บทที่ 3
คนบอกโมงยามเคาะกรับไม้ เวลานี้ยามสี่แล้ว
ด้วยสาเหตุใดก็มิทราบได้ นางตื่นขึ้นมากลางดึก
พระจันทร์นอกหน้าต่างเคลื่อนตัวเงียบๆ เกือบจะจมลงใต้กิ่งไม้แล้ว แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา สาดแสงลงบนพื้น ทำให้เงาไม้บนช่องหน้าต่างสะท้อนอยู่บนพื้น
ลมพัดมาพาให้เงาไม้ส่ายไหว หน้าต่างที่ปิดไม่สนิทถูกพัดจนเปิดออก ใบไม้หลายใบจึงถูกพัดเข้ามา
ค่ำคืนกลางฤดูใบไม้ผลิ ลมยังคงหนาวเย็นอยู่เล็กน้อย
นางลุกขึ้นนั่งช้าๆ ลงจากเตียงไปปิดหน้าต่าง เห็นแสงจันทร์สาดส่องไปทั่วลานบ้าน ใบไม้โบกพลิ้วตามสายลม ส่งเสียงดังซ่าๆ
ลมฤดูใบไม้ผลินำพาความเย็นมาให้ ยังมีกลิ่นสุราเจือปนอยู่ด้วย
ทันใดนั้นนางพลันรู้สึกว่าข้างหลังมีคน ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดไหล่และคอนาง
นางตัวแข็งทื่อ กลั้นลมหายใจ
เป็นเขา นางรู้
เขายืนอยู่ข้างหลังนางอย่างใกล้ชิดยิ่ง นางรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวเขา
นางจับขอบหน้าต่างแน่นโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าไม่ปิดหน้าต่างหรือ” ชายหนุ่มก้มหน้าลงมาประชิดข้างหูนาง กระซิบเตือนเสียงค่อยด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
เดิมทีนางอยากจะปิด หากเขาไม่ได้อยู่ในห้องนาง แต่เขาอยู่ และนางไม่ควรอยู่ในห้องนี้กับเขาตามลำพัง
ทว่าแต่ไรมาชายผู้นี้ทำอะไรตามใจตัวเอง การที่นางไม่ปิดหน้าต่างไม่ได้ทำให้เขาหยุด เขาเพียงแต่ขยับมาแนบชิดแล้วสูดดมกลิ่นกายของนาง มือใหญ่ยื่นมาจากข้างหลังช้าๆ ดึงสายรัดเอวของนางออกและสอดมือเข้าไปใต้เสื้อนาง
นางสูดหายใจเบาๆ กระถดตัวไปข้างหลัง แต่กลับไร้ทางหนีและชนเข้ากับแผงอกกำยำร้อนผ่าวของเขา
มือใหญ่ร้อนลวกของชายหนุ่มกอบกุมความกลมกลึงอ่อนนุ่มที่ขาวปานหิมะใต้เสื้อของนาง พาให้หัวใจนางเต้นรัว ดวงหน้าเล็กแดงซ่านและร้อนซู่ หอบหายใจอย่างสั่นสะท้าน
เขากุมหัวใจที่เต้นระรัวดวงนั้น แนบปากชิดติดหูนาง เอ่ยคำพูดร้อนแรงที่เจือกลิ่นสุรา
“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ถือสาว่าใครจะเห็น” พูดจบเขาก็ขบติ่งหูนางเบาๆ จูบเลียลำคอของนาง
นางอ้าปากหอบเสียงแผ่วและเบี่ยงตัวหลบ แต่นางถูกรัดอยู่ในอ้อมแขนเขา ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น มือใหญ่ของเขาทำเรื่องน่าละอายที่มิอาจเอ่ยออกมาได้ ทำเอาร่างกายนางสั่นระริกอย่างควบคุมไม่อยู่ นางพยายามดิ้นรน แต่กลับทำให้เสื้อตัวในแบะออก
แสงจันทร์ในค่ำคืนกลางฤดูใบไม้ผลิสาดส่องลงมาเงียบๆ ทำให้นางเห็นชัดว่ามือใหญ่ของเขากำลังลูบไล้ทรวงอกขาวปานหิมะของนาง นิ้วโป้งหยาบกร้านบดคลึงยอดตูมสีชมพูอ่อนบนนั้น นำพาความร้อนรุ่มวาบหวิวมาให้ระลอกแล้วระลอกเล่า
ยามอยู่ใต้แสงจันทร์ ภาพนั้นบาดตาถึงเพียงนั้น ชัดเจนถึงเพียงนั้น
นางเขินอายหน้าแดง รีบปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
พอหน้าต่างปิดลง เขายิ่งหยุดไม่ได้ มือใหญ่อีกข้างกระชากสายรัดกระโปรงของนางออก สำรวจความนุ่มชุ่มชื้นตรงหว่างขานาง นางรู้สึกได้ว่านิ้วมือเขาถูกนางอาบชโลมจนเปียกชุ่มและอบอุ่น รู้สึกว่าริมฝีปากและลิ้นเขาทิ้งความเร่าร้อนไว้บนตัวนางครั้งแล้วครั้งเล่า
เสื้อตัวในสีขาวบริสุทธิ์เลื่อนหลุดจากหัวไหล่ เขาดึงมันออก ขบกัดหัวไหล่ขาวเนียนของนางเบาๆ ดูดเม้มแผ่นหลังของนาง ทำเอานางสั่นระริกขณะเปล่งเสียงหอบคราง
ได้ยินเสียงตัวเองแล้วนางก็ต้องกัดริมฝีปาก แต่นิ้วมือเขากลับบดขยี้ความอ่อนนุ่มที่ไวต่อความรู้สึกของนางจากด้านหน้า เค้นเอาน้ำหวานออกมา นางกระถดถอยไปข้างหลังอีก พยายามดึงมือเขาออก แต่แผงอกร้อนผ่าวของเขากลับแนบเข้ามา ทาบไปบนแผ่นหลังเปล่าเปลือยของนาง
นางรู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจของเขาที่เต้นอย่างบ้าคลั่งไม่ต่างกัน
ชั่วขณะที่นางลังเล เขายกตัวนางขึ้น พาความแข็งแกร่งร้อนผ่าวเบียดแทรกเข้าไปในความนุ่มชุ่มชื้นของนางจากข้างหลัง
“อ๊า…”
คิ้วงามของนางขมวดนิดๆ อ้าปากครางเสียงค่อย ทว่านิ้วมือเขากลับยื่นมาที่ริมฝีปาก สอดเข้าไปในปากนางไม่ให้นางกัดตัวเอง กระนั้นการครอบครองอย่างเผด็จการกลับไม่ได้หยุดลง
เขารุกล้ำเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า เคลื่อนไหวในจังหวะซ้ำๆ ไม่หยุดโดยไม่ให้นางต่อต้าน นางรู้สึกร้อนลวกไปทั้งตัว นางมองไม่เห็นเขา แต่กลับรู้สึกถึงตัวตนของเขาอย่างชัดเจน นางจับแขนเขาแน่น คว้ากรอบหน้าต่างไว้ ด้วยกลัวว่าจะเปล่งเสียงออกมาจนคนอื่นได้ยินและมาตรวจดูจึงได้แต่กัดนิ้วมือเขาไว้ แต่กลับยังได้ยินเสียงอันน่าละอายยามร่างกายของทั้งสองสอดประสานกัน ได้ยินเสียงหอบหายใจหนักๆ ของเขาที่ดังอยู่ข้างหู
เขาเคลื่อนตัวเข้าออก รุกรานเข้าไปในส่วนลึก นางสั่นสะท้านอย่างรับไม่ไหว เหงื่อไหลท่วมตัวขณะถูกเขาส่งไปยังดินแดนแห่งความหฤหรรษ์
นางหลับตาหอบหายใจ รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย ตอนนางอ้าปากคลายฟันออก นิ้วมือของเขากลับยังอ้อยอิ่งอยู่ที่เดิมไม่จากไป ลูบไล้ปากและลิ้นเปียกชื้นของนาง ความปรารถนาร้อนผ่าวของเขายังเต้นตุบอยู่ในตัวนาง สร้างความสั่นสะท้านและความหวามไหวเป็นพักๆ
เขาซุกใบหน้ากับซอกคอ ไล้เลียและจุมพิตลำคอกับชีพจรของนาง
ตอนเขาถอยออกไป นางไม่มีแรงประคองตัวยืนอีกแล้ว แต่เขากลับช้อนอุ้มนางขึ้นมา
ท่ามกลางสติพร่าเลือน นางมองเห็นจากหัวไหล่เขาว่าเสื้อผ้าของเขาถูกถอดออกไปนานแล้ว กองรวมกับเสื้อผ้าของนางบนพื้นอย่างแยกไม่ออก
เขาอุ้มนางกลับไปที่เตียง ให้นางที่อ่อนแรงไร้กำลังนอนอยู่ตรงนั้น
ค่ำคืนที่มืดสลัว แสงจันทร์ส่องผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาอาบลงบนเรือนร่างแกร่งกำยำของเขา บนใบหน้าเครียดเกร็งของเขา
นางควรไล่เขาออกไปจริงๆ แต่กลับรู้ว่าตัวเองทำไม่ได้
มิใช่เพราะเขาเป็นจอมเผด็จการ มิใช่เพราะนางไม่รู้วิชายุทธ์ ยิ่งมิใช่เพราะกลัวคนอื่นจะรู้ว่าเขาทำอะไรกับนาง
แต่เป็นเพราะนางต้องการเขา
แม้เขาจะเป็นจอมเผด็จการ แม้ทุกคนจะบอกว่าเขาเลวตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้ในเมืองแห่งนี้จะมีผู้คนนับไม่ถ้วนเกลียดแค้นเขา สาปแช่งเขา นางก็ยังต้องการเขาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
ต้องการบุรุษที่ทุกคนก่นด่าประณาม บุรุษที่เป็นที่รังเกียจของทุกคนผู้นี้
เขาขึ้นมาบนเตียงช้าๆ มือใหญ่กลับมาบนร่างกายนางอีกครั้ง ลูบไล้เรือนร่างชื้นเหงื่อของนางจากศีรษะไปถึงปลายเท้า และจากปลายเท้าไปถึงศีรษะ จากนั้นเขาก็โน้มตัวลงมา ใช้ดวงตาดำสนิทจ้องมองนาง
แผงอกเขาห้อยวัตถุสีแดงกับสีเงินไว้ ตอนเขาโน้มตัวลงมา สีแดงกับสีเงินนั้นทิ้งตัวลงมาบนหน้าอกนาง บนนั้นมีอุณหภูมิร่างกายของเขา อาบด้วยเหงื่อของเขา
…ยันต์คุ้มภัยกับกุญแจเงินโบราณ
นางเป็นคนให้ เขารับไว้…ก็เท่านั้นเอง
นางขอยันต์คุ้มภัยให้เขาอันหนึ่ง มอบกุญแจเงินโบราณให้เขาพกติดตัว ตอนนั้นนางคิดเพียงว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างที่ใครๆ พูดกัน
ทุกคนต่างบอกว่าเขาไม่ดี บอกว่าเขาเป็นลูกชายของโจวเป้า เหมือนพ่อของเขา ล้วนไม่ใช่คนดี แต่นางรู้ว่าคำคนนั้นน่ากลัว
ผู้คนเห็นเท้าใหญ่ของนางก็มักพูดลับหลังว่านางไม่ได้มาจากครอบครัวที่ดี นางรู้ดีกว่าใครว่าวาจาแพร่สะพัดออกไปได้อย่างไรบ้าง ข่าวลือมีการปรุงแต่งมากแค่ไหน
เขาเคยช่วยนางจากอันตราย เคยให้คำแนะนำกับนาง
ตอนนางถือธูปคุกเข่าหน้าพระโพธิสัตว์ ขอร้องให้พระโพธิสัตว์คุ้มครอง ภาพที่เขานั่งพิงหน้าต่างอยู่บนชั้นสองมองนางอย่างเย็นชาผุดขึ้นตรงหน้า
ใบหน้าของเขาไม่มีอารมณ์ใดๆ เหมือนเช่นที่เป็นมาก่อนหน้านี้ แต่นางรู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองที่แทบจับสังเกตไม่ได้นั้น
ชั่วเวลานั้นนางรู้ว่าเขารู้แล้วว่าป้าชุ่ยพูดอะไรกับนาง เขาถึงได้โกรธ ถึงได้ทำหน้าเย็นชา เขาเฝ้ารอให้นางเบนสายตาออกไป นางรู้ว่านางควรทำอย่างนั้น แต่นางไม่อยากทำ
หากไม่มีเขา ป้าชุ่ยไม่มีทางรอดชีวิตมาได้ การค้าของนางก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จ ฤดูหนาวปีนั้นนางยิ่งไม่มีทางมีปัญญาซื้อก้อนถ่านนำไปแจกจ่ายผู้คน ยังไม่แน่ว่าครอบครัวชาวนาเหล่านั้นจะมีเด็กหนาวตายอยู่บนเตียงมากน้อยเท่าไร
ดังนั้นนางจึงขอยันต์คุ้มภัยเพิ่มขึ้นอีกอัน ปลดกุญแจเงินโบราณที่พกติดตัวออกมาและมอบให้เขา
ไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นการผูกโยงนางกับเขาเข้าด้วยกัน
ไม่เคยคิดว่าเรื่องราวจะพัฒนาจนกลายเป็นอย่างในวันนี้
เขาจ้องตานาง ลูบดวงหน้าเล็กของนาง นางเผยอริมฝีปากเล็กน้อย จากนั้นเขาก็โน้มตัวลงมามากกว่าเดิม อ้าปากยื่นลิ้นออกมาไล้เลียริมฝีปากนาง แทรกลิ้นเข้ามาในปากนางอย่างล้ำลึก หลอกล่อหมายจะให้นางตอบสนอง
นางมอบสิ่งที่เขาต้องการ เหตุผลมีเพียงอย่างเดียวคือนางต้องการชายผู้นี้
เพราะว่านางต้องการ เขาถึงได้มาอยู่ตรงนี้
นางมอบให้ เขารับไว้…ก็แค่นั้นเอง
นางรู้ดีว่าสำหรับเขาแล้ว สตรีเพิ่มขึ้นหนึ่งคนไม่นับว่ามาก ลดลงหนึ่งคนไม่นับว่าน้อย
เขาเป็นเจ้าของหอรับวสันต์ หากมีคนรู้ว่านางมอบร่างกายให้เขา จะต้องคิดว่านางไร้ยางอายเป็นแน่ แย่ยิ่งกว่ายอดบุปผาและนางโลมชื่อดังบนเรือสำราญของเขา
อย่างน้อยผู้อื่นยังต้องจ่ายเงินถึงจะได้เห็นรอยยิ้มของคนงาม แต่นางกลับมอบตัวเองให้เขาเปล่าๆ
แต่หากต้องมอบกายให้ใครสักคนจริงๆ นางยินดีมอบให้เขา
ยินดีมอบให้เขา…
ดังนั้นนางจึงยื่นมือออกไปลูบไล้แผงอกชื้นเหงื่อของเขา แหงนหน้าจุมพิตใต้คางและกลีบปากบางของเขา จากนั้นก็แนบร่างกับเรือนกายเขา บดเบียดเคลียคลอ
ดวงตาเขาดำลึกยิ่งกว่าเดิม
เขากุมมือเล็กของนางเบาๆ นิ้วมือทั้งสิบสอดประสานกับนิ้วมือนาง จากนั้นก็กลับเข้ามาในร่างกายนางอีกครั้ง ค่อยๆ บดเบียดเสียดสีช้าๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า…ครั้งแล้วครั้งเล่า ท่ามกลางการใกล้ชิดเคลียคลออย่างช้าๆ เขาเห็นดวงตาชุ่มฉ่ำของนางขมุกขมัวมากยิ่งขึ้น เห็นผิวกายขาวปานหิมะของนางแดงเรื่ออีกครั้ง เห็นริมฝีปากเนียนที่เผยอออกนิดๆ พ่นลมหายใจหอมปานบุปผาออกมา เห็นเหงื่อบางๆ ผุดซึมทั่วร่างบาง พาให้ร่างกายนางเปล่งประกายแวววาวท่ามกลางแสงจันทร์อ่อนจาง
เขารู้สึกได้ถึงความต้องการและความปรารถนาของนาง รู้สึกได้ว่านางโอบกอดเขาไว้ตั้งแต่ภายนอกจนถึงภายใน
จนกระทั่งนางอดทนไม่ไหวและแหงนหน้าอ้าปากเปล่งเสียงเบาๆ อีกครั้ง เขาก้มหน้าจุมพิตนาง กลืนกินเสียงครางและเสียงร้องแว่วหวานน่าประทับใจของนางไปจนสิ้น
นอกหน้าต่าง สายลมอ่อนโชยพัดมา ขอบฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงไกลออกไปปรากฏสีขาวพุงปลา*
เขาเอนกายอยู่บนเตียงของนาง ลูบแผ่นหลังเปล่าเปลือยของหญิงสาวที่ซบอยู่บนตัวเขา อาลัยในสัมผัสนุ่มลื่นดุจแพรไหมของผิวกายนาง
เรือนผมสีดำของนางเหมือนเส้นไหม แผ่สยายอยู่บนเตียง บนหลังนาง และบนตัวเขา ผมของนางยาวมากทั้งยังเกี่ยวพันกับผมของเขา
แม้จะหลับตาอยู่ แต่เขารู้ว่านางไม่ได้นอน มือเล็กของนางวางอยู่บนแผงอกเขาแล้วลูบไล้แผ่วเบา
เขาชอบให้นางลูบเขาเช่นนี้ ชอบอยู่กับนาง ชอบเอนกายอยู่บนเตียงกับนางอย่างเกียจคร้านในยามที่ท้องฟ้ากำลังจะสว่างแต่ยังไม่สว่าง
ความอบอุ่น…แต่ก่อนเขาไม่รู้จักคำนี้ หลังพบนางแล้วเขาถึงรู้ความหมายที่แท้จริงของมัน
เริ่มแรกไม่คิดจะอยู่ต่อ แต่เขากลับอยู่ที่นี่นานขึ้นทุกครั้งโดยไม่รู้ตัว
เขาไม่ควรอยู่ที่นี่ ไม่ควรตั้งแต่แรกแล้ว หากเขามีจิตสำนึก เขาก็ควรอยู่ห่างนางให้ไกล แม้จะเจอกันบนถนนก็ไม่ควรเหลือบมองนาง
“ฟ้าจะสว่างแล้ว”
เสียงนุ่มนวลของหญิงสาวดังขึ้นท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงัด
“อืม ใกล้สว่างแล้ว”
เขารับคำ มือใหญ่ยังคงลูบไล้แผ่นหลังนางไม่ละออกไป
หลายปีมานี้เขามักมาหานางกลางดึก คืนแล้วคืนเล่า ปีแล้วปีเล่า มาหานางอย่างมิอาจควบคุมตัวเอง
เขาไม่ควรมา แต่เขากลับมาหานางไม่หยุด เหมือนถูกเวทมนตร์ เหมือนถูกปีศาจเข้าสิง
ความคิดนี้ทำให้เขาหยุดมือทันใด บังคับให้ตัวเองดึงมือกลับมาจากแผ่นหลังนาง
เหมือนรู้สึกได้ว่าเขากำลังจะจากไป นางหยัดตัวขึ้น สองมือพลันรวบผมยาว ดึงผมของตัวเองที่พันเกี่ยวกับผมของเขาอยู่กลับไปก่อนจะก้าวลงจากเตียง
เขาลุกขึ้นนั่งเช่นกัน มองนางเดินไปเก็บเสื้อผ้าขึ้นมาและเดินไปข้างหลังฉากบังลม
เขาได้ยินเสียงน้ำ รู้ว่านางกำลังทำความสะอาดตัวเอง ตอนนางเดินออกมาอีกครั้ง บนร่างบางก็สวมเสื้อตัวในสีขาวเรียบกับกระโปรงเรียบร้อยแล้ว ผูกสายรัดอย่างพิถีพิถัน
แม้ยังคงปล่อยผมยาวสยาย แต่นางในยามนี้กลับดูแตกต่างจากนางยามอยู่บนเตียงถึงเพียงนั้น แตกต่างจากหญิงสาวที่เมื่อครู่นี้นอนอยู่ใต้ร่างเขา ใช้สองมือโอบกอดเขาแน่น ใช้เรียวขาขาวเนียนเกี่ยวตัวเขาไว้ ใช้ร่างกายเคลียคลอกับเขาอย่างแนบสนิท รองรับความปรารถนาจากเขา
นางยกน้ำอ่างหนึ่งมาให้เขา ยื่นผ้าให้ และเก็บเสื้อผ้าที่เมื่อครู่นี้ถูกเขาโยนลงบนพื้นมาให้เขา
“รองเท้าของท่านล่ะ” เมื่อหาจนทั่วห้องแล้วก็ยังไม่เจอรองเท้ากับถุงเท้าของเขา นางอึ้งไปเล็กน้อย
เขาจ้องมองนาง ตอบเสียงเรียบโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา
“ข้าลืม”
ได้ยินดังนั้นนางก็นิ่งงันไป ดวงหน้าเล็กเป็นสีแดงเรื่อ
เขาสังเกตเห็นว่านางหาเสื้อนอกของเขาไม่เจอ เป็นเพราะเขาไม่ได้สวมมา มันยุ่งยากเกินไป ถึงอย่างไรก็ต้องถอดอยู่ดี นางไม่ได้ซักถามเขาถึงเสื้อผ้าชิ้นอื่นๆ ที่หาไม่เจอ เพียงเก็บผ้าห่มที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา
เขาสวมเสื้อผ้าและผูกสายรัดเรียบร้อย ก่อนจะสังเกตเห็นอย่างหนึ่ง
ตั้งแต่ต้นจนจบ ระหว่างที่หญิงผู้นี้ทำเรื่องทั้งหมด นางหลุบตาอยู่ตลอด ไม่ได้จ้องมองเขาตรงๆ เลยสักนิด
นางไม่มองเขา ยามนี้กลับไม่ยอมมองเขาแล้ว
เมื่อกลางวันตอนเขาไล่คน นางจ้องเขาตาไม่กะพริบ ตอนนั้นภายใต้สายตาของทุกคน นางอดเอ่ยปากพูดกับเขาไม่ได้ ตอนนี้ไม่มีใครมองแล้ว นางกลับไม่ปริปากพูดสักคำ
เขารู้สึกคันไม้คันมือเหลือเกิน
คันยิ่งนัก
ชั่วครู่หนึ่งที่เขาแทบอยากจะยกมือขึ้น บังคับให้นางเงยหน้า บังคับให้นางมองเขา เขาอยากมองตานางให้ชัด มองหัวใจนางให้ชัด อยากบังคับให้นางเอ่ยคำถามที่นางอยากถามมาตลอดแต่กลับไม่เคยเอ่ยถามออกมาจริงๆ สักครั้ง
ทั้งหมดนี้ ทำไปเพื่ออะไรกันแน่
เขารอให้นางถามอยู่ตลอด รอมาตั้งแต่สามปีก่อน แต่นางไม่เคยเอ่ยถามจริงๆ เลยสักครั้ง และเขาเองก็ไม่รู้ว่าหากเขาบังคับนางแล้ว แต่นางยังคงไม่เอ่ยถาม เขาจะยอมรับได้หรือไม่
หากนางเอ่ยปากถามจริงๆ เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถตอบคำถามนาง จะกล้าตอบคำถามนางจริงๆ หรือไม่ หากวันใดคืนใดนางล่วงรู้ความจริง นางจะยังโง่ถึงขั้นยื่นมือออกมาโอบกอดเขาเหมือนในคืนนี้อีกหรือไม่
โจวชิ่งก้มหน้ามองหญิงสาวที่หลุบตาไม่มองเขา สูดดมกลิ่นหอมจากผมนาง หัวใจเขาพลันหดรัด
ทั้งที่ใกล้เช่นนี้ แต่กลับรู้สึกไกลถึงเพียงนั้น…
เวลานี้เขาแทบอยากดึงนางเข้ามากอดอีกครั้ง พานางกลับไปบนเตียงและครอบครองนางอีกครา จะได้รู้สึกว่านางยังเป็นของเขา รู้สึกว่าเขายังคงมีนาง แต่สุดท้ายเขาก็ต้องข่มกลั้นความวู่วาม ไม่ได้ยื่นมือไปหานางอีก เพียงหมุนตัวเปิดประตูแล้วเดินออกไป
พอถึงลานบ้าน เขากลับรู้สึกถึงสายตาของนาง
เขาไม่ได้หันกลับไป เท้าสะกิดพื้นและเหินตัวขึ้นไปบนหลังคา ยามที่เท้าเปล่าของเขาเหยียบลงบนสันหลังคาก่อนจากไป สุดท้ายเขาก็อดชะงักไม่ได้และหันไปมอง
หน้าต่างห้องของนางเปิดออกอีกครั้ง เงาร่างสีขาวขยับมาตรงหน้าต่างแล้วแหงนหน้ามองเขา
นางตะลึงไปครู่หนึ่งด้วยไม่คิดว่าเขาจะหันกลับมา ดวงหน้าเล็กแดงเรื่อ ถอยออกไปจากข้างหน้าต่างอย่างรีบร้อนก้าวหนึ่ง
การหลบเลี่ยงนั้นกลับทำให้มุมปากเขาโค้งขึ้น ครั้งนี้เขาจึงยอมหมุนตัวจากไปอย่างเต็มใจแล้ว
ค่ำคืนอันยาวนานกำลังจะสิ้นสุดลง ท้องฟ้าปรากฏสีฟ้าและสีม่วงอ่อน ไกลออกไปเป็นริ้วเมฆสีแดง พาให้กระเบื้องหลังคาและชายคาโค้งมากมายค่อยๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด
โจวชิ่งเหินตัวไปบนหลังคาของบ้านเรือนในเมืองอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะมาหยุดที่เรือสำราญของตนในแม่น้ำอวิ้นเหอ
โม่หลีปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่โดยการสวมเสื้อผ้าและหมวกที่เขาสวมใส่เมื่อคืน ปลอมตัวเป็นเขารออยู่ที่นั่น ตอนเขากลับมาค่อยยกน้ำล้างเท้ามาให้พร้อมถุงเท้ากับรองเท้าใหม่เอี่ยม
คนผู้นั้นมีสีหน้าเรียบเฉย แต่เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่พอใจ
“ทำไม เจ้ามีความเห็นหรือ”
เขาหย่อนเท้าเปล่าลงในน้ำอุ่นในอ่างทองแดง รับน้ำชาที่โม่หลีส่งให้และเอ่ยถามเสียงเรียบ
“คุณชาย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป…” โม่หลียืนหลุบคิ้วตาอย่างนอบน้อม แต่หลังจากเจ้านายเอ่ยปาก เขาก็ยังอดพูดไม่ได้ “อันตรายเกินไป”
“ข้ารู้” เขากระตุกมุมปาก เงยหน้ามองอีกฝ่าย “แต่เจ้าลองบอกข้ามาซิ ชีวิตของข้าทุกวันนี้ มีวันใดบ้างที่ไม่อันตราย”
โม่หลีโค้งกายเอ่ยปากเตือน
“สถานการณ์ในเมืองตอนนี้กำลังตึงเครียด หากมีคนเอาเรื่องนี้มาข่มขู่เล่าขอรับ”
“หากเป็นเช่นนั้นจริง…”
เขายกน้ำชาถ้วยนั้นขึ้นมาเปิดฝาครอบถ้วย มองน้ำชาสีใสที่มีควันสีขาวม้วนตัวขึ้นมา ก่อนจะพ่นลมหายใจทีหนึ่ง เป่าชาให้เย็น แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเบาสบาย
“นั่นก็เป็นโชคชะตาของนาง” พูดพลางจิบน้ำชาคำเล็กท่ามกลางสายลมยามเช้า
โม่หลีชะงักไป ใบหน้าที่นิ่งขรึมดำทะมึนอยู่ตลอดดีขึ้นเล็กน้อย แต่เขากลับเงียบไป ไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
ชายผู้นั้นมาเท้าเปล่า
ก่อนลงจากเตียงนางไม่ทันสังเกต เขาไม่ปล่อยให้นางมีเวลาได้สังเกต
ครั้นนางสังเกตเห็นแล้วกลับยิ่งไม่อาจละสายตาไปได้
‘ข้าลืม’ เขาบอก
อยู่ดีๆ ใครจะลืมรองเท้าของตัวเอง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเดินทางมากว่าครึ่งเมือง แม้แต่เสื้อนอกก็ไม่ได้สวม
ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ หมู่นี้ดูเหมือนชายผู้นี้จะทำตัวตามสบายมากขึ้นทุกที แต่ก็คงไม่แปลกกระมัง เพราะเมืองนี้แทบจะเป็นของเขาอยู่แล้ว
ต่อให้เขาไม่สวมรองเท้า ไม่สวมเสื้อผ้า เดินเปลือยกายอยู่บนท้องถนน เกรงว่าก็คงไม่มีใครกล้าต่อว่าเขาสักคำ
แม้จะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังรู้สึกหวาดกลัวแทนเขาอยู่ดี ศัตรูของเขามีมากมายนัก เขาควรใส่ใจความปลอดภัยของตัวเองมากกว่านี้ แต่บางครั้งก็ดูเหมือนเขาจะไม่ใส่ใจ
หลายครั้งที่นางต้องกัดลิ้นของตัวเองไว้ ถึงจะห้ามไม่ให้ตัวเองพูดอะไรกับเขามากเกินไปได้
ไม่ใช่ไม่เคยคิดที่จะเอ่ยปาก ไม่ใช่ไม่เคยคิดที่จะถามเขาว่าทั้งหมดนี้เขาทำไปเพื่ออะไรกันแน่ นางคิด คิดมาตลอด แต่นางรู้ดีว่าชายผู้นี้อาจจะไม่ตอบ หากเขาจะพูดคงพูดไปนานแล้ว ไม่มีทางรอจนถึงตอนนี้
เขามีเรื่องปกปิด มีเรื่องที่เก็บงำไว้ ไม่ใช่ว่านางบังคับแล้วจะได้คำตอบ
เขามีสิ่งที่อยากทำ นางรู้ เขาไม่เคยบอกนางอย่างแท้จริง แต่นางมีแหล่งข่าวของตัวเอง สิ่งที่ชายผู้นี้ทำอยู่อันตรายมาก อันตรายเหมือนเดินอยู่บนคมดาบอย่างไรอย่างนั้น พลั้งพลาดไปก้าวเดียวย่อมต้องเสียใจไปชั่วชีวิต
ดังนั้นนางจึงได้แต่กัดลิ้นของตัวเองไว้ ห้ามตัวเองไม่ให้เอ่ยปากพูดอะไรออกมา
หากชายผู้นี้มีเรื่องที่อยากทำจริง นางขวางเขาไม่ได้อยู่แล้วนางรู้ดี
นางไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าชายผู้นี้เคยใส่ใจนางอย่างแท้จริงหรือไม่ ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังคงถลำลึกไปกับเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
เขาจากไปโดยไม่เหลียวกลับมา ส่วนนางกลับอดไม่ได้ที่จะเดินไปข้างหน้าต่างแหงนหน้ามองเขา เห็นเขายืนอยู่บนสันหลังคาด้วยเท้าเปล่า เรือนผมยาวดำขลับกับเสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์พลิ้วไหวไปตามสายลมท่ามกลางแสงอ่อนจางยามเช้า
คนที่ไม่รู้มาเห็นภาพนี้เข้าต้องคิดว่าตัวเองเห็นผีเป็นแน่กระมัง
ทว่าในสายตานาง ภาพแขนเสื้อเขาที่ปลิวพลิ้วอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ยามเช้ากลับดูเหมือนภาพวาด ทำให้คนอยากมองมากกว่านี้ด้วยความอาลัย
เหนือความคาดหมายของนาง เขาที่ไม่เคยหันหลังกลับมา เช้าวันนี้กลับหันมามอง
ครั้นถูกจับได้ว่ามองเขาอยู่ นางก็อึ้งไป หน้าแดงและถอยไปก้าวหนึ่งอย่างร้อนรน
เมื่อรู้สึกว่าตัวเองทำเช่นนี้ออกจะโจ่งแจ้งเกินไป พอดึงสติกลับมาได้จึงก้าวขึ้นไปอีกครั้ง ทว่าบนหลังคาไม่มีใครแล้ว มีเพียงเมฆจางๆ กับแสงยามเช้าที่ค่อยๆ สาดส่องลงมา
หัวใจเต้นรัวเร็วอย่างไร้สาเหตุ
ตอนนี้ยังเช้ามาก นางปิดหน้าต่างลงอีกครั้งก่อนจะกลับไปที่เตียง เอนกายลงแล้วหลับตาแต่กลับนอนไม่หลับ นางได้กลิ่นของเขาที่ยังหลงเหลืออยู่บนเตียง พลันนั้นมือเล็กก็กดลงบนหน้าอกโดยไม่รู้ตัว ระหว่างครึ่งหลับครึ่งตื่น นางย้อนคิดถึงอดีตที่ผ่านมา…
ฤดูใบไม้ผลิปีนั้น นางเห็นเขาเดินเข้ามาในหอสุรา
เนื่องจากผู้คนซุบซิบกันเสียงค่อยอย่างไม่เป็นธรรมชาติ นางจึงหันกลับไปมองและเห็นเขา
ชายหนุ่มก้าวข้ามธรณีประตู เดินเข้ามาจากข้างนอก ข้างหลังเป็นชายที่คอยติดตามข้างกายเขาเสมอ ยังมีเถ้าแก่ใหญ่คนหนึ่งและคนอื่นๆ
เขารูปร่างดีมาก เวลาเดินอยู่บนถนนมักดึงดูดสายตาผู้คนได้เสมอ แต่พอผู้คนตระหนักว่าเป็นเขาก็ต่างรีบเบนสายตาออกไป มีเพียงคนที่มาจากต่างถิ่นเท่านั้นที่อดมองเขาไม่ได้ จากนั้นก็จะถูกเตือนว่าอย่ามองส่งเดช
นางไม่ใช่คนต่างถิ่น แต่พอเห็นว่าเป็นเขา นางกลับอดมองมากขึ้นไม่ได้
เขาก้าวเดินตัดโถง ทุกคนหันหน้าไปทางอื่นพร้อมๆ กับเปิดทางให้เขาไปด้วย ราวกับด้านหน้าเขามีเสือนำทางอยู่อย่างไรอย่างนั้น
นางไม่ได้หันหน้าไปทางอื่น นางเห็นชายผู้นั้นผูกกุญแจอายุยืนไว้ที่เอว ห้อยอยู่ข้างๆ ยันต์คุ้มภัย
เห็นดังนั้นแล้วหัวใจนางก็พลันเต้นแรง มิอาจเบนสายตาออกไปได้
ตอนเขาเห็นนาง สายตาเขาหยุดอยู่บนใบหน้านางเพียงชั่วครู่เท่านั้น
ดวงหน้าแบบบางของนางร้อนซู่อย่างไร้สาเหตุ
‘น้องชาย เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ไยหน้าจึงแดงขนาดนี้ คงมิใช่ถูกไอร้อนเข้ากระมัง’
ได้ยินคำถามของหลงจู๊ นางรีบดึงสายตากลับมา ตอบอย่างลนลาน
‘ไม่เป็นไรๆ เมื่อครู่ตอนอยู่กลางแดดเดินเร็วไปหน่อย เดี๋ยวสักพักก็ดีขึ้นเอง หลงจู๊ วันนี้ข้ามาจ่าย…’ นางชะงักไป พบว่าตัวเองพูดผิดจึงรีบแก้คำพูด ‘มาซื้อยันต์คุ้มภัยของเดือนนี้’
นางดึงสายตากลับมาแล้ว แต่กลับยังรู้สึกถึงตัวตนของเขาอย่างชัดเจน
ชายผู้นั้นขึ้นไปข้างบน ตอนเขาก้าวขึ้นบันได กุญแจเงินกระทบหยกประดับที่เขาห้อยไว้ที่เอวดังเป็นจังหวะ นางฟังแล้วหูแดงหน้าแดง
‘เจ้าชื่ออะไร ทำการค้าอะไร’ หลงจู๊ได้ยินจุดประสงค์ที่นางมาที่นี่ก็พลิกสมุดบัญชี หยิบพู่กันขึ้นมาแตะปลายลิ้นเตรียมจดบันทึก
‘เวิน…’
เสียงใสกังวานยามเขาขึ้นบันไดหยุดลง ทำเอานางชะงักไปด้วย รู้สึกได้อย่างไร้เหตุผลว่าเขามองนางอีกแล้ว บางทีเขาอาจไม่ได้มองนาง เป็นนางที่คิดมากไปเอง เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ชายผู้นั้นจะหยุดอยู่บนบันไดและมองนาง ไม่แน่เขาอาจขึ้นไปถึงข้างบนแล้วก็ได้
นางข่มความวู่วามที่คิดจะหันกลับไปมอง กระแอมไอให้คอโล่งและพูดต่อ
‘เวินจื่ออี้ ข้าชื่อเวินจื่ออี้ ค้าขายผ้า’
พอนางพูดจบ เสียงใสกังวานนั้นก็ดังขึ้นอีก ดังเป็นจังหวะครั้งแล้วครั้งเล่า
เขามองอยู่ นางรู้ ไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้
ในที่สุดเสียงใสกังวานนั้นก็หยุดลงอีกครั้ง เขาขึ้นไปถึงข้างบนแล้ว ส่วนใบหน้านางกลับแดงและร้อนยิ่งกว่าเดิมอย่างไร้สาเหตุ
รอจนหลงจู๊จดบันทึกเสร็จ นางจ่ายเงินและรับยันต์คุ้มภัยมา หันกลับไปอีกที บนบันไดไม่มีเงาของเขาแล้ว แต่นางรู้ว่าเขาอยู่ข้างบนนั้น กำลังเจรจากับผู้อื่น เอวห้อยยันต์คุ้มภัยกับกุญแจเงินโบราณของนาง
นางไม่คิดว่าเขาจะไปหยิบจริงๆ ยิ่งไม่คิดว่าเขาหยิบไปแล้วจะนำมาห้อยที่เอวอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็มองเห็น
ออกจากหอสุราแล้วนางเดินไปบนถนน หัวใจยังคงเต้นรัว ฝีเท้ายังคงล่องลอยเล็กน้อย หลังจากเดินออกไปไม่ไกล ในที่สุดก็อดใจไม่อยู่หันกลับไปมองที่ชั้นสองของหอสุรา
นางเห็นเขาแทบจะในแวบแรก
ชายผู้นั้นนั่งอยู่ริมหน้าต่างเหมือนเช่นทุกครั้งตรงที่เดิม
ราวกับรู้สึกถึงสายตาของนาง เขาหันมาและหลุบตาลงจ้องมองนาง
เขารู้ว่านางเป็นสตรี นางรู้ดีว่าเขาแยกแยะนางออกได้ตั้งแต่ตอนนางอยู่หน้าศาลเจ้าก่อนหน้านี้แล้ว
ต่อให้นางสวมชุดบุรุษก็ไม่อาจเล็ดลอดสายตาของเขาไปได้
ดวงหน้าเล็กร้อนผ่าวกว่าเดิม แต่นางยังคงด้านหน้าผงกศีรษะให้เขา จากนั้นก็แบกห่อสัมภาระ หมุนตัวก้าวยาวๆ จากไป เดินไปยังร้านขายผ้าด้านหน้าทำการค้าของตน
ฤดูหนาวครอบครัวชาวนามีเวลาว่างค่อนข้างมาก หญิงชาวนาหลายคนที่ร่วมงานกับนาง นอกจากทอผ้าแล้วยังทำงานปักด้วย นางตั้งใจซื้อผ้าไหมและเส้นไหมไปให้พวกชาวนาใช้แบบร่างที่นางวาดปักลายบุปผา สกุณา และผีเสื้อที่วิจิตรประณีตออกมา
งานปักไหมแท้ขายได้ราคาดีกว่างานปักผ้าฝ้ายมาก นอกจากเอาไปทำเสื้อผ้าแล้ว ยังเอาไปทำผ้าเช็ดหน้าและลายพัดได้อีกด้วย
บางส่วนนางใช้วิธีวาด บางส่วนนางขอให้คนปักเป็นลวดลาย
นางรู้ว่าของพวกนี้ทำเงินได้ ผลงานของช่างปักฝีมือดียิ่งมีมูลค่ามาก คุณหนูบ้านต่างๆ ไม่ค่อยออกจากบ้านก็จริง แต่บางครั้งก็มีงานชมบุปผา งานเลี้ยงน้ำชา บางทีก็ออกไปข้างนอกนั่งชมละครในเพิงที่จัดไว้สำหรับสตรีโดยเฉพาะ เมื่อมีโอกาสออกไปพบปะสังสรรค์กับคนอื่นข้างนอก นั่นย่อมเป็นเวลาที่คุณหนูทั้งหลายรวมไปถึงฮูหยินและเหล่าอนุประชันความงามกัน เพื่อมิให้ผู้อื่นดูถูกดูแคลน ต่อให้ต้องควักเงินมากเพียงใดพวกนางก็ยินดี
ของที่อยู่ในห่อสัมภาระนี้ของนางก็คืองานปักเหล่านั้น แม้งานปักของหญิงชาวนาจะไม่ประณีตเหมือนของช่างปักในเมือง แต่นางรู้ดีว่านอกจากฮูหยินและคุณหนูสกุลขุนนางกับพ่อค้าแล้ว เมืองแห่งนี้ยังมีพ่อค้าทั่วไปและหญิงสาวทั่วไป นางจึงแบ่งงานปักตามระดับฝีมือ นำสินค้าไปแนะนำกับเถ้าแก่และเจ้าของร้านทีละร้าน ไม่เพียงเฉพาะคนที่เคยทำการค้ากับนางเท่านั้น คนที่ไม่เคยค้าขายกับนาง นางก็ไปเช่นกัน
ผ่านไปไม่กี่วันงานปักของนางก็ขายเกือบหมดแล้ว
ในจำนวนนี้แน่นอนว่างานปักของป้าชุ่ยได้รับความนิยมมากที่สุด หลงจู๊ในร้านขายเสื้อผ้าจ้องงานปักในมือครั้งแล้วครั้งเล่า พินิจแล้วพินิจอีก นางไม่พูดมากและไม่บังคับ เพียงยิ้มพลางเก็บข้าวของก่อนจะเดินออกจากประตู
ทว่าตามคาด เพียงครู่เดียวนางยังไม่ทันก้าวเข้าไปในร้านอื่น หลงจู๊ผู้นั้นก็ให้ลูกจ้างตามออกมาเรียกนางกลับเข้าไป นอกจากจะซื้องานปักของนางแล้ว ยังวางเงินมัดจำหมายจะสั่งงานปักฝีมือป้าชุ่ยมากกว่านี้
นางรู้ดีว่างานปักของป้าชุ่ยเป็นของชั้นเลิศ จึงไม่ได้รับคำในทันที บอกเพียงว่าจะช่วยดูให้
การค้าเช่นนี้ค่อยๆ ประสบความสำเร็จ นางเบิกบานและดีใจมาก หลังจากขนสินค้าไปขายหลายครั้ง นางก็เริ่มสบายใจขึ้น
วันหนึ่งตอนขากลับ นางหิ้วสัมภาระที่ว่างเปล่าเดินเลียบริมแม่น้ำอวิ้นเหอ จู่ๆ พลันพบว่าผู้คนมายืนอออยู่ริมฝั่งมากมาย ทำเอานางแทบขยับตัวไม่ได้
‘พี่ชายท่านนี้ เกิดอะไรขึ้นหรือ มีอะไรกันหรือ’
‘น้องชาย เจ้าไม่รู้หรือ ยอดบุปผาในเมืองปีนี้กำลังจะออกมา ได้ยินว่าเพิ่งขึ้นเรือ ประเดี๋ยวจะล่องไปตามคลอง กำลังจะผ่านมาทางนี้แล้ว!’
‘ยอดบุปผา?’ นางกะพริบตาปริบๆ ชั่วขณะหนึ่งที่คิดตามไม่ทัน ‘ยอดบุปผาอะไรหรือ’
‘น้องชาย เจ้าไม่รู้หรือ ยอดบุปผานี้คัดเลือกกันปีละหนึ่งหน เป็นแม่นางที่คัดมาจากหอคณิกาทั่วเมือง จากนั้นให้แม่นางเหล่านั้นมาประชันความสามารถ ประชันความงาม ประชันการร่ายรำกัน เพื่อคัดเลือกแม่นางในหอคณิกาที่งดงามและมีความสามารถมากที่สุด…’
‘ปีนี้เป็นหลิ่วหรูชุนจากหอรับวสันต์! ได้ยินว่าแม้แต่ยอดบุปผาของหอร้อยบุปผาในหยางโจวยังงดงามไม่เท่านาง นางไม่เพียงเจนจัดทั้งเพลงพิณหมากล้อมอักษรภาพวาด การร่ายรำเป็นที่หนึ่งเท่านั้น แต่ยังรู้จักแต่งโคลงกลอน เป็นหญิงที่มีความสามารถคนหนึ่ง! เดือนก่อนนางประชันศิลปะกับสามสาวงามที่เจียงหนานในงานเลี้ยงฉลองของเศรษฐีฉีหลินเยี่ยน คว้าชัยชนะมาได้ทุกประเภท!’
‘มีคนบอกว่าเกรงว่าสนมชายาของฮ่องเต้ยังงดงามไม่เท่านางด้วยซ้ำ!’
‘ถุยๆๆ ข้าวกินส่งเดชได้ แต่วาจามิอาจกล่าวส่งเดช ระวังพวกขุนนางได้ยินเข้าจะจับเจ้าเข้าตะรางและโบยหลายๆ ไม้!’
‘เฮ้อ แต่หลิ่วหรูชุนงามจริงๆ นี่นา เอวบางถึงเพียงนั้น ริมฝีปากแดงนุ่มถึงเพียงนั้น คิ้วตาเปล่งประกายแวววาว หากนางเหลือบแลข้าสักครั้ง ให้ข้าได้กอดสักที ต่อให้ต้องตายข้าก็ยินดี…’
‘เจ้าฝันไปเถอะ คนที่อยากพบนางเบียดเสียดจนล้นประตูหอรับวสันต์ออกมาแล้วกระมัง หากไม่มีเงินติดตัวเป็นพันเป็นหมื่นตำลึง แค่อยากเห็นหน้านางสักแวบยังเป็นเรื่องฝันเฟื่อง’
‘หากข้ามีเงินเป็นพันเป็นหมื่นตำลึง ยังจะมายืนอยู่ตรงนี้หรือ คงหอบเอาทองคำไปเข้าแถวที่หอรับวสันต์แล้ว! ก็เพราะไม่มี วันนี้โอกาสหายาก จึงได้มาดูที่นี่อย่างไรเล่า’
นางฟังผู้คนพูดไปต่างๆ นานาท่ามกลางความโกลาหล ในที่สุดจึงเข้าใจว่าหอรับวสันต์ที่คนเหล่านี้พูดถึงคือหอโคมเขียว สถานที่ที่บุรุษไปหาความสุขสำราญ ยอดบุปผาคือหญิงสาวที่งดงามที่สุดในหอรับวสันต์
ดวงหน้านางแดงเรื่อ กระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก ประกอบกับผู้คนออกแรงเบียดกันสุดกำลัง นางกลัวจริงๆ ว่าคนอื่นจะแตะถูกตัวนางและรู้ว่านางเป็นสตรี กว่านางจะได้สติ คนก็ถูกเบียดไปอยู่ริมฝั่งแล้ว
เวลานี้เองนางได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากทางขวามือ น้ำในคลองเกิดคลื่นเล็กน้อย ชั่วพริบตาถัดมาเรือสำราญลำนั้นก็มาอยู่ตรงหน้า
หัวเรือสำราญมีดอกท้อดอกใหญ่ตั้งวางอยู่หลายกระถาง ดอกท้องดงามแต่ละดอกบานสะพรั่งจนดูเหมือนป่าท้อ หญิงสาวที่งดงามประหนึ่งนางสวรรค์นั่งอยู่ท่ามกลางสีชมพูอ่อนหวานเหล่านั้น นิ้วเรียวขาวเนียนดุจหยกกดไปบนพิณโบราณสีดำ
เสียงพิณลอยมาจากที่ไกลๆ สะท้อนอยู่ท่ามกลางสายลมดุจเสียงน้ำไหล
หญิงสาวที่อยู่ท่ามกลางป่าท้อผู้นั้นมีใบหน้าขาวกระจ่าง คิ้วโค้งดุจใบหลิว ริมฝีปากแดงจัด ดวงตาสีดำชุ่มชื้นประหนึ่งสายน้ำกลางฤดูใบไม้ผลิ นางบรรเลงพิณโบราณไปพลาง สายลมฤดูใบไม้ผลิโชยพัดไปพลาง หอบเอาเส้นผมสีดำของนางปลิวขึ้นมาเป็นพักๆ บนผมของนางประดับดอกท้ออยู่หลายดอก
พอลมพัด ดอกท้อสีชมพูที่รายล้อมอยู่รอบตัวนางก็พลิ้วไหวไปตามลม ก่อนจะร่วงลงบนน้ำ กลิ่นหอมของดอกท้อโชยมาปะทะใบหน้า ทำเอาสองฝั่งแม่น้ำเต็มไปด้วยกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิ
เห็นภาพนี้แล้ว กระทั่งนางที่เป็นหญิงยังจ้องมองอย่างตะลึงงัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าบุรุษข้างกาย ไม่รู้ว่าใครเริ่มตะโกนโห่ร้องไปยังนางสวรรค์ผู้นั้นอย่างฮึกเหิม ร้องเรียกชื่อไม่หยุด
‘หลิ่วหรูชุน หลิ่วหรูชุน…’
‘มองมาทางนี้! มองทางนี้หน่อย!’
พอคนหนึ่งเริ่ม อีกคนก็ทำตาม
นางสวรรค์ผู้นั้นได้ยินก็ช้อนตามองมาจริงๆ ริมฝีปากเนียนยกขึ้นนิดๆ ยิ้มหวานให้คนบนฝั่ง
รอยยิ้มนี้มีอานุภาพนัก ผู้คนสองฝั่งแม่น้ำฮือฮา แทบทุกคนร้องตะโกนออกมา แย่งกันเบียดไปข้างหน้าสุดชีวิต นางตัวเล็กทั้งยังอยู่หน้าสุด อีกนิดเดียวก็จะถูกเบียดจนตกน้ำแล้ว จึงตกใจจนหวีดร้องออกมา
เวลานี้เองเสียงขลุ่ยตี๋พลันดังขึ้น
ผู้คนหันมองไปตามเสียง ถึงได้เห็นบุรุษในชุดขาวผู้หนึ่งถือขลุ่ยตี๋สีดำยืนอยู่หลังป่าท้อ
‘โจวชิ่ง…’
‘เป็นโจวชิ่ง…’
‘ใครรึ’
‘ลูกชายของโจวเป้า…’
ได้ยินชื่อโจวเป้าแล้ว ผู้คนที่เดิมทีส่งเสียงฮือฮาพลันเงียบกริบ ไม่กล้าโบกมือตะโกนส่งเดชอีก ทำให้นางทรงตัวได้ในที่สุด ไม่ถูกผลักจนตกน้ำไป แต่พอเงยหน้าเห็นเขา นางกลับตะลึงงันยิ่งกว่าเดิม
นางเคยได้ยินมาว่าร้านค้าและหอสุราหลายแห่งในเมืองเป็นของโจวเป้า แต่ไม่รู้ว่าหอรับวสันต์ก็เป็นของเขาด้วย
เขาหลุบตาเป่าขลุ่ยตี๋สีดำ ปล่อยให้เสียงขลุ่ยตี๋กับเสียงพิณสอดประสานกัน เริงระบำอยู่ท่ามกลางสายลม
เรือสำราญค่อยๆ แล่นผ่านหน้าไป เขาช้อนนัยน์ตาสีดำขึ้นมายามนี้เอง ทั้งยังเหลือบมองมาที่นาง
ชั่วเวลานั้นนางลืมไปว่าข้างกายมีผู้คนเบียดเสียด ลืมหญิงสาวตรงหัวเรือที่งดงามดุจนางสวรรค์ ในสายตามีเพียงเขา ยังมีสีเงินกับสีแดงที่เขาห้อยอยู่ที่เอว
หัวใจเต้นรัวเร็วอย่างไร้สาเหตุ ร่างกายร้อนรุ่ม ใบหน้าแดงเรื่อ
เขามองนาง จากนั้นก็เลื่อนสายตาออกไป
เรือผ่านไปแล้ว คนส่วนใหญ่ยังคงพยายามเบียดไปข้างหน้า อยากเห็นยอดบุปผาอันดับหนึ่งของซูโจวที่โด่งดังไปทั่วเจียงหนาน นางไม่ได้ตามกลุ่มคนเหล่านั้นไป
ดอกท้อโปรยปรายลงบนผิวน้ำลอยมาตรงหน้า ยังมีอีกหลายกลีบล่องลอยอยู่กลางสายลม สุดท้ายก็ร่วงลงบนพื้น กลุ่มคนสลายตัวไปแล้ว นางแอบเก็บดอกท้อขึ้นมากลีบหนึ่งอย่างห้ามใจไม่อยู่
พอกลับถึงบ้านนางก็เอาดอกท้อกลีบนั้นทับไว้ในหนังสือ
คืนนั้นนางพลิกตัวไปมา ในหัวเต็มไปด้วยดอกท้อปลิวว่อนกับสายตาของเขา
ฟ้ายังไม่สาง นางก็ลุกจากเตียงแล้ว ฝนหมึกและกางกระดาษใต้แสงจากโคมไฟ วาดภาพนั้นเก็บไว้
เรือสำราญ ดอกท้อ คนชุดขาว ขลุ่ยตี๋สีดำ ยันต์คุ้มภัย กุญแจเงินโบราณ ยังมีเขาด้วย…โจวชิ่ง
ที่น่าแปลกคือยอดบุปผางดงามก็จริง แต่นางกลับรู้สึกว่าเขางดงามยิ่งกว่า โดดเด่นยิ่งกว่ายอดบุปผาผู้นั้นเสียอีก
ตอนนางหยุดวาดและมองชายหนุ่มในภาพ สายตาคู่นั้นทำเอาหัวใจนางเต้นรัวอีกครั้ง นางไม่อาจจ้องมองต่อไปได้อีก แทบจะหาอะไรมาปิดดวงตาเขาไว้
…ก็แค่ภาพวาดเท่านั้น
นางคิดพลางรอให้หมึกแห้ง หันไปใช้น้ำหยดลงบนชาดที่เหลือ ก่อนจะคลี่กระดาษเซวียนจื่อ* อีกแผ่นหนึ่งออก ใช้พู่กันวาดลายพัดที่ประกอบด้วยดอกท้อมากมาย แต่วาดไปวาดมาก็ยังตะขิดตะขวงใจอยู่ดี เพราะนางมักจะรู้สึกเหมือนว่าเขายังคงมองนางอยู่
อีกอย่าง ภาพนี้หากให้ผู้อื่นเห็นเข้าจะได้หรือ
นางคิดว่าควรเผามันทิ้งซะ แต่กลับตัดใจไม่ลง สุดท้ายรอจนหมึกแห้งแล้ว นางก็ม้วนเก็บมันอย่างหน้าแดงหูแดงและซ่อนไว้ในกระบอกใส่ม้วนภาพ
* ชาวจีนนิยมเปรียบเปรยสีของขอบฟ้าในเวลาใกล้รุ่งว่าสีขาวพุงปลา
* กระดาษเซวียนจื่อ เป็นกระดาษคุณภาพสูงชนิดหนึ่งที่เหมาะสำหรับการวาดภาพและเขียนพู่กันจีน เนื้อกระดาษนิ่มเหนียวไม่ขาดง่าย ดูดซึมหมึกสม่ำเสมอ แมลงไม่กัดแทะ มีต้นกำเนิดอยู่ที่เมืองเซวียน มณฑลอันฮุย
Comments
comments