บทที่ 7
จักรพรรดิอยู่ในห้องทรงพระอักษร ยิ้มหน้าบานกับตั๋วเงิน
แผ่นดินระส่ำระสายจากศึกสงครามติดต่อกันหลายปี งานบ้านงานเมืองที่ถูกทิ้งร้างไว้มากมายล้วนต้องดำเนินการในเวลาเดียวกัน เป็นเหตุให้ท้องพระคลังร่อยหรอ วังหลวงต้องประหยัดมัธยัสถ์ไปเสียทุกเรื่องเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างที่ดี แม้แต่จักรพรรดิเองก็ยังต้องเป็นตัวตั้งตัวตีในการสวมอาภรณ์ที่มีรอยปะชุน ขณะที่อัครมเหสีก็ไม่กล้าซื้อหาเครื่องประดับชิ้นใหม่
จวบจนเยี่ยเจายกทัพกลับมาพร้อมชัยชนะและสิ้นสงคราม เรือนผมของบรรดาสตรีตำหนักในถึงได้นับว่ามีสีสันสดใสขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้ถึงวันฉลองพระชนมายุหกสิบพรรษาของพระพันปี แม้จักรพรรดิมีบัญชาลงไปให้จัดงานอย่างเรียบง่าย ทว่าจะทำอย่างไม่สมพระเกียรตินักก็มิได้เช่นกัน
เวลานี้ซย่าอวี้จิ่นส่งถ่านกลางหิมะ* มาตรว่าเงินหนึ่งหมื่นตำลึงไม่นับว่ามากมาย ทว่าเนื้อยุงก็ยังคงเป็นเนื้อ เรียกได้ว่าเขามีความกตัญญูน่าชื่นชม
จักรพรรดิพึงพอใจเป็นอันมาก พลอยให้รู้สึกชื่นชอบหลานชายไปด้วย
ส่วนที่มาของเงินก็นับว่าขาวสะอาดดี เดิมทีบ่อนพนันเป็นสถานที่ที่ต้องผ่านความเห็นชอบของทางการถึงจะเปิดได้อย่างถูกต้องเปิดเผย ขอเพียงมิใช่กระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองและมิได้ข่มเหงราษฎร จะได้เงินหรือเสียเงินล้วนอาศัยความสามารถตน
ส่วนการพังบ่อนพนันไร้มนุษยธรรมแห่งสองแห่ง ทุบตีอันธพาลคนสองคน ขอเพียงไม่ได้ทำให้ใครถึงแก่ชีวิตหรือถูกขุนนางฝ่ายฎีกาเวียนกันมาถกแขนเสื้อชี้หน้าด่าทอ ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่โตเช่นกัน พระองค์ถึงขั้นอยากให้ซย่าอวี้จิ่นกวาดล้างบ่อนพนันอีกหลายๆ แห่งใจจะขาดด้วยซ้ำ ทำให้เศรษฐีเจ้าของที่ดินที่ร่ำรวยเหลือกินเหลือใช้พวกนั้นต้องเฉือนเนื้อตัวเองเสียบ้าง แล้วเอามาให้พระองค์ใช้แก้ปัญหาขาดแคลนเงินไปช่วยผู้ประสบภัยธรรมชาติทางตะวันตกเฉียงใต้
ซย่าอวี้จินกล่าวชม
“ฝ่าบาททรงปราดเปรื่องปรีชาจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิรู้สึกไม่เหมาะ รีบซ่อนสีหน้ายินดีปรีดาแล้วตวาดดุ
“อวี้จิ่น! เจ้าประพฤติตัวเหลวไหลเกินไปแล้ว เป็นถึงหนานผิงจวิ้นอ๋องผู้ทรงเกียรติ กลับเข้าบ่อนเกลือกกลั้วกับการพนัน เสื่อมเสียชื่อเสียง!”
ซย่าอวี้จิ่นก้มหน้ารับฟังคำสั่งสอน
“คราวนี้เห็นแก่ที่เจ้ามีความกตัญญูต่อพระพันปีก็แล้วกันไปเถอะ” จักรพรรดิยื่นตั๋วเงินส่งให้ขันทีข้างกายเก็บไว้ด้วยท่าทางเคร่งขรึมน่ายำเกรง ถือเป็นการยุติเรื่องไปเท่านี้ จากนั้นก็เอ่ยอย่างฉุนเฉียว “เวลานี้เจ้าพวกนั้นนับวันยิ่งก่อเรื่องหนักข้อขึ้นทุกที อาณาเขตของฉีอ๋องก็อุดมสมบูรณ์มากพออยู่แล้ว เขายังจะเอื้อมมือเข้ามากอบโกยเงินทองในเมืองหลวง เปิดบ่อนพนันกับหอคณิกาลับหลัง ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบ ทั้งยังผูกขาดการค้าไว้เพียงผู้เดียว ช่างไม่รู้จักพอ! ยังมีองค์หญิงฉางผิงนั่นอีกคน แย่งชิงที่ดินผู้อื่นมาเพื่อสร้างตำหนักฤดูร้อน ซ้ำร้ายให้ท้ายพวกบ่าวไพร่ใจทราม บีบคั้นเจ้าของที่ดินจนจบชีวิตไปพร้อมกันทั้งครอบครัวสี่คน แล้วยังถูกถวายฎีกาฟ้องร้องอีก คิดจะยั่วโมโหเราให้ตายจริงๆ”
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ” ซย่าอวี้จิ่นสบช่องเอาดีเข้าตัว พูดผสมโรงพร้อมคุยโว “ยังคงเป็นกระหม่อมที่ซื่อตรงที่สุดนะพ่ะย่ะค่ะ”
* ส่งถ่านกลางหิมะ เป็นสำนวนหมายถึงหยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่ผู้ที่กำลังลำบากได้ทันการ
จักรพรรดิหยิบพัดใกล้มือเล่มหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมา ปาใส่ศีรษะของคนหน้าไม่อายตรงหน้าอย่างแรง
“ภาพวาดสาวงามฝีมือจิตรกรเอกอู๋เต้าจื่อจริงหรือนี่! วิเศษ! วิเศษเหลือเกิน!” ซย่าอวี้จิ่นคลี่พัดออก มองดูแวบหนึ่งแล้วรีบเก็บขึ้นโดยไวด้วยความยินดีจนออกนอกหน้า “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”
จักรพรรดิเห็นท่าทางไร้ยางอายของเขาก็โกรธจนอยากถกแขนเสื้อขึ้นชกคนกับมือ
มีหลายครั้งที่พระองค์จวนเจียนลงมือสั่งสอนหลานชายอย่างรุนแรง แต่แล้วพระองค์ก็จะนึกถึงอดีตอันอ๋อง น้องชายร่วมสายเลือดของตนซึ่งผูกพันรักใคร่กันมาก อีกทั้งสร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ในการช่วยพระองค์ขึ้นครองราชย์ แต่กลับล้มป่วยเพราะความเหน็ดเหนื่อยตรากตรำและจากไปตั้งแต่ยังหนุ่ม เหลือบุตรชายไว้สองคน คนหนึ่งพิการ คนหนึ่งอมโรค ล้วนเป็นคนที่ไม่อาจเอาดีได้
ยังดีที่ซย่าอวี้เชวี่ยเป็นคนซื่อตรงเคร่งครัดธรรมเนียม ขณะที่ซย่าอวี้จิ่นแม้จะสุขภาพอ่อนแอมาแต่เกิด แต่มีรูปโฉมและวาจาหวานหูเป็นที่ชมชอบของคนรอบข้าง ทั้งยังมีเงาของอดีตอันอ๋องอยู่หลายส่วน ดังนั้นคนทั้งวังหลวงล้วนรู้ว่านอกจากรัชทายาทแล้ว หลานที่พระพันปีรักเอ็นดูที่สุดก็คือเขา
เหนืออื่นใด ถึงซย่าอวี้จิ่นจะมีกิตติศัพท์เป็นพญามาร ทว่าเมื่อสืบสาวราวเรื่องอย่างจริงจังก็ไม่พบความผิดมหันต์อะไร มีก็แต่เรื่องบัดซบไร้สาระมากมายเหลือคณานับดังมาเข้าหูพระองค์อยู่เนืองๆ ยามปกติก็เอาแต่มั่วสุมกับสหายอันธพาลเกเร ก่อความวุ่นวาย สร้างความเสื่อมเสียให้กับเชื้อพระวงศ์นับครั้งไม่ถ้วน ทิ้งปัญหาน่าปวดศีรษะให้ตามสะสางอย่างไรก็ไม่จบไม่สิ้น
สองปีก่อนจักรพรรดิเคยใจแข็งขึ้นมาคราหนึ่ง ลากตัวซย่าอวี้จิ่นไปโบยยี่สิบไม้เป็นการสั่งสอน แม้จะกำชับขันทีให้ลงมือเบาๆ แต่โบยยังไม่ถึงสองไม้เขาก็สิ้นสติไป หลังจากนั้นพระพันปียันไม้เท้า เดินร่ำไห้น้ำมูกน้ำตานองหน้าปรี่เข้าไปกอดซย่าอวี้จิ่น พร่ำรำพันแต่ชื่อบิดาอายุสั้นของเขา เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาเสียจนสุดท้ายจักรพรรดิต้องไปตำหนักเมตตาผาสุกขอขมาพระมารดาด้วยพระองค์เองและสาบานต่อฟ้าว่าจะไม่ทุบตีเจ้าแมวป่วยนั่นอีกต่อไป
จากเหตุการณ์นี้จักรพรรดิทรงรู้แจ้งเห็นจริงแล้วว่า@@@ซย่าอวี้จิ่นคือก้อนเมฆสีขาวที่ล่องลอยอยู่บนฟ้า ขอเพียงคิดเสียว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตน พระองค์ก็จะไม่หงุดหงิดใจ
นับแต่นั้นมาฎีกาที่เกี่ยวข้องกับซย่าอวี้จิ่นทั้งหมด พระองค์ล้วนกวาดตามองผ่านๆ จนแน่ใจว่ามิใช่เรื่องร้ายแรงเป็นที่โกรธแค้นของทั้งคนทั้งเทวดาก็จะยับยั้งไว้ไม่ไปสนใจ ส่วนเรื่องการปูนบำเหน็จเลื่อนยศถาบรรดาศักดิ์ทุกอย่างในช่วงวันเทศกาลมงคล พระองค์ก็จะมองข้ามซย่าอวี้จิ่นไปทั้งหมดเช่นกัน กระทั่งซย่าอวี้จิ่นไปก่อเรื่องข้างนอก ถูกคนชกหลายหมัด พระองค์ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้
จนแม่ทัพใหญ่กรีธาทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ พระพันปีเอ่ยขึ้นว่าจะให้เยี่ยเจาแต่งงานกับซย่าอวี้จิ่น จักรพรรดิถึงได้นึกถึงเขาขึ้นมาได้และคล้อยตามความประสงค์ของพระพันปีอย่างสาสมใจในคราวเคราะห์ของเขา วาดหวังว่าแม่ทัพเยี่ยผู้ดุร้ายจะช่วยพระองค์เล่นงานหลานชายเหลือขอคนนี้ให้หนักๆ
ซย่าอวี้จิ่นยังคงไม่รู้ตัว เอ่ยอย่างร่าเริง
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอตัวไปถวายพระพรพระพันปีนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ช้าก่อน” วันนี้จักรพรรดิอารมณ์ดีอย่างยิ่ง มองเห็นตัวไร้ค่าก็ยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดาขึ้นมาได้ พระองค์เรียกหลานชายไว้ ใคร่ครวญอยู่พักใหญ่แล้วเผยรอยยิ้มเมตตาออกมา “อวี้จิ่น เจ้าก็ได้รับแต่งตั้งเป็นหนานผิงจวิ้นอ๋องมาหลายเดือนแล้ว แต่จะเล่นสนุกต่อไปเช่นนี้ตลอดชีวิตก็คงมิใช่หนทางที่ดี มิสู้ให้เจ้าเป็นขุนนางสักตำแหน่ง ถือเสียว่าเป็นการทุ่มเทแรงกายเพื่อแผ่นดินต้าฉินบ้าง”
ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกราวกับอสนีสายหนึ่งฟาดผ่าลงมาจากกลางฟ้า ส่งเสียงดังกึกก้องอึงอลอยู่ในหู เมื่อดึงสติคืนมาได้ก็เริ่มสงสัยว่าเสด็จลุงของตนถูกนางจิ้งจอกยั่วยวนให้ลุ่มหลงจนอยากให้บ้านเมืองพินาศล่มจมแล้วหรือไร
เขากล่าวตอบเสียงอึกอัก
“พระองค์ก็ทราบว่ากระหม่อมมีความสามารถน้อยนิด นอกจากกินดื่มเที่ยวเล่นแล้วทำอะไรไม่เป็นทั้งนั้น ส่วนเรื่องตำรับตำราแม้จะเรียนบ้างไม่เรียนบ้างกับบัณฑิตหลงอยู่หลายปี อย่างมากก็พออ่านบทประพันธ์ได้รู้เรื่อง แต่หลักบริหารบ้านเมืองอะไรนั่นไม่เข้าใจสักอย่าง ให้กระหม่อมเป็นขุนนางอาจทำให้มีคนตายได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิแย้มยิ้มอ่อนโยนอบอุ่นยิ่งขึ้น เดินเข้าไปตบบ่าซย่าอวี้จิ่นเบาๆ พร้อมกล่าว
“อย่าดูแคลนตัวเองเกินไป เราไตร่ตรองทบทวนแล้ว ตำแหน่งนี้หามีผู้ใดเหมาะสมไปกว่าเจ้า”
ซย่าอวี้จิ่นเห็นจักรพรรดิดูท่าทางไม่คล้ายเสียสติก็ถามขึ้นอย่างระแวงสงสัย
“ตำแหน่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ผู้ตรวจการนครหลวง”
ซย่าอวี้จิ่นเกือบสำลัก
ตำแหน่งผู้ตรวจการนครหลวงนี้ฟังดูน่าเกรงขาม แต่แท้จริงแล้วเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยขั้นหก มีผู้ใต้บังคับบัญชาร้อยกว่าคน ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและจับโจรผู้ร้ายตามท้องถนนในเมืองหลวง ทั้งยังต้องรับเรื่องร้องเรียนเล็กๆ น้อยๆ ดังเช่นหญิงสาวชาวบ้านทะเลาะตบตี นักเลงหัวไม้ต่อสู้วิวาท อันธพาลกินอาหารไม่จ่ายเงิน สุนัขดุข้างบ้านทำร้ายคน หมอไร้ฝีมือรักษาโรคผิด เที่ยวหอคณิกาไม่มีเงินจ่าย และอื่นๆ สรุปแล้วก็คือคนตรวจตราถนนดีๆ นี่เอง
แล้วการตรวจตราถนนใหญ่ในเมืองหลวงก็มิใช่เรื่องง่าย ใบไม้ร่วงจากต้นใบหนึ่งล้วนตกใส่ศีรษะผู้สูงศักดิ์สองสามคน มีทั้งขุนนางใหญ่ชุกชุมและบ่าวไพร่วางโตของพวกเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ยั้วเยี้ยราวกับฝูงมด ร้านค้าใหญ่โตทุกแห่งล้วนมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกันสลับซับซ้อน ส่วนผู้ตรวจการนครหลวงก็ยศต่ำจนคำพูดไร้น้ำหนัก มักเป็นฝ่ายล่วงเกินคนอยู่เสมอ ผลลัพธ์คือมิใช่โดนเล่นงานก็ถูกลงโทษ ไม่ก็ไม่กล้าแตะต้องใครเลย ส่งผลให้แต่ละปีต้องเปลี่ยนผู้ตรวจการนครหลวงถึงสามคนด้วยผู้ใดก็ไม่เต็มใจรับตำแหน่งเคราะห์ร้ายนี้
ซย่าอวี้จิ่นพยายามบอกปัด
“กระหม่อมไม่ทำได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเอ่ยง่ายๆ
“ถึงอย่างไรเจ้าอยู่เฉยๆ ก็ออกไปเดินเล่นข้างนอกทุกวัน เป็นผู้ตรวจการนครหลวงมิใช่เดินเล่นเหมือนกันหรอกหรือ แค่มีชื่อตำแหน่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น ทำงานไปตามหน้าที่ก็พอแล้ว อีกประการหนึ่ง กระทั่งฉีอ๋องเจ้ายังกล้าเล่นงาน จะจัดการคนอื่นอีกก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงแล้ว”
ซย่าอวี้จิ่นเอ่ยถามโดยตั้งความหวังว่าตัวเองจะบังเอิญโชคดี
“ถ้ากระหม่อมก่อความเสียหายขึ้น@@@จะทรงปลดกระหม่อมออกจากตำแหน่งเลยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิยืนกราน
“อย่าพูดอะไรชวนท้อใจเช่นนั้น เจ้าต้องทำได้แน่นอน ยิ่งกว่านั้นเราเองก็หักใจให้กรมปกครองสอบสวนความผิดเจ้าไม่ได้หรอก”
ซย่าอวี้จิ่นกล่าวด้วยสีหน้าโศกรันทด
“แล้วถ้าทุกคนไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติกระหม่อมจะทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิมองพัดที่เขาเก็บเข้าไปในอกเสื้อแวบหนึ่ง กล่าวปลอบอย่างใจเย็น
“ไม่ต้องใส่ใจกับเรื่องขี้ผงเท่านี้ ถึงอย่างไรเจ้ายังมีภรรยาหนุนหลังอยู่”
ต่อให้ถูกคุกคามขู่เข็ญด้วยอำนาจ ซย่าอวี้จิ่นก็หาใช่ผู้ที่จะยอมรับชะตากรรมโดยง่าย
จนปัญญาที่เขาเตร็ดเตร่อยู่ที่แม่น้ำฉินมาตลอดราตรี ครั้นออกไปซื้อเนื้อแพะแต่เช้าก็ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับการบังคับพนันอีก ไม่ง่ายเลยกว่าจะจบเรื่อง เขาก็ตรงดิ่งเอาเงินมาส่งให้ที่วังหลวงโดยไม่หยุดพัก ระหว่างนั้นยังตกน้ำจนถูกความเย็น ร่างกายไม่ค่อยสบายแต่แรกแล้ว กอปรกับได้รับหนังสือหย่าของเยี่ยเจาและหนังสือแต่งตั้งของจักรพรรดิ บันดาลให้อารมณ์ตื่นเต้นพลุ่งพล่าน ประเดี๋ยวยินดี ประเดี๋ยวตกใจ สุดท้ายร่างกายก็ทนไม่ไหว ยังมิทันได้อ้าปากพูดกับจักรพรรดิอย่างดื้อรั้นเกเร เขาก็ตาลายเห็นดาวระยิบระยับ ล้มลงกับพื้นโดยไม่แม้แต่จะส่งเสียงร้องสักแอะ
ยามที่ฟื้นขึ้นมา เขาพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องเล็กด้านข้างห้องทรงพระอักษร มีหนังสือแต่งตั้งวางอยู่ข้างๆ ประทับตราขนาดใหญ่สีแดงโร่ ส่วนจักรพรรดิกำลังจับตาดูแพทย์หลวงตรวจอาการให้เขาและถือยาชามหนึ่งที่รสขมยิ่งกว่าหวงเหลียนมาให้เองกับมือ เพื่อแสดงความรักใคร่อาทรระหว่างลุงกับหลาน พร้อมทั้งพูดปลอบอย่างสนิทสนม
“แค่ตรากตรำเกินไปเท่านั้น พักสองวันก็ไม่เป็นไรแล้ว เรานำเรื่องที่เจ้าได้รับตำแหน่งผู้ตรวจการนครหลวงบอกกล่าวให้พระพันปีทราบแล้ว ยังตรัสว่าหลังจากเจ้าแต่งงานก็ยอมคิดถึงความก้าวหน้าในที่สุด ทรงปลาบปลื้มยินดีจนสวดมนต์เป็นการใหญ่”
ครั้นทางหนีทีไล่ถูกตัดขาด ซย่าอวี้จิ่นก็ดิ้นรนเป็นเฮือกสุดท้าย
“กระหม่อมเป็นถึงหนานผิงจวิ้นอ๋องมีเกียรติสูงส่ง รับตำแหน่งเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยขั้นหก ซ้ำยังต้องสวมเสื้อคลุมสีเขียว พอยืนอยู่ท่ามกลางญาติผู้พี่ผู้น้องที่สวมชุดแดงชุดม่วงจะน่าขายหน้าเพียงไหนกัน@@@”
“เจ้ายังมียางอายอยู่อีกหรือ” จักรพรรดิรำพึงขึ้นด้วยสุ้มเสียงที่ดังพอจะได้ยินกันทุกคน จากนั้นก็เอ่ยยิ้มๆ อย่างมีเมตตาอีกครั้ง “งานไม่มีต่ำต้อยสูงส่ง ท้ายที่สุดก็ต้องเป็นคนที่ลงมือกระทำ ทำได้ดีค่อยเลื่อนขั้นวันหลัง ส่วนเรื่องเสื้อคลุมสีเขียวที่ไม่ค่อยจะสวยงามนั้น เจ้าเยาว์วัยรูปงาม กำลังหนุ่มแน่นเปี่ยมเสน่ห์ ไม่มีอะไรเสียหายนัก อย่างมากเราจะออกพระราชโองการอีกฉบับ อนุญาตให้ช่างปักปักลายดอกไม้สองสามดอกเพิ่มบนชุดขุนนางของเจ้า ขลิบริมสองด้านเป็นสีทอง ติดเพชรพลอยไข่มุกสักสองเม็ด ตกแต่งให้หรูหราขึ้นเป็นพิเศษเพื่อบ่งบอกถึงศักดิ์ฐานะที่แตกต่างกัน”
ซย่าอวี้จิ่นมองดูใบหน้าที่เจ้าเล่ห์แสนกลยิ่งกว่าเพียงพอนเหลือง* นั่นแล้ว นึกสงสัยสุดใจว่าภาพเหมือนของปฐมกษัตริย์ผู้สถาปนาแคว้นต้าฉินในศาลบรรพกษัตริย์ซึ่งมีใบหน้าทรงคุณธรรมน่าเกรงขามเป็นเรื่องเท็จกระมัง ต้องเป็นคนพาลสักแค่ไหนกันแน่ถึงได้มีลูกหลานเป็นคนพาลมากมายปานนี้
ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยลงทางทิศประจิมตั้งนานแล้ว ซย่าอวี้จิ่นถูกเพียงพอนเหลืองอบรมสั่งสอนจบก็โซซัดโซเซปีนขึ้นเกี้ยวหลังงาม ถือพระราชโองการกลับวังไปด้วยความเศร้าสร้อย
เพิ่งย่างเท้าผ่านประตูเรือนวาโยซึ่งเป็นที่พำนักของตน เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะครึกครื้นดังแว่วออกมาเป็นระลอก มีพวกสาวใช้กำลังเอาตัวแนบกำแพงบังตา เขย่งเท้าชะโงกหน้ามองเข้าไปข้างใน ซ้ำยังแอบส่งเสียงอุทานชอบใจด้วย
ซย่าอวี้จิ่นอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาบ้างก็เดินเข้าไปชะเง้อชะแง้ด้วย กลับเห็นเยี่ยเจากำลังซ้อมเพลงกระบี่อยู่ข้างต้นท้อที่เพิ่งผลิดอกตูม
* เพียงพอนเหลือง หรือ Yellow Weasel สัตว์กินเนื้อขนาดเล็ก รูปร่างเพรียว ขาสั้น หางสีน้ำตาลเหลือง ขนหลังสีน้ำตาลเทา ออกหากินเวลากลางคืน ชาวจีนสมัยโบราณจัดให้เป็นสัตว์ที่ชอบลักขโมยของกินตามบ้านเรือน
เงาร่างสีแดงพลิกพลิ้วดุจมังกรเหิน กระบี่เปล่งประกายระยิบไหววูบดั่งพายุฝน นางควบคุมทิศทางของกระบวนท่ากระบี่ได้ดังใจนึกและง่ายดายเสียยิ่งกว่าควบคุมมือตัวเอง กอปรกับมีใบหน้าคมเข้มเย็นชา พาให้แลดูเป็นหนุ่มรูปงามผึ่งผายเสียจนทำให้บุรุษล้วนอยากอธิษฐานต่อสวรรค์ ขอให้ฟ้าผ่าคนบัดซบผู้นี้ตายไปไวๆ
สาวใช้คนหนึ่งดูจนลืมตัว มิได้สนใจว่าผู้ใดเข้ามาใกล้ เพียงรู้สึกว่ามีคนขยับเข้ามาชิดที่ด้านหลัง คล้ายคิดจะแย่งชิงทำเลทองกับตนก็ผลักไสออกไปอย่างขุ่นเคืองและเอ่ยอย่างมีน้ำโห
“ไปให้พ้น! ข้าจองที่ตรงนี้แล้ว เจ้าอยากดูก็ไปที่อื่นซะ”
ซย่าอวี้จิ่นจับศีรษะนางหันกลับมาประจันหน้ากับตนด้วยความโกรธ แสดงตัวให้เห็นด้วยท่าทางขึงขัง
สาวใช้ซึ่งแอบดูอยู่ทั้งกลุ่มตกใจจนกรีดร้องเสียงหลง วิ่งหนีหายไปกันหมด
ซย่าอวี้จิ่นเดินอ้อมกำแพงบังตา พบว่าทั้งอนุภรรยาและเมียบ่าวของตนนั่งเรียงรายอยู่ในศาลาไม่ไกลจากต้นท้อ แต่ละคนมีสีหน้าแย้มยิ้มอย่างเริงรื่นชื่นบาน ดื่มสุราที่เขาซื้อกลับมาไปพลางกินเนื้อแพะที่เขาซื้อกลับมาไปพลาง ตบมือร้องชมเยี่ยเจา
เยี่ยเจาได้ยินเสียงกรีดร้องก็หยุดซ้อมกระบี่ มองตรงไปทางกำแพงบังตา
หยางซื่อยังคงไม่สังเกตเห็น กุลีกุจอวิ่งออกมาจากศาลา ล้วงผ้าเช็ดหน้าที่ปักลายดอกบัวคู่จากอกเสื้อ เช็ดหยดเหงื่อสองสามเม็ดบนหน้าผากออกให้อย่างเบามือ แสดงความเป็นศรีภรรยาที่เอาใจใส่สามีจนดูคล้ายคู่ข้าวใหม่ปลามันก็ไม่ปาน บันดาลให้รูปโฉมซึ่งเดิมทีจัดอยู่ชั้นสามัญถึงกับงามขึ้นหลายส่วน
เซวียนเอ๋อร์ก็ปรี่เข้าไปอย่างไม่ยอมน้อยหน้า แต่นางเพิ่งล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาก็ถูกเหมยเหนียงซึ่งประคองสุราอุ่นไว้จอกหนึ่งวิ่งแซงหน้าไป ชนนางกระเด็นไปด้านข้างก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน
“ท่านแม่ทัพ ดื่มสุราสักจอกนะเจ้าคะ”
เซวียนเอ๋อร์โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ถลึงตาใส่เหมยเหนียงอย่างดุดันหลายคราถึงได้เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มขวยเขิน พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ท่านแม่ทัพ พักผ่อนสักครู่เถอะเจ้าค่ะ”
ปกติเขาอยู่บ้านไม่เคยเห็นอนุภรรยาและเมียบ่าวช่วงชิงกันเป็นที่โปรดปรานเช่นนี้
ซย่าอวี้จิ่นมองอย่างงุนงง คล้ายจะบังเกิดอุปาทานว่าจับชู้ได้อยู่สักหน่อย
เยี่ยเจาเก็บกระบี่ขึ้น ผละจากหญิงงามเดินรี่เข้าไปหาเขา พูดอธิบายอย่างละอายใจ
“ข้าหิวแล้วเลยกินไปก่อนนิดหน่อย”
ซย่าอวี้จิ่นชี้ไปทางพวกหยางซื่อ ชี้หน้านาง แล้วค่อยชี้ตัวเอง
อันว่าความรู้ยามถึงคราวต้องใช้ถึงนึกชังว่าเรียนมาน้อยไป เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าจะใช้ถ้อยคำใดมาบรรยายความรู้สึกสับสนปนเปของตัวเองในเวลานี้
เยี่ยเจาเข้าใจความหมายของเขา รีบขอขมา
“ตอนที่เนื้อแพะมาถึง พวกนางมาคารวะข้าพอดี ข้าเลยตัดสินใจโดยพลการ พวกนางกินเนื้อแพะของท่านได้ไม่กี่ชั่งหรอก เป็นเด็กดี อย่าใจแคบ”
ซย่าอวี้จิ่นหน้าบึ้ง นึกอยากตัดขาดกับภรรยาหลวง อนุภรรยา และเมียบ่าวที่คบชู้สู่ชาย สมรู้ร่วมคิดกันหมายจะยั่วโมโหเขาให้ตาย จากนั้นก็ขับไล่ไสส่งออกไปให้หมด
เยี่ยเจารู้ตัวว่าตนพลั้งวาจาไปก็ฉุดมือเขาเดินไปทางศาลา เสหัวเราะกลบเกลื่อน
“ข้าหยาบคายจนเคยตัว อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย ข้าเหลือเนื้อแพะส่วนที่ดีที่สุดไว้ให้ท่าน แล้วที่พวกนางดื่มก็เป็นเหล้าน้ำผึ้ง มิใช่นารีแดงที่ท่านเอากลับมา อีกประเดี๋ยวข้าจะอุ่นให้เองกับมือแล้วดื่มคารวะท่านสามจอก”
หยางซื่อเห็นจวิ้นอ๋องจะดื่มสุราพูดคุยกับท่านแม่ทัพเพื่อปรับความเข้าใจกันก็ยินดีจนแทบจะออกนอกหน้า นางรีบเอาเท้ายันเหมยเหนียงทีหนึ่งเป็นเชิงเตือนพลางดึงตัวเซวียนเอ๋อร์ที่หัวช้ากว่า ยังคิดจะกุลีกุจอไปรินสุราให้คนทั้งสองออกมา ก่อนจะกล่าวขอตัวออกไปอย่างลุกลน
ทุกคนกลับไปยังเรือนของตนพร้อมกันแล้วจุดธูปคนละดอกสองดอกไหว้เจ้าแม่บุพเพสันนิวาส ขอให้คุ้มครองคนคู่นั้นอยู่กันสองต่อสองแล้วความสัมพันธ์ดีขึ้นโดยไว อย่าได้หาเรื่องตกลงหย่ากันเด็ดขาด และขอให้คุ้มครองพวกนางให้มั่งมีศรีสุขไปตลอดชาติ
ซย่าอวี้จิ่นดิ้นขัดขืนอยู่หลายครั้งก็ดิ้นไม่หลุด ถูกกดตัวลงนั่ง หลังจากกรอกสุราเลิศรสลงท้องสองจอก เขานึกถึงหนังสือหย่าก็พาให้สติแจ่มใสขึ้นบ้าง และคิดได้ว่าภรรยาจะรูปงามแค่ไหนก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง ไม่อาจคบชู้กับอนุภรรยาและเมียบ่าวได้เด็ดขาด หมวกบนศีรษะตัวเองยังคงเป็นสีน้ำเงิน มิได้แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว* เขาก็สบายใจขึ้นบ้างในที่สุด
เยี่ยเจาดึงกริชคมกริบเล่มหนึ่งมาจากเอว ตวัดมือฉวัดเฉวียนแล่เนื้อแพะออกมาเป็นแผ่นบางดุจปีกจักจั่นแล้วคลุกกับเครื่องปรุงรสเช่นน้ำมันงา ต้นหอม กระเทียม และอื่นๆ จากนั้นก็ถือไปวางลงเบื้องหน้าเขากับมือ กุลีกุจอเอ่ย
“ท่านเสียเวลาอยู่ในวังหลวงนานครึ่งค่อนวัน เกรงว่าจะหิวแล้วกระมัง กินมากๆ หน่อย”
ฝีมือการแล่เนื้อแพะของนางไม่เลวเลยทีเดียว ซย่าอวี้จิ่นกินอย่างเอร็ดอร่อย
พอเห็นกริชในมือนางสวยงามวิจิตร เขาก็หยิบมาพิศดูอย่างละเอียดแล้วเอ่ยชมด้วยความประหลาดใจ เมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบเข้ากระดูกและความคมกริบไม่เป็นสองรองใคร
“นี่เป็นงานฝีมือของราชวงศ์ก่อนกระมัง ผลงานของช่างใหญ่อวี้เจี้ยนจื่อ?”
“ตาถึง!” เยี่ยเจาเห็นเขารู้จักของดีก็ชอบอกชอบใจ กล่าวโอ้อวด “มันคือกริชปีกจักจั่นที่ช่างใหญ่อวี้เจี้ยนจื่อเป็นคนตีขึ้น ตัดเหล็กได้ราวกับตัดดิน ในครั้งนั้นที่จอมยุทธ์ฉางเฮ่าลอบสังหารขุนนางโฉดชั่วสามานย์ลู่หู่เฉินแล้วควักหัวใจเขาไปแกล้มสุราก็ใช้กริชเล่มนี้แหละ หลังจากข้าได้มันมาก็เคยควักหัวใจของฮาเอ่อร์มู่ แม่ทัพใหญ่ของหมานจินออกมาเป็นๆ แล้วแช่ในสุรา เอาไปร่วมดื่มกับครอบครัวของเหล่าทหารหาญที่ถูกปีศาจโหดเหี้ยมอำมหิตตนนี้คร่าชีวิตไป”
สังหารคนควักหัวใจได้@@@เป็นกริชชั้นดีโดยแท้@@@
ภรรยาเขาเคยกินคนมาก่อนจริงๆ
ซย่าอวี้จิ่นเคี้ยวเนื้อแพะชิ้นสุดท้ายในปากสองทีแล้วพยายามกลืนลงคอเงียบๆ
เยี่ยเจาถือกริชปีกจักจั่น เอ่ยถามเขาอย่างเอาอกเอาใจ
“ข้าหั่นเนื้อแพะให้ท่านอีกสักหน่อยนะ?”
ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกว่าตัวเองเป็นลมไปเช่นเดิมจะเป็นการดีกว่า
ประเพณีของโม่เป่ยป่าเถื่อนโหดร้าย ส่วนเยี่ยเจาก็คลุกคลีกับชายฉกรรจ์หยาบคายในกองทัพจนเคยชิน คนข้างกายที่นับว่าสุภาพที่สุดก็คือเจ้าจิ้งจอก ทว่าความไวในการแย่งกินเนื้อของคนผู้นั้นก็มิได้ย่อหย่อนกว่าชิวเหล่าหู่เลย ด้วยเหตุนี้นางเข้าใจความรู้สึกนึกคิดที่อ่อนไหวของเหล่าคุณชายเสเพลเมืองหลวงได้น้อยนิดอย่างยิ่ง สุดท้ายนางหันเหความคิดไปถึงพวกกุลสตรีโฉมงามในห้องหอที่รู้จัก ถึงพอจะคาดเดาได้ว่าสีหน้าไม่สู้ดีในยามนี้ของซย่าอวี้จิ่นมีสาเหตุมาจากอะไร นางจึงพูดขึ้นอย่างระแวดระวังเพื่อยืนยันให้แน่ใจ
* มาจากสำนวน ‘สวมหมวกเขียว’ ตรงกับสำนวนไทยว่าสวมเขา ในสมัยโบราณชายคนหนึ่งต้องเดินทางไปทำการค้าต่างเมืองอยู่เสมอ ภรรยาอยู่บ้านแอบคบชู้และได้นัดแนะกับชายชู้ว่าหากเห็นสามีนางสวมหมวกสีเขียวขี่ม้าออกจากบ้าน แสดงว่าจะไปต่างเมือง ให้ชายชู้มาหาตนที่บ้านได้
“กริช@@@ล้างสะอาดแล้ว”
กริชสังหารคนล้างสะอาดแล้วก็สามารถหั่นผักได้อย่างนั้นหรือ
คงได้แต่ใช้คำว่าขุ่นข้องหมองใจเต็มทีมาบรรยายสีหน้าของซย่าอวี้จิ่นที่มองนางอยู่
เยี่ยเจาโคลงศีรษะ เรียกชิวสุ่ยกลับไปที่ห้องเอาดาบโค้งต้าสือ* ใหม่เอี่ยมมาเล่มหนึ่ง แล้วเริ่มแล่เนื้อแพะอีกครั้งพลางพูดอธิบาย
“ดาบเล่มนี้เพิ่งถอดออกจากฝัก ยังมิได้สัมผัสโลหิต”
ซย่าอวี้จิ่นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อย
“ในครัวมีมีดเงินแล่เนื้อมิใช่หรือ”
เยี่ยเจากล่าวเหยียดหยาม
“เศษขยะก็คู่ควรจะเรียกว่ามีดด้วยหรือ”
เอ่ยอ้างถึงเมื่อครั้งพิธีผูกดวงแรกขวบ* ตอนเป็นเด็กน้อย ว่ากันว่าทั่วห้องมีสิ่งของวางไว้เต็มไปหมด นางกลับปีนขึ้นไปบนตักท่านปู่แล้วกอดกระบี่หงส์เขียวแน่นไม่ยอมปล่อยมือ ท่านปู่ปลื้มปีติเหลือหลาย พูดลงความเห็นอย่างมั่นอกมั่นใจในตอนนั้นเลยว่าชั่วชีวิตนี้ของนางจะต้องเป็นผู้ที่เหมาะกับการฝึกยุทธ์
หลังจากเจริญวัยขึ้น นอกจากคลั่งไคล้วรยุทธ์แล้ว สิ่งที่นางชื่นชอบมากที่สุดก็คือสะสมอาวุธมีชื่อทุกชนิด ทุกครั้งที่เห็นของแปลกใหม่จะคันหัวใจยิบๆ ยากจะทานทน อดทุ่มเงินซื้อเอาไว้มิได้ อีกทั้งสนามรบก็เป็นสถานที่ชั้นดีในการรวบรวมอาวุธอีกด้วย ขณะนี้นางจึงมีอาวุธด้ามยาวด้ามสั้นทุกชนิด อาวุธซัดอาวุธลับ และอาวุธของนักรบแปลกพิสดารไม่น้อยกว่าหลายร้อยชิ้นอยู่ในครอบครอง แต่ละชิ้นล้วนเป็นฝีมือของช่างใหญ่ ไหนเลยจะเห็นของธรรมดาเช่นมีดเงินแล่เนื้ออยู่ในสายตา
ซย่าอวี้จิ่นเห็นดวงตานางเปล่งประกายน่ากลัวยามเอ่ยถึงเรื่องอาวุธก็รู้สึกสะท้านเยือกขึ้นมาจริงๆ และตัดสินใจว่าจะไม่ยกหัวข้อนี้ขึ้นมาสนทนาอีก เขาพยายามลบความทรงจำเมื่อครู่ทิ้งไปให้หมด จดจ่อความคิดทั้งหมดไปที่เนื้อแพะของเหล่าเกาซึ่งหากเขายังไม่กินอีกก็จะอดกินแล้ว และเลือกเนื้อแพะชิ้นที่เพิ่งแล่ออกมากินลงท้องหลายคำ
จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องที่จักรพรรดิมีบัญชาแต่งตั้งเขาในวันนี้ให้นางฟัง เอ่ยอย่างคับแค้นใจเป็นที่สุด
“คนอย่างข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้าหนุนหลัง!”
เยี่ยเจารีบกล่าวปลอบ
“นั่นสิ ข้าต่างหากที่หวังว่าท่านจะหนุนหลังข้า”
ซย่าอวี้จิ่นได้ยินแล้วไม่สบอารมณ์ พูดด้วยความโมโห
“เจ้ากำลังประชดข้าเช่นกันรึ”
เยี่ยเจาส่ายหน้า
“มิใช่เลย!”
* ต้าสือ เป็นคำที่ถอดเสียงมาจากคำว่า Tazi หรือ Taziks ซึ่งเป็นภาษาเปอร์เซีย หมายถึงจักรวรรดิอาหรับ
* พิธีผูกดวงแรกขวบหรือจวาโจว เป็นพิธีทำนายนิสัย ความสนใจ และความสำเร็จในอนาคตของเด็กในวันเกิดครบรอบหนึ่งปี โดยเสี่ยงทายจากสิ่งของที่ทารกเลือกหยิบจากสิ่งของทั้งหมด 12 ชนิด
ซย่าอวี้จิ่นพูดอย่างน้อยใจ
“ต้องใช่แน่ๆ!”
เยี่ยเจาทอดถอนใจ
“มิใช่จริงๆ”
ซย่าอวี้จิ่นตัดสินใจว่าจะไม่เอาความคิดอันไร้เหตุผลของภรรยามาตรึกตรองอีก เขาเอ่ยขึ้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“จักรพรรดิเลือกข้าเป็นผู้ตรวจการนครหลวงเพราะมองแค่ศักดิ์ฐานะของข้าเท่านั้น ต่อให้ข้าทำงานย่ำแย่แค่ไหนก็เป็นหลานแท้ๆ ของพระพันปี ไม่ว่าผู้ใดล้วนต้องไว้หน้าให้หลายส่วน ถึงอย่างไรตอนนี้ไม่มีคนเต็มใจรับตำแหน่งนี้ หากข้าทำได้ดีก็เป็นเรื่องน่ายินดี หากข้าทำได้ไม่ดีก็เป็นเรื่องชอบด้วยเหตุผล ถือว่าใช้ประโยชน์ทุกอย่างจนคุ้มค่าเลย”
เยี่ยเจาเอ่ยขึ้น
“ท่านหาได้ย่ำแย่ขนาดนั้น”
ซย่าอวี้จิ่นเย้ยหยันตัวเอง
“ข้าปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่ามาสิบกว่าปี นอกจากทำตัวสำมะเลเทเมาแล้วไม่มีอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน หากมิใช่ยังอยู่ในศักดิ์ฐานะนี้ จะว่าไปแล้วก็คงไม่มีใครหน้าไหนให้เกียรติข้า”
“ศักดิ์ฐานะของท่านคือคุณสมบัติที่คนรอบข้างอยากมีก็ใช่ว่าจะมีกันได้”
ซย่าอวี้จิ่นพูดเยาะอย่างดูแคลน
“ข้าก็แค่มีติดตัวมาแต่เกิด”
เยี่ยเจาควงดาบโค้งในมือ พูดด้วยน้ำเสียงเรื่อยเฉื่อย
“ข้ามีพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์เหนือกว่าใครๆ ก็เป็นสิ่งที่มีติดตัวมาแต่เกิด ศักดิ์ฐานะของข้าก็ไม่ต่างกัน หากข้ามิใช่ลูกชายของเยี่ยจง ได้อาศัยชื่อเสียงบารมีของสกุลเยี่ยนำทัพในโม่เป่ย ไหนเลยข้าจะมีผู้ติดตามมากมาย ไหนเลยข้าจะทำให้ทุกคนเชื่อฟังคำสั่งได้ง่ายดาย หากท่านมิใช่หลานแท้ๆ ของพระพันปี@@@”
“บ้าเอ๊ย!” ซย่าอวี้จิ่นปากระดูกชิ้นหนึ่งในมือใส่ศีรษะนางพร้อมพูดตะคอก “เจ้าเป็นลูกสาวของเยี่ยจง มิใช่ลูกชาย จำใส่หัวซะบ้าง ข้ามิได้ตบแต่งบุรุษเข้ามาในตระกูล!”
“เคยปากน่ะ” เยี่ยเจาเบี่ยงกายหลบกระดูกที่ลอยหวือมา ส่ายหน้าเอ่ยยิ้มๆ อย่างกระดากใจ “ชาติกำเนิดขึ้นอยู่กับโชคชะตาซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่สวรรค์ประทานให้ ท่านคิดว่าการที่จักรพรรดิยกข้าให้แต่งงานกับท่านเพื่อให้ข้าข่มรัศมีท่านหรือ ความจริงแล้วหาใช่เช่นนั้น พระองค์หวังว่าท่านจะช่วยหนุนหลังข้าต่างหาก”
คำพูดขบขันนี้ไม่ชวนขันเลย ซย่าอวี้จิ่นหัวเราะฝืดๆ รู้สึกใบหน้ากระตุกน้อยๆ
เยี่ยเจาพูดอธิบายต่อ
“ยามแคว้นต้าฉินระส่ำระสาย ข้าที่เป็นสตรีกลับได้รับตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องเหลือวิสัยจริงๆ บัดนี้แผ่นดินสงบสุขแล้ว ขุนนางทั้งราชสำนักล้วนเป็นบุรุษ ในหมู่แม่ทัพนายกองมิใช่ว่าจะไร้ผู้มีความสามารถโดดเด่น แต่ต้องถูกสตรีกดหัวไว้จะทำใจยอมรับได้อย่างไร แม้พวกเขาจะอดกลั้นไว้ไม่เอ่ยถึง ทว่านานไปๆ ก็ต้องเคลื่อนไหวในที่สุด ยิ่งกว่านั้นผู้บัญชาการกองทัพใต้หล้ามีได้เพียงคนเดียว ทุกคนต่างจับจ้องกันตาเป็นมัน ตราบใดที่ข้าไม่ลงจากตำแหน่ง คนอื่นก็ผลัดเปลี่ยนเข้ามาแทนที่มิได้ตลอดไป”
ซย่าอวี้จิ่นเอ่ย
“จักรพรรดิทรงพระปรีชา ขอเพียงเจ้าไม่เผด็จการบ้าอำนาจ มีอะไรน่าเป็นห่วงกัน”
เยี่ยเจาส่ายหน้า
“แม้แต่ทองยังหลอมละลายด้วยอานุภาพของลมปาก มันทำร้ายคนมานักต่อนักแล้ว เรื่องในภายภาคหน้าไม่มีผู้ใดบอกได้แจ่มแจ้ง”
อีกประการหนึ่ง สิ่งที่นางไม่อาจเอื้อนเอ่ยคือนับแต่โบราณมา เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล แม่ทัพผู้สันทัดการรบมีความชอบใหญ่หลวงมักถูกระแวงสงสัย น้อยคนนักที่จะพบจุดจบที่ดี บัดนี้นางกุมกำลังทหารอยู่ในมือเพียงผู้เดียวมากมายปานนั้น ทั้งยังครองใจไพร่ฟ้าทั่วหล้า ถึงจักรพรรดิองค์ปัจจุบันจะปรีชาสามารถ เชื่อมั่นในความจงรักภักดีของนางเป็นอันมาก แต่คงไม่กล้าไว้วางใจว่าลูกหลานของนางจะซื่อสัตย์อย่างถวายหัวกันทุกคน ส่วนนางก็ไม่กล้าปักใจเช่นกันว่าวันหน้าหลังจากรัชทายาทขึ้นครองราชย์จะลงมือเข่นฆ่าสังหารเพื่อยึดอำนาจทางการทหารคืนหรือไม่
ซย่าอวี้จิ่นนึกถึงจุดจบของเหล่าขุนนางผู้มีความชอบในการบุกเบิกแผ่นดินก็ตระหนักขึ้นมาได้และบังเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกัน เดิมทีเขาจะพูดผสมโรงสองสามคำอย่างขุ่นเคือง แต่ฉุกคิดได้ว่าจะเป็นการด่าทอบรรพบุรุษของตัวเองจึงสงบปากสงบคำแต่โดยดีเพื่อมิต้องถูกตีน่วมยามไปพบพวกเขาในอนาคต
“เคราะห์ดีที่จักรพรรดิมีเมตตาธรรม มีความสามารถในการบริหารบ้านเมือง และเห็นอกเห็นใจผู้อยู่ใต้ปกครองจนขึ้นชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่ดีมาแต่ไหนแต่ไร” เยี่ยเจาเห็นว่าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วก็บอกความจริงออกมาตามตรง “ตอนที่โม่เป่ยได้ชัยชนะ ข้าก็ถวายหนังสือขออภัยโทษทันที เปิดเผยต่อคนทั้งแผ่นดินว่าตัวเองมีโทษหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เวลานั้นอาณาประชาราษฎร์มีขวัญและกำลังใจ ขุนนางบุ๋นบู๊ล้วนยกยอว่าจักรพรรดิมีความสามารถในการใช้คน ฉะนั้นต่อให้พระองค์ไม่พอใจก็คงไม่อยากขัดแย้งกับคนทั่วหล้าด้วยการปลดข้าออกจากตำแหน่งกะทันหัน จากนั้นข้าก็ส่งสารฉบับที่สองแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและหวังว่าจะได้ออกเรือน เพื่อปลอบประโลมวิญญาณของบิดามารดาบนสวรรค์”
นางชะงักลงตรงนี้ชั่วครู่แล้วถามยิ้มๆ
“ท่านว่า@@@จักรพรรดิจะให้ข้าออกเรือนไปกับผู้ใดได้”
ต่อให้เยี่ยเจายินยอมถอดเกราะ* แต่ในกองทัพโม่เป่ยล้วนเป็นทหารที่ร่วมเป็นร่วมตายกับนางมา เคารพเชื่อฟังและเทิดทูนนางประหนึ่งเทพเจ้า ไม่ว่าจะมอบอำนาจทางการทหารแก่ผู้ใดก็ไม่อาจเป็นที่ยอมรับคล้อยตามของทุกคนได้
การพระราชทานแส้เหล็กไหล เพชรนิลจินดา ที่ดินเหย้าเรือนอะไรก็ตามล้วนเป็นของลวงทั้งสิ้น สินเดิมเจ้าสาวที่แท้จริงของนางคือกำลังทหารห้าสิบหมื่นของโม่เป่ย รวมถึงบารมีในกองทัพสกุลเยี่ยและความดีความชอบในการเผด็จศึกหมานจิน ไม่ว่านางจะแต่งงานกับใครล้วนทำให้เชื้อพระวงศ์กินไม่ได้นอนไม่หลับ บัดนี้ยกนางให้กับซย่าอวี้จิ่นที่ไม่มักใหญ่ใฝ่สูงแม้แต่น้อยก็เท่ากับเป็นการเอาสินเดิมเจ้าสาวส่งคืนให้กับราชสำนัก
นับแต่นี้ไปนางไม่เพียงเป็นผู้บัญชาการกองทัพใต้หล้า ยังเป็นชายาหนานผิงจวิ้นอ๋อง เป็นสะใภ้ของเชื้อพระวงศ์ เป็นสตรีสกุลซย่า และเมื่อบุตรเป็นผู้รับตำแหน่งบิดา ลูกหลานของนางในวันหน้าจะต้องสืบทอดบรรดาศักดิ์หนานผิงจวิ้นอ๋อง หาใช่อำนาจทางการทหารของสกุลเยี่ย
นอกจากนี้นางออกจากโม่เป่ยแล้วได้เลื่อนตำแหน่งและออกเรือน แต่ยังคงบัญชาการกำลังทหารทั้งแผ่นดินจึงสามารถควบคุมกองทัพโม่เป่ยซึ่งอยู่แดนไกลเอาไว้ได้ ทำให้ขุนนางฝ่ายทหารที่ราชสำนักส่งตัวไปไม่ถูกต่อต้านมากเกินไป หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ผลัดเปลี่ยนคนแทนที่ รอกระทั่งนางเข้าสู่วัยชรา อำนาจทางการทหารก็จะกลับคืนสู่ราชสำนักอีกครั้งอย่างถูกต้องชอบธรรม แล้วนางกับจักรพรรดิก็จะมีชื่อเสียงว่าเป็นกษัตริย์ที่ดีและขุนนางผู้ซื่อสัตย์ไปตลอดชีวิต
* ถอดเกราะ เป็นสำนวน หมายถึงลาออกจากราชการทหาร
เยี่ยเจาทอดถอนใจ
“จักรพรรดิทรงเป็นคนดีและฉลาดเฉลียว พระองค์ให้ข้าแต่งงานกับท่านเพื่อปกป้องข้า ต่อให้มีคนระดมปลุกปั่นไปทั่วหมายยุแยงใส่ร้ายป้ายสีข้าก็ต้องคำนึงถึงศักดิ์ฐานะทั้งสองนี้ หากดึงข้าลงจากตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ ข้าก็จะอาศัยชื่อท่านและศักดิ์ฐานะของชายาจวิ้นอ๋องเล่นงานพวกเขาให้หนักเลย”
ซย่าอวี้จิ่นไม่นับว่าเป็นคนโง่เขลา เพียงถูกความโกรธเกรี้ยวบังตา หลังจากเขาตั้งสติขบคิดด้วยเหตุผลแล้วก็แจ่มแจ้งในบัดดล
ข้อแรก ต่างฝ่ายต่างเป็นเสมือนจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์**
ข้อสอง พวกเขาล้วนหนุนหลังซึ่งกันและกัน
ข้อสาม จักรพรรดิคือเพียงพอนเหลืองที่ใช้ประโยชน์ทุกสิ่งอย่างคุ้มค่า ไม่ยอมให้สิ้นเปลืองเด็ดขาด
ทว่าถ้าพวกเขาตกลงหย่ากันแล้ว เยี่ยเจาซึ่งปราศจากศักดิ์ฐานะของเชื้อพระวงศ์เป็นที่พึ่งจะเป็นอย่างไรต่อไป
นางโบกมือพลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจสักนิด
“ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ จะอย่างไรก็คงหาหนทางจนได้”
สินเดิมเจ้าสาวเป็นเผือกร้อน นางไม่ออกเรือนมิได้ ราชสำนักไม่ไว้ใจลูกหลานเชื้อพระวงศ์ที่หนุ่มแน่นฮึกเหิมและมีความสามารถโดดเด่น แล้วก็ไม่อาจให้บุตรสาวสายเลือดโดยตรงของเจิ้นกั๋วกงเป็นอนุภรรยา ส่วนพวกที่เหลืออยู่หากมิใช่ท่านอ๋องชราวัยเจ็ดสิบแปดสิบก็เป็นบุตรอนุภรรยาของเชื้อพระวงศ์ที่มีพฤติกรรมบัดซบเลวทรามในเรื่องต่างๆ กันไป จะอย่างไรก็ไม่มีคู่ครองที่ดีรอนางอยู่
แม้นางจะเป็นภรรยาที่ไม่เอาไหน แต่กลับเป็นแม่ทัพใหญ่ที่มีความชอบต่อแคว้นต้าฉิน ไฉนถึงพบบทลงเอยเช่นนี้
แล้วจะให้นางสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นหรือให้เขาดี ช่างน่าลำบากใจแท้
เยี่ยเจายิ้มพราย ยกจอกสุราให้เขาและเอ่ยขึ้น
“เลิกคิดเถอะ ดื่มสุรากัน หมดจอก!”
ซย่าอวี้จิ่นรับสุรามาแล้วชนจอกกับนางเบาๆ ไม่กล้ามองดูใบหน้าอ่อนเยาว์เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาของอีกฝ่าย
หัวใจเขาเริ่มอ่อนลงทีละเล็กทีละน้อยดั่งผิวน้ำที่กระเพื่อมแผ่วงออกไปอย่างแผ่วเบา
** จิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์ หมายถึงพวกที่แอบอ้างบารมีผู้อื่นมาข่มขู่หลอกลวงผู้คนตัวเอง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments