X
    Categories: คู่อุ่นไอร่ายรักทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่านคู่อุ่นไอร่ายรัก บทที่ห้า

หน้าที่แล้ว1 of 8

 

บทที่ 5

พ้นเทศกาลตวนอู่ไป อากาศค่อยๆ ร้อนขึ้น

เนื่องจากอากาศร้อน ผ้าเช็ดหน้ากับผ้าเช็ดมือปักลาย ตลอดจนพัดที่ปักลวดลายจึงขายดีเป็นพิเศษ

เมื่อมีเงินเหลือ นางจึงอดไม่ได้ที่จะหาหญิงชาวนาที่พอมีฝีมือเพิ่ม นอกจากทอผ้าแล้ว ยังเริ่มตัดเสื้อผ้าและนำไปขายให้ร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป การค้านี้นับว่าพอไปได้

การจดบัญชีใต้แสงจากตะเกียงทุกค่ำคืนมักสร้างความเบิกบานสำราญใจให้นาง

การค้าขายไม่มีที่ไม่ขาดทุน บางครั้งก็เจอพ่อค้าที่ไม่ยอมจ่ายเงิน นางไม่โกรธและไม่โมโห ถือเป็นการจ่ายเงินซื้อบทเรียน และเริ่มเก็บเงินมัดจำสามส่วนตอนรับคำสั่งซื้อ ป้องกันไม่ให้ตัวเองขาดทุนย่อยยับ โชคดีที่สินค้าของนางมีคุณภาพ แม้เถ้าแก่และหลงจู๊หลายคนจะบ่น แต่ส่วนใหญ่ยังคงสั่งซื้อสินค้ากับนางต่อ

พริบตาเดียวเวลาหนึ่งเดือนก็ผ่านไป ถึงเวลาไปจ่ายเบี้ยรายเดือนที่หอสุราหน้าศาลเจ้าอีกแล้ว

นางหาเวลาไปที่ถนนใหญ่หน้าศาลเจ้า ก่อนลงจากรถนางอดไม่ได้ที่จะจับเสื้อผ้าตัวเองให้ดีและส่องกระจก ก่อนจะตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร

ดวงหน้าเล็กพลันแดงก่ำ รีบลดมือลง เก็บกระจกพกแล้วรีบร้อนลงจากรถ

หลังเทศกาลตวนอู่ โจวชิ่งก็ไม่ได้ส่งคนมาหานางอีก

นางรู้ว่าเขายุ่งมาก การแข่งเรือมังกรชิงธงในวันนั้นทำให้เถ้าแก่ใหญ่หลายรายตระหนักถึงตัวตนของคุณชายอย่างเขา แต่ก่อนทุกคนก็รู้ว่าโจวเป้ามีลูกชายชื่อโจวชิ่ง แต่ไม่ได้ใส่ใจนัก โจวเป้าต่างหากที่เป็นคนควบคุมดูแลทุกอย่างและเป็นคนที่ต้องประจบเอาใจ แต่หลังจากเทศกาลตวนอู่ ผู้คนเริ่มสังเกตเห็นเขา รู้ว่าลูกน้องของเขามีวิชายุทธ์ไม่ธรรมดา คาดเดาว่าหรือโจวเป้าจะเริ่มส่งเสริมผลักดันลูกชายคนนี้ นับแต่นั้นมาเทียบเชิญเขาไปกินอาหารจึงถูกส่งมาไม่ได้ขาด

หลายครั้งที่นางเห็นเขาบนถนนจากที่ไกลๆ ชายผู้นั้นมักถูกคนห้อมล้อม

แปดส่วนเขาคงลืมนางไปแล้วกระมัง

อีกอย่าง ตอนนี้นางสวมชุดบุรุษ ไม่ได้ผัดแป้งทาชาด ไม่ได้สวมชุดกระโปรงที่มีสีสัน ไม่ได้เสียบปิ่น ดูเหมือนบุรุษคนหนึ่ง จะส่องกระจกพกได้อย่างไร

แต่บางครั้งเขาจะมาที่นี่ ไม่แน่นางอาจได้พบเขา

ความคิดนี้ทำเอานางเกือบหยิบกระจกพกออกมาส่องอีกครั้งอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ กลัวว่าหน้าของตนจะเปื้อนโคลนหรือเปื้อนสีย้อมผ้า

ไม่ง่ายเลยกว่าจะห้ามตัวเองไม่ให้สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองได้ นางลงจากรถและโบกมือกับลู่อี้

ลู่อี้ผงกศีรษะให้นาง ก่อนจะบังคับรถจากไป นำสินค้าไปส่งก่อน

เนื่องจากกิจการดีขึ้นทุกวัน ทั้งสองจึงตกลงกันว่าเพื่อไม่ให้เปลืองเวลา ตอนนางเข้าเมืองไปจ่ายเบี้ยรายเดือน เขาจะไปซื้อข้าวของก่อน ซื้อของเสร็จแล้วเขาค่อยมารับนาง ระหว่างนั้นนางจะได้เจรจาการค้ากับเถ้าแก่ที่อยู่บนถนนการค้าแถบนี้ด้วย

เห็นลู่อี้จากไปแล้ว นางจึงก้าวเข้าไปในหอสุราจ่ายเบี้ยรายเดือน นางรู้สึกตื่นเต้นตลอดทาง เหลียวมองไปรอบๆ อย่างประหม่า หูฟังแปดทิศ สุดท้ายจนกระทั่งนางออกจากประตูแล้วก็ยังไม่เห็นเงาของโจวชิ่ง

เวินโหรวก้าวข้ามธรณีประตู ก่อนจากไปนางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองชั้นสองของโรงจำนำฝั่งตรงข้าม

หน้าต่างบานใหญ่ไม่มีใครสักคน มืดสนิท มีเพียงม่านโปร่งโบกพลิ้ว

นางผิดหวังเล็กน้อย อดถอนหายใจไม่ได้

‘มองอะไร’

น้ำเสียงทุ้มหนักที่คุ้นเคยพลันดังขึ้นข้างหู เวินโหรวตกใจสะดุ้ง สูดหายใจอย่างตื่นตระหนก มือกดหน้าอกและหันกลับมา เห็นชายผู้นั้นอยู่ข้างหลัง

‘มองหาข้าหรือ’

ชายหนุ่มเลิกคิ้วซ้ายเล็กน้อย หลุบตาจ้องมองนาง

‘ข้า…เอ่อ…’

คิดไม่ถึงว่าจะถูกเขาจับได้คาหนังคาเขา นางหน้าแดงหูแดง มองชายหนุ่มตรงหน้า ชั่วขณะนั้นไม่รู้ควรพูดอะไรดี หัวสมองว่างเปล่าขาวโพลน

‘กินข้าวหรือยัง’ เขาถามต่อ

‘ยัง…’ เนื่องจากตื่นตกใจเกินไป นางมิอาจใช้ความคิด ได้แต่ตอบเสียงแผ่วหน้าแดง

‘พอดีเลย ครั้งก่อนผิดนัดเจ้า วันนี้ไปกินข้าวด้วยกันเถอะ’

นางยังไม่ทันได้ตอบ ชายผู้นั้นก็เดินตรงออกไปแล้ว ไม่เปิดโอกาสให้นางได้ปฏิเสธ

นางอึ้งไป ครั้นเห็นเพียงครู่เดียวเขาก็ข้ามถนนใหญ่ กำลังจะเดินเข้าไปในโรงจำนำแล้ว นางจึงได้แต่ก้าวเร็วๆ ตามไป

เฉาเฟิ่งเห็นเขาเลิกม่านเข้ามาโดยมีนางตามมาข้างหลังกลับไม่ปริปากพูดอะไร เพียงก้าวเข้ามาช่วยเปิดประตูที่นำสู่ชั้นบน

เขาก้าวขึ้นไปข้างบนอย่างผ่อนคลาย นางลังเลครู่หนึ่ง ใบหน้าแดงเรื่อ ก่อนจะฝืนใจตามขึ้นไป ไม่กล้าเหลือบมองเฉาเฟิ่งผู้นั้นแม้แต่แวบเดียว

ขึ้นไปบนชั้นสองแล้ว เขาเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ และเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง นางเดินไปข้างประตูอย่างกระวนกระวาย เห็นเขาถอดรองเท้า นั่งลงบนเตียงหลัวฮั่นข้างหน้าต่าง

บนเตียงหลัวฮั่นมีโต๊ะไม้ประดู่สีดำมะเมื่อมตัวเล็กวางอยู่ บนโต๊ะเล็กเป็นเตาเหล็ก บนเตาวางกาเหล็กแบบเดียวกัน พวยกามีควันสีขาวขมุกขมัวลอยออกมา แผ่กลิ่นหอมอบอุ่นของชาไปทั่ว

เขาหยิบกาเหล็กขึ้นมารินน้ำชาให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง ครั้นเห็นนางยังยืนนิ่งอยู่ข้างประตู คิ้วรูปดาบก็เลิกขึ้น

‘เจ้าจะเข้ามา หรือว่าออกไป’

นางหน้าแดง สูดหายใจลึกก่อนจะเดินเข้าไป

แม้ชายหญิงจะไม่ควรอยู่ในห้องตามลำพัง แต่นางวิ่งเต้นค้าขายอยู่ข้างนอกเกือบปีแล้ว มาเขินอายตอนนี้ออกจะเสแสร้งเกินไปหน่อย อีกอย่างหากชายผู้นี้คิดจะทำอะไรนาง คงไม่รอจนถึงป่านนี้หรอก

นางเดินเข้าไปนั่งลงอีกฝั่งของเตียงหลัวฮั่น เลียนแบบท่าทางสุขุมมั่นคงของเขา ถอดรองเท้า เลิกชายชุดคลุมแล้วขึ้นเตียงนั่งขัดสมาธิ

เขารินน้ำชาให้ตัวเองเสร็จก็วางกาเหล็กลง เริ่มพลิกอ่านสมุดบัญชีที่กองอยู่บนโต๊ะโดยไม่สนใจนาง ไม่มีทีท่าจะรินน้ำชาให้นางแม้แต่น้อย ชั่วขณะหนึ่งที่นางรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ แต่ให้นั่งอย่างนี้ต่อไปก็ดูประหลาดมาก นางจึงตัดสินใจรินน้ำชาให้ตัวเอง

‘หมู่นี้การค้าไม่เลวหรือ’ เขาถามโดยไม่เงยหน้า

‘ต้องขอบคุณท่าน’ นางแอบเหลือบมองเขา ตอบอย่างเกรงใจ

‘มาหาข้ามีเรื่องอะไร’ เขาพลิกสมุดบัญชีหน้าหนึ่งและถามต่อ

‘ข้าเปล่า…’ นางแย้งหน้าแดง

เขาช้อนตาขึ้น เลิกคิ้วอีกครั้ง

นางหน้าแดงกว่าเดิม ได้แต่ตอบว่า ‘ข้าแค่บังเอิญผ่านมา ข้ามาจ่ายเบี้ยรายเดือน…ข้าหมายถึงซื้อยันต์คุ้มภัย’

‘นั่นเป็นเบี้ยรายเดือนไม่ผิด เมืองแห่งนี้ต้องมีกฎเกณฑ์’ เขาพูดพลางจ้องหน้านาง

‘อืม ข้ารู้’

เขาไม่ได้มองนางอีก เพียงก้มหน้าตรวจบัญชีต่อ นางยังคงประหม่าเล็กน้อย ไม่กล้ามองเขา สายตาเลื่อนไปยังหน้าต่าง บริเวณนี้ไม่ได้หันหน้าไปทางถนน แต่เป็นลานกลางแจ้ง ลานนี้ไม่ใหญ่นัก แรกเริ่มที่สร้างลานแห่งนี้ขึ้นมาคงเพื่อรับแสงและสร้างความโปร่งโล่ง ทำให้ที่แห่งนี้สงบเงียบยิ่งนัก

ไม่นานบ่าวสองคนก็ยกอาหารกลางวันเข้ามาสองสำรับ

นางไม่เห็นเขาออกคำสั่ง แต่ชัดเจนว่าเฉาเฟิ่งผู้นั้นรู้ดีว่านางจะอยู่กินข้าวด้วย

สำรับอาหารกลางวันนั้นเรียบง่ายมาก นางเห็นแล้วแปลกใจเล็กน้อย ครั้งก่อนตอนอยู่หออวลสุคนธ์เขาสั่งข้าวปลาอาหารมากมาย นางยังคิดว่าปกติเขามักกินอย่างหรูหรา แต่ตรงหน้ากลับเป็นอาหารง่ายๆ เนื้อจานหนึ่ง ผักจานหนึ่ง ข้าวสองถ้วย น้ำแกงหนึ่งชาม แล้วก็ไม่มีอะไรอีก

โจวชิ่งวางสมุดบัญชีในมือ หยิบตะเกียบไม้สีดำขึ้นมา ถือชามและเริ่มกินข้าว

ในเมื่อถูกเรียกมากินข้าว นางจึงได้แต่ปฏิบัติตาม กินข้าวมื้อนี้ตามสัญญาแต่โดยดี พออาหารเข้าปากนางก็อึ้งงันไปเล็กน้อย ข้าวสวยนี้หุงจนเปล่งประกายแวววาว เข้าปากแล้วไม่เหนียวและไม่เลี่ยน นุ่มกำลังดี อร่อยจริงๆ คิดดูแล้วคงคัดข้าวสารมาเป็นพิเศษเพื่อหุงให้เขาโดยเฉพาะ

เห็นนางหยุดตะเกียบ มองข้าวสวยในชามอย่างครุ่นคิด เขาจึงเอ่ยปากพูด

‘ทำไมหรือ’

‘เปล่า’ นางกระตุกมุมปาก ตอบโดยไม่คิดมาก ‘สมัยเป็นเด็กตอนอยู่บ้าน คิดว่าตัวเองกินดีอยู่ดีทีเดียว ต่อมาเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่ ถึงรู้ว่าที่กินอยู่แค่ธรรมดาเท่านั้น จนกระทั่งออกจากบ้านมาค้าขายข้างนอก กินอาหารหยาบนอกบ้านแล้ว จึงตระหนักถึงคำกล่าวที่ว่าเทียบกับคนที่เหนือกว่าไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าอีกหลายคน ตัวเองนับว่ายังมีสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่เลว’

เขามองนางพลางเอ่ยถามเสียงเรียบ

‘เจ้าชอบเป็นชายหรือ’

นางอึ้งไป เงยหน้ามองเขา

ชายหนุ่มตรงหน้าเอาแต่จ้องนางและเลิกคิ้วอีกครั้ง ย้ำคำถามของตนอย่างไร้เสียง

‘ชอบ’ นางสูดหายใจลึก พูดอย่างเปิดเผย ‘เป็นชายทำได้ทุกอย่าง หากข้าเป็นชายจริง อยากไปไหนก็ไปได้ อยากทำอะไรก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องกลุ้มใจมากขนาดนี้’

เขามองนางด้วยสายตาดำลึกคู่นั้น ทำเอานางหัวใจเต้นรัว ดวงหน้าเล็กพลันแดงซ่าน แต่นางไม่ได้หลบเลี่ยงสายตาเขา จากนั้นเขาก็พยักหน้า ก้มหน้ากินข้าวต่อโดยไม่พูดอะไรอีก

พอสายตาเร่าร้อนของเขาเบนออกไป นางถึงได้โล่งอก ก้มหน้ากินข้าวต่อ

หลังกินข้าวเสร็จ โม่หลีผู้ติดตามของเขาโผล่ออกมาจากที่ใดไม่รู้ ยกจานชามบนโต๊ะออกไปแล้วนำพู่กันกับหมึกเข้ามาแทน เขาจับพู่กันเริ่มขีดเขียนไปบนสมุด ราวกับลืมไปว่านางนั่งอยู่ตรงนี้

ข้างนอกสายฝนพร่างพรมลงมาตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ นางรู้ว่าตัวเองควรไปได้แล้ว หลายครั้งที่อยากลุกขึ้น แต่กลับหาโอกาสพูดไม่ได้ คนของเขานำสมุดอีกมากมายเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า จังหวะที่นางพยายามจะลุกขึ้นก็มีคนนำผลไม้กับขนมหลังมื้ออาหารเข้ามา ขวางทางที่นางจะลงจากเตียงหลัวฮั่นไว้อีกครั้ง

หลังกินอิ่ม ลมเย็นโชยพัดมาเป็นระลอก นางนั่งๆ ไป ความเหนื่อยล้าก็ผุดขึ้นมาเงียบๆ วิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกตลอดช่วงเช้า ตอนนี้เมื่ออิ่มหนำสำราญ หนังตาจึงตกลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

เตียงหลัวฮั่นนี้ปูฟูกไว้ ด้านหลังยังมีหมอนอิง นั่งแล้วสบายยิ่ง ทำให้นางง่วงงุนเหมือนจะหลับ

นางพยายามฝืนทน แต่ก็ยังอยากนอนอยู่ดี อดไม่ได้ที่จะขยับตัวไปพิงกรอบหน้าต่างเงียบๆ ความรู้สึกนั้นดีเหลือเกิน ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะแอบยกมือขึ้นยันดวงหน้าเล็กๆ ไว้

สายฝนโปรยปรายลงมา

…ลมเย็นเหลือเกิน

ฝนที่หายากในฤดูร้อนนี้ช่วยบรรเทาความอบอ้าวบนผืนแผ่นดินไปได้มาก

ชายหนุ่มตรงหน้ายังคงเขียนหนังสือ ลายมือของเขาหวัดมาก แทบจะแยกแยะไม่ออก แต่กลับสวยงามอย่างบอกไม่ถูก ให้ความรู้สึกโผงผางตรงไปตรงมาอย่างน่าแปลก เหมือนสายลมอย่างไรอย่างนั้น

นางหลับตาหนึ่งครั้ง และอีกหนึ่งครั้ง

พริบตาถัดมานางก็ผล็อยหลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

ตื่นมาอีกครั้ง ฝนก็หยุดตกแล้ว

ชายหนุ่มตรงหน้ายังคงเขียนหนังสือโดยไม่เงยหน้า

เมื่อพบว่าตัวเองเผลอหลับไป นางก็ยืดตัวขึ้นอย่างกระอักกระอ่วนใจ ถึงได้เห็นว่าบนร่างมีเสื้อคลุมตัวนอกสีขาวเพิ่มเข้ามาตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ นางรู้สึกอับอายยิ่งกว่าเดิม เมฆแดงปรากฏบนพวงแก้มทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว

มิน่าถึงได้รู้สึกอุ่นถึงเพียงนี้

เสื้อตัวนี้เป็นของเขา นางรู้ บนนั้นมีกลิ่นอายของเขาอยู่

เวินโหรวถอดเสื้อตัวนอกที่คลุมร่างอยู่ออกอย่างประดักประเดิด ชั่วขณะหนึ่งที่ทำอะไรไม่ถูก โชคดีที่ในที่สุดบรรดาข้ารับใช้ที่วนเวียนอยู่ข้างๆ ไม่หยุดเหมือนผึ้งก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีก นางรีบถือโอกาสนี้ลงจากเตียงและสวมรองเท้าพลางอำลาเขาอย่างเร่งรีบ

‘พี่โจว ขอบคุณสำหรับการต้อนรับของท่าน ข้ายังมีธุระต้องไปจัดการ ท่านทำงานของท่านต่อเถอะ ข้าไม่รบกวนแล้ว’

เขาไม่ได้เงยหน้า เพียงยื่นมือออกไปหานางในจังหวะที่นางกำลังจะเดินไปยังประตู

‘เสื้อข้า’

เวินโหรวอึ้งไป ได้ยินดังนั้นจึงตระหนักว่าตัวเองยังกำเสื้อนอกตัวนั้นไว้แน่น เกือบจะถือมันออกไปด้วยเสียแล้ว

ชั่วขณะนั้นไอร้อนพลันพุ่งขึ้นบนใบหน้า

นางรีบหมุนตัวกลับมาอย่างหน้าแดงหูแดง คืนเสื้อในมือให้เขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันหลังเดินออกไปเหมือนหนีอะไรบางอย่าง

เดิมทีคิดว่าระหว่างพวกเขาสองคนคงไม่มีความเกี่ยวข้องกันมากเกินไปอีก

เขาเป็นคนธุระเยอะ ทั้งยังเป็นบุคคลที่ได้รับความนิยมมากขึ้นทุกทีในเมืองแห่งนี้ มีคนนัดกินข้าวกับเขายาวไปจนถึงหลังปีใหม่ นางทำการค้าเล็กๆ เท่านั้น ต่อให้อยากเชิญเขาไปกินข้าวก็ไม่มีสิทธิ์ แต่ไม่รู้เหตุใด หลังจากวันนั้นนางมักจะพบเขาบนถนนโดยบังเอิญ

บอกว่าบนถนน อันที่จริงก็ไม่ใช่บนถนนเสียทีเดียว บางครั้งเป็นในร้านค้า บางครั้งในหอสุรา บางครั้งนางเพิ่งก้าวเท้าออกจากโรงย้อม รถม้าของเขาก็ปรากฏตรงหน้านางพอดี

ทุกครั้งที่เจอ เขามักเอ่ยถามประโยคเดิมเสียงเรียบ

‘กินข้าวหรือยัง’

นางมองเขา มักจะได้แต่ตอบคำเดิมอย่างจริงใจ

‘ยัง’

จากนั้นนางก็จะถูกบังคับให้ตามเขากลับไปกินข้าว

เขาไม่ได้บีบบังคับนางอย่างแท้จริง แต่กลิ่นอายที่ชายผู้นี้แผ่ออกมาทำให้คนไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ประกอบกับความจริงแล้วนางก็ไม่ได้อยากปฏิเสธจริงๆ

ตั้งแต่เริ่มออกมาทำการค้าข้างนอก นางตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เดินทางเทียวไปเทียวมาระหว่างในเมืองกับนอกเมือง แม้ระยะทางไกลจะมีรถเทียมลาให้นั่ง แต่นางก็เดินไม่น้อย แต่ละวันเวลาเลือกสินค้าตรวจสอบสินค้าล้วนต้องยืนหรือเดิน บางครั้งเวลาลุงชิวกับลู่อี้ไม่ว่าง นางยิ่งต้องบังคับรถและขนของเอง ถึงเวลาเที่ยงแล้วไม่ได้กินข้าวเป็นเรื่องปกติ ในเมื่อมีคนจะเลี้ยงข้าวนาง นางย่อมต้องด้านหน้ากินอยู่แล้ว

เงินทุกอีแปะในมือนางล้วนมีที่ให้นำไปใช้ แน่นอนว่าประหยัดได้ย่อมต้องประหยัด

อีกอย่าง เขาไม่ขาดแคลนเงินเพียงเท่านี้ ที่พักของเขาทั้งใหญ่และสบาย ทั้งยังมิดชิดลับตา สามารถแอบพักเหนื่อยอยู่ที่นั่นตอนกลางวัน ทำให้นางมีเรี่ยวแรงไปเจรจาต่อรองกับพวกเถ้าแก่และหลงจู๊พวกนั้นมากขึ้นจริงๆ

เพียงแต่นางออกจะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดเขาต้องปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ด้วย

เป็นเพราะนางเป็นหญิงหรือ

นางไม่รู้

สิ่งเดียวที่นางรู้คือเขาไม่เคยทำตัวรุ่มร่ามกับนาง อีกอย่างก็คือบางครั้งนางรู้สึกว่าดูเหมือนเขาจะชอบช่วงเวลาที่ทั้งสองคนกินข้าวและพักผ่อนอยู่ที่นั่น

เขาไม่ได้ยุ่งง่วนถึงเพียงนั้นทุกวัน บางครั้งก็มีเวลาว่าง

ยามเขามีเวลาว่างอย่างหาได้ยากยิ่ง โต๊ะเล็กบนเตียงหลัวฮั่นที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่างของเขาจะมีกระดานหมากวางอยู่ มีชามใส่หมากสีดำและขาวที่ทำจากหินอ่อนวางอยู่สองใบ

ทุกครั้งเขาจะชวนนางเดินหมาก

‘ข้าเดินหมากไม่เป็น’

ครั้งแรกที่เขาถาม นางตอบอย่างเปิดเผย

‘อยากเรียนหรือไม่’ เขาเลิกคิ้วถาม

นางลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า

เขาให้หมากสีขาวกับนาง ตัวเองใช้หมากสีดำ และเริ่มสอนนาง

ทักษะการเดินหมากของเขาดีมาก แต่กลับไม่ยึดติดว่าต้องชนะให้ได้ เขาชอบที่จะชงชาและเดินหมากอย่างผ่อนคลาย มองนางจ้องกระดานหมากอย่างกลัดกลุ้มอยู่ครึ่งค่อนวันมากกว่า

บางครั้งเวลาแพ้ เขาก็ไม่ถือสา หากนางเจอทางตันและเอ่ยปากถามเขา เขายังบอกนางด้วยว่าก้าวต่อไปควรเดินอย่างไร

เขาไม่เคยถามเรื่องการค้าของนาง นางเองก็ไม่เคยขอให้เขาช่วย

ชายผู้นี้ช่วยนางมามากแล้ว

การค้าของนางไม่เลวเลย ตอนนี้ไม่เพียงมีกำไร ยังเก็บออมได้ส่วนหนึ่ง

ที่น่าแปลกคือนางได้เข้าใจหลักการค้าบางอย่างระหว่างเดินหมากประลองฝีมือกับเขาจริงๆ นางเองไม่ใช่คนที่ชอบเอาชนะ แต่ในเมื่อจะเรียนแล้ว ก็ต้องเรียนรู้ให้ถ่องแท้ จึงตั้งใจไปร้านขายหนังสือเก่าทางทิศใต้ของเมืองซื้อตำราการเดินหมากมาศึกษาค้นคว้า แต่ก็ยังเอาชนะเขาไม่ได้อยู่ดี

ใช้เวลาไม่นานนางก็พบว่าทักษะการเดินหมากของเขาดีมาก อีกทั้งบางครั้งไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออย่างไร การเดินหมากกับเขามักทำให้นางรู้สึกว่าสามารถนำไปปรับใช้กับการค้าของตัวเองได้

บางครั้งนางถึงขั้นสงสัยว่าชายผู้นี้เอากระดานหมากมาบังหน้า ชี้แนะหลักการทำการค้าให้นาง

‘หมากกระดานหนึ่งก็เหมือนการทำศึกสงคราม ทุกครั้งที่เจ้าเดินหมากหนึ่งตัว ล้วนส่งผลกระทบต่อหมากที่เหลือทั้งหมด ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์หลังจากนี้ ดังนั้นเมื่อคู่ต่อสู้เดินหมาก เจ้าต้องคิดว่าเหตุใดเขาจึงทำอย่างนั้น’

‘แต่ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร’

‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งไม่พ่ายแพ้ การเดินหมากเป็นการจำลองสงครามขนาดย่อม หมากทุกตัวเป็นตัวแทนของทหาร เสบียง กำแพงเมือง ม้าศึก ดาบกระบี่ ส่วนคนที่เดินหมากก็คือขุนศึกที่บัญชาการรบ หากเจ้าอยากชนะก็ต้องเข้าใจคู่ต่อสู้ ต้องรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนอย่างไร มีอะไร ต้องการอะไร ขาดแคลนอะไร จากนั้นสมมติว่าตัวเองเป็นคนคนนั้น คิดบนจุดยืนของเขา ประเมินผลได้ผลเสียทั้งหมดจากมุมมองของเขา แล้วค่อยมอบเหยื่อล่อที่เขาต้องการ จากนั้นจู่โจมจุดสำคัญ จู่โจมยามอีกฝ่ายเผลอ หลังจากนั้นเจ้าย่อมได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการ’

นางมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างตะลึงงัน เขาเพียงวางหมากตัวใหม่ลงบนกระดานหมากที่ถูกล้างจนว่างเปล่าแล้วเอ่ยขึ้น

‘ข้อมูลข่าวสารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเจ้าต้องคิด ใช้สิ่งนี้คิด’ เขาใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากนาง จากนั้นก็จิ้มหมากสีดำตัวนั้น จ้องนางเขม็งและเอ่ยว่า ‘จินตนาการว่าเดินหมากไปแล้ว หากเจ้าเป็นหมากตัวนี้ อะไรจะเกิดขึ้นกับเจ้าได้บ้าง’

นางกะพริบตา คิดถึงตอนแรกที่นางพยายามทำการค้า แต่กลับเจออุปสรรคทุกทาง การทำการค้าในเมืองแห่งนี้ต้องไปซื้อยันต์คุ้มภัยที่หอสุราก่อน ความจริงนั่นเป็นเรื่องที่แอบสืบดูก็รู้แล้ว แต่นางถามตรงๆ จึงไม่มีใครพูดกับนางอย่างเปิดเผย

วันนั้นหลังเดินหมากเสร็จ นางลากตัวลู่อี้ไปนั่งในหอสุราและสั่งสุรามาหนึ่งกา

‘ข้าไม่ดื่มสุรา’ ให้ตายลู่อี้ก็ไม่ยอมดื่ม ถึงขั้นเอ่ยปากอย่างหาได้ยากยิ่งอีกครั้ง ‘ไม่ดื่มตอนอยู่ข้างนอก จะทำให้เสียงาน’

‘ไม่ดื่มสุราก็กินกับข้าว’ นางกดเสียงเบา โน้มตัวไปพูดกับวัวตัวนี้ ‘ทุกคนที่ทำการค้าล้วนต้องมาซื้อยันต์คุ้มภัยที่นี่ ที่แห่งนี้เป็นแหล่งรวมข่าวสารต่างๆ พวกเราทำการค้าย่อมต้องรู้ให้มากหน่อย เจ้ากินถั่วลิสง แล้วเปิดหูตาให้กว้างขวาง เงี่ยหูออกไปให้ยาวหน่อย’

ชายผู้นั้นจ้องนาง คิ้วเข้มขมวดมุ่น

นางพูดโดยไม่กะพริบตา ‘ไม่ใช่ที่นี่ก็เป็นหอรับวสันต์ เจ้าเลือกเอาสักที่แล้วกัน’

ได้ยินดังนั้นลู่อี้ก็ขึงตามองนางอย่างเหลือเชื่อ หัวคิ้วขมวดลึกกว่าเดิม ริมฝีปากหนาเม้มแน่นยิ่งขึ้น

‘งั้นแสดงว่าเลือกหอรับวสันต์สินะ…’ นางทำท่าจะลุกขึ้น ลู่อี้ยื่นมือออกไปคว้าจับนางไว้โดยไว

เวินโหรวเลิกคิ้วให้เขา ลู่อี้ใบหน้าถมึงทึงกว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมาสองคำ

‘นั่งลง’

นางคลี่ยิ้มและนั่งลง ‘อีกหน่อยเจ้าอย่าเอาแต่กินขนมเปี๊ยะอยู่บนรถเทียมลา ตอนกลางวันมานั่งที่นี่ กินบะหมี่สักชาม ดื่มสุราเล็กน้อย พูดคุยกับคนอื่นบ้าง…’

ลู่อี้ที่ปล่อยมือนางแล้วใบหน้าบึ้งตึงและบิดเบี้ยวเล็กน้อย

คิดถึงนิสัยเงียบขรึมของเขาแล้ว นางรีบเปลี่ยนคำพูดและยิ้มว่า

‘ฟังคนคุยกันก็ได้’

ลู่อี้มองนางโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็ถอนหายใจทีหนึ่ง รินสุราให้ตัวเองและดื่มมันลงไป

ภายหลังนางพบว่าลู่อี้ไม่ได้ไปหอสุรา แต่ทุกครั้งเวลานางถามข้อมูลอะไรจากเขา เขามักจะตอบได้เสมอ นางสงสัยเหลือเกิน ต่อมาจึงทราบว่าเขาเห็นราคาอาหารในหอสุราแพงจึงไม่เข้าไปด้านหน้าบริเวณที่ต้องเสียเงิน แต่ไปที่ตรอกด้านหลังของหอสุรา นั่งยองๆ กินขนมเปี๊ยะอยู่ตรงนั้น ลูกจ้างในหอสุราล้วนกินข้าวอยู่ด้านหลัง เวลาคุยเรื่องซุบซิบไม่เคยตกหล่นไปสักเรื่อง

นางไม่รู้ว่าลู่อี้รู้ได้อย่างไรว่าสามารถทำเช่นนี้ได้ แต่วิธีนี้ใช้ได้ผลดีทีเดียว นางเพิ่มเงินให้เขาทุกเดือนเพื่อให้เขาไปช่วยสืบข่าว นับแต่นั้นมาการค้าก็เจริญรุ่งเรืองมากกว่าเดิม

แต่นางรู้ดีว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะโจวชิ่ง

วันนั้นหลังจากเขาพูดกับนาง นางก็ตระหนักอย่างรวดเร็วว่าเขาจงใจชี้แนะนาง

การทำการค้าไม่อาจคลำทางตามลำพังคนเดียวได้ โจวเป้าสามารถเป็นจอมเผด็จการได้ย่อมมีเหตุผล

รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งไม่พ่ายแพ้

ด้วยเหตุนี้โจวเป้าจึงเปิดหอสุรา เปิดโรงจำนำ เปิดหอรับวสันต์ กิจการที่อยู่ในมือเขาเหล่านั้นล้วนเป็นสถานที่ที่สามารถได้ยินข่าวใหม่ล่าสุด สามารถรวบรวมข้อมูลได้มากที่สุด

โจวชิ่งชี้แนะและสอนนางว่าควรทำการค้าอย่างไร

นางไม่เปิดโปงเขา เขาเองก็ไม่พูดออกมา

เวินโหรวไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดเขาต้องทำเช่นนี้ แต่การมากินข้าวที่โรงจำนำเป็นครั้งคราวทำให้นางค่อยๆ เข้าใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบิดาไม่ดีนัก

เขาอาศัยอยู่บนชั้นสองของโรงจำนำ ไม่ได้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่หรูหราที่ตั้งอยู่ริมน้ำของโจวเป้า ที่โรงจำนำมีเตียงและผ้าห่ม ยังมีหนังสือที่เรียงรายเต็มชั้นและหีบเสื้อผ้า แม้การที่ครอบครัวคนรวยมีบ้านและที่ดินหลายแห่งจะเป็นเรื่องปกติมาก บ้านและที่ดินที่สกุลโจวถือครองอยู่ยิ่งมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่นางรู้ว่านี่เป็นสถานที่ที่เขาอาศัยอยู่

เขาพักอยู่ที่นี่ กินอยู่ที่นี่ จะกลับไปหาพ่อเขาเป็นบางครั้งเท่านั้น

ชายผู้นี้เหมือนนาง ไม่ได้รับความรักจากพ่อ นางรู้สึกได้

หลายครั้งที่นางเห็นโจวชิ่งกับพ่อเขาปรากฏตัวในสถานที่เดียวกัน ส่วนลึกในใจมักเกิดความรู้สึกเข้ากันไม่ได้อย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนมีความตึงเครียดแปลกประหลาดอัดแน่นอยู่ในอากาศ ราวกับมีคนดึงสายพิณตึงแน่นเกินไปจนพร้อมจะขาดได้ทุกเมื่อ ต้องรอให้ใครคนใดคนหนึ่งจากไป ความตึงเครียดจึงจะบรรเทาลง แม้ยามอยู่ต่อหน้าพ่อ เขามักจะสงบเสงี่ยมมาก แต่นางก็ยังมีความรู้สึกอย่างนั้น

เขาไม่ชอบพ่อเขา พ่อเขาก็ไม่ชอบเขา

ด้วยเหตุผลที่ไม่รู้ว่าคืออะไร ความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกคู่นี้ตึงเครียดอย่างยิ่ง

ด้วยฐานะลูกชายของจอมเผด็จการทำให้ข้างกายเขาแทบไม่มีสหายที่คบหาอย่างจริงใจ ทุกคนที่มาหาเขาล้วนมีเหตุผลแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง

บางครั้งเวลานั่งกินข้าวอยู่ตรงข้ามเขา นางจะคาดเดาว่าบางทีอาจเป็นเพราะอย่างนี้ เขาถึงได้ชอบชวนนางมากินข้าวด้วยกระมัง

การกินข้าวคนเดียวเหงามาก นางรู้

ตอนเป็นเด็กมีช่วงหนึ่งที่ป้าชุ่ยยืนกรานว่านางเป็นคุณหนูและมักจะให้นางกินข้าวคนเดียว แรกๆ มีสาวใช้ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ภายหลังไม่มีสาวใช้แล้ว ป้าชุ่ยจึงปรนนิบัตินางด้วยตัวเอง แต่อาหารเหล่านั้น ต่อให้อร่อยเพียงใดกินลงไปก็ไม่มีรสชาติมากนัก

รอจนนางอายุมากพอ ทุกครั้งเมื่อถึงเวลากินข้าว นางจะเป็นฝ่ายไปหาลู่อี้ ลุงชิว และป้าชุ่ยในห้องครัว นั่งกินข้าวด้วยกันบนโต๊ะสี่เหลี่ยมในห้องครัว หลายครั้งเข้าป้าชุ่ยจนปัญญากับนางจึงยอมตามใจ

การกินข้าวคนเดียวเหงามาก นางรู้

‘เจ้าซื้อฝ้ายติดเมล็ดมาทั้งลำเรือหรือ’

ตอนบ่ายในวันหนึ่ง หลังกินข้าวเสร็จนางจิบชาร้อนคำหนึ่ง ขณะถือถ้วยชาทอดถอนใจ จู่ๆ ก็ได้ยินเขาเอ่ยปากถาม

เวินโหรวช้อนตาขึ้น เห็นโจวชิ่งกินขนมพลางเงยหน้ามองนางด้วยสายตาราบเรียบ

อากาศร้อน วันนี้เขาสวมชุดผ้าไหมบางเนื้อนุ่มสีดำ เนื้อผ้าระบายอากาศได้ดีแต่แนบติดไปกับร่าง ขับเน้นเรือนร่างกำยำของเขาเต็มที่ ทำเอานางไม่กล้าเหลือบมองเขาแม้แต่แวบเดียว รีบหลุบตาลง

แสงแดดยามบ่ายสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเล็กน้อย ส่องมือใหญ่ของเขาที่วางอยู่บนสมุดบัญชี ทำให้นางอดมองมือใหญ่ทรงพลังของเขาไม่ได้

ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยถามถึงการค้าของนางเลยสักนิด แต่นางรู้ว่าเขารู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่ หลงจู๊หอสุราจะนำสมุดบัญชีที่จดบันทึกการซื้อขายยันต์คุ้มภัยมาให้เขาดู

ยามนี้สมุดบัญชีใต้มือเขาไม่ใช่สมุดบัญชีที่บันทึกการซื้อขายยันต์คุ้มภัย แต่เป็นสมุดบัญชีอีกเล่มที่บันทึกการค้าขายประเภทต่างๆ

นางเห็นชื่อปลอมของตัวเองอยู่บนนั้น ถูกนิ้วมือสะอาดสะอ้านของเขาวางทับอยู่ ลูบไล้ข้างกรอบอักษรฉิว* ตัวเล็กของคำว่าเวิน ไม่รู้เหตุใดนางรู้สึกเหมือนเขากำลังลูบหน้านางอยู่ ใบหน้าเล็กพลันร้อนซู่

‘ใช่’ นางรีบปัดความรู้สึกนั้นออกไป ผงกศีรษะหน้าแดง

‘ราคาสินค้าไม่น้อยเลย’ เขาเอ่ยเนิบช้า

‘ไม่น้อย’ นางตอบตามตรงและเงยหน้า ‘เป็นเงินทั้งหมดที่ข้ามีอยู่ในมือ’

เขาเลิกคิ้วมองนางแล้วเอ่ยถาม

‘เพราะอะไร’

ก่อนหน้านี้นางยังซื้อไหมแท้มาทำงานชั้นดีเล็กน้อย ตอนนี้จู่ๆ กลับทุ่มเงินทั้งหมดไปซื้อฝ้ายติดเมล็ด ไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกประหลาดใจ

เพียงแต่นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะใส่ใจว่านางกำลังทำอะไรอยู่

‘ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว’ นางพึมพำ ‘ฝ้ายพวกนั้นสามารถนำมาทำเสื้อบุนวมได้’

เขาไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นนี้ ยังคงเลิกคิ้วมองนาง

การตั้งคำถามอย่างไร้เสียงกระจายออกไปในอากาศ

นางถูกเขาจ้องจนอึดอัดไปหมด ดวงหน้าเล็กแดงขึ้นทุกที รู้ว่าหากชายผู้นี้ไม่ได้รับคำตอบ เขาต้องไม่ยอมเลิกราแน่ จึงได้แต่เอ่ยปากอธิบาย

‘ฝ้ายติดเมล็ดสามชั่งสามารถทำปุยฝ้ายได้หนึ่งชั่งกว่า ปุยฝ้ายหนึ่งชั่งสามารถแปลงเป็นเส้นใยได้หนึ่งชั่ง เส้นใยหนึ่งชั่งสามารถทอผ้าได้หนึ่งพับ ผ้าหนึ่งพับสามารถแลกข้าวสารได้สามเซิง** ข้าวสารหนึ่งเซิงสามารถหุงข้าวได้สิบชาม ข้าวสารสามเซิงสามารถหุงข้าวได้สามสิบชาม’

เขาจ้องนางตาไม่กะพริบ

นางหน้าแดงหูแดง แต่ยังคงพยายามพูดอย่างสุขุม

‘ทุกปีหลังฤดูเก็บเกี่ยว ข้าวสารธัญพืชที่ชาวนาปลูกส่วนใหญ่ล้วนต้องจ่ายให้ทางการเป็นค่าส่วยและภาษีที่นา ไม่ใช่ทุกครอบครัวที่จะมีเสบียงอาหารเหลือพอสำหรับฤดูหนาว การทอผ้าไหมผ้าแพรหนึ่งพับต้องใช้เวลาแปดถึงสิบหกวัน แต่การทอผ้าฝ้ายหนึ่งพับใช้เวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น’

นางพูดจบอย่างรวดเร็วและหุบปาก ดวงหน้าเล็กยังคงแดงเรื่อ

เขาจ้องนางเงียบๆ ไม่เอ่ยอะไรสักคำ

การค้าครั้งนี้โง่มาก นางรู้

ต่อให้ฝ้ายติดเมล็ดทั้งลำเรือสามารถทอเป็นผ้าฝ้ายได้ทั้งหมด นางก็ไม่มีทางขายผ้าฝ้ายจำนวนมหาศาลออกไปได้ทั้งหมดก่อนปีใหม่ นางไม่ควรทุ่มเงินทั้งหมดไปที่ฝ้ายติดเมล็ดนั่นเลย นางตระหนักดีกว่าใครว่าการค้าครั้งนี้อาจทำให้นางขาดทุนย่อยยับ

แต่ผ้าฝ้ายหนึ่งพับสามารถแลกข้าวได้สามสิบชาม และการทอผ้าฝ้ายหนึ่งพับใช้เวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น หลังจากทำงานร่วมกันมาตลอดหนึ่งปี นางไม่อาจทนเห็นครอบครัวชาวนาที่สนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดในช่วงฤดูหนาวอย่างยากลำบากเหมือนปีก่อนจริงๆ ยังไม่พูดถึงว่าหากเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ ผู้ที่ได้รับประโยชน์จะไม่ใช่แค่ครอบครัวชาวนาพวกนั้น

‘เจ้าคิดว่าจะขายผ้าพวกนั้นให้ใคร’ คำถามนี้จี้แทงใจดำนางพอดี

น่าโมโหนัก นางลอบสบถในใจ จ้องตรงไปที่เขา

‘ข้ากำลังเจรจา’

‘เจ้ายังหาผู้ซื้อไม่ได้?’ เขาเลิกคิ้วสูงกว่าเดิม

‘ข้ากำลังหา’ นางยิ้มน้อยๆ

‘เจ้ายังหาผู้ซื้อไม่ได้’

ให้ตาย ประโยคคำถามของเขากลายเป็นประโยคบอกเล่าไปแล้ว

เวินโหรววางถ้วยชา พูดอย่างต้องการเอาชนะเล็กน้อย

‘ข้าต้องหาได้แน่’

เขามองนาง ครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้น

‘สินค้าชุดนี้ เจ้าคิดจะขายเท่าไร’

นางฟังแล้วหัวใจเต้นแรง อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว

คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้มีทรัพย์สินมากมาย ร่ำรวยมหาศาล สินค้าทั้งลำเรือของนาง สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

‘นี่เป็นปัญหาที่ข้าก่อขึ้นเอง ข้าจะคิดหาหนทางจัดการด้วยตัวเอง’ นางนั่งตัวตรง มองเขาและเอ่ยว่า ‘ท่านไม่จำเป็นต้องช่วยข้า’

เขาเลิกคิ้วอีกครั้ง กำลังจะอ้าปาก นางกลับยกมือขึ้นและเอ่ยปากอีกครั้ง

‘แต่ว่า…’ นางไม่โลภในเงินของเขา แต่นี่เป็นการค้า ดังนั้นนางจึงมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสีหน้าท่าทีจริงจัง ‘ผ้าที่ออกไปจากมือข้า แม้จะมิใช่ของดีที่สุดในเมือง ทว่าคุณภาพไม่แย่แน่นอน หากเป็นการซื้อขาดเพียงครั้งเดียว ข้าไม่ต้องการ แต่หากท่านคิดจะทำการค้าระยะยาว พวกเราสามารถหารือแผนการระยะยาวได้’

นางไม่ใช่คนโง่ ไม่มีทางพลาดโอกาสทางการค้าครั้งนี้เพียงเพราะเรื่องหน้าตาแน่นอน

ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะน้ำชาไม้ประดู่มองนางอย่างครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยถาม

‘เจ้ายังคิดที่จะทำการค้านี้ต่ออีกหรือ’

นางพยักหน้าบอกเขา ‘ผ้าฝ้ายที่ทอจากเจียงหนานทั้งราคาถูกและคุณภาพดี ในเมืองมีเถ้าแก่ใหญ่ไม่น้อยที่รับซื้อผ้าไป จากนั้นก็ส่งต่อไปขายในเมืองหลวงทางตอนเหนือทางแม่น้ำอวิ้นเหอ ที่นั่นผ้าฝ้ายเจียงหนานขายได้ราคาดีมาก นี่เป็นการค้าที่สามารถทำได้ ข้าเชื่อว่าท่านรู้ดีกว่าข้า แต่หากจะทำ ข้าอยากหาคนที่สามารถร่วมมือกันได้ระยะยาว’

เขามองนาง ครู่ใหญ่จึงเปิดปาก

‘บอกข้า หากข้าไม่รับสินค้าของเจ้า เจ้าคิดจะทำอย่างไร’

นางตอบสี่คำโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา

‘ยอมขายขาดทุน’

เขาอึ้งไป นัยน์ตาสีดำเปล่งประกายขณะเอ่ยบอกนาง

‘บางทีข้าอาจรอให้เจ้ายอมขายขาดทุนก่อนค่อยรับซื้อ’

‘อืม บางที’ นางมองเขา พูดอย่างเปิดเผย ‘ท่านสามารถรอดูได้’

เขามองนางและยิ้ม รอยยิ้มนั้นแผ่กระจายจากมุมปากเขาไปยังนัยน์ตาสีดำ ทำให้ใบหน้าทั้งดวงของเขาสว่างไสว

เสียงหัวเราะดังมาจากแผงอกเขา เปล่งออกมาจากริมฝีปากบาง ก้องไปทั่วห้อง

นางไม่เคยเห็นชายผู้นี้หัวเราะมาก่อน ทั้งยังหัวเราะอย่างจริงใจ นางเห็นแล้วตะลึงงันไป หัวใจเต้นรัวเร็ว ได้แต่เหม่อมองชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มพลางหยิบพู่กันขึ้นมาแต้มหมึก หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมาจากด้านข้าง เขียนตัวอักษรไม่กี่บรรทัดและยื่นให้นาง

นางก้มหน้าดูถึงพบว่านั่นเป็นสัญญาฉบับหนึ่ง อีกทั้งเขาไม่เพียงยินดีมอบเงินค่าสินค้าให้นางก่อนสามส่วน ราคาซื้อขายตอนสุดท้ายยังสูงกว่าในตลาดหนึ่งส่วน

เวินโหรวเงยหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความแปลกใจ เห็นเขามองนางขณะเอ่ยปาก

‘เริ่มจากหนึ่งปีก่อน หากเจ้าทำได้ดี ค่อยขยายเวลาออกไปตามสัญญานี้’ พูดพลางยื่นพู่กันให้นาง ‘ราคานี้หากเจ้าคิดว่าไม่มีปัญหาก็ลงชื่อเถอะ’

‘เพราะอะไร’ นางมองชายหนุ่มตรงหน้า ยังคงอดถามไม่ได้ ‘ข้ามีโอกาสที่จะยอมขายขาดทุนจริงๆ นะ’ ในความเป็นจริงมีโอกาสสูงทีเดียวล่ะ

‘บางที’ นัยน์ตาสีดำของเขาเจือยิ้มขณะมองนาง ‘แต่ข้าไม่คิดว่าข้าจะรอจนเจ้ายอมขายขาดทุนได้’

นี่เป็นคำชม…

ไม่รู้เหตุใดคำพูดที่แสดงถึงการยอมรับของชายหนุ่มตรงหน้าจึงมีอิทธิพลต่อนางมากกว่าราคาสินค้าในมือเสียอีก ชั่วขณะนั้นหัวใจทั้งดวงพลันอบอุ่น นางอดยิ้มออกมาไม่ได้

เวินโหรวยื่นมือไปรับพู่กันด้ามนั้นและลงชื่อในสัญญาแผ่นนั้น

เขายื่นมือออกไปหานางหลังจากที่นางลงชื่อในสัญญาแผ่นนั้นแล้ว

นางยื่นมือเล็กออกไปโดยไม่ทันคิด ชั่วพริบตาถัดมารู้สึกเพียงมือใหญ่ของเขากุมมือเล็กของนางไว้

‘เถ้าแก่เวิน ฝากความหวังไว้ที่เจ้าแล้ว’

คำว่า ‘เถ้าแก่’ คำนี้ทำเอาหัวใจนางเบิกบานลิงโลดยิ่งกว่าเดิม

‘ต้องขอบคุณในความช่วยเหลือของท่าน’

ได้ยินคำพูดนี้แล้วเขาก็ยิ้ม แต่รอยยิ้มครั้งนี้ไม่เจือแววเสียดสีแม้แต่น้อย

รอยยิ้มที่สะกดไว้ไม่อยู่แผ่กระจายไปบนใบหน้าร้อนผ่าว มองเขาแล้ว นางก็ฉีกยิ้มเบิกบานตอบอย่างมิอาจห้ามตัวเอง

สายลมอุ่นพัดมาช้าๆ และโชยผ่านไป

เขาคลายมือออก นางหดมือกลับมาอย่างอาลัย จวบจนนางกลับถึงบ้านก็ยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากมือใหญ่ของเขาที่กุมมือนางไว้

ความอบอุ่นนั้นห่อหุ้มหัวใจและคงอยู่อย่างนั้น แม้จะหลับไปแล้วนางก็ยังประสานมือทั้งสองข้างไว้บนหน้าอก

ฤดูร้อนปีนี้เหมือนพริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไป

ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือนและผ่านไป

วันหนึ่งตื่นมาก็พบว่าทั่วทั้งเมืองถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวแล้ว

การค้าของนางยิ่งทำยิ่งรุ่งเรือง ฝ้ายติดเมล็ดทั้งลำเรือนั้นถูกทอเป็นผ้าฝ้ายอย่างราบรื่น ระหว่างนั้นแม้จะมีอุปสรรคบ้าง แต่สุดท้ายนางก็แก้ไขปัญหาได้ เมื่อวานผ้าทั้งหมดถูกขนขึ้นเรือแล้ว เช้าวันนี้ถูกส่งไปทางเหนืออย่างราบรื่น

เมื่อคืนเป็นครั้งแรกที่นางหลับสบายในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา นางตื่นแต่เช้า ทั้งที่สามารถหลับต่อได้อีกหน่อย แต่กลับรู้สึกคันไม้คันมือ อยากทำอะไรสักอย่าง

นางเดินอยู่ในบ้านรอบหนึ่ง เห็นผลไม้ที่ห้อยอยู่บนต้นไม้ในลานแล้วบังเกิดความคิด จึงเด็ดมาบรรจุลงในห่อสัมภาระได้ห่อหนึ่ง จากนั้นขอให้ลู่อี้พานางเข้าเมืองด้วยท่าทางกระตือรือร้น

ครึ่งปีผ่านไปนางชินกับการเข้าออกโรงจำนำแล้ว เฉาเฟิ่งเองก็เห็นการเข้าออกของนางเป็นเรื่องปกติ

พอเห็นนางเลิกม่านเข้าประตูมา หลี่เฉาเฟิ่งรีบก้าวเข้าไปไขกุญแจประตูที่นำสู่ชั้นบน

นางหยิบลูกพลับสีส้มแดงออกมาจากห่อสัมภาระสองลูกและยื่นให้เขา

‘ท่านหลี่ ลูกพลับนี้ท่านเอาไปกินเถอะ ช่วยขับร้อน ทำให้ปอดชุ่มชื้น ระงับอาการไอและละลายเสมหะได้’ ก่อนหน้านี้เขาถูกลมหนาว ภายหลังแม้จะหายดีแล้ว แต่กลับไอไม่หยุด ตอนเช้านางตื่นขึ้นมาเห็นลูกพลับบนกิ่งไม้จึงถือโอกาสนำมาด้วย

‘ท่านเวินเกรงใจเกินไปแล้ว จะให้ท่านสิ้นเปลืองเงินทองได้อย่างไร’

‘ไม่สิ้นเปลือง’ นางยิ้ม ‘นี่เป็นลูกพลับที่เก็บมาจากหลังบ้านของข้าเอง ท่านอย่าได้รังเกียจก็พอ’

‘ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้น้อยด้านหน้ารับไว้ก็แล้วกัน’ หลี่เฉาเฟิ่งรับลูกพลับและช่วยนางเปิดประตู ก่อนจะคล้องกุญแจไว้อีกครั้ง

นางหิ้วห่อสัมภาระขึ้นไปข้างบน เดินผ่านระเบียงทางเดินยาว ก่อนจะผลักประตูห้องห้องนั้น จากนั้นก็เห็นโจวชิ่งบนเตียงหลัวฮั่นที่เริ่มคุ้นชินเสียแล้ว แต่วันนี้เขาไม่ได้อยู่คนเดียว

ในห้องยังมีคนอื่นอีกสองคน นอกจากโม่หลีแล้ว ยังมีหญิงสาวอีกคน

หญิงสาวไม่ใช่ใครอื่น เป็นยอดบุปผาของหอรับวสันต์ หลิ่วหรูชุน

ยอดบุปผาผู้นั้นสวมชุดกระโปรงจีบรอบปักลายห้าสี นั่งอยู่บนเตียงหลัวฮั่นตรงตำแหน่งที่นางนั่งประจำ มือสวมปลอกมือให้ความอบอุ่น เอนกายไปที่โต๊ะ ดูเบิกบานสำราญใจอย่างบอกไม่ถูก หิมะที่ปลิวว่อนอยู่นอกหน้าต่างขับเน้นหญิงสาวให้ดูงดงามประหนึ่งนางสวรรค์

เวินโหรวเห็นดังนั้นก็อึ้งงันไป ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่รู้ชื่อผุดขึ้นมาอัดแน่นอยู่ในโพรงอก

พอนางผลักประตูเข้าไป สามคนในห้องก็หยุดการสนทนาและหันมามองนางพร้อมกัน

นางยืนแข็งทื่ออยู่ข้างประตู มองสองชายหนึ่งหญิงในห้อง ชั่วขณะหนึ่งที่รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย นานครู่ใหญ่จึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองควรเคาะประตู นางคิดจะถอยออกไป แต่รู้สึกว่าทำแบบนั้นประหลาดมาก ด้วยความลนลานจึงได้แต่พูดอย่างเร่งร้อน

‘เอ่อ…ขออภัย…เอ่อ ข้า…นี่เป็นลูกพลับที่บ้านข้า อากาศเย็น อร่อยทีเดียว ช่วยชำระล้างปอดระงับอาการไอ ลู่อี้รอข้าอยู่ข้างล่าง ข้าขอตัวก่อน’

นางฉีกยิ้ม พูดพลางวางห่อสัมภาระนั้นไว้บนโต๊ะอย่างลุกลน จากนั้นไม่รอให้พวกเขาเอ่ยปากก็โบกมือและหมุนตัวจากไป หญิงคนนั้นดึงนิ้วขาวเนียนประหนึ่งหยกออกมาจากปลอกมือ เหมือนอีกฝ่ายจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างเสียงค่อย นางได้ยินไม่ชัดและไม่ได้หยุดฟัง

บอกตามตรง กระทั่งตัวเองพูดอะไรไป นางยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ

หัวสมองสับสนว้าวุ่นอย่างไร้เหตุผล รู้สึกร้อนไปหมด

เวินโหรวลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว หลี่เฉาเฟิ่งแปลกใจที่นางลงมาเร็วถึงเพียงนี้ นางพูดบางอย่างไปส่งเดช พอเขาไขกุญแจเปิดประตู นางก็เดินออกไปทันที

ครั้นมาถึงถนนแล้ว นางก็ออกแรงสับเท้าไปมา แทบจะอดใจไม่อยู่และออกวิ่ง ทว่าพริบตาถัดมานางก็สะดุดล้มคะมำลงไปบนพื้นหิมะ

หิมะไม่หนา เพิ่งตกลงมาได้คืนเดียวเท่านั้น

นางล้มกระแทกจนเจ็บมาก มือไม้ถลอกไปหมด ทว่าเมื่อเห็นเลือดบนฝ่ามือตัวเองแล้ว หัวสมองของนางจึงปลอดโปร่งขึ้นเล็กน้อย

หัวใจยังคงเต้นเร็ว ยังคงอัดอั้นมาก อึดอัดเหมือนมีก้อนหินก้อนใหญ่อัดอยู่ข้างใน

นางเลียริมฝีปากที่แห้งและเย็น แล้วลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง

จะคิดมากอะไร เขากับยอดบุปผาแค่นั่งคุยกันอยู่ตรงนั้น นางไม่รู้ว่าเหตุใดตัวเองเห็นแล้วถึงได้ลนลานขนาดนั้น

เวินโหรวปัดหิมะสกปรกบนตัวออกแล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้า

มีอะไรน่าลนลานกัน ไม่มี ไม่มีเลยสักนิด

นางสูดเอาอากาศหนาวเย็นเข้าไป ชั่วขณะหนึ่งที่อยากหันไปมองแต่กลับไม่กล้า

เพียงนึกขึ้นได้อย่างไร้สาเหตุว่าหนึ่งปีก่อนนางก็ล้มลงบนพื้นหิมะเช่นนี้

เพราะเขา นางถึงรู้ว่าต้องไปซื้อยันต์คุ้มภัยที่ศาลเจ้า ถึงได้เริ่มทำการค้า

หอรับวสันต์เป็นกิจการของครอบครัวเขา นางรู้ตั้งนานแล้ว

ยอดบุปผามาหาเขาก็เป็นเรื่องปกติมาก เขายังเคยเป่าขลุ่ยตี๋ให้ยอดบุปผาผู้นั้น ช่วยนางกอบกู้สถานการณ์

เพียงแต่ไม่รู้ทำไมหมู่นี้นางถึงลืมเรื่องนี้ไปอย่างน่าแปลก เพียงแต่ไม่รู้ทำไมเรื่องที่ไม่น่าอึดอัดใจในฤดูใบไม้ผลิ ยามนี้กลับสร้างความอึดอัดใจให้นาง เพียงแต่ไม่รู้ทำไมในหัวถึงเต็มไปด้วยภาพชายผู้นั้นนั่งอยู่ด้วยกันกับยอดบุปผาที่งามประหนึ่งนางสวรรค์โดยมีเพียงโต๊ะตัวเล็กขวางกั้น ภาพที่เขายืนอยู่ข้างหลังยอดบุปผาผู้นั้น ช่วยเป่าขลุ่ยตี๋ให้หญิงงามท่ามกลางดอกท้อมากมาย

เวินโหรวเดินไปข้างหน้าทีละก้าวท่ามกลางลมหิมะ ลืมลู่อี้ไปเสียสนิท จนกระทั่งลู่อี้ยื่นมือมาจับแขนนาง นางถึงได้สติ

‘เจ้าจะไปไหน’

นางจ้องมองใบหน้าหยาบกร้านและหัวคิ้วขมวดมุ่นของลู่อี้อย่างเหม่อลอย กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะตระหนักว่าหิมะตกหนักมากตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ นางพบว่าตัวเองเดินอยู่กลางหิมะ เดินมาไกลเหลือเกิน มิน่าคนหัวรั้นผู้นี้ถึงได้ยื่นมือมาคว้าตัวนางไว้

นางหนาวจนทนไม่ไหว มือกับหน้าถูกความเย็นจนแข็งไปหมดแล้ว

‘ขอ…ขออภัย…ข้า…ไม่ค่อย…ข้าไม่รู้…’

คิ้วเข้มของลู่อี้ขมวดแน่นกว่าเดิม เขาปล่อยมือที่จับนาง อ้าปากเอ่ยคำพูดออกมาอย่างหาได้ยากยิ่ง

‘กลับเถอะ’

นางพยักหน้าตัวสั่นเชื่อฟังคำเขา ก้าวขึ้นรถเทียมลาไป

* อักษรฉิว (囚) เป็นหนึ่งในส่วนประกอบของคำว่าเวิน (溫)

** เซิง เป็นหน่วยตวงวัดของจีน มีปริมาตร 1 ลิตร

 

(โปรดติดตามต่อได้ในฉบับเต็ม)

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

Editor Jamsai: