บทนำ
ณ ดินแดนสู่ ท่ามกลางดินแดนแห่งขุนเขานี้ สายฝนกำลังจะมาเยือน สายลมอันบ้าคลั่งพลันซัดเปิดบานหน้าต่าง โหมตีกรอบหน้าต่างจนบังเกิดเสียงปังๆ ดังบาดหู จานฝนหมึกและที่ทับกระดาษซึ่งวางอยู่บนโต๊ะล้วนถูกกวาดร่วงลงสู่พื้น ลมกระโชกหอบเอาแผ่นกระดาษซึ่งไร้ที่ยึดเหนี่ยวปลิวว่อนไปทั่วทิศ ใต้โต๊ะมีหนังสือกราบทูลที่ฉีกขาดเป็นสองท่อนตกกระจายอยู่หลายเล่ม
ในอากาศคละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวโลหิตอันเข้มข้น สตรีอ่อนเยาว์ในชุดชาววังสี่ห้านางนอนล้มระเนระนาดจมกองเลือดซึ่งไหลนองอยู่เกลื่อนพื้น หนึ่งในจำนวนนั้นยังไม่ตายสนิท ดวงตาที่เคยงดงามคู่นั้นกึ่งลืมกึ่งปิด ริมฝีปากอ้าหุบอย่างไร้เรี่ยวแรง มุมปากพ่นฟองน้ำลายปนเลือดออกมาหนึ่งสาย แลคล้ายปลาตัวหนึ่งซึ่งกำลังจะแห้งตาย
พวกนางล้วนเป็นสนมของโฮ่วตี้ หลิวเหยี่ยน เด็กสาวผู้นี้เยาว์วัยกว่าใคร นางเพิ่งจะอายุเพียงสิบสามปีเท่านั้น บิดาของนางคือเจ้าเมืองเทียนสุ่ย เมื่อโฮ่วตี้ถอยร่นมารักษาเมืองเฉินชังที่อยู่ใกล้เคียงจึงได้รับนางเป็นสนมอย่างรีบร้อน ทว่ายังไม่ถึงครึ่งปีก็เสียเมืองเฉินชังเสียแล้ว พวกนางจึงต้องติดตามโฮ่วตี้หลบหนีเรื่อยมาจนถึงที่นี่…เมืองเปาเฉิงในดินแดนสู่
ทว่าบัดนี้หญิงงามสะคราญโฉมทั้งยังอ่อนเยาว์เหล่านี้กลับต้องจบชีวิตจนสิ้น
เมื่อชั่วครู่ก่อนหลิวเหยี่ยนเรียกตัวสตรีเหล่านี้เข้ามา และมองดูหลิวซันขันทีคนสนิทของตนลงมือสังหารพวกนาง
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาทเพคะ! ทรงละเว้นหม่อมฉันเถิด ละเว้นหม่อมฉันด้วย! บิดาของหม่อมฉันจะนำกองหนุนมาถวายอารักขา! ฝ่าบาท…”
หยดเลือดเปรอะบนดวงหน้าของเด็กสาวเยาว์วัยผู้นั้น หยาดน้ำตาของนางร่วงพรูดุจไข่มุกที่ขาดจากสาย ไหลไม่หยุดยั้งลงมาตามดวงหน้าละอ่อนที่ยังคงตื่นผวามิคลาย บริเวณหน้าอกของชุดชาววังสีเหลืองอ่อนถูกโลหิตที่ไหลออกมาจากข้างลำคอย้อมจนกลายเป็นสีส้มอันฉูดฉาด
เมื่อครู่หลิวซันฟันลำคอของนางไปแล้วหนึ่งดาบ บางทีอาจเพราะคมดาบสังหารคนมามากเกินไปจนทื่อด้าน นางจึงดิ้นหลุดออกไปได้ บาดแผลบนลำคอสายนั้นยังคงไม่ถึงแก่ชีวิต นางทรุดฮวบลงกับพื้น ศีรษะเอียงกระเท่เร่ เลือดไหลพรากจากลำคอขณะที่นางใช้ทั้งมือและเท้าคลานกระเสือกกระสนไปเบื้องหน้า หมายหลบหนีออกจากห้องซึ่งอัดแน่นด้วยกลิ่นคาวโลหิตอันเข้มข้นและกลิ่นอายเย็นเยือกของความตาย สิ่งที่ทิ้งไว้อยู่เบื้องหลังคือคราบเลือดคดเคี้ยวสายหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นหลังจากร่างของนางลากผ่าน
ดวงหน้าอันหล่อเหลาหมดจดของโฮ่วตี้หลิวเหยี่ยนกลับมีสีหน้าทึ่มทื่อประดุจไม้สลักรูปปั้นดินเผาที่ไร้ซึ่งชีวิต ดวงตาของเขามิได้แลไปยังจวงเฟย ที่กำลังพยายามวิงวอนขอความเมตตาจากเขาแต่อย่างใด หากแต่ทอดสายตาข้ามศีรษะของนาง เหม่อมองไกลไปยังทิศทางของประตูเมืองซึ่งแท้จริงไม่อาจมองเห็น
ไม่อาจรักษาเมืองเปาเฉิงเอาไว้ได้ ยามนี้แตกพ่ายแล้วเช่นกัน
ข้างหูของเขาคล้ายได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีดังสะเทือนฟ้าหลังทหารกบฏแคว้นเยียนตีกำแพงเมืองแตก อีกไม่ช้าพวกมันก็จะบุกมาถึงที่นี่แล้ว
เมื่อครึ่งปีก่อน เว่ยเซ่าขุนศึกแห่งเยียนโยว ซึ่งครองแดนทางเหนือมาหลายชั่วคนได้พิชิตหยางซิ่นซึ่งตั้งตนเป็นฮ่องเต้ที่แดนเจียงตง หลังจากเจียงตงตกสู่เงื้อมมือของเว่ยเซ่าแล้ว แผ่นดินอาณาจักรจิ่วโจว ก็ตกอยู่ใต้การปกครองของเขาถึงแปดเก้าส่วน สถานการณ์โดยรวมมั่นคงแล้ว กบฏแซ่เว่ยจึงสถาปนาตนเป็นฮ่องเต้ที่มณฑลโยวโจว ตั้งชื่อแคว้นว่าเยียน ถัดจากนั้นโฮ่วตี้หลิวเหยี่ยนก็ถูกบีบคั้นให้เริ่มถอยหนีสู่ทิศตะวันตกเรื่อยมา
ตลอดทางที่ถอยร่นสู่ทิศตะวันตก ขุนนางฝ่ายบุ๋นที่อยู่ข้างกายเขาบ้างก็หลบหนี บ้างก็แตกฉานซ่านเซ็น ขุนนางฝ่ายบู๊บ้างก็พลีชีพ บ้างก็ยอมจำนนกับเว่ยเซ่า รอจนเดินทางมาถึงเมืองเปาเฉิงแล้วก็เหลือขุนนางเก่าแก่ผู้ภักดีต่อราชวงศ์ฮั่น เพียงสิบกว่าคนที่ยังคงเสี่ยงชีวิตอารักขาเขา
บัดนี้แม้แต่ทหารสองพันนายสุดท้ายก็ไม่มีเหลือแล้ว
เขาไม่มีหนทางให้ถอยอีกต่อไป
หลิวซันมีคราบเลือดกระเซ็นเกลื่อนใบหน้า สภาพดุจดังปีศาจร้าย เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะเดินคุกคามเข้าหาจวงเฟยซึ่งยังคงพยายามวิงวอนขอร้อง เมื่อต้อนนางไปจนถึงหน้าประตูก็ฟันลงไปหนึ่งดาบจากทางด้านหลัง
สิ้นเสียงฉับอันทุ้มหนัก เด็กสาวไม่ทันเปล่งเสียงร้องสักคำ ศีรษะก็ย้ายจากตำแหน่งเดิมที่เคยอยู่บนลำคอไปห้อยร่องแร่งอยู่ด้านข้างอย่างสิ้นแรง ลำตัวบิดเป็นท่วงท่าทำมุมที่แปลกประหลาด จากนั้นร่างกายอันอ่อนยวบดุจถุงแป้งก็ฟุบลงกับพื้นโดยไร้เสียงใดๆ
โลหิตอุ่นระอุพลันฉีดพุ่งออกจากลำคออย่างสูญเสียการควบคุม สาดกระเซ็นไปกว่าครึ่งผนัง แรกเริ่มแขนขาของจวงเฟยยังคงสั่นกระตุก จากนั้นก็ค่อยๆ หยุดชะงัก กระทั่งไม่ขยับเขยื้อนอีก เหลือเพียงดวงตาข้างหนึ่งซึ่งไร้เรือนผมอันยุ่งเหยิงบดบังที่ยังคงจับจ้องอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม ก่อนพลังชีวิตในดวงตาจะเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว ประกายตามรกตที่ทอแสงเรืองกลายเป็นสีเขียวหม่นแผ่ซ่านกลิ่นอายแห่งความตาย
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา…”
หลิวซันลากดาบซึ่งยามนี้ส่วนของคมดาบยังคงมีเลือดไหลลงมา เขาเอ่ยพลางมองไปทางเสี่ยวเฉียวที่เนื้อตัวสั่นสะท้านนิดๆ อยู่บนตั่ง
หลิวเหยี่ยนหมุนกายมาอย่างเชื่องช้า สายตาที่แตกซ่านจรดลงบนร่างของเสี่ยวเฉียวก่อนเพ่งพิศนาง ในที่สุดแววตาของเขาก็ไม่ทึ่มทื่อเช่นเดิมอีก กลับค่อยๆ ก่อตัวเป็นอารมณ์โศกเศร้า ห้วงอารมณ์ที่มิอาจหักใจ และความระทมทุกข์อันเข้มข้น
เขาเดินไปหาเสี่ยวเฉียวทีละก้าว สุดท้ายก็หยุดยืนที่เบื้องหน้านาง นิ้วมือเย็นเฉียบดุจน้ำแข็งไล้แผ่วเบาบนดวงหน้าของนางอย่างอาวรณ์ เขาพลันโอบนางไว้ในอ้อมกอดอย่างแนบแน่น พละกำลังนั้นมากล้นจนคล้ายกับอยากบดร่างนางให้แหลกละเอียดแล้วผนึกเข้าสู่เลือดเนื้อของตนทีละชุ่น
“หมานหมาน! หมานหมาน! คนทางบ้านเจ้าถูกกบฏแซ่เว่ยทำร้าย พี่สาวของเจ้าก็ไม่ถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮาและก็ฆ่าตัวตายจากไป เรารู้ว่าเจ้าแค้นกบฏแซ่เว่ยนั่นเข้ากระดูก เดิมทีเราก็อยากยกทัพไปปราบกบฏชำระแค้นแทนเจ้า ทว่าจนใจที่ต้าฮั่นชะตาขาดเสียแล้ว เราไร้กำลังจะกอบกู้อันใดได้! แต่เราก็ไม่อาจหักใจให้เจ้าตกไปสู่เงื้อมมือโจรกบฏจนถูกลบหลู่เกียรติ หมานหมาน เราจะสังหารเจ้าก่อน จากนั้นเราจะติดตามเจ้าไป เจ้ากับเราเป็นสามีภรรยากันอีกในชาติหน้าเถิด!”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันออกเรือนกับพระองค์ตั้งแต่อายุสิบห้า จนบัดนี้เป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว! ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อหม่อมฉันด้วยความรักและน้ำพระทัยอันล้นเหลือ หากฝ่าบาทจะจากไป หม่อมฉันไหนเลยจะมีเหตุผลใดให้อยู่ต่อเพียงลำพัง หม่อมฉันยินดีติดตามพระองค์ไปทุกชาติภพ ไม่พรากจากชั่วนิรันดร์!”
สตรีซึ่งมีชื่อเล่นว่า ‘หมานหมาน’ ผู้นี้มีผิวพรรณดุจหิมะ ดวงหน้าดั่งบุปผา เกิดมาพร้อมรูปโฉมอันงามล้ำเลิศประดุจหยกที่ไร้ตำหนิ ชั่วขณะนี้ดวงหน้าอันเลอโฉมแม้ไร้สีเลือดและแต้มไปด้วยคราบน้ำตา ทว่าแววตาที่ทอดมองโฮ่วตี้กลับเปี่ยมด้วยความแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว
นางหลับตาลงช้าๆ
หลิวเหยี่ยนเปล่งเสียงร่ำไห้อย่างเจ็บปวดรวดร้าวก่อนคลายมือจากนาง เขายืนพรวดขึ้นแล้วชักกระบี่ยาวออกจากฝัก พร้อมกับส่งเสียงคำรามอันแหลมสูงโศกสลดถึงขีดสุด จากนั้นคมกระบี่อันเย็นเฉียบดุจน้ำแข็งก็แทงลึกเข้าสู่หัวใจอันอบอุ่นและอ่อนนุ่มของนาง
ตอนที่ 1
“หมานหมาน! หมานหมาน! ตื่นเร็วเข้า!”
สุ้มเสียงอันอ่อนโยนและเจือความห่วงกังวลดังขึ้นที่ข้างหู จากนั้นนางก็ถูกผลักร่างจนรู้สึกตัวตื่น
เสี่ยวเฉียวพลันเบิกตาขึ้นและพบว่าตนยังคงนอนอยู่บนเตียงซึ่งใช้นอนมาได้สองปีแล้ว เพียงแต่ทั้งเนื้อทั้งตัวกลับชุ่มไปด้วยเหงื่อราวกับเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ
ผู้ที่นอนอยู่ข้างกายและผลักปลุกนางเมื่อครู่นี้ก็คือญาติผู้พี่นามว่า ‘ต้าเฉียว’ เป็นบุตรสาวของท่านลุงเฉียวเยวี่ยผู้ว่าการมณฑลเหยี่ยนโจว มีชื่อเล่นว่าอาฟั่น ปีนี้อายุสิบเจ็ด โตกว่านางสามปี สองพี่น้องโตมาด้วยกันแต่เล็ก รักใคร่สนิทสนมกันอย่างยิ่ง จึงนอนร่วมผ้าห่มผืนเดียวกันอยู่บ่อยครั้ง
เห็นญาติผู้น้องตื่นเสียที ต้าเฉียวลูบหน้าผากของอีกฝ่ายก็พบว่ามีแต่เหงื่อเย็น นางจึงรีบคลุมเสื้อลงจากเตียง เดินไปจุดตะเกียงน้ำมันเองโดยไม่กวนสาวใช้ซึ่งนอนหลับอยู่ที่ห้องชั้นนอก แล้วหยิบผ้ามาบรรจงซับเหงื่อให้ญาติผู้น้องซึ่งยังเอนกายอยู่บนเตียง ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะถูกความเย็นเล่นงานจึงหยิบเสื้อชั้นในที่สะอาดสะอ้านของตนมาช่วยผลัดเปลี่ยนให้ สุดท้ายยังรินน้ำส่งให้หนึ่งถ้วย
เสี่ยวเฉียวกระหายน้ำอยู่พอดีจึงรับมาด้วยความซาบซึ้ง
ต้าเฉียวนั่งบนขอบเตียง มองนางดื่มน้ำพลางถอนหายใจ “ฝันร้ายอีกแล้วหรือ หมานหมาน ข้าจำได้ว่าแต่ก่อนเจ้าหลับสนิทดียิ่ง สองปีมานี้เป็นอะไรไป เห็นเจ้าฝันร้ายอยู่บ่อยครั้ง เผลอไปถูกสิ่งอัปมงคลที่ข้างนอกมาใช่หรือไม่ พรุ่งนี้ข้าบอกท่านแม่ให้เชิญแม่หมอมาดูที่บ้านสักหน่อยเป็นอย่างไร”
มารดาของเสี่ยวเฉียวถึงแก่กรรมด้วยโรคภัยตั้งแต่หลายปีก่อน ติงฮูหยินผู้เป็นป้าสะใภ้จึงรักใคร่เอ็นดูเสี่ยวเฉียวอย่างยิ่ง คอยไถ่ถามชีวิตความเป็นอยู่ของนางเสมอ
เสี่ยวเฉียวรีบสั่นศีรษะ “ไม่ต้องหรอกพี่สาว ข้าไม่เป็นไรจริงๆ”
ต้าเฉียวรับถ้วยมาวางคืนบนโต๊ะ นางยังรู้สึกไม่วางใจอยู่บ้าง “เมื่อครู่เจ้าฝันเห็นสิ่งใดกันแน่ ทั้งร่างถึงได้เย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งเช่นนี้”
เมื่อสองปีก่อนนางข้ามมิติมาอยู่ที่นี่โดยไร้สาเหตุ ไม่เพียงกลายมาเป็นเสี่ยวเฉียวบุตรสาววัยสิบสองของเฉียวผิงเจ้าเมืองตงแห่งเหยี่ยนโจวเท่านั้น ยังมีความฝันนี้ที่คอยปรากฏให้นางเห็นอยู่เสมอด้วย
แรกเริ่มนางนึกว่าเป็นเพียงฝันร้าย ทว่าเมื่อความฝันปรากฏขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางก็ค่อยๆ บังเกิดความรู้สึกชนิดหนึ่งขึ้น คล้ายกับตนคือสตรีที่ถูกแทงตายเป็นคนสุดท้ายในห้วงฝัน ฉากเหตุการณ์อันน่าพรั่นพรึงในฝันนั้นอาจเป็นภาพเหตุการณ์สุดท้ายก่อนที่ตนจะตายก็เป็นได้
เพราะทุกสิ่งในห้วงฝันราวกับคลุ้งไปด้วยคาวเลือดจริงๆ และดูสมจริงอย่างมาก
ยามที่เด็กสาววัยเพียงสิบสามจบชีวิตลงภายใต้คมดาบของขันที แววตาแปลกใจซึ่งฉายออกมาจากดวงตาข้างนั้นที่จ้องมองตน กระทั่งขณะนี้ที่ตื่นขึ้นจากฝันแล้ว นางก็ยังคงรู้สึกขนพองสยองเกล้า
อีกทั้งหน้าอกของตนจวบจนบัดนี้ยังคล้ายหลงเหลือไอหนาวและความรวดร้าวยามที่กระบี่คมกริบเล่มนั้นแทงทะลุหัวใจเข้ามา
เสี่ยวเฉียวไม่อยากระลึกถึงมันอีก นางจึงแสร้งขดร่างเข้าไปใกล้ต้าเฉียวแล้วพึมพำเบาๆ “แค่ฝันเห็นเสือร้ายตัวหนึ่งไล่ล่าเท่านั้น…”
ต้าเฉียวจึงยิ้มออก นางลูบเรือนผมของญาติผู้น้องด้วยความรักใคร่เอ็นดู ก่อนจะโน้มกายไปเป่าไฟตะเกียงให้ดับ คลำหาผ้าห่มเจอแล้วก็มุดร่างกลับเข้ามาโอบกอดเสี่ยวเฉียวไว้ ลูบหลังให้อีกฝ่ายเบาๆ พลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ไม่ต้องกลัวนะ พี่สาวจะนอนอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
เสี่ยวเฉียวขานรับอืมพลางซบร่างอันอบอุ่นนิ่มนุ่มของต้าเฉียวแล้วค่อยๆ หลับตาลง
แสงจันทร์ของวันเสี่ยวหาน เดือนสิบเอ็ดในรัชศกติ้งคังที่เจ็ดของต้าฮั่นที่ทอเข้ามาในห้องถูกกรองอย่างละเอียดผ่านกระดาษกรุหน้าต่าง แล้วฉายส่องลงบนพื้นหน้าเตียงอย่างเงียบเชียบ
ขณะที่หลับตา จิตใจของเสี่ยวเฉียวก็สงบมั่นคงขึ้นตามลำดับ ทว่านางกลับไม่อาจหลับใหลได้อีก
ดูเหมือนต้าเฉียวที่อยู่ข้างกายก็เป็นเช่นเดียวกัน นางนึกว่าเสี่ยวเฉียวหลับไปแล้ว หลังช่วยเหน็บมุมผ้าห่มให้ญาติผู้น้องเสร็จอย่างเบามือ นางก็พลิกร่างไปมา เนิ่นนานก็ไม่อาจข่มตาหลับลงได้
เสี่ยวเฉียวฟังเสียงลมหายใจของญาติผู้พี่ก็ล่วงรู้ความในใจของนาง
สองเฉียวแห่งเหยี่ยนโจวมีรูปโฉมงดงามจนเป็นที่เลื่องลือ กระทั่งผู้คนยุคนี้กล่าวขานว่า ‘เทพธิดาแห่งแม่น้ำลั่วสุ่ยงามสิบส่วน สองเฉียวงามแปดส่วน’
ก่อนหน้านี้ต้าเฉียวเคยมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่คนหนึ่ง ทว่าฝ่ายชายเคราะห์ร้ายตายจากไปก่อน งานมงคลจึงเป็นอันเลิกล้ม บัดนี้นางอายุสิบเจ็ดปีแล้ว มีผู้มาทาบทามสู่ขอนางจากทั่วสารทิศ ย่ำธรณีประตูจนแทบสึก ในขณะที่ป้าสะใภ้หวังจะหมั้นหมายคู่ครองที่ดีให้บุตรสาวในเร็ววันอีกครั้ง ท่านลุงกลับดูเหมือนไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องนี้สักนิด จวบจนเมื่อครึ่งเดือนก่อน ท่านลุงพลันประกาศจะตบแต่งต้าเฉียวแก่เว่ยเซ่าซึ่งเพิ่งชิงมณฑลจี้โจวได้เมื่อช่วงต้นปี หมายใช้การแต่งงานนี้และชัยภูมิที่ตั้งของมณฑลเหยี่ยนโจวเป็นเครื่องมือผูกไมตรีกับเว่ยเซ่า เพื่อจะได้คลี่คลายวิกฤตให้เหยี่ยนโจวซึ่งยามนี้กำลังเผชิญกับการโจมตีจากศัตรูที่กล้าแข็ง
สำหรับการตัดสินใจนี้ แรกเริ่มเฉียวผิงบิดาของเสี่ยวเฉียวไม่เห็นพ้องแต่อย่างใด
เป็นเพราะสกุลเฉียวกับสกุลเว่ยยังมีความแค้นเก่าคั่นกลางระหว่างกันอยู่ หากจะเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีตช่วงนี้เป็นต้องนับย้อนกลับไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน
ยามนั้นบิดาของเว่ยเซ่าเป็นผู้ว่าการมณฑลโยวโจว รับคำสั่งจากราชสำนักให้ไปปราบกบฏเมืองเฉินร่วมกับผู้ว่าการมณฑลเหยี่ยนโจว ซึ่งก็คือท่านปู่ของเสี่ยวเฉียว ทัพกบฏมีแสนยานุภาพเกรียงไกร กองกำลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทัพจากทั้งสองฝ่ายนัดหมายกันว่าจะส่งกองทัพกระหนาบตีเมืองเฉินพร้อมกันจากสองด้านทั้งตะวันออกและตะวันตก คิดไม่ถึงว่าพอเปิดศึกท่านปู่ของเสี่ยวเฉียวที่ประเมินการศึกดูแล้วเลือกจะถอยทัพกลับไปรอดูท่าทีก่อน บิดาของเว่ยเซ่ากลับไม่รู้เรื่องนี้เลยสักนิด ท้ายที่สุดน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เขากับบุตรชายคนโตจึงตกอยู่ในวงล้อมข้าศึก ต้องพลีชีพไปกลางสนามรบ
ยามนั้นเว่ยเซ่าที่เพิ่งอายุได้สิบสองปีก็ติดตามบิดากับพี่ชายไปออกรบด้วยเช่นกัน แต่เนื่องจากได้ขุนนางและบริวารสละชีพเพื่ออารักขาเขาเอาไว้ สุดท้ายจึงสามารถฝ่าวงล้อมอันแน่นหนาแล้วถอยหนีกลับไปจนถึงมณฑลโยวโจวได้
หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น สกุลเฉียวได้ให้คำชี้แจงมากมายต่อเรื่องที่ตนถอยทัพไปกลางคัน ยามที่สกุลเว่ยจัดงานศพก็ส่งบิดาของเสี่ยวเฉียวไปร่วมไว้อาลัยด้วย แต่เห็นได้ชัดว่าสกุลเว่ยไม่ยอมรับคำแก้ต่างของสกุลเฉียวเลยแม้แต่น้อย
กระทั่งเมื่อสี่ปีที่แล้ว เว่ยเซ่าในวัยสิบแปดซึ่งยามนั้นผู้คนขนานนามว่า ‘จอมอหังการน้อย’ ก็นำทัพออกไล่ล่าข้าศึกด้วยตนเองจนปลิดชีพหัวหน้าทัพกบฏเมืองเฉินผู้สังหารบิดากับพี่ชายของตนได้ที่ชายฝั่งทะเลตงไห่ แรกสุดหัวหน้าทัพกบฏผู้นั้นถูกเฉือนเนื้อทั้งเป็นก่อน ต่อเมื่อลงมีดครบพันครั้งแล้วจึงถึงแก่ความตายในที่สุด จากนั้นยังถูกสับเนื้อจนเละป้อนลงสู่ท้องปลา สภาพอันโหดร้ายทารุณนั้นชวนให้ผู้คนขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก
ไม่นานนักท่านปู่ของเสี่ยวเฉียวก็ล้มป่วยจนถึงแก่กรรม
เล่ากันว่าหลังจากเขาตาย เว่ยเซ่าซึ่งได้ข่าวขณะบุกตีเมืองเหอเจียนก็เอ่ยประโยคหนึ่งอย่างเย็นชาว่า ‘โจรเฒ่าหัวหงอก ตายไปก็สมควร’
เพียงเท่านี้ก็คาดเดาได้แล้วว่าเว่ยเซ่าเคียดแค้นสกุลเฉียวลึกล้ำเพียงใด ทว่าบัดนี้เฉียวเยวี่ยกลับคิดอาศัยการดองญาติไปผูกไมตรีกับเว่ยเซ่า แล้วเฉียวผิงจะเห็นพ้องได้อย่างไรเล่า
เขาเคยเสนออย่างแข็งขันและพูดโน้มน้าวให้เฉียวเยวี่ยทุ่มกำลังรบกับข้าศึกดูสักตั้งหนึ่ง ไม่แน่ว่าจะไร้โอกาสในการเอาชัย แต่ไม่ว่าเขาจะเพียรโน้มน้าวอย่างไร ผู้เป็นพี่ชายกับเหล่าขุนนางบริวารก็ยังคงหนุนให้เลี่ยงการศึกอย่างเต็มที่
เฉียวเยวี่ยเป็นผู้นำของสกุล และเป็นผู้มีตำแหน่งสูงสุดในพื้นที่มณฑลเหยี่ยนโจว หากอีกฝ่ายไม่ยอมรับฟังถ้อยคำของตนเช่นนี้ เฉียวผิงก็อับจนปัญญาแล้วจริงๆ
ยิ่งยามนี้เฉียวเยวี่ยส่งทูตไปยังมณฑลจี้โจวอันเป็นที่พำนักปัจจุบันของเว่ยเซ่าแล้วด้วย เขาจึงกระวนกระวายรอคอยคำตอบอยู่
สองปีมานี้เสี่ยวเฉียวแอบหวังมาตลอดว่าทุกเรื่องในฝันของตนจะเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น ทว่ารอจนเวลาค่อยๆ ล่วงผ่านไป นางก็ต้องหวาดผวาเมื่อพบว่าเรื่องเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นความจริงทั้งสิ้น ประหนึ่งเป็นคำพยากรณ์ก็ไม่ปาน เรื่องราวกำลังดำเนินไปทีละก้าวตามลำดับเวลาที่นางล่วงรู้
หากเป็นดังที่นางเห็นในฝัน เช่นนั้นเว่ยเซ่าก็จะตอบรับงานมงคลนี้ ทว่าหลังจากต้าเฉียวออกเรือนไปแล้ว ชะตาของอีกฝ่ายกลับถูกลิขิตให้เต็มไปด้วยวิบากกรรม บทสรุปยังน่าสังเวชใจยิ่งกว่าจุดจบของนางในฝันเสียอีก
นับตั้งแต่วันแรกที่ต้าเฉียวแต่งเข้าสกุลเว่ย เว่ยเซ่าผู้เป็นสามีก็ไม่เคยแตะต้องนางแม้แต่ปลายก้อย หลายปีให้หลังเมื่อเว่ยเซ่าสถาปนาตนเป็นฮ่องเต้แล้ว สกุลเฉียวทั้งตระกูลบ้างก็ตาย บ้างก็พลัดพราก ต้าเฉียวจำต้องกลืนทองคำเพื่อจบชีวิตตนเอง เว่ยเซ่าแต่งตั้งสตรีอีกคนขึ้นเป็นฮองเฮา ต้าเฉียวก็เดินไปจนสุดปลายทางของชีวิตในลักษณะเช่นนี้
“หมานหมาน…” ท่ามกลางความมืดสลัว เสี่ยวเฉียวได้ยินต้าเฉียวเอ่ยเรียกชื่อเล่นของตน “สกุลเว่ยเคียดแค้นคนสกุลเฉียวของพวกเรา เว่ยเซ่าผู้นั้นคงไม่ตอบรับงานมงคลนี้หรอก เจ้าว่าใช่หรือไม่”
สุ้มเสียงของนางแผ่วเบายิ่ง
สองสามวันมานี้เฉียวผิงผู้เป็นบิดาสั่งให้เสี่ยวเฉียวอยู่เป็นเพื่อนคอยปลอบโยนพี่สาวให้มาก แต่เสี่ยวเฉียวกลับรู้สึกลึกๆ ว่าคำปลอบโยนใดนั้นก็ล้วนแต่อ่อนด้วยเหตุผลและไร้ซึ่งพลัง ไม่ก่อประโยชน์อันใดเลยสักนิด
“ใช่ น่าจะเป็นเช่นนั้น”
เสี่ยวเฉียวขานตอบพลางคลำหามือของพี่สาวแล้วค่อยๆ เกาะกุมเอาไว้
นิ้วมือของนางสัมผัสถูกความเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง มือข้างนั้นไม่มีไออุ่นแม้แต่น้อย
เหมือนว่าต้าเฉียวจะคลี่ยิ้ม
ขณะที่เสี่ยวเฉียวรู้สึกเศร้าใจอย่างยิ่ง นางก็ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยปาก “หมานหมาน เจ้าเองก็ไม่ได้พบหน้าหลิวซื่อจื่อมาระยะหนึ่งแล้วสินะ”
‘หลิวซื่อจื่อ’ ที่ต้าเฉียวเอ่ยถึงคือคู่หมั้นของเสี่ยวเฉียวในเวลานี้ ซึ่งก็คือ ‘โฮ่วตี้หลิวเหยี่ยน’ ผู้เป็นสามีของเสี่ยวเฉียวในห้วงฝัน ยามนี้เขายังเป็นเพียงซื่อจื่อ แห่งหลางหยา
เสี่ยวเฉียวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินต้าเฉียวเอ่ยถึงเขา
ช่วงที่ผ่านมานี้ ไม่ว่ายามกลางวันหรือกลางคืน ลืมตาหรือหลับตา สิ่งที่นึกถึงล้วนมีแต่เรื่องออกเรือนของญาติผู้พี่ทั้งสิ้น จนนางเกือบลืมไปเสียสนิทว่าตนก็เป็นหญิงที่มีพันธะหมั้นหมายติดตัวอยู่เช่นกัน อีกทั้งกำหนดแต่งงานนั้นก็กระชั้นชิดเข้ามาแล้ว เป็นปีหน้านี่เอง
“หมานหมาน หากสกุลเว่ยตอบรับงานมงคล พี่สาวคนนี้ก็คงได้แต่แต่งออกไปแล้ว แดนเหนืออยู่ไกลโพ้น ตอนที่เจ้าเข้าพิธีแต่งงานในปีหน้า เกรงว่าพี่สาวคงมิอาจกลับมาร่วมงานเจ้าได้ วันหน้าพวกเราพี่น้องคงยากจะได้พบกันอีก ยังดีที่เจ้ากับซื่อจื่อมีใจดวงเดียวกัน หลังแต่งงานต้องรักใคร่แน่นแฟ้นเป็นแน่ พี่สาวไม่มีสิ่งใดให้ต้องเป็นกังวลเลย”
ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นนี้ เสี่ยวเฉียวพลันเศร้าใจ ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมา
ต้าเฉียวมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติของน้องสาว ยังคงแย้มยิ้มเอ่ยต่อ “แต่ไรมาฝีมือเย็บปักถักร้อยของเจ้าก็ไม่เท่าไร สองปีมานี้ก็ยิ่งใช้ไม่ได้มากขึ้น พี่สาวยังไม่มีสิ่งใดมอบให้เจ้า ก่อนหน้านี้จึงคิดได้ว่าปีหน้าเจ้าก็จะออกเรือนแล้ว สกุลหลิวเป็นถึงราชนิกุล ถึงเวลานั้นงานฝีมือที่จะมอบเพื่อแสดงความกตัญญูต่อคนสกุลหลิวจะสะเพร่าไม่ได้ ดังนั้นเมื่อตอนต้นปีพี่สาวกับชุนเหนียงจึงฉวยโอกาสที่ว่างเว้นจากงานมาช่วยเจ้าทำสิ่งของไว้บ้างแล้ว ตอนนี้เก็บอยู่ที่ชุนเหนียง สิ่งที่เตรียมไว้ก็เกือบจะครบถ้วน ขาดก็แต่รองเท้าชื่อซี่* ที่จะมอบให้พ่อสามีของเจ้า เพราะสิ้นเปลืองเวลามากจึงเก็บเอาไว้เป็นอย่างสุดท้าย พี่สาวเริ่มต้นไว้แล้ว แต่ยังจัดสีไม่ลงตัว เจ้าจะดูหรือไม่ว่าแบบใดถึงจะดี พวกเรามาหารือกันเถอะ…”
ต้าเฉียวขยับตัวหมายจะคลานออกจากผ้าห่ม ทว่าเสี่ยวเฉียวกลับกดร่างนางไว้ พยายามเอ่ยด้วยสุ้มเสียงที่มั่นคง “ขอบคุณพี่สาว แต่ยังไม่ต้องดูหรอก พี่สาวเองก็เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว พวกเรานอนกันเถิด”
ต้าเฉียวกล่าว “ก็ข้าร้อนใจนี่ กลัวว่าทำไม่ทันเสร็จก็ต้อง…” นางชะงักคำพูดไป นิ่งงันอยู่ชั่วอึดใจแล้วค่อยเอ่ยปนยิ้ม “พรุ่งนี้ก็ได้ นอนก่อนแล้วกัน”
ในห้องเงียบเชียบลง
ดูเหมือนต้าเฉียวจะหลับสนิทดี เพราะนางไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย เสียงลมหายใจก็สม่ำเสมออย่างยิ่ง
เมื่อแรกเสี่ยวเฉียวยังคงนอนไม่หลับ จวบจนเลยเที่ยงคืนเข้าสู่ครึ่งคืนหลังไปแล้ว ในที่สุดความง่วงงุนก็เริ่มจู่โจมนาง ขณะที่สติรับรู้เริ่มเลือนรางพลันรู้สึกได้ว่าต้าเฉียวซึ่งนอนอยู่ด้านนอกของตนขยับตัว จากนั้นคลานลงจากเตียงไปอย่างเบามือเบาเท้า ทว่าอีกฝ่ายกลับมิได้จุดตะเกียง อาศัยเพียงแสงจันทร์ที่สาดลอดหน้าต่างเข้ามา แล้วสวมอาภรณ์ในความมืด จากนั้นจึงมุ่งไปเบื้องนอกอย่างแผ่วเบา นางเปิดประตูอย่างช้าๆ เดินผ่านข้างกายสาวใช้ซึ่งหลับเป็นตายอยู่ที่ห้องชั้นนอก แล้วออกจากห้องนอนไป
แรกเริ่มเสี่ยวเฉียวนึกว่าพี่สาวตื่นไปห้องปลดทุกข์จึงไม่ได้ส่งเสียง แต่ในใจยังคงรู้สึกสงสัยอยู่ รอจนอีกฝ่ายออกไปแล้วนางจึงค่อยฉุกคิดได้เรื่องหนึ่งซึ่งเคยเกิดขึ้นในฝันร้ายซึ่งเป็นชาติก่อนของเจ้าของร่างเดิม หัวใจของนางพลันหนาววูบ รีบลุกขึ้นจากเตียงอย่างว่องไว หลังจากสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วแล้วก็กลั้นหายใจเดินย่องตามอีกฝ่ายออกไปอย่างแผ่วเบา
ราตรีนี้แสงจันทร์เย็นกระจ่าง ฉายส่องทั้งลานจนดูวิเวกวังเวง ตอนที่นางย่างเท้าข้ามธรณีประตูออกมาก็เห็นเงาร่างของต้าเฉียวแวบผ่านข้างหน้าต่างฉลุลายไปอย่างรวดเร็ว เหมือนว่าต้าเฉียวจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางของสวนดอกไม้ท้ายจวน
ณ ส่วนลึกของพุ่มพฤกษาในสวนดอกไม้ท้ายจวนสกุลเฉียว ขณะนี้มีชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังรอคอยอยู่ตรงนั้น
รูปโฉมของเขาองอาจคมสัน รูปกายกำยำปราดเปรียวประดุจเลี่ยเป้า กล้ามเนื้อทุกมัดล้วนซ่อนแฝงพละกำลังมหาศาลที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
เขายืนนิ่งอยู่ตรงมุมมืดซึ่งแสงจันทร์ฉายส่องไม่ถึง เงาหลังถูกสีแห่งรัตติกาลกลืนหาย หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกับค่ำคืนอันไร้ขอบเขต เขารอคอยอยู่ที่นี่นานแล้ว อาภรณ์ผ้าป่านเนื้อหยาบที่บางเบาและเต็มไปด้วยรอยปะชุดนั้นถูกความหนาวของราตรีในฤดูเหมันต์แทรกซึมจนตลอดร่างแผ่ซ่านไปด้วยไอเย็น ทว่าเขากลับไม่รู้สึกเหน็บหนาวแม้แต่น้อย
เขาไม่รู้เลยว่านางในดวงใจของตนซึ่งเป็นถึงคุณหนูแห่งจวนผู้ว่าการที่สูงศักดิ์เหนือใครนั้นจะยอมมาพบเขาที่นี่หรือไม่ ยามนี้ในหัวใจของเขาราวกับมีเปลวไฟลุกไหม้อยู่ แม้เปลวไฟนี้จะอ่อนแรงและเล็กจ้อยเสียจนอาจดับมอดลงเมื่อใดก็ได้ ทว่ามันกลับเพียงพอจะทำให้ร่างกายของเขาได้รับความอบอุ่นท่ามกลางค่ำคืนอันหนาวยะเยือกนี้
เขาไม่รู้ว่าบิดามารดาของตนเป็นผู้ใด รู้แต่เพียงว่าตนเกิดมาพร้อมนัยน์ตาสีมรกตที่ทอแสงเรืองรองยามราตรี บางทีบิดามารดาอาจนึกว่าเขาเป็นมารปีศาจจึงทอดทิ้งเขาซึ่งเป็นเพียงทารกไว้ข้างเล้าสุกรใกล้โรงเลี้ยงม้าของสกุลเฉียว ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายปกคลุมทั่วผืนดินนั้น เขากลับไม่แข็งตาย และยังได้แม่สุกรพาเข้ามาในเล้า ดื่มกินน้ำนมของแม่สุกรจนอยู่รอดมาได้ หลังจากหัวหน้าโรงเลี้ยงม้ามาพบเข้าก็เห็นเป็นเรื่องอัศจรรย์จึงรับเลี้ยงเขาเอาไว้ เมื่อเติบใหญ่เขาจึงกลายมาเป็นบ่าวเลี้ยงม้าของสกุลเฉียว
เขาไม่มีชื่อแซ่ เนื่องจากยามที่ถือกำเนิดถูกทิ้งไว้ข้างเล้าสุกร ‘ปี่จื้อ’ ซึ่งแปลว่าเฉกเช่นสุกรจึงกลายมาเป็นนามของเขา
เมื่อติดตามมาถึงสวนดอกไม้ท้ายจวนแล้ว เสี่ยวเฉียวก็แลเห็นแต่ไกลว่าญาติผู้พี่ถูกชายหนุ่มที่เดินออกมาจากเงามืดนั้นโอบกอดไว้ในคราวเดียว จากนั้นนางก็ออกแรงจนดิ้นหลุด เหมือนว่านางกำลังพูดอะไรบางอย่างกับเขา เมื่อพูดจบแล้วก็ก้มศีรษะกำลังจะหมุนกายออกเดิน ทว่าย่างเท้าได้เพียงสองก้าวก็ถูกชายหนุ่มโอบรั้งเอวจากด้านหลังอย่างแนบแน่น
ต้าเฉียวหยุดชะงัก แต่เพียงครู่เดียวก็ดิ้นจนหลุดและเดินจากไปอีกครา
ครั้งนี้ชายหนุ่มมิได้ไล่ตามนางไปอีก เพียงหยุดอยู่ตรงนั้น ทอดตามองเงาหลังของนางเคลื่อนห่างออกไปทีละน้อย สุดท้ายเขาจึงทรุดเข่าลงช้าๆ จนสองเข่าสัมผัสกับพื้น เงาร่างสีดำนั้นคล้ายกับถูกผนึกจนแข็ง แน่นิ่งไม่ไหวติง
หัวใจของเสี่ยวเฉียวเต้นตึกตักขณะเร่งรุดกลับมาที่ห้อง สาวใช้ยังคงอยู่ในห้วงนิทรา เสี่ยวเฉียวเดินผ่านข้างกายอีกฝ่ายกลับเข้าห้องชั้นใน คลานขึ้นเตียงแล้วเลิกผ้าห่มนอนลงดังเดิม เพิ่งจะปิดตาลงก็แว่วเสียงแอ๊ดเบาๆ จากประตูห้องชั้นนอก ตามด้วยเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบา ต้าเฉียวก็กลับมาแล้วเช่นกัน
อาจเพราะใจคอของต้าเฉียวไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะเดินผ่านข้างเตียงนอนของสาวใช้ เท้าจึงเผลอไปเกี่ยวม้านั่งตัวเล็กที่อยู่เบื้องหน้าเตียงสาวใช้เข้า ม้านั่งตัวนั้นถูกเกี่ยวจนล้มคว่ำบังเกิดเสียงดังปัง สาวใช้สะดุ้งตื่นจากห้วงฝัน พอเบิกตาขึ้นก็แลเห็นเงาตะคุ่มของคนผู้หนึ่งอยู่ด้านข้าง ขณะตื่นตระหนกกำลังจะเปล่งเสียงร้อง นางก็มองออกว่าอีกฝ่ายคือต้าเฉียว
“ไม่มีอะไร เจ้านอนเถิด เมื่อครู่ข้าไปห้องปลดทุกข์มาเท่านั้น”
เสียงของต้าเฉียวที่ดังมานั้นสงบราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น สาวใช้ไม่แคลงใจว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นจึงรีบยกม้านั่งตัวเล็กตั้งขึ้น
เสี่ยวเฉียวแว่วเสียงถอดเสื้อนอกดังสวบสาบอยู่นอกม่านมุ้ง จากนั้นม่านมุ้งก็ถูกแหวกเปิดเป็นช่อง ต้าเฉียวคลานขึ้นเตียงอย่างเบามือเบาเท้าหันหน้าออกด้านนอก หันหลังให้เสี่ยวเฉียวแล้วก็เอนร่างลงช้าๆ แรกเริ่มนางนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ราวกับเอนกายลงแล้วหลับใหลไปทันที ทว่าชั่วครู่ต่อมาหัวไหล่ก็เริ่มสะท้านนิดๆ ท่ามกลางราตรีเงียบสงัด เสียงสะอื้นแผ่วที่พยายามกดข่มไว้ก็แว่วเข้าหูของเสี่ยวเฉียว
ความคิดของเสี่ยวเฉียวทำสงครามกันไปหนึ่งคำรบ ขณะลังเลว่าจะตัดสินอย่างไรดีนั้นก็ได้ยินต้าเฉียวที่อยู่ข้างหมอนสะอื้นจนลมหายใจติดขัด อีกฝ่ายคงกลัวจะกวนตนจนตื่นถึงได้กลืนเสียงลงไปเสียดื้อๆ ทว่าหัวไหล่กลับสั่นสะท้านรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
เสี่ยวเฉียวลืมตาแล้วเบือนหน้าไปมองเงาหลังของอีกฝ่ายซึ่งขดตัวแน่นจนเป็นก้อน ในที่สุดนางก็กัดฟันตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ขยับเข้าไปชิดญาติผู้พี่ที่นอนหันหลังให้กับตน เหยียดแขนไปโอบเอวนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายเบาๆ จากด้านหลังพลางยื่นหน้าเอ่ยกระซิบที่ข้างหู “พี่สาว อย่าร้องไห้อีกเลย เมื่อครู่ตอนที่ท่านออกไป ข้าก็ตามท่านออกไปด้วย ข้าเห็นหมดทุกอย่างแล้ว”
ต้าเฉียวตัวแข็งทื่อไปชั่วอึดใจก่อนพลิกกายกลับมาชี้แจงอย่างร้อนรน “หมานหมาน เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด! พี่สาวเพียงแค่…”
เสี่ยวเฉียวยื่นมือไปป้องปากญาติผู้พี่ แสดงท่าทีให้อีกฝ่ายเงียบเสียงลงก่อนจะลงจากเตียงไปฟังเสียงอยู่ที่ข้างประตูอย่างเบามือเบาเท้า รอกระทั่งได้ยินเสียงขบฟันเบาๆ ของสาวใช้ที่อยู่ห้องชั้นนอกแล้วจึงค่อยกลับมาจุดตะเกียงน้ำมัน
ต้าเฉียวลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างแช่มช้า เรือนผมเงางามดุจเส้นไหมสีดำทิ้งตัวเฉียงลงมาปรกคอและบ่า สองมือขยุ้มผ้าห่มที่กองอยู่ข้างเอวด้วยความเคร่งเครียด สีหน้าของนางซีดขาว เปลือกตาระบายสีชมพูเรื่อดั่งเช่นผู้ที่เพิ่งผ่านการร่ำไห้มา พวงแก้มยังคงมีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่ ท่าทางยามที่นางตะลึงมองเสี่ยวเฉียวอยู่เช่นนี้ช่างงดงามชวนให้ผู้คนถนอมยิ่งนัก
รอจนเห็นเสี่ยวเฉียวถือตะเกียงน้ำมันมาวางบนฐานรองตะเกียงตรงหัวเตียงแล้ว ต้าเฉียวถึงได้สติคืนมา รีบคว้ามือของญาติผู้น้องมากุม เอ่ยเสียงเบาอย่างกระวนกระวายใจ “หมานหมาน พี่สาวไม่ได้คิดอื่นใดจริงๆ เพียงแต่ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว เบื้องนอกเหน็บหนาวออกเพียงนั้น พี่สาวไม่อยากให้คนผู้นั้นคอยเก้ออยู่ในสวนไปเรื่อยๆ อีกอย่างหากถูกผู้อื่นพบเห็นเข้าจะเกิดเรื่องโดยใช่เหตุ ถึงได้ไปบอกให้เขาจากไปเสีย…”
มือทั้งคู่ของต้าเฉียวเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง และกำลังสั่นสะท้านเล็กน้อยเช่นเดียวกับสุ้มเสียงของนางในขณะนี้
เสี่ยวเฉียวพลิกมือมาเกาะกุมมือของต้าเฉียว เอ่ยพลางพิศมองอีกฝ่าย “พี่สาว ข้าเห็นคนผู้นั้นแล้ว แต่ท่านไม่ต้องกลัวไป เพราะข้าไม่บอกผู้อื่นแน่ เพียงแต่ท่านชมชอบเขา…ใช่หรือไม่”
พวงแก้มของต้าเฉียวซึ่งเดิมทียังซีดขาวค่อยๆ ผุดสีแดงระเรื่อขึ้น นางลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนประสานสายตากับเสี่ยวเฉียว ผงกศีรษะเอ่ยเสียงเบา “เขามีฐานะต่ำต้อยก็จริง ทว่าเขาก็ดียิ่ง ดีอย่างยิ่งจริงๆ…”
ปี่จื้อเติบใหญ่ที่โรงเลี้ยงม้าสกุลเฉียว เขาเงียบขรึมราวกับเป็นคนใบ้ แต่กลับมีร่างกายกำยำล่ำสัน เรี่ยวแรงไร้ขีดจำกัด วิ่งเร็วจนสามารถไล่กวดสายลมได้ทีเดียว อีกทั้งยังรู้จักลักษณะม้าแต่ละตัวเป็นอย่างดี ไม่ว่าม้าจะพยศสักเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาล้วนแปรเปลี่ยนเป็นเชื่องเชื่อ ด้วยเหตุนี้หัวหน้าโรงเลี้ยงม้าจึงย้ายเขาไปทำหน้าที่เป็นบ่าวผู้ดูแลม้าในยามที่เจ้านายออกเดินทาง หลังจากนั้นเขาจึงเริ่มปรากฏตัวเข้าสู่สายตาของต้าเฉียวบุตรสาวของผู้ว่าการมณฑล
ทว่าในช่วงเวลาอันยาวนาน…ซึ่งยาวนานต่อเนื่องมาหลายปีนี้ ความทรงจำเดียวที่บ่าวหนุ่มผู้มีรูปหน้าคมสันและมีนัยน์ตาแปลกพิเศษผู้นี้มอบให้แก่ต้าเฉียวนั้นก็คือทุกครั้งที่เขาคุกเข่าเป็นม้านั่งมนุษย์ให้นางขึ้นลงรถม้า ล้วนให้ความรู้สึกมั่นคงกว่าบ่าวคนอื่นมากโข
ยามที่ย่างขึ้นไปบนแผ่นหลังและบ่าของเขา ใต้ฝ่าเท้าของนางจะนิ่งสนิท มั่นคงประหนึ่งเหยียบลงบนหินผาก้อนใหญ่
จวบจนเมื่อสามปีก่อนต้าเฉียวถึงเริ่มจดจำบ่าวผู้นี้อย่างใส่ใจ ยามนั้นคู่หมั้นของนางตายจากไปแล้ว แม้ทั้งสองจะไม่เคยพบหน้าค่าตากัน ทว่าสำหรับนางก็ยังคงเป็นเรื่องที่ชวนเศร้าใจ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่นางจะคอยติดตามมารดาไปจุดธูปขอพรที่วัดฉางเซิงที่ตั้งอยู่นอกเมืองบ่อยครั้ง วันหนึ่งระหว่างเดินทางกลับ จู่ๆ ม้าก็ตื่นจนสลัดคนบังคับรถร่วงจากรถม้าแล้ววิ่งตะบึงไปพร้อมกับตัวรถ นางกับมารดาติดอยู่ภายในตัวรถที่กระเด้งกระดอนจนอาจพลิกคว่ำหรือถึงขั้นพลิกตกถนนได้ทุกเมื่อ ขณะที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงอยู่นั้น เสียงเป่าปากอันแหลมสูงเฉียบคมก็ดังมาจากเบื้องหลัง จากนั้นคนผู้หนึ่งก็ไล่กวดมาถึงอย่างว่องไว เช่นนี้เองม้าจึงค่อยๆ ผ่อนความเร็วลงจนหยุดฝีเท้าอยู่ข้างทางในที่สุด
เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถทั้งที่ยังหน้าซีดขวัญผวามิคลาย ต้าเฉียวก็ได้เห็นชายหนุ่มที่เพิ่งไล่ตามมาช่วยสยบม้าตื่นผู้นั้นคุกเข่าอยู่บนพื้นข้างทาง ยามนั้นบ่าวเลี้ยงม้าผู้นี้ก็ช้อนตาขึ้นมาพอดี
จวบจนบัดนี้นางก็ยังจดจำเขาในตอนนั้นได้…วันนั้นท้องนภาแจ่มใส อากาศปลอดโปร่งสดชื่น สายลมนุ่มนวลชวนสบายใจ ภายใต้แสงตะวันแรงกล้า นัยน์ตาสีมรกตของเขาดูเป็นประกายดุจดังแก้วเจียระไน
นับจากวันนั้นนางก็จดจำนามของเขาไว้…ปี่จื้อ
ต้าเฉียวแค้นใจที่ตนขาดวาทศิลป์ กระทั่งไม่รู้ว่าควรใช้ถ้อยคำเช่นไรถึงจะพูดโน้มน้าวน้องสาวที่มาล่วงรู้ความลับของตนให้ยอมเชื่อว่าปี่จื้อดียิ่ง ดีอย่างยิ่งจริงๆ อย่างน้อย…ในสายตาของนางก็เป็นเช่นนั้น
เลือดลมพลันสูบฉีดขึ้นใบหน้าจนแดงซ่านไปทั้งดวง นางเบิกตาโตมองเสี่ยวเฉียวอย่างร้อนรนกระวนกระวาย
เสี่ยวเฉียวคลี่ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “พี่สาว ไม่ต้องให้ท่านบอกหรอก ข้าก็รู้ว่าเขาดียิ่ง เมื่อครู่ตอนที่เขานัดท่านออกไปพบเพราะอยากจะพาท่านจากไปใช่หรือไม่”
ดูเหมือนต้าเฉียวจะตื่นตระหนกมิใช่น้อย นางรีบสั่นศีรษะเป็นอันดับแรก ชั่วครู่ต่อมาจึงก้มหน้าลงช้าๆ รอจนเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสงบนิ่งขึ้นมาก แล้วเอ่ยตอบอย่างแช่มช้า “หมานหมาน ข้าไม่ไปกับเขาหรอก เมื่อครู่ข้าบอกกับเขาชัดเจนแล้ว เจ้าวางใจได้ วันหน้าข้าจะไม่พบเขาอีก”
“พี่สาว ให้เขาพาท่านจากไปเถิด ท่านอย่าได้รั้งอยู่ที่นี่เลย” เสี่ยวเฉียวกล่าว
ต้าเฉียวตะลึงงัน นิ่งมองอีกฝ่ายอยู่ชั่วครู่ค่อยคลี่ยิ้ม รอยยิ้มนั้นขมเฝื่อนนิดๆ “เด็กโง่ เจ้านึกว่าข้าไม่บริสุทธิ์แล้วสินะ กลัวข้าออกเรือนไปแล้วถูกจับได้ใช่หรือไม่ เจ้าวางใจเถิด ข้ากับเขาบริสุทธิ์ใจต่อกัน ไม่มีอันใดทั้งสิ้น”
“ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้”
เสี่ยวเฉียวยื่นหน้าไปที่ข้างหูนาง
“พี่สาว ท่านจำเป็นต้องไป สกุลเว่ยจะตอบรับงานมงคลนี้แน่นอน หากท่านไม่จากไปเสียตอนนี้ ท่านก็ต้องรอออกเรือนสถานเดียว ออกเรือนไปเช่นนี้ชั่วชีวิตของท่านก็จบสิ้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น…ท่านก็มีบุรุษที่ชอบพออยู่แล้วมิใช่หรือ”
ต้าเฉียวเหม่อลอยอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็สั่นศีรษะเบาๆ “เช่นนี้ข้ายิ่งไม่อาจจากไป หากสกุลเว่ยตอบรับงานมงคล แต่ว่าข้ากลับจากไปเสียแล้ว ถึงตอนนั้นทางบ้านจะทำเช่นไร จะดีก็ช่าง จะร้ายก็ช่าง ผู้ใดใช้ให้ข้าเป็นสตรีสกุลเฉียวเล่า เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าสมควรจะน้อมรับ”
ต่อให้พี่สาวออกเรือนไปแล้วยอมจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิตของนางเอง ทว่านั่นก็แลกมาได้เพียงการเอาตัวรอดแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น วันหน้าสกุลเฉียวทั้งตระกูลยังคงต้องถูกเว่ยเซ่าเอาชีวิตอยู่วันยังค่ำ มิสู้ทำตามความคิดของท่านพ่อตน รบกับข้าศึกที่มารุกรานดูสักตั้ง ไม่แน่อาจมีทางออกอื่นก็เป็นได้ ขอเพียงพี่สาวจากไป ท่านลุงย่อมอับจนหนทาง คาดว่าถึงตอนนั้นหากท่านพ่อเสนอความเห็นอีกครั้งคงจะง่ายดายขึ้นมากแน่
ทว่าเสี่ยวเฉียวไม่อาจบอกสิ่งเหล่านี้ต่อต้าเฉียว นางลอบระบายลมหายใจก่อนช้อนตาขึ้นกล่าว “พี่สาว หากข้าบอกท่านว่าข้าอยากแต่งกับเว่ยเซ่าแทนท่าน ท่านจะยอมส่งเสริมข้าหรือไม่”
ต้าเฉียวตะลึงงันไปอีกครั้ง นางเบิกตาโตมองญาติผู้น้องอยู่นานจึงค่อยเอ่ยด้วยความฉงน “หมานหมาน…เหตุใดเจ้าจึงมีความคิดเช่นนี้ เจ้ากับหลิวซื่อจื่อต่างก็ผูกสมัครรักใคร่กัน ทั้งยังเตรียมจะเข้าพิธีในปีหน้าอยู่แล้วนี่ อีกอย่างเว่ยโหว ผู้นั้น ข้าได้ยินมาว่าเขา…เขา…”
นางบังเกิดความลังเล ‘อุปนิสัยอำมหิตโหดร้าย ทารุณไร้ซึ่งคุณธรรม’ คำบอกเล่าที่ได้ยินมาพวกนี้นางล้วนไม่กล้าพูดออกจากปาก
“ใช่ เว่ยเซ่าผู้นั้นไม่ใช่คนดี” เสี่ยวเฉียวกล่าวแทนนาง “แต่ว่าพี่สาว สตรีทุกคนเมื่อออกเรือนล้วนไม่พ้นสองจำพวก พวกแรกเป็นเช่นท่าน ได้ครองคู่กับชายในดวงใจจวบจนแก่เฒ่า ต่อให้ต้องใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายก็ยังรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ! ทว่าข้าต่างจากท่าน สิ่งที่ข้าปรารถนาไม่ใช่สามีที่จะมาช่วยเขียนคิ้วที่เบื้องหน้าคันฉ่อง หากแต่เป็นฐานะและอำนาจที่เขานำมาให้กับข้าได้ เมื่อก่อนข้าอาจชมชอบหลิวซื่อจื่อจริง แต่บัดนี้ข้ารู้แล้วว่าเขาไม่ใช่บุรุษที่ข้าปรารถนา อุปนิสัยของเขาค่อนข้างอ่อนแอ หากข้าแต่งกับเขาแล้ว ต่อให้วันหน้าเขาได้สืบทอดตำแหน่งหลางหยาอ๋องอย่างราบรื่น แต่ด้วยสถานการณ์ของใต้หล้าในยามนี้ ลำพังแค่ชายาอ๋องแห่งหลางหยาซึ่งเป็นเพียงเขตปกครองเล็กๆ ยังจะนับเป็นอะไรได้ ในขณะที่เว่ยเซ่านั้นกลับแตกต่าง ข้าคิดว่าต่อไปเขาต้องสำเร็จการใหญ่อย่างมากแน่ ในเมื่อสองสกุลอย่างไรก็จะเกี่ยวดองเชื่อมสัมพันธ์อยู่แล้ว ท่านเองก็ไม่ปรารถนาจะแต่งกับเขา เช่นนั้นมิสู้ให้ข้าออกเรือนแทนเสียเลย”
ต้าเฉียวมองน้องสาวที่ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนด้วยความฉงน นิ่งงันอยู่เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยตะกุกตะกัก “หมานหมาน เจ้าคิดเช่นนี้จริงหรือ ไม่ใช่พูดเพื่อส่งเสริมข้าจริงๆ นะ”
“พี่สาว ข้าต่างหากที่เป็นฝ่ายขอร้องท่าน ได้โปรดส่งเสริมข้าเถิด!”
ต้าเฉียวทึ่มทื่ออยู่พักใหญ่ ในที่สุดดวงตาก็ค่อยๆ เปล่งประกายแห่งความหวังซึ่งไม่เคยปรากฏมาช้านานแล้ว แต่นางยังคงไม่แน่ใจเท่าไรนักจึงมองเสี่ยวเฉียวด้วยความลังเลก่อนพึมพำเสียงเบา “อย่างนี้จะได้จริงๆ หรือ ข้าสามารถปล่อยวางทุกสิ่งที่นี่แล้วจากไปได้จริงๆ หรือ ท่านพ่อจะตำหนิข้าหรือไม่ แล้วท่านแม่เล่าจะเศร้าเสียใจหรือไม่…”
“พี่สาว!” เสี่ยวเฉียวออกแรงกุมมืออีกฝ่าย “หลังจากท่านไปแล้ว ข้าจะกตัญญูต่อท่านลุงท่านป้าแทนท่านเอง พอนานวันเข้าท่านลุงท่านป้าย่อมเข้าใจและให้อภัยท่านแน่ อีกอย่างท่านลองตรองดู หากท่านออกเรือนไปเช่นนี้จริง กับคนผู้นั้นควรจะทำประการใดดีเล่า”
ต้าเฉียวหน้าซีดขาวทว่าสองแก้มกลับแดงก่ำ นางหลับตาพึมพำตอบ “ข้าขอตรองดูอีกสักหน่อย…ให้ข้าตรองดูอีกสักหน่อยเถิด…”
“พี่สาว ข้าไม่บังคับท่านหรอก ท่านค่อยๆ ตรองดูแล้วกัน”
เสี่ยวเฉียวประคองต้าเฉียวเอนกายลง ช่วยคลุมผ้าห่มให้เสร็จก็เป่าไฟตะเกียงดับ ล้มตัวลงนอนข้างกายนาง ผ่านไปชั่วครู่ก็เอ่ยเสริมเนิบๆ
“พี่สาว ก่อนหน้านี้ที่ข้าฝันร้ายอยู่บ่อยครั้งนั้น ข้ายังไม่ได้บอกท่านเลยว่าที่จริงข้าก็เคยฝันเกี่ยวกับท่านและบ่าวเลี้ยงม้าผู้นั้นด้วย ในความฝันท่านออกเรือนเป็นภรรยาของผู้อื่นและด่วนตายจากไป เหลือไว้เพียงหลุมศพเดียวดายอยู่บนโลกนี้ เขาเองก็มีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพังเช่นกัน ท่านรู้หรือไม่ว่าสุดท้ายเขาทำสิ่งใด เขาตามหาหลุมฝังศพของท่านจนพบ นำร่างของท่านออกมาจากใต้ผืนดิน แล้วก็พาท่านจากไปด้วยกัน…”
“อย่าพูดอีกเลย…” ต้าเฉียวพึมพำเสียงเบา หยาดน้ำตาอาบแก้มรินร่วงก่อนไหลซึมลงบนหมอนโดยไร้เสียง
สามวันต่อมา ติงฮูหยินพาต้าเฉียวกับเสี่ยวเฉียวไปจุดธูปขอพรที่วัดฉางเซิงอีกครั้ง เมื่อจุดธูปเติมน้ำมันหอมเสร็จ ติงฮูหยินที่อ่อนเพลียจากการเดินทางไกลจึงไปพักผ่อนชั่วครู่ที่ห้องด้านหลังเช่นเคย นางรู้สึกว่าต้าเฉียวบุตรสาวคล้ายผิดแปลกจากยามปกติ ดูกลุ้มอกกลุ้มใจ ท่าทางกระอึกกระอัก ทั้งยังกุมมือนางแน่นไม่คลาย กระทั่งนางเอนนอนลงไปแล้วก็ยังนั่งเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง
ติงฮูหยินมิได้คิดมากอะไร นึกเพียงว่าบุตรสาวกลัดกลุ้มเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลเว่ย นางจึงลูบมืออีกฝ่ายแล้วเอ่ยปนยิ้มน้อยๆ “ลูกแม่ เมื่อครู่แม่ขอพรเบื้องหน้าองค์พระแล้ว ขอเพียงวันหน้าเจ้ามีชีวิตคู่ที่สุขสมบูรณ์ ต่อให้ต้องลดทอนอายุขัยแม่ไป แม่ก็ยินยอมพร้อมใจ เชื่อว่าพุทธองค์จะทรงประทานพรให้สมดังปรารถนาแน่ เจ้าอย่าได้กังวลใจอีกเลย”
ต้าเฉียวข่มกลั้นความโศกเศร้าของการจากลาไว้ เพียงเกาะกุมมือของมารดาผู้การุณย์ไว้เนิ่นนานไม่ยอมคลายออก
ด้านหลังของวัดฉางเซิงมีเส้นทางบนเขาที่เงียบสงบลับตาคนอยู่สายหนึ่ง เส้นทางสายนี้เกิดจากการเดินย่ำขึ้นลงเขาทุกวันของคนตัดฟืนในละแวกใกล้เคียง
หลังถอดอาภรณ์หรูหราเปลี่ยนมาสวมชุดผ้าเนื้อหยาบแล้ว ต้าเฉียวก็เดินเคียงไหล่กับชายหนุ่มผู้นั้นจากไปตามเส้นทางบนเขานี้ เมื่อพวกเขาเดินไปได้ระยะหนึ่งจนเงาร่างใกล้จะถูกเงาไม้สองข้างทางกลืนหายไปอย่างสิ้นเชิง ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีมรกตผู้นั้นก็พลันชะงักฝีเท้า ก่อนจะหมุนกายเร่งสาวเท้ากลับมาถึงเบื้องหน้าเสี่ยวเฉียว คุกเข่าคำนับนางอย่างเต็มพิธีการ
“ชาตินี้หากคุณหนูมีสิ่งใดเรียกใช้ ข้ามีเพียงคำตอบเดียวคือขอรับใช้ท่านอย่างถวายชีวิต!” เขากล่าวเน้นทีละคำ
นี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเฉียวได้ยินเสียงเขาเอ่ยปากพูด เสียงนั้นซื่อตรงและหนักแน่น ชวนให้ผู้ฟังบังเกิดความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจโดยไม่รู้ตัว
เสี่ยวเฉียวมองส่งเงาหลังของหนุ่มสาวทั้งสองเคลื่อนห่างไปทีละน้อย นางยืนนิ่งงันอย่างนั้นอยู่เนิ่นนาน
ตามเหตุการณ์ในห้วงฝันร้ายที่คล้ายว่าประสบมาในชาติก่อนนั้น หลังจากที่ต้าเฉียวแต่งกับเว่ยเซ่าไม่นานนัก บ่าวเลี้ยงม้านามปี่จื้อผู้นี้ก็หายสาบสูญไป หลายปีให้หลังภัยแล้งรุนแรงในดินแดนเจียงหนาน ก็ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นครั้งใหญ่ ผู้อพยพที่ร่อนเร่ลี้ภัยไปทั่วค่อยๆ ผันตัวมาเป็นโจรหลายกลุ่ม ในจำนวนนั้นมีจอมโจรนัยน์ตาสีมรกตผู้หนึ่งผงาดขึ้นมา เขาผนวกกลืนขุมกำลังฝ่ายต่างๆ เข้าด้วยกันจนมีอำนาจโหญ่โตขึ้นมาเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็ยึดครองอำเภอไหวอินแล้วตั้งตนเป็นจอมทัพโดยไม่ขึ้นกับผู้ใด ต่อมาเมื่อเว่ยเซ่าช่วงชิงลั่วหยาง ครองความเป็นใหญ่ในดินแดนจงหยวน ได้สำเร็จ จอมโจรนัยน์ตาสีมรกตที่เคยคำนึงแต่ความอยู่รอดส่วนตนมาตลอดก็เปลี่ยนเป็นฝ่ายไปสวามิภักดิ์ต่อหลิวเหยี่ยนซึ่งได้ขุนนางใหญ่ที่ภักดีต่อราชวงศ์ฮั่นกลุ่มหนึ่งหนุนขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฮั่น ยามนั้นหลิวเหยี่ยนกำลังขาดทั้งแม่ทัพและไพร่พลจึงแต่งตั้งเขาเป็นไหวอินอ๋อง จากนั้นมาเขาก็เป็นศัตรูกับเว่ยเซ่าอย่างเปิดเผย
กล่าวได้ว่าหากมิใช่เพราะการสกัดขวางและการตอบโต้ของไหวอินอ๋องที่คล้ายปรากฏตัวลงมาจากฟากฟ้าอย่างกะทันหันผู้นี้แล้ว ช่วงเวลาที่เว่ยเซ่าจะเข้ายึดครองใต้หล้านี้ย่อมจะเร็วขึ้นได้อย่างน้อยถึงสองปี สำหรับบทสรุปสุดท้ายของไหวอินอ๋องผู้นี้ก็นับว่าเป็นสีสันที่แต่งแต้มตำนานอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
หลังจบศึกตัดสินผู้แพ้ชนะของใต้หล้า จู่ๆ ไหวอินอ๋องก็หายสาบสูญไปท่ามกลางทหารที่กำลังสับสนอลหม่าน บางคนบอกว่าเขาตายแล้ว บางคนบอกว่าเขาทำลายโฉมตนเองแล้วหลบหนีไป เว่ยเซ่าเคียดแค้นคนผู้นี้เข้ากระดูก มีบัญชาว่าอยู่ต้องพบตัว ตายต้องพบศพ โดยตั้งรางวัลเป็นทองคำพันตำลึงพร้อมบรรดาศักดิ์ว่านฮู่โหว ทว่าจนแล้วจนรอดก็ยังไร้ผล จนกระทั่งครึ่งปีให้หลังค่อยมีข่าวแพร่มาถึงเบื้องหน้าเว่ยเซ่า บอกว่ามีคนเคยเห็นผู้ที่มีหน้าตาคล้ายไหวอินอ๋องปรากฏตัวขึ้นละแวกสุสานบรรพชนสกุลเว่ย เว่ยเซ่ารีบรุดไปทันทีทว่ากลับไม่พบความผิดปกติใด ต่อมาจึงพบว่าหลุมฝังศพรกร้างที่อยู่นอกสุสานถูกคนขุดทำลาย ในหลุมดินเหลือแต่ความว่างเปล่า โลงศพหายไปอย่างไร้ร่องรอย
บุตรีสกุลเฉียว ภรรยาเอกที่ไม่ถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮาของเว่ยเซ่า หลังจากที่เสียชีวิตแล้วก็ไม่อาจฝังร่างอยู่ในสุสานสกุลเว่ยได้ ร่างของนางจึงถูกฝังอยู่ในหลุมศพอันโดดเดี่ยวนอกสุสานแห่งนี้
ในชาตินี้…เสี่ยวเฉียวเชื่อว่าพวกเขาจะไม่พบเจอกับบทสรุปเช่นนี้อีก
“…เคยท่องชมในฝันชั้นดุสิต ได้พิชิตหอเอกอุเหนือแผ่นดิน…”
ขณะที่เสี่ยวเฉียวเดินมุ่งหน้ากลับวัดฉางเซิงอย่างเนิบช้า หูก็แว่วเสียงคนตัดฟืนขับร้องสองประโยคมาจากในส่วนลึกของป่า สุ้มเสียงนั้นหนักแน่นกังวานไกล ฟังคล้ายเจือกลิ่นอายของเซียนวิเศษผู้ตัดขาดจากโลกภายนอก
ติงฮูหยินที่พาต้าเฉียวกับเสี่ยวเฉียวไปจุดธูปขอพรที่วัดฉางเซิงไม่คิดเลยว่าพอตื่นจากนอนพักแค่ช่วงสั้นๆ ต้าเฉียวกลับหายตัวไปเสียแล้ว ทั้งไม่มีผู้ใดรู้ร่องรอย แรกเริ่มยังนึกว่าถูกโจรชั่วบุกเข้าวัดมาลักพาตัวไป จวบจนตกค่ำพบจดหมายที่บุตรสาวทิ้งไว้ในห้อง ถึงได้รู้ว่านางจากไปกับบ่าวเลี้ยงม้านัยน์ตาสีมรกตผู้นั้น
ติงฮูหยินแม้จะเศร้าเสียใจเพียงใด แต่เมื่อรู้ว่าบุตรสาวไม่มีอันตรายถึงชีวิตก็วางใจลงได้บ้าง ผิดกับเฉียวเยวี่ยที่โมโหยกใหญ่ ทว่าเนื่องจากกลัวว่าข่าวแพร่ออกไปแล้วจะส่งผลกระทบต่องานมงคลกับสกุลเว่ย เขาจึงไม่กล้าทำอะไรกระโตกกระตาก เพียงแค่เรียกที่ปรึกษาจางผู่มาแล้วบอกเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่ายเท่านั้น
เดิมทีแผนแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็มาจากจางผู่ผู้นี้เอง จางผู่ย่อมตื่นตระหนกทันทีที่ได้ฟังเรื่องราว เขาไม่กล้าเพิกเฉยรีบสั่งการลงไปในทันที ทางหนึ่งมีคำสั่งห้ามผู้ติดตามแพร่งพรายข่าวที่ต้าเฉียวหายตัวไปต่อภายนอกอย่างเด็ดขาด อีกทางหนึ่งก็ส่งคนจำนวนมากลอบค้นหาทุกทิศทางที่คนทั้งสองอาจมุ่งหนีไป ทว่าค้นหาอยู่หลายวันก็ยังไร้ร่องรอย เฉกเช่นวัวที่ปั้นจากดิน เมื่อตกลงสู่ทะเลก็ล้วนละลายหายไปจนสิ้น ตอนนี้เองที่มีข่าวมาจากสกุลเว่ยว่าพวกเขาตอบรับงานมงคลนี้
แม้ทูตที่ส่งไปจะไม่ได้พบหน้าเว่ยเซ่า แต่ก็ได้พบกับสวีฮูหยินผู้เป็นย่า สวีฮูหยินเป็นผู้ตอบรับงานมงคลนี้ และยังบอกว่าหลังจากเลือกวันที่ฤกษ์งามยามดีได้แล้วจะส่งคนมารับเจ้าสาวที่มณฑลเหยี่ยนโจว
สวีฮูหยิน ท่านย่าของเว่ยเซ่านั้นคือธิดาของท่านหญิงเกาหยางราชนิกุลผู้ครองแคว้นจงซาน ครั้งนั้นท่านปู่ของเว่ยเซ่าต้านศึกซยงหนู จนมีความชอบ สวีฮูหยินจึงลดเกียรติเพื่อแต่งเข้าสกุลเว่ย นางเป็นสตรีที่เฉียบแหลมและเก่งกาจ ในศึกปราบหลี่ซู่กบฏเมืองเฉินเมื่อสิบปีก่อน นางต้องสูญเสียบุตรชายคนโตและหลานชายคนโตไปพร้อมๆ กัน ยามนั้นเว่ยเซ่าหลานชายคนรองก็เพิ่งอายุได้แค่สิบสองปี ขณะที่ศัตรูกล้าแข็งรายล้อมจ้องตะครุบหลานชายของนางอยู่นั้น และรากฐานของดินแดนเยียนโยวกำลังตกอยู่ในภาวะคับขัน ก็ได้สวีฮูหยินเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ถึงได้ผ่านพ้นห้วงวิกฤตนั้นมาได้ กล่าวกันว่าเว่ยเซ่าเคารพยกย่องท่านย่าอย่างยิ่ง ฉะนั้นแม้งานมงคลนี้เว่ยเซ่าจะไม่ได้ตอบตกลงเองกับปาก แต่ในเมื่อสวีฮูหยินเป็นผู้ตอบรับแล้ว เรื่องนี้ก็เท่ากับจบลงเป็นที่แน่นอนแล้ว
บัดนี้ทูตที่จะมาหารือเรื่องแต่งงานกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทาง ไม่ช้าก็จะมาถึง ทว่าต้าเฉียวกลับหายตัวไปเสียนี่
ทันทีที่เฉียวผิงได้ข่าวก็รีบไปหาพี่ชายหมายเกลี้ยกล่อมเขาอีกครั้ง ในเมื่อแผนแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์นี้ไม่อาจทำได้แล้ว เช่นนั้นก็ทำตามความเห็นของตนด้วยการจับมือผู้อื่นต่อกรกับโจวฉวินที่มารุกรานให้ถึงที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่าเพิ่งจะได้พบหน้าพี่ชายก็ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว เขาถึงขั้นจะให้เสี่ยวเฉียวบุตรสาวของตนแต่งไปสกุลเว่ยแทนต้าเฉียว
เฉียวผิงตกตะลึง รีบสั่นศีรษะปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด “เช่นนี้ไม่เหมาะเป็นอันขาด! หรือพี่ชายลืมไปแล้วว่าหมานหมานกับหลางหยาซื่อจื่อหมั้นหมายกันอยู่ก่อน กำหนดการแต่งงานก็คือปีหน้านี้แล้ว นางจะแต่งให้เว่ยเซ่าอีกได้อย่างไร!”
เฉียวเยวี่ยกล่าว “ทางด้านหลางหยาซื่อจื่อ ข้าเห็นว่าไม่เป็นปัญหาใหญ่อันใดเลย ข้าจะส่งทูตที่มีวาทศิลป์ดีๆ ไปขอถอนหมั้นให้เรียบร้อย พร้อมมอบของกำนัลล้ำค่า เชื่อว่าทางแคว้นหลางหยาคงไม่ถึงกับตำหนิรุนแรงนักหรอก”
เฉียวผิงโบกมือไม่หยุด “พี่ชาย เช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด! หมานหมานกับซื่อจื่อหมั้นหมายกันอยู่ก่อน อีกทั้งหนุ่มสาวต่างมีใจให้แก่กัน การหมั้นไหนเลยจะบอกถอนเป็นถอนได้ ขออภัยที่ผู้น้องโง่เขลาไม่อาจรับปาก…”
“จื่อลู่!”
เฉียวเยวี่ยเอ่ยเรียกชื่อรอง ของน้องชายเสียงก้อง ลุกพรวดขึ้นจากตั่งที่อยู่เบื้องหน้าโต๊ะในทันที
“พอชาวเมืองได้ยินว่าโจวฉวินถอยทัพแล้วมีอาการลิงโลดยินดีกันอย่างไรบ้างนั้น ภาพเหตุการณ์นี้น้องรองก็น่าจะได้เห็นเองแล้ว! สกุลเฉียวของพวกเราปกครองราษฎรที่นี่แทนโอรสสวรรค์มาหลายชั่วคน น้องรองจะหักใจปล่อยให้ทหารและราษฎรสองแสนของเหยี่ยนโจวต้องตกทุกข์ได้ยากอย่างแสนสาหัสจริงๆ หรือ ยามนี้ขอเพียงเกี่ยวดองกับสกุลเว่ยสำเร็จ ภัยสงครามก็จะถูกขจัดไป! หลานสาวข้ากับชาวเหยี่ยนโจวสองแสนคน สิ่งใดหนักสิ่งใดเบา พี่ชายคนนี้คงไม่ต้องพูดให้มากความอีกกระมัง”
เฉียวผิงชะงักงันไปชั่วขณะ
หลายปีก่อนเขาสูญเสียภรรยาไป ทายาทจึงมีเพียงลูกแฝดหญิงชายหนึ่งคู่ เขานั้นรักเสี่ยวเฉียวประหนึ่งนางเป็นสิ่งล้ำค่า เกรงก็แต่จะทำให้นางต้องกล้ำกลืนฝืนใจ หากต้องส่งนางแต่งไปสกุลเว่ยเช่นนี้ ในใจเขาไม่อาจยินยอมได้จริงๆ ทว่ายามนี้คำว่า ‘ไม่’ กลับหนักราวกับสามหมื่นชั่ง
แม้จะเป็นอากาศในเดือนสิบเอ็ด หน้าผากของเฉียวผิงก็ยังคงหลั่งเหงื่อออกมา เขายืนนิ่งอยู่พักใหญ่ ในที่สุดจึงเอ่ยด้วยความลำบากใจ “พี่ชาย มิใช่ผู้น้องไม่รู้จักหนักเบา ทว่าเรื่องนี้หนักหนาเกินกว่า…”
เฉียวเยวี่ยพลันเดินมาถึงเบื้องหน้าเขา ก่อนจะคุกเข่าให้โดยไม่พูดแม้สักคำ ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายกำลังจะจรดหน้าผากลงกับพื้น เฉียวผิงก็ตื่นตระหนกจนใบหน้าถอดสี รีบก้าวพรวดขึ้นหน้าไปขวางเอาไว้
“พี่ชาย! ไยท่านจึงทำเช่นนี้…”
“น้องรอง!” เฉียวเยวี่ยน้ำตาคลอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ชวนสะเทือนใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อาจหักใจแต่งหมานหมานไปไกลถึงมณฑลโยวโจว เพราะข้าเองก็มีอาฟั่นเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวเช่นกัน ไหนเลยจะตัดใจให้นางพรากจากบิดามารดาไปไกลได้ ทว่าเจ้าจงฟังพี่ชายสักคำเถิด แผนรับมือในยามนี้นอกจากผูกไมตรีกับเว่ยเซ่าก็ไม่มีวิธีอื่นใดแล้ว! หากมิใช่อาฟั่นจากไปอย่างไร้เยื่อใย ข้าจะพรากหมานหมานของเจ้าได้อย่างไรกัน พี่ชายคนนี้ขอเป็นตัวแทนชาวเหยี่ยนโจวสองแสนคนขอวิงวอนเจ้า!” จบคำเขาก็ไม่สนใจการขัดขวางของเฉียวผิงอีก เอาแต่จะหมอบกราบลงไปอีกครั้งให้ได้
เฉียวผิงรู้สึกคล้ายถูกหมื่นเกาทัณฑ์ทะลวงหัวใจ มือเท้ายิ่งเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง เขาออกแรงพยุงพี่ชายพร้อมกับกัดฟันกล่าว “พี่ชายโปรดลุกขึ้นเถิด ทุกสิ่งให้ฟังคำบัญชาของท่านก็แล้วกัน”
เห็นอีกฝ่ายใจอ่อนยอมรับปากในที่สุด เฉียวเยวี่ยจึงลอบผ่อนลมหายใจแล้วค่อยลุกขึ้น คว้ากุมมือของน้องชายไว้แน่นพลางกล่าวทั้งน้ำตา “ผู้คนในยามนี้ใครเล่าจะเทียบพี่น้องได้! น้องรอง เจ้าเข้าใจและให้อภัยในความลำบากของพี่ชายอย่างนี้ พี่ชายซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
เสี่ยวเฉียวฟังชุนเหนียงแม่นมของตนเล่าว่า…พอเฉียวฉือน้องชายฝาแฝดของนางรู้ข่าวนี้ก็เต้นผาง พุ่งตรงไปคัดค้านเสียงดังต่อหน้าเฉียวเยวี่ยผู้เป็นลุงในทันที
ท่านลุงไม่มีบุตรชาย แต่ไรมาจึงเห็นหลานชายคนนี้เป็นเสมือนบุตรแท้ๆ ของตน ยามปกติจึงให้ความสำคัญกับเขาอย่างยิ่ง ทว่าคราวนี้เฉียวฉือกลับถูกท่านลุงตีและไล่ออกมา ซ้ำยังกักบริเวณให้อยู่แต่ในห้อง
เสี่ยวเฉียวเองก็ไม่ได้หลับตาลงเลยตลอดทั้งคืน
เดิมทีนางเพียงคิดปลอบโยนญาติผู้พี่ถึงได้บอกออกไปว่านางอยากแต่งกับเว่ยเซ่าแทนอีกฝ่ายเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะกลายเป็นจริงเสียได้
บิดารักถนอมนางมาแต่ไหนแต่ไร นางรู้แก่ใจดี หากมิใช่จนใจถึงขีดสุดจริงๆ เขาจะไม่ตกปากรับคำให้นางแต่งไปสกุลเว่ยเป็นอันขาด บัดนี้ข่าวสองสกุลดองญาติแพร่สะพัดออกไปแล้ว โจวฉวินได้ยินข่าวก็ถอนทัพกลับทันที เดิมทีจิตใจของผู้คนย่อมโหยหาความสงบร่มเย็นอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อไร้การศึก ราษฎรทั้งเมืองจึงล้วนยินดีปรีดากับเรื่องนี้ บิดาในฐานะเจ้าเมืองจึงเสมือนถูกจับนั่งลงบนหลังเสือ แบกความมุ่งหวังของชาวเหยี่ยนโจวทั้งสองแสนคน นอกจากตกปากรับคำแล้ว เขาก็ไม่มีทางถอยอื่นใดอีกจริงๆ
หลายวันมานี้ขณะที่ทุ่มเทความคิดและจิตใจหมายจะช่วยต้าเฉียวเปลี่ยนชะตากรรมนั้น เสี่ยวเฉียวก็ตั้งใจแล้วว่าตนเองจะไม่ยอมเดินไปตามเส้นทางในห้วงฝันร้ายสายนั้นเด็ดขาด น่าเสียดายที่แม้ความตั้งใจนั้นจะดูงดงามยิ่งนัก ทว่าความเป็นจริงกลับเอาคืนนางอย่างร้ายกาจ นางคล้ายถูกฟาดด้วยก้อนอิฐจนมึนงงไม่รู้เหนือรู้ใต้
เสี่ยวเฉียวได้แต่ยิ้มเฝื่อนอย่างกลั้นไม่อยู่
เส้นทางเปลี่ยนไปแล้วก็จริง แต่แค่เปลี่ยนไปเป็นทางตันอีกสายหนึ่งเท่านั้น
นางไม่อาจยุติเรื่องราวด้วยการจากไปอย่างต้าเฉียว ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้นางอยากหลบหนีเพียงใดก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว ท่านลุงย่อมได้รับบทเรียนจากคราวก่อน สองวันมานี้ไม่ว่านางไปที่ใด ข้างกายก็จะมีบ่าวรุ่นป้าเรี่ยวแรงดีสามสี่คนจากเรือนของท่านลุงคอยตามติดอยู่เสมอ
เป็นเพราะจิตใจนางว้าวุ่นจึงได้พลิกกายไปมาตลอดคืน จวบจนยามฟ้าสางในที่สุดก็เกลี้ยกล่อมตนเองให้หลับลงได้ ท้ายที่สุดก็มีแต่ต้องยอมรับผลของการจับพลัดจับผลูในครั้งนี้
Comments
comments
No tags for this post.