บทที่ 3
ย่ำหิมะเป็นยอดอาชาพันลี้ฝีเท้าจัดตัวหนึ่ง ติดตามเยี่ยเจาออกรบตั้งแต่เยาว์วัย ฟันฝ่ามรสุมมากมายมาด้วยกันจึงมีความผูกพันกันลึกซึ้ง
ยามนี้มันกำลังดีดขาหน้าขึ้นตะกุยอากาศ พ่นลมหายใจฟืดฟาดใส่หน้าซย่าอวี้จิ่นสองครั้งด้วยท่าทียโส จากนั้นก็เอาจมูกถูไถฝ่ามือเยี่ยเจาอย่างออดอ้อนว่าง่าย แสดงท่าทางนายบ่าวรักใคร่กันอย่างเห็นได้ชัด
เยี่ยเจาลูบแผงคอม้าเรียบลื่นแล้วป้อนน้ำตาลก้อนเล็กใส่ปากมันก้อนหนึ่ง มองซย่าอวี้จิ่นทำสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
เขาบัดเดี๋ยวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน บัดเดี๋ยวกลัดกลุ้มหน้าเศร้า บัดเดี๋ยวโมโหหน้าบึ้ง บัดเดี๋ยวขัดเคืองหน้างอ บัดเดี๋ยวหดหู่หน้าม่อย แพขนตายาวบนใบหน้าสวยหลุบลง ซ่อนนัยน์ตาคู่งามที่หลุกหลิกกลอกกลิ้งไปมาและลอบมองนางเป็นระยะ คล้ายกำลังคิดแผนการร้ายใดอยู่ ดูแล้วน่าสนุกเป็นอย่างยิ่ง
เขาเหมือนกับตัวเตียวม่วง* ที่ภูเขานั่วอันถ่าตัวนั้นซึ่งถูกนางไล่ต้อนเข้าทางตันและพยายามหาวิธีหนีฝ่าวงล้อม แล้วก็เหมือนกับม้าป่าพยศในทุ่งหญ้าฮูเอ่อร์เฮ่า
ไม่ว่าจะเป็นการล่าสัตว์หรือฝึกสัตว์ให้เชื่องล้วนสร้างความหฤหรรษ์และชวนให้คันหัวใจยิบๆ ยากจะทานทน น่าเสียดายที่คนตรงหน้ามิใช่ทั้งเตียวม่วงและม้าป่า หากแต่เป็นสามีนาง ดังนั้นนางจะใช้อุบายใดก็ไม่ได้ทั้งสิ้น
เยี่ยเจามองดูอีกครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเสียดาย
“ไปเถอะ”
ซย่าอวี้จิ่นส่ายหน้า เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอม เยี่ยเจาจึงถาม
“เหตุใดไม่ไป”
ซย่าอวี้จิ่นส่ายหน้าอีก ข่มใจอยู่นานกว่าจะปริปากออกมาได้สองคำ
“ขายหน้า”
เยี่ยเจาคาดคั้นไม่ได้ความอื่นใดจึงได้แต่เดาเอาเอง
เมื่อก่อนตอนอยู่ในค่ายทหาร นางใช้ชีวิตง่ายๆ นอกจากเสี่ยงตายแล้วหามีเรื่องอื่นใด ข้างกายล้วนเป็นชายฉกรรจ์โผงผางหยาบคาย มีกลิ่นเหงื่อกลิ่นสุราติดตัว พูดกันได้ไม่กี่คำเป็นต้องไม่ลืมทักทายมารดาอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือการกระทำอ่านออกได้ง่ายดาย ยามคึกคักคือกำลังคิดถึงสตรี ยามเศร้าสร้อยคือกำลังคิดถึงครอบครัว ยามโกรธเกรี้ยวคือกำลังคิดถึงข้าศึก ยามกลัดกลุ้มโดยมากคือผลาญเบี้ยเลี้ยงหมดแล้ว
ขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ทางราชสำนักส่งมาตรวจการกลับมีความคิดอ่านยอกย้อนอยู่บ้าง ซ้ำยังรู้จักเล่นลูกไม้พลิกแพลง กระนั้นก็ล้วนแล้วแต่ทำเพื่อเงินทอง อำนาจ และความดีความชอบ หากนางสั่งยาถูกโรค เข้าหาถูกทางก็มิใช่เรื่องยากจะรับมือ
นางทำตัวเยี่ยงบุรุษและคลุกคลีตีโมงกับบุรุษมาตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นนางมั่นใจว่าตัวเองเข้าใจจิตใจบุรุษอย่างมาก
ครั้นสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือหิมะ อาชาพ่วงพี ร่างกายอ่อนแอ ความในใจยากจะเอ่ย เงื่อนไขสี่ประการนี้รวมกันเข้า คำตอบจะต้องเป็น@@@เจ้าย่ำหิมะสูงใหญ่เกินไป ซย่าอวี้จิ่นมือไม้เก้งก้างงุ่มง่ามจึงปีนขึ้นไปมิได้!
เยี่ยเจาถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง นางอย่าเปิดเผยความจริงอันโหดร้ายให้เป็นที่อับอายของเขาจะดีกว่า
* เตียวม่วง (จื่อเตียว) เป็นสัตว์ในตระกูลเดียวกับมิงก์ เออร์มิน ชื่อภาษาอังกฤษว่าเซเบิล (sable) มีถิ่นอาศัยอยู่ในแถบแมนจูเรีย ขนสีดำเหลือบน้ำตาล มีค่ามาก บ้างเรียกว่าตัวเตียวดำ
ซย่าอวี้จิ่นเห็นเยี่ยเจาโคลงศีรษะ จากนั้นนางก็เดินมาหาแล้วเหยียดสองมือจับไหล่เขาไว้ ร่างเขาเหินลอยขึ้นทันควัน ตามติดมาด้วยความรู้สึกหมุนคว้าง ลืมตาขึ้นอีกครั้งเขาก็นั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้าเรียบร้อยแล้ว เจ้าม้าตัวนั้นยังคล้ายชายตามองเหยียดเขาแวบหนึ่งด้วย
นางตบบั้นท้ายม้าโดยไม่รอให้เขาอ้าปากตอบโต้ ย่ำหิมะออกวิ่งโจนทะยานไปบนพื้นหิมะสีขาวเวิ้งว้างดุจธนูหลุดจากแล่ง เลี้ยวตรงหัวมุมตรอก มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์เจิ้นกั๋วกงอย่างคุ้นเคยชำนาญ
“ผิดทางแล้ว!”
เยี่ยเจาตวาด ย่ำหิมะหันตัวกลับอย่างเยือกเย็นก่อนจะห้อตะบึงไปยังวังอันอ๋อง
หิมะโปรยปราย ผู้คนบนถนนบางตา
ซย่าอวี้จิ่นกอดคอม้า สายลมหนาวเหน็บดุจคมดาบพัดกรูผ่านคอเสื้อปะทะผิวแก้มจนรู้สึกแสบตึงทรมานอย่างบอกไม่ถูก
เขาแหงนศีรษะขึ้น แลเห็นเงาร่างสีดำโฉบผ่านไป
เป็นเยี่ยเจาใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปบนชายคา นางถีบเท้ากับพื้นดีดตัวขึ้นสู่เวหา เสื้อคลุมแผ่กางออกตามแรงลม ราวกับนกกระเรียนฟ้าแสนสง่าโบยบินอยู่กลางอากาศก็ไม่ปาน นางไล่ตามฝีเท้าม้ามาอย่างไม่เร่งร้อนประหนึ่งว่ามีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ
ท่ามกลางความงุนงง อาชาฝีเท้าจัดหยุดนิ่งพร้อมนกกระเรียนฟ้าร่อนลงดิน
ซย่าอวี้จิ่นเสมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน เขามองดูประตูใหญ่สีแดงเข้มของวังอย่างตะลึงลาน ผลักมือเยี่ยเจาที่ยื่นมาออกแล้วรีบไถลตัวลงจากหลังม้า ห่อตัวย่นคอที่หนาวเยือก แข็งใจเอ่ยขึ้น
“มะ@@@มีใครที่ไหนกันใช้วิชาตัวเบาไปไหนมาไหนในเมือง มะ@@@ไม่เข้าท่าสิ้นดี!”
เยี่ยเจาปัดเกล็ดหิมะบนร่างออก กล่าวย้ำคำเดิม
“ก็ข้าเก่งกาจผิดมนุษย์มนานี่”
เขาฟังแล้วหนังตากระตุกริกๆ รีบแอบมองแวบหนึ่งว่านางกำลังโมโหหรือไม่
สีหน้านางมิได้เปลี่ยนแปลงเท่าไร เพียงกำชับพวกเด็กรับใช้ให้จูงย่ำหิมะไปที่คอกแล้วดูแลให้ดี จากนั้นก็ทำท่าผายมือเชิญเขาไปทางประตูใหญ่
ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกสองขาหนักอึ้งอยู่บ้าง รีๆ รอๆ ไม่ก้าวเท้าออกเดินสักที
เยี่ยเจาถาม
“หรือต้องให้ข้าโยนท่านเข้าไป?”
“ไปให้พ้น! ข้ามีขาเดินเองได้!” สีหน้าของซย่าอวี้จิ่นบึ้งตึงขณะกล่าวต่อท้าย “แล้วข้าก็แน่จริงด้วย!”
ซย่าอวี้จิ่นเดินเชิดหน้าคอแข็งเข้าไปในวัง เยี่ยเจาเดินตามหลังไปติดๆ เพ่งมองเขาเดินผ่านระเบียงทางเดินไปคารวะมารดาที่เรือนบ่มใจ
วรชายาอันไท่เฟยเห็นบุตรชายคนเล็กกลับมาอย่างปลอดภัยก็ปลื้มปีติสุดระงับ ไม่นำพาสีหน้าบูดบึ้งของเขา
นางเช็ดน้ำตาออกทันใดแล้วปรี่เข้าไปไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ ลูบหน้าเขาพลางกุลีกุจอสั่งเยี่ยเจา
“ไม่เห็นหรือว่าสามีเจ้าผ่ายผอมลงไปแค่ไหน น่าจะไปเตรียมของกินมาให้เขาบำรุงร่างกายมากๆ ดูสิ ดูใบหน้ารูปไข่นี่สิ ซูบลงจวนเจียนจะกลายเป็นใบหน้ารูปแตงกวาอยู่แล้ว”
“เอ๊ะ? เขาผอมลงหรือ”
เยี่ยเจายืนอยู่ด้านข้างอย่างเบื่อหน่าย ครั้นได้ยินแม่สามีเอ่ยถามก็รีบยืดตัวตรง มองดูรูปร่างของซย่าอวี้จิ่นแล้วมองดูฝ่ามือตัวเองอีกครั้งเป็นเชิงคะเนน้ำหนักอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตอบตามสัตย์จริง
“เขาน่าจะหนักสักร้อยสามสิบชั่ง* กระมัง หนักกว่าขวานหน้าผีสำริดของข้าอยู่บ้าง ไม่นับว่าผอม”
วรชายาอันไท่เฟยกับซย่าอวี้จิ่นทำหน้าบึ้งพร้อมกัน
เยี่ยเจาหุบปาก แสร้งเป็นท่อนไม้ต่อไป
ไม่ง่ายเลยกว่าซย่าอวี้จิ่นจะหยุดการพูดพร่ำพรรณนาของมารดาได้ เขาเดินไปยังห้องหนังสือพร้อมกำชับบ่าวรับใช้ให้ขนย้ายที่นอนหมอนมุ้งมาทั้งหมด ประกาศความตั้งใจที่จะแยกห้องนอนอย่างเด็ดขาด
เมื่อเขาหันหน้ากลับไปก็เห็นเยี่ยเจาเดินตามหลังมาอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายมีเรื่องอยากพูด เขาจึงชะงักฝีเท้า เอ่ยถามอย่างคลางแคลงใจ
“เจ้าคิดจะทำอะไร”
นางยกสองมือกอดอก กล่าวเสียงเรียบ
“พรุ่งนี้กลับไปเยี่ยมบ้านข้าด้วยกัน”
เวลานี้เขาเพิ่งตระหนักว่าดูเหมือนตัวเองจะลืมเรื่องนี้ไป กระนั้นเขากลับพูดเสียงกระด้างดุจเดิม
“เวลาก็ผ่านไปแล้ว ยังจะกลับไปทำไม”
“ข้าบอกพวกเขาว่าท่านป่วยหนักลุกจากเตียงไม่ไหว ขอผัดวันไปก่อน”
“พวกเราทำจนเรื่องวุ่นวายอย่างนี้กลับไปก็เท่านั้น”
“ไม่ได้” นางเอ่ยอย่างขึงขัง “พวกเราไม่เพียงต้องกลับไป ข้ายังหวังว่าท่านจะแสร้งทำท่าว่าพวกเรากลมเกลียวกันอย่างสุดความสามารถ อย่าได้ก่อความวุ่นวายที่คฤหาสน์เจิ้นกั๋วกง”
เขาเอียงคอครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถามยิ้มๆ
“อาศัยอะไร”
“ท่านทวดความจำเลอะเลือนแล้ว ข้าไม่อยากให้เขาเป็นห่วง”
“เจ้าวิตกมากหรือ”
“พวกเรามาพูดกันอย่างเปิดอกตรงไปตรงมาเถอะ” นางนั่งบนเก้าอี้ยาวตรงระเบียงทางเดิน กล่าวเป็นเชิงยอมรับ “ข้ารู้ว่าข้าไม่เหมาะจะเป็นภรรยาที่ดี การแต่งงานนี้ทำให้ทุกคนอึดอัดคับใจ ทั้งยังเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งที่เราสองคนจะเข้ากันได้ ดังนั้นข้าไม่ตั้งใจจะบีบบังคับให้ท่านทำสิ่งใด วันหน้าต่างคนต่างอยู่ ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ไม่ว่าท่านจะดื่มสุรา เที่ยวหอคณิกา เล่นพนัน รับอนุภรรยาเลี้ยงนางบำเรอ ข้าล้วนไม่ข้องแวะ ท่านไม่ให้เกียรติข้าได้ แต่จะต้องไว้หน้าครอบครัวข้าบ้าง”
“ไว้หน้า? ข้ายังนึกว่าเจ้าไม่ใส่ใจมันเลยสักนิด!”
เขาคิดถึงเรื่องคับแค้นใจขึ้นมาก็เหยียดมุมปากออกยิ้มเยาะตัวเองพลางก้มหน้าลง
เยี่ยเจาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสียงต่ำ
“สกุลเยี่ยประจำการที่โม่เป่ยสืบกันมาทุกรุ่น หลังจากเมืองแตกถูกฆ่าล้างตระกูล ท่านทวดอยู่ที่เมืองหลวงรู้ข่าวก็โกรธแค้นเสียใจจนสติฟั่นเฟือนและไม่หายดีตราบจนตอนนี้ ส่วนพี่สะใภ้ใหญ่พาพวกหลานชายกลับไปเยี่ยมบ้านถึงรอดพ้นเคราะห์ร้ายไปได้ นางครองตัวเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว เลี้ยงลูกดูแลเหย้าเรือน มีพระคุณต่อสกุลเยี่ยดุจขุนเขา@@@พวกเขาเป็นญาติสายเลือดเดียวกันที่หลงเหลืออยู่ของข้า ข้าไม่อยากให้พวกเขาต้องรู้สึกอับอายเพราะข้า”
* ชั่ง (ชั่งจีน) หรือจิน เป็นหน่วยชั่งของจีน มีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม และยังนิยมใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน
“ดูไม่ออกเลยว่าท่านแม่ทัพกระดูกเหล็กก็มีเรื่องที่ใส่ใจอยู่เช่นกัน” กลางอกของซย่าอวี้จิ่นคล้ายถูกบีบรัดเบาๆ คราหนึ่ง แต่ครั้นมองเห็นใบหน้าเฉยชาของนางแล้วเขาก็อดทำใจแข็งกล่าวขึ้นมิได้ “แม้เจ้าจะใส่ใจ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ใส่ใจ!”
“บัดซบ!” เยี่ยเจาเดือดดาลหนัก เอ่ยด้วยเสียงเนิบนาบอย่างที่สุด “ไหนท่านพูดอีกครั้งซิ”
ซย่าอวี้จิ่นพูดอย่างแข็งกร้าว
“พูดก็พูดสิ! ข้าไม่ใส่ใจ!”
นางจู่โจมฉับพลัน ตรึงร่างเขากับเสาศิลาเขียวอย่างดุดันและกระซิบที่ริมหู
“อย่าได้เมินเฉยต่อคำเตือนของข้า”
ซย่าอวี้จิ่นพยายามดิ้นขัดขืน กลับขยับตัวมิได้ เขาจึงเอ่ยขึ้นอย่างมีน้ำโห
“เจ้า@@@เจ้าไม่กลัว@@@”
“แผ่นดินนี้ผู้ใดกล้าไม่ไว้หน้าพวกเขา ข้าจะไม่ไว้หน้ามันผู้นั้น!”
นางตัดบท กวาดตามองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกรอบแล้วหยักยิ้มน้อยๆ ดวงตาสีอ่อนใสดุจลูกแก้วฉายแววเหี้ยมเกรียมรางๆ ละม้ายคล้ายสัตว์ป่าที่หมายกลืนกินเหยื่อ ฟันขาวราวหิมะเป็นประกายวาววับเย็นเยียบ
“อย่าได้เล่นลูกไม้เชียวนะ สมัยที่ข้าเป็นนักเลงหัวไม้ที่โม่เป่ย ท่านเตร็ดเตร่อยู่แถวไหนยังไม่รู้เลย”
ซย่าอวี้จิ่นปวดแปลบที่ข้อมือเป็นระลอก เขาทนเจ็บจนเหงื่อผุดเต็มหน้า จำต้องกัดฟันตอบรับ
“ได้ๆ ข้าตกลง ปล่อยมือสิ!”
เยี่ยเจาคลายมือออกช้าๆ แล้วซัดไปที่เสาอย่างแรงทีหนึ่งก่อนจะหมุนกายจากไป
ซย่าอวี้จิ่นดึงสติที่หลุดลอยไปคืนมา ผินหน้าช้าๆ เห็นบนเสาศิลาเขียวของระเบียงทางเดินมีรอยฝ่ามือลึกครึ่งชุ่น* ติดอยู่ พอสายลมโชยมาก็หอบเอาเศษหินที่แหลกเป็นผุยผงม้วนตัวลอยฟุ้งไป
ย่ำรุ่งวันต่อมา ซย่าอวี้จิ่นถูกเยี่ยเจาบังคับขู่เข็ญเร่งให้ตื่นนอนแต่เช้าโดยมีนางโจรสองคนจับตาดู
เขาสวมเสื้อขนจิ้งจอกสีเงิน ติดกระดุมไข่มุก รวบผมขึ้นกลางศีรษะแล้วครอบด้วยมาลาไข่มุกสีเดียวกัน มีเชือกไหมยาวสีแดงห้อยกระดุมหยกขาวอยู่สองข้าง จากนั้นเขาก็กอดเตาพกเอาไว้ อ้าปากหาว ก้าวเท้าขึ้นเกี้ยวหลังงามสีเหลืองประดับม่านบังสีแดง มีปลายยอดหลังคาสีเงิน เอนหลังพิงตั่งบุนวมงีบหลับต่อไป
ฝ่ายเยี่ยเจาสวมเสื้อคลุมยาวบางๆ ลายเมฆสีเขียวดอกบัวกับรองเท้ากันหิมะสีเข้ม เรือนผมถูกรวบขึ้นแล้วใช้ปิ่นหยกสลักลายพยัคฆ์ปักไว้ง่ายๆ
นางเอามือแตะกระบี่วารีกระจ่างตรงเอวเป็นระยะพลางเขม้นมองชายหนุ่มซึ่งไม่เดือดเนื้อร้อนใจเบื้องหน้าด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงตื่นตัว ด้วยไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะยอมโอนอ่อนอย่างว่าง่าย กระนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน
เกี้ยวหลังงามหยุดลง ซย่าอวี้จิ่นถูกตีเบาๆ หลายทีก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น สีหน้าเขาบูดบึ้งดุจเดิม
เยี่ยเจายังคงจับตาดูการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา
* ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดของจีนสมัยโบราณ เทียบความยาวประมาณ 1 นิ้ว ระยะ 10 ชุ่นเป็น 1 ฉื่อ (เชียะ)
สกุลเยี่ยไม่มีคนรุ่นราวคราวเดียวกับทั้งคู่จึงเป็นหัวหน้าพ่อบ้านหลายคนที่มาเข้าแถวต้อนรับอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
หลังจากซย่าอวี้จิ่นเดินหน้ามุ่ยลงจากเกี้ยวแล้วมองไปรอบๆ ใบหน้าเขาพลันผลิยิ้มเจิดจ้ากว่าแสงตะวันออกมา กิริยาท่าทางก็สุภาพอ่อนโยน หากมิใช่คนที่รู้จักมักคุ้นคงต้องรู้สึกว่าเขาเป็นบุรุษที่จิตใจดีงามเหลือล้นผู้หนึ่ง
เขายังมายืนเคียงข้างเยี่ยเจาอีกด้วย แม้ไม่มีการโอบประคอง แต่ดูแล้วสนิทสนมกันดี
คนสกุลเยี่ยที่ออกมาต้อนรับล้วนระบายลมหายใจยาวเหยียดด้วยความโล่งอก แย่งกันเสนอหน้าเข้าไปคารวะทักทายท่านเขย ซ้ำยังแอบชำเลืองมองเขาทั้งซ้ายขวาไปด้วย ราวกับอยากมองเห็นอะไรที่ผิดสังเกตเพื่อกลับไปรายงาน
ซย่าอวี้จิ่นถูกมองจนนึกฉงน ถือโอกาสระหว่างเดินไปยังโถงใหญ่ลอบถามเยี่ยเจา
“หายเงียบไปนานกว่าจะกลับมา พวกเขาเป็นห่วงว่าข้าจะไม่ดีต่อเจ้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
นางลังเลครู่หนึ่งก่อนจะส่งเสียง “อืม” สั้นๆ
“ใช่ที่ไหนกัน” ชิวหวาปากไวชิงสอดปากพูดขึ้นพลางยิ้มกริ่ม “พวกเขาเป็นห่วงมาโดยตลอดว่าท่านแม่ทัพจะซ้อมท่านจนลุกจากเตียงไม่ไหวในคืนวันแต่งงานเลยวิตกกันแทบแย่ต่างหาก ตอนนี้เห็นท่านปลอดภัยสบายดีถึงได้คลายใจในที่สุด เฮ้อ@@@ท่านช่างไม่รู้เสียเลยว่าทุกคนลือกันว่าอย่างไร”
“หุบปาก” เยี่ยเจารีบตะคอกปราม “เมื่อก่อนข้าปล่อยปละละเลยเกินไปทำให้พวกเจ้านับวันยิ่งไร้สัมมาคารวะขึ้นทุกที”
ชิวหวาเบะปากไม่เอ่ยอะไรอีก
ซย่าอวี้จิ่นหน้าเสีย
“พวกเขาลือกันว่าอย่างไร”
เยี่ยเจาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“ท่านอย่ารู้จะดีกว่า”
ในโถงใหญ่ ผู้เฒ่าเยี่ยผมสีดอกเลาทั้งศีรษะถือไม้เท้าหัวมังกรในมือ นั่งตัวตรงบนเก้าอี้ไท่ซือ แลเห็นทั้งคู่เข้ามาก็คิดไปถึงข่าวลือ เงื้อไม้เท้าเคาะกลางกระหม่อมเยี่ยเจาทันควันแล้วดุสั่งสอน
“ตั้งแต่เล็กจนโตรู้จักแต่วิวาทใช้กำลัง! ไม่ดูเสียบ้างว่าคนอื่นบอบบางอ่อนแอ ยังรังแกได้ลงคอ! เสียชาติเกิดจริงๆ!” จากนั้นเขาเอ่ยกับซย่าอวี้จิ่นอย่างสนิทสนม “ถ้าอาเจาดุร้ายกับเจ้าเกินไปก็มาฟ้องข้าได้ ข้าจะทุบเขาให้น่วมเป็นหัวหมูเลยคอยดู!”
ใบหน้าซย่าอวี้จิ่นกระตุกอยู่หลายครั้งแต่ยังรักษารอยยิ้มเอาไว้ได้ เขาพยักหน้าหงึกหงัก
เยี่ยเจาคลำศีรษะป้อยๆ เอ่ยอย่างจนปัญญา
“ข้าไม่ได้รังแกเขาจริงๆ นะ”
“มีหรือที่ข้าจะไม่รู้สันดานคนเช่นเจ้า” ผู้เฒ่าเยี่ยเคาะหัวนางซ้ำอีกที กล่าวอย่างโมโหฮึดฮัด “เรียนตำรับตำราได้ความรู้เท่าหางอึ่ง วันๆ นอกจากทะเลาะต่อยตีแล้วเคยทำอะไรเป็นงานเป็นการบ้าง ไม่รู้ว่าใครจะอดทนร่วมชีวิตกับเจ้าได้ รอให้บิดาเจ้ากลับจากโม่เป่ยก่อนเถอะ ข้าจะให้เขาสั่งสอนลูกไม่รักดีอย่างเจ้าให้เข็ดหลาบ!”
ซย่าอวี้จิ่นไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง สอดปากถามขึ้น
“โม่เป่ย? บิดาเจ้ามิใช่ว่า@@@”
“ตายหมดแล้ว” สุ้มเสียงของเยี่ยเจาอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางพูดกระซิบเบาๆ “เพียงแต่ท่านทวดลืมไปแล้วว่าโม่เป่ยถูกตีแตก แล้วก็ลืมว่าท่านพ่อกับพี่ชายทั้งสองของข้าสู้รบจนตัวตายในราตรีนั้น เขาถึงขั้นลืมไปว่าข้าเป็นหญิง ตอนนี้เป้าหมายเดียวที่เขามีชีวิตอยู่ก็คือเฝ้ารอพวกเขากลับมา”
“พวกเจ้าไม่บอกให้เขารู้ล่ะ?”
“เปล่าประโยชน์ เขาไม่รับฟังหรอก บางทีเขาอาจนึกว่าขอแค่ลืมไปซะก็จะสามารถอยู่ในความฝันไปได้ตลอดกาล ไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก เช่นนั้นก็ไม่ต้องทุกข์ใจแล้ว”
“แล้วเจ้า@@@”
“ทุกอย่างเป็นอดีตไปหมดแล้ว”
ผู้เฒ่าเยี่ยยังคงดึงมือนางพร่ำพูดไม่หยุด
“พี่ใหญ่เจ้าประจำการอยู่หน้าด่าน พี่สะใภ้ใหญ่ก็ต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากเช่นกัน ข้าเขียนสารถึงเขาให้กลับมาด้วยกันกับพี่รองเจ้าตอนปีใหม่ พวกเราจะได้อยู่ฉลองกันพร้อมหน้าพร้อมตา แล้วก็เรียกท่านปู่สามเจ้ามาด้วยนะ ไอ้เฒ่าไม่ยอมแก่ผู้นั้นชอบตีฝีปากกับข้าเป็นที่สุด ข้าก็คิดถึงเขาอยู่เหมือนกัน”
นางยิ้มพลางส่งเสียงรับคำซ้ำๆ
ซย่าอวี้จิ่นนิ่งเงียบไป ในความทรงจำอันเลือนราง เขาหวนคิดถึงภาพเหตุการณ์ตามคำบอกเล่าของชาวบ้านที่อพยพหนีภัยมาจากโม่เป่ยเมื่อหกปีก่อน
สกุลเยี่ยถูกสังหารแทบหมดสิ้น เมืองยงกวนซึ่งพวกเขาประจำการอยู่ก็ถูกบุกทำลายราบคาบ ในเมืองมีซากศพกองพะเนินเป็นภูเขา หัวกะโหลกวางซ้อนกันเป็นเจดีย์ โลหิตแดงฉานไหลชะโลมถนนหนทาง บุรุษไร้ศีรษะ สตรีสูญสิ้นความบริสุทธิ์ เด็กน้อยไม่ร่ำไห้ ผู้ที่มีชีวิตอยู่ต้องกระเสือกกระสนอยู่ในฝันร้ายไปชั่วชีวิต
คนที่ไม่เคยประสบพบการฆ่าล้างเมืองย่อมไม่อาจนึกภาพความสยดสยองเฉกขุมนรกพรรค์นี้ได้
ซย่าอวี้จิ่นลอบมองเยี่ยเจา ใบหน้านางเข้มแข็งดุจเหล็กกล้าดังเดิม
นางไม่โศกเศร้าอีกต่อไปหรือความรู้สึกด้านชาไปแล้วกันแน่ นางเติบโตขึ้นมาอย่างไร เคยอ่อนโยน เคยซุกซน เคยรัก เคยเกลียด เคยคิดถึงคนึงหาหรือไม่
ความขมขื่นและกระวนกระวายผุดขึ้นกลางใจรางๆ เขาประจักษ์ว่าตัวเองไม่เข้าใจนางแม้แต่น้อย
ทว่าเมื่อคนสองคนซึ่งเกลียดชังกันถูกบังคับฝืนใจให้อยู่ด้วยกันกะทันหัน@@@เป็นสามีภรรยาที่ผิดฝาผิดตัวอย่างสิ้นเชิง ผู้ใดเล่าอยากเข้าใจอีกฝ่าย
“อวี้จิ่น นี่คือพี่สะใภ้ใหญ่กับหลานชายข้า”
เสียงเรียกของเยี่ยเจาดึงซย่าอวี้จิ่นออกจากภวังค์ความคิด เขาถึงได้พบว่ามีสตรีโฉมงามสุภาพเรียบร้อยอ่อนโยนผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ในมือจูงเด็กน้อยสองคน คนหนึ่งแปดขวบ คนหนึ่งหกขวบ พวกเขาพากันจับจ้องมองมาตาไม่กะพริบแล้วค่อยหันไปมองเยี่ยเจาอีกครั้ง
นางรีบแนะนำ
“คนโตคือเยี่ยซืออู่ ส่วนคนเล็กคือเยี่ยเนี่ยนเป่ย กำลังซุกซนเป็นวานรน้อยทั้งคู่”
เยี่ยเนี่ยนเป่ยชิงโผเข้าไปในอ้อมอกเยี่ยเจาก่อนแล้วส่งเสียงร้องเรียก
“ท่านน้าอาเจา! ข้าคิดถึงท่านมากเลย!”
เยี่ยซืออู่เบะปากพูดอยู่ด้านข้าง
“เป็นอาหญิงต่างหาก! โตขนาดนี้แล้วยังทำออเซาะ น่าขายหน้าจริงๆ!”
เยี่ยเนี่ยนเป่ยแลบลิ้นปลิ้นตา จากนั้นก็เอ่ยกับซย่าอวี้จิ่นยิ้มๆ อย่างประจบประแจง
“ท่านน้าอาเจา สามีท่านสวยมากเลย!”
“เจ้าไม่ตั้งใจเรียนหนังสืออีกแล้ว ผู้ชายสมควรใช้คำว่าหล่อเหลา!” เยี่ยซืออู่กล่าวอย่างเคร่งขรึมเกินวัย “อาหญิง เพลงกระบี่ที่ท่านสอนข้าเมื่อคราวก่อนข้าฝึกจนเป็นแล้ว อีกประเดี๋ยวจะแสดงให้ท่านดูนะขอรับ!”
“ดี! นี่สิถึงจะสมเป็นบุรุษสกุลเยี่ย” เยี่ยเจาตอบตกลงอย่างสุขใจ “แต่อย่าสนใจเพียงการฝึกยุทธ์ วันหลังต้องเชิญอาจารย์มาสอนวิชาความรู้ให้เป็นเรื่องเป็นราวเช่นกัน”
หวงซื่อเอ่ย
“ใช่ ข้าตั้งใจจะเชิญอาจารย์หวังเหรินเจี๋ย ได้ยินว่าเขามีความรู้สูงยิ่ง”
“อย่าเชียว” ซย่าอวี้จิ่นขัดจังหวะการสนทนาของพวกนาง “เจ้าคนที่ชื่อหวังเหรินเจี๋ยนั่นแม้จะมีความรู้สูง กลับเป็นผู้ดีจอมปลอมวางท่าเคร่งขรึมมีศีลธรรม ลำพังแค่นอกบ้านก็เลี้ยงนางบำเรอไว้สามสี่คน ส่วนที่ถูกหลอกลวงทอดทิ้งก็มิใช่แค่คนสองคน ซ้ำยังมีเงินทองบางส่วนที่เขาได้มาอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสมนัก เขาเพียงปกปิดได้ดีมากเท่านั้น คนนอกถึงได้ไม่ล่วงรู้ เชิญอาจารย์พรรค์นี้มาไม่กลัวว่าจะสอนเด็กให้เสียคนหรือไร”
เยี่ยเจาถาม
“ท่านรู้มาจากที่ใด”
เขาเอ่ยอย่างกระดากใจอยู่บ้าง
“ข้าเกะกะเกเรอยู่ข้างนอกบ่อยๆ แม้แทบไม่เคยทำเรื่องถูกต้องดีงาม แต่ข่าวของพวกคนชั่วขาดศีลธรรมทุกเหย้าเรือนในเมืองหลวงข้ารอบรู้เป็นที่หนึ่ง@@@เยี่ยเจา เจ้ากลับมาจากโม่เป่ยได้ไม่นาน ยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่ ส่วนพี่สะใภ้ใหญ่ก็เป็นสตรีที่เคร่งครัดในธรรมเนียม มีบางสิ่งไม่สะดวกจะสอบถามได้ เป็นธรรมดาที่จะรู้ไม่มากเท่าข้า ในความเห็นข้า หากจะเชิญอาจารย์สักคนสมควรเชิญอาจารย์หม่าหรงชุน แม้ชื่อเสียงเขาไม่โด่งดังเท่าหวังเหรินเจี๋ย แต่เขามีความรู้สูง กวดขันเอาใจใส่ และเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีความประพฤติเลวทรามใดๆ ตอนที่เจ้ากลับเมืองหลวง เขาเลื่อมใสที่เจ้าออกศึกแทนบิดาอย่างยิ่ง ถึงกับแต่งกลอนสรรเสริญให้ ถ้าเจ้าออกเทียบไปเชิญ เขาจะต้องรับปากมาสอนหลานชายทั้งสองแน่”
หวงซื่อฟังแล้วยินดียกใหญ่ ขอบอกขอบใจเป็นพัลวัน จากนั้นก็แอบดึงตัวเยี่ยเจาไปกล่าวเตือน
“อาเจา เจ้ามีนิสัยอารมณ์ร้อนมาตั้งแต่เด็ก แต่งงานแล้วต้องห้ามใจไว้สักหน่อย อย่าซ้อมสามีส่งเดช”
“ก่อนแต่งงานท่านก็เคยพูดมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว”
“ต่อให้เขาไม่ดีเพียงไหน เจ้าก็จะซ้อมเขามิได้เด็ดขาด”
“ข้าจะระวัง”
“ดีแล้ว ข้าว่านะ เขานิสัยใจคอไม่เลวเลย” หวงซื่อสำทับอีกครั้งอย่างไม่วางใจ “เจ้ามีเรี่ยวแรงมหาศาล ส่วนร่างกายเขาบอบบางปานนั้น ถ้าเจ้าพลาดพลั้งซ้อมเขาตายไปจะทำอย่างไร”
เยี่ยเจามองซย่าอวี้จิ่นแวบหนึ่ง พยักหน้าอย่างจริงจัง
“วางใจได้ ข้าจะไม่ซ้อมเขาเด็ดขาด”
ซย่าอวี้จิ่นจามหลายที เขาถูจมูกไปมา คุยสัพเพเหระกับผู้เฒ่าเยี่ยต่อไป
ในยามที่เขาไม่คิดแผนการร้ายเล่นงานผู้อื่น เขากลับเป็นผู้ช่ำชองในการล่อหลอกเอาใจคน เพียงไม่กี่คำก็ทำให้ผู้เฒ่าเยี่ยยิ้มหน้าบานจนหุบไม่ลง เรียกเขาไม่ขาดปากว่า ‘เหลนเขย’ หรือ ‘เหลนสะใภ้’ ก็สุดรู้ อยากรั้งเขาให้อยู่ต่อสักสองสามวันเป็นเพื่อนคลายเบื่อให้ตัวเองใจจะขาด
ตอนกลับอารมณ์ของซย่าอวี้จิ่นดีขึ้นมาก ผู้เฒ่าเยี่ยเองก็ยิ้มระรื่น ออกมาส่งถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง และพูดกับเขาต่อหน้าผู้คน
“วันหลังกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ นะ” เขากวัดแกว่งไม้เท้า ตวาดใส่เยี่ยเจาอย่างดุร้าย “ห้ามเจ้าทุบตีภรรยาอีก! มิเช่นนั้นข้าไม่นับเจ้าเป็นเหลนข้า!”
ซย่าอวี้จิ่นตัวโงนเงนวูบหนึ่ง หวิดจะล้มลงบนพื้นหิมะ
เยี่ยเจารีบยื่นมือพยุงไว้ เห็นสีหน้าอีกฝ่ายส่อเค้าจะแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงก็ตัดสินใจผลักเขาเข้าไปในเกี้ยวอย่างฉับไว ทิ้งให้หวงซื่อเป็นผู้อธิบาย ขณะที่ตัวเองสั่งทุกคนออกเดินทางกลับ
ระหว่างทางทั้งคู่ตกอยู่ในบรรยากาศอึดอัดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะซย่าอวี้จิ่นแทบจะทำหน้ามุ่ยอยู่ตลอด
เยี่ยเจาอ้าปากเอ่ยเสียงเบา
“คือว่า@@@วันนี้ท่านทำได้ไม่เลวเลย แล้วก็เรื่องของหลานชายข้า ขอบคุณนะ”
ซย่าอวี้จิ่นเบือนหน้าหนีไม่มองนาง เยี่ยเจาจึงพยายามเอ่ยปลอบ
“มือท่านยังเจ็บอยู่หรือไม่”
น่าเสียดายที่แต่ไรมานางไม่ถนัดเรื่องการแสดงความห่วงใยเอาใจใส่ น้ำเสียงฟังแล้วแปร่งหูได้มากเท่าไรก็แปร่งหูมากเท่านั้น กลับไพล่ไปคล้ายกำลังประชดประชันอยู่บ้าง
ซย่าอวี้จิ่นมองรอยฟกช้ำหลายรอยบนข้อมือตนเพราะถูกนางบีบเมื่อวานก็ยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ครั้นย้อนคิดถึงเรื่องที่หูชิงเคยบอกเขาว่าแม่ทัพใหญ่ยินยอมแต่งงานกับเขาอาจเป็นเพราะเขามีใบหน้าสวยงาม อ่อนแอเหลาะแหละไร้ความสามารถ บงการได้ง่ายเป็นพิเศษ เขาก็ลอบนึกขัดเคืองอีกฝ่าย ใจที่อ่อนลงเล็กน้อยในทีแรกมลายหายวับไปอีกครั้ง
เขาเงยหน้ามองเยี่ยเจา คลี่ยิ้มออกมา ดวงตาทอประกายวาววับ
“เรื่องที่เจ้าต้องการให้ทำ ข้าก็ทำหมดแล้ว ข้าให้เกียรติครอบครัวเจ้ามากพอกระมัง”
นางขยับถอยไปด้านหลังเล็กน้อย ตอบอย่างเห็นพ้องด้วย
“ใช่ วันหน้าก็สมควรเป็นเช่นนี้”
“แน่นอน ถึงความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ดีก็ช่างเถอะ แต่อย่าทำให้ผู้อาวุโสต้องเป็นห่วง” เขาเอ่ยต่ออย่างระแวดระวัง “ข้าให้เกียรติครอบครัวเจ้าแล้ว เจ้าก็สมควรให้เกียรติครอบครัวข้าบ้าง”
นางนิ่งคิด ตอบอย่างเห็นพ้องเช่นเดิม
“สมควรสิ ท่านมีอะไรอยากให้ข้าช่วยเหลือก็เอ่ยปากมาได้เต็มที่”
“ช่วยเหลือคงไม่ต้อง” เขาลูบเตาพกในมือเล่น กล่าวอย่างเนิบช้า “เมื่อวานท่านแม่ร้องห่มร้องไห้พูดกับข้า คิดว่าคนนอกล้วนขบขันที่สะใภ้ที่แต่งเข้ามาวางท่าใหญ่โต ไม่กตัญญู เป็นต้นเหตุให้ท่านแม่เสียหน้าอย่างมากจนแทบไม่กล้าออกนอกประตูวัง ฉะนั้นนับแต่วันพรุ่งนี้เจ้าก็เริ่มปฏิบัติตามธรรมเนียม วางตัวเป็นสะใภ้ที่ดี ปรนนิบัติพัดวีข้างกายท่านแม่ทั้งเช้าทั้งเย็นอย่างเช่นยืนรอรับใช้ คีบกับข้าวให้ หรือพูดคุยเรื่องสัพเพเหระก็ได้ จะได้อุดปากสตรีช่างนินทาเหล่านั้นซะ”
เยี่ยเจาตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ
ซย่าอวี้จิ่นแย้มยิ้มคล้ายจิ้งจอกน้อยที่แผนการร้ายลุล่วงไปด้วยดี
“ท่านแม่ทัพ ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้”
กองทัพนครหลวง
เยี่ยเจายืนไพล่มือไว้ด้านหลัง กล่าววิงวอนด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ
“พวกเราร่วมเป็นร่วมตายกันมาหลายปี บัดนี้ข้าประสบภาวะคับขัน ขอให้พี่น้องทุกคนช่วยข้าอีกแรงด้วย”
“ขอรับ!”
บรรดาที่ปรึกษาทัพขานรับเป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นก็นั่งแยกกันเป็นสองแถว ถือพู่กันขนเพียงพอนอยู่ในมือ มีกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งวางตรงหน้า บนนั้นจั่วหัวว่า ‘หลักการอยู่ร่วมกันของแม่สามีกับสะใภ้’ ‘หัวข้อสนทนาของเหล่าสตรี’ ‘กลเม็ดกตัญญูแม่สามี’ เป็นต้น แต่ละคนมีสีหน้าราวกับกำลังกลืนยาขมยิ่งขึ้น
บรรดาตระกูลทหารของแคว้นต้าฉินมักผูกดองกันเอง มารดาและย่าของเยี่ยเจาก็เป็นพยัคฆ์สายเลือดนักรบที่แกร่งกร้าว ส่วนย่าทวดของนางที่ล่วงลับไปแล้วยังเป็นถึงจอมยุทธ์หญิงที่มุทะลุดุดันยิ่งกว่า ทุกคนล้วนเป็นสตรีที่เปิดเผยตรงไปตรงมา แม้ในกาลก่อนแม่สามีกับสะใภ้จะเข้ากันได้ไม่เลว ทว่ายังคงเกิดศึกนางเสือปะทะนางสิงห์ชิงความเป็นใหญ่อยู่เนืองๆ แล้วยามที่ศึกปะทุขึ้น กระทั่งผู้เฒ่าเยี่ยยังต้องถอยหลบเป็นบางครั้งอย่างช่วยมิได้ ฝ่ายหวงซื่อดูเหมือนอ่อนแอบอบบาง แต่ก็ร่ายรำกระบวนท่าเพลงดาบใบหลิวได้สวยงาม บุรุษทั่วไปสามสี่คนไม่อาจเข้าประชิดตัวได้
วรชายาอันไท่เฟยเป็นกุลสตรีเมืองหลวง ยึดถือธรรมเนียม และมีนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวล ย่อมต้องชมชอบวิธีอยู่ร่วมกันของแม่สามีกับสะใภ้แบบธรรมดา การที่เยี่ยเจาจะทำตัวให้เป็นที่พึงใจของแม่สามีได้อย่างไรนั้นจึงสร้างความลำบากใจให้นางนับพันนับหมื่นประการเลยทีเดียว ถึงนางจะมีความตั้งใจจริงก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากที่ใด
ทว่านางเป็นคนรักษาสัจจะ เรื่องที่ตกปากรับคำไว้จะต้องทำให้ถึงที่สุด
เยี่ยเจาชั่งน้ำหนักแล้วว่าถ้าไปหารือเรื่องนี้กับหวงซื่อ มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายกังวลใจ นางจึงเรียกที่ปรึกษาทัพทั้งหมดที่อยู่โม่เป่ยในครั้งนั้นมารวมตัวกัน เปิดประชุมแผนการรบ จากนั้นก็มอบหมายหน้าที่ ออกคำสั่งบังคับให้ทุกคนกลับบ้านไปถามภรรยาและมารดาตัวเอง ศึกษาจากประสบการณ์ และกลับมารายงานโดยละเอียด
ที่ปรึกษาหม่าไม่เต็มอกเต็มใจนัก เอ่ยปากขึ้นเสียงอ่อยๆ
“นี่มิใช่เรื่องที่บุรุษจะกระทำเลย ไฉนข้า@@@”
นางทำหน้าปั้นปึ่งถลึงตาใส่เขาทันที
“จักรพรรดิองค์ปัจจุบันทรงยึดถือหลักกตัญญูปกครองแผ่นดิน! แม้แต่กตัญญูมารดาตนเจ้าก็ยังทำไม่ได้รึ! บัดซบสิ้นดี! เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือการสร้างครอบครัว ปกครองแผ่นดิน เพื่อความผาสุกของปวงประชา แม้แต่ครอบครัวเจ้าก็ไม่สนใจไยดี นับประสาอะไรกับการเป็นทหารในกองทัพไปพิชิตใต้หล้า! แม่ทัพอย่างข้าให้ความสำคัญกับความกตัญญูเป็นที่หนึ่ง! หักเบี้ยเลี้ยงเจ้าสามเดือน กลับไปสำนึกผิดให้ดี! รู้จักกตัญญูมารดาเมื่อไรแล้วค่อยกลับมาพบข้า!”
เหล่าที่ปรึกษาทัพตกใจไม่น้อย พากันกุลีกุจอจรดพู่กันเขียนแต่โดยดี รีดเค้นความคิดจากสมองกันอย่างหนัก
เยี่ยเจานั่งเอนหลังบนเก้าอี้ไท่ซือ จับตาดูทุกคนทำงานชั่วครู่ ดื่มชาคำหนึ่งแล้วเอ่ยถามชิวสุ่ย
“เจ้าจิ้งจอกล่ะ?”
ชิวหวารีบเดินเข้ามาบอก
“ท่านกุนซือฝากความไว้ว่าเขาไม่มีทั้งมารดาและภรรยา ไม่อาจช่วยอะไรได้จริงๆ แต่เขามองดูท่าทางกลัดกลุ้มเหลือหลายของท่านแล้วรู้สึกทุกข์ใจ เลยไปที่วัดมหาธรรมซึ่งอยู่ละแวกนี้เพื่อไหว้พระ ถวายธูปเทียนเติมน้ำมันตะเกียงเล็กๆ น้อยๆ ขอพรให้ท่านประสบความสำเร็จ สมปรารถนาในทุกสิ่ง”
“หน็อย! ถวายธูปเทียนเติมน้ำมันตะเกียงอะไรกัน” เยี่ยเจาเกือบสำลักน้ำชา นางตบโต๊ะแล้วตวาดขึ้น “คราวก่อนเจ้าลูกเต่าสารเลวนั่นเพิ่งบอกว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดศาสนาเต๋าอยู่เลย!”
ชิวสุ่ยรีบปรี่เข้าไปกล่อมท่านแม่ทัพให้อารมณ์เย็นลง
อีกด้านหนึ่ง ที่วังอันอ๋อง วรชายาอันไท่เฟยก็เตรียมตัวเตรียมใจอยู่เช่นกัน
ผู้เป็นมารดาทุกคนล้วนวาดหวังอยากได้สะใภ้ถูกใจสักคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นภรรยาที่ตบแต่งให้กับบุตรชายคนเล็กที่ตนรักเอ็นดูที่สุดยิ่งต้องเลือกเฟ้นเป็นอย่างดี ต่อให้ชาติตระกูลด้อยกว่าสักหน่อย รูปโฉมชั้นรองสักนิดก็สมควรเป็นหญิงสาวในตระกูลใหญ่โตที่อ่อนหวานสมกุลสตรี ดูแลเหย้าเรือน รักใคร่สามี
เมื่อมีพระราชโองการพระราชทานสมรสมาถึง ประหนึ่งอสนีบาตฟาดกลางกระหม่อม ด้วยในใจนางรู้ดีว่าชั่วชีวิตนี้ของบุตรชายคนเล็กคงมิได้อยู่อย่างมีความสุขแล้ว น้ำตาพานไหลออกมาเป็นสายไม่หยุด
ก่อนวันมงคลพระพันปีเคยเรียกนางเข้าวัง กำชับนักกำชับหนาว่าสะใภ้ผู้นี้มีสถานะผิดแผกจากสามัญ จะเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อการทำงานรับใช้จักรพรรดิในภายภาคหน้า ขอให้นางอย่าเข้มงวดเรื่องธรรมเนียมจนเกินไปนัก อย่าวางท่าเป็นแม่สามีจนทำให้ขุนนางผู้มีความชอบต้องเสียขวัญกำลังใจ ต่อให้มีอะไรไม่ชอบใจอยู่บ้าง วันหน้าแยกเรือนกันแล้วมองไม่เห็นก็ไม่ทุกข์ใจเอง
นางออกไปข้างนอกก็มีบรรดาพี่น้องมองมาด้วยสายตาเห็นใจ กล่าววาจาเอ่ยกล่อม
‘สะใภ้ท่านก็แค่วางท่าใหญ่โต ดื้อรั้นหัวแข็งไปบ้าง แต่อยู่กันไปก็คุ้นชินไปเอง ดีชั่วอย่างไรยังมีสะใภ้ใหญ่ที่กตัญญูต่อท่านนะ’
ยิ่งกว่านั้นยังมีคนที่พูดจาไม่เป็นกล่าวปลอบใจ
‘ถึงอย่างไรลูกชายคนเล็กท่านก็ไม่รักความก้าวหน้า อาศัยสะใภ้เชิดชูวงศ์ตระกูล นับว่าเป็นเรื่องดีนะ’
นางฟังถ้อยคำเหล่านี้แล้วอยากส่งเสียงถุยกลับไปใจจะขาด
หากสะใภ้ไม่สามารถดูแลเหย้าเรือน กตัญญูแม่สามี และเอาใจสามีแล้วจะแต่งเข้ามาทำไม
อดีตอันอ๋องสามีนางเหน็ดเหนื่อยตรากตรำกับงานราชการแผ่นดินจนสิ้นลม นางครองตัวเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว รู้จักทำบุญสร้างกุศล ช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติทุกปี ถวายธูปเทียนเติมน้ำมันตะเกียงให้วัดวาอาราม คงไม่นับว่าเป็นสตรีชั่วช้าเลวทรามกระมัง
บุตรชายคนเล็กป่วยกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่เยาว์วัย จวนเจียนจากโลกไปตั้งแต่อายุยังน้อย เพิ่งจะมีหลายปีมานี้ที่อาการดีขึ้นตามลำดับ นางจึงรักและตามใจเขามากเกินไปบ้าง แม้ตอนนี้เขาจะทำตัวสำมะเลเทเมา ชื่อเสียงฉาวโฉ่ กระนั้นก็น้อยครั้งนักที่เขาจะก่อความเดือดร้อนใหญ่โตให้กับครอบครัว
ทว่าผู้อื่นกลับพูดลับหลังกันว่าอะไรบ้างนะ
‘ลูกชายของเซิ่นชินอ๋องเอย ลูกชายคนรองของแม่ทัพเวยอู่เอย มีคนใดบ้างมิใช่หนุ่มรูปงามมากความสามารถและมีความประพฤติดี ท่านแม่ทัพมีอำนาจล้นฟ้า ออกเรือนไปกับลูกชายไร้สามารถของอดีตอันอ๋องก็สูญเปล่าอยู่เหมือนกัน’
จริงอยู่ที่บุตรชายคนเล็กไม่เอาถ่านไปสักหน่อย แต่นางเป็นมารดา ในใจย่อมมีเพียงความรักความสงสาร อีกทั้งตระกูลนางก็มิใช่กาฝากอาศัยสตรีเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรี ไยต้องหักใจปล่อยให้เขาถูกเหยียบไว้ใต้เท้าสตรี โงหัวไม่ขึ้นตลอดชีวิต
แต่งงานกับนกกระจอกที่รู้ความอยู่ในโอวาทสักตัวยังดีเสียกว่า ใครกันอยากไปอาจเอื้อมนกหงส์
วรชายาอันไท่เฟยทำใจยอมรับไม่ได้อย่างมาก แต่จนปัญญาที่นางมิใช่คนใจกล้า ทั้งยังเชื่อฟังคำพูดของพระพันปีโดยไม่บิดพลิ้ว ฉะนั้นนับแต่ซย่าอวี้จิ่นแต่งงานเป็นต้นมา นางก็ได้แต่เก็บความคับใจสุมแน่นอยู่ในอก น้ำตาไหลอาบหน้าอยู่บ่อยๆ แต่กลับไม่กล้าอาละวาดออกมา เพียงแอบบ่นกับสะใภ้ใหญ่ อยากให้พญายมแห่งแดนดินผู้นี้ชิงชังบุตรชายคนเล็กเร็วขึ้นจนแทบทนรอไม่ไหว จะได้ไสหัวออกจากตระกูลไปเสาะหาบุรุษที่มีความสามารถคนอื่น
เวลานี้ซย่าอวี้จิ่นกำลังให้กำลังใจมารดา
“นางขนอาวุธมาเป็นขบวนอย่างเอิกเกริกก็เพื่อตัดไม้ข่มนามข้าก่อน ตอนส่งตัวเข้าหอ ข้าบันดาลโทสะออกไป นางไม่ห้ามไม่ทัดทาน ซ้ำร้ายยังซ่อนอาวุธไว้ในเสื้อ ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์ใด ข้าหนีออกจากบ้านหลายวันไม่กลับมา นางก็ไม่สนใจไม่ไยดี ในเมื่อสตรีผู้นี้ไม่ชอบข้า ไยต้องแต่งงานกับข้า ในเมื่อไม่ชอบข้า ไยต้องวางตัวเหนือกว่า ทำให้ข้าขายหน้าเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะตัดไม้ข่มนามนางเป็นการเอาคืนบ้าง จะต้องทำให้นางยินยอมอ่อนข้อให้จงได้ ท่านแม่ ไม่ว่าอย่างไรท่านก็เป็นผู้อาวุโส ท่านต้องแสดงบารมีออกมาให้นางทำหน้าที่ของสะใภ้นะ”
“ไม่ผิด” วรชายาอันไท่เฟยยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าถูกต้องอย่างที่สุด ความเห็นใจที่มีต่อบุตรชายคนเล็กสะกดความกลัวเกรงที่มีต่อสะใภ้เอาไว้ จิตใจบังเกิดความฮึกเหิมขึ้นอีกครั้ง นางยืดอกกล่าวเสียงกร้าว “ต่อให้นางเป็นแม่ทัพที่จักรพรรดิทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง แต่ก็เป็นสะใภ้วังอันอ๋องด้วย ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางจะกล้าไม่อยู่ในโอวาทข้า!”
“ถูกต้อง ต้องให้ได้อย่างนี้สิท่านแม่”
ซย่าอวี้จิ่นเป็นแรงหนุนอย่างขันแข็ง พยักหน้าร้องรับชอบใจไม่ขาดปาก
รุ่งเช้าวันที่สอง เพิ่งถึงยามเหม่า* เยี่ยเจาซึ่งวันหยุดสิ้นสุดแล้วเตรียมตัวไปเข้าประชุมขุนนาง ก่อนออกไปนางมาที่ห้องของวรชายาอันไท่เฟย ขอให้หัวหน้าสาวใช้เข้าไปรายงาน จากนั้นก็ยืนรอคารวะแม่สามีอยู่นอกประตูอย่างนอบน้อม
แม่สามีของวรชายาอันไท่เฟยคือพระพันปี แต่หลังแต่งงานนางมีชีวิตที่ค่อนข้างอิสระและผ่อนคลาย ทุกวันต้องรอถึงยามเฉิน** จึงค่อยลุกจากเตียง
เวลานี้สะใภ้มาแสดงคารวะตามธรรมเนียม นางไม่กล้าถ่วงเวลาอีกฝ่ายไปประชุมขุนนางกับจักรพรรดิ จำต้องกัดฟันแข็งใจตื่นขึ้นมา วักน้ำเย็นลูบหน้าหลายครั้ง เมื่อสวมอาภรณ์เรียบร้อยแล้วก็ออกมารับการคารวะจากสะใภ้
เยี่ยเจาพยุงนางไปยังโถงด้านข้าง พอการคารวะเสร็จสิ้น ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างไร้วาจาจะกล่าว สุดท้ายเป็นสะใภ้กล่าวชมขึ้น
“วันนี้สีหน้าท่านไม่เลวเลยเจ้าค่ะ”
ดีอะไรกัน วรชายาอันไท่เฟยนอนไม่เต็มอิ่ม รู้สึกวิงเวียนศีรษะเป็นระลอก ผ่านไปเป็นนานถึงพยักหน้าเนิบช้า ขับไล่ความง่วงงุนออกไป ทำท่ากระปรี้กระเปร่า เตรียมแสดงบารมีของแม่สามีกล่าวอบรมสั่งสอนสะใภ้
ไม่คาดว่าทหารคนสนิทนอกห้องจะเข้ามารายงาน
“ท่านแม่ทัพ ได้เวลาเข้าวังแล้วขอรับ”
เยี่ยเจารีบยอบกายคำนับอีกครั้งแล้วเดินลิ่วๆ หายลับไป
วรชายาอันไท่เฟยชะงักเก้อประหนึ่งเงื้อกำปั้นสุดแรงแล้วทุบลงบนความว่างเปล่าก็ไม่ปาน นางนั่งนิ่งอยู่เนิ่นนานก่อนจะถามอย่างฉุนเฉียว
“ชายาอันอ๋องล่ะ? เหตุใดนางยังไม่มาคารวะข้าอีก นับวันยิ่งเกียจคร้านขึ้นทุกที ไม่เห็นหรือว่าแม่สามีลุกจากเตียงแล้ว”
* ยามเหม่า คือช่วงเวลา 05.00 น. ถึง 07.00 น.
** ยามเฉิน คือช่วงเวลา 07.00 น. ถึง 09.00 น.
ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนเยี่ยเจากลับมา นางถอดชุดทหารออกแล้วมาที่โถงกลางอย่างเร่งรีบ ไปยืนอยู่ข้างกายวรชายาอันไท่เฟยอย่างนอบน้อม ดูคล้ายทหารเฝ้ายามก็ไม่ปาน
แม่ทัพใหญ่ยืนนิ่งตัวตรง ทบทวนบทสนทนาต่างๆ นานาที่แพร่หลายในหมู่ฮูหยินของเมืองหลวงซึ่งเหล่าที่ปรึกษาทัพตระเตรียมให้อยู่ในใจหลายรอบ จากนั้นก็เริ่มลองชวนคุยสัพเพเหระ
“ดูเหมือนมุขมนตรีฉางจะรับอนุภรรยาเพิ่มอีกคนแล้วเจ้าค่ะ”
วรชายาอันไท่เฟยกวาดตามองสะใภ้แวบหนึ่งอย่างเฉยชา ลองกวนโทสะนาง
“จวิ้นอ๋องยังไม่มีลูก เจ้าก็ยุ่งกับงานราชการ เกรงว่าจะไม่มีเวลาคำนึงถึงเรื่องนี้ มิสู้รับอนุภรรยาให้เขาอีกสองสามคนจะได้มีทายาทสืบสกุล ข้ายกชุ่ยจือที่อยู่ข้างตัวข้าให้เจ้าดีหรือไม่”
เยี่ยเจานิ่งคิดแล้วส่ายหน้า
“ไม่ดีเจ้าค่ะ”
วรชายาอันไท่เฟยถามอย่างยินดี
“ไม่ดีอย่างไร”
เยี่ยเจาตอบอย่างจริงใจ
“นางผอมเกินไป อกอวบไม่พอ เอวบางไม่พอ สะโพกใหญ่ไม่พอ ไม่คล้ายลักษณะของสตรีลูกดก ข้าคิดว่าชุ่ยเยี่ยเหมาะสมกว่า ทรวดทรงอย่างนั้นมองปราดเดียวก็รู้ว่าลูกดก รูปโฉมก็พริ้มเพรา@@@ไร้ที่ติ หากอยู่ที่โม่เป่ย ทหารทั้งกองทัพล้วนต้องตาลุก ทะเลาะวิวาทกันยกใหญ่เพื่อแย่งชิงนางเป็นแน่ มิสู้รับนางดีกว่าเจ้าค่ะ”
ชุ่ยเยี่ยถูกชมจนลอบปีติในใจ แลมองใบหน้าคมเข้มของเยี่ยเจาอย่างเหนียมอาย หน้าแดงก้มศีรษะงุด
วรชายาอันไท่เฟยโมโหจนกล่าววาจาไม่ออก เยี่ยเจาเห็นสีหน้านางไม่สู้ดีนักก็รีบเอ่ยขึ้นอีก
“ท่านแม่ ท่านหักใจมิได้ก็แล้วไปเถอะ เมื่อก่อนผู้บัญชาการมณฑลสวี่แนะนำข้าว่าม้าผอมหยางโจว* ก็ไม่เลว แต่ละคนรูปโฉมเทียบชั้นนางสวรรค์ เพียบพร้อมทั้งความงามและความสามารถ ซ้ำยังรู้จักปรนนิบัติเอาใจ ตอนนั้นข้าฟังแล้วยังจิตใจเอนเอียงไปบ้าง อีกประเดี๋ยวข้าให้เขาไปคัดเลือกเฟ้นหาคนที่ทรวดทรงงดงาม หน้าตาพริ้มเพราที่สุดมาให้สักสองคน”
นางกระตือรือร้นเช่นนั้น ตกลงว่าคิดจะหาอนุภรรยาให้สามีหรือตัวเองกันแน่
วรชายาอันไท่เฟยยิ่งคิดยิ่งระแวง ตวาดเสียงกราดเกรี้ยว
“เมินซะเถอะ! วันใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าอย่าได้หมายว่าจะเอาหญิงงามเข้ามาในวัง!”
* ม้าผอมหยางโจว เป็นคำเรียกหญิงคณิกา มีที่มาจากสมัยโบราณหยางโจวเป็นเมืองท่าทางเศรษฐกิจที่เฟื่องฟู นายหน้ามักเลือกซื้อเด็กสาวเพื่อไปเป็นหญิงคณิกาด้วยวิธีเช่นเดียวกับการซื้อม้าคือเลือกที่ผอมแห้งเพราะราคาถูก แล้วค่อยขุนให้สมบูรณ์เพื่อเพิ่มราคาในภายหลัง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments