ตอนที่สิบ
ค่ำคืนนี้เสี่ยวเฉียวไม่กล้าผ่อนคลายเช่นยามปกติอีก นางนั่งอยู่ใต้แสงเทียนรอคอยเขากลับมาอย่างสงบเสงี่ยม
สาวน้อยรอคอยจวบจนปลายยามไฮ่ จนแล้วจนรอดเว่ยเซ่าก็ไม่กลับมา สุดท้ายนางจึงทนฝืนต่อไปไม่ไหว เอนนอนลงไปก่อนทั้งที่ยังสวมเสื้อผ้าครบชุด
เว่ยเซ่าไม่ได้กลับมาเลยตลอดทั้งคืน จวบจนยามอาทิตย์ของวันรุ่งขึ้นลับไป เสี่ยวเฉียวจึงค่อยได้ข่าวว่าแถบเมืองซั่งกู่ซึ่งสงบสุขมาเนิ่นนาน วันก่อนกลับถูกทหารม้าซยงหนูกองใหญ่ปล้นเสบียง ทหารรักษาการณ์และราษฎรบาดเจ็บล้มตายเกือบพันคน หลังทหารซยงหนูปล้นชิงเผาฆ่าเสร็จก็ประกาศว่านี่คือของขวัญวันเกิดแด่สวีฮูหยินแห่งอวี๋หยาง จากนั้นทั้งหมดก็ถอนกำลังหนีขึ้นเหนือ
เว่ยเซ่าโกรธจัดเมื่อได้ยินข่าว รีบนำทหารม้ารุกไล่พวกซยงหนูด้วยตนเอง
เว่ยเซ่านำทหารม้าฝีมือดีสองพันนายไล่ล่าทั้งวันทั้งคืนด้วยความเร็วสูงสุด จนออกจากรัศมีหลายร้อยลี้ของเมืองซั่งกู่มาจนถึงลุ่มแม่น้ำซังกานซึ่งเป็นพรมแดนชั่วคราวที่ราชสำนักซยงหนูยอมรับโดยนัย
เมื่อครู่นี้เองขณะที่ทหารซยงหนูหมายนำวัว ม้า สตรี และสิ่งอื่นที่ปล้นชิงได้ข้ามพรมแดนกลับราชสำนักไปเป็นบำเหน็จศึก ไม่คาดว่าทหารม้าของเว่ยเซ่าจะรุดตามมาถึงจึงต้องต้านรับไว้อย่างฉุกละหุก สองฝ่ายเปิดศึกใหญ่ริมแม่น้ำซังกาน เว่ยเซ่ารุกเข้าสู่กระบวนทัพม้า สู้รบกับนายกองเฉี่ยโม่เชอผู้นำของทหารซยงหนูด้วยตนเอง เฉี่ยโม่เชอถูกเขาฟันตกจากหลังม้าและถูกจับเป็น ทหารม้าซยงหนูที่เหลือบ้างหลบหนี บ้างตกเป็นเชลย ต้องแตกพ่ายไม่เป็นกระบวน วัวม้าของชาวเมืองซั่งกู่ที่ถูกปล้นชิงไปล้วนได้กลับคืน เว้นแต่สตรีจำนวนหนึ่งที่บาดเจ็บล้มตาย ส่วนใหญ่ที่เหลือล้วนปลอดภัยดี เพียงแต่พวกนางไม่พ้นที่จะถูกหักหาญข่มเหง ยามนี้รวมกลุ่มกันอยู่ในสภาพอาภรณ์หลุดลุ่ย บ้างนั่งบ้างยอง กอดคอกันร่ำไห้เสียงดังระงม
ชุดเกราะเหล็กของเว่ยเซ่าย้อมไปด้วยโลหิต มือกดกระบี่ขณะก้าวยาวๆ ผ่านข้างกลุ่มสตรีที่ร้องห่มร้องไห้หลังรอดชีวิตจากการปล้นฆ่ามาถึงเบื้องหน้าของเฉี่ยโม่เชอนายกองชาวซยงหนู
เฉี่ยโม่เชอแข็งกร้าวห้าวหาญยิ่งนัก แม้ตกเป็นเชลย ซ้ำคราบเลือดเต็มร่าง ทว่ายังคงฝืนดึงดันไม่ยอมคุกเข่า ทั้งยังเชิดศีรษะขึ้นสูงพลางหัวเราะร่วนใส่เว่ยเซ่า “เป็นอย่างไร ของขวัญวันเกิดที่มอบให้ท่านย่าของเจ้าถูกใจหรือไม่ หากวันนี้เจ้ากล้าฆ่าข้าหนึ่งคน วันหน้าพี่น้องซยงหนูของข้าย่อมสนองคืนให้เป็นสิบเท่า!”
แม่ทัพหลี่เตี่ยนที่ออกไล่ล่ามาพร้อมกับเว่ยเซ่าโกรธจัด ถีบใส่ข้อพับเข่าของเฉี่ยโม่เชอหนึ่งเท้า เฉี่ยโม่เชอสองเข่าทรุดลงกับพื้น เขาหมายตะเกียกตะกายลุกขึ้นแต่กลับถูกคนกดเอาไว้ ปากจึงด่ากราดด้วยโทสะไม่หยุด
“เว่ยเซ่า! เจ้าเด็กอมมือ หนูโสโครก ชาติสุนัข!”
เว่ยเซ่าชักกระบี่ยาวจากข้างเอวช้าๆ คมกระบี่เปล่งประกายวาววับเย็นเฉียบดุจหิมะ เพียงเงื้อมือขึ้นแล้วตวัดกระบี่ไปลำคอ ศีรษะของเฉี่ยโม่เชอก็หลุดกลิ้งลงจากบ่า โลหิตฉีดพุ่งเป็นลำสูงลิ่วสาดกระจายนองพื้น
รอบด้านเงียบกริบไร้เสียงใดๆ กระทั่งเหล่าสตรีที่อยู่ห่างออกไปยังชะงักเสียงร่ำไห้
“เชลยซยงหนูที่เหลือ ไม่สนว่าจะมียศทหารสูงต่ำ สำเร็จโทษที่นี่เสียให้สิ้น” เว่ยเซ่าสอดกระบี่คืนฝัก ออกคำสั่งด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ
บาดแผลของฮูเหยี่ยนเลี่ยที่ถูกแทงอกซ้ายในคืนนั้นลึกยิ่ง หากลึกเข้ามาอีกเพียงครึ่งชุ่นก็จะแทงถึงหัวใจ
ไม่กี่วันมานี้เขาถูกแผลที่ปวดระบมเคี่ยวกรำ ทั้งเคลื่อนไหวได้อย่างจำกัด ยามนี้ยังถูกพามาถึงลานประหารพร้อมชาวซยงหนูรอบกายที่ถูกจับเป็นเชลย เขาลอบรวมพลังหมายดิ้นให้หลุดจากเชือก ทว่าหน้าอกกลับปวดขึ้นอย่างสาหัส เบื้องหน้าสายตาพลันดำวูบ ร่างยืนไม่มั่นคงล้มคะมำลงกับพื้น
นึกอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าตนจะจับพลัดจับผลูมาจบชีวิตที่ริมแม่น้ำซังกานเยี่ยงนี้ได้
เว่ยเซ่าชายหนุ่มชาวฮั่นผู้นี้ถึงกับฝึกฝนทัพม้าอันเกรียงไกรที่มีฝีมือการรบไม่ด้อยไปกว่าชาวซยงหนูเลย ในการศึกซึ่งหน้าเช่นนี้ ชาวซยงหนูไม่เคยช่วงชิงความได้เปรียบจากมือของเขาได้เลยสักนิด ในทางกลับกัน พื้นที่แถบเมืองอวิ๋นจงและเมืองซั่วฟางซึ่งเดิมทีถูกผนวกเข้าสู่เขตแดนของซยงหนูแล้วกลับถูกเขายึดคืน ชาวซยงหนูถูกบีบให้ถอยร่นขึ้นเหนือไปเลี้ยงแพะเลี้ยงม้านอกรัศมีหลายร้อยลี้
นามของเว่ยเซ่าไม่มีใครในราชสำนักซยงหนูไม่รู้จัก เมื่อเอ่ยถึงนามนี้ ตั้งแต่ฉานอวี๋ อ๋องทั้งหลาย ไปจนถึงราษฎรล้วนมีความกริ่งเกรงเจือปนอยู่ในใจ ทว่าผิดกับอูเหวยผู้ครองยศเสียนอ๋องซ้ายควบตำแหน่งรัชทายาทถูฉี ที่สาบานขอเป็นอริกับเว่ยเซ่า ในขณะที่ท่าทีของรื่อจู๋อ๋องที่มีต่อคู่ปรับชาวฮั่นผู้นี้กลับมิได้เคียดแค้นลึกล้ำสักเท่าใด
บางทีอาจเพราะอดีตชายาที่มาจากสกุลเว่ยผู้นั้นก็เป็นได้ ฮูเหยี่ยนเลี่ยได้แต่คิดเช่นนี้
การเดินทางเที่ยวนี้ของฮูเหยี่ยนเลี่ยเดิมทีบรรลุภารกิจที่ต้องทำแล้ว ไม่นึกว่าระหว่างทางขากลับจะพบเจอทหารที่เสียนอ๋องซ้ายส่งมากองนี้ เมื่อล่วงรู้เจตนายั่วยุของเสียนอ๋องซ้าย ฮูเหยี่ยนเลี่ยก็รีบห้ามปราม ทว่าเฉี่ยโม่เชอไหนเลยจะเชื่อฟัง สองฝ่ายจึงเกิดการปะทะกัน
ฮูเหยี่ยนเลี่ยคือนายกองนามกระเดื่องของซยงหนูมาแต่ไหนแต่ไร สร้างความชอบในการศึกครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าวันนั้นเขามาเพียงลำพัง ซ้ำได้รับบาดเจ็บ สุดท้ายจึงไม่อาจต้านได้ไหวถูกจับกุมตัวมา เฉี่ยโม่เชอต้องการจับเขากลับไปมอบให้เสียนอ๋องซ้ายเพื่อใช้กลั่นแกล้งรื่อจู๋อ๋อง เขาจึงถูกมัดตัวพาไปยังเมืองซั่งกู่ด้วย หลังพวกเฉี่ยโม่เชอปล้นเสบียงเสร็จ เขาก็ถูกบังคับให้ร่วมทางต่อ ไม่นึกว่าพอถึงที่นี่แล้วจะถูกทหารม้าของเว่ยเซ่าไล่ตามทัน สองฝ่ายเปิดศึกใหญ่ เขาจึงพลอยตกเป็นเชลยพร้อมกับพวกเฉี่ยโม่เชอไปด้วย
ชั่วชีวิตของเขาฆ่าคนมานับไม่ถ้วน มีทั้งสหายร่วมเผ่าที่เขาฆ่าเพื่อชิงอำนาจ มีทั้งชาวฮั่น ชาวอูซุน และชาวฮูเจีย* ที่เขาฆ่าเพื่อช่วงชิงดินแดน…เดิมทีความตายไม่มีอันใด ทว่าตายในลักษณะนี้เขาทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ
ฮูเหยี่ยนเลี่ยรู้ว่าทหารของเว่ยเซ่ากำลังทำตามบัญชาของผู้เป็นนายแล้ว เสียงโหยหวน เสียงก่นด่า เสียงวิงวอน สารพัดเสียงผสมปนเปเข้าด้วยกัน เชลยศึกที่อยู่เบื้องหน้าเขาล้มลงไปทีละคน ไม่ช้าก็จะถึงเขาแล้ว
ฮูเหยี่ยนเลี่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ เตรียมรวบรวมพลังเพื่อดิ้นรนเฮือกสุดท้าย จู่ๆ เบื้องหลังก็มีคนเหยียบลงบนร่างของเขา จากนั้นสุ้มเสียงหนึ่งที่เขารู้จักก็ดังขึ้น “ชาวซยงหนูผู้นี้มีความแค้นกับข้า ข้าจะสังหารมันด้วยมือของข้าเอง”
เว่ยเหยี่ยนกล่าวกับนายกองผู้รับคำสั่งประหาร
เว่ยเหยี่ยนเป็นคนออกปาก นายกองย่อมเชื่อฟังและรีบส่งมอบคนออกไป
เขาลากฮูเหยี่ยนเลี่ยที่ไม่ขยับเขยื้อนมาจนถึงริมแม่น้ำซังกาน เมื่อรอบข้างปลอดคน เขาก็ใช้ปลายกระบี่สะกิดเชือกที่มัดฮูเหยี่ยนเลี่ยออก
ฮูเหยี่ยนเลี่ยตื้นตันใจอย่างที่สุด พยายามคุกเข่าลง โขกศีรษะให้เว่ยเหยี่ยน “นายน้อย เรื่องที่เมืองซั่งกู่เป็นฝีมือของเสียนอ๋องซ้าย…”
“ไสหัวกลับไป!” เว่ยเหยี่ยนตวาดไล่โดยไม่ฟังจนจบ จากนั้นจึงหมุนกายก้าวยาวๆ จากไปทันที
ตกค่ำของวันที่ห้าภายหลังเว่ยเซ่าจากไป ในที่สุดเขาก็กลับมา
สวีฮูหยินยินดีเป็นล้นพ้น ออกไปต้อนรับพวกเว่ยเหยี่ยนและเว่ยเซ่าด้วยตนเอง เห็นทั้งสองอ่อนเพลียจากการเดินทางจึงเอ่ยปลอบ จากนั้นก็สั่งให้สองพี่น้องรีบแยกย้ายไปพักผ่อน
ยามที่เว่ยเซ่ากลับถึงเรือนประจิม ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว เสี่ยวเฉียวรอต้อนรับเขาอยู่นอกประตูเรือน
ชุดเกราะบนร่างยังไม่ทันได้ถอดออก เขาเพียงยืนอยู่ตรงนั้น สองตาเพ่งมองเสี่ยวเฉียวขณะให้หญิงรับใช้อาวุโสช่วยเขาปลดชุดเกราะ
เสี่ยวเฉียวลังเลเล็กน้อย สุดท้ายยังคงเดินไปถึงตรงหน้า ยกมือช่วยปลดชุดเกราะให้เขาด้วยตนเอง
บรรดาหญิงรับใช้อาวุโสเห็นเช่นนี้จึงพากันถอยออกไป
ระยะห่างระหว่างเสี่ยวเฉียวกับเว่ยเซ่าอยู่ใกล้กันมาก ยามปลดชุดเกราะจึงสูดได้กลิ่นดินผสมโลหิตที่แห้งกรังแล้วจากบนร่างของเขา กลิ่นนั้นฉุนจมูกอยู่บ้าง
นางรู้สึกได้ว่าเหนือศีรษะคล้ายมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้อง ครั้นช้อนตาขึ้นก็เห็นเขาก้มศีรษะลงมาเล็กน้อย กำลังมองนางอยู่
แพขนตาทั้งคู่ของนางพลันสั่นไหว ขบริมฝีปากแล้วหลุบตาลง นางกลั้นหายใจ กระทั่งช่วยเขาปลดหมุดยึดชุดเกราะอันหนักอึ้งเสร็จในที่สุด จากนั้นก็ทำหน้านิ่งถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เว่ยเซ่าถอดชุดเกราะลงพื้นเอง บนร่างคงเหลือเสื้อตัวในซึ่งเปรอะย้อมไปด้วยดินและเลือด ชายหนุ่มชำเลืองมองเสี่ยวเฉียวที่ผละจากตนไปแล้วก่อนหมุนกายเดินเข้าห้องอาบน้ำ เมื่อกลับออกมา บนร่างก็เปลี่ยนมาสวมชุดที่สะอาดเรียบร้อย แขนเสื้อกว้างพลิ้วไหว เรือนผมดำที่เปียกชื้นเกล้าไว้บนศีรษะด้วยปิ่นหยก รูปงามสง่าเปี่ยมเสน่ห์ชวนมองยิ่งนัก ผิดกับสภาพที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดตอนเพิ่งกลับมาโดยสิ้นเชิง
“ท่านพี่จะไปกินอาหารหรือไม่” เสี่ยวเฉียวถามเขา
เว่ยเซ่าลูบท้องพลางผงกศีรษะ ก่อนจะหมุนกายเดินไปยังห้องอาหาร เสี่ยวเฉียวเดินตามไปปรนนิบัติ เมื่อไปถึงหน้าประตูก็เห็นเจียงเอ่าจากเรือนบูรพามาเยือน สีหน้านอบน้อมขณะค้อมกายแจ้งว่าฮูหยินเตรียมอาหารไว้ ให้มาเชิญนายท่านไปกิน
“ฮูหยินรักและห่วงใยนายท่านจึงลงครัวทำด้วยตนเอง หวังว่านายท่านจะแวะไปเจ้าค่ะ”
เว่ยเซ่าลังเลเล็กน้อย หันหน้ามามองเสี่ยวเฉียว
เสี่ยวเฉียวรีบกล่าว “ในเมื่อท่านแม่เตรียมอาหารไว้เช่นกัน ท่านพี่ก็ไปเถิด ข้าไม่มีปัญหาหรอก”
เว่ยเซ่าย่างเท้าตรงสู่เรือนบูรพาโดยไม่ได้พูดอันใด
เมื่อเว่ยเซ่ามาถึงเรือนบูรพาก็เห็นจูซื่อมารดาของตนชะเง้อคอรออยู่ที่หน้าประตูห้อง ทันทีที่เห็นเขาปรากฏตัวก็รีบตรงมาต้อนรับ กล่าวด้วยความยินดี “จ้งหลิน ในที่สุดเจ้าก็กลับมา หลายวันมานี้แม่เป็นห่วงยิ่งนัก เห็นเจ้าปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว รีบเข้าห้องเร็วเข้า แม่เตรียมอาหารค่ำเองกับมือเชียวนะ”
เว่ยเซ่ากล่าวขอบคุณจูซื่อ ตามนางเข้าไปแล้วเอ่ยปาก “อันที่จริงท่านแม่ไม่ต้องลงครัวเหน็ดเหนื่อยเพื่อลูกเป็นการเฉพาะเลย ลูกรู้สึกละอายใจนัก”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” จูซื่อยิ้มกล่าว “แม่หวังให้เจ้ามากินอาหารที่นี่ทุกวันเสียด้วยซ้ำ เหน็ดเหนื่อยที่ใดกันเล่า”
เว่ยเซ่ามองดูเบื้องหน้า บนโต๊ะอาหารเรียงรายไปด้วยอาหารเลิศรสมากมาย เฉพาะเนื้อกวางก็มีทั้งเนื้อกวางแล่บาง เนื้อกวางแห้ง และน้ำแกงข้นเนื้อกวางใส่หอยเป๋าฮื้อ นอกจากนี้ยังมีไก่ ปลา และฟักน้ำเต้า ไม่ขาดตกบกพร่องสักสิ่งเดียว บนโต๊ะยังวางสุราอีกหนึ่งป้าน เว่ยเซ่าตะลึงงันไปเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน
สุราอาหารบนโต๊ะนี้เพียงพอที่จะทำให้บุรุษหิวโซสามสี่คนกินอิ่มท้องได้ทีเดียว นี่ทำให้เขานึกถึงหลายวันก่อนตอนที่ตนแกล้งหยอกหญิงสกุลเฉียวเรื่องปริมาณอาหารของนาง หากเรียกนางมากินด้วย เกรงว่าหญิงสกุลเฉียวสิบคนกินสามวันก็คงกินไม่หมด
เว่ยเซ่าเหลือบมองมารดาซึ่งใบหน้าเปื้อนยิ้ม สุดท้ายยังคงนั่งลงโดยไม่ได้พูดอันใด
จูซื่อนั่งเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง ยกป้านสุรารินให้เขาหนึ่งจอกก่อนกล่าว “จอกนี้ฉลองที่ลูกแม่สังหารข้าศึกได้ชัยกลับมา”
ขณะจูซื่อยกสุราส่งให้บุตรชาย สายตาที่นางมองเขาก็ไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก ทว่าเว่ยเซ่าไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของมารดาแต่อย่างใด เขาเอ่ยขอบคุณนางแล้วรับจอกด้วยสองมือ ดื่มลงไปในอึกเดียว ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้น
เห็นเว่ยเซ่าดื่มสุราแล้ว จูซื่อก็เบาใจลงเล็กน้อย เรียกให้เขาดื่มมากหน่อยไม่ต้องกลัวเมา หากเมามาย เรือนบูรพาของตนก็มีห้องที่สามารถค้างแรมได้ เว่ยเซ่าเพียงยิ้มไม่พูดจา
จูซื่อนั่งเป็นเพื่อนต่อสักพักก็ทยอยรินสุราให้บุตรชายอีกสองจอก เห็นเขาดื่มลงไปจนหมด ในที่สุดก็อ้างเหตุลุกออกไปก่อน
หลายวันก่อนนางเคยลอบไปเยือนศาลทรงเจ้าบนเขาอวี๋ซาน ขอยาเซียนเจ้าแม่หวังหมู่ ห่อหนึ่งมาจากแม่หมอ แม่หมอบอกว่ายานี้มีฤทธิ์ปลุกกำหนัดรุนแรง ใช้ปลายนิ้วตวัดผงยาเล็กน้อย ปริมาณก็เพียงพอที่จะเห็นผลแล้ว หากผสมสุราดื่มก็จะออกฤทธิ์รุนแรงยิ่งขึ้น
เดิมจูซื่อกลัวว่าจะทำร้ายร่างกายบุตรชายเช่นกันจึงไม่กล้าใส่ยามากนัก ทว่าก็กังวลว่าจะไม่เห็นผล สุดท้ายจึงใส่ลงไปในสุรา เขย่าให้เข้ากันแล้วรินให้บุตรชายดื่ม เห็นเขาดื่มลงไปสามจอกกับตาถึงค่อยวางใจลงได้ นางอ้างเหตุหาเรื่องออกไปก่อนตามแผนที่ได้หารือไว้แต่แรก
อาหารค่ำที่เรือนบูรพามื้อนี้แม้มากมายหลากชนิด ทั้งปรุงได้ล้ำเลิศ ทว่าเห็นแก่ความตั้งใจของมารดาต่างหากเว่ยเซ่าถึงได้แวะมา ของที่กินเข้าไปก็แทบไม่รู้รส ยิ่งไม่มีอารมณ์จะดื่มสุรา บางทีอาจเพราะเหนื่อยเพลียอยู่บ้างก็เป็นได้ ในใจเพียงอยากรีบกลับไปเร็วหน่อย หลังดื่มสุราสามจอกที่จูซื่อรินให้เขาจึงหยุดดื่ม เลือกกินกับข้าวอีกไม่กี่คำก็อยากลาจูซื่อกลับแล้ว
เขานั่งคอยสักพักก็ไม่เห็นมารดากลับมาเสียที ทว่าในท้องกลับคล้ายมีไฟกลุ่มหนึ่งปะทุขึ้น ให้ความรู้สึกร้อนแผดเผารางๆ
ไม่นานนักความรู้สึกนี้ก็ลุกลามสู่เบื้องล่าง
ชายหนุ่มย่อมรู้ว่าอาการนี้หมายถึงอะไร แต่ไม่ได้นึกเลยสักนิดว่าเป็นมารดาที่วางยาตน เขาเพียงรู้สึกฉงนที่ตนพลันเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ขึ้นโดยไร้สาเหตุ ร่างกายอึดอัดไม่น้อย รู้สึกเพียงแค่อยากจะปลดเปลื้องโดยด่วน
เว่ยเซ่าอดทนอยู่ชั่วครู่ เห็นจูซื่อยังไม่ออกมาจึงลุกขึ้นบอกสาวใช้หน้ากลมมนที่อยู่รับใช้ด้านข้าง ให้นางกล่าวลาแทนตน พอลุกขึ้นเตรียมจากไป เจียงเอ่าก็เข้ามาแจ้งอย่างตื่นตระหนกว่าเมื่อครู่ฮูหยินกลับห้องแล้ว เดิมคิดจะออกมาอีก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ กลับปวดศีรษะขึ้นมา นางจึงมาเชิญท่านโหวไปดูสักหน่อย
หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจูซื่อมีอาการปวดศีรษะ เว่ยเซ่าตระหนกวูบ กดข่มความรู้สึกทรมานดุจถูกมดกัดหนอนไชร่างกายเอาไว้แล้วรีบรุดตามเจียงเอ่าไป เห็นทิศทางที่เจียงเอ่ามุ่งไปมิใช่ห้องนอนของจูซื่อ ในใจแม้กังขาอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้คลางแคลง นึกเพียงว่าจูซื่อเกิดอาการปวดศีรษะที่ห้องอื่น เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องนอนที่อยู่ค่อนข้างลึกห้องหนึ่ง เจียงเอ่าก็ผลักเปิดประตู เว่ยเซ่าไม่ได้คิดมากก็ย่างเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไปทันที
เพิ่งจะเข้ามาประตูที่อยู่เบื้องหลังก็ถูกเจียงเอ่าดึงปิด เว่ยเซ่าห่วงใยอาการป่วยของมารดาจึงไม่ได้ใส่ใจ เขาเหลียวมองรอบด้าน เห็นว่าห้องลึกอย่างยิ่ง แบ่งเป็นห้องชั้นในและนอกสองชั้น เบื้องหน้าไม่พบเห็นมารดาของตน กระทั่งสาวใช้คอยปรนนิบัติสักคนก็ไม่มี เขานึกว่าทุกคนอยู่ห้องชั้นในจึงรีบสาวเท้าตรงไป แล้วแหวกม่านกั้นห้องพลางกล่าว “ท่านแม่ ท่านเป็น…”
เว่ยเซ่าพลันหยุดชะงัก
จูซื่อไม่ได้อยู่ด้านใน ตรงหน้าคือเตียงหลังหนึ่ง กลิ่นหอมละมุนที่โชยมาไม่ขาดสายกำลังพุ่งจู่โจมหัวใจคน คั่นกลางด้วยม่านแพรที่ทอจากไหมดิบโปร่งบางหนึ่งชั้น ท่ามกลางกองผ้าห่มปักดิ้นและหมอนที่หอมจรุง ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวนางหนึ่งนอนตะแคงหันแผ่นหลังให้เขาอยู่บนเตียง เรือนผมดุจเส้นไหมของหญิงสาวสยายปรกอยู่บนหมอน บนร่างสวมอาภรณ์แพรสีแดงเข้มเนื้อบางเพียงตัวเดียว อีกทั้งอาภรณ์แพรยังร่นลงมาถึงไหล่ เผยให้เห็นลำคอขาวหมดจดกับหัวไหล่อิ่มชุ่มชื้น
เว่ยเซ่าตะลึงงัน
หญิงสาวบนเตียงลุกขึ้นนั่งอย่างแช่มช้า อาภรณ์เลื่อนหล่นตามร่างที่ขยับ แม้หญิงสาวยกมือทาบทับชุดแพรแดงที่หลุดร่วงลงมาถึงใต้ทรวง ทว่าก็ได้เผยกายสาวให้เห็นแล้วเป็นส่วนใหญ่ เรือนร่างกึ่งเปิดเผยกึ่งซ่อนเร้นนี้ ขอเพียงชายใดได้เห็นล้วนเลือดลมพลุ่งพล่านด้วยกันทั้งสิ้น ความร้อนที่แผดเผาในกายเว่ยเซ่าขุมนั้นก็ยิ่งทวีความรุนแรงแล่นไปทั่วสรรพางค์กายจนแทบสะกดข่มไม่ไหวเกือบปะทุออกมา
หญิงสาวเงยศีรษะขึ้น สองตาบรรจุด้วยสายใยรัก ดวงหน้าเจือความเอียงอาย ครั้นแลเห็นเว่ยเซ่าที่อยู่ตรงหน้ายืนแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว มือจึงคลายออกจงใจทอดไมตรี อาภรณ์แพรเลื่อนหล่น ร่างท่อนบนปราศจากสิ่งใดบดบังอีก เสน่ห์อันรัญจวนใจเผยออกมาปะทะใบหน้า
“พี่ชาย…” หญิงสาวเรียกเขาเสียงแผ่วหวิว
ในใจเว่ยเซ่าพลันกระจ่างแจ้งทุกสิ่ง
เขากวาดมองกายสาวปราดหนึ่งพร้อมเงาทะมึนเข้มข้นที่ฉายวาบขึ้นในดวงตา เงาทะมึนนี้ถึงขั้นกลบแววปรารถนาซึ่งฉาบดวงตาอยู่แต่เดิมไปจนสิ้น ชายหนุ่มสะบัดหน้าจากไปทันที
เจิ้งฉู่อวี้นึกไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เว่ยเซ่ากลับหมุนกายจากไป หลังความตกตะลึงผ่านพ้น นางตะลีตะลานคว้าอาภรณ์แพรขึ้นบดบังทรวงอกอย่างลวกๆ ลงจากเตียงเท้าเปล่าไล่ตามออกมาดุจเหินบิน แล้วสวมกอดต้นขาของเว่ยเซ่าจากด้านหลัง ไถลลงคุกเข่าพลางหลั่งน้ำตากล่าว “พี่ชาย ท่านป้าจะทำเช่นนี้ให้ได้ ข้าเองก็อับจนปัญญา กระนั้นฉู่อวี้ก็เต็มใจช่วยปลดเปลื้องความทรมานให้แก่ท่าน”
เว่ยเซ่าหยุดฝีเท้า ก้มหน้าเหลือบมองเจิ้งฉู่อวี้ นางคุกเข่าอยู่แทบเท้าเบื้องหลังตน สองไหล่ที่กลมกลึงสั่นระริก แหงนหน้ามองเขาพร้อมประกายน้ำพราวระยับสองตา ท่าทางเปราะบางชวนถนอม
เว่ยเซ่าฝืนข่มความรู้สึกที่กำลังขยายตัวจนคล้ายแล่นเตลิดอยู่ในเส้นเลือดทั่วร่าง ชักเท้าออกทิ้งเจิ้งฉู่อวี้ไว้ ก้าวยาวมุ่งหน้าสู่ประตู พอไปถึงก็ดึงประตูสองที เห็นเปิดไม่ออกจึงค่อยรู้ว่าประตูถูกลั่นดาลจากด้านนอกเมื่อใดก็ไม่รู้ เขาพลันเดือดดาลถึงขีดสุด ยกเท้าถีบใส่ทันใด ประตูไม้พะยูงแก่นแดงอันแสนแข็งแกร่งถึงกับถูกเขาถีบปลิวออกไปทั้งบาน บังเกิดเสียงโครมสนั่นเมื่อร่วงกระแทกพื้นนอกธรณีประตู
“พี่ชาย…”
เสียงเรียกปนสะอื้นของเจิ้งฉู่อวี้ดังมาจากเบื้องหลัง เว่ยเซ่าราวไม่ได้ยิน ก้าวออกจากธรณีประตูไปพร้อมสีหน้าอันบึ้งตึง ทั้งยังเหยียบข้ามแผ่นประตูบานนั้นเดินก้าวยาวออกไปเบื้องนอก
หลังเจียงเอ่าหลอกพาเว่ยเซ่าเข้าประตูไปก็แอบลั่นดาล จากนั้นซ่อนกายรองานเสร็จอยู่ละแวกใกล้เคียงพร้อมกับจูซื่อที่ตามมาหลังได้ข่าว มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าคราวนี้งานต้องลุล่วงเป็นแน่ นึกไม่ถึงว่าเว่ยเซ่าเพิ่งเข้าไปไม่ทันไร ประตูบานนั้นก็ถูกเขาถีบปลิวในเท้าเดียวเสียแล้ว ซ้ำเห็นเขามีสีหน้าโกรธเกรี้ยวก้าวฉับๆ มุ่งสู่เบื้องนอก เจียงเอ่าจึงมองหน้าจูซื่อเลิ่กลั่กก่อนรีบออกจากที่ซ่อนด้านหลังประตู
“นี่นายท่านกำลังจะไปที่ใดเจ้าคะ…”
เจียงเอ่าก็ช่างกระไร ยังอุตส่าห์ยื่นมือไปขวางเว่ยเซ่าอีกเสียได้
มือนางเพิ่งแตะถูกแขนของเว่ยเซ่า เขาก็ยกเท้าถีบออกไปอีกครั้ง ถูกต้นขาของเจียงเอ่าเข้าอย่างจัง พละกำลังของเขายามโกรธจัด เจียงเอ่าไหนเลยจะแบกรับได้ไหว สิ้นเสียงร้องโหยหวน ทั้งร่างก็ถูกถีบปลิวละลิ่วออกไปราวว่าวที่สายป่านขาด ร่วงตกตรงมุมกำแพง ต้นขาเจ็บปวดสาหัสเนื่องจากกระดูกหัก
เจียงเอ่าสลบแน่นิ่งไปทันที
จูซื่อเลี้ยงเว่ยเซ่าจนเติบใหญ่ หลายปีที่ผ่านมาจวบจนบัดนี้ บุตรชายยามอยู่ต่อหน้านางล้วนอ่อนโยนนอบน้อม กตัญญูอยู่ในโอวาท ต่อให้บางครั้งไม่พอใจก็ไม่เคยล่วงเกินต่อหน้า นางไม่เคยเห็นบุตรชายมีท่าทางดุร้ายน่ากลัวเช่นนี้มาก่อน จูซื่อหวาดผวาจนมือเท้าเย็นเฉียบ เหลือบมองเจียงเอ่าที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงมุมกำแพง ตนเองถึงกับไม่กล้าเดินขึ้นหน้าไปอีก เพียงเอ่ยหน้าซีดเสียงสั่น “จ้งหลิน ไยเจ้าถึงทำเช่นนี้กับ…”
เว่ยเซ่าหันหน้าขวับ จูซื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเขียวคล้ำ สองตาแดงฉาน ในใจนางตระหนกวูบ รีบหุบปากทันที
“ท่านแม่ ท่านช่างทำได้ประเสริฐนัก! ถึงขั้นสมคบกับบ่าวต่ำช้านั่นใช้เล่ห์กับบุตรชายในไส้ได้เช่นนี้!”
เว่ยเซ่าขบกรามกรอด เอ่ยเค้นออกมาทีละคำก่อนหมุนกายสาวเท้าจากไป
จูซื่อหัวใจเต้นโครมครามไม่เป็นส่ำ พูดไม่ออกสักประโยคเดียว นางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นจวบจนเงาร่างของเขาหายไป เนิ่นนานให้หลังจูซื่อถึงได้สติคืนมาก็เห็นหญิงรับใช้ทั้งรุ่นสาวรุ่นป้าที่รุดมาตามเสียงและได้เห็นเหตุการณ์ กลุ่มคนพวกนั้นล้วนไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ เอาแต่ยืนเบียดกันอยู่บนระเบียงทางเดิน แต่ละคนมีสีหน้าฉงนระคนตื่นตกใจ ส่วนเจียงเอ่าคนสนิทของตนที่นอนอยู่บนพื้นตรงมุมกำแพงสองตายังคงปิดสนิท สีหน้าซีดเผือด ดูราวกับตายไปแล้ว ในที่สุดนางจึงตะโกนเสียงสั่น สั่งให้คนมาหามเจียงเอ่าไปรักษา
เหล่าหญิงรับใช้ได้ยินนายหญิงใหญ่ปริปากแล้ว ตอนนี้ถึงได้รีบวิ่งเข้ามาช่วยกันหามเจียงเอ่าจากไป
จูซื่อยืนอยู่กับที่ แข้งขายังคงอ่อนระทวย ทึ่มทื่ออยู่สักพักก็นึกถึงเจิ้งฉู่อวี้ที่อยู่ในห้อง นางหมุนกายเดินจับกำแพงไปตลอดทาง พอเข้าไปด้านในก็ได้ยินเสียงฮือๆ แว่วมารางๆ นางเข้าไปเสาะหาจนพบหลานสาวที่ฟุบร่างอยู่บนเตียง อาภรณ์หลุดลุ่ย กำลังร้องห่มร้องไห้อย่างโศกเศร้า จูซื่อตรงไปประคองไหล่นาง ยังไม่ทันเอ่ยปากถามให้รู้ชัด เจิ้งฉู่อวี้ก็โผมาซบอก ร่ำไห้ต่อว่าต่อขาน “ท่านป้า ท่านได้ยาดีอันใดมากันแน่ ไม่ได้ผลเลยสักนิด ข้าทำถึงขั้นนี้แล้ว พี่ชายก็ยังคงนิ่งเฉย…ต้องโทษท่านที่ออกความคิดเช่นนี้ ต่อไปจะให้ข้าพบเจอผู้คนได้อย่างไร”
เจิ้งฉู่อวี้นึกถึงภาพเหตุการณ์อันน่าอดสูเมื่อครู่นี้ ถึงอย่างไรตนก็เป็นหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน น้ำตาจึงพรั่งพรูออกมา นางพลิกตัวฟุบลงกับเตียงดังเดิม ดึงผ้าห่มมาคลุมศีรษะแล้วร้องไห้อย่างเจ็บปวดรวดร้าว
จูซื่อหัวใจยุ่งเหยิงดุจใยปอ คิดเพียงว่ายาเซียนเจ้าแม่หวังหมู่ไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง นางทึ่มทื่ออยู่เนิ่นนานจึงค่อยเอ่ยปลอบเจิ้งฉู่อวี้ จู่ๆ ก็ฉุกคิดได้เรื่องหนึ่งจึงรีบตั้งสติ ออกไปกำชับอย่างเข้มงวดห้ามไม่ให้หญิงรับใช้ทั้งหมดแพร่งพรายเรื่องในคืนนี้ไปเด็ดขาด
“เมื่อครู่ข้ากับนายท่านแค่ทะเลาะกันเท่านั้น นายท่านจึงไม่พอใจจากไป หากพวกเจ้ามีใครกล้าออกไปพูดส่งเดชสักครึ่งประโยค ข้ารู้จะฟาดให้ตายทุกกรณี”
หญิงรับใช้ทั้งรุ่นสาวรุ่นป้าต่างพากันขานรับโดยไม่กล้าเงยหน้า
หลังออกจากเรือนบูรพา เว่ยเซ่ารีบค้อมหลังเร่งอาเจียนใส่ไม้ดอกพุ่มหนึ่ง จวบจนอาเจียนสิ่งที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะออกมาจนสิ้น สุดท้ายเหลือเพียงน้ำรสเปรี้ยว เขาจึงค่อยตั้งสติเดินมุ่งสู่เรือนประจิมต่อ
ยาที่จูซื่อได้มาจากแม่หมอมีฤทธิ์ปลุกกำหนัดรุนแรงอย่างยิ่งจริงๆ เมื่อแรกแม้เขาดื่มสุราไปเพียงสามจอก อีกทั้งเร่งอาเจียนจนในท้องว่างเปล่าแล้ว ทว่ายามนี้ทั่วร่างกลับยังคงร้อนผ่าวจนยากทานทน ใต้ผิวหนังคล้ายมีคมเข็มถี่ยิบนับจำนวนไม่ถ้วนทิ่มแทง ช่วงล่างแข็งขึงดุจเหล็กกล้า เปรียบกับเมื่อครู่ตอนอยู่ในห้องของเจิ้งซูยังขยายตัวและร้อนลวกกว่าเดิมถึงสามส่วน
เว่ยเซ่าทะนงตนมาทั้งชีวิต ซ้ำมีอุปนิสัยเย่อหยิ่ง มาถูกมารดาของตนวางยาโดยไม่ทันได้ป้องกันเช่นนี้ ในใจจะขุ่นแค้นเพียงใด แค่คิดก็รู้ได้ ยามนี้ชายหนุ่มกลัวแต่จะพบเจอข้ารับใช้แล้วต้องตกอยู่ในสายตาของผู้อื่น เขาจึงไม่กล้าหยุดระหว่างทางนานนัก ทางหนึ่งปรับลมหายใจอย่างสุดกำลัง พยายามข่มไฟอันชั่วร้ายที่เผาผลาญอยู่ในกาย อีกทางหนึ่งก็เร่งรุดไปยังเรือนประจิมโดยเร็ว เห็นแต่ไกลว่าหน้าต่างของห้องนั้นมีแสงไฟลอดออกมา เขารีบพุ่งตรงไปผลักเปิดประตูในคราวเดียว
ในห้องมีเพียงเสี่ยวเฉียว นางกำลังเขียนหนังสืออยู่ใต้ตะเกียงเงิน
เมื่อครู่เว่ยเซ่าถูกจูซื่อเรียกตัวไป นางจึงกินมื้อค่ำแล้วเดินเล่นย่อยอาหารชั่วครู่อยู่ในลานซึ่งมีทิวทัศน์ของฤดูวสันต์เข้มข้นขึ้นทุกที ยามนี้กลับเข้ามาในห้องก็ตัดไส้ตะเกียงให้แสงไฟสว่าง กำลังคัดอักษรบนผ้าไหมม้วนใหม่ ขณะที่สมาธิจดจ่อ นางก็พลันได้ยินเสียงประตูถูกกระแทกเปิดดังปึงโดยไม่ให้ตั้งตัว มือของนางสั่นวูบ น้ำหมึกที่เพิ่งจุ่มชุ่มยังไม่ทันได้จรดลงจึงร่วงหยดจากปลายพู่กัน กระเซ็นบนผืนผ้าไหมที่จวนคัดลอกเสร็จ รอยน้ำหมึกขยายออกอย่างรวดเร็ว หนังสือผ้าไหมทั้งผืนเสียหายในพริบตา
เสี่ยวเฉียวร้องเสียดายไม่หยุด สะบัดหน้าไปก็เห็นเงาร่างของเว่ยเซ่าส่ายไหวอยู่เบื้องหลังฉากบังลม
เขากลับมาเร็วเพียงนี้เชียว เสี่ยวเฉียวประหลาดใจอยู่บ้าง วางพู่กันหมายลุกขึ้นไปต้อนรับ ทว่าเพิ่งลงจากตั่งก็เห็นอีกฝ่ายเดินตรงมาแล้ว ใบหน้าของเขาแดงก่ำ สองตาย้อมสีแดงฉานราวกับท่วมท้นด้วยโลหิตสดๆ สีหน้าก็แข็งเกร็งสุดประมาณ
ไม่เคยเห็นเขาในสภาพเช่นนี้มาก่อน เสี่ยวเฉียวตระหนกเล็กน้อย ลังเลชั่วอึดใจก่อนจะเดินไปหาเขาอยู่ดี นางประดับยิ้มบนใบหน้า เอ่ยทักทายเช่นยามปกติ “ท่านพี่กลับมาแล้ว…”
ยังไม่ทันพูดจบเสี่ยวเฉียวก็ถูกเว่ยเซ่าผลักออกห่าง นางเซถอยไปหลายก้าวกว่าจะยืนได้มั่นคง พอช้อนตาขึ้นก็เห็นเขาพุ่งตัวเข้าห้องอาบน้ำไปแล้ว ตามด้วยเสียงน้ำดังซ่าๆ คล้ายเขาสาดน้ำราดศีรษะตนเองอยู่ข้างใน
เสี่ยวเฉียวทั้งตกตะลึงทั้งนึกฉงน อดไม่ได้ที่จะตามไปยืนอยู่นอกประตูห้องอาบน้ำ ขณะสองจิตสองใจก็ได้ยินเสียงเขาดังออกมาจากข้างใน “ให้บ่าวส่งน้ำแข็งมาที่นี่ ยิ่งเยอะยิ่งดี!”
เสียงของเขาฟังดูเพี้ยนแปร่งหู ราวกับทุ่มเทจนสุดกำลังเพื่อข่มกลั้นบางอย่างอยู่ ไม่เหมือนเขาในยามปกติโดยสิ้นเชิง
เสี่ยวเฉียวกังขาจนไม่อาจยับยั้งความสงสัยใคร่รู้ได้แล้วจริงๆ นางจึงงอนิ้วก้อยไปเกี่ยวเปิดม่านเป็นช่องเล็กๆ แล้วยื่นหน้ามองดู เห็นเขาเปลื้องอาภรณ์ออกหมดจนทั้งร่างเปลือยเปล่า หันหลังให้ประตู ยืนแยกขาอยู่ในถังอาบน้ำที่เตรียมน้ำอาบเติมไว้ให้เขาจนเต็ม
ถังอาบน้ำมีความสูงเท่าครึ่งตัวนาง แต่เมื่อเขายืนอยู่เช่นนี้ ขอบถังกลับถึงแค่บริเวณสะโพกใต้บั้นเอวของเขาเท่านั้น แสงเทียนที่สั่นไหวฉายส่องให้แผ่นหลังที่เปียกน้ำของเขาเงาวาวดุจชโลมน้ำมันไว้ชั้นหนึ่ง ยิ่งทำให้เรือนกายดูประเปรียว ลายเส้นขึ้นลงของมัดกล้ามจากไหล่หลังเรื่อยมาถึงใต้ช่วงเอวประหนึ่งสายน้ำไหล
เสี่ยวเฉียวอดไม่ได้ที่จะเบิกตาโต
“มองอะไร ยังไม่รีบไปอีก!” ดูเหมือนว่าชายหนุ่มในถังอาบน้ำจะสัมผัสได้ถึงสายตาที่แอบมองมาจากเบื้องหลัง เขาหันขวับมาตวาดเสียงกร้าว แววโทสะเกลื่อนใบหน้า
เสี่ยวเฉียวสะดุ้งโหยง ผงะถอยอย่างลนลาน ไม่ทันได้คิดอะไรมากก็รีบหมุนกายออกไปเรียกคนเข้ามา สั่งการให้รีบไปที่ห้องเก็บน้ำแข็ง นำน้ำแข็งจำนวนมากมาที่นี่ทันที
จวนสกุลเว่ยสร้างห้องใต้ดินเพื่อเก็บน้ำแข็งไว้ใช้คลายร้อนในช่วงฤดูคิมหันต์โดยเฉพาะ ยามนี้เพิ่งผ่านพ้นฤดูเหมันต์มาไม่นาน ในห้องเก็บน้ำแข็งใต้ดินจึงเต็มไปด้วยน้ำแข็ง
หญิงรับใช้อาวุโสเมื่อได้รับคำสั่งก็รีบไปขอน้ำแข็งกับจางเอ่าหัวหน้าผู้ดูแลเรือนชั้นใน จางเอ่าได้ยินว่าเรือนประจิมต้องการน้ำแข็ง ดูเหมือนจะต้องรีบใช้ด่วน อีกทั้งปริมาณยิ่งมากยิ่งดี แม้ชั่วครู่จะไม่เข้าใจเหตุผล แต่นางก็รีบหยิบกุญแจเปิดประตูลงไปเอาน้ำแข็งที่ห้องใต้ดินสองถังใหญ่ สั่งคนยกออกไปแล้วตามมาส่งถึงเรือนประจิมด้วยตนเอง
เสี่ยวเฉียวสั่งการให้วางไว้หน้าประตูห้องอาบน้ำ รอจนบรรดาหญิงรับใช้อาวุโสถอยออกไปหมดแล้ว เสี่ยวเฉียวก็ตามไปปิดประตู ตอนนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่เบื้องหลัง รู้ว่าเป็นเว่ยเซ่าเดินมาเอาน้ำแข็ง นางฉุกคิดได้ว่าเขาเปลือยร่างอยู่ ชั่วขณะจึงไม่กล้าหันไปมองอีก
ผ่านไปสักพักนางก็ได้ยินเสียงของแข็งหล่นลงน้ำดังตูมๆ มาจากห้องอาบน้ำ รู้ว่าน้ำแข็งน่าจะถูกเทลงน้ำไปแล้ว ถัดจากนั้นเสียงด้านในก็เงียบลง เมื่อครู่ตอนที่รอน้ำแข็ง เสี่ยวเฉียวก็ลองคาดเดาเหตุผลที่เขาต้องการของสิ่งนี้
แรกเริ่มนางนึกว่าเขาต้องการอาบน้ำเย็นเพื่อฝึกฝนร่างกาย แต่มาคิดอีกทีก็รู้สึกว่าไม่น่าใช่เช่นนั้น มิหนำซ้ำออกจะไร้เหตุผลเกินไป เหตุใดอยู่ดีๆ เพียงไปกินอาหารที่เรือนบูรพากลับมาจึงได้นึกอยากอาบน้ำเย็นฝึกร่างกายเล่า ขณะยังขบไม่แตก สาวน้อยก็จำได้ว่าครู่ก่อนแม้เขาเข้าห้องมาด้วยฝีเท้าอันรีบร้อน ทว่านางยังคงเหลือบเห็นคลับคล้ายว่าร่างกายท่อนล่างของเขาเหมือนมีสิ่งผิดแปลกดันตัวออกมา เพียงแต่ตอนนั้นนางถูกเขาผลักออกห่างจนมือเท้าปั่นป่วนเล็กน้อย จึงไม่ได้คิดไปถึงเรื่องอื่น
ยามนี้มาใคร่ครวญดูอย่างละเอียด เชื่อมโยงกับท่าทางผิดปกติของเขา เสี่ยวเฉียวก็พลันตระหนักได้ ทั้งร่างจึงทำตัวไม่ถูกในทันที…
ทว่าข้อสงสัยใหม่ก็ผุดขึ้นมาอีก ไยอยู่ดีๆ เขาจึงเป็นเช่นนี้ได้เล่า
ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ที่ลึกซึ้งเท่าใดนักก็รู้ได้ว่านี่ไม่ใช่อาการปกติของบุรุษเด็ดขาด
เมื่อคิดกระจ่างในข้อนี้ เดิมทีเสี่ยวเฉียวคิดจะออกไปหลบข้างนอกก่อน รอให้ตัวเขาดับความร้อนลงได้แล้วค่อยกลับมา
นี่ไม่เพียงคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองเท่านั้น หากแต่เสี่ยวเฉียวยังคาดเดาได้ว่าเขาคงไม่ยินดีให้นางรั้งอยู่ใกล้ๆ
ทว่าเขาเข้าไปไม่ใช่เวลาสั้นๆ แล้ว นอกจากเสียงเทน้ำแข็งไม่กี่ครั้งในตอนแรกเริ่ม ตลอดมาก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นใด นางจึงรู้สึกไม่ค่อยวางใจขึ้นมา ครั้นกลั้นหายใจเงี่ยหูเพื่อฟังอีกครั้งก็ไม่มีเสียงอื่นใดเลย
ท้ายที่สุดเสี่ยวเฉียวจึงขยับเข้าไปใกล้ แล้วเอ่ยถามผ่านม่านกั้น “ท่าน…เป็นอย่างไรบ้าง”
ข้างในไม่มีความเคลื่อนไหวเช่นเดิม
เสี่ยวเฉียวเริ่มไม่สบายใจขึ้นมา ลังเลเพียงชั่วครู่ก็แหวกม่านมองเข้าไป
เว่ยเซ่าแช่ทั้งร่างอยู่ในน้ำ โผล่ขึ้นมาเพียงศีรษะ ก้อนน้ำแข็งชั้นหนาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำละลายเล็กลงไปอย่างช้าๆ ศีรษะของเขาหงายไปด้านหลังเล็กน้อย หัวคิ้วขมวดแน่น สองตาปิดสนิท สีหน้ายังคงเครียดเกร็งดูเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนางเดินเข้ามา
เห็นเว่ยเซ่ายังมีชีวิตอยู่ เสี่ยวเฉียวค่อยเบาใจลงได้ นางไม่กล้ามองสภาพของเขามากนักจึงหลุบเปลือกตาลง เพียงเพ่งสายตาไปที่เบื้องหน้าเท้าของตน มองกองเสื้อผ้าซึ่งเขากระชากทิ้งไว้บนพื้นก่อนหน้านี้ พยายามเอ่ยด้วยเสียงที่ฟังดูเป็นปกติให้มากที่สุด “เช่นนั้นข้าออกไปก่อนจะดีกว่า ข้าอยู่นอกประตูห้องนี่เอง หากท่านสบายดีแล้ว หรือมีเรื่องอื่น เรียกข้าสักคำเป็นใช้ได้”
นางพูดจบก็รีบหันหลังออกเดิน ทว่ายังเดินไม่ถึงสองก้าวก็ได้ยินเสียงเขาดังมาจากด้านหลัง
“ข้าคอแห้ง…ช่วยรินน้ำให้ที…” สุ้มเสียงของเขาฟังดูแหบพร่าและขาดเป็นห้วง
เสี่ยวเฉียวชะงักกึกก่อนจะขานรับดังอ้อ รีบไปรินน้ำกลับมา
“น้ำมาแล้ว” นางยื่นน้ำออกไป มองเขาพลางเอ่ยเสียงค่อย
ขนตาของเว่ยเซ่าขยับไหวเบาๆ ประดุจปีกผีเสื้อบางๆ คู่หนึ่ง ซึ่งทำให้เสี่ยวเฉียวสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอ่อนแรงคล้ายได้รับความเจ็บปวดทรมาน เขาช้อนตาขึ้นช้าๆ นั่งตัวตรงขึ้นเล็กน้อย ยกแขนที่เปียกโชกข้างหนึ่งขึ้นจากน้ำ รับถ้วยชาในมือของนาง
เขาเผลอแตะถูกมือของนางทีหนึ่ง แม้เป็นการแตะเพียงผิวเผินในเวลาที่สั้นอย่างยิ่ง ทว่าเสี่ยวเฉียวยังคงสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความร้อนลวกจากผิวของเขา กระทั่งน้ำที่เติมน้ำแข็งก็ดูเหมือนไม่อาจช่วยลดทอนความร้อนในร่างกายเขาสักเท่าใด
เว่ยเซ่าแหงนหน้าดื่มน้ำ เสี่ยวเฉียวได้ยินเสียงเขากลืนน้ำดังอึกๆ อย่างชัดเจน ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงรุนแรงตามอาการกลืนน้ำ น้ำแข็งที่ลอยอยู่หลายก้อนกระทบกับแผงอกของเขาแล้วถูกกระแทกออก หมุนวนไปบนผิวน้ำช้าๆ
เพียงไม่กี่อึกเขาก็ดื่มน้ำจนหมด เสี่ยวเฉียวรับถ้วยชากลับมา นางลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าว “หากท่านไม่สบายจริงๆ อย่างไร…ข้าจะไปแจ้งที่เรือนอุดร บอกท่านย่าว่า…”
“อย่าให้ท่านย่ารู้!” เขาตัดบทนางทันที
เสี่ยวเฉียวตะลึงงัน จากนั้นจึงผงกศีรษะรับ “ข้ารู้แล้ว ยังมีสิ่งใดจะให้ข้าช่วยทำให้ท่านอีกหรือไม่ หากไม่มี ข้าจะออกไปแล้ว”
สายตาของเว่ยเซ่าจรดลงบนร่างเสี่ยวเฉียว จับนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนที่ลูกกระเดือกจะขยับอีกครั้ง
“รินน้ำมาอีกถ้วย ขอมากหน่อย…” สุดท้ายเขาจึงเอ่ยพึมพำด้วยเสียงที่แหบต่ำดั่งเสียงกระซิบ จบคำก็หลับตาลง เอนศีรษะไปด้านหลังพิงกับขอบถัง
เสี่ยวเฉียวขานรับดังอ้อ “ท่านรอประเดี๋ยว”
นางตำหนิตนเองอยู่บ้างที่เมื่อครู่เลอะเลือน ไม่ได้ยกป้านชาทั้งใบเข้ามาให้เขาดื่ม นางจึงรีบหมุนกายออกเดิน พอจวนจะถึงประตูห้องอาบน้ำ ยกมือเตรียมแหวกผ้าม่าน นางพลันได้ยินเสียงน้ำสาดกระทบพื้นดังซ่ามาจากทางเบื้องหลัง ผสานกับเสียงแผ่วเบาของก้อนน้ำแข็งที่ตกกระทบพื้น
จู่ๆ เว่ยเซ่าก็ลืมตายืนพรวดขึ้นจากน้ำ ก้าวออกจากถังและเหยียบพื้นด้วยเท้าเปล่า เขาสาวเท้าก้าวใหญ่ไล่ตามเสี่ยวเฉียวไป หยดน้ำที่เกาะอยู่บนบ่าและแผ่นหลังรวมตัวเป็นสายเล็กสายน้อยตามการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของเขา ไหลเรื่อยลงมาตามลายเส้นขึ้นลงของมัดกล้าม ทิ้งรอยเปียกโชกสายหนึ่งไว้บนพื้นเบื้องหลังเขา
เสี่ยวเฉียวตะลึงงัน ยังไม่ทันได้หันหน้ากลับไป แผ่นหลังของตนก็ร้อนวาบ นางถูกเรือนกายอันสูงใหญ่กล้ามเนื้อแข็งกระชับของชายหนุ่มที่แนบมาจากเบื้องหลังโอบล้อมไว้แล้ว
เว่ยเซ่าสวมกอดนางจากด้านหลัง สอดแขนลอดใต้รักแร้ของนางมารัดร่างอ้อนแอ้นเข้าสู่อ้อมอก บังคับให้นางแนบชิดกับผิวกายตนอย่างสนิทแนบแน่นมากขึ้น
เรือนร่างของสาวน้อยห่อหุ้มด้วยอาภรณ์ฤดูวสันต์ที่ทอจากผ้าไหมเนื้อบางเบา เมื่อรวบตัวนางมาแนบอก เว่ยเซ่าก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แตกต่างจากน้ำแข็งโดยสิ้นเชิง ผิวกายของนางทั้งเย็นสบายประดุจหยก ทั้งนิ่มนุ่มอย่างน่าเหลือเชื่อ ราวกับขอเพียงเขาเพิ่มแรงอีกเล็กน้อยก็จะสามารถทำให้สัมผัสอันเย็นสบายและนิ่มนุ่มของนางแนบผสานเข้าสู่ผิวกายของตนทีละนิดโดยสมบูรณ์
ในที่สุดร่างกายที่ทนทรมานถึงขีดสุดของเขาก็รู้สึกสบายขึ้น บริเวณซึ่งเดิมทีด้านชาจนชายหนุ่มไม่อาจปลดปล่อยได้เสียทีคล้ายฟื้นคืนชีวิต เลือดลมเริ่มไหลเวียนดังเดิม
เสียงครางถูกเปล่งออกจากลำคอ เขาก้มหน้าลงอย่างไม่อาจหักห้าม อ้าปากอมติ่งหูจิ้มลิ้มที่เย็นชื่นใจ กระหวัดรัดด้วยลิ้นร้อนดุจไฟสลับกับขบเม้มไปมา
เสี่ยวเฉียวถูกเว่ยเซ่ารุกรานกะทันหันโดยไม่ทันได้ตั้งตัวสักนิด ติ่งหูน้อยๆ ราวกับจะถูกเขากัดกลืน นางรู้สึกเจ็บจี๊ด ตื่นตระหนกจนใบหน้าถอดสี สิ้นเสียงร้องอุทาน ถ้วยชาก็หลุดมือโดยไม่อาจควบคุม ร่วงสู่พื้นแตกเป็นสองส่วนดังเพล้ง นางรีบดิ้นรนทันทีหมายจะหลุดรอดจากวงแขนของเขา
ทว่าเว่ยเซ่าไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป เขารวบเสี่ยวเฉียวขึ้นด้วยมือเดียวอย่างเอาแต่ใจ ไม่สนอาการดิ้นรนทุบตีของนาง ส่งร่างอ้อนแอ้นตรงขึ้นเตียงแล้วโถมกายตามลงมา
เว่ยเซ่าไม่รู้ว่ายาที่มารดาใส่ให้ตนดื่มที่แท้เป็นยาปลุกกำหนัดใดจึงได้ชั่วร้ายถึงเพียงนี้ หลังจากฤทธิ์ยาที่ถาโถมมาระลอกแรกนั้นถูกเขาต่อต้านกดข่มลงไป ทว่ากลับไม่มีหนทางที่จะสลายให้หมดสิ้นได้ แม้ไม่ปะทุรุนแรงเช่นแรกเริ่มอีก แต่กลับเปลี่ยนเป็นอาการทื่อด้านทำให้เขาต้องทรมานอย่างต่อเนื่อง แม้แต่เขาก็ไม่อาจปลดปล่อยด้วยตนเองได้
เมื่อครู่เขารู้สึกเหมือนตนเองตายไปแล้วรอบหนึ่ง ยามนี้ฟื้นคืนมาอีกครั้งจึงมีแต่ความคิดที่จะปลดปล่อยให้หมดสิ้นไปบนร่างนางเท่านั้น ชายหนุ่มไม่แยแสการดิ้นรนขัดขืนของนาง เพียงกระตุกมือไม่กี่ครั้ง นางก็ถูกเปลื้องอาภรณ์จนสิ้นเช่นเดียวกับตัวเขาแล้ว ผิวกายทุกสัดส่วนที่ปรากฏสู่สายตานวลเนียนดุจเคลือบไข เผาผลาญดวงตาของเขาให้ยิ่งแดงฉาน ยามที่เขาขบกรามกำลังจะครอบครองนาง หัวไหล่พลันเจ็บปวดรุนแรง เสี่ยวเฉียวอ้าปากกัดเขาอย่างไร้ปรานี แนวฟันอันแหลมคมกัดเขาไม่ปล่อยเฉกเช่นตะขอเบ็ดที่เจาะเกี่ยวปากปลา ฝังลึกเข้าสู่เนื้อหนังจนกระทั่งเลือดออก
จากนั้นสาวน้อยก็ร้องไห้ น้ำตาหยดใหญ่ร่วงเผาะจากหางตาทั้งสองข้างหยดแล้วหยดเล่า เสียงร่ำไห้ฟังไม่ได้ศัพท์ ทั้งโศกเศร้าระคนขมขื่นใจ
เว่ยเซ่าหยุดชะงักพลางหายใจหอบหนัก เขาฟุบบนร่างนางชั่วครู่ก็พลิกกายกลิ้งตัวไปนอนหงายที่ด้านนอกของเตียง ก่อนจะยกมือทาบกดบนเปลือกตา รอยฟันอันลึกล้ำสองแถวฝากอยู่บนมัดกล้ามไหล่ซ้าย พร้อมริ้วเลือดสีแดงสดที่ค่อยๆ ซึมออกจากใต้ผิวหนัง รูปทรงประหนึ่งจันทร์เสี้ยว ให้ความรู้สึกงามอย่างน่าประหลาด
อันที่จริงเขาเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ทว่าเสี่ยวเฉียวกลับเจ็บจนทนไม่ไหว ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าหากเขาหักหาญล่วงล้ำเข้ามาจะเป็นเช่นไร ความเจ็บร้าวรวมเข้ากับความตื่นกลัว กอปรกับถูกเขาทาบทับไว้จนไม่อาจขยับเขยื้อน นางจึงกัดหัวไหล่ของเขาคำหนึ่งเต็มแรง ในที่สุดยามนี้ก็หลุดพ้น ราวกับได้รับการอภัยโทษ นางคว้าเสื้อผ้าของตนในคราวเดียว กึ่งกลิ้งกึ่งคลานข้ามต้นขาของเขาไป พอเหยียบลงพื้นก็ออกวิ่งเท้าเปล่าโดยไม่ทันกระทั่งจะสวมรองเท้า
“เจ้าจะไปไหน” เสียงของเว่ยเซ่าที่ดังมาจากเบื้องหลังเจืออารมณ์ห่อเหี่ยว
เสี่ยวเฉียวไม่ไยดี นางวิ่งรวดเดียวไปถึงข้างฉากบังลมที่อยู่ใกล้ประตู แล้วสวมเสื้อผ้าปิดคลุมร่างมือไม้ปั่นป่วน
เว่ยเซ่าลืมตาดึงผ้าห่มที่อยู่อีกด้านมาปิดบริเวณใต้ท้องน้อย กดผ้าห่มไว้แล้วลุกขึ้นนั่งช้าๆ
เสี่ยวเฉียวเพ่งมองเขาอย่างระแวดระวัง
“เมื่อครู่อยู่ที่เรือนท่านแม่ ข้าพลั้งกินยาปลุกกำหนัดเข้าไป” เขามองเสี่ยวเฉียวพลางเอ่ยเนิบๆ สีหน้าหดหู่จนถึงขั้นท้อแท้
เสี่ยวเฉียวตะลึงงัน
“ตอนแรกเจ้าก็เห็นแล้ว ข้านึกว่าตนเองสามารถคลี่คลายได้ แต่…” เขาชะงักคำพูด สายตาเคลื่อนลงมาบนร่างของนาง
เสี่ยวเฉียวพลันได้สติ นางรีบขยุ้มสาบเสื้อตรงหน้าอกไว้แน่น ผงะถอยไปอีกก้าวขณะที่ปากตะโกนเหลวไหล “ท่านต้องการให้เรียกใครเข้ามาหรือไม่ ข้าจะไปเรียกให้ท่านเดี๋ยวนี้ หากคนเดียวยังไม่พอ เรียกสองคนเลยก็ได้!”
พูดจบก็ยังเห็นสองตาของเขาจับจ้องตนไม่เลิกรา แววตาของสาวน้อยจึงหลุกหลิกลนลานยิ่งกว่าเดิม
“หรือไม่ท่านก็รอก่อน อดทนอีกสักหน่อย ข้าสวมเสื้อผ้าเสร็จจะรีบไปบอกท่านย่าให้เชิญหมอมารักษาท่าน…”
เห็นเสี่ยวเฉียวหมุนกายเตรียมออกเดิน เว่ยเซ่าจึงรีบลงจากเตียงก้าวพรวดตามมา หลังจากยื่นมืออุ้มนางกลับขึ้นเตียงแล้วก็กระตุกม่านมุ้งลงทันที
แสงสว่างบนเตียงพลันครึ้มลง แปรเปลี่ยนเป็นสลัวมัว
ตรงนั้นของเขา…แม้เมื่อครู่ไม่กล้ามองอย่างละเอียด ทว่าเสี่ยวเฉียวยังคงเหลือบเห็นเข้าจนได้ มิหนำซ้ำเขายังกินยาจำพวกนั้นมา ในสถานการณ์เช่นนี้ขืนนางถูกเขา…ต่อไปจะต้องกลายเป็นเงามืดในใจนางไปจนชั่วชีวิตแน่
เสี่ยวเฉียวดิ้นรนอีกรอบหนึ่ง ทว่ากลับถูกเขากดลงบนหมอนในคราวเดียว นางเบิกตาโต มองเขายื่นมือมาหานางด้วยความหวาดหวั่น น้ำตาพลันรื้นออกมาอีก
เว่ยเซ่ายึดกุมมือข้างหนึ่งของนางไว้
เขาเอนกายลงนอน หันหน้ามามองตานางพลางเอ่ยเสียงเบา “ข้าทรมานยิ่งนัก เจ้าช่วยข้าเถิดนะ”
เสี่ยวเฉียวทึ่มทื่ออยู่ชั่วอึดใจก็เข้าใจความหมายของเขา ดวงหน้าร้อนผ่าวในทันที
“ท่านทำเองไม่เป็นหรือ” หางตาของนางยังคงประดับหยาดน้ำขณะถามปนสะอื้น
“ด้านชาไปหมดแล้ว อย่างไรก็ขับไม่ออก หากเจ้าไม่อยากให้ข้าทำอย่างอื่นกับเจ้า เจ้าก็ช่วยข้าเถอะนะ” เขาเอ่ยช้าๆ
เสี่ยวเฉียวหยุดหลั่งน้ำตามองไปทางเขา
หน้าผากของหนุ่มสาวทั้งสองแทบจะชิดติดกัน
หน้าผากของเขาร้อนลวกราวกับเป็นไข้ ใบหน้าคล้ายดั่งคนดื่มสุรา สีหน้าหนักอึ้งอย่างยิ่ง
เขาพิศมองเสี่ยวเฉียวพลางนำพามือนุ่มข้างนั้นมาหาตนเองช้าๆ ก่อนจะสอดเข้าไปใต้ผ้าห่มในที่สุด
ดวงหน้าของสาวน้อยพลันแดงก่ำ หลับสองตาแน่นสนิท แพขนตาสั่นสะท้านจนไม่อาจหยุดยั้ง
เว่ยเซ่าเปล่งเสียงระบายลมหายใจยาวราวกับรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ
Comments
comments