X
    Categories: overgraYThe Star's Love Relationship รักลับของซูเปอร์สตาร์ทดลองอ่าน

The Star’s Love Relationship รักลับของซูเปอร์สตาร์ บทที่ 3 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 3

Traumatic

 

“ได้ยินว่าเจอเด็กคนนั้นแล้วเหรอ”

เจสเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะยกแขนข้างหนึ่งของยอนโฮขึ้นและพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ปักเข็มลงบนเส้นเลือดดำบนต้นแขน

คิ้วพลันขมวดมุ่นแวบหนึ่ง เจสเห็นดังนั้นจึงถามว่า

“ยังเจ็บอยู่เหรอ หน้ายู่ยี่เชียว”

“…”

“ประมาณสิบปีก่อนใช่มั้ยที่เข้าไปช่วยเด็กนั่นออกจากกองเพลิง…”

“นานขนาดนั้นแล้วเหรอเนี่ย”

“น่าแปลกนะ ทั้งที่นายเคยช่วยชีวิตคนไว้ตั้งมากมาย แต่กลับลืมเด็กคนนั้นไม่ได้”

เจสดึงเข็มเปล่าออก ช่วยจัดเสื้อเชิ้ตให้เข้าที่แล้วจุ๊บแก้มของยอนโฮเบาๆ แต่ชายหนุ่มหน้าตึงทันที

“ขอแค่นี้เอง ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่นา”

เจสหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของยอนโฮ

“ผมไม่ใช่…”

ยอนโฮลุกขึ้นยืน แล้วยกมือขึ้นเช็ดแก้มที่ถูกริมฝีปากของเจสสัมผัสเมื่อครู่…จูบจากบุคคลที่เป็นเพศชายเช่นเดียวกัน ดวงตาของยอนโฮประสานกับดวงตาสีขี้เถ้าของเจส

เหมือนวันนั้น

แววตาแบบนี้ช่างเหมือนกับวันนั้นที่ทั้งคู่ได้สบสายตากันเป็นครั้งแรกบนเรือ

‘ให้ช่วยมั้ย’

เจสเอ่ยถามยอนโฮที่กำลังยืนมองมือที่ยื่นเข้ามาอย่างงุนงง

‘ฉันตกหลุมรักนายตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เจอ’

นั่นคือคำพูดที่เจสพูดกับเขา

เจส ชายหนุ่มเจ้าของความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร กล้ามเนื้อเป็นมัดกับดวงตาสีขี้เถ้าอันแสนเย็นชาช่างเป็นสเป็กที่น่าต้องตาต้องใจของหญิงสาวทั้งประเทศ แต่เขาคนนี้กลับประกาศให้โลกรู้ว่าตัวเองเป็นเกย์และไม่ว่าจะเอ่ยบอกความในใจของตัวเองให้ยอนโฮฟังกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ยอนโฮก็ยังปฏิเสธเหมือนเดิม

“ฉันไม่ใช่สเป็กจริงๆ สินะ”

แม้ยอนโฮจะปฏิเสธ แต่สายตาของยอนโฮไม่เคยฉายแววดูถูกเจสเลย

“จะไปไหนอีกล่ะ ฉันมาที่นี่แค่เดือนละครั้ง และครั้งนี้ก็เพิ่งมาถึงยังไม่ทันข้ามชั่วโมงเลยแต่นายจะออกไปอีกแล้ว วันนี้อยู่กับฉันไม่ได้เหรอ”

“มีเรื่องที่ต้องไปจัดการ”

“เรื่องที่ต้องไปจัดการเหรอ ช่างไม่เกรงกลัวอะไรเหมือนเดิมเลยนะ ระวังตัวหน่อยสิ ถ้าพวกมันรู้ว่านายคือผู้ที่รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากการทดลอง H-DIS ล่ะก็ พวกมันต้องไม่ปล่อยนายไว้แน่”

ยอนโฮหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของเจส

“ผู้ชายอะไรขี้กังวล ขัดแย้งกับร่างกายใหญ่โตนี่ชะมัด”

เจสเป็นหนึ่งในบุคคลที่ยอนโฮไว้ใจ ทั้งที่เจสรู้ว่ายอนโฮเป็นคนที่ทางรัฐบาลเกาหลีกำลังต้องการตัว แต่เจสก็ยังให้ความช่วยเหลือเขาและซ่อนเขาเอาไว้ ตอนอยู่ที่อังกฤษมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น และทุกครั้งที่เกิดเรื่องเจสก็เป็นคนช่วยเหลือพร้อมทั้งปกป้องยอนโฮเสมอ

เจสเป็นผู้กว้างขวางและมีอำนาจมากถึงขนาดสามารถกุมชะตากรรมของประเทศนี้ได้ แต่คนคนนี้มักแสดงท่าทีอ่อนแอเวลาอยู่ต่อหน้ายอนโฮ

“…”

“ฉันเชื่อนายก็ได้ แต่ต้องมีชีวิตรอดกลับมานะ”

เจสพูดกับยอนโฮที่หันหลังกลับมา

จองยอนโฮ

ชื่อจริงคือลีจองอู

สมัยเป็นนายทหารระดับสูงของหน่วยรบพิเศษ เขาได้สร้างผลงานมากมาย และการที่เขาต้องกลายมาเป็นเป้าหมายของการทดลองลับสุดยอดของประเทศนั้นก็เพราะความริษยาของคน มีการระดมทหารสามสิบนายเพื่อเข้ารับการทดลองให้เป็นทหารไร้พ่ายที่เหมือนกับหุ่นยนต์ และเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจึงได้มีการลบตัวตนและทำลายหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกทดลองไปจากโลกใบนี้จนหมดเกลี้ยง เหลือเพียงการบันทึกไว้ว่าพวกเขาได้เสียชีวิตระหว่างการฝึก แต่ความเป็นจริงกลับแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาที่ถูกจับมาขังเอาไว้ที่ห้องทดลองชั้นใต้ดินเพื่อเป็นหนูทดลองนั้นล้วนเสียชีวิตจากผลข้างเคียงของการฉีดยา

หากมีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่รอดชีวิต นั่นคือยอนโฮ

“วันที่ฉันได้เจอนายครั้งแรกน่ะ…” เจสพูดพลางมองหน้ายอนโฮ

หลังจากที่ยอนโฮเห็นว่าเพื่อนร่วมชะตากรรมในการทดลองเสียชีวิตไปหลังถูกฉีดยาภายในห้องขังชั้นใต้ดินที่ถูกใช้เป็นห้องทดลอง เขาก็ปฏิเสธไม่ยอมรับการฉีดยาและได้ลงมือทำร้ายทหารสองนายล้มลงก่อนจะหนีออกมา ซึ่งการที่เขาสามารถหนีออกมาได้นั้นเป็นเพราะแผนผังตึกที่ได้มาจากคนที่แอบให้การช่วยเหลือเขาด้วยความสงสาร หลังจากที่วิ่งสลับกับหลบซ่อนตัวเป็นเวลายาวนานถึงสิบสองชั่วโมง ในที่สุดเขาก็สามารถหนีมาถึงชายหาด ก่อนจะปีนขึ้นเรือที่กำลังจะออกเดินทาง

เจสได้พบกับยอนโฮบนเรือลำนั้น

วันนั้นเจสเห็นชายคนหนึ่งยืนตัวสั่นอยู่ที่มุมหนึ่งของเรือ ร่างเปียกโชกตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า วินาทีที่สบตากับดวงตาคู่นั้น เจสก็รู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตไปทั่วร่าง ความรุ่มร้อนแผ่ซ่าน หัวใจเต้นโครมคราม เขาตกหลุมรักสายตาคู่นั้นทันที

ส่วนสูงเกินมาตรฐานชาวตะวันออก เส้นผมสีดำ ร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ รวมทั้งใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้น ช่างเป็นใบหน้าที่ยากแก่การพบเห็นได้บ่อยๆ

เจอแล้ว

วินาทีนั้นเองที่เจสก็ตะโกนก้องอยู่ในใจ คนในฝันที่ตนเฝ้าหามานาน ในที่สุดก็ปรากฏตัวในโลกแห่งความเป็นจริงเสียที

“ฉันไม่เคยลืมเลย”

เจสหวนนึกถึงเวลานั้นในอดีต

‘นายชื่ออะไรเหรอ ดูเหมือนว่าฉันจะช่วยนายได้นะ’

กว่าอีกฝ่ายจะยอมคลายความระแวดระวังภัยและยอมเปิดปากเล่าเรื่องราวให้ฟังก็หลังจากที่เรือลำนั้นล่องออกมาไกลจากฝั่งแล้ว

‘…จอง…อู…’

แล้วร่างที่สั่นระริกของยอนโฮก็พลันไร้เรี่ยวแรงจนล้มลง ทันใดนั้นก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์วิ่งมาทางนี้ แต่เจสไม่ใส่ใจ เพราะถ้าเขาไม่อนุญาต ก็ไม่มีใครหน้าไหนแตะต้องยอนโฮได้

นั่นเป็นเพราะว่าเจสเป็นถึงคนที่ครอบครองตราประทับของอัลเบร์โตผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มมาเฟียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

หลังจากลงจากเรือและเหยียบแผ่นดินอังกฤษ เขาก็ระดมทุนมหาศาลเพื่อพัฒนาและค้นคว้ายารักษาให้แก่ยอนโฮ โดยใช้เวลาไปถึงครึ่งปีเลยทีเดียว แต่ยาที่ทำขึ้นกลับมีผลเพียงแค่หนึ่งเดือน ถ้ายอนโฮไม่รับยาอย่างต่อเนื่องร่างกายก็จะแย่ลงและเดินทางสู่ความตายในที่สุด ดังนั้นเขาจึงต้องมาหายอนโฮอย่างนี้เดือนละครั้ง

“แล้วเจอกันใหม่นะ”

ยอนโฮกล่าวลาด้วยใบหน้าเรียบเฉยต่างกับจิตใจอันร้อนรุ่มโดยสิ้นเชิง จากนั้นก็หยิบหน้ากากมาสวม หยิบเสื้อคลุมมาถือไว้ แล้วรีบวิ่งออกไปข้างนอกราวกับมีเรื่องด่วนที่ต้องเร่งทำให้เร็วที่สุด

 

สี่ชั่วโมงก่อน

รถที่วิ่งมาอย่างยาวนานได้หยุดชะงักอยู่กับที่ราวสิบนาทีแล้ว หากต้องการไปให้ทันเวลาถ่ายทำคงต้องเร่งความเร็วให้มากขึ้นกว่านี้ การถ่ายทำในครั้งนี้เป็นฉากที่สำคัญอย่างมาก ผู้กำกับถึงกับเช่าคฤหาสน์ส่วนตัวที่ให้โร้ดสถาปนิกระดับโลกเป็นผู้ออกแบบ คฤหาสน์ใหญ่โตหรูหรานี้เป็นผลงานที่โร้ดภาคภูมิใจที่สุด แถมทัศนียภาพที่งดงามรอบด้านก็จะช่วยเสริมให้การถ่ายทำนี้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น แต่กว่าจะเช่าคฤหาสน์หลังนี้ได้ผู้กำกับก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย นักแสดงและทีมงานจะต้องพร้อมถ่ายทำในวันและเวลาที่เจ้าของคฤหาสน์กำหนดเท่านั้น แถมเวลาที่อนุญาตให้ถ่ายทำยังมีเพียงแค่หกชั่วโมง

‘แย่แล้ว ขืนเป็นอย่างนี้การถ่ายทำคงล่าช้าแน่’

ผู้จัดการมองนาฬิกาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนเพราะเขาถูกผู้กำกับย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้รักษาเวลาในการถ่ายทำของวันนี้ด้วย

‘เกิดเรื่องอะไรเหรอ’

ชินลืมตาขึ้นและเอ่ยถาม

‘ไม่รู้สิ สงสัยเกิดอุบัติเหตุมั้ง ตำรวจกำลังปิดถนนไม่ให้รถวิ่ง เราก็เลยติดแหง็กอยู่ตรงนี้ ให้ตายเถอะ ทำไมจะต้องเป็นวันนี้ด้วยนะ…’

ชินเลื่อนสายตามองผ่านหน้าต่างกระจกที่ติดฟิล์มดำทึบ ถนนฝั่งตรงข้ามมีกลุ่มคนประมาณสิบกว่าคนยืนอยู่ ล้อมชายคนหนึ่งที่นอนอยู่บนพื้น

‘ขอลงไปดูก่อนนะ’

ผู้จัดการรีบเปิดประตูรถแล้ววิ่งตรงไปยังกลุ่มคนพวกนั้น ชินมองตามผู้จัดการไป แต่แล้ววินาทีนั้นคิ้วของชินก็พลันขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว

เขานึกถึงเรื่องราวตอนขึ้นเวทีเพื่อโปรโมตเสื้อผ้าของบริษัทที่เขาเคยถ่ายโฆษณาให้ วันนั้นผู้คนก็ยืนออกันเหมือนตอนนี้ ขณะที่เขากำลังก้าวขึ้นบันไดเพื่อขึ้นไปบนเวทีตามคำประกาศเรียกของพิธีกร จู่ๆ ก็มีแฟนคลับคนหนึ่งวิ่งมาคว้าต้นคอของเขา

‘คิมชิน!’

เสียงของผู้ชายดังขึ้น ชินที่เซไปพยายามตั้งหลักก่อนจะหันไปมองผู้ชายคนนั้นด้วยความตกใจ

แฟนคลับผู้ชายคนนั้นมีอายุราวๆ สี่สิบกว่า หนวดเคราเขียวครึ้มราวกับไม่ได้โกนมาหลายวัน เขาพยายามพูดอะไรบางอย่างกับชิน แต่เสียงร้องตะโกนของผู้คนรอบข้างทำให้ชินไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย และไม่นานนักทางทีมงานก็วิ่งมาลากเขาออกไป แต่ช่วงเสี้ยววินาทีชินก็ได้สบตากับเขา

ชายคนนั้นที่จ้องมาทางชินกำลังหัวเราะอยู่ แต่เป็นการหัวเราะที่ทำให้ชินรู้สึกหนาววาบ

ชินสะบัดหัวเพื่อให้หลุดออกจากความทรงจำในอดีต แล้วพิงหัวกับพนักเก้าอี้เหมือนเดิม คงเพราะเขายังรู้สึกเพลียอยู่จึงอยากจะหลับตาอยู่ตลอด แต่ขณะที่กำลังหลับตาอยู่นั้น ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังแวบผ่านด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เขาจึงสะดุ้ง ลืมตาพร้อมกับเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

ชายคนนั้นเมื่อสิบปีก่อน…คนที่วิ่งเข้ามาภายในตึกเพื่อค้นหาเขาที่อยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง และเป็นคนเดียวกับที่ช่วยเขาเอาไว้อีกครั้งจากเงื้อมมือของชายเสื้อกันฝนเมื่อคืน

ชายหนุ่มผู้สวมหน้ากากและชุดสีดำ…

ชายคนนั้นกำลังวิ่งมาทางรถที่ชินนั่งอยู่ ชินจึงรีบเปิดประตูรถทันที เขาไม่มีเวลาให้ไตร่ตรองใดๆ ทั้งสิ้น วินาทีที่เห็นคนคนนั้นกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ เขาก็รู้สึกว่าเท้าของตัวเองต้องเคลื่อนไหวคล้ายกับมีอะไรบางอย่างสั่งการ

‘ฆาตกรอยู่ในตึก!’

เสียงตะโกนของตำรวจดังขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องของผู้คน

และ…

‘โน่น ชายคนโน้นเป็นคนที่จับฆาตกรได้’

ใครคนหนึ่งชี้ไปยังชายสวมหน้ากากพลางตะโกนเสียงดัง เหล่านักข่าวที่เพิ่งสังเกตเห็นชายสวมหน้ากากวิ่งอยู่ไกลๆ จึงเริ่มวิ่งตาม

พอถึงสามแยกชายสวมหน้ากากก็หยุดชะงัก ท่าทางคงตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทางไหนดี ด้านหนึ่งก็มีกองทัพนักข่าวกำลังวิ่งพุ่งมา ด้านข้างคล้ายจะเป็นทางตัน ส่วนอีกทางเป็นทางสำหรับรถวิ่งที่มีรถตำรวจคันหนึ่งจอดอยู่ ไม่ว่าจะหนีไปทางไหนก็ยากแก่การหลบซ่อน

แล้วเขาที่กำลังลังเลก็ถูกชินคว้าแขนเอาไว้ได้ทัน

‘ขึ้นมาครับ’

ชินเอ่ย ไม่มีเวลาให้ลังเลอีกแล้ว ฝูงนักข่าวกำลังพุ่งมาที่นี่ และเสียงไซเรนของรถตำรวจก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

***

 

ผู้จัดการแอบมองชายสวมหน้ากากที่นั่งอยู่ข้างชินผ่านกระจกมองหลัง

‘ถามคนแถวนั้นมาแล้ว ได้ยินมาว่ามีคนช่วยจับคนบ้าที่เอามีดไล่ฟันเจ้าของร้านค้าได้ ว่ากันว่าจู่ๆ เขาคนนั้นเข้ามาแย่งมีดในมือของคนร้าย แถมคนร้ายไม่ได้มีแค่คนเดียวนะ แต่มีถึงสอง เท่ชะมัดเลยเนอะ หนึ่งต่อสองแต่ก็ยังสู้ได้ พี่ได้ยินว่าชายคนนั้นสวมหน้ากากด้วย…’

นานๆ ทีจะมีข่าวหนังสือพิมพ์เขียนถึงฮีโร่ แน่นอนว่าไม่มีคนร้ายคนใดที่จะมามอบตัวเองแน่ หากไม่มีใครบางคนจับมัดแขนมัดขาแล้วเอามากองไว้ที่หน้าสถานีตำรวจ คนร้ายก็คงจะลอยนวลต่อไป ชาวบ้านจึงต่างเรียกเขาคนนั้นว่าฮีโร่หรือเทวดาสีขาว

‘หรือว่า…’

ผู้จัดการมองชายคนนี้ด้วยสายตาสงสัย

‘คุณคือคนที่ช่วยชินไว้เมื่อคืนรึเปล่าครับ’

ผู้จัดการอดถามไม่ได้

‘…’

แต่ชายคนนี้ไม่ตอบ

‘ขอบคุณมากนะครับ ถ้าตอนนั้นไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคุณ ป่านนี้ชินคงไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้แล้ว’

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นฮีโร่ที่ผู้คนยกย่องอย่างใกล้ชิดขนาดนี้ ฮีโร่ที่มักปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้คนยามที่ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต แต่เขาก็ยังมีข้อสงสัย

‘ระหว่างนั้นคุณหลบซ่อนตัวยังไงเหรอครับ’

ผู้จัดการเหลือบมองผ่านกระจกมองหลังเป็นระยะๆ เขาหายตัวไปท่ามกลางฝูงชนได้อย่างไร มันช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ไม่มีใครเคยพบเจอหรือรู้เบาะแสของเขาเลย บ้างก็ว่าเพราะเขามีใบหน้าน่าเกลียดจึงต้องใช้หน้ากากปิดบัง บ้างก็ว่าที่เขาสามารถต่อสู้กับคนร้ายด้วยมือเปล่าได้คงเพราะเขาเป็นมนุษย์ต่างดาว

‘ชิน นายโอเครึเปล่า’

ผู้จัดการไม่ค่อยสบายใจนักที่ปล่อยให้ชินนั่งคู่กับชายแปลกหน้า แต่สีหน้าของชินกลับผ่อนคลายกว่าปกติ ชินเอาแต่มองไปข้างหน้าโดยไม่เหลือบมองคนที่นั่งอยู่ด้านข้างเลยแม้แต่น้อย

‘ขึ้นมาครับ’

ชินสังเกตเห็นดวงตาที่เบิกกว้างของอีกฝ่ายยามที่ถูกเขาคว้าแขน

‘คุณใช่มั้ยครับคนที่ช่วยผมเอาไว้เมื่อสิบปีก่อน’

ชินเอ่ยถาม

‘…’

‘และเมื่อวานนี้คุณก็ช่วยผมใช่มั้ยครับ’

‘…’

‘ขึ้นมาเถอะครับ ครั้งนี้ผมจะช่วยคุณเอง’

ชายสวมหน้ากากยังคงมองออกไปข้างนอก โชคดีที่คนด้านนอกมองไม่เห็นภายในรถที่กำลังแล่นไปยังสถานที่ถ่ายทำ

‘ไม่ทราบว่าคุณจะไปไหนครับ’ ผู้จัดการเอ่ยถาม ‘ที่ผมถามเพราะผมไม่รู้ว่าจะให้คุณลงตรงไหน…’

ขณะที่รถกำลังวิ่งผ่านซอยเล็กๆ ที่มุ่งสู่ถนนใหญ่ จู่ๆ ประตูรถก็ถูกเปิดออก แล้วเขาก็กระโดดออกไปนอกรถ

“หยุด!”

ชินรีบตะโกนบอกผู้จัดการเมื่อเห็นภาพที่เขากลิ้งไปตามถนน

เอี๊ยด

ชินรีบกระโดดลงไปทันทีที่รถหยุด แต่ไม่เห็นร่างของเขาแล้ว กระโดดลงไปทั้งๆ ที่รถยังวิ่งอยู่แท้ๆ…ชินหันมองรอบๆ ด้วยความกังวล

‘อย่าตาย จงมีชีวิตอยู่’

คำพูดนั้นของเขาบอกให้ชินมีชีวิตอยู่ต่อไปขณะอยู่ภายในตึกที่มีเปลวเพลิงลุกโชน

‘ทำไมคุณพูดอย่างนั้นนะ’

จงมีชีวิตอยู่

ทำไมถึงพูดอย่างนั้นกับผม…

ชินพึมพำเบาๆ และยังไม่หยุดมองไปรอบๆ

‘คุณ…เป็นใครกัน’

 

***

 

“แค่กๆ”

ยังไม่ทันได้บ้วนของเหลวที่ทะลักเต็มปากทิ้ง คางของชินก็ถูกประธานลีจับเงยขึ้น น้ำตาคลอปริ่มอยู่ในดวงตาที่แดงก่ำของเขา

“เก่งมาก”

ประธานลีมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความทรมานของชิน

“คงต้องแต่งหน้าใหม่”

ประธานลีนิ่วหน้าก่อนจะใส่กางเกงให้เรียบร้อย จากนั้นก็หันไปมองชินที่นั่งหมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้น แล้วเปิดประตูเดินออกไปจากห้อง

 

***

 

“คังฮเยรี เธอควบคุมสีหน้าหน่อยไม่ได้รึไง”

ผู้จัดการของฮเยรีกล่าวขึ้น ทุกคนที่ได้ยินฮเยรีกล่าวทักทายด้วยโทนเสียงสูงกว่าปกติต่างก็พากันหัวเราะ เนื่องจากครั้งนี้เป็นการแสดงบทเลิฟซีนเป็นครั้งแรกของเธอ ในสถานที่ถ่ายทำจึงเหลือไว้แค่ทีมงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น นอกนั้นให้รออยู่ด้านนอกตึก

หญิงสาวผมเปียกชื้นนุ่งเพียงชุดคลุมกระโดดขึ้นเตียงเตรียมพร้อม

“ซ้อมแค่รอบสองรอบแล้วถ่ายทำกันเลยนะ เราไม่มีเวลามาก เตรียมตัวให้พร้อมนะทุกคน!”

เสียงผู้กำกับตะโกน

“ชิน!”

เมื่อเห็นชินเดินอยู่ด้านหลังของผู้กำกับ ฮเยรีก็รีบโบกมือให้ ดวงตากลมโตของหญิงสาวผู้มีใบหน้าประดุจดั่งตุ๊กตากำลังไล่ตามการเคลื่อนไหวของชินอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

“ชินเขาอ่อนกว่าเธอหนึ่งปี เดี๋ยวนี้ผู้ชายเขาไม่ชอบผู้หญิงอายุมากกว่าหรอกนะ”

ฮเยอินผู้ที่เป็นทั้งผู้จัดการและพี่สาวกระซิบข้างหูฮเยรี เธอไม่พอใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นพฤติกรรมระริกระรี้ของน้องสาวที่อยากจะแสดงบทเลิฟซีนอย่างออกนอกหน้าขนาดนี้

ชินก้มหัวทักทายเบาๆ ฮเยรียังคงโบกไม้โบกมือไม่หยุด

“เฮ้ย ทักทายอะไรขนาดนั้น เห็นกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน”

ใบหน้าของฮเยรีแดงก่ำทันทีที่เห็นเสื้อเชิ้ตผ้าไหมสีขาวซึ่งบางจนแทบเห็นผิวเนื้อด้านใน เธอรู้สึกยินดีที่จะได้แนบชิดกับชินจากการถ่ายทำในวันนี้ แค่จินตนาการว่าชินผู้มีสีหน้าเรียบเฉยอยู่เสมอกำลังยื่นมือมาหาและกล่าวกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หัวใจของเธอก็แทบระเบิด

แล้วการถ่ายทำก็เริ่มขึ้น หญิงสาวเดินเข้ามาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ยวนยั่วชายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง

“รอฉันอยู่เหรอคะ”

ชายหนุ่มวางหนังสือในมือลงบนโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียง กดปิดสวิตช์ไฟที่ให้ความสว่างทั่วห้องลงแล้วเปิดสวิตช์ไฟเล็กๆ บนโต๊ะข้างเตียงแทน แสงไฟสลัวยิ่งสร้างบรรยากาศที่เร้าอารมณ์

หญิงสาวที่เส้นผมยังไม่แห้งดีนักนั่งอย่างหมิ่นเหม่อยู่ปลายเตียง

“มานี่สิ”

ชายหนุ่มยื่นมือไปหา หญิงสาวคล้ายกับรอเวลานี้อยู่ แล้วเธอขยับไปให้เขากอดแล้วเอนตัวลงนอนบนเตียง ชายหนุ่มขยับร่างตามขึ้นไปทาบทับร่างของหญิงสาวเอาไว้ ผิวกายเปลือยเปล่าที่ซ่อนอยู่พลันปรากฏเมื่อชุดคลุมคลายออก ความเงียบเข้าปกคลุม ทีมงานต่างพากันจ้องทั้งคู่ด้วยสีหน้าตื่นเต้น

ชายหนุ่มโยนชุดคลุมทิ้งไปข้างเตียงพลางจ้องมองหญิงสาวเขม็ง ในระหว่างนั้นสองมือของหญิงสาวก็ค่อยๆ เลื่อนไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขา ทันใดนั้นเองแววตาของเขาก็พลันวูบไหว

“คัต! เฮ้!”

เสียงตะโกนของผู้กำกับทำลายความเงียบที่ปกคลุมเมื่อครู่ ทีมงานที่กำลังกลั้นหายใจต่างพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่

“คังฮเยรี เธอหน้าแดงตั้งแต่ตอนนี้ได้ยังไงกัน”

ผู้กำกับที่เอาแต่จ้องหน้าจอมอนิเตอร์ผุดลุกขึ้นแล้วตะโกนใส่ฮเยรี

“คะ ฉันทำอะไรผิดเหรอ”

ทีมงานต่างแอบหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นใบหน้าของฮเยรีแดงก่ำไม่ผิดไปจากคำพูดของผู้กำกับเลย

“เอ่อ คุณคังฮเยรี ช่วย…”

ชินชี้ไปที่มือของฮเยรี พอหญิงสาวก้มลงไปเห็นมือของตัวเองกำลังกำเสื้อเชิ้ตของชินแน่น ฮเยรีก็รีบปล่อยมืออย่างรวดเร็ว

“คราวนี้ตั้งใจหน่อยล่ะ เข้าใจมั้ย”

ผู้กำกับให้สัญญาณอีกครั้ง ทั้งคู่สมกับที่เป็นท็อปสตาร์ พอถึงเวลาถ่ายทำ ประกายตาของทั้งสองก็พลันเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที

ความร้อนตลบอบอวลไปทั่วห้องแคบ ทั้งคู่ล้มตัวนอนลงบนเตียงแล้วจ้องหน้ากันและกัน

อา…

ริมฝีปากของชายหนุ่มสัมผัสอย่างแผ่วเบาบนไหปลาร้าของหญิงสาว เมื่อมือข้างหนึ่งของเขาเลื่อนผ่านแขนของเธอ ไล่ไปจนถึงต้นขา เธอก็ค่อยๆ ขยับสะโพกขึ้นพลางส่งเสียงครางเบาๆ ประกายตาของทั้งคู่ที่จ้องมองกันและกันเริ่มเร่าร้อน มือของเธอขยับขึ้นไปคล้องรอบคอของเขา

วินาทีที่ร่างกายของทั้งคู่แนบชิดกันยิ่งขึ้น กล้องก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วโคลสอัพใบหน้าของชายหนุ่ม ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของเขา

เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากของชายหนุ่มที่เริ่มหายใจถี่กระชั้น หญิงสาวสับสนเล็กน้อยเมื่อเม็ดเหงื่อเหล่านั้นหยดลงมาบนแก้มของเธอ ใบหน้าซีดเผือดของเขาทำให้เธอรู้สึกแปลกใจจนค่อยๆ เลื่อนมือข้างหนึ่งมาลูบแผ่นหลังของเขาเบาๆ

“ไม่ต้องตื่นเต้นไปหรอก”

ชินชะงักวูบเมื่อได้ยินเสียงกระซิบที่ไม่มีในบท ฮเยรีสังเกตเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกมองกลับมา ที่จริงก็มีบ้างที่ตื่นเต้นจนลืมบทหรือมือไม้แข็งเมื่อต้องมาเปลือยกายแสดงต่อหน้าทีมงานแบบนี้ แต่วันนี้ชินดูแปลกกว่าที่เคย สีหน้าตื่นกลัวและหยาดเหงื่อมากมายบนร่างของเขาไม่น่าเกิดจากความตื่นเต้นจากการแสดงบทเลิฟซีน เธอคิดว่าตัวเองมองเห็นแววตาอันเจ็บปวดทรมานในดวงตาของเขา

“วะ…วันนี้…คะ…คง…ไม่จบแค่ระ…รอบเดียวเหมือนเมื่อวาน”

เสียงของชินสั่นมากขณะกำลังแสดงบทบาทของคนรัก แต่นี่ไม่ใช่การมีเซ็กซ์กันเป็นครั้งแรกของคู่รักในละครเรื่องนี้ พวกเขาแนบชิดกันมาหลายครั้งแล้ว ดังนั้นเสียงของชินจึงไม่ควรจะสั่นถึงขนาดนี้…

ไม่เพียงแค่เสียง ร่างกายก็กำลังสั่น สองมือไหวระริก และใบหน้าก็ซีดเผือดราวกับจะเป็นลมล้มลงไปได้ทุกวินาที

“ฉันจะรอดูนะคะ”

หญิงสาวพูดพลางใช้มือข้างหนึ่งกดต้นคอของชายหนุ่มลงมาจูบ ทันใดนั้นเองร่างของเขาก็พลันยวบลง ไร้เรี่ยวแรงเมื่อริมฝีปากนุ่มนิ่มสัมผัสกัน

“คัต!”

ผู้กำกับตะโกนสั่ง ขณะที่ทีมงานเริ่มส่งเสียงเมื่อเห็นชินล้มลงบนร่างของฮเยรี

“ชิน!”

ผู้จัดการรีบวิ่งมาทันทีที่เห็นชินล้มลง แล้วทั้งกองถ่ายก็เข้าสู่ความโกลาหลเมื่อชินเป็นลม ใบหน้าของชินซีดเผือด ลมหายใจแผ่วเบาคล้ายจะสิ้นลม ร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“ทำไมชินเป็นแบบนี้ล่ะ”

“รีบเรียกรถพยาบาลเร็ว”

หนึ่งในทีมงานรีบหยิบมือถือขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของผู้กำกับ ปกติรถพยาบาลจะจอดรอเตรียมพร้อมอยู่เสมอหากแต่วันนี้กลับไม่มี เนื่องจากมีเพียงฉากเลิฟซีนในพื้นที่ปลอดภัย ไม่มีบทแอ็กชั่นอันตรายใดๆ

แล้วทำไมจะต้องเกิดเหตุวันนี้ด้วยนะ

“หลบหน่อย”

ผู้จัดการรีบถอดเสื้อแจ็กเก็ตคลุมร่างเปลือยเปล่าของชินที่เป็นลมหมดสติและนอนคว่ำหน้าอยู่กับเตียง แล้วค่อยๆ พยุงร่างของชินขึ้น

“ทำไมเขากลายเป็นอย่างนี้คะ”

ฮเยรีเอ่ยถามเสียงสั่นพลางมองร่างของชินที่ยังคงสั่นเทาแม้จะหมดสติไปแล้ว หญิงสาวนึกว่าหัวใจตัวเองจะหยุดเต้นเสียแล้วตอนที่ร่างของเขาล้มพับลงบนตัวเธอ วินาทีนั้นเธอมองเห็นความหวาดผวาอยู่ภายในแววตาของเขา

สลบขณะแสดงบทเลิฟซีน

ถ้ารู้ไปถึงนักข่าวได้เป็นพาดหัวข่าวใหญ่แน่ ฮเยรีรีบหยิบเสื้อคลุมที่ถอดออกมาสวมกลับคืนอย่างรวดเร็วแล้วรีบลงจากเตียงเพื่อวิ่งตามร่างของชินที่ถูกผู้จัดการอุ้มไป แต่ก็ไม่ทัน

“ชิน”

ฮเยรียืนเหม่อมองรถที่พาชินออกไปจากสถานที่ถ่ายทำด้วยสีหน้างุนงง

 

***

 

“ชินไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ”

ผู้จัดการถามทันทีที่เห็นหมอเปิดประตูออกมา ตั้งแต่รู้ว่าวันนี้จะมีถ่ายฉากเลิฟซีนเขาก็รู้สึกไม่สบายใจแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะถึงกับเป็นลมอย่างนี้ ไม่นึกเลยว่าเหตุผลที่ทำให้ชินพยายามบ่ายเบี่ยงและหลีกเลี่ยงฉากเลิฟซีนหรือแม้กระทั่งฉากจูบมาตลอดนั้นจะเป็นเพราะแบบนี้

‘ไม่รับงานแบบนี้’

เขานึกถึงคำพูดของชินที่เคยกล่าวด้วยใบหน้าซีดเผือดเมื่อได้เห็นบท

“คงกลัวน่าดูสินะ…”

ผู้จัดการพึมพำด้วยความสงสาร

ขณะที่ถูกนักแสดงหญิงลูบคลำต่อหน้ากล้อง ชินคงนึกถึงเรื่องราวที่ถูกพวกผู้หญิงเหล่านั้นลวนลาม

“คล้ายกับจะเป็นภาวะขวัญเสียจาก Traumatic ซึ่งเป็นอาการบาดเจ็บทางจิตใจน่ะครับ ผมได้ฉีดยา Carbamazepine* ให้แล้ว เดี๋ยวก็คงจะดีขึ้น แต่เขาเป็นอย่างนี้บ่อยเหรอครับ”

“ไม่เคยครับ วันนี้เผอิญมีถ่ายฉากที่แตกต่างไปจากปกติก็เลย…”

“อาการแบบนี้ถือว่าหนักพอสมควรนะครับ ไม่ทราบว่า…”

“เอ่อ คุณหมอครับ ถือว่าผมขอร้องนะครับ ได้โปรดช่วยเก็บเรื่องอาการป่วยของชินไว้เป็นความลับด้วยนะครับ”

หมอพยักหน้ารับอย่างเข้าใจในสถานการณ์ของชิน

“ถ้าเป็นไปได้ผมขอย้ายห้องผู้ป่วยเดี๋ยวนี้เลยนะครับ ขอห้องที่เป็นส่วนตัวมากๆ หน่อย”

เขาต้องรีบย้ายห้องพักฟื้นเพื่อเลี่ยงกองทัพนักข่าวที่สามารถพุ่งเข้ามาได้ทุกเมื่อ

“เฮ้อ แล้วจะต้องจัดการกับข่าวยังไงดีล่ะทีนี้…”

เมื่อกี้เขายังไม่ทันได้นึกถึงข่าวเพราะมัวแต่ห่วงจะนำตัวชินส่งโรงพยาบาล ที่กองถ่ายมีนักข่าวรอสัมภาษณ์อยู่ พวกเขาเป็นนักข่าวที่ได้ทำเรื่องขออนุญาตเพื่อโปรโมตนักแสดง เรื่องที่ชินเป็นลมคากองถ่ายขณะถ่ายฉากเลิฟซีนถ้ารู้ไปถึงหูนักข่าวล่ะก็แย่แน่ๆ ต้องรีบหาทางปิดข่าวนี้ ดังนั้นเขาจะต้องติดต่อขอความช่วยเหลือจากประธานลี

พอคิดได้ดังนั้น ผู้จัดการก็รีบหยิบมือถือของตนออกมา

“เอ่อ…ท่านประธาน…ผมมีเรื่องจะปรึกษาครับ”

 

***

 

สมกับเป็นโรงพยาบาลชั้นนำ ห้อง VVIP หรูหรากว่าที่คาด มีอาคารแยกออกมาต่างหาก ทั้งยังมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา หากไม่ใช่คนรู้จักหรือผู้ดูแลผู้ป่วยแล้วจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอย่างเด็ดขาด แต่ดูเหมือนว่าข่าวที่ชินเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจะรั่วไหลออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อนร่วมงานของเขาพากันมาเยี่ยมที่โรงพยาบาลถึงสี่ครั้งแล้ว ดูเหมือนว่าการจัดการของประธานลีคงช้าไปก้าวหนึ่ง

ผู้จัดการได้แต่ตอบไปว่าชินทำงานจนร่างกายเหนื่อยเกินไป และไม่นานข่าวของชินที่รั่วไหลจากคนรู้จักก็ไปสู่คนภายนอก

 

‘ชิน นักแสดงแถวหน้าของประเทศ! ทำงานหนักจนถูกหามส่งโรงพยาบาล’

 

ผู้จัดการถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นข่าวถูกเขียนออกมาแบบนั้น ช่างโชคดีเหลือเกินที่เขาพาชินย้ายมาอยู่ห้องพักผู้ป่วยที่หรูหราและกว้างขวางแห่งนี้ ภายในห้องผู้ป่วยอันสงบเงียบมีเพียงเสียงลมหายใจของชินเท่านั้น

“อา…”

“ชิน! ฟื้นแล้วเหรอ”

ทันทีที่เห็นชินลืมตา ผู้จัดการก็ร้องเรียกเสียงหลง

“ชิน”

ชินเข้าสู่วงการตั้งแต่อายุสิบห้า หากไม่มีเรื่องนั้น…ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ขึ้นในตึกที่พวกเขาอาศัยอยู่ ป่านนี้ชินก็คงยังอยู่กับน้องๆ ของเขาอย่างมีความสุข เขาคงมีชีวิตที่เป็นปกติอย่างนั้นเรื่อยมา…

“ขอโทษนะ”

ผู้จัดการเอ่ยเบาๆ อดีตผ่านมาแล้วถึงสิบปี ไม่มีหนทางใดที่จะช่วยให้ชินหลุดพ้นจากตรงนี้ได้

“อืม”

แววตาของชินยังคงเลื่อนลอย

 

* ยาในกลุ่มยากันชัก

“เขาจะไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ”

“แน่นอนค่ะ ตอนนี้ที่ให้ยานอนหลับก็เพื่อให้เขาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่น่ะค่ะ”

พยาบาลหันมายิ้มให้ผู้จัดการ โชคดีเหลือเกินที่ตอนนี้ชินกำลังหลับอย่างสงบ แต่แล้วทันใดนั้นผู้จัดการก็นึกถึงคำพูดของประธานลีที่ว่าให้ชินออกจากโรงพยาบาลทันทีที่ฟื้น ดูเหมือนว่าจะต้องไปเอาเสื้อผ้ามาเตรียมไว้ให้ชินเปลี่ยนทันทีที่ตื่นสินะ

“ชิน ฉันขอตัวเดี๋ยวนะ”

ผู้จัดการหันไปบอกชินที่กำลังนอนหลับอยู่แล้วเปิดประตูเดินออกจากห้องไป

“โชคดีจังที่ไม่เป็นอะไรมาก”

พอเดินเข้ามาในลิฟต์ ผู้จัดการก็อิงร่างแนบกับผนังลิฟต์อย่างอ่อนแรง แต่ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลง อะไรบางอย่างก็แวบผ่านหน้าเขาไป

“อะไรน่ะ”

อะไรบางอย่างที่มีลักษณะสูงใหญ่และเป็นสีดำ บนชั้นสูงสุดของอาคารในโรงพยาบาลแห่งนี้มีห้องพักผู้ป่วยของชินเพียงห้องเดียวเท่านั้น คนที่จะเข้ามาได้มีเพียงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการรักษา คนรู้จักและผู้ดูแลผู้ป่วยเท่านั้น

[ชั้นล็อบบี้ค่ะ]

เสียงอัตโนมัติดังขึ้นเมื่อลิฟต์มาถึงชั้นล็อบบี้ พอประตูลิฟต์เปิด เท้าของผู้จัดการที่ก้าวออกไปด้านนอกก็ชะงักงัน เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างแปลกๆ

ใครกัน

ความรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูกค่อยๆ แทรกซึมเข้าร่างกาย

“หรือว่า…”

ใบหน้าของผู้จัดการพลันซีดเผือดเมื่อนึกถึงชายที่สวมเสื้อกันฝนที่เคยจะทำร้ายชิน เสื้อที่ใส่มีลักษณะคล้ายเมื่อกี้

สีดำ…

“ชิน!”

ผู้จัดการรีบวิ่งกลับเข้าลิฟต์แล้วกดไปที่ชั้นสูงสุดอย่างร้อนรน

 

ชินลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงประตูปิด ห้องที่มีแสงสีเหลืองนวลและกลิ่นที่ไม่คุ้นเคย เขาใช้เวลาเพียงไม่นานก็รับรู้ได้ว่าที่นี่คือที่ไหน

ชินมองเข็มที่ทิ่มอยู่บนแขนกับสายน้ำเกลือข้างเตียง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสลบกลางกองถ่าย คนที่อยู่ในเหตุการณ์จะตกใจมากแค่ไหนกัน

คังฮเยรี เธอจะตกใจมั้ยนะ

ขณะที่เขากำลังเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่วางอยู่โต๊ะเล็กๆ ด้านข้าง จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมร่างของใครบางคนที่เดินเข้ามา

ชายผู้สวมผ้าปิดหน้าและใส่เสื้อกันฝนสีดำนั่นเอง

“คุณอีกแล้ว”

ชินตกใจแค่ชั่วครู่ก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ เขาไม่รู้ว่าทำไมชายคนนี้จึงตามราวีเขาไม่เลิก แต่ถ้ามีใครสักคนอยู่กับเขาก่อนที่จะสิ้นใจก็คงไม่เลวนัก ชายเสื้อกันฝนล้วงกระเป๋า ควักอาวุธแหลมคมเล่มเดิมออกมา แล้วค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ ชินจึงขยับสองเท้าลงจากเตียง

บางทีนี่คงเป็นวินาทีสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่บนโลกใบนี้ เขาไม่มีอะไรในชีวิตให้เสียดายอีกแล้ว ลมหายใจที่เขาไม่อาจปลิดเอง…ถ้าได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นก็คงไม่ใช่เรื่องแย่อะไร

ชินค่อยๆ หลับตาลง

‘อย่าตาย จงมีชีวิตอยู่’

แต่แล้วหูก็พลันได้ยินเสียงของใครคนนั้น

“ผมยังอยากมีชีวิตอยู่”

ชินเผลอเอ่ยออกมาเช่นนั้น เท้าที่ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้จึงหยุดชะงัก แต่พอเห็นชินขยับตัวไปยังอีกฝั่งของเตียง ชายเสื้อกันฝนก็ยกมีดขึ้นสูงอีกครั้ง

“ช่วยด้วย!”

ชินตะโกนเสียงดัง

“คึๆๆ”

แต่แล้วเสียงแปลกๆ ก็ดังมาจากชายเสื้อกันฝน มันเหมือนเสียงหัวเราะที่คล้ายเสียงสะอึกสะอื้น ฟังแล้วชวนขนลุกยิ่งนัก

“ชิน!”

ขณะที่คนร้ายเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที ประตูห้องพักผู้ป่วยก็ถูกเปิดออกอย่างแรง ผู้จัดการวิ่งเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเผือด

“ตำรวจ โทรแจ้งตำรวจ! ด่วน!”

ผู้จัดการร้องตะโกนโหวกเหวก ก่อนที่จะขึ้นมาถึงบนนี้เขาได้โทรแจ้งยามรักษาการณ์ของโรงพยาบาลเอาไว้แล้ว เมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกน ชายเสื้อฝนก็พุ่งเข้าใส่ผู้จัดการอย่างแรง

โครม

ร่างของผู้จัดการกระเด็นไปกระแทกผนัง แต่เขาก็ยังกัดฟันคว้าปลายเสื้อกันฝนจนทำให้คนร้ายเสียการทรงตัว แล้ววินาทีนั้นเองอาวุธแหลมคมที่ถูกกำอยู่ในมือก็ร่วงตกลงพื้น ร่างในเสื้อกันฝนชะงักแล้วจ้องหน้าผู้จัดการเขม็ง สายตานั้นน่าสะพรึงจนมือที่คว้าเสื้อกันฝนเอาไว้เผลอคลายออก

“ได้ยินว่ามีคนร้ายขึ้นมา! รีบไปเร็ว!”

พยาบาล ยาม และตำรวจสี่คนกำลังวิ่งใกล้เข้ามา

“ทางนี้ครับ มันอยู่นี่ครับ”

ผู้จัดการตะโกน แต่กว่าที่พวกเขาจะมาถึง ชายในเสื้อกันฝนก็ได้อันตรธานหายไปเรียบร้อยแล้ว

 

***

 

“จะจ้างบอดี้การ์ดงั้นเหรอ”

หลังจากที่ให้การกับตำรวจเสร็จเรียบร้อย ชินกับผู้จัดการก็กลับมาที่บ้าน

“ใช่ มันจ้องเอาชีวิตของนายถึงสองครั้งแล้วนะ มันอาจจะโผล่มาอีกก็ได้ใครจะรู้”

ผู้จัดการพูดพลางวางถุงยาลงบนโต๊ะหน้าโซฟา

“ไม่เอา”

“ชิน”

“ไม่ต้องให้ใครมาปกป้องผมทั้งนั้น”

“เพื่อความปลอดภัยของนายเองนะ ไม่รู้มันจะโผล่มาฆ่านายอีกเมื่อไหร่”

“ผมไม่ต้องการ!”

“คิมชิน!”

“ตัวผม ผมดูแลเองได้”

“อย่าดื้อได้มั้ย”

หลังพยายามโน้มน้าวมาตลอดหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดผู้จัดการก็โมโหจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง เตะประตูอย่างแรงแล้วเดินออกไป

ชินยกมือข้างหนึ่งนวดขมับ รู้สึกปวดหัวและเพลียเหลือเกิน เขาค่อยๆ เอนร่างนอนลงบนเตียง แล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นก่ายหน้าผาก

บอดี้การ์ดงั้นเหรอ อยากจะขำแต่ก็ขำไม่ออก แค่คิดว่าตัวเองจะต้องถูกขังไว้ในมือของใครบางคนอีกครั้งก็รู้สึกอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก

ในวินาทีที่ชายเสื้อกันฝนเดินเข้ามาใกล้ อย่าว่าแต่ความกลัวเลย เขากลับรู้สึกโล่งอกจนเผลอคิดว่าเป็นเรื่องดีเสียอีก ต้องอยู่บนโลกนี้ที่ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งที่เขาปรารถนา ชินอยากพักเหลือเกิน

แต่แล้วทำไม…จู่ๆ ถึงคิดอยากมีชีวิตล่ะ

‘ช่วยด้วย’

คำพูดนั้นที่ตัวเองเคยพูดยังดังก้องอยู่ในหู

“ยากล่อมประสาทงั้นเหรอ”

ชินหันไปหยิบถุงยาที่ผู้จัดการวางไว้ ขืนปล่อยไว้แบบนี้คงนอนไม่หลับ ชินกรอกยาหลายเม็ดพร้อมกับดื่มน้ำหนึ่งอึกก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้ง ผ่านไปไม่นานเปลือกตาก็ค่อยๆ หรี่ลงจนปิดสนิทในที่สุด

 

***

 

เช้าวันใหม่แล้ว แต่ความเหนื่อยล้ากลับไม่จางหาย ยังดีที่เมื่อคืนไม่ได้ถูกหลอกหลอนจากฝันร้าย ปกติแล้วเขาจะตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อออกไปวิ่งจ๊อกกิ้ง แต่เมื่อคืนเขาหลับสนิทมากจนไม่ได้ตื่นขึ้นมาในเวลาเช่นเคย

ชินรู้สึกถึงมืออบอุ่นและสัมผัสอ่อนโยนที่เข้ามาแทนที่ฝันร้าย

เขาหวนนึกถึงมืออันอบอุ่นและอ่อนโยนของแม่ที่จำหน้าไม่ได้ในขณะฝัน หรือเป็นเพราะฤทธิ์ยา ยานั่นทำให้เขาสามารถหลับสนิทได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ

“ชินตื่นรึยัง”

ขณะที่เอื้อมมือไปหยิบถุงยา เสียงของผู้จัดการก็ดังอยู่นอกห้อง ชินจึงวางถุงยาลงพลางเหลือบมองนาฬิกาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง

หกโมงเช้า ยังเป็นเวลาที่เช้าเกินกว่าจะเริ่มการถ่ายทำ

แอ๊ด

ประตูห้องถูกเปิดพร้อมกับผู้จัดการที่ยื่นหน้าเข้ามา

“ตื่นแล้วนี่นา”

“มีเรื่องอะไรเหรอ ทำไมมาเช้าขนาดนี้”

“ออกมานี่หน่อยได้มั้ย”

สีหน้าของผู้จัดการดูประหม่าเล็กน้อย

“บอดี้การ์ดน่ะ”

ชินเปลี่ยนเสื้อแล้วเดินตามผู้จัดการออกไปที่ห้องนั่งเล่น แล้วผู้จัดการก็เริ่มเปิดประเด็นถึงเรื่องที่คุยกันค้างไว้เมื่อวาน

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่เอา ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายกับ…”

ชินชะงักทันทีที่เห็นชายที่สวมสูทดำผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามา

“อะ…เอ่อ…”

ผู้จัดการพูดติดๆ ขัดๆ

“พี่! ทำไมไม่ฟังที่ผมพูด”

ชายคนนั้นตบบ่าผู้จัดการเบาๆ แล้วเดินเข้ามาใกล้ชิน เส้นผมสีดำถูกเสยไปด้านหลัง ไหล่กว้าง และร่างกายกำยำแสดงให้เห็นถึงความแข็งแรง ทันใดนั้นเองดวงตาของชินก็เบิกกว้าง

“คุณ?”

แววตานี้ ใบหน้านี้…

“ขอโทษ ถ้าไม่จ้างบอดี้การ์ด ฉันคงไม่สบายใจจริงๆ”

ชินยังคงจ้องชายคนนั้นตาค้าง

 

***

 

“จะยืนอยู่ตรงนั้นตลอดเลยเหรอไง”

ชินเอ่ยถามชายคนนั้นขณะหยิบเสื้อไหมพรมออกมาเปลี่ยนเพื่อจะไปทำงาน

“มันเป็นหน้าที่”

ชินบอกให้อีกฝ่ายออกไปรอข้างนอก แต่เขากลับไม่มีท่าทีที่จะขยับ เอาแต่ยืนกอดอกพิงผนังพร้อมกับจ้องมาที่ชิน

“เป็นบอดี้การ์ดก็ควรฟังคำสั่งของนายจ้างไม่ใช่เหรอ”

“ผมเน้นที่ความปลอดภัย”

“คิดว่าที่นี่มันอันตรายเหรอไง นี่มันห้องของผม ปลอดภัยแน่นอน เพราะฉะนั้นรีบออกไปรอข้างนอกเดี๋ยวนี้”

ชินตะโกน เขารู้สึกหงุดหงิดเนื่องจากกำลังพยายามบังคับอะไรบางอย่างที่กำลังเต้นรัวอยู่ภายในอกให้สงบลง เพราะวินาทีที่เห็นชายคนนี้เป็นครั้งแรก ชินก็พลันนึกถึงคนคนนั้น

ทั้งใบหน้า ทั้งส่วนสูง แม้กระทั่งน้ำเสียงยังเหมือนกับเขาคนนั้นไม่มีผิด มันเป็นไปได้ยังไง

“คุณรู้จักผมรึเปล่า”

เขาพยักหน้า

“รู้จักเหรอ หรือว่าคุณคือ…”

ไม่อยากจะเชื่อ เขาคนนั้นน่าจะเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน…

“แน่อยู่แล้ว ก็นายเป็นนักแสดงแถวหน้าของประเทศไม่ใช่เหรอ เมื่อกี้ฉันก็ถามไปแล้วว่ารู้จักนายมั้ย เขาบอกว่าเคยดูหนังที่นายแสดงด้วย”

ผู้จัดการพูดแทรกขึ้นมา เขารู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นปฏิกิริยาของชินที่ตอนแรกนึกว่าจะตะคอกหรือไล่ตะเพิด

“ไม่มีใครในประเทศนี้ที่ไม่รู้จักชินหรอก ใช่มั้ยล่ะ”

ยอนโฮพยักหน้ารับเมื่อผู้จัดการหันมาถาม

“เมื่อปีที่แล้วก็มีหนังออกฉาย คุณรู้มั้ยว่าชินต้องลำบากขนาดไหนกว่าจะถ่ายทำหนังเรื่องนั้นเสร็จ ตอนนั้นเป็นช่วงกลางฤดูหนาวที่ลมพัดแรงมาก ฉากส่วนใหญ่ก็เป็นฉากเอาต์ดอร์ ขาของชินนะถูกหิมะกัด…”

“ทั้งสองคนออกไปได้แล้ว!”

ชินตะโกนลั่น

“เป็นอะไรเหรอชิน”

เมื่อผู้จัดการเอ่ยถาม ชินก็หมุนตัวเดินเข้าห้องแล้วปิดประตูดังปัง

“อย่างนั้นเองเหรอ เขารู้จักเราก็เพราะว่าเราเป็นนักแสดงน่ะเหรอ”

ชินบ่นอู้อี้อยู่หลังประตู ช่างโง่เง่านักที่คิดว่าเขาคือคนคนเดียวกับคนคนนั้น คนที่น่าจะเสียชีวิตไปแล้วไม่มีทางปรากฏตัวขึ้นได้หรอก

“เฮ้อ” ชินถอนหายใจอย่างแรง

 

***

 

“บอดี้การ์ดนี่เป็นเหมือนคุณทุกคนมั้ย” ชินนิ่วหน้าพลางเอ่ยถาม

นี่เป็นครั้งแรกที่เขายอมให้คนแปลกหน้าเข้าบ้าน แถมคนแปลกหน้าคนนี้ยังเอาแต่จ้องมองอยู่ตลอดเวลาจนทำให้ชินรู้สึกประสาทเสีย ทั้งที่เป็นลูกจ้างแต่กลับไม่ฟังคำพูดของชินเลย ทั้งยังไม่พูดคำลงท้ายว่าครับหรือไม่มีท่าทีสุภาพกับเจ้านาย ช่างเป็นคนที่ยากแก่การเข้าใจเสียจริง

ชินเหลือบมองยอนโฮที่เดินตามเข้ามาในห้องพร้อมยืนจ้องเขาเขม็ง

ยังจะตามเข้ามาอีกนะ

ชินหันหลังให้แล้วถอดเสื้อที่ใส่อยู่ออก กล้ามเนื้อเล็กๆ เรียงตัวสวยอยู่บนผิวขาวกระจ่าง รูปร่างไร้ซึ่งไขมันส่วนเกิน ถ้าไม่นับช่วงบ่าที่กว้างแล้วล่ะก็ ผิวขาวผ่องนี้คงทำให้คิดว่าไม่ใช่ผิวของผู้ชาย ชินหยิบเสื้อไหมพรมขึ้นมาสวมอย่างรวดเร็วแล้วหันกลับไปมองยอนโฮอีกครั้ง

“ผมถามว่าจะอยู่ตรงนี้ตลอดเลยใช่มั้ย”

“…”

“ไม่เห็นเหรอว่ากำลังเปลี่ยนเสื้อ”

“ก็เปลี่ยนไปสิ”

ยอนโฮกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเลื่อนสายตามองไปที่นอกหน้าต่างแทน คงเพราะเพื่อป้องกันชีวิตส่วนตัวของนักแสดงอย่างชิน แม้แต่กระจกหน้าต่างของบ้านยังถูกสั่งทำมาพิเศษ ทิวทัศน์ภายนอกของฤดูหนาวช่างดูอึมครึมเสียจริง แต่จริงๆ แล้วการที่ทิวทัศน์ภายนอกดูอึมครึมไม่ได้เป็นเพราะต้นไม้ที่ไร้ใบหรอก

คิมชิน

เป็นเพราะเด็กคนนี้ต่างหาก

‘จะรับหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้นักแสดงเหรอครับ ทำไมคนอย่างคุณต้องทำด้วยล่ะครับ แล้วงานที่นี่ล่ะ ทางนี้ก็ขาดคุณไม่ได้เหมือนกัน คุณก็ทราบดีไม่ใช่เหรอครับ’

คำพูดของโชมินฮยองเมื่อวันก่อนผุดขึ้นมาในห้วงความคิด มินฮยองสูงกว่าเขาอยู่นิดหน่อย นิสัยสุภาพผิดกับรูปร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แต่พอถึงเวลางานก็จะกลายเป็นคนเฉียบขาดและพร้อมจะลงมือได้อย่างเลือดเย็น ดังนั้นเขาจึงยอมให้มินฮยองมาอยู่ข้างกาย

‘หากร่างกายของเด็กคนนั้นมีตราประทับแล้วล่ะก็ เด็กคนนั้นจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน ฉันนิ่งดูดายไม่ได้หรอก’

‘ตราประทับในร่างของคุณก็ถูกลบออกไปแล้ว ถึงขั้นปลูกถ่ายผิวขึ้นมาใหม่ ดังนั้นคงไม่มีใครรู้เรื่องนี้แน่ครับ ทั้งเรื่องที่คุณเป็นหนูทดลองและเรื่องที่คุณเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวนั่นด้วย ไม่ทราบว่าจะเป็นการละลาบละล้วงเกินไปหรือไม่ แต่ผมคิดว่าคุณไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนั้นให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายนะครับ’

‘มินฮยอง’

ยอนโฮเดินเข้าไปใกล้

หลังจากที่ยอนโฮได้รับการช่วยเหลือจากเจสจนได้กลับมาที่เกาหลี มินฮยองเป็นเพียงคนเดียวที่จำเขาได้

มินฮยองเป็นลูกน้องเพียงหนึ่งเดียวที่เขารักใคร่มากที่สุดสมัยอยู่ในค่ายทหารหน่วยรบพิเศษ ยามที่เขาหายตัวไปจากค่ายฝึก มินฮยองก็พยายามสืบหาจนในที่สุดก็ได้ข่าวว่าเขาถูกจับตัวไปเป็นหนูทดลอง และมินฮยองก็เป็นคนที่ให้แผนผังตึกเพื่อให้เขาสามารถหลบหนีออกจากสถานที่คุมขังได้

ตอนที่มินฮยองได้ข่าวว่าเขาเสียชีวิตแล้วก็ถึงกับช็อกจนขอลาออกจากการเป็นทหาร แล้วในระหว่างที่มินฮยองกำลังใช้ชีวิตเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ก็ได้พบกับเขาอีกครั้ง เขาไม่อาจลืมภาพของมินฮยองที่ทรุดลงนั่งคุกเข่า ร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าเขาเมื่อวันนั้นได้เลย

‘ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ก็ฝากงานทางนี้ด้วยล่ะ…นายคือพี่น้องที่ฉันไว้ใจเพียงคนเดียว’

‘จะต้องไปจริงๆ เหรอครับ’

เขาหันหลังให้กับมินฮยองที่กำลังมองมาด้วยแววตาเศร้าหมอง เขามาที่นี่เพื่อเป็นบอดี้การ์ดให้กับคิมชิน นักแสดงแถวหน้าของวงการบันเทิง ยอนโฮไม่เข้าใจว่าทำไมตราประทับนั่นถึงไปอยู่บนร่างกายของชินได้ เขาตกใจเมื่อเห็นภาพของชินที่เป็นลมระหว่างถ่ายทำปรากฏบนอินเตอร์เน็ต

ตัวอักษร GR ที่ประทับอยู่บนแผ่นหลังด้านขวาของชินมันเป็นตราประทับที่สลักลึกบนร่างของผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นหนูทดลองในห้องใต้ดินเพื่อแยกพวกเขาออกจากคนทั่วไป

เมื่อสิบปีก่อนช่วงที่เขากับเจสเพิ่งกลับมาถึงเกาหลีได้ไม่นาน สถานที่ที่ผุดขึ้นในสมองเป็นที่แรกก็คือบ้านแห่งสันติสุขที่ชินอาศัยอยู่ แต่เมื่อไปถึงบ้านแห่งสันติสุขก็พบว่ามันกำลังถูกเปลวไฟโอบล้อมเสียแล้ว

มีเสียงของใครบางคนกำลังร้องไห้อยู่ภายในตึกที่ถูกเพลิงเผา เขาวิ่งตามเสียงร้องสะอื้นนั้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เห็นชินอยู่ตรงนั้น เด็กหนุ่มผู้มีผมหยักศกสีน้ำตาล และใบหน้าขาวราวกับหิมะ

คำแรกที่ชินเงยหน้าพูดกับเขาก็คือ

‘ผมผิดเอง ไฟพวกนี้…ผมไม่ได้ตั้งใจ’

ไม่รู้ว่าชินที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้เอาแต่นั่งตัวงอ ไม่คิดหาทางเอาชีวิตรอดไปจากตึกแห่งนี้

‘ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก แล้วการที่นายจะทิ้งชีวิตเอาไว้แบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะจัดการเอาสิ่งที่ขวางทางออกก่อนนะ รอฉันอยู่ที่นี่ล่ะ อย่าตาย จงมีชีวิตอยู่จนกว่าฉันจะกลับมา’

และเมื่อเขากลับมาอีกครั้ง ชินก็สลบไปแล้วเพราะสูดควันไฟเป็นเวลานาน ยอนโฮจึงอุ้มร่างของชินออกมาจากกองเพลิง

สิบปีผ่านไปแล้ว ชินที่เคยเป็นเพียงเด็กน้อยคนนั้นกลับเติบโตมีรูปร่างสมส่วน

ยอนโฮที่ยังคงยืนกอดอกพิงกำแพงค่อยๆ เลื่อนสายตากลับไปที่ชินอีกครั้ง ชินที่รู้ตัวจึงเร่งมือใส่กางเกงและเข็มขัด เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยชินก็เอื้อมไปหยิบเสื้อคลุมตัวนอกอย่างกระฟัดกระเฟียด แล้วรีบเดินผ่านยอนโฮไปอย่างรวดเร็ว

 

***

 

“ชิน เรื่องนั้นน่ะ”

ผู้จัดการมองกระจกมองหลังพลางเอ่ยออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อครู่สีหน้าของชินที่นั่งอยู่เบาะหลังบ่งบอกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์บูดสุดๆ ดูเหมือนพร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเมื่อ

“บอดี้การ์ดคนใหม่น่ะหน่วยก้านดี น่าจะทำงานเก่งนะว่ามั้ย ได้ลองพูดคุยกันบ้างรึยัง”

“…”

“นายคงไม่รู้ แค่ลงประกาศหาบอดี้การ์ดไม่ถึงชั่วโมงก็มีคนตั้งหลายร้อยคนมาสมัครแน่ะ นี่ฉันเพิ่งรู้นะว่าประเทศเรามีคนทำงานเป็นบอดี้การ์ดมากมายขนาดนี้ ฮะๆๆ”

ผู้จัดการพยายามเค้นหัวเราะและหาเรื่องพูดต่อไป

“การเป็นบอดี้การ์ดของคิมชิน นักแสดงระดับประเทศน่ะโคตรถือเป็นเกียรติเลยนะ ฉันอุตส่าห์แหกขี้ตาอ่านอีเมลที่สมัครเข้ามาทั้งคืนจนถึงเช้ามืด เพราะคนที่จะมาคุ้มครองนายได้อย่างน้อยก็ต้องสูงเกินหนึ่งร้อยแปดสิบเซ็นต์ มีความสามารถด้านศิลปะป้องกันตัวระดับห้าขึ้นไป หินยิ่งกว่าหิน กว่าจะคัดได้”

ผู้จัดการรู้ดีว่าแม้ชินจะหลับตานิ่ง แต่หูกำลังฟังคำพูดของเขาอยู่

“สงสัยคงอยากเป็นบอดี้การ์ดของนายมาก…”

“ชื่ออะไรนะ”

“หือ?”

ผู้จัดการงุนงง นี่เป็นครั้งแรกที่ชินมีท่าทีสนใจคนอื่นแบบนี้

“จองยอนโฮ เขามีชื่อว่าจองยอนโฮ เป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากเลยนะ นายจำได้มั้ย คราวก่อนตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับประธานาธิบดี มีบอดี้การ์ดของบริษัทหนึ่งฝ่าอันตรายเข้าไปช่วยท่าน รู้สึกว่ายอนโฮก็อยู่สังกัดเดียวกับบอดี้การ์ดคนนั้น”

เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของชิน ผู้จัดการก็พอจะวางใจได้เปลาะหนึ่ง

“จองยอนโฮ”

ชินพึมพำเบาๆ พร้อมกดกระจกรถลง ลมเย็นพัดเข้ามาจนเส้นผมพลิ้วไสว พอเหลือบตามองกระจกข้าง ก็เห็นรถสีดำที่ยอนโฮกำลังขับตามมา จากนั้นชินก็กดกระจกเลื่อนขึ้นอย่างรวดเร็ว

ชินหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อกี้ที่ยอนโฮเร่งฝีเท้ามาเปิดประตูรถให้

‘ไม่จำเป็นหรอก เป็นบอดี้การ์ดก็ทำตัวให้สมกับเป็นบอดี้การ์ดก็พอ…’

‘ขึ้น’

ยอนโฮพูดหน้าตายด้วยน้ำเสียงกดดัน ชินจึงได้แต่กัดริมฝีปากแน่นแล้วยอมเดินขึ้นรถแต่โดยดี

 

***

 

“อีกตั้งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเข้าฉาก นายนั่งรถมาตั้งนานคงเพลียน่าดู เดี๋ยวฉันไปซื้อกาแฟมาให้ดีกว่า ไหนดูซิแถวนี้มีร้านกาแฟมั้ยนะ”

ผู้จัดการพูดพลางเปิดประตูแล้วออกไปจากรถ ใช้เวลานั่งรถตั้งสามชั่วโมง หากเป็นเวลาปกติชินคงอ่อนล้าไม่น้อย แต่วันนี้ชินรู้สึกสดชื่นอย่างน่าประหลาด

ชินเลื่อนสายตามองออกไปนอกรถ รถบัสคันหนึ่งกำลังแล่นเข้ามายังสถานที่ถ่ายทำ เมื่อรถบัสจอด ทีมงานก็ช่วยกันขนอุปกรณ์ลงมา และทันทีที่ชินเปิดประตูรถก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น

“ชิน!”

“มาเร็วจัง”

เสียงของหลายคนดังเซ็งแซ่เข้าหูของเขา บางคนก็เป็นทั้งทีมงานและเป็นแฟนตัวยง

“ถ้าไปขอลายเซ็นเขาจะให้มั้ย ลองทักทายดูมั้ย”

“เขาจะยอมคุยกับคนอย่างเธอเหรอ”

เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งพูด ทีมงานชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยขัดพร้อมกับยื่นอุปกรณ์ในมือให้แก่เธอพลางยักไหล่

“เดี๋ยวฉันไปขอให้แทนละกัน”

ชายคนนั้นหมุนตัวแล้ววิ่งปรี่เข้ามาอย่างเริงร่าทันทีที่เห็น ยอนโฮก็รีบลงจากรถมาขวางหน้าเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว แค่รูปร่างสูงใหญ่และแววตาพิฆาตก็ทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยอะไรเลย

“ขอคุยกับเขาหน่อยได้มั้ยครับ”

ยอนโฮส่ายหน้า ทีมงานชายคนนั้นจึงทำหน้าผิดหวังแล้วเดินคอตกจากไป

“ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ก็ได้มั้ง” ชินพูดเมื่อยอนโฮเดินใกล้เข้ามา “พวกเขาเป็นแฟนคลับของผมนะ”

“…”

“ขอไปเดินเล่นสูดอากาศหน่อยแล้วกัน” ชินพูดพลางเสยผมที่ถูกลมพัด

ชินสะบัดเสื้อนอกเบาๆ ก่อนจะเดินออกไป คงเพราะนั่งรถเป็นเวลานานจึงไม่ค่อยสบายตัวสักเท่าไหร่ ในเวลาที่รู้สึกอย่างนี้การออกไปเดินเล่นย่อมให้ความรู้สึกสดชื่นมากกว่าอุดอู้อยู่ภายในรถที่คับแคบ แถมทิวทัศน์ยังสวยขนาดนี้จะไม่ให้ออกมาชื่นชมได้อย่างไร การได้เห็นใบไม้สีเขียวท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บถือเป็นเรื่องที่ดีมาก

“บอกแล้วไงว่าอยากอยู่คนเดียว”

ชินหน้ามุ่ยทันทีที่หันไปเห็นยอนโฮเดินตามมา

“มันเป็นงานของผม”

“คนจ่ายเงินจ้างคุณก็คือผม ดังนั้นถ้าผมบอกว่าไม่เป็นไร ก็คือไม่เป็นไร…”

“ผมเป็นมือโปรพอที่จะรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”

“นี่ ยอนโฮ” ชินหน้าแดง เขาอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็นึกคำพูดที่เหมาะสมไม่ออก

“ก็ได้ ตามใจ แต่อย่ารบกวนผมก็แล้วกัน”

ชินหมุนตัวกลับ แล้วค่อยๆ สาวเท้าเดินไปตามทางที่เต็มไปด้วยก้อนกรวด เขาพยายามจดจ่อกับความสวยงามรอบตัว แต่เพราะยอนโฮที่เดินตามมาทำให้ภาพทิวทัศน์ต่างๆ ไม่ซึมเข้าสู่สมองแม้แต่น้อย เขาอยู่คนเดียวมาตลอดจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นักเมื่อมีคนมาอยู่ใกล้ๆ ยิ่งเขาคนนี้เหมือนกับใครคนนั้นที่เขาเคยไล่ตามและพึ่งพาในอดีตด้วย

ชินรีบสาวเท้าขึ้นบันได หลังจากที่ถูกลากไปให้ผู้หญิงพวกนั้นย่ำยี หากไม่เจอเหตุร้ายนั่น บางทีชินคงจะฆ่าตัวตายเพื่อตามเขาคนนั้นไปแล้วก็ได้

วันนั้นที่ได้เจอเขาครั้งแรก…เป็นวันที่อากาศหนาวเหน็บมาก น้องในสถานรับเลี้ยงเด็กคนหนึ่งมีไข้ขึ้นสูง เขาจึงแบกน้องขึ้นหลังแล้ววิ่งไปยังโรงพยาบาลในเมืองเพื่อรักษา และระหว่างทางกลับนั้นเองชินก็ได้พบกับเขาคนนั้นที่กำลังกลับจากการฝึกทหาร เขาคงจะรู้สึกสงสารถึงได้รับชินขึ้นรถเพื่อไปส่งยังสถานเลี้ยงเด็ก

‘ขอบคุณครับ เอ่อ ไม่ทราบว่าพอจะบอกชื่อได้มั้ยครับ’

‘ชื่อเหรอ อืม เราจะได้เจอกันอีกเหรอ’

‘ผมอยากตอบแทนบุญคุณน่ะครับ’

เขาระเบิดเสียงหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของชิน

‘นายชื่ออะไรล่ะ’

‘ชินครับ คิมชิน’

‘ชินงั้นเหรอ ชื่อเท่ชะมัด ฉันชื่อลีจองอู’ เจ้าตัวหัวเราะเบาๆ

ชินเร่งฝีเท้าขึ้นบันได พยายามไล่ความทรงจำที่ผุดขึ้นมา

แฮกๆ

ชินหยุดเดิน ก้มตัวลงพลางหอบ คงจะรีบเดินมากไปหน่อยจึงไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ลมหายใจกลับมาสงบเช่นเดิม ยอนโฮที่เดินเข้ามาใกล้จึงดึงไหล่ของชินให้ตั้งตรง

“สูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ หายใจลึกๆ”

“คะ…แค่นี้…มะ…ไม่เท่าไหร่หรอก”

ชินปัดมือของยอนโฮออกไป ขณะที่ชินหายใจหอบ ยอนโฮกลับไม่มีเหงื่อแม้แต่เม็ดเดียว ช่างแข็งแรงอะไรอย่างนี้

เหมือนเขาคนนั้นมากจริงๆ

“ดูโน่นสิ”

“…”

“มาที่นี่เพื่อมาดูโน่นไม่ใช่หรอกเหรอ”

ยอนโฮยิ้มบางๆ พลางจ้องมองไปบนฟ้าไกล ชินจึงเลื่อนสายตามองตาม

“อา…”

ชินอุทาน ภาพของหมู่บ้านที่มองเห็นลิบๆ ดูสงบเงียบราวภาพที่ถูกรังสรรค์โดยฝีมือของจิตรกรในยุคกลาง ลวดลายหลากสีให้ความรู้สึกอบอุ่นราวกับไม่ใช่ฤดูหนาว ก้อนเมฆที่ลอยละล่องท่ามกลางท้องฟ้าสีคราม

ยอนโฮจับราวกั้นแล้วยิ้มบางๆ เมื่อเห็นชินกำลังดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันสวยงามตรงหน้า

“ดูเหมือนผู้จัดการของคุณกำลังตามหาคุณอยู่นะ”

เมื่อได้ยินคำนั้นของยอนโฮ ชินก็หันหน้าไปมองตามเส้นทางที่ตัวเองเดินมา ที่ปลายทางด้านโน้นผู้จัดการที่ดูตัวเล็กราวกับคนแคระกำลังวิ่งไปมาอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง ภาพนั้นดูตลกจนชินระเบิดเสียงหัวเราะลั่น

“โถ พี่”

แต่แล้วชินก็ต้องหยุดหัวเราะเมื่อหันไปสบตากับยอนโฮที่กำลังมองมา จากนั้นก็รีบหยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดโทรออก

“ผมขึ้นมาชมวิวแป๊บนึง ไม่ต้องตามหาขนาดนั้นหรอก ไม่เป็นไร ก็แค่ออกมารับลมหน่อย อืม เดี๋ยวเดินกลับไปนะ”

แล้วผู้จัดการที่อยู่ไกลๆ ก็มองขึ้นมาทางนี้

“คงต้องลงไปแล้วล่ะ”

ชินยิ้มบางๆ ก่อนจะหมุนตัวแล้วสาวเท้ากลับไปทางเดิม

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

Editor Jamsai: