บทที่ 8
ซย่าอวี้จิ่นตัดสินใจครั้งที่ยากเย็นที่สุดในชีวิต
เขากระสับกระส่ายพลิกตัวไปมา นอนไม่หลับจนขอบตาคล้ำเป็นวง แทบต้องฝืนมโนธรรมในใจถึงมองเห็นข้อดีในตัวเยี่ยเจาที่เหมาะจะเป็นภรรยาอยู่เหมือนกัน
เช่นว่านางไม่ขี้หึงจึงไม่เป็นเช่นเดียวกับฮูหยินของรองเสนาบดีสวีที่พอเห็นสามีดื่มเหล้าเคล้านารีก็เงื้อไม้นวดแป้งไล่ทุบตีไปไกลห้าถนน ส่วนเรื่องที่นางมาหาเขาเพื่อปรึกษาปัญหาเรื่องดื่มเหล้าเคล้านารีที่ใดได้รสชาติกว่า หรือหญิงงามของหอคณิกาไหนสะโพกใหญ่อะไรทำนองนี้อย่าไปคิดมากจะเป็นการดีที่สุด
แล้วก็เช่นว่าเดิมทีวรชายาอันไท่เฟยรังเกียจอยู่บ้างที่ชายาอันอ๋องมีชาติกำเนิดไม่สูงและฐานะต่ำต้อย มักเชิดหน้าปั้นปึ่ง ไม่ว่านางจะเอาอกเอาใจอย่างไรก็ไม่บังเกิดผล ทว่าหลังจากเยี่ยเจาแต่งเข้ามา เมื่อได้เปรียบเทียบสะใภ้ทั้งสองแล้ว ท่าทีของวรชายาอันไท่เฟยที่มีต่อสะใภ้ใหญ่ก็ดีขึ้นทันตาเห็น รู้สึกเพียงมองนางอย่างไรล้วนถูกตาไปหมด เป็นสะใภ้แสนดีและเป็นศรีภรรยาที่สุดในใต้หล้า เวลานี้ทั้งคู่รักใคร่กลมเกลียวกันจนเป็นที่อิจฉาของใครๆ แทบจะถูกยกให้เป็นแบบอย่างที่ดีของชาวเมืองเลยทีเดียว
ยังมีอีกเช่นว่าพี่ชายเขาขาพิการ ส่งผลให้เป็นคนเงียบขรึมหดหู่ไปบ้าง ตอนนี้ให้เมียบ่าวไปเล่าเรื่องขบขันในเรือนเขาให้ฟังทุกวัน ใบหน้ามีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นบ้าง
เฮ้อ ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยเรื่องสุดวิสัย จะอย่างไรก็ต้องมีจิตใจเสียสละบ้าง
ขอเพียงเขากัดฟันทน ทำหน้าหนาแบกรับคำติฉินนินทาไว้ จากนั้นก็เก็บซ่อนหนังสือหย่าในมือไว้ให้ดี พูดคุยกับเยี่ยเจาให้เข้าใจ อบรมสั่งสอนนางมากๆ อย่างน้อยต้องทำให้นางเข้าใจสักหน่อยว่าการเป็นสตรีต้องทำอย่างไร อย่าเอาแต่กระทำตัวเยี่ยงชายอกสามศอกจนชวนให้เหลืออด เช่นนี้แล้วเขาก็พอจะฝืนใจไม่ตกลงหย่ากันได้
เมื่อซย่าอวี้จิ่นตัดสินใจได้ก็ลงมือทันที เขาเริ่มด้วยการรื้อค้นตำราต่างๆ เช่น ‘บัญญัติสตรี’ ‘คัมภีร์ธิดา’ ‘ตำนานภรรยาประเสริฐ’ ‘ตำนานสตรีกล้าแกร่ง’ ‘รวมอรรถาธิบายสี่ตำราแห่งกุลสตรี’ ‘โอวาทสอนหญิง’ ออกมาจากห้องหนังสือทั้งหมด จากนั้นพุ่งตรงไปหาเยี่ยเจาซึ่งประชุมขุนนางกลับมาพร้อมวาดภาพฝันอันงดงามของการนั่งเคียงคู่กันท่องตำรายามราตรี
ขณะก้าวปราดๆ เข้าไปในห้องที่ได้เห็นอีกครั้งหลังจากเหินห่างไปนาน เขารู้สึกดวงตาพร่าพรายอย่างฉับพลัน
ตรงหน้าประตูมีแท่นตั้งอาวุธสองแถว บนนั้นมีอาวุธด้ามยาวนานาชนิดตั้งแต่หอก ขวานศึก ทวนวงเดือน สามง่าม คราดเก้าซี่ ง้าว และอื่นๆ ปักเรียงรายเอาไว้ ส่วนผนังห้องแขวนกระบองเขี้ยวหมาป่ากับเกาทัณฑ์หน้าไม้ ในแจกันลายครามลายเถาไม้เลื้อยก็มีดาบและกระบี่เสียบไว้หลายเล่ม บนโต๊ะยังมีขวาน กระบองเหล็ก แส้ยาว พลองสองท่อน พลองสามท่อนวางอยู่ ขณะที่ตู้ตั้งของประดับซึ่งเคยวางวัตถุโบราณล้ำค่าในตอนแรกล้วนถูกเปลี่ยนเป็นอาวุธลับทั้งหมด
นี่มันคลังเก็บอาวุธของกองทหารหรือ
ซย่าอวี้จิ่นรีบถอยออกมาทางประตู ขยี้ตาแล้วเบิกตามองแผ่นป้ายซึ่งแขวนอยู่เหนือประตูเรือนวาโยนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อแน่ใจแล้วว่ามิได้เดินมาผิดที่ถึงก้าวเท้าผ่านประตูเข้าไปอีกครั้ง กระแอมไอดังๆ เสียงหนึ่งใส่เยี่ยเจาซึ่งนั่งขัดสมาธิชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง แลดูไม่งามตาอย่างยิ่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ นางกำลังง่วนอยู่กับการเล่นดาบฝูซาง* ที่เพิ่งได้มาใหม่อย่างเพลิดเพลิน
นางเห็นเขานานทีปีหนจะมาหาก็ปีติยินดีเหลือหลาย รีบลุกขึ้นไปต้อนรับ
* ฝูซาง เป็นคำที่คนจีนสมัยโบราณใช้เรียกญี่ปุ่น
ซย่าอวี้จิ่นพักเรื่องที่ห้องตัวเองถูกตกแต่งประดับประดาใหม่ลงก่อนชั่วคราว ไม่ติดใจเอาความอีก เพียงวางตำรากองหนึ่งลงบนโต๊ะอย่างแรง บอกกล่าวจุดประสงค์ที่มาว่าเขาจะรับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนหลักจริยาหญิงให้ด้วยตัวเอง
ทั้งคู่บอกกล่าวให้อีกฝ่ายรับทราบถึงระดับสติปัญญาความรู้ของตัวเองก่อน เพื่อยืนยันให้แน่ชัดว่ามิใช่พวกอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
ซย่าอวี้จิ่นร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก ไม่อาจคร่ำเคร่งตรากตรำได้ เรียนหนังสือวันหนึ่งก็ต้องหยุดพักสามวัน ทว่าเขาเป็นคนฉลาดหัวไวมาแต่เกิด ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของพระพันปี อาจารย์ที่จ้างมาสอนล้วนเป็นบัณฑิตใหญ่แห่งยุคที่รอบรู้และเป็นพหูสูตอย่างแท้จริง แม้เขาจะร่ำเรียนมาแบบกระท่อนกระแท่นก็ยังมีความรู้เกือบเทียบชั้นผู้สอบได้ซิ่วไฉ** หากจะสอนตำราจำพวกคัมภีร์สามอักษร*** ก็หาใช่เรื่องยากเย็นเข็ญใจ
ขณะที่เยี่ยเจาชื่นชอบฝึกยุทธ์ตั้งแต่เด็ก พอเห็นตำราก็ปวดศีรษะ กอปรกับมีนิสัยหยิ่งผยองและอารมณ์ร้อน จึงเกิดเรื่องราวระหว่างการศึกษาเล่าเรียนมากมายพอจะเขียนรวบรวมขึ้นเป็นบันทึกประวัติศาสตร์นองเลือดเคล้าน้ำตาของบรรดาอาจารย์ได้
นับแต่เริ่มร่ำเรียนเขียนอ่านเมื่ออายุแปดขวบ นางยั่วโมโหอาจารย์จนบอกศาลาไปราวๆ ปีละห้าคน สุดท้ายเนื่องจากบิดาของหูชิงมีฐานะยากจนมากจริงๆ ทั้งยังคิดจะผูกสัมพันธ์เพื่อให้บุตรชายได้มีอนาคตก้าวหน้า เขาจึงกล้ำกลืนความอัปยศอยู่รับหน้าที่ต่อไปอย่างอดทนอดกลั้นตามคำวิงวอนขอร้องของเยี่ยจง สิ้นเปลืองเวลาสองปีกว่า สรรหาทุกวิธีมาสอนนางด้วยความลำบากแสนสาหัส ในที่สุดเยี่ยเจาก็ท่องจำ ‘ตำราพันอักษร’ จนขึ้นใจได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้นางไม่ถึงขั้นไม่รู้หนังสือ
กระทั่งหลังจากนำทัพออกศึก เยี่ยเจาถึงได้ประจักษ์ว่าตัวเองมีความรู้น้อยนิดจนน่าใจหาย เมื่อสถานการณ์บังคับ นางจำใจต้องให้หูชิงรับหน้าที่เป็นอาจารย์ต่อจากบิดา พยายามเร่งสอนวิชาการทหารและประวัติศาสตร์ให้เป็นการด่วน
เมื่อเทียบกับ ‘อาจารย์หู’ ผู้มีวาจาสนุกสนานแฝงอารมณ์ขัน อธิบายเรื่องลึกซึ้งให้เข้าใจได้ง่ายแล้ว ฝีมือการสอนของ ‘อาจารย์ซย่า’ นั้นแทบจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แม้เขาจะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี พูดอธิบายอย่างเอาจริงเอาจังอย่างมาก ทว่าจนปัญญาที่เขาทำได้แต่สอนตามตำรา ไม่รู้จักการอุปมาสาธก หัวข้อที่เลือกมาก็น่าเบื่อเหลือแสน
เดิมทีเยี่ยเจาใช่ว่าจะเป็นผู้มีความอดทนในการเล่าเรียน อีกทั้งเรื่องของสตรีก็ยิ่งไม่สนใจ นางฟังแล้วลอบหาวหวอดๆ เพียงเห็นแก่ที่อาจารย์รูปงามชวนน้ำลายหกจึงกัดด้ามพู่กันข่มใจไว้ พยายามแสร้งทำท่าตั้งอกตั้งใจพลางแอบชำเลืองมองดาบฝูซางที่ตัวเองเพิ่งได้มาใหม่ซ้ำๆ อย่างห้ามใจไม่อยู่และใคร่ครวญว่าอีกประเดี๋ยวจะไปลองดาบที่ไหนดี
อาจารย์ซย่าสอนจนคอแหบคอแห้ง เคาะโต๊ะถามขึ้นด้วยสีหน้าขึงขัง
“อะไรคือเรือนสามน้ำสี่ เจ้าเข้าใจหรือไม่ ไหนทวนให้ข้าฟังอีกทีซิ”
ลูกศิษย์เยี่ยตื่นขึ้นจากภวังค์ ได้ยินเพียงครึ่งเดียวก็มองเขาอย่างงุนงง นิ่งเป็นเบื้อใบ้อยู่พักใหญ่ก่อนจะถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
** การสอบขุนนางในสมัยโบราณ (เคอจวี่) แบ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ โดยสอบเลื่อนทีละระดับขั้น เริ่มจากระดับอำเภอหรือจังหวัดเรียกว่าการสอบถงซื่อ ผู้สอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าร่วมสอบเซียงซื่อในระดับมณฑล หากสอบผ่านจะได้เป็นจวี่เหริน ซึ่งต้องเข้ามาสอบระดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวงเพื่อขึ้นเป็นจิ้นซื่อ ได้บรรจุเข้ารับราชการ เมื่อผ่านการสอบทั้งสามระดับ จะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งคือการสอบเตี้ยนซื่อ เพื่อคัดเป็นบัณฑิตเอกสามชั้น ซึ่งบัณฑิตเอกขั้นหนึ่งมีสามคน เรียงตามคะแนนเรียกว่า จ้วงหยวน (จอหงวน) ปั๋งเหยี่ยน และทั่นฮวา
*** คัมภีร์สามอักษร หรือซานจื้อจิง เป็นตำราเรียนแรกเริ่มสำหรับเด็กมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน เรียกชื่อตามลักษณะคำประพันธ์ซึ่งในหนึ่งวรรคประกอบด้วยตัวอักษรสามตัว
“เรือน? เรือนอะไร งานปักผ้าอะไรนั่นข้าทำไม่เป็นนะ หรือว่า@@@กวาดพื้นเรือนให้ท่านวันละครั้ง?”
เจ้าอันธพาลสมควรตายผู้นี้มิได้ฟังเลยสักนิด!
ซย่าอวี้จิ่นโกรธเจียนคลั่งตาย หากมิใช่กลัวว่าจะไม่ระวังทำกระบองเขี้ยวหมาป่าบนผนังหล่นใส่เท้าตัวเอง เขาต้องฉวยมันลงมาขว้างใส่ศีรษะนางเป็นแน่
“อย่าโมโหๆ เวลาข้าเรียนหนังสือชอบเหม่อลอยเสมอ”
เยี่ยเจารู้สึกผิดในใจอยู่บ้าง กระวีกระวาดรินน้ำชาส่งให้เป็นการกล่อมเขาให้อารมณ์เย็นลงและเพื่อเบี่ยงเบนความขัดเคือง
นางยังหยิบกระบี่ธารมรกตที่ตัวเองสะสมเอาไว้ออกมาให้เขาชม เอ่ยอย่างเอาอกเอาใจ
“อย่าคิดมากเลย การเรียนหนังสือใช่ว่าจะจบได้ในชั่วครู่ชั่วยาม กระบี่เล่มนี้เป็นของล้ำค่าที่มีเงินนับพันชั่งก็หาซื้อได้ยากเชียวนะ มีผู้ฝึกยุทธ์มากมายถึงขั้นยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อมันได้ ท่านอยากจับดูเล่นๆ ไหม”
ซย่าอวี้จิ่นลูบกระบี่ทีหนึ่งแล้วถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ฟันเจ้าตายได้หรือไม่”
“อาศัยท่าน?”
เยี่ยเจาส่ายหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ซย่าอวี้จิ่นฟุบหน้ากับโต๊ะอย่างสิ้นหวัง ไม่ขยับตัวอีก
ภรรยาเขาคลั่งไคล้อาวุธเข้าขั้นหมดทางเยียวยาแล้ว เขาหวั่นใจว่าตัวเองจะถูกยั่วโมโหจนต้องลาจากโลกนี้ไปก่อนเวลาอันควร สุดท้ายจึงให้นางจดจำถ้อยคำหนึ่งให้ขึ้นใจ
“ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลังคนต้องไว้หน้าสามี”
จากนั้นเขาก็ล้มเลิกแผนการสอนหนังสืออย่างสิ้นเชิง
ติดตามความสนุกต่อได้ในฉบับเต็ม
Comments
comments