พิศวาสรัญจวนในห้องหนังสือ คราแรกของเด็กหนุ่ม
ดูจากการที่องค์ชายสามทั้งตีทั้งตวาด แล้วแบกเขาเดินเร่งฝีเท้าด้วยท่าทางกระโชกกระชาก หรูซิ่วยังคิดว่าตัวเองจะถูกทุ่มลงพื้นเสียแล้ว แต่เมื่อองค์ชายสามเดินเข้าไปในห้องหนังสือก็ผ่อนฝีก้าวลง ตรงไปยังห้องลับซึ่งอยู่ด้านใน แล้ววางเขาลงบนเตียงอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปจุดตะเกียงสองสามดวง
ในห้องน้อยอันงดงาม แสงตะเกียงสว่างจ้า สาดส่องต้องใบหน้าแดงระเรื่อของคนที่อยู่บนเตียง
หรูซิ่วเอนพิงหัวเตียง พอเข้ามาในห้องเขาก็ไม่ขัดขืนอีก เพียงมองท่าทางอาการขององค์ชายสาม ไม่ปริปากพูดอะไรออกมา เขามองผู้เป็นนายรีบเดินไปข้างนอก ยกเตาผิงไฟมาวางไว้ข้างเตียง แล้วถือกาใส่น้ำอะไรสักอย่างมาส่งถึงปากเขา
‘ข้าไม่เคยดื่มขอรับ’ หรูซิ่วได้กลิ่นสุราจึงรีบส่ายหัว คิดว่าองค์ชายสามจะให้เขาดื่มสุราคลายหนาว จึงบอกว่า ‘ข้าไม่หนาว’
องค์ชายสามมองเขาด้วยสายตาเปี่ยมความหมายลึกซึ้ง ดวงตาสะท้อนแสงไฟวาววับ ในนั้นยังมีร่องรอยกรุ่นโกรธเจือจาง หรูซิ่วถูกมองเช่นนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก ซ้ำอีกฝ่ายไม่พูดอะไรเลย ก็ยิ่งทำให้เขาประหม่ามากขึ้น
ผ่านไปนานองค์ชายสามถึงได้เอ่ยปาก ‘ตอนนี้ไม่หนาว แต่อีกสักพักจะหนาว’
หรูซิ่วไม่เข้าใจว่าองค์ชายสามหมายความว่าอะไร ขณะคิดจะถามก็เห็นองค์ชายสามดื่มเข้าไปเองอึกหนึ่ง โดยไม่มีสัญญาณบ่งบอกล่วงหน้า ขณะที่หรูซิ่วกำลังนิ่งอึ้ง องค์ชายสามก็ยื่นหน้าเข้าหา เอียงหัวประกบปาก ป้อนสุราให้เขาด้วยปากตัวเอง
ริมฝีปากสัมผัสกัน หรูซิ่วนิ่งงันเป็นไก่ไม้* เพียงรู้สึกว่าริมฝีปากของตนถูกประกบด้วยความอบอุ่น ของเหลวรสร้อนแรงไหลเข้ามา เขาเผลอกลืนลงไปโดยไม่รู้ตัว ทั่วทั้งร่างร้อนผ่าว ทว่ายังคงแข็งเกร็ง
องค์ชายสามป้อนสุราจนหมด ก่อนจะใช้ริมฝีปากไล้เกลี่ยปากที่เผยอออกเล็กน้อยของหรูซิ่วอย่างแผ่วเบา แล้วจูบซับเบาๆ อีกครั้ง จากนั้นถึงค่อยๆ ถอยออกช้าๆ เมื่อเห็นหรูซิ่วไม่ขยับเขยื้อน ทว่าดวงตาทั้งสองเปล่งประกายเจิดจ้า งดงามเยี่ยงเด็กน้อยไม่รู้เดียงสา สุดท้ายองค์ชายสามก็ใจอ่อน สีหน้าที่ดูขัดเคืองตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ค่อยๆ ผ่อนคลายลง เผยรอยยิ้มออกมาบางๆ เขายื่นมือเช็ดที่มุมปากหรูซิ่ว ไล้นิ้วมือจากคางเรื่อยลงมาถึงลำคอ แค่สะกิดเบาๆ ก็สามารถปลดกระดุมที่คอเสื้อให้หลุดออก
ยามที่หรูซิ่วได้สติก็พบว่ากระดุมบนเสื้อตนถูกปลดออกจนหมด สายคาดเอวถูกดึงจนหลุดแล้วโยนทิ้งไว้ข้างเตียง จากนั้นเสื้อนอก เสื้อตัวกลางและตัวในก็ถูกเปิดอ้าออกด้วย เผยแผงอกเปลือยเปล่า มิน่าเล่าเมื่อครู่องค์ชายสามจึงอยากให้เขาดื่มสุรา ตอนนี้เป็นค่ำคืนยามเหมันต์อันหนาวเหน็บ ย่อมต้องรู้สึกเย็นยะเยือก เขาสูดลมหายใจเฮือก รู้สึกได้ว่ามืออุ่นร้อนของอีกฝ่ายกำลังปัดป่ายมาที่เอวตน เขาสะดุ้งและเผลอถอยหลบ
‘เจ็บหรือ’ องค์ชายสามถามเบาๆ เมื่อเห็นเขาส่ายหัวก็ทำท่าจะแกะผ้าพันแผลออก แต่หรูซิ่วกลับดึงเสื้อตัวในปิดกลับดังเดิม
‘ข้าทำเองขอรับ หลายวันมานี้ข้าทำแผลเองตลอด’ เขารีบคว้าคอเสื้อปิดเอาไว้
‘เจ้าทำเองไม่ได้หรอก’ องค์ชายสามพูดอย่างมั่นใจ
‘ข้าทำได้’ เขาทำแผลเองมาหลายวันแล้ว
องค์ชายสามไม่ได้พูดอะไร แต่บังคับถอดเสื้อเขาออกจนหมดอย่างคล่องแคล่ว แล้วหยิบสายคาดเอวที่แก้ออกเมื่อครู่ขึ้นมา ขณะที่หรูซิ่วยังตะลึงมองก็ถูกสายคาดเอวเส้นยาวมัดข้อมือทั้งสองข้างไว้แน่น เมื่อองค์ชายสามดึงรั้งสองครั้งจนแน่ใจว่าไม่หลุด จึงพูดขึ้นว่า ‘ข้าถึงได้บอกอย่างไรเล่าว่าเจ้าทำเองไม่ได้หรอก’
หรูซิ่วมองตาแทบถลน ไม่คิดมาก่อนเลยว่าองค์ชายสามจะจับเขามัดไว้เช่นนี้ จึงได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายแกะผ้าพันแผลออกแล้วใส่ยาทาแผลใหม่อย่างไม่อาจขัดขืน
เพราะไม่เคยเปลือยผิวกายต่อหน้าองค์ชายสามมาก่อน ใต้แสงตะเกียงวูบไหว เห็นองค์ชายสามเอนตัวอยู่ข้างกายตน มือคอยลูบสัมผัสผิวกายอยู่เรื่อยๆ ทันใดนั้นหัวใจก็เต้นงรัว ในหัวมึนงงสับสน จู่ๆ เขาก็เริ่มท่อง ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ ในใจเบาๆ
‘ดั่งมังกรพัวพัน กีฏเคลื่อนขยับ…สัมผัสขึ้นลง ปะป่ายเกาะกุม ร่ำร้องน้องพี่ ปลุกเร้าซึ่งกัน บ้างแนบสะโพก บ้างปากดูดดื่ม ยามร่วมอภิรมย์ มีเข้าเบื้องหลัง ทั้งสลับข้างให้ชายล่างหญิงบน…แอ่นโค้งบั้นท้าย แท่งหยกสอดรับ…น้ำวิสุทธิ์ไหลหลั่ง จากยอดเขาหยางเฟิง…’
บัดนี้หรูซิ่วถึงรู้ว่าตัวเองท่องจำได้มากถึงเพียงนี้ แต่ยิ่งท่องก็ยิ่งร้อนรุ่ม สองตามองข้อมือที่ถูกมัดไว้เขม็ง แล้วจึงเหลือบมององค์ชายสามทีหนึ่ง ความรู้สึกแปลกใหม่ผุดขึ้นมา องค์ชายสามผู้ซึ่งมักจะอบอุ่นและสง่างาม คืนนี้กลับเผยโฉมหน้าไร้เหตุผลออกมา ลงโทษโบยตีแล้วก็ผลุนผลันแบกเขาเข้ามาในห้องลับด้านใน แล้วยังจับเขามัดไว้โดยไม่อธิบายอะไรทั้งสิ้น เกรงว่าคนผู้นี้ยังมีโฉมหน้าอื่นอีกมากที่ผู้คนไม่เคยรู้…ต้องเป็นเช่นนี้แน่ อย่างไรเสียไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะดูสุภาพมากเพียงไร ก็คงไม่สำรวมกายยามมีสัมพันธ์บนตั่งนอนกระมัง ไม่เช่นนั้นหากมัวแต่กระมิดกระเมี้ยนกันไปมา ยังจะร่วมรักกันได้หรือ คิดแล้วหรูซิ่วก็หน้าแดงก่ำ โชคดีที่องค์ชายสามมัวแต่ง่วนอยู่กับการทำแผล จึงไม่ทันสังเกต
‘โชคดีที่แผลไม่ปริ’ องค์ชายสามเงยหน้ามองเขาแน่วนิ่ง
หรูซิ่วรีบหลุบตาลงอย่างลนลาน ไม่กล้ามองสบดวงตาของอีกฝ่ายตรงๆ ด้วยเกรงว่าอาจถูกมองทะลุทะลวงเข้าไปถึงความคิดบัดสีหน้าไม่อายของตน อีกอย่างหนึ่ง เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้เป็นนายในสภาพเปลือยท่อนบนเช่นนี้ เขาทำอะไรไม่ถูกจริงๆ ดังนั้นจึงรีบบอกว่า ‘ข้าจะกลับห้องขอรับ’
องค์ชายสามเห็นเขาไม่ได้พูดเรื่องจะจากไปอีกก็รู้สึกวางใจ กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า ‘ห้องนั้นทั้งเก่าทั้งคับแคบ ต้องเปลี่ยนห้องให้เจ้า’
‘ข้าอยู่จนชินแล้ว’ เขาตอบเสียงเบา สีหน้าหม่นหมอง แต่แววตากลับเย็นชา แม้ไม่รู้ว่าองค์ชายสามปรารถนาจะทำสิ่งใด แต่เขาตั้งใจไว้แล้วว่าต่อให้ไม่อาจออกจากวังนี้ไปได้ ภายหน้าก็จะไม่ใกล้ชิดอีกฝ่ายอีก
‘ฟูกนอนและเสื้อผ้าของเจ้าไม่ช่วยให้อบอุ่น พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปเปลี่ยนให้ใหม่’ องค์ชายสามมองเขาอย่างอาทร
‘นายท่านสงสารข้าหรือขอรับ’ หรูซิ่วเม้มปาก เผยท่าทีดื้อรั้น ไม่ช้าเขาก็เบือนหน้าออก พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและเย็นชา ‘นั่นสิขอรับ ข้ามันคนน่าสงสาร ถูกนำตัวมาเลี้ยงไว้ที่วังนี้ตั้งแต่เด็ก ไร้หัวนอนปลายเท้า ไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีที่ไป’
องค์ชายสามมองใบหน้าด้านข้างของเขา นิ่งเงียบอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น ‘เห็นแก่ที่เจ้ายังบาดเจ็บอยู่ ข้าจะไม่เอาเรื่อง’
‘หรือในใจนายท่านคิดว่าซิ่วเอ๋อร์อุตส่าห์คอยรับใช้อย่างตั้งอกตั้งใจมาหลายปี ทั้งยังเคยรับมีดบินแทนครั้งหนึ่ง จึงต้องแสดงความอดกลั้นต่อข้า’ หรูซิ่วนิ่วหน้าน้อยๆ ร่างเกร็งเขม็ง สายตามองตรงไปยังผนัง ค่อยๆ พูดต่อ ‘นายท่านไม่จำเป็นต้องรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณหรอกขอรับ ซิ่วเอ๋อร์ทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวเอง ซิ่วเอ๋อร์เพียงอยากเรียกร้องความสนใจจากนายท่าน อยากได้รับการใส่ใจ อยากเอาชนะบ่าวคนอื่นๆ ทั้งหมดนี้ซิ่วเอ๋อร์คิดคำนวณมาแล้ว ซิ่วเอ๋อร์เข้าใจดีว่าในวังนี้มีเพียงได้ใกล้ชิดนายท่าน จึงจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสงบมั่นคง ได้อยู่ดีกินดี’
องค์ชายสามนิ่งฟัง ไม่ได้ตัดบทเขา และไม่ได้แสดงท่าทีว่ามีโทสะเลย
‘คราวก่อนซิ่วเอ๋อร์เห็นนายท่านกำลังร่วมรักกับผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นก็คิดว่าหากซิ่วเอ๋อร์ได้ปรนนิบัตินายท่านเช่นนี้บ้าง นายท่านจะต้องปฏิบัติกับข้าอย่างแตกต่างยิ่งกว่าเก่า ต่อไปไม่เพียงจะได้อยู่ใต้บัญชาคนเพียงคนเดียว ยังเป็นการไต่เต้าขึ้นสู่ที่สูง’ เขากัดริมฝีปาก ดวงตาร้อนผ่าว
เหตุใดซิ่วเอ๋อร์จึงคิดไปเองว่าเมื่อพูดเช่นนี้แล้วจะทำให้เขานึกรังเกียจได้ องค์ชายสามลอบถอนหายใจ เมื่อเห็นหรูซิ่วไม่กล่าวต่อ จึงตัดสินใจถามว่า ‘พูดจบแล้วหรือยัง’
หรูซิ่วหันหน้ากลับมามอง เห็นอีกฝ่ายลุกขึ้น เดิมคิดว่าองค์ชายสามจะหันหลังเดินจากไป แต่กลับเห็นเขาลุกขึ้นไปเป่าไฟตะเกียงดวงหนึ่งดับ ครู่หนึ่งในห้องน้อยก็สลัวลง
‘ที่นายท่านไม่พูดอะไร คงคิดว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด นายท่านอาจเย้ยหยันซิ่วเอ๋อร์ เห็นว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ แต่หากเวลานี้ไม่โยนซิ่วเอ๋อร์ทิ้งไปไกลๆ วันหน้านายท่านจะต้องนึกเสียใจที่เลี้ยงเสือไว้เป็นภัยแก่ตัว…ซิ่วเอ๋อร์คิดแต่จะหาประโยชน์จากนายท่าน ต่ำช้าเลวทรามถึงเพียงนี้ ในหัวมีแต่ความคิดที่ไม่น่าดู ไหนเลยจะคู่ควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ยิ่งนายท่านทำดีกับข้ามากเท่าใด ต่อไปก็จะยิ่งเสียใจมากขึ้นเท่านั้น…’
ทันใดนั้นคนที่พูดอยู่ก็ได้แต่ร้องโอดครวญ ไม่อาจกล่าวต่อไปได้อีก เพราะใบหน้าถูกบีบเอาไว้ เหมือนว่ายิ่งพูดองค์ชายสามก็ยิ่งใช้วิธีจัดการรุนแรง เขารีบสะบัดหน้าหมายจะดิ้นหนี แต่กลับพบว่าใบหน้าถูกจับประคองไว้จนขยับไม่ได้ ได้แต่กลอกลูกตาจ้องเขม็ง ทันใดนั้นเขาก็ถูกรวบตัวไปกอดไว้ในอ้อมแขนอบอุ่นจนมองอะไรไม่เห็น ใบหน้าถูกขืนให้แหงนเงย จากนั้นก็ถูกประทับจูบอย่างรวดเร็ว
องค์ชายสามทำราวกับกำลังดูดดื่มน้ำผึ้งหวาน ประกบไว้ด้วยริมฝีปาก เคล้นคลึงดูดกลืน ใช้ฟันขบเบาๆ เหมือนอยากจะหยอกล้อให้ทรมาน ไล้เลียด้วยลิ้นราวกับอยากปลอบประโลม ชั่วพริบตาลิ้นก็แทรกไรฟันเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของหรูซิ่ว จนต่างคนต่างรู้สึกปั่นป่วนวาบหวาม
ร่างหรูซิ่วแทบจะอ่อนยวบหมดเรี่ยวแรง สองตาปิดลงอย่างไม่อาจต้าน ซบร่างสั่นสะท้านในอ้อมอกองค์ชายสาม เขาถูกจุมพิตจนสันหลังแอ่นโค้งเหมือนแมวที่กำลังยืดเหยียดบิดขี้เกียจหลังนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม ร่างกายเสมือนพองโต ในปากมีแต่เสียงร้องครางแผ่วเบา พอได้ยินเสียงตนดังเข้าหู หรูซิ่วก็ตื่นตะลึงจนลืมตาขึ้น แล้วก็เห็นอีกฝ่ายหยุดนิ่ง ก้มมองเขาอย่างลึกซึ้งจากด้านบน
‘นาย…นายท่านทำเช่นนี้เป็นการรังแกคนอ่อนแอ ใช้ใหญ่ข่มเล็ก รู้ทั้งรู้ว่าข้าได้รับบาดเจ็บไม่มีแรง ยังฉวยโอกาส…’ หรูซิ่วหอบน้อยๆ พอพูดได้ก็กล่าวโทษ
อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้า ใช้จุมพิตปิดปากที่ไม่ยอมใครอีกครั้ง หากสู้ไม่ได้ก็ได้แต่จูบเท่านั้น
องค์ชายสามไม่เคยพบศัตรูเช่นนี้มาก่อน ศัตรูที่เขารู้ชัดในใจว่าไม่อาจต้านทาน ตลอดมาคนที่แวดล้อมอยู่ข้างกาย หากไม่ใช่อ่อนน้อมยอมตาม ก็เต็มไปด้วยความเคารพหวาดกลัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการโต้เถียงประชดประชัน แต่ละคำล้วนเสียดสี อันทำให้เขาเต้นเร่าด้วยเพลิงโทสะ และยังทำให้รู้สึกหวั่นไหวอย่างประหลาดด้วย
เด็กหนุ่มฝีปากกล้าและเฉลียวฉลาดเช่นนี้ เป็นคนที่เขาเลี้ยงดูฟูมฟักมากับมือ
แม้องค์ชายสามจะเก่งกาจในเรื่องการปกครองและการเขียนบทความ แต่กลับไม่เชี่ยวชาญในด้านตีฝีปากโต้คารม โดยเฉพาะกับคนที่ชอบชี้กวางเป็นม้า กลับดำเป็นขาวเยี่ยงนี้ ครั้นเห็นเด็กหนุ่มปากคอเราะราย เอาแต่กล่าวโทษไม่หยุดปาก กดตัวเองเสียต่ำต้อยจนเขาแทบทนไม่ไหว ทำให้ในใจลึกๆ เขาเต็มไปด้วยความร้อนอยากจะตะคอกแต่ก็ไม่กล้าบุ่มบ่าม ด้วยเกรงว่าหากตอบโต้อย่างไม่เหมาะสม เด็กหนุ่มตรงหน้าก็จะยิ่งโวยวายหนักข้อ แต่หากทำเป็นไม่สนใจก็จะกลายเป็นการเย้ยหยัน ช่างบีบคนให้จนตรอกเสียจริงๆ บีบจนเขาไม่อาจกระดิกตัวทำอะไรได้ ขณะที่ร้อนใจ จู่ๆ ก็นึกถึงวิธีฝึกหมัดมวยที่เคยเรียนขึ้นมา ในความเคลื่อนไหวมีความสงบ ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ดังนั้นจึงปล่อยให้หรูซิ่วพูดจาเหน็บแนม ส่วนตัวเขาไร้การเคลื่อนไหวดุจภูผา
แล้วรอโอกาสใช้จูบทำให้งงงวยสับสน
กระทั่งเด็กหนุ่มอ่อนเปลี้ยอยู่ในอ้อมกอด องค์ชายสามจึงค่อยถอนจูบจากริมฝีปากเขา เห็นแววตาเขาเลื่อนลอย หอบหายใจเบาๆ พูดอะไรไม่ออกแม้เพียงครึ่งประโยค องค์ชายสามจึงรู้ว่าเด็กหนุ่มตัวร้ายหมดหนทางต่อสู้เสียแล้ว เวลานี้หากไม่รุกไล่ให้แตกกระบวนทัพ แล้วจะรอเวลาใดอีกเล่า องค์ชายสามก้าวลงจากเตียงอย่างว่องไว ถอดเสื้อผ้าบนกายทิ้งลงพื้นอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงกางเกงตัวใน
‘นายท่านจะทำอะไร…’ หรูซิ่วได้สติอย่างช้าๆ ตกใจที่อีกฝ่ายถอดเสื้อผ้าออก ชั่วพริบตาก็รู้สึกเครียดเกร็งขึ้นมา
องค์ชายสามปราดเข้าไปหาคนตรงหน้า ร่างท่อนบนเปลือยเปล่าแนบชิดร่างเด็กหนุ่ม เขาพูดเสียงเฉียบขาด ‘เจ้าทำตามอำเภอใจได้ แล้วข้าทำไม่ได้หรือ’
‘ท่านจะทำอะไรกันแน่’ เหตุใดสายตาจึงเหมือนจะกินคนเช่นนี้
องค์ชายสามไม่ตอบ แต่บีบคางเขา นานครู่หนึ่งจึงเอ่ยเตือนออกมา ‘อย่าร้องไห้ และอย่าอ้อนวอน!’
หรูซิ่วใจเต้นรัว เขาคิดมาตลอดว่าผู้เป็นนายแม้เป็นบัณฑิตแต่ก็ไม่อ่อนแอ มีวรยุทธ์แต่ก็ไม่ป่าเถื่อน บัดนี้จึงรู้ว่าตนเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง เขาไปยั่วยุจนคนผู้นี้เผยนิสัยป่าเถื่อนกระหายเลือดออกมาจนได้ แย่แล้ว! จูบเมื่อครู่ก็ยากจะรับไหวอยู่แล้ว แต่ดูท่าอีกฝ่ายยังไม่ได้เริ่มทรมานเขาเลยด้วยซ้ำ
‘ไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อกระมัง…’ หรูซิ่วหมดแรง เพราะองค์ชายสามอุ้มเขาขึ้นมาแล้วคุกเข่าบนเตียง
‘ยังถอดไม่เสร็จเรียบร้อยเลย’ องค์ชายสามจับข้อมือเขาที่ถูกมัด กึ่งบังคับให้เอานิ้วมือเกี่ยวขอบกางเกงของตน แล้วออกแรงดึงให้กางเกงหลุดลง กระทั่งดึงลงไปถึงต้นขา ส่วนล่างก็แข็งขืนพร้อมแล้ว
หรูซิ่วพูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งประโยค เขาเคยรับใช้องค์ชายสามอาบน้ำมาก่อน แต่ตอนนั้นเจ้าสิ่งนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพเช่นนี้ อย่างน้อยก็มิได้ดูใหญ่โตแบบนี้
‘แท่งหยกชูชัน ส่วนปลายเปิดออก ส่วนหัวเผยออกมา ทั้งแข็งแกร่งและหยาบกร้าน’
ใน ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ เขียนไว้เช่นนั้น แต่พอได้เห็นจริงๆ กลับน่าตื่นตะลึงยิ่งกว่า เขามองไม่วางตา อีกฝ่ายจับมือเขาไปสัมผัส แยกมือเขาออกให้กุมไว้ พอกุมแล้วแท่งหยกก็ยิ่งกระหายหาเป็นเท่าทวี
แน่ล่ะ หรูซิ่วย่อมเคยจับของตัวเอง แต่เวลานี้พอกุมของอีกฝ่ายไว้ในมือ กลับรู้สึกแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ชวนให้คึกคักยิ่งกว่า เขาอดกำมือแน่นขึ้นไม่ได้ กลางฝ่ามือทั้งสองข้างอุ่นร้อน ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าส่วนล่างของตนพลันแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เขามองดู ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่กางเกงขายาวและกางเกงตัวในของตนถูกดึงลงไปอยู่ที่หัวเข่า มือหนึ่งขององค์ชายสามกดที่บั้นท้ายเขา อีกมือเกาะกุมส่วนนั้นของเขาไว้
หรูซิ่วเงยหน้าขึ้นทันใด หัวสมองเหมือนถูกโจมตีอย่างรุนแรง ราวกับมีสายฟ้านับไม่ถ้วนฟาดลงตรงหน้า องค์ชายสามลูบไล้เขาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้! แม้จะเขินอายอย่างที่สุด แต่ก็รู้สึกถึงแรงกระตุ้นอันเสียวซ่านเช่นกัน โดยเฉพาะยามเมื่อมือองค์ชายสามที่เกาะกุมสิ่งนั้นเคลื่อนขึ้นลง เขาสั่นสะท้านไปทั้งกาย ความหฤหรรษ์ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนพุ่งขึ้นในหัว หวังเพียงให้อีกฝ่ายไม่หยุดเคลื่อนขยับ
‘คราวที่แล้วข้าไม่ดีเอง’ องค์ชายสามเห็นสิ่งที่อยู่ในมือชูชันไม่หยุด ก็เงยหน้ามองเขา ‘ซิ่วเอ๋อร์ไม่ใช่เด็กแล้วจริงๆ’
ในเวลาไม่นาน หรูซิ่วก็เติบโตจากเด็กน้อยเป็นหนุ่มน้อย ทั้งยังรูปงามถึงเพียงนี้ สมส่วนแข็งแกร่ง รูปร่างงดงาม ไหล่กว้าง ท่อนแขนมีกล้าม แต่ไม่ล่ำสันจนเกินงาม หน้าอกหน้าท้องไม่มีส่วนหย่อนยานแม้แต่น้อย ส่วนที่กระเพื่อมไหวก็ช่างมีเสน่ห์เหลือล้น ใต้เอวแกร่งคือบั้นท้ายงาม มือขององค์ชายสามสัมผัสได้ว่าบั้นท้ายนั้นทั้งเนียนมือและยืดหยุ่น พอได้ลูบไล้แล้วแทบไม่อยากรามือ
‘เวลานี้ท่านอย่าพูดอะไรเลย’ หรูซิ่วกัดฟัน ใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกได้ว่ามือที่ลูบไล้ส่วนขยายใหญ่ของตนเคลื่อนจากหลังไปหน้า หน้าไปหลัง ทำเอาเสียวซ่านจนแทบทนไม่ไหว ราวกับร่างกายจะดีดขึ้นมาเอง
‘ซิ่วเอ๋อร์เคยทำเช่นนี้กับตัวเองมาก่อนหรือไม่’ องค์ชายสามกุมส่วนนั้นของเขาไว้แน่น ขยับมือเคลื่อนขึ้นๆ ลงๆ ไม่หยุด
หรูซิ่วรีบส่ายหน้า ‘ไม่เคย…อ๊ะ!’
องค์ชายสามฟาดมือกับบั้นท้ายเขาทันใด เสียงตีเนื้อดัง ‘เพียะ’ กังวานใส ขณะเดียวกันก็ต่อว่าเสียงเบา ‘เจ้าโป้ปด ไหนตอบอีกครั้งซิ’
‘เรื่องที่ท่านเคยทำ ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นก็คิดจะทำเช่นกันเสียหน่อย…อ๊ะ!’ หรูซิ่วซึ่งถูกกุมส่วนนั้นไว้ว้าวุ่นใจไปหมด อาศัยรวบรวมสติตอบกลับไป แต่ก็ถูกตีเข้าอีกครั้ง ทำเอาเขาขาอ่อน ร่างโงนเงนไปข้างหน้า
‘มัวเถียงอยู่อีก ยอมรับมาตามตรง!’ ขณะที่เตือน องค์ชายสามก็จับตัวเขาให้นั่งคุกเข่าหลังเหยียดตรง
‘…หากนายท่านบอกว่าเคยก็เคย’ เกิดเสียงดัง ‘เพียะ’ ขึ้นอีกครั้ง เขาทนไม่ไหวร้องครวญครางออกมา ที่ก้นทั้งร้อนทั้งชา อาจเป็นเพราะตรงที่ถูกฟาดอยู่ใกล้กับส่วนนั้น พอยิ่งตีก็ยิ่งไปกระตุ้นเร้า จึงยิ่งแข็งขันชูชัน หรูซิ่วอับอายจนไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่เอามือปิดหน้า
‘มีคนไม่ซื่อสัตย์ กล้าทำแต่ไม่กล้ารับแบบเจ้าด้วยหรือ ให้ตอบอีกครั้ง ซื่อตรงกับข้าหน่อย’ องค์ชายสามใช้มือถูบั้นท้ายหรูซิ่วจนแดงเถือก ทั้งตีเบาๆ ทั้งลูบตลอดเวลา อีกมือยังคงจับส่วนนั้นไว้ ทว่าค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักมือ
หรูซิ่วหน้าแดงหูแดงไปหมด เอาแต่ซ่อนใบหน้าไว้หลังฝ่ามือตัวเอง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ‘เคยทำ เคยทำขอรับ…ซิ่วเอ๋อร์ยอมรับทุกอย่าง เคยทำมาทั้งหมด ท่านพอใจหรือยัง!’ มือขององค์ชายสามจู่โจมหน้าหลังพร้อมกัน ทำเอาเขาเสียวซ่านแทบทนไม่ไหว
‘ดูเจ้าสิ เพิ่งบอกว่าไม่หนาว แต่ตอนนี้ขนลุกตั้งชันไปหมด’ องค์ชายสามลูบไล้จากบั้นท้ายไปถึงต้นขาเขา ทันใดนั้นมือก็เปลี่ยนมาแนบกับหน้าท้อง ลูบไล้ขึ้นมา ก่อนจะใช้นิ้วนวดคลึงสองจุดสีชมพูตรงหน้าอกซึ่งนูนเด่น คลึงเคล้นอย่างเชื่องช้า
หรูซิ่วขนลุกเกรียวโดยพลัน หน้าท้องกระเพื่อมเป็นระลอก เกิดความรู้สึกแปลกแปร่ง เขาอดยกมือออกแรงผลักมืออีกฝ่ายออกไม่ได้ ‘จั๊กจี้ ข้า ข้า…จะทนไม่ไหวแล้ว’
‘ใครอนุญาตให้เจ้าผลักออก ยกมือขึ้น’ องค์ชายสามตีหน้าขรึม เมื่อเห็นเขาไม่ยอมโอนอ่อนตามก็จับมือเขายกชูขึ้นสูง ตวาดสั่ง ‘ไม่อนุญาตให้วางลง ไม่ให้ขอร้องด้วย ข้าเตือนเจ้าไว้แล้วตั้งแต่แรก’
หรูซิ่วพบว่าสองมือองค์ชายสามนวดเฟ้นยอดอกของตนสองข้างพร้อมๆ กัน ฉับพลันทั่วแขนขาก็ซ่านเสียว สองขาอ่อนยวบทรุดลง แต่กลับถูกดึงให้ลุกขึ้นคุกเข่าแล้วนวดเคล้นซ้ำแล้วซ้ำอีก คลึงเฟ้นหนักมือจนหน้าอกเขาแทบจะเลือดออก บัดนี้หัวใจเขาล่องลอย จะกดไว้ก็ทำไม่ได้ ราวกับเกิดการเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นคนละคน การเสียการควบคุมทำให้เขาว้าวุ่น อดออกปากอ้อนวอนไม่ได้ ‘เจ้า เจ้าหยุดก่อน อย่านวดอีกเลย’
เขาคิดไปว่าในหัวตนเต็มไปด้วยความปรารถนาหยาบโลน ทว่าองค์ชายสามเบื้องหน้าผู้ดูสุภาพเรียบร้อยกลับกล้าทำอะไรๆ ทั้งหมดผู้นี้คือคนที่หยาบโลนอย่างแท้จริง!
องค์ชายสามเห็นหรูซิ่วทั้งอายทั้งโกรธ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเปิดปากหรือหุบปากล้วนเรียกขานเขาว่า ‘นายท่าน’ และ ‘ท่าน’ บัดนี้ถูกกระตุ้นจนไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว คิดแล้วก็น่าขัน พอเขาเห็นตัวตนของหรูซิ่วชูชันแข็งตึงถึงขีดสุด ยอดอกสีชมพูถูกนวดคลึงจนแดงก่ำ ทั่วทั้งร่างสั่นระริกก็พลันรู้สึกพึงพอใจ จึงคลายมือออก แล้วกระซิบข้างหู ‘กลั้นไว้ก่อน อย่าเพิ่งปล่อยออกมา ยังมีเรื่องสนุกๆ อีก’
หมายความว่าอย่างไร หรูซิ่วมองด้วยความแปลกใจ ใบหูทั้งสองข้างแดงก่ำ แล้วก็พบว่าตนถูกกดให้นอนลงบนเตียง องค์ชายสามนั่งอยู่ข้างกายเขาในสภาพเปลือยเปล่า ไม่ให้เขาห่มผ้า และไม่แก้มัดที่ข้อมือให้ เพียงแค่กระดกสุราเข้าปาก ขณะที่หรูซิ่วกำลังตะลึงมอง องค์ชายสามก็พลันโน้มตัวลงมา นำสิ่งแข็งขันสีเนื้อที่ตั้งชูชันตลอดเวลาของเขา ใส่เข้าไปในปากที่อมสุราไว้
อา หยาบโลนที่สุด! ไม่ได้การ เขาแทบจะระเบิดออกมาแล้ว! หรูซิ่วดีดตัวขึ้น ขาที่เหยียดยาวคู้งอ แต่กลับถูกองค์ชายสามกดไว้อย่างว่องไว เขาอ้าปากกัดหลังมือตัวเอง ไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา
ไม่คิดมาก่อนเลยว่าองค์ชายสามผู้สุภาพสง่างามจะกำลังจัดการกับส่วนนั้นของเขาอยู่ ลิ้นโลมเลียไม่หยุด ปลายลิ้นสะกิดยั่วเกี่ยวกระหวัด ดุนดันส่วนปลายครั้งแล้วครั้งเล่า รัวเร็วขึ้นทุกที
หรูซิ่วบิดกายเร่าๆ รู้สึกเพียงตัวตนที่ถูกห่อหุ้มไว้ในปากอีกฝ่ายเสียวซ่านขึ้นทุกที เหมือนมีสายฟ้าแล่นวาบไปทั่วร่าง จากปลายแขนขาไหลลงสู่ส่วนนั้น ทำให้เขาเปี่ยมไปด้วยความหฤหรรษ์อย่างต่อเนื่อง หรูซิ่วกัดฟันร้องคราง แทบจำเสียงตัวเองไม่ได้ เขาไม่อาจคว้าจับสำนึกใดๆ ได้เลย อยากจะท่องถ้อยคำใน ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ ก็นึกไม่ออกสักคำ ทันใดนั้นปลายแท่งหยกที่ถูกโลมเลียก็ใกล้จะระเบิดออก เขาครางลั่นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่แล้วก็รีบกัดหลังมือตัวเองไว้อย่างแรง รู้สึกราวกับตนกำลังจะพังทลาย คล้ายสายสร้อยมุกงามขาดร่วงหล่นลงบนถาดหยก สายป่านว่าวตึงจนขาดสะบั้น คันศรแกร่งถูกหัก
เขาไม่อยากทำเลอะเทอะต่อหน้าองค์ชายสาม เขาคือซิ่วเอ๋อร์ที่สดใสแสนบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างกายนายท่านนะ! หรูซิ่วกัดฟันแน่น แต่ก็กลั้นไม่อยู่ ละล่ำละลักทั้งร้องครวญอ้อนวอนทั้งขู่ตะคอก ‘อย่าเลียอีกเลย รีบปล่อยเถิด!…คนอย่างเจ้าข้างในกับข้างนอกต่างกันนัก บัณฑิตจอมปลอม ช่างหยาบโลนจริงๆ อ๊า!’
ในที่สุดความวาบหวามที่กดเก็บไว้ลึกภายในก็ถูกกระตุ้นจนถึงจุดสูงสุด เด็กหนุ่มตัวสะท้าน แท่งหยกแข็งตึงถึงขีดสุด องค์ชายสามรีบลุกขึ้น เปลี่ยนเป็นเอามือกุมไว้ จากนั้นก็มองดูหรูซิ่วหนุ่มน้อยผู้แสนบริสุทธิ์งดงาม แอ่นตัวกระตุกพลางพ่นของเหลวออกจากช่องเล็กตรงส่วนปลายไม่หยุด โดยมีอุ้งมือของตนโอบกุมไว้…
ฉากพิศวาสในห้องหนังสือช่างยวนใจ สติล่องลอยไปถึงก้อนเมฆ วิญญาณดำดิ่งลึกลงใจกลางทะเลชิงไห่ เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว คิดว่าในที่สุดก็จบลงแล้ว
* นิ่งงันเป็นไก่ไม้ เป็นสำนวนหมายถึง เหม่อค้างด้วยความตกตะลึงหรือตื่นตระหนกจนแข็งทื่อราวกับไม้สลักรูปไก่
ตวัดเส้นสายบนทางลาดบุปผา สายฝนพร่างพรมในหุบเขาลึกเร้น
หลังจากหรูซิ่วถูกยั่วเย้าจนสั่นกระตุกแล้วปลดปล่อยออกมา ก็หอบหายใจถี่กระชั้นเบาๆ เหงื่ออุ่นไหลโชก นอนนิ่งอย่างผ่อนคลายบนเตียง เขาเอามือที่ถูกมัดปิดหน้า หลับตาพักผ่อน แต่ทันใดนั้นก็มีสิ่งมโหฬารเข้ามาใกล้ กดเบาๆ ลงบนร่าง ผิวเนื้อเปลือยเปล่าแนบชิด ส่วนที่สัมผัสกันราวกับมีดาวตกพาดผ่าน
หรูซิ่วลืมตาขึ้นมาเห็นองค์ชายสามมองเขาอยู่ใกล้ๆ ปลายจมูกแทบจะชนกัน ตัวเขาดูอ่อนเปลี้ย ทว่าดวงตาคนที่ทับอยู่ด้านบนกลับวาววามเจิดจ้า สีหน้าแช่มชื่น อีกฝ่ายเอียงหัวไปข้างๆ แนบริมฝีปากชิดใบหูเขา เสียงทุ้มต่ำพูดว่า ‘อย่าหลับ เพิ่งจะเริ่มเท่านั้น’
หรูซิ่วตกใจจนหน้าถอดสี ยังไม่ทันได้ตอบคำ ก็พบว่าตนถูกองค์ชายสามจับไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้แล้วพลิกร่างอย่างว่องไว สองมือถูกดึงขึ้นสูง นอนพังพาบคว่ำหน้าอยู่บนเตียง พอด้านหลังไร้สิ่งปิดบัง เขาก็รู้สึกใจไม่สงบ ตะกายจะพลิกตัวกลับ แต่ก็ถูกกดไว้ทันที
แทบจะในเวลาเดียวกัน สิ่งที่แข็งขึงก็กดลงตรงบั้นท้าย ทำเขาตกใจจนตัวสั่น ใบหน้าร้อนผ่าว
‘นายท่าน ซิ่วเอ๋อร์เหนื่อยแล้ว โปรดคำนึงถึงบาดแผลของซิ่วเอ๋อร์ที่ยังไม่หายดี ทั่วตัวไร้เรี่ยวแรง คืนนี้ปล่อยข้าไปเถอะขอรับ’ เขาทำทีนบนอบ พูดเสียงแผ่วเบา จงใจทำท่าอ่อนแออ้อนวอน
งอแงหรือ องค์ชายสามหัวใจกระตุก เด็กหนุ่มเจ้าเล่ห์ทำโยเยขึ้นมาอีกแล้ว ช่างน่ารักเสียจริง เขาโน้มตัวไปข้างหน้า อ้าปากขบใบหูคนอยู่เบื้องล่างเบาๆ หรูซิ่วสะท้านไปทั้งร่างราวกับแมวน้อย ชวนให้สงสารยิ่ง ใบหูเด็กหนุ่มแดงก่ำ เอียงหน้านอนคว่ำ สีหน้าเหมือนประหลาดใจและดูเหมือนวิงวอน ท่าทางเช่นนี้กลับยิ่งกระตุ้นให้องค์ชายสามตัดสินใจจู่โจมแล้วครอบครองเสียให้สิ้น
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว คนที่จะโหมบุกก็โน้มกายลงจูบใบหน้าด้านข้างของคนอยู่เบื้องล่าง เอ่ยคำปลอบประโลมอ่อนโยนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ‘ดูท่าคงจะเหนื่อยแล้วจริงๆ ไม่เป็นไร ต่อจากนี้เจ้าแค่นอนคว่ำ ไม่ต้องขยับตัว’
หรูซิ่วได้ยินดังนั้นก็ยิ่งกระสับกระส่าย ดิ้นรนเอามือค้ำร่างกายท่อนบนลุกขึ้น แต่องค์ชายสามอาศัยความได้เปรียบด้านร่างกายกดเขาไว้ใต้ร่างจนไม่อาจดิ้นหนี
‘นายท่านตัวหนักนัก ซิ่วเอ๋อร์หายใจไม่ออก’ เขาแสร้งทำเสียงอู้อี้ แกล้งทำเป็นทนไม่ไหว
องค์ชายสามรู้ดีว่าเขาโกหก แต่ก็ผ่อนคลายการควบคุม พลิกร่างเปลี่ยนมานั่งข้างกายเขาอย่างว่องไว พอเห็นเด็กหนุ่มบิดร่างไม่อยู่นิ่ง ก็รีบยื่นมือออกไปกดที่แผ่นหลังเขาไว้
หรูซิ่วพลิกตัวไม่ได้ก็นิ่วหน้า สองขาถีบเตะวุ่นวาย
‘อย่าดิ้น ให้ข้ามองเจ้าให้เต็มตาสักครั้ง’ องค์ชายสามกดขาเขาไว้ ปลอบอย่างอ่อนโยน หรูซิ่วนอนคว่ำอยู่บนเตียง ตั้งแต่แผ่นหลังเรื่อยลงไปถึงเอว บั้นท้าย ท่อนขา ช่างงดงาม ผิวพรรณเรียบลื่น ชวนให้ทอดสายตามองอย่างอ้อยอิ่ง องค์ชายสามคิดแล้วก็เอาผ้าห่มมาทบซ้อน สอดไว้ใต้ท้องของอีกฝ่าย
หรูซิ่วเคลิบเคลิ้มไปกับถ้อยคำอ่อนโยนของเขาจนสงบลง ปล่อยให้อีกฝ่ายมองชื่นชมตามอำเภอใจ นานครู่หนึ่งถึงรู้สึกว่ามีของอ่อนนุ่มสอดไว้ใต้ตัว เมื่อเป็นเช่นนี้บั้นท้ายจึงถูกดันให้โก่งขึ้น ท่าทางน่าอับอายนัก จึงร้องบอกอย่างร้อนรน ‘ให้ข้าลุกสิ! ไส้จะพันกันหมดแล้ว ไม่ไหวแล้ว นายท่านอย่าแกล้งสิขอรับ!’
‘เมื่อครู่ใครบอกว่าข้าเป็นบัณฑิตจอมปลอมที่แสนหยาบโลน…ก็จริงตามนั้น’ เขารู้สึกว่าน่าขันนัก ขณะเดียวกันมือก็ลูบไล้จากสันหลังถึงเอว ลูบไปจนถึงบั้นท้ายแล้วหยุดตรงนั้น
‘…ซิ่วเอ๋อร์พูดเรื่อยเปื่อยไปเองขอรับ นายท่านเป็นคนมีเหตุมีผลเสมอมา ข้าว่า…ข้าว่าผู้ใหญ่คงไม่ถือโทษโกรธเคืองกับความผิดพลาดของผู้น้อย’ เขาลนลานรับสารภาพผิด คืนนี้ถูกจู่โจมที่บั้นท้ายหลายครั้ง เกรงว่าหากองค์ชายสามเกิดสนใจขึ้นมา ตนจะต้องถูกแกล้งหนักขึ้นเป็นแน่ แต่แล้วก็พบว่ามือที่วางไว้บนบั้นท้ายนั้นอ่อนโยนอย่างยิ่ง เพียงแค่ลูบไล้ นวดคลึงไปมาราวกับนวดแป้งเท่านั้น กำลังมือก็เบาลง ราวกับจะคลึงให้เคลิ้ม ดูท่าแล้วคงไม่ได้ทำอะไรเลวร้าย…อ๊ะ? อ้าว!
หรูซิ่วสูดหายใจเฮือก ชั่วพริบตาใบหน้าก็แดงก่ำ นิ้วมือขององค์ชายสามที่แท้…ที่แท้กำลังสอดเข้าไปข้างใน! ไม่เคยมีใครแตะต้องส่วนนั้นของเขามาก่อน เมื่อถูกสัมผัสอย่างแผ่วเบา ก็บังเกิดความรู้สึกแปลกแปร่ง หัวใจเต้นระรัวเหมือนตีกลอง รู้สึกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาดิ้นรนบิดร่าง หันไปร้องอย่างตกใจ ‘อย่าลูบซี้ซั้วสิขอรับ ไม่ได้ ไม่ได้นะ อย่าแตะตรงนั้น!’
องค์ชายสามเอานิ้วสอดเข้าไปในนั้นได้อย่างไร ซ้ำยังลูบสัมผัสถึงส่วนเร้นลับที่อยู่ข้างใน จะทำสิ่งใดกันแน่ ใน ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ ไม่เห็นกล่าวถึงเลย!
ยิ่งกว่านั้น ตั้งแต่นิ้วมือขององค์ชายสามสอดเข้าไป ก็มีความทรงจำเลือนรางบางอย่างที่บอกไม่ถูกผุดขึ้นมาในหัว เขาจำได้ไม่ถนัดนัก และบอกไม่ถูกว่าเป็นอย่างไรกันแน่ แต่เมื่อนิ้วมือขยับเล็กน้อยตรงส่วนลึกข้างใน ความกลัวอันน่าประหลาดก็เกิดขึ้นในจิตใจ เขาสูดหายใจหลายเฮือก ร้องบอกอย่างลนลาน ‘นายท่าน ข้า…ข้ากลัว!’
องค์ชายสามเห็นเขาร้องอย่างลนลานก็รีบหยุด ก่อนจะพูดปลอบเบาๆ ‘ทำไมเกิดกลัวขึ้นมาเล่า ซิ่วเอ๋อร์ต้องเชื่อสิว่าข้าจะไม่ทำให้เจ้าเจ็บ’
‘แต่ว่า…’ ภายใต้การปลอบประโลมอันอ่อนโยน ความหวาดกลัวอันไร้ที่มาค่อยๆ สลายไป จิตใจเริ่มสงบลง แต่เขายังไม่เข้าใจ เหตุใดองค์ชายสามถึงต้องแตะส่วนนั้นของเขา
‘สิ่งต่างๆ ที่ข้าทำ ล้วนเป็นสิ่งที่คนรักกระทำให้แก่กัน ครั้งแรกอาจรู้สึกแปลกๆ บ้าง เจ้าไม่เคยผ่านมาก่อนย่อมรู้สึกกลัว แต่เจ้าต้องเชื่อว่าข้าจะไม่ทำให้เจ้าเจ็บ’ เขาใช้หลังมือไล้ปลอบเด็กหนุ่มเบาๆ จากต้นคอไปถึงสันหลัง แล้วใช้ฝ่ามือลูบจากเอวกลับขึ้นไปถึงต้นคออย่างช้าๆ และอ่อนโยน ทำกลับไปกลับมาหลายครั้ง
เมื่อครู่นายท่านบอกว่าคนรักอย่างนั้นหรือ หรูซิ่วได้ยินที่หู ปลาบปลื้มที่ใจ คืนนี้องค์ชายสามปฏิบัติกับเขาเช่นนี้ เห็นได้ว่าลึกๆ ในใจก็ชื่นชอบเขาเช่นกัน ไม่อย่างนั้นเขาหยาบคายใส่ไม่หยุด เหตุใดองค์ชายสามจึงต้องอดทนยอมอ่อนให้ ทั้งยังพูดจากับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน คิดได้เช่นนี้หรูซิ่วก็รู้สึกหวานชื่นในใจมากล้น ชั่วพริบตาราวกับเปลี่ยนเป็นแมวน้อย นอนหมอบอยู่ข้างกายผู้เป็นนาย ยอมให้มือใหญ่ที่ทั้งแสนอ่อนโยนและหนักแน่นลูบไล้ร่างกายจนผ่อนคลาย ดวงตาหรี่ลง
องค์ชายสามเห็นเข้าก็นึกสนุก ลูบจากต้นคอไปถึงบั้นท้ายและต้นขา
หรูซิ่วไม่มีท่าทางเครียดเกร็งอีกแล้ว ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น เอี้ยวคอหันไปถามกระเซ้า ‘ก่อนนายท่านจะขี่ม้าก็ลูบไปลูบมาเช่นนี้ ดังนั้นซิ่วเอ๋อร์ก็กลายเป็นลูกม้าของนายท่านแล้วสินะขอรับ’
องค์ชายสามหลุดขำออกมา ‘จะเปรียบแบบนั้นได้อย่างไร ถ้าลูกม้าดื้อก็ต้องใช้แส้โบยสักทีหนึ่ง แต่ข้าไม่เคยใจร้ายกับเจ้าเช่นนั้นมาก่อนเลยนะ’
‘ก็ใช่ขอรับ ดูท่าแล้วซิ่วเอ๋อร์น่าจะเป็นที่รักของนายท่านมากกว่าม้าอยู่บ้าง’ เด็กหนุ่มหัวเราะ
องค์ชายสามเห็นเขาหัวเราะได้ก็รู้สึกวางใจ ทันใดนั้นคิดนึกสนุกขึ้นมา จึงหันไปหยิบพู่กันด้ามใหญ่ที่เมื่อครู่นี้นำมาจากโต๊ะเขียนหนังสือ ปัดลงไปบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าเบาๆ หรูซิ่วเสียวซ่านจนอดร้องครางออกมาไม่ได้
‘สบายหรือไม่’ องค์ชายสามลากพู่กันเบาๆ จากต้นคอไปถึงก้นกบ
หรูซิ่วพยักหน้า เอามือค้ำร่างแอ่นท่อนบนขึ้นรับสัมผัส เขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ด้วยนึกสงสัยใคร่รู้ จึงเอี้ยวตัวไปดูว่าองค์ชายสามทำอะไร ‘นั่นคืออะไรหรือขอรับ’
องค์ชายสามเปิดกระปุกใบน้อยใบหนึ่งออก เอาพู่กันจุ่มลงไปจนชุ่ม ยกขึ้นแล้วยื่นไปแต้มที่จมูกเขานิดหนึ่ง ‘หอมหรือไม่’
กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมา หรูซิ่วแตะจมูกตัวเอง พบว่าสัมผัสออกลื่นๆ ดูแล้วคล้ายจะเป็นน้ำผึ้ง มีกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวา ทั้งยังเหนียวติดมืออยู่บ้าง ขณะที่ยังงุนงงก็รู้สึกถึงสัมผัสฉ่ำชื้นที่ก้นกบ เขาจะหันไปดู ทว่าองค์ชายสามกลับผลักเขากลับลงไปนอน แล้วตีแก้มก้นเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม ‘เจ้าจะรู้สึกสบายเหมือนเมื่อครู่ เพียงแค่ปัดลงข้างล่างอีกหน่อย’
พอพูดจบ หรูซิ่วก็รู้สึกได้ว่าองค์ชายสามจับขาสองข้างของเขาแยกออก ปลายพู่กันฉ่ำชื้นค่อยๆ กวาดเข้าไปข้างใน
ระหว่างร่องก้นเหมือนทางเดินแห่งบุปผาในหุบเขา พู่กันปัดเบาๆ ถึงตรงนี้ก็ราวกับใช้พู่กันตวัดผ่านทางเดินแห่งบุปผา ลากไล้ปลายพู่กันลึกลงไป พอมาถึงหุบเขาส่วนลึกสุดกลางทางเดิน องค์ชายสามก็ขยับข้อมือเบาๆ พู่กันลากผ่านทางเดินแห่งบุปผาจากบนลงล่าง ผ่านหุบเขา นำพาน้ำผึ้งกวาดเข้าไป
‘อ๊า!’ หรูซิ่วแหงนหน้าร้องคราง เด็กหนุ่มถูกพู่กันปัดป่ายจนร่างกายสั่นสะท้านอย่างแรง ในหัวมีแต่เสียงดังหึ่งๆ แขนขาอ่อนยวบ ทว่าตัวตนด้านล่างกลับชูชัน เขากัดริมฝีปาก เขินอายจนหน้าแดง เดิมทีเขาคิดจะต่อต้าน แต่ความหฤหรรษ์ที่เกิดขึ้นทำให้เลิกความคิดนั้นไปแล้วหลับตาลง นอนคว่ำปล่อยให้ผู้เป็นนายทำตามอำเภอใจ
องค์ชายสามนิ่งมองใบหน้าด้านข้างของเขา ในใจสั่นสะท้าน
สำหรับเขาแล้วคืนนี้เป็นครั้งแรกที่บังเกิดแรงกระตุ้นแปลกใหม่อันใหญ่หลวง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มแสนเจ้าเล่ห์ ก็ยั่วให้เขาทั้งรักทั้งสงสารปนหงุดหงิด จนต้องหาวิธีจัดการมากมายที่ไม่เคยทำมาก่อน ทั้งตีก้น มัดข้อมือ ดื่มสุราโลมเลียแท่งหยก และใช้พู่กันวาดผ่านร่องก้น ความปรารถนาเต็มอกซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วยากจะระงับไว้ได้ถูกกระตุ้นเพราะเด็กหนุ่ม จนตัวเขาเองก็ยังประหลาดใจและนึกสงสัย
ค่ำคืนดึกดื่น ห้องลับในห้องหนังสือ แสงเทียนส่ายไหวไปมา รอบด้านเงียบสงัดไร้เสียง ทว่าสองคนบนเตียงกลับได้ยินเสียงหัวใจเต้นของอีกคน รัวเร็วขึ้นทุกที
เด็กหนุ่มนอนหมอบอยู่บนเตียง ก้มหัวต่ำ บั้นท้ายยกสูงเหมือนแมวยืดตัวบิดขี้เกียจ ที่พอเหยียดร่างออกหางก็เหยียดตรง ก้นกระดกสูง ท่าทางยั่วยวนน่าพิศ สามารถมองเห็นหุบเขาได้อย่างชัดเจน สีชมพูราวกับกลีบบุปผา
องค์ชายสามเอาพู่กันจุ่มน้ำผึ้งจนชุ่มอีกครั้ง ปัดป้ายหุบเขาสีชมพูของเด็กหนุ่มอย่างเบามือ วนเวียนหลายรอบ ราวสายฝนอันอ่อนโยนแห่งวสันตฤดูที่จู่ๆ ก็พร่างพรมลงมา กระแสอบอุ่นสะสมควบแน่นจนแผ่เป็นม่านไอน้ำ
เด็กหนุ่มหลับตา ทั่วร่างอ่อนยวบ ขณะเดียวกันก็ถอนหายใจแผ่วเบา รู้สึกราวกับได้ควบขี่กระแสลมขึ้นไปเยี่ยมเยียนถึงสวนท้อในดินแดนเซียน ร่างเขาเปลือยเปล่าราวกับทารกแรกเกิด คราแรกเหมือนถูกโอบล้อมด้วยน้ำพุอุ่นร้อน ต่อมาก็เหมือนมีดาวตกพุ่งผ่านไปทั่วร่าง บันดาลความหฤหรรษ์มาให้จนอดโก่งก้นแมวเหยียดสูงขึ้นไม่ได้
พอเห็นว่าได้เวลาแล้ว องค์ชายสามก็ค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปอย่างรวดเร็วและอ่อนโยน
หรูซิ่วลืมตาโพลงทันใด ดวงวิญญาณโผผิน เข้าใจแล้วว่าเหตุใดองค์ชายสามจึงคอยกระตุ้นเร้าที่ก้นเขาไม่หยุด แม้ใน ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ จะมีบทว่าด้วยการเสพสังวาสกับเพศเดียวกัน แต่กลับไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดว่าจะร่วมอภิรมย์อย่างไร เขาจึงเข้าใจผิดไปว่าที่เมื่อครู่พ่นของเหลวข้นออกมาคือเสร็จสิ้นแล้ว ทว่ายามนี้ดูจากสิ่งที่อีกฝ่ายทำ เห็นได้ชัดว่าจะเอาแท่งหยกแข็งตึงนั้นสอดใส่เข้าไปในร่างเขา เพียงแต่จะต้องสอดนิ้วเข้าไปก่อนเช่นนั้นหรือ
พอเด็กหนุ่มรู้แจ้งก็ไม่ขัดขืนอีก แต่ยังคงไม่แน่ใจว่าสิ่งนั้นจะสอดใส่เข้าไปในกายเขาได้หรือ หรูซิ่วอดใจเต้นด้วยความกังวลไม่ได้ แต่พอคิดอีกที หากนี่คือสิ่งที่คนรักทำกัน แม้ตนจะกระอักกระอ่วนใจ แต่ก็ปรารถนาจะให้ผู้เป็นนายได้ทำตามใจ
‘ซิ่วเอ๋อร์ อย่ากลัว ถ้าเจ็บก็รีบบอกข้า’ องค์ชายสามบอกเบาๆ นิ้วหนึ่งสอดเข้าไปเล็กน้อยแล้ว ครั้นเห็นเด็กหนุ่มเบิกตากว้างแต่ไม่ได้ทักท้วง จึงสอดเข้าไปอีกนิ้วหนึ่ง ก่อนจะขยับเบาๆ
หรูซิ่วสูดหายใจเฮือก ในใจยังมีความหวั่นกลัวและกระดาก แต่พอถูกสัมผัสส่วนเร้นลับข้างใน ทั่วร่างก็บังเกิดความหฤหรรษ์รัญจวน เขากัดฟันไม่กล้าร้อง ในความเสียวซ่านมีความเจ็บปวดอยู่รางๆ องค์ชายสามพลิกนิ้วเล็กน้อย เขานิ่วหน้าอดกลั้นไว้ ร่างสั่นสะท้าน ในที่สุดก็ร้องครางออกมาเบาๆ
‘ข้าทำเจ้าเจ็บหรือ ทำไมไม่บอก’ องค์ชายสามหยุดมือ ไม่กล้าสอดลึกเข้าไปอีก แต่แล้วก็เห็นเด็กหนุ่มกัดริมฝีปากล่างไว้แน่น เอี้ยวตัวมามอง แล้วทำท่าบอกให้เขาทำต่อ
องค์ชายสามตบหลังปลอบเบาๆ แล้วค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปอีกครั้ง
ชั่วพริบตาสองแขนของหรูซิ่วก็ดันร่างขึ้น กล่าวเบาๆ ว่า ‘เหตุใดนายท่านไม่ลองดู…’
องค์ชายสามไม่คิดมาก่อนเลยว่าเด็กหนุ่มจะเชื้อเชิญเช่นนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกฮึกเหิม แก่นกายแข็งตึงขึ้นทันที เห็นท่าทางหรูซิ่วยวนยั่วราวกับแมวน้อยก็โถมเข้าหา มือหนึ่งกอดเอวเด็กหนุ่มไว้ อีกมือคลำที่บั้นท้าย เอาน้ำผึ้งป้ายอีกครั้ง ก่อนจะใช้นิ้วมือสอดหยั่งเชิง แล้วหยัดร่างกดลงไป
สองมือหรูซิ่วกำผ้าห่มไว้แน่น เมื่อร่องก้นถูกถูไถ ตัวตนข้างล่างก็ชูชัน ทันใดนั้นในหุบเขาก็สั่นสะท้านขยายออก ทั้งความเจ็บปวดทั้งความหฤหรรษ์ประดังขึ้นมา สติรับรู้เลือนหายไปชั่วขณะ จิตใจสะท้านไหวรุนแรง เขารู้ว่าตนกำลังสอดประสานกับคนรัก ทันใดนั้นแขนขาก็อ่อนยวบ ปากร่ำร้องครวญคราง
ขณะเดียวกันองค์ชายสามก็รู้สึกหวั่นไหว ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเด็กหนุ่มเบื้องล่างจะทำให้จิตวิญญาณเขาหลุดลอยได้เช่นนี้ รูขุมขนทั่วร่างเปิดออก ส่วนนั้นฮึกเหิมกล้าแกร่ง แต่เขาพยายามสะกดอารมณ์ไว้ โอบประคองสะโพกเด็กหนุ่ม ดุนดันเบาๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่กล้ารุนแรง อดกลั้นจนเหงื่อตก ด้วยเกรงว่าหากเร่งรีบเกินไป คนด้านล่างจะเจ็บปวด
องค์ชายสามได้ยินเสียงร้องแผ่วเบา เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มกำลังเจ็บนัก เขาทนไม่ได้จึงหยุดแล้วคิดจะถอนกายออก แต่กลับถูกห้ามไว้
‘อย่าเพิ่งเอาออก ซิ่วเอ๋อร์…ซิ่วเอ๋อร์อยากอยู่ร่วมกับนายท่าน’ หรูซิ่วกัดฟัน หน้าผากพราวไปด้วยหยาดเหงื่อ
องค์ชายสามซาบซึ้งใจยิ่ง เมื่อนึกถึงคำพูดและการกระทำของหรูซิ่วในยามปกติ ล้วนเผยให้เห็นความรักและเคารพต่อตนผู้เป็นนาย หลายครั้งเห็นได้ชัดว่าต้องการจะเอาใจ เมื่อก่อนตนเคยมองเขาเป็นเพียงแค่เด็ก แต่ในยามนี้องค์ชายสามรู้แน่แก่ใจแล้วว่าความรักและความใคร่ของตนถูกจุดประกายขึ้นอย่างแท้จริง ตนไม่อาจเพิกเฉยต่อเด็กหนุ่มได้อีกต่อไป
สองคนแนบร่างชิดสนิทราวกับเป็นกายเดียว เคลื่อนขยับส่ายไหวไปตามแรงปรารถนาไม่หยุด ผู้อยู่เบื้องบนกดลง พยายามสอดลึกอย่างช้าๆ คนเบื้องล่างทนรับ หวังเพียงได้ร่วมอภิรมย์
เมื่อสะเก็ดไฟปะทุ ก็แผดเผาไหม้ลามจนกลายเป็นไฟป่า
หุบเขาขยายออก โอบล้อมรอบองค์ชายสาม สองร่างสั่นสะท้าน
ชั่วพริบตาเด็กหนุ่มก็ร้องสะอื้นเหมือนแมว แผ่นหลังแอ่นโค้ง ตัวตนข้างล่างปลดปล่อยออกมา ผู้อยู่ด้านบนกอดรัดร่างเขาไว้ แก่นกายแข็งตึงกดลึกลงในช่องทางของเด็กหนุ่ม สั่นกระตุกครู่หนึ่ง ในที่สุดความปรารถนาก็พวยพุ่ง
หรูซิ่วเหงื่อท่วมตัว ร่างสั่นสะท้าน องค์ชายสามกอดเขาไว้แล้วนอนลง ทั้งรักทั้งสงสาร จึงตบปลอบไม่หยุด เมื่อเห็นเขาเงยหน้ามองตนด้วยรอยยิ้มพึงใจ ความรู้สึกก็ประดังถั่งท้น อดจุมพิตดูดดื่มอีกหลายครั้งไม่ได้ สองแขนโอบกอดแน่นอย่างไม่อาจห้ามใจ สะท้านหวั่นไหวไม่สิ้นสุด
เสพสมในคืนเหมันต์ สองเงาร่างเปลือยเปล่าซุกกายใต้ผ้าห่มผืนเดียว หน้าแนบหน้า ตระกองกอดกันหลับใหล
ไห่ถังลู่ลง เสน่หาเพิ่มพูน
ฤดูเหมันต์ ลานด้านในมีต้นสุยซือไห่ถังยืนต้นงดงาม ทั้งที่ยังไม่ถึงฤดูกาลออกดอก แต่เมื่อคืนกลับมีดอกตูมผลิบนกิ่งก้าน อาจเป็นเพราะได้รับน้ำค้างที่บังเอิญตกลงมาอย่างชุ่มฉ่ำ เพียงชั่วข้ามคืนจึงผลิดอกอย่างเงียบเชียบ กลีบดอกละมุนลู่ลง พอสายลมหนาวพัดผ่านมาก็สั่นไหวไปตามแรงลม ราวกับเด็กหนุ่มที่ก้มหน้าหนาวสะท้านไม่อาจทานทน ดูแล้วช่างน่าเวทนา
องค์ชายสามสวมเสื้อคลุมกันลมหนังเตียว* สีดำ ยืนอยู่ใกล้ดอกของมัน เขาเอื้อมมือขึ้นไปสัมผัสดอกสุยซือไห่ถังดอกนั้นอย่างเบามือ แล้วหวนนึกถึงคนในอ้อมกอดเมื่อคืน ใบหน้าเคร่งขรึมปรากฏรอยยิ้มอบอุ่น จากนั้นครู่หนึ่งเขาก็เรียกหรูซย่ามาสั่งการเรื่องกิจธุระบางเรื่องอย่างละเอียด แล้วเดินทางไปทำงานที่กรมพิธีการ
ตะวันในฤดูเหมันต์ค่อยๆ ลอยสูง
ในห้องลับด้านในห้องหนังสือ ขนตาของเด็กหนุ่มค่อยๆ ขยับ พอลืมตาขึ้นก็เหลือบมองข้างกายทันที เมื่อพบว่าคนข้างกายไม่อยู่นานแล้วก็อดรู้สึกโหวงๆ ไม่ได้ แต่ก็พบว่าตนสวมเสื้อตัวในกับกางเกงยาวเรียบร้อย นายท่านต้องเป็นคนสวมให้แน่ ในใจพลันอุ่นวาบ ภาพต่างๆ เมื่อคืนผุดพรายขึ้นในห้วงความคิด เขาพลิกนอนตะแคง ยื่นมือไปลูบไล้ตรงที่องค์ชายสามทอดกายลงนอนเมื่อคืน สองแก้มแดงก่ำอย่างไม่อาจห้าม
แต่ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา เขาตกใจจนรีบพลิกตัวนอนหงายแล้วหลับตา พอเงี่ยหูฟังก็พบว่าไม่ใช่เสียงฝีเท้าขององค์ชายสาม เพิ่งจะเบาใจได้ บานประตูก็ถูกผลักเปิดออก หัวใจเขาเต้นรัว กังวลว่าหากผู้มาเห็นเขานอนอยู่ห้องด้านในคงจะเกิดข้อสงสัย ขณะกำลังว้าวุ่นลนลาน อีกฝ่ายก็นั่งลงที่ขอบเตียง แล้วเอาฝ่ามือทาบบนหน้าผากเขา จากความหยาบกร้านของฝ่ามือที่สัมผัสได้ หรูซิ่วจึงลืมตาขึ้นทันที
‘พี่หรูซย่า’ เขาแสร้งทำเป็นเพิ่งตื่น กะพริบตางัวเงียมองคนตรงหน้า
อีกฝ่ายถามอย่างเป็นกังวล ‘ข้าเสียงดังจนทำเจ้าตื่นหรือ’
เขาส่ายหน้า ท่าทางขัดเขิน ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นปิดครึ่งหน้าอย่างไม่รู้ตัว พูดด้วยความลังเล ‘เมื่อคืน…’
‘ข้ารู้ องค์ชายสามทรงบอกหมดแล้ว’
หรูซิ่วตกใจจนเกือบจะกระโดดลงจากเตียง กระทั่งได้ยินประโยคต่อมาถึงค่อยถอนหายใจโล่งอก
‘เจ้ารู้สึกไม่สบายทำไมถึงไม่มาหาข้า องค์ชายสามทรงบอกว่าหากไม่ใช่เพราะหาหนังสือไม่พบ แล้วเสด็จไปเรียกหาเจ้า ก็คงไม่รู้ว่าเจ้ามีไข้’
หรูซิ่วรีบรับสมอ้าง ไม่คิดเลยว่าองค์ชายสามจะโกหกเก่งขนาดนี้ โชคดีที่หรูซย่าไม่ใช่คนขี้สงสัย และเชื่อฟังเจ้านายเสมอมา
‘พอได้นอนหลับ ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกดีขึ้นมาก’ เห็นสีหน้าหรูซย่าเต็มไปด้วยความกังวล หรูซิ่วก็ไม่กล้าโกหกพล่อยๆ ได้แต่เก็บงำคำพูดที่ไม่จำเป็นเอาไว้
‘องค์ชายสามตรัสว่าห้องของเจ้าหนาวเกินไป สภาพก็เก่าโกโรโกโส ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ข้าสะเพร่าไม่ทันคิด เมื่อเช้าข้าพาคนไปช่วยเปลี่ยนห้องให้เจ้าแล้ว เครื่องนอนข้าวของต่างๆ ล้วนเปลี่ยนใหม่ ยังมีเสื้อกันลมตัวหนา รองเท้ากับของอย่างอื่นอีก ตอนสายๆ เจ้าค่อยไปดูเองก็แล้วกัน’
‘ทำอย่างนี้ข้าก็แย่น่ะสิ! เด็กรับใช้คนอื่นๆ ต้องไม่ชอบใจแน่’ หรูซิ่วโอด
‘ใครกล้าไม่ชอบใจ’ หรูซย่าถลึงตา น้ำเสียงฟังดูออกจะโอ้อวด ’เจ้ารับมีดบินแทนองค์ชายสาม บัดนี้สถานะต่างไปจากเดิมหน้ามือเป็นหลังมือ จะไม่สมควรได้รางวัลตอบแทนมากหน่อยหรือ หากใครไม่พอใจก็ให้เขามาพูดกับข้านี่’
หรูซิ่วเอ่ยขอบคุณเบาๆ รู้สึกอบอุ่นในใจ หลายปีที่ผ่านมาหรูซย่าเป็นเสมือนพี่ชายของเขา คอยดูแลเขาเป็นอย่างดี ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนคอยปกป้อง
‘ยังมีอีกเรื่อง องค์ชายสามทรงบอกว่าหากหรูตงทำหน้าที่เด็กรับใช้ในห้องหนังสือไม่ได้ ก็รอให้เจ้าอาการดีขึ้นก่อน ถึงค่อยกลับไปทำงานในห้องหนังสือ’ หรูซย่าเกรงว่าคนอายุยังน้อยอย่างเขาจะรู้สึกผิดหวัง จึงรีบบอก ‘แต่ถ้าเจ้าอยากเรียนวิชามวย ข้าหาเวลามาสอนให้ได้นะ’
‘พี่หรูซย่าอย่าผิดคำพูดก็แล้วกัน’ หรูซิ่วจงใจเย้าเล่น ‘แต่พี่อย่าจงใจสอนมั่วๆ ปิดบังเคล็ดวิชาเพราะกลัวว่าข้าจะเก่งกว่าท่านล่ะ’
‘มิน่าเล่าองค์ชายสามจึงทรงบอกว่าเจ้าเป็นคนเจ้าเล่ห์ ฟังสิว่าพูดอะไรออกมา!’ หรูซย่ากำลังจะเขกหน้าผากเขาสักที แต่นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนอีกฝ่ายเพิ่งจะไข้ขึ้น จึงรีบเก็บมือแล้วเปลี่ยนเป็นตีเบาๆ แทน
ทั้งสองคุยเล่นกันอยู่พักหนึ่ง หรูซย่าเตือนให้เขานอนพักให้สบายใจไปก่อนอีกสักสองวัน แล้วจึงค่อยเดินจากมา
ทว่าหรูซิ่วห้ามความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหว รีบลุกขึ้นหวีผมอาบน้ำลวกๆ พอเดินออกมาจากห้องก็เห็นว่าเป็นยามเที่ยงวันแล้ว เขายังไม่ไปกินข้าว เพราะใจมุ่งแต่จะไปดูห้องใหม่ ยามที่ก้าวเดินก็รู้สึกเหมือนร่างกายท่อนล่างผิดแปลกไป จึงอดกระวนกระวายใจไม่ได้ ดีที่ไม่ได้รู้สึกเจ็บเหมือนเมื่อคืน ทว่าเขาก็รู้สึกอีกเช่นกันว่าร่างกายนี้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ทั้งสดชื่นและงดงามเหมือนได้เกิดใหม่ ราวกับกิ่งก้านต้นไม้ที่อาบน้ำค้างมาทั้งคืน
ห้องใหม่ของเขาอยู่ติดกับห้องนอนขององค์ชายสามเพียงผนังกั้น ก่อนหน้านี้เป็นห้องของหรูซย่า พอครึ่งปีก่อนหรูซย่าแต่งภรรยา องค์ชายสามจึงมอบห้องที่กว้างขวางกว่าเดิมให้ ห้องนี้จึงกลายเป็นห้องว่างมาตลอด
มาบัดนี้ห้องเป็นของเขาแล้ว!
หรูซิ่วดีใจเป็นที่สุด ขลุกอยู่ในห้องคนเดียว เดี๋ยวเอาเสื้อกันลมตัวหนาบนชั้นมาสวมทับแล้วหมุนตัวไปมา เดี๋ยวลองสวมรองเท้าหนังวัวหุ้มข้อที่วางไว้หน้าเตียง พอเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออก ข้างในก็มีเสื้อตัวในที่ดูนุ่มสบายแขวนเรียงกันไว้หลายตัวอย่างเป็นระเบียบ บนโต๊ะตัวเล็กมีสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ** ที่เขาใช้จนคุ้นมือ รวมถึงธูปหอมก็ถูกจัดวางไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ชำระร่างกายก็เปลี่ยนใหม่ ยังมีสบู่และขี้ผึ้งหอมที่ดูมีราคาวางไว้ข้างอ่างล้างหน้าด้วย เขาหยิบขึ้นมาสูดดมกลิ่นก็ปลาบปลื้มใจ แม้เมื่อครู่จะล้างหน้ามาแล้ว แต่พอได้เครื่องหอมเหล่านี้มาก็นึกอยากจะล้างใหม่อีกครั้งเสียอย่างนั้น
หลังจากหยิบจับเสื้อผ้าข้าวของต่างๆ มาเชยชมด้วยความเบิกบานจนหัวใจพองโต หรูซิ่วก็นอนลงบนเตียงที่นุ่มสบาย ก่อนจะลูบไล้ผ้าปูอย่างพึงพอใจ ของเหล่านี้เป็นผ้าไหมเนื้อดีเช่นเดียวกับที่ใช้ในห้องด้านในของห้องหนังสือ หมอนหนุนนอนแล้วแสนสบาย ยังมีกลิ่นหอมสะอาดของใบชาเจืออยู่ด้วย สองข้างเตียงแขวนถุงหอมล้ำค่าเอาไว้ หรูซิ่วพบว่าในฟูกนอนยังมีกล่องผ้าที่เขาใช้ซ่อนเงินวางไว้อย่างเรียบร้อย พอเปิดออกดูก็ต้องตกตะลึง
ป้ายหยกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ และพัดจีบหักๆ ซึ่งเขาแอบเก็บไว้หายไปแล้ว เปลี่ยนเป็นพัดจีบลายดอกเบญจมาศเล่มหนึ่งที่องค์ชายสามใช้อยู่เสมอเมื่อหน้าร้อนปีกลาย และป้ายหยกสีเขียวสดที่องค์ชายสามห้อยไว้ที่เอวเป็นประจำ
นายท่าน…
หรูซิ่วซาบซึ้งใจจนขอบตาร้อนผ่าว เขาใช้ชายแขนเสื้อขัดถูป้ายหยกอย่างทะนุถนอม แล้วนำมาสอดเก็บไว้ในอกเสื้อข้างหัวใจ ก่อนจะหยิบออกมาแนบแก้มอยู่เป็นนาน จากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิบนเตียง เอาแต่เล่นพัดจีบและป้ายหยกไม่ยอมวางมือ
จู่ๆ ก็มีเสียงสวบสาบดังขึ้น เขารีบหันไปมอง แทบจะในเวลาเดียวกันเสียงขององค์ชายสามก็ดังแว่วมา ‘ที่แท้มาหลบอยู่นี่เอง เล่นอะไรอยู่หรือ’
‘มีทางทะลุถึงกันได้อย่างไร’ หรูซิ่วตกตะลึง มององค์ชายสามผลักผนังข้างตู้เสื้อผ้าแล้วเดินออกมา
องค์ชายสามเห็นเขาในมือหนึ่งถือป้ายหยก อีกมือถือพัดจีบ ก็มองอย่างประหลาดใจ อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ‘นี่เป็นทางลับ เพื่อความสะดวกในการคุ้มกันภัยจึงได้สร้างทางลับที่ผนังขึ้น ที่ผ่านมามีเพียงข้ากับหรูซย่าที่รู้ แต่ตอนนี้มีเจ้าเพิ่มมาอีกคน’
‘ช่างสร้างได้ดียิ่ง!’ หรูซิ่วรีบลงจากเตียง วิ่งไปสำรวจดูทางลับอย่างละเอียด เขาแปลกใจนัก ไม่คิดเลยว่าถ้าผลักผนังข้างตู้เสื้อผ้าเข้าไปก็จะเดินไปถึงห้องนอนขององค์ชายสามได้ ไม่ต้องใช้ประตูใหญ่ข้างนอก ใครก็ไม่รู้ไม่เห็น ช่างลึกลับน่าสนใจจริงๆ
‘แต่เหตุการณ์ในวังก็สงบราบรื่นตลอดมา จึงแทบไม่ได้ใช้เลย’ แต่ช่วงนี้กลับไม่สงบสุขเสียแล้ว เขาพลันคิดถึงมือสังหารปากแข็งผู้นั้นที่ไม่ยอมปริปากแม้แต่คำเดียว แล้วก็นึกถึงหรูจงที่เช้านี้พอฟื้นขึ้นมา ก็ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนในเรื่องนี้ เอาแต่ร้องว่าถูกใส่ความ ยังบอกว่าจะยอมตายเพื่อพิสูจน์ความจริง ช่างน่าปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก
‘วันหน้าหากนายท่านเรียกหากลางดึก ข้าจะผลักผนังด้านนี้เข้าไปรับใช้’ หรูซิ่วยินดีอย่างยิ่ง ลองเปิดปิดประตูไปมาไม่หยุด
องค์ชายสามเห็นท่าทางหรูซิ่วบริสุทธิ์ไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อย ความขุ่นข้องในใจก็สลายไปโดยพลัน ตอนที่เขาบอกว่าจะเข้ามารับใช้ยามดึก แม้ตนรู้ว่าคงไม่ได้มีเจตนาจะบอกเป็นนัย แต่พอได้ฟังแล้วก็ออกจะรู้สึกสองแง่สองง่ามอยู่บ้าง จึงอดยิ้มไม่ได้
หนุ่มน้อยสังเกตเห็นรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าผู้เป็นนาย ก็พบว่าตัวเองหลุดปากพูดอะไรออกไป ทันใดนั้นทั้งใบหน้าใบหูก็แดงก่ำ เขาวิ่งไปที่หน้าตู้เสื้อผ้าอย่างกระอักกระอ่วน แล้วหยิบเสื้อกันลมขึ้นมา พูดวกวนละล่ำละลักกล่าวขอบคุณ ระหว่างนั้นองค์ชายสามเอาแต่ยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปหาพลางเรียกเสียงเบา ‘ซิ่วเอ๋อร์ มาหาข้าสิ’
หรูซิ่วซึ่งกำลังแสร้งทำเป็นจับเสื้อกันลมเล่น เมื่อเห็นว่าเจ้านายกวักมือเรียก ค่อยเดินไปหาอย่างเหนียมอาย เมื่ออยู่ห่างอีกสองสามก้าวก็ถูกอีกฝ่ายดึงเข้าไปกอด เขาเงยหน้าขึ้นมองนิ่ง ท้วงเบาๆ ‘นายท่าน…’
‘เมื่อคืนลำบากเจ้าแล้ว’ องค์ชายสามพูดเสียงทุ้มต่ำ มือหนึ่งโอบเอวเขา อีกมือลูบไล้บั้นท้ายไปจนถึงต้นขา ‘หลังมื้อเย็น ข้าจะทายาให้’
หรูซิ่วหน้าแดงซ่านขึ้นทันที เมื่อคืนเขาอ่อนเพลียมาก แต่ขณะหลับก็รู้สึกได้ว่าตรงที่ที่สองร่างแนบชิด เหมือนจะมีอะไรบางอย่างมาถูไถ ทำให้รู้สึกสบายอย่างยิ่ง หรูซิ่วเขินอาย รีบบอกว่า ‘ข้าทาเองก็ได้ขอรับ’
‘เจ้าไม่เห็นตรงที่เป็นแผล จะทายาได้อย่างไร’ องค์ชายสามพูดด้วยท่าทีสนิทสนม ราวกับจะบอกว่านี่เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว แต่ถ้อยคำที่พูดออกมากลับทำให้หรูซิ่วแทบอยากจะมุดหนีลงดิน ต่อให้ปกติเขาจะพูดเก่งเพียงใด แต่เวลานี้กลับเขินอายจนพูดอะไรไม่ออกทำอะไรไม่ถูก องค์ชายสามเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มก็นึกสงสาร จึงลูบไล้ใบหน้าเขาเบาๆ แล้วถามเรื่องที่ตนกังวลมาทั้งวัน ‘เวลาเดินเจ็บหรือไม่’
‘…นายท่านอย่าถามอีกเลย’ น้ำเสียงแทบจะอ้อนวอน เขาไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดีแล้ว ‘ข้าขอร้องท่าน’
‘ที่แท้ซิ่วเอ๋อร์ก็เป็นคนขี้อายถึงเพียงนี้’ องค์ชายสามอารมณ์ดี จึงหยอกเย้าเขาเล่นอย่างสบายใจ
‘นายท่านต่างหากที่หน้าหนา’ หรูซิ่วหลุดปากออกมา แต่แล้วก็รีบเม้มปากแน่น มองเขาอย่างหวาดระแวง
‘ทำท่ากลัวให้น้อยๆ หน่อย คิดว่าข้าไม่รู้นิสัยเจ้าหรือไร ทั่วทั้งวังแห่งนี้มีเจ้าที่เจ้าเล่ห์ที่สุด’ องค์ชายสามยิ้มพลางต่อว่า
‘ข้าเจ้าเล่ห์ตรงไหนกัน! หรูจงต่างหากที่เจ้าเล่ห์ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาลอบเอาบทบวงสรวงไปให้มือสังหาร แต่กลับยืนกรานไม่ยอมรับเสียนี่’ หรูซิ่วพูดอย่างกระฟัดกระเฟียด
‘พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็น่าโมโหนัก พอเขาได้สติฟื้นขึ้นมา ก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้จะปลิดชีพตัวเอง หรูซย่าต้องสั่งให้คนคอยจับตาดูไว้ ป้องกันไม่ให้เขาคิดสั้นขึ้นมา’
หรูซิ่วทำเสียงเยาะแสดงความดูหมิ่น ’พวกที่วันๆ เอาแต่พูดว่าจะตายๆ นี่ล่ะที่กลัวตายที่สุด ข้าว่าต่อให้คนอื่นๆ ตายกันหมด เขาก็ยังมีชีวิตอยู่…ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้เสียแล้ว ข้าจะต้องหาทางกระชากหน้ากากเขาออกมาให้ได้’
‘พูดถึงเรื่องนี้…วันนี้ข้าคิดๆ อยู่นาน เจ้ายังอายุน้อย เรื่องเหล่านี้อย่าสอดมือเข้าไปยุ่มย่ามจะดีกว่า ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องพลอยยุ่งยากไปด้วย’ น้ำเสียงองค์ชายสามอบอุ่นอย่างยิ่ง พูดไปก็ลูบไล้ใบหน้าเขาไปด้วย
หรูซิ่วไม่ยอม ‘ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว เมื่อคืนนายท่านยังพูดอยู่เลย…’
‘เรื่องเหล่านี้จัดการลำบาก อาจมีอันตรายแฝงอยู่’ เดิมทีเขาก็ทนไม่ได้อยู่แล้วที่หรูซิ่วต้องได้รับบาดเจ็บ ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าหลังจากผ่านเรื่องเมื่อคืนมา และความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง เขาจึงยิ่งไม่อยากให้หรูซิ่วต้องเสี่ยงอันตราย
‘ข้าเพียงเสนอความเห็นอยู่ข้างๆ เท่านั้น จะมีอะไรน่ากลัวได้เล่าขอรับ อีกอย่าง มองอย่างไรข้าก็เห็นว่าพี่หรูซย่าต้องมีผู้ช่วย’ คนในวังองค์ชายสามล้วนทำงานแบบเอื่อยเฉื่อย ไม่มีใครช่วยงานได้ จะไม่ให้เขาร้อนใจได้อย่างไร หรูซิ่วไม่ยอม พยายามหว่านล้อมอย่างกระตือรือร้นไม่หยุด เขาเห็นผู้เป็นนายเอาแต่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า จึงยิ่งใจกล้า ยื่นมือไปลูบเอาใจ ‘นายท่านให้ข้าช่วยเถอะนะขอรับ ข้าก็แค่ใช้ปากทำงานเท่านั้นเอง’
องค์ชายสามนิ่งไปครู่หนึ่ง ลังเลไม่แน่ใจ แต่พอเห็นหรูซิ่วคอยอ้อนวอนไม่หยุด ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ‘อันที่จริงในวังก็ไม่มีคนที่มีความสามารถ หรูซย่าก็ไม่ได้เก่งกาจเรื่องการสืบคดี…เอาล่ะ ที่ผ่านมาคนหัวไวอย่างเจ้ามีความคิดมากกว่าคนอื่นเขาหน่อย เช่นนั้นก็ให้เจ้ากับหรูซย่าช่วยกันตรวจสอบแล้วกัน แต่เจ้าต้องรับปากว่าจะไม่ทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายเด็ดขาด’
‘ขอรับ หากมือสังหารมาอีก ข้าจะหลบอยู่ข้างหลังพี่หรูซย่าก็แล้วกัน’ หรูซิ่วตั้งใจพูดให้บรรยากาศผ่อนคลาย หยอกองค์ชายสามให้สบายใจ
‘เจ้ายังจะกล้าพูดอีก ดูเสียก่อน เมื่อคืนพ่ายแพ้ยับเยินมิใช่หรือ’ องค์ชายสามต่อว่า ‘ข้าจะหาอาจารย์คนใหม่มาสอนให้ ยังจะจับตาดูเจ้าฝึกซ้อมอย่างใกล้ชิดอีกด้วย’
‘ไม่ใช่เพราะข้าอ่อนแอ แต่นายท่านแข็งแกร่งเกินไป’ หรูซิ่วแก้ตัวเสียงอ่อย แล้วก็นึกขึ้นมาได้ ‘นายท่านสอนข้ายิงธนูได้หรือไม่ขอรับ คืนนั้นนายท่านยิงธนูคราเดียวก็ถูกมือสังหารที่อยู่บนหลังคา ช่างเปิดหูเปิดตาจริงๆ ข้าเองก็อยากจะหัดบ้าง’
องค์ชายสามเห็นสายตาแสดงความชื่นชมนับถือของเขา สักพักก็ใจอ่อน ก้มหน้าจุมพิตแล้วพยักหน้า ‘รอให้แผลเจ้าหายดีเสียก่อน ข้าจะสอนให้’
ทั้งสองยืนจูบกันอย่างดูดดื่มหน้าทางเดินลับครู่หนึ่ง ขณะองค์ชายสามกำลังจะดึงสายคาดเอวของเขาออก พลันได้ยินเสียงท้องร้องก็แปลกใจ ‘ตั้งแต่ตื่นมาจนถึงตอนนี้ เจ้ายังไม่ได้กินอะไรเลย?’
‘เมื่อครู่มัวแต่ดูห้องใหม่ ก็เลยลืมกินข้าวขอรับ’ หรูซิ่วเห็น ผู้เป็นนายจู่ๆ ก็ทำหน้าขึงขัง จึงรีบพูดเอาใจ ‘ต่อไปซิ่วเอ๋อร์จะไม่ทำอีก นายท่านอย่าต่อว่าข้าเลยนะ’
‘คราวหน้าอย่าทำอีกก็แล้วกัน’ องค์ชายสามเห็นอีกฝ่ายทำท่าออดอ้อน จึงลูบไล้ใบหน้าเขาพลางกล่าว ‘ข้าจะให้คนไปเตรียมอาหารให้ เจ้ายังไม่หายดี จะปล่อยให้ตัวเองหิวโซได้อย่างไร’
หรูซิ่วเห็นองค์ชายสามปฏิบัติต่อตนอย่างอบอุ่นอ่อนโยนก็ยิ่งมุ่งมั่นอยากช่วยแบ่งเบาภาระ อย่าว่าแต่ให้แสดงความเห็นเฉยๆ เลย ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟก็จะไม่พร่ำบ่น เขาไม่กลัวอะไรทั้งนั้น กลัวก็แต่องค์ชายสามจะไม่อยากให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
ทั้งสองคลอเคลียกันอีกสักพัก หรูซิ่วจึงพบว่ามือทั้งสองข้างขององค์ชายสามล้วงเข้าไปในเสื้อของตนแล้ว เขาอดกังวลไม่ได้ว่าชายหนุ่มจะทำสิ่งที่ทำไปเมื่อคืนทั้งหมดอีกครั้ง ให้ทำเรื่องพรรค์นั้นกลางวันแสกๆ เขารู้สึกตะขิดตะขวงใจ จึงรีบเบี่ยงเบนความสนใจอีกฝ่ายอย่างแนบเนียน ด้วยการถามความเป็นไปในช่วงหลายวันมานี้ แต่ฟังๆ แล้วก็ไม่มีอะไรผิดแปลก จึงพูดว่า ‘ข้าว่าอย่ากักตัวจงเอ๋อร์อีกเลย แสร้งทำเป็นเชื่อเขาไปก่อน ปล่อยให้ทำอะไรอย่างอิสระ พวกเราเพียงคอยสังเกตการณ์ในทางลับ ถ้าเขามีพิรุธจริงๆ จะต้องมีความเคลื่อนไหวอีกเป็นแน่ ถึงตอนนั้นเราอาจได้เบาะแสที่สามารถสาวไปถึงตัวการใหญ่ได้’
องค์ชายสามครุ่นคิด ก่อนจะหยิกแก้มเขาเบาๆ ‘เจ้ากับเขามีความแค้นต่อกันมานาน คงไม่ใช่ถือโอกาสแก้แค้นหรอกนะ’
‘ตอนนี้การสืบหาความจริงสำคัญที่สุด หากเขาทรยศนายท่านจริงๆ ข้าจะบดขยี้เขาไม่ให้เหลือแม้แต่ขี้เถ้า แต่หากเป็นการเข้าใจผิดก็จะได้ล้างมลทินให้ผู้บริสุทธิ์ อีกหน่อยค่อยคิดหาทางแก้แค้นโดยอ้างอำนาจหน้าที่ก็ได้’ หรูซิ่วพูดจบก็ทนไม่ไหว หัวเราะร่า
‘น่าจะตั้งเจ้าให้เป็นเด็กหนุ่มเจ้าเล่ห์อันดับหนึ่งของแผ่นดิน’ องค์ชายสามตีก้นเขาทีหนึ่ง
‘นายท่านตีข้าอีกแล้ว!’ หรูซิ่วท้วง ‘แต่ข้าว่านายท่านก็ควรตั้งตนเป็นเจ้านายหน้าหนาอันดับหนึ่งของแผ่นดินด้วยนะขอรับ’ พูดจบก็ผลุบออกจากอ้อมกอดองค์ชายสาม จะวิ่งหนีไป
องค์ชายสามรู้สึกว่าน่าขัน เขาเพียงก้าวเท้าออกไปก็คว้าตัวหรูซิ่วกลับมาได้ แล้วจึงแสดงความรักใคร่สนิทแนบแน่นกันอีกรอบ…
เมื่อหวนคิดดูแล้ว คงจะเริ่มตั้งแต่ตอนนั้นที่หรูซิ่วย่างเท้าก้าวเข้าสู่โชคชะตาอันพลิกผันขององค์ชายสาม สุดท้ายก็ได้ร่วมหัวจมท้ายจนไม่อาจถอนตัว
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ตรารักสายเลือดบาป เล่ม 1 ฉบับเต็ม
ได้ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป, JamClub หรือคลิกสั่งซื้อได้ที่ Jamshop
* เตียวเป็นคำเรียกสัตว์ตระกูลมิงก์ เออร์มิน เซเบิ้ล และมาร์เทิน ขนหนานุ่มมีค่ามาก มักใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มกันหนาว
** สี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ หมายถึงของสำคัญสี่อย่างในห้องหนังสือ ได้แก่ กระดาษ พู่กัน หมึก และแท่นฝนหมึก
Comments
comments