สะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก ฝันร้ายอันยากจะลืม
ความจริงแล้ว…เขาแตกต่างจากผู้อื่นที่ใดกันแน่ เหตุใดใครๆ จึงต่างรังเกียจเขาเช่นนี้
ส่วนลึกในเรือนหลังใหญ่ ตรงสุดทางเดินริมศาลากลางสระน้ำ ด้านข้างห้องเก็บฟืนมีห้องเก่าๆ มืดทึมซึ่งทุกคนต่างพากันหลบเลี่ยง ประตูห้องบานนั้นถูกปิดไว้ตลอดปีราวกับต้องการกักขังวิญญาณร้ายเอาไว้ด้านใน บางครั้งก็มีกลิ่นเหม็นอับโชยมาตามลม
หญิงสาวนางหนึ่งนั่งอยู่ใกล้กับหน้าต่างบานเล็กๆ เพียงหนึ่งเดียวในห้อง อาศัยแสงที่ลอดเข้ามาจากรอยแยกปะชุนผ้าเก่าขาดผืนหนึ่งไม่หยุด บางครั้งก็ครวญเพลงไม่เป็นทำนอง บางครั้งก็หัวเราะเบาๆ กับตัวเอง
หญิงสาวนางนั้นตัวผอมบางขาวซีด ผมเผ้ายุ่งเหยิงดูประหลาด บนร่างสวมเพียงเสื้อผ้าเนื้อหยาบตัวใหญ่หลวมโพรกชั้นหนึ่ง สองเท้าเปล่าเปลือยไม่ได้สวมรองเท้า
ในห้องเก่าซอมซ่อนี้ไม่ได้มีนางแค่คนเดียว ตรงปลายเตียงซึ่งทำจากไม้กระดานยังมีเงาร่างผอมแห้งเงาร่างหนึ่งนั่งคุดคู้ ค่อยๆ แทะหมั่นโถวที่ทั้งเย็นทั้งแข็งอย่างระมัดระวัง
หญิงสาวพลันเงยหน้าขึ้นส่งเสียงเรียก ‘เจ้ามานี่สิ’
เงาร่างที่คุดคู้นั้นคือเด็กน้อยอายุประมาณแปดเก้าขวบ สภาพผอมแห้งอ่อนแอไม่ต่างกัน บนร่างเขาสวมเสื้อผ้าเก่าซึ่งเห็นได้ชัดว่าขนาดเล็กไม่พอดีตัว ครั้นเด็กน้อยได้ยินเสียงเรียกก็พลันแสดงอาการหวาดกลัวออกมา
‘ข้าบอกให้เจ้ามานี่’ หญิงสาวหยุดมือที่กำลังปะชุนเสื้อผ้า ดวงตาหรี่ลงจ้องมองเขาเขม็ง แววตากึ่งขุ่นมัวกึ่งแจ่มใส
เด็กน้อยเดินเข้าไปหาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขาปล่อยให้หญิงสาวนำผ้าผืนนั้นทาบบนร่าง
‘ลูกแม่ เสื้อตัวนี้แม่เย็บเพื่อเจ้าโดยเฉพาะเชียวนะ’ หญิงสาวเอ่ยขึ้นเสียงนุ่ม สีหน้าอ่อนโยนอยู่บ้าง
เด็กน้อยลดความระแวดระวังลงพลางฉีกยิ้มกว้าง ขานรับเสียงเบา ‘ขอบ…ขอบคุณท่านแม่’
หญิงสาวสวมกอดเขา ครวญเพลงไปด้วยลูบหลังเขาไปด้วย
แต่ผ่านไปได้ไม่นาน จู่ๆ หญิงสาวก็พลันหันมาจ้องเขาตรงๆ มองไปมองมาก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างขึ้นอย่างผิดปกติ เด็กน้อยเห็นเช่นนั้นก็รีบเบี่ยงกายคิดจะหลบหนีแต่ไม่ทันการณ์ หญิงสาวคว้าแขนเขาไว้ราวกับอินทรีตะครุบลูกไก่ นางกระชากหางเปียของเด็กน้อย ลากให้กลับมาเผชิญหน้ากับตน เสียงแหบพร่าน่าสยดสยองราวกับปีศาจร้ายตะโกนดังลั่น ‘ข้าไม่เชื่อว่าจะกำจัดเจ้าไม่ได้ เจ้าของสกปรกน่ารังเกียจ ไยไม่ลงนรกไปเสีย…’
‘ท่านแม่ ท่านแม่! อย่าขอรับ! ข้าไม่กล้าแล้ว ข้าไม่กล้าแล้ว…’
เด็กน้อยร้องไห้โฮอย่างตื่นตระหนก หญิงสาวแทงเข็มลงบนท่อนแขนซึ่งคว้าเอาไว้ได้ไม่ยั้ง เลือดหยดใหญ่ผุดซึมออกมาหยดแล้วหยดเล่า
ปัง!
ประตูถูกผลักเปิดออกอย่างหยาบคาย สตรีสองนางก้าวเข้ามา มองภาพตรงหน้าด้วยความเดียดฉันท์ หนึ่งในนั้นเข้าไปลากตัวหญิงสาวออกมา ทว่ากลับถูกกัดเข้าอย่างแรง
‘นางสารเลว กล้ากัดข้าหรือ!’ สตรีนางนั้นด่าทออย่างโกรธจัด ดึงมือกลับมาพร้อมฉวยโอกาสตบหน้าหญิงสาวไปด้วย
เสียงตบดังชัด หญิงสาวร้องเสียงหลงก่อนจะเซล้ม แก้มข้างหนึ่งบวมแดง หมดสติไป
‘เจ้าตีนางทำไม นายท่านกำลังรอให้พวกเราพาตัวนางออกไปอยู่นะ’
สตรีผู้ถูกกัดทำหน้าบูดบึ้ง เอ่ยอย่างไม่พอใจ ‘ใครใช้ให้นางบ้านี่กัดข้าเล่า!’
‘คราวนี้ลำบากแน่…’
คนทั้งสองทำสีหน้าปั้นยาก หนึ่งในนั้นพลันเหลือบไปเห็นเด็กน้อยที่แอบอยู่ตรงมุมห้องอย่างตื่นตระหนก แววตานางไหววูบ ก่อนจะหันไปกระซิบกับอีกคน
‘อะไรนะ…ไม่เหมาะกระมัง’
‘ก็แค่ของโสโครก ไม่มีผู้ใดใส่ใจเขาหรอก’ สตรีนางนั้นเอ่ยเสียงเบา
ดวงหน้าของเด็กน้อยยังเปรอะไปด้วยน้ำตา เขามองสตรีทั้งสองซุบซิบกันไปมา ทันใดนั้นก็มีคนหนึ่งยื่นมือเข้ามาลากตัวเขาออกไป
‘ปล่อยข้านะ…’
สตรีทั้งสองสบตากัน ก่อนจะเอ่ยปลอบเสียงนุ่ม ‘เจ้าอยากออกไปจากที่นี่มิใช่หรือ ป้าพาเจ้าออกไปดีหรือไม่’
‘ใช่แล้ว เจ้าจะได้ออกไปเที่ยวเล่น กินให้อิ่มหนำอย่างไรเล่า’
เด็กน้อยส่ายหน้าเบาๆ แม้จะยังไม่รู้ประสาแต่ก็ไม่ได้โง่เง่า เขารีบเอ่ยตอบเสียงค่อย ‘ท่านแม่บอกว่าข้าออกไปจากห้องไม่ได้’ ท่านแม่บอกว่าผู้คนข้างนอกไม่อยากเจอเขา
‘แม่ของเจ้ากำลังป่วย นางไม่อาจขังเจ้าไว้เช่นนี้ได้ชั่วชีวิตหรอก’ สตรีนางหนึ่งล่อหลอกเขา ‘พวกเราจะพาเจ้าไปพบนายท่านผู้มีอำนาจสูงสุดของที่นี่ วันนี้นายท่านอารมณ์ดีมาก เจ้าอยากได้อะไรก็เอ่ยขอกับนายท่านได้เลย’
เด็กน้อยมองพวกนาง สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ตั้งแต่จำความได้เขาก็อาศัยอยู่ในห้องเก่าๆ นี้มาตลอด บางครั้งจะแอบออกไปเล่นที่ห้องเก็บฟืนด้านข้าง หรือไม่ก็แอบอยู่ตรงมุมห้องครัว มองคนยกอาหารเดินไปมา ถ้าหากนายท่านผู้นั้นมีอำนาจอย่างที่พวกนางว่าจริง เขาก็อยากจะขอให้ตนกับมารดาย้ายไปอาศัยอยู่ในห้องที่ไม่มีกลิ่นอับ อบอุ่น และดีกว่าที่นี่
ครั้นเห็นเด็กชายไม่ต่อต้านอีก สตรีทั้งสองนางก็รีบอุ้มเขาเดินออกไปจากห้อง
เขาถูกแปลงโฉมเสียใหม่ เปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน จากนั้นก็ถูกพาไปยังชั้นบนของหอที่หรูหราตระการตาแห่งหนึ่ง
เรื่องหลังจากนั้น เขาจำได้ไม่ครบถ้วนนัก มันเหมือนภาพวาดที่บิดเบี้ยว เหมือนตัวอักษรที่ไม่เป็นระเบียบ เหมือน…ดินแดนแห่งจินตนาการที่ไม่มีอยู่บนโลกมนุษย์
ครั้นนายท่านที่พวกนางเอ่ยถึงได้เห็นเขาก็ตกตะลึงอย่างมาก ในความตกตะลึงนั้นมีความยินดีปรีดา อีกฝ่ายร้องเรียกเขาคำหนึ่ง ฟังแล้วคล้ายจะเป็นชื่อของหญิงสาว หลังจากนั้นนายท่านก็สั่งคนให้เตรียมอาหารหลายอย่าง ให้ปรนนิบัติเขากินข้าว ให้เตรียมน้ำอาบพร้อมกับเครื่องหอมชั้นดี ปรนนิบัติเขาอาบน้ำ จากนั้นยังเรียกสตรีนางหนึ่งเข้ามาช่วยสางผมถักเปียให้เขาอย่างดี
นายท่านผู้นั้นเอนกายอยู่บนเตียงเตาที่อยู่ด้านข้างตั้งแต่ต้น ระหว่างที่มองดูก็จิบสุราไปด้วย กลิ่นสุรายิ่งนานยิ่งเข้มข้น
เด็กน้อยเปลือยกายแช่อยู่ในน้ำอุ่น ไม่นานก็รีบลุกขึ้น บอกว่าจะไปปลดทุกข์
และนับจากตรงนั้น ดินแดนแห่งจินตนาการก็เริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นนรกบนดิน
นายท่านโบกมือสั่งให้สตรีในห้องรีบถอยออกไป ก่อนจะถือถ้วยลายครามเดินโงนเงนเข้ามาอย่างเบิกบานใจ คุกเข่าลงข้างอ่างน้ำ แล้วยกถ้วยลายครามขึ้นรองตรงกลางระหว่างขาของเขา ออกคำสั่งให้เขาปลดทุกข์ใส่ในถ้วย
เขาส่ายหน้าไม่ยินยอม สีหน้าของนายท่านเปลี่ยนไปโดยพลัน เขาคาดไม่ถึงเลยว่านายท่านผู้มีอำนาจจะยื่นใบหน้าเข้าหาส่วนนั้นของเขา ใบหน้ายิ้มแย้มนั่นหลอกล่อให้เขาปลดทุกข์ ปลายลิ้นแลบออกมาพลางพ่นลมหายใจอุ่นร้อนไม่หยุด พูดหลอกล่อไปมา ก่อนจะอ้าปากอมส่วนนั้นเข้าไป!
“อย่านะ!”
เสียงทุ้มต่ำตะโกนก้อง เด็กหนุ่มคนหนึ่งผุดลุกขึ้นจากเตียง หอบหายใจไม่หยุด เหงื่อเย็นผุดขึ้นทั่วร่าง เขากุมขมับอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะค่อยๆ ลงจากเตียง รินน้ำดื่มพลางนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ที่ข้างโต๊ะ
เขาไม่ได้คิดถึงความทรงจำที่เป็นดั่งเนื้อร้ายน่ารังเกียจนั่นมาหลายปีแล้ว เขาหลงคิดว่าตนจะสลัดมันทิ้งไปได้เสียอีก แต่ทว่าความฝันกลับย้ำเตือนอย่างชัดเจนว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไร เขาก็ยังเป็นเด็กน้อยที่สกปรกโสมมไปทั้งตัวคนนั้น
บานประตูพลันถูกผลักเปิดออกเบาๆ
เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะขยับ ด้วยรู้ดีว่าผู้มาเป็นใคร เขาเอ่ยถามเสียงแหบพร่า “ข้าทำท่านตื่นหรือ”
คนผู้นั้นเดินมาอยู่ข้างๆ เด็กหนุ่ม ก่อนจะนั่งลงแล้วยื่นมือเข้ามาหวังจะซับเหงื่อบนหน้าผากให้ ทว่ากลับถูกปัดออก
“อย่าทำให้เสื้อผ้าของท่านต้องสกปรกเลย”
ในความมืด ดวงตาของผู้มาวูบไหวเปล่งประกาย น้ำเสียงอบอุ่นดังขึ้น “ข้าไม่เคยรังเกียจว่าเจ้าสกปรก”
เด็กหนุ่มได้ฟังก็อบอุ่นในหัวใจ อดเอ่ยขึ้นมาคำหนึ่งไม่ได้ “นายท่าน”
“บอกแล้วมิใช่หรือ ว่าอย่าเรียกข้าว่านายท่าน” คนผู้นั้นคว้ามือเขาไว้
เด็กหนุ่มก้มหน้าหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเรียกใหม่อีกครั้ง “พี่สาม”*
“ข้านอนไม่หลับ เจ้าอยู่คุยเป็นเพื่อนข้าที” ชายผู้ถูกเรียกว่าพี่สามเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
เขารู้เจตนาของอีกฝ่ายจึงรีบส่ายหน้า “พี่สามกลับไปพักผ่อนเถิด อีกประเดี๋ยวข้าก็จะนอนแล้ว”
คนผู้นั้นลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงของเขา พูดติดตลกว่า “ที่นอนของข้าเพิ่งเปลี่ยนฟูกใหม่ ข้าไม่ชอบกลิ่น”
“โชคดีที่เตียงของข้าเก่าแล้ว” เด็กหนุ่มผ่อนคลายลง ก่อนจะตามไปนั่งตรงขอบเตียง ระหว่างที่ลังเลอยู่ก็ถูกดึงให้ล้มตัวลงนอน
คนทั้งสองนอนไหล่ชนไหล่ ท่ามกลางความมืดยามราตรี ได้ยินเพียงเสียงหัวใจเต้นเท่านั้น
“ข้าไม่ควรให้เจ้าไปสอดแนมในวังขององค์ชายสิบ” คนผู้นั้นถอนหายใจ
“ข้าก็กลับมาแล้วมิใช่หรือ” บางทีอาจเป็นเพราะได้เห็นองค์ชายสิบใช้กำลังลวนลามเป้ยเล่อ** น้อยกับตาตัวเอง จึงไปกระตุ้นความหวาดกลัวในส่วนลึกของจิตใจ ทำให้เขาฝันถึงเหตุการณ์เลวร้ายในอดีต
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เงียบเสียจนเสียงเข็มตกลงพื้นก็ยังได้ยิน ทว่าคนทั้งสองที่นอนอยู่บนเตียงกลับไร้ความง่วงงุน เอาแต่จ้องมองเพดานห้อง
ฉับพลันหนึ่งในนั้นก็พลิกกาย ยื่นแขนโอบคนข้างๆ เข้ามากอด ใช้เสียงแผ่วเบากระซิบที่ข้างหู “นับแต่นี้ข้าจะไม่ให้เจ้าจากไปไหนแม้เพียงครึ่งก้าว…หรูซิ่วของข้า”
* ในสมัยราชวงศ์ชิง มีการใช้ภาษาแมนจูในการเรียกตำแหน่งองค์ชายหรืออาเกอ ‘阿哥’ ซึ่งพ้องกับภาษาจีนคำว่าเกอ ‘哥’ ที่แปลว่าพี่ชาย
** เป้ยเล่อ เป็นบรรดาศักดิ์ในสมัยชิงซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ชั้นยศสูงสุด ได้แก่ ชินอ๋อง จวิ้นอ๋อง เป้ยเล่อ และเป้ยจื่อตามลำดับ อาจเป็นบุตรของอ๋องหรือองค์หญิง หรือฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งตามพระบรมราชวินิจฉัยและความดีความชอบ
บทสนทนาในห้องหนังสือ สองดวงจิตที่พันผูก
จิงเฉิง เมืองหลวงอันรุ่งโรจน์แห่งต้าชิง ชาวบ้านต่างทำมาหากิน จับจ่ายซื้อของบนถนนกันอย่างคึกคัก
แสงแดดในฤดูสารทอบอุ่นกำลังดี ณ วังอันงดงามซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เงียบสงบ ตรงลานฝึกยิงธนูขนาดเล็กในมุมหนึ่งของสวนดอกไม้ด้านหลังมีคนผู้หนึ่งกำลังน้าวคันธนู สองแขนเหยียดตรง ง้างสายธนูจนตึงแต่กลับไม่รีบร้อนยิงออกไป ดวงตาทั้งสองจ้องเขม็งไปด้านหน้า แววตาคมปลาบราวกับจะแทงเป้าหมายให้ทะลุ
จู่ๆ เรียวคิ้วก็ขมวดมุ่น คนผู้นั้นกัดฟัน ก่อนจะคลายนิ้วออก ลูกศรพุ่งทะยานออกไปจนเกิดเสียง ‘ฟิ้ว’ แล้วปักลงตรงกลางเป้าอย่างแม่นยำ
ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น มือที่ถือคันธนูก็ค่อยๆ ลดลงข้างลำตัว ขณะเดียวกันก็ลูบไล้ตัวอักษรซึ่งแกะสลักอยู่บนคันธนูราวกับจมอยู่ในภวังค์ ปลายนิ้วไล่ไปตามรอยสลัก สัมผัสอย่างถี่ถ้วน
อักษรที่สลักอยู่บนคันธนูเป็นคำที่เขาคุ้นจนไม่อาจจะคุ้นไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว นั่นเพราะเขาเป็นผู้สลักมันลงไปเอง
คำว่า ‘ซิ่ว’ ที่มาจากคำว่างามสง่า* หาใดเปรียบ
ดวงหน้าราวกับสลักเสลาเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเรียกจากทางด้านหลัง
“องค์ชายสาม แขกรออยู่ที่ห้องหนังสือแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เขาหันไปมองผู้ที่เดินเข้ามา ขานรับเสียงทุ้ม น้ำเสียงอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
เด็กรับใช้สองคนเดินตามเจ้านายออกจากลานฝึกธนูไปยังห้องหนังสือ
องค์ชายสามฉลาดใฝ่รู้มาตั้งแต่ยังเล็ก เชี่ยวชาญกาพย์กลอน ปราดเปรื่องเขียนอักษร ความรู้กว้างขวาง จนฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้รับผิดชอบการเขียนและเรียบเรียงตำรา ฮ่องเต้ไม่เพียงตรัสชมว่าลายมือของเขายอดเยี่ยม แต่ยังรับสั่งให้เหล่าองค์ชายทั้งหลายนำไปเป็นเยี่ยงอย่าง ด้วยเหตุนั้นลูกหลานแปดกองธงจึงเรียกเขาลับหลังว่าเป็นองค์ชายที่เปี่ยมราศีของปัญญาชนมากที่สุด
เด็กรับใช้ทั้งสองมองตามเงาหลังสูงโปร่งของผู้เป็นนายขณะซอยเท้าเดินตามหลัง ไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อยเพื่อป้องกันไม่ให้คลาดกับเจ้านาย ทุกคนต่างกล่าวกันว่าองค์ชายสามมีท่าทางราวกับบัณฑิตคงแก่เรียน แต่ความจริงคำพูดนั้นไม่นับว่าถูกต้องทั้งหมด ชาวแมนจูองอาจห้าวหาญ องค์ชายสามก็เป็นเช่นเดียวกัน นอกจากวรยุทธ์พื้นฐานแล้ว ฝีมือด้านยิงธนูก็เก่งกาจยิ่ง ยามว่างมักจะเห็นเขาออกมาฝึกยิงธนูอยู่ในลานฝึก หรือไม่ก็ขี่ม้าออกไปยิงธนูที่นอกเมือง
ด้วยเหตุนี้มือที่ถือพู่กันพลิกหน้าตำราคู่นั้นจึงเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ยามกำหมัดก็จะเห็นข้อนิ้วชัดเจนกว่าคนทั่วไป
“ฮ่องเต้เสด็จไปถึงคาหล่าชิ่นแล้วหรือ”
องค์ชายสามเดินเข้าไปในห้องหนังสือพลางเอ่ยถามขุนนางทั้งสองที่นั่งรออยู่
ด้านข้างมีเงาร่างอันแสนคุ้นเคยกำลังรินชาต้อนรับแขก ชุดคลุมสีขาวสะอาดเมื่อสวมอยู่บนร่างนั้นยิ่งทำให้เนื้อผ้าดูนุ่มนวลขึ้น ทั้งยังขับเน้นใบหน้าให้ดูนิ่งสงบ ท่าทีเช่นนั้นคล้ายคลึงกับองค์ชายสามในวัยสิบปี ดูเหมือนบัณฑิตน้อยที่ใสซื่ออ่อนเยาว์ผู้หนึ่ง
เด็กหนุ่มในชุดขาวผู้นี้ก็คือหรูซิ่ว เขารู้สึกถึงสายตาของผู้เป็นนายมองมาจึงเงยหน้าขึ้นสบตาด้วยครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็ก้มหน้า ตามองจมูก จมูกมองใจ พุ่งความสนใจไปที่การรินชา
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ เมื่อคำนวณเวลาดูแล้ว ควรจะเสด็จไปถึงตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ขณะเดียวกันก็ยิ้มบาง “ข่าวที่ส่งมาเช้าวันนี้บอกว่าฝ่าบาททรงให้องค์หญิงห้าอภิเษกกับบุตรชายคนโตของจ๋าซ่าเค่อจวิ้นอ๋อง โดยงานอภิเษกจะให้จัดขึ้นปลายปีพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามพยักหน้า “ก่อนหน้าที่เสด็จพ่อจะทรงออกเดินทาง เพียงตรัสว่าจะให้จัดพิธีในปีหน้า มาตอนนี้กลับร่นให้เร็วขึ้นเสียแล้ว”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางผู้นั้นตอบรับ พิธีอภิเษกขององค์หญิงห้าปรับเปลี่ยนไปมาอยู่บ่อยครั้ง คิดดูแล้วก็น่าขันนัก แต่เพราะไม่อาจแสดงออกไปได้ ขุนนางจึงได้แต่พูดว่า “ก่อนหน้าที่ฝ่าบาทจะเสด็จออกเดินทางได้ทรงสับเปลี่ยนขุนนางตั้งแต่ขั้นห้าลงไปหลายตำแหน่ง ได้ยินว่าทรงมอบเรื่องนี้ให้จิ่นเฟิ่งเป้ยเล่อแห่งวังกงชินอ๋องไปจัดการพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นได้ยินเรื่องนี้ องค์ชายสามก็รีบหันไปสบตากับหรูซิ่ว ดูท่าขั้วอำนาจในราชสำนักกำลังลอบสับเปลี่ยนกันอย่างลับๆ
“ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง มิน่าถึงได้รวบรัดกะทันหันเช่นนี้” องค์ชายสามเอ่ย “ได้ยินว่ามีคนถูกปลดจากตำแหน่งตั้งแต่เช้าตรู่ กระทั่งเสื้อผ้ายังไม่ทันสวมครบก็ต้องรีบวิ่งออกมารับราชโองการเสียก่อน เพียงแต่…คนที่ถูกสับเปลี่ยนตำแหน่งล้วนแล้วแต่บังเอิญเป็นพรรคพวกฝ่ายเดียวกันทั้งสิ้น จึงยากที่จะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น”
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าคราวนี้ฝ่ายองค์รัชทายาทคงได้กระทืบเท้าเร่าๆ เป็นแน่”
“ไม่เพียงเท่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าบางคนแปรพักตร์ หันไปเข้าร่วมกับหลี่กั๋วจู้ก็มี” ขุนนางทั้งสองเอ่ย
ครั้นได้ยินชื่อ ‘หลี่กั๋วจู้’ แววตาขององค์ชายสามก็แปรเปลี่ยน เมื่อชำเลืองมองไปยังหรูซิ่วที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะหนังสือก็เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายซีดขาวตามคาด มือที่กำลังจัดม้วนตำราสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด
องค์ชายสามหารือข้อราชการกับขุนนางทั้งสองต่อ ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม** คนทั้งสองถึงเอ่ยลา
ห้องหนังสือกว้างใหญ่เหลือเพียงองค์ชายสามกับหรูซิ่ว ทว่าทั้งสองไม่มีใครเอ่ยคำใด หรูซิ่วเรียงม้วนตำราบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ เสร็จแล้วก็ยืดกายขึ้น เดินไปทางประตู องค์ชายสามกลับรวดเร็วกว่า พอเห็นเขาคิดจะไปก็รีบก้าวไปคว้ามือเขาไว้
“ข้าเพียงแต่จะเรียกคนให้ยกของว่างมาเท่านั้น” หรูซิ่วเงยหน้ามอง “พี่สามคงจะหิวแล้ว”
อีกฝ่ายเมื่อได้ยินเขาเรียกพี่สาม สีหน้าพลันอ่อนโยนขึ้นมาก เขาค่อยๆ คลายมือออกพลางเอ่ยเสียงนุ่ม “อย่าเลย ข้าไม่หิว พวกเรามาคุยกันดีกว่า”
หรูซิ่วตามใจเขา ตามไปนั่งลงที่ตั่ง เมื่อเห็นเขาจ้องตนตั้งแต่เริ่มแรกก็อดยิ้มไม่ได้ “เหตุใดพี่สามถึงทำตัวราวกับหญิงชราเช่นนี้เล่า ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ มิจำเป็นต้องคิดมาก”
“ดูเจ้าพูดเข้าสิ กล้าล้อเลียนข้าหรือ” องค์ชายสามยิ้มน้อยๆ ก่อนจะรีบพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์จะลดอำนาจสั่วเอ๋อถู จึงสบโอกาสยกหลี่กั๋วจู้ขึ้นมาใช้ประโยชน์เท่านั้น”
หรูซิ่วแค่นเสียง แววตาที่เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกปรากฏความเกลียดชังวาบผ่าน น้ำเสียงดูแคลน “กว่าจะทรงตัดสินพระทัยได้ก็นานเหลือเกิน ปล่อยให้เขาวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ได้ตั้งหลายปี”
“ข้าสั่งให้คนลอบเก็บรวบรวมหลักฐานทุจริตของเขาเอาไว้แล้ว เห็นทีคงต้องอาศัยโอกาสนี้โค่นเขาลงให้ได้” สายตาขององค์ชายสามไม่ยอมคลาดจากใบหน้าของอีกฝ่ายไปไหน
หรูซิ่วสุภาพเรียบร้อย ในแววตามักเผยให้เห็นความหลักแหลมเฉลียวฉลาด ปกติยามอยู่ข้างนอกจะเป็นคนพูดน้อย จุดนี้ค่อนข้างเหมือนกับเขา ทั้งคู่ต่างมีนิสัยใจเย็น ควบคุมอารมณ์เก่ง ปกติยามอยู่ในห้องหนังสือด้วยกันก็ต่างคนต่างทำงานของตัวเอง ไม่ได้สนทนาใดๆ กันทั้งสิ้น แต่ไหนแต่ไรมาเขาชื่นชอบความเงียบสงบอันงดงามนี้ ทว่าเวลานี้กลับอยากให้หรูซิ่วเอ่ยอะไรออกมา อะไรก็ได้ทั้งนั้น
“ข้าไม่อยากให้พี่สามเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนพรรค์นั้น กระทั่งลอบสืบสวนก็ไม่ต้อง” หรูซิ่วส่ายหน้า “เพราะถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ทรงมอบหมายคนอื่นให้ไปทำแล้ว”
“แต่ว่า…”
“ตอนที่ข้าอยู่ที่วังขององค์ชายสิบ เรื่องที่พี่สามคิดจะวางยาเป้ยเล่อน้อยผู้นั้น ข้ายังโกรธไม่หาย” หรูซิ่วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้ากรุ่นโกรธ
อีกฝ่ายรู้ดีว่าหรูซิ่วต้องการเปลี่ยนเรื่องคุยจึงยอมตามใจ ยิ้มพลางพูด “พูดถึงเป้ยเล่อน้อยผู้นั้น ข้าฉวยโอกาสที่เสด็จพ่อไม่ได้ประทับอยู่จิงเฉิง หาข้ออ้างให้เขาไม่ต้องมาตรวจทานตำรากับข้าอีก ป้องกันไม่ให้เขาบังเอิญเจอเจ้าในตำหนัก”
หรูซิ่วหัวเราะเบาๆ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ต่อให้ข้ายืนอยู่ตรงหน้า เขาก็จำไม่ได้หรอก”
เมื่อปีก่อน ก่อนหน้าที่จะแฝงตัวเข้าไปเป็นแขกในวังองค์ชายสิบ เขาได้ใช้ยาที่ทำให้ผิวพรรณดำคล้ำ สิวกระขึ้นเต็มใบหน้า รูปโฉมจึงแตกต่างจากยามนี้อยู่มากโข หากไม่มีใครบอก ย่อมไม่มีทางเดาได้แน่ว่าเป็นคนคนเดียวกัน
“ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ” โชคดีที่ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิมได้ มิเช่นนั้นใบหน้างดงามนี้จะไม่สูญเปล่าไปหรอกหรือ
หรูซิ่วเพียงรับฟังอย่างสงบ ปีก่อนองค์ชายสามขับไล่เขาออกจากวังอย่างไม่ไยดี ตอนนี้พอหวนนึกขึ้นมา ในใจก็ยังเจ็บปวดอยู่ไม่จางหาย…
“ซิ่วเอ๋อร์” องค์ชายสามเรียกชื่อเขาเบาๆ “จำเป็นต้องกำจัดหลี่กั๋วจู้ผู้นี้ ข้าจึงจะวางใจได้ หากเจ้าคิดจะขัดขวาง ก็นับว่าผิดต่อความผูกพันหลายปีที่ผ่านมาของพวกเรายิ่งนัก”
“พี่สาม…” เขาตกตะลึง ได้แต่นิ่งงันมองคนตรงหน้า ชั่วพริบตาหัวใจก็สั่นสะท้าน ม่านน้ำเอ่อคลอดวงตา
ในห้องหนังสือ คนทั้งสองประสานสายตา หัวใจสองดวงล่องลอยกลับไปหาการพบเจอกันในปีนั้น ในคืนที่ชะตากรรมถูกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล…
* คำว่า ‘งามสง่า’ ในภาษาจีนคือ ‘ซิ่วอี้’ (秀逸)
** ชั่วยาม หน่วยนับเวลาของจีน เทียบได้กับเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
ร่างกายแหลกสลาย ดิ้นรนแม้โลหิตหลั่งนอง
ลมหนาวโชยพัด ใบไม้ปลิดปลิวไปทั่วฟ้า มันพลิกหมุนอยู่หลายทีก่อนจะค่อยๆ ร่วงหล่นลงสู่พื้น
ใต้ต้นไม้ปรากฏร่างเด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งตามใบไม้ร่วงเล่นสนุกอยู่ตามลำพัง ก่อนเขาจะพบรูเล็กๆ บนพื้น คล้ายเป็นที่อยู่ของพวกแมลง เด็กน้อยคุกเข่าอยู่ด้านข้าง มองด้วยความสงสัยใคร่รู้
ช่วงเวลานั้นใบไม้หลายใบถูกลมพัดจนร่วงใส่หัวเขา น่ารำคาญอย่างยิ่ง พอเด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมอง ใบไม้สองใบก็หล่นลงมาใส่หน้าเขาพอดี เด็กน้อยรู้สึกเจ็บจึงรีบขยับตัวหนีเป็นพัลวัน โชคดีที่ไม่มีใบไม้ร่วงลงมาอีก
ทันใดนั้นเขาพลันได้ยินเสียงสวบสาบ พอหันไปมองก็เห็นงูตัวยาวสีน้ำตาลเลื้อยผ่านกองใบไม้ มุ่งมายังเขา เด็กน้อยหวาดกลัวคิดจะหลบหนี แต่กลับเห็นงูตัวนั้นเลื้อยผ่านเขาไป ใช้ความเร็วปานสายฟ้าแลบพุ่งเข้าไปในรูที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อครู่
ชั่วพริบตางูตัวยาวเหยียดก็ผลุบหายเข้าไป ฝืนจนทำให้รูเล็กๆ ขนาดเท่าเหรียญอีแปะ* ปริแตกออก
ภาพตรงหน้าเด็กน้อยพลิกกลับตาลปัตร หัวกับเท้าหมุนพลิกสลับ
เห็นๆ อยู่ว่างูตัวยาวเหยียดนั่นเลื้อยเข้ารูไปแล้ว เหตุใดมันถึงมาอยู่ในร่างของเขาได้
เด็กน้อยนิ่งไม่ขยับ ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวแปลกประหลาดตรงร่างกายส่วนล่าง พุ่งผ่านเข้ามาถึงช่วงท้อง เขาตื่นตระหนกลนลาน เกิดอะไรขึ้น เจ็บยิ่งนัก! เจ็บเหลือเกิน ยิ่งงูตัวนั้นเคลื่อนไหวเท่าใด เขาก็ยิ่งร้องโอดครวญมากขึ้นเท่านั้น!
จากนั้นใครบางคนก็ปลดปล่อยน้ำร้อนลวกเข้ามาในช่องทาง อะไรบางอย่างทะลักออกมาจากปากทางเข้า เด็กน้อยกุมท้องกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ทรมานราวกับร่างกายจะแยกออกเป็นซ้ายขวา งูนั่นไม่ได้รุกเข้ามาทั้งตัว แต่ทุกที่ที่มันสัมผัสก็สร้างความปวดแสบปวดร้อนยากจะทานทน ไม่นานมันก็รีบถอยออก ก่อนจะบุกเข้ามาในปากของเขาแทน…
สรรพสิ่งแปรผัน เป็นสัจธรรมของโลก หากฝืนลิขิต ฟ้าดินจักต้องพิโรธ
ในสถานที่อันมืดมิดบนโลกหล้า กลับไม่เคยขาดเรื่องผิดบาป ราวกับนรกไร้ขอบเขต ไม่อาจเห็นเดือนเห็นตะวัน
ที่นี่คือที่ไหน ข้ากลัวเหลือเกิน เจ็บปวดเหลือเกิน ท่านแม่รีบมาช่วยข้าเร็วเข้า!
ลมหนาวพัดเข้ามาถึงในช่องท้อง เขาหนาวตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า เด็กน้อยค่อยๆ ฟื้นคืนสติ จมูกได้กลิ่นเหม็นอับอันคุ้นเคยจึงรู้ว่าตนกลับมาอยู่ที่ห้องแล้ว เขาฝืนลืมตาขึ้น
เทียนเล่มเล็กส่องแสงอยู่ในห้องโกโรโกโส ท่านแม่นั่งหันหลังอยู่ตรงขอบเตียง บนโต๊ะจัดเรียงอาหารหลายอย่าง ทุกครั้งที่ท่านแม่หายไปครึ่งค่อนวัน หลังกลับมาก็จะมีคนยกข้าวปลาอาหารสมบูรณ์พร้อมมาให้ รวมถึงน้ำร้อนหนึ่งถัง
คืนนี้ ในห้องก็ปรากฏของแบบเดียวกัน ทั้งยังมีขนมหวานเพิ่มมาอีกหนึ่งจาน และเสื้อผ้าชุดใหม่ซึ่งวางอยู่ข้างเตียง
‘ท่านแม่…’ เขาเอ่ยเรียกอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ครั้นได้ยินเสียงเรียก อีกฝ่ายก็สะดุ้งน้อยๆ แต่ไม่ยอมหันมามอง
เขาเองก็ไม่กล้าขยับ ราวกับงูตัวนั้นยังอยู่ในร่างของเขา มิเช่นนั้นไยเขายังเจ็บอยู่เล่า เขากัดมือตัวเอง สะอื้นเสียงเบาอย่างระมัดระวังด้วยกลัวจะรบกวนถึงมารดา
เนิ่นนาน นานจนกระทั่งน้ำแกงถ้วยนั้นไม่มีไอร้อนอีก ในที่สุดมารดาก็หันมามองเขา
หวนนึกดูแล้ว เขาไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของมารดามาก่อน ช่างเงียบสงบและอ่อนโยนยิ่งนัก เขาเคยแอบหนีออกไปเที่ยวเล่นในคฤหาสน์ บางครั้งก็จะเห็นห้องสะอาดสะอ้านที่วางพระพุทธรูปซึ่งมีสีหน้าเปี่ยมเมตตาอยู่ด้านในองค์หนึ่ง มารดาในยามนี้ก็เป็นเช่นนั้น ดูสว่างไสวอย่างที่ไม่เคยเป็น
‘ท่านแม่…’ เขาเรียกเสียงเบา
อีกฝ่ายขยับมาอยู่ข้างกายเขา ลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน
‘ท่านแม่ ข้ากลัว…’ เขาป่วยแล้วใช่หรือไม่ ถึงได้รู้สึกเจ็บปวดไม่หยุดเช่นนี้ แต่เขากลับบอกไม่ถูกว่าเจ็บที่ใดมากที่สุด
ร่างอีกฝ่ายสั่นสะท้านเบาๆ แต่ไม่นานก็คืนสู่ความเงียบสงบ เนิ่นนาน ในที่สุดก็พูดขึ้น ‘อย่ากลัว ลูกรัก’
เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นระลอกหนึ่ง หวังเพียงให้มารดาปลอบโยนเขาไปอย่างนี้เรื่อยๆ
‘ลูกรัก เจ้าคงจะหิวแล้ว กินข้าวก่อนเถิด’ มารดาประคองเขาให้กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ก่อนจะยกถ้วยกับข้าวเข้ามา เขาฝืนข่มความเจ็บปวด ค่อยๆ กลืนไปทีละคำๆ
นี่เป็นมื้อที่เขากินอย่างเอร็ดอร่อยที่สุด เพราะมารดาป้อนข้าวเขาเองกับมือ หลังจากนั้นมารดาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ที่แท้เสื้อผ้าชุดใหม่ที่วางอยู่ข้างเตียงก็สำหรับเขานี่เอง
‘ลูกรัก นอนเถิด’
เขาตะแคงตัวลงนอน มีมารดาคอยลูบหลังให้ ไม่นานก็รู้สึกง่วงงุน ก่อนหลับตาลงเขาคิดว่า หากร่างกายไม่เจ็บปวด เวลานี้คงดียิ่งนัก แต่แค่นี้เขาก็พอใจมากแล้ว ไม่นานก็จมสู่ห้วงนิทรา
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ความเย็นยะเยือกตรงหน้าอกค่อยๆ ปลุกเขาให้ตื่น
‘ลูกรัก เจ้าไม่ควรเกิดมายังโลกใบนี้ เป็นแม่ที่ใจอ่อนเอง หากตอนที่คลอดเจ้าแม่สังหารเจ้าเสีย เจ้าก็จะไม่ต้องทนทุกข์อยู่บนโลกใบนี้…’
ท่านแม่พูดอะไรน่ะ เขาลืมตาขึ้นก็เห็นว่าเสื้อของตนถูกเปิดออก มารดานั่งอยู่ข้างเตียง แววตานิ่งสงบ นิ่งสงบเกินไป!
‘ท่านแม่…’
นางส่ายหน้า ‘อย่าเรียกเช่นนั้น ต่อให้พบหน้ากันบนทางสู่น้ำพุเหลือง** ก็ห้ามเรียก หากข้าเป็นมารดาของเจ้า เขามิใช่ต้องกลายเป็นบิดาของเจ้าด้วยหรือ ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย เหตุใดบนโลกใบนี้จึงมีเรื่องเช่นนี้ได้’
เขาฟังไม่เข้าใจ เพียงรู้สึกว่าดวงหน้าของมารดาคล้ายจะสว่างไสวขึ้นอย่างไรอย่างนั้น แววตาแจ่มใสอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
‘เจ้าอย่ากลัว เพียงหลับตาลงครู่เดียวเท่านั้น ทุกอย่างก็จะผ่านไป ชาติหน้าจงเกิดเป็นคนที่สง่าผ่าเผย อย่าได้…อย่าได้เกิดมาเป็นปีศาจอีกเลย’
เด็กน้อยตะลึงงัน เขาเคยถูกผู้คนด่าทอมาหลายครั้ง ส่วนใหญ่มักด่าเขาว่าน่ารังเกียจ หรือไม่ก็เป็นของโสมม มีบ้างที่ด่าว่าเขาเป็นปีศาจ แต่เหตุใดมารดาเองก็พูดเช่นนั้นเล่า
‘ชาตินี้ไม่ถือโทษโกรธเคือง ชาติหน้าเจ้าจะได้สมปรารถนา ลูกรัก เจ้าหลับตาเสียเถิด’
มารดาอบอุ่นอ่อนโยนอย่างยิ่ง เขาพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟังก่อนจะหลับตา แผ่นอกรู้สึกถึงสัมผัสบางอย่าง มือของท่านแม่เย็นนัก ทันใดนั้นความเจ็บปวดก็ปะทุขึ้น
เด็กน้อยลืมตาขึ้นด้วยความตระหนก เห็นมารดาที่อบอุ่นเปี่ยมเมตตาเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ดวงหน้าบิดเบี้ยว สีหน้าหวั่นหวาด ในมือถือมีดหั่นผัก แทงใส่หน้าอกเขา!
ท่านแม่จะฆ่าเขา?! เด็กน้อยดิ้นรน ทว่ากลับถูกกดร่างไว้กับเตียง
‘เดิมทีเจ้าก็เป็นปีศาจอยู่แล้ว ไยจึงไม่ตายไปเสีย!’ นางคำรามเสียงแหบแห้ง
‘ท่าน…ท่านแม่! ข้ากลัวแล้ว! ท่านแม่ปล่อยข้าเถิด!’ เขาร้องตะโกน แต่ถูกปิดปากเอาไว้
อีกฝ่ายไม่สนใจ ราวกับไม่หลงเหลือสตินึกคิดอยู่อีกแล้ว ร่างที่อยู่ตรงนี้มีเพียงเปลือกนอก สองตาของนางเบิกถลน เพียงพริบตามีดหั่นผักก็ลากจากหน้าอกลงมาถึงสะดือ เลือดสดๆ ไหลออกมาจากผิวเนื้อที่ถูกกรีด
อย่า! เขาไม่อยากตาย เขาทำอะไรผิดไปหรือ
‘ขอโทษ ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว คราวหน้าข้าไม่กล้าอีกแล้ว ยกโทษให้ข้า…’ เด็กน้อยร่ำไห้พลางเอ่ยขออภัยไม่หยุด ทว่ากลับเห็นแต่คมมีดพาดผ่าน เขาพยายามดิ้นรนขัดขืน ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน สองเท้าออกแรงถีบ เตะหญิงสาวให้ผละออกไป ก่อนจะตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากเตียง
‘โลกใบนี้ไม่มีที่สำหรับเจ้า!’ นางกู่ร้อง เสียงสั่นจนฟังไม่เหมือนคน ‘ปีศาจสมควรตายไปให้หมด’
เด็กน้อยเห็นมีดหั่นผักพุ่งเข้ามาอีกครั้งก็ลนลานปัดป้องจนมือถูกฟันไปหนึ่งแผล เลือดกระเซ็นเปื้อนใบหน้า
‘ท่านแม่! ข้าไม่อยากตาย! ไว้ชีวิตข้าเถิด!’ เขาตะโกน ทว่าอีกฝ่ายเหมือนกับไม่ได้ยินแม้แต่น้อย นางราวกับถูกเลือดทำให้ขวัญกระเจิง ได้แต่นิ่งงันมองมือทั้งสองข้างที่แดงฉาน
เด็กน้อยกุมมือที่ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่กำลังคิดจะร้องเรียก ก็เห็นนางถลึงตากว้างอีกครั้ง จ้องเขม็งจนน่าพรั่นพรึง เขาไม่กล้าลังเลอีก รีบวิ่งไปทางประตู
ลมราตรีอันหนาวเหน็บตัดกับเลือดอุ่นร้อนที่ไหลออกจากหน้าอก แขนของเขาข้างหนึ่งตกลงข้างลำตัวอย่างไม่อาจควบคุม เด็กน้อยหนีออกไปทางประตูเล็กข้างห้องครัวที่ใช้ส่งผัก สองเท้าวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ตรงดิ่งเข้าไปในตรอกมืด ลมหายใจถี่กระชั้น ฝีเท้าเขาเชื่องช้าลงเรื่อยๆ ก่อนจะไม่ทันระวังสะดุดล้มลงบนพื้น เขาใช้แขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บพยายามคลานไปข้างหน้า ขณะที่ใกล้จะไปถึงถนนใหญ่ เรี่ยวแรงก็เหือดหาย ได้แต่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
เขาไม่อยากตาย เขาไม่ใช่ปีศาจ โลกใบนี้จะต้องมีใครสักคนที่ยอมรับเขา…
ก่อนจะสิ้นสติ เด็กน้อยเห็นกลุ่มหมอกสีขาว เมื่ออยากจะดูให้ชัดกลับไม่มีแรงแม้แต่จะลืมตา ในที่สุดหัวก็ร่วงลงสิ้นสติไป
โปรดติดตามตอนต่อไป…
* อีแปะ (เหวิน) คือหน่วยเงินสำริด (เป็นเหรียญที่มีรู) ซึ่งมีค่าน้อยที่สุดในหน่วยเงินตราสมัยก่อนของจีน
** น้ำพุเหลือง ตามความเชื่อของคนจีน คือยมโลก เป็นดินแดนแห่งผู้ล่วงลับ
Comments
comments