก้าวฉับๆ ไปนอนในห้องหนังสืออย่างขุ่นเคือง
ทุกคนหวาดกลัวความดุร้ายของท่านแม่ทัพ ไม่มีผู้ใดกล้าสนใจหนานผิงจวิ้นอ๋อง
เขาถูกทอดทิ้งให้เดียวดาย กระทั่งผ้าห่มสักผืนก็ไม่มี ได้แต่ขดตัวเป็นก้อนกลมๆ ส่งเสียงจามดังลั่นหลายครั้ง
อีกด้านหนึ่ง หลังจากได้รับข่าว เยี่ยเจาเปลื้องชุดแต่งงานออกแล้วโยนไปที่มุมห้องหอ หมุนกายมองกระจก
ใต้แสงสลัวของเทียนแดง ริมฝีปากของคนในกระจกเม้มแน่น คิ้วเข้มเลิกสูง มาตรว่ารอบตัวจะอวลไปด้วยกลิ่นอายมงคลก็มิอาจกลบประกายดุดันจากการเคี่ยวกรำในสนามรบของดวงตาสุกใสดุจลูกแก้วคู่นั้นเอาไว้ได้
นางกำชับคนที่อยู่นอกห้องด้วยเสียงทุ้มต่ำ
* เชียะ (ฉื่อ) เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน สมัยโบราณเทียบระยะประมาณสิบนิ้วหรือหนึ่งส่วนสามเมตร ปัจจุบันยังคงใช้คำนี้ในความหมายว่า ‘ฟุต’
“เข้านอนเถอะ ไม่ต้องรอแล้ว”
“แต่@@@จวิ้นอ๋อง!”
“ท่านแม่ทัพ! เขาน่าชังเกินไปแล้ว!”
สุ้มเสียงคล้ายคลึงกันสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ผู้ที่ก้าวออกมากล่าววาจาเป็นสองสาวฝาแฝด ทั้งคู่คิ้วหนาตาโต ผิวกายออกคล้ำ พอจะมีเค้าความงามอยู่บ้าง พวกนางสวมชุดทหาร สะพายดาบโค้งที่เอว สีหน้าถมึงทึงด้วยความโกรธเกรี้ยวราวกับพร้อมจะชักดาบฟันคนได้ทุกเมื่อ
พวกนางสองพี่น้อง คนพี่ชื่อชิวหวา คนน้องชื่อชิวสุ่ย เดิมทีเป็นบุตรสาวของชิวเหล่าหู่ หัวหน้าโจรที่ภูเขามังกรยักษ์ แกว่งดาบรำทวนมาตั้งแต่เยาว์วัย มีวรยุทธ์สูงพอตัว
สี่ปีก่อนชาวหมานจินรุกรานภูเขามังกรยักษ์ ฆ่าคนวางเพลิง ก่อกรรมทำเข็ญไปทุกหย่อมหญ้า ชิวเหล่าหู่ไม่ยินยอมสมคบกับคนพาล ชาวหมานจินเลยส่งทหารโจมตีปราบปราม เยี่ยเจาช่วยเหลือเขาไว้และเห็นถึงความกล้าหาญของเขา นางจึงรับเขาสู่ใต้ปีกตน มีตำแหน่งเป็นนายทัพในบังคับบัญชานางนับแต่นั้นมา
ชิวหวากับชิวสุ่ยฝักใฝ่ในทางยุทธ์ ทั้งเลื่อมใสในวรยุทธ์ของเยี่ยเจาอย่างหมดใจจึงอาสารับหน้าที่เป็นผู้ติดตาม คอยรับใช้ข้างกายเยี่ยเจา และเป็นหนึ่งในคนไม่มากนักที่ล่วงรู้เรื่องที่นางเป็นสตรีในครั้งนั้น
ขณะนี้ท่านแม่ทัพที่พวกนางเลื่อมใสที่สุดได้รับความอัปยศในคืนวันแต่งงาน เป็นเรื่องร้ายแรงยิ่งกว่าตัวเองถูกหยาม สองพี่น้องชักดาบโค้งออกมาแล้วสะบัดหน้าเดินไป หมายจะไปอาละวาดทันทีตามวิสัยโจร
เยี่ยเจารีบตวาดห้าม
“พวกเจ้าจะไปที่ใดกัน!”
ชิวหวาเอ่ยกระฟัดกระเฟียด
“ข้าจะไปมัดตัวคนสารเลวไม่รู้ดีรู้ชั่วนั่นมา เอาแส้ฟาดแรงๆ สักตั้งค่อยเอาดาบพาดคอให้เขาคุกเข่าโขกศีรษะสักสองสามครั้งก่อน แล้วโยนไปบนเตียงท่านอีกที ดูซิว่าเขาอยากตายหรืออยากขึ้นเตียง ฮึ่ม! คนที่กล้าดี ชักสีหน้าใส่ท่านยังมิได้มุดหัวออกจากท้องมารดามันเลย”
“หุนหันพลันแล่น! ที่นี่อยู่ใต้เบื้องบาทโอรสสวรรค์ พี่ก็ดีแต่เอะอะจะฆ่าจะฟันคน ระงับความใจร้อนวู่วามลงเสียโดยไว อย่าพูดจาส่งเดชสร้างความเดือดร้อนให้ท่านแม่ทัพ!” ชิวสุ่ยยับยั้งอารมณ์ชั่วแล่นของพี่สาวไว้อย่างรวดเร็ว แสยะยิ้มเอ่ยขึ้น “ข้ามีผงยาสลบติดตัวอยู่ห่อหนึ่ง อีกประเดี๋ยวใส่ลงไปในน้ำชาของจวิ้นอ๋องแล้วค่อยเอาตัวเขามา รับรองเห็นผลทันตา”
ชิวหวาพยักหน้า
“ยังคงเป็นเจ้าที่คิดอ่านได้รอบคอบ หากเขาไม่ดื่ม ข้าจะกรอกลงคอเขาเอง”
“พอได้แล้ว!”
เยี่ยเจาฟังแล้วกุมขมับ ตะคอกปรามนางโจรสองคนนี้ที่หมายจะลักพาตัวสามีนางในบ้านนางเอง
นางเดินไปที่ข้างโต๊ะ รินน้ำชาดื่มสองจอก ขบคิดครู่หนึ่งแล้วสั่งกำชับ
“เอาผ้าห่มไปส่งที่ห้องหนังสือ ส่วนเรื่องอื่นเขาอยากทำอย่างไรก็สุดแท้แต่เขา”
“ท่านแม่ทัพ!!”
เสียงของชิวหวาชิวสุ่ยขัดเคืองใจอย่างมาก
“เอาตามนี้ไปก่อนเถอะ”
เยี่ยเจาสะบัดแขนเสื้อก็มีกริชสั้นเล่มงามร่วงลงมา จากนั้นนางก็ล้วงเหรียญทองบิน* ออกมาจากสายคาดเอวอีกหลายชิ้น ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้ววางรวมกันไว้ใต้หมอน
ก่อนล้มตัวลงนอน นางเลิกม่านแดงเปิดออก ดีดนิ้วซัดพลังออกไป เทียนคู่มังกรเคียงหงส์สีแดงสัญลักษณ์แห่งสิริมงคลดับวูบลงทันใด
คู่เวรคู่กรรมสวรรค์สร้าง!!
* เหรียญทองบิน เป็นอาวุธลับที่นำเหรียญมาขัดขอบให้คม ใช้ซัดใส่คู่ต่อสู้
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments