ตอนที่ห้า
เว่ยเซ่ากลับเข้าเมืองก็เป็นเวลายามโฉ่วแล้ว เพลิงไหม้ใหญ่ดับสนิทเป็นที่เรียบร้อย กงซุนหยางอยู่ละแวกจุดที่เกิดเพลิงไหม้ กำลังสั่งการให้เก็บกวาดซากความเสียหาย เขาเหลือบเห็นว่าเว่ยเซ่ามาถึงแล้วจึงรีบตรงไปรายงานผู้เป็นนาย
เขาเองก็ไม่ได้หลับตามาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ทว่ายังคงกระชุ่มกระชวยดียิ่ง ถึงขั้นเรียกว่าคึกคักตื่นเต้นก็ไม่ผิด เขาเอ่ยปนยิ้มหลังจบการรายงานอันสั้นกระชับ “ยินดีด้วยขอรับนายท่าน วันนี้ชิงเมืองสืออี้มาได้อย่างราบรื่น ยึดทางเข้ามณฑลปิงโจวมาได้แล้ว การยึดเมืองจิ้นหยางย่อมนับวันรอได้เลย”
เว่ยเซ่าคลี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนกล่าว “ท่านกงซุนสิ้นเปลืองความคิดมาทั้งคืน ฟ้าจวนสว่างแล้ว เรื่องที่เหลือให้สั่งการลงไปเป็นพอ ท่านไปพักผ่อนก่อนเถิด”
กงซุนหยางขานรับ ขบคิดชั่วอึดใจก่อนเอ่ยเสริม “ไฟไหม้จวนเจ้าเมืองครั้งนี้เกิดขึ้นประจวบเหมาะนัก กล่าวได้ว่าช่วยหนุนการบุกเมืองอีกแรง เพียงแต่ไฟปะทุขึ้นนี้ดูมีลับลมคมในอยู่บ้าง เมื่อครู่ข้าจึงเจ้ากี้เจ้าการตามไปเยี่ยมนายหญิงพร้อมกับหมอทหาร ที่แท้นายหญิงเป็นผู้วางเพลิงเพื่อหลบหนีดังคาด”
เขาเล่าเหตุการณ์รอบหนึ่งก่อนเอ่ยชื่นชม
“มองไม่ออกเลยว่านายหญิงที่ดูเปราะบางกลับสามารถอดทนต่อความเจ็บปวดลงมือกับตนเองได้ถึงเพียงนี้ จากนั้นยังอาศัยเพลิงไหม้เอาตัวรอดจากการเฝ้าคุมอีก เรียกได้ว่ายามเผชิญหน้าอันตรายกลับไม่ลนลาน ยังคงคิดอ่านเยือกเย็นได้เป็นขั้นตอน ข้าเห็นข้อมือสองข้างของนางถูกไฟลวกไม่น้อยเลย เต็มไปด้วยแผลพุพองน้อยใหญ่ สภาพน่าเวทนาอย่างยิ่ง พอข้าเห็นแล้วยังสงสารจับใจ ตอนที่หมอทหารตรวจรักษาให้นายหญิง นางไม่ปริปากบ่นแม้เพียงครึ่งคำ ซ้ำยังปลอบใจข้าว่าตนเองไม่เป็นไร ทำให้ข้ารู้สึกทึ่งจริงๆ ขอรับ”
จวนเจ้าเมืองกว่าครึ่งถูกเพลิงเผาวอด เหลือเพียงเรือนต้นลมไม่กี่หลังที่ยังสมบูรณ์ดี ยามนี้เสี่ยวเฉียวถูกจัดให้พักอยู่ที่ห้องชั้นในห้องหนึ่ง ที่นี่มีตั่งเตียงครบถ้วนและสะอาดสะอ้านยิ่ง ก่อนจากไปกงซุนหยางยังสั่งหญิงรับใช้อาวุโสสองคนของจวนเจ้าเมืองให้รอรับใช้อยู่ด้านนอก อีกทั้งทิ้งทหารหนึ่งหน่วยเฝ้าคุมทางเดินกับทางเข้าออกหน้าหลังตลอดทั้งคืน
เสี่ยวเฉียวรู้ว่าในที่สุดตนก็ปลอดภัยแล้ว
สองวันมานี้นางไม่เคยหลับตาลงแม้สักชั่วขณะเดียว นับตั้งแต่ถูกเฉินรุ่ยพาตัวมาที่นี่ ข้างกายก็มีสุนัขป่าบ้าตัณหาที่หิวกระหายหมอบจ้องตนน้ำลายสอ นางเนื้อตัวสั่นสะท้าน ทั้งไม่กล้าแข็งกร้าวเกินพอดีจนยั่วโทสะเขา ยิ่งไม่อาจทำให้เขารู้สึกว่าตนตกถึงมือได้โดยง่าย หาทางรับมือกับเฉินรุ่ยเพื่อไม่ให้เขาได้เข้าใกล้ตน เรียกได้ว่าใช้จนหมดสิ้นทุกหนทางแล้ว ทั่วร่างทั้งเบื้องบนเบื้องล่างจนกระทั่งเส้นผมล้วนเครียดเกร็ง
ก่อนที่เฉินรุ่ยจะจากไปได้จับนางมัดมือไพล่หลังวางไว้บนเตียง นางคิดว่าพอเว่ยเซ่าโจมตีเมือง สองฝ่ายเปิดศึกกัน ท่ามกลางกองทัพอันชุลมุนนั้นไม่ว่าสุดท้ายฝ่ายใดได้ชัยในสนามรบที่กำแพงเมืองนี้ไป แต่หากตนยังเป็นเช่นเนื้อบนเขียงถูกจับกุมอยู่ที่นี่ดังเดิมจะต้องไม่มีผลลงเอยที่ดีแน่ ขณะร้อนใจพลันฉุกคิดถึงเทียนมงคลสองเล่มที่จุดอยู่ในห้อง นางลงจากเตียงไปถึงเบื้องหน้าเทียนแดง ดึงแขนเสื้อขึ้นสูงแล้วหันหลังเข้าหาเปลวเทียน ข่มกลั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสจากไฟที่แผดเผา หลังจากเผาๆ หยุดๆ ในที่สุดก็เผาเชือกบนข้อมือขาด ยามที่เชือกสะบั้น ข้อมือซึ่งแต่เดิมขาวเนียนไร้ตำหนิก็ถูกไฟลนจนผิวหนังทั้งแถบกลายเป็นแผลพุพองใหญ่น้อยทันตาเห็น นางปวดแสบจนหลั่งเหงื่อเย็นไม่ขาดสาย เบื้องหน้าสายตาดำวูบ หวุดหวิดจะหมดสติไป รอจนครองสติได้ก็แก้เชือกที่มัดเท้าออก ใช้เปลวเทียนจุดเผาผ้าม่านในห้อง ตนเองป้องปากและจมูกด้วยผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำชา จากนั้นจึงคลุมผ้าห่มนวมซ่อนกายอยู่หลังประตู รอจนไฟในห้องไหม้แรงขึ้นเรื่อยๆ และสร้างความแตกตื่นแก่หญิงรับใช้อาวุโสที่อยู่ด้านนอกจนต้องเปิดประตู เนื่องจากควันไฟฟุ้งตลบ หญิงรับใช้ผู้นั้นมองไม่ชัดว่าด้านในเป็นอย่างไรกันแน่จึงวิ่งไปตามคนอย่างตระหนกลนลาน นางถึงสบช่องหลบหนีออกมาได้
ยามนั้นเกิดศึกใหญ่ที่กำแพงเมือง ในจวนเจ้าเมืองไม่พบเห็นเงาผู้คน ประกอบกับได้ม่านรัตติกาลอำพรางกายให้ สุดท้ายก็พบคอกม้าเปล่าไกลหูไกลตาและอยู่ต้นลม นางจึงซ่อนตัวอยู่ในนั้นชั่วคราว
แม้ยามนี้จะปลอดภัยแล้ว ทว่าอาการปวดแสบปวดร้อนบนข้อมือยังคงแล่นจู่โจมมาระลอกแล้วระลอกเล่า ราวกับไฟยังคงแผดเผาอยู่ก็ไม่ปาน นางทรมานจนไม่อาจเข้าสู่ห้วงนิทราได้ แค้นใจจนอยากถลกผิวเนื้อบนข้อมือส่วนนั้นทิ้งไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
เมื่อครู่ตอนที่กงซุนหยางกับหมอทหารยังอยู่ นางฝืนอดทนไว้ไม่คิดแสดงอาการใดๆ ออกมา ทว่ายามนี้เบื้องหน้าไม่มีใครแล้ว รอบด้านก็เงียบเชียบ แผลระบมจนนางกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร่ำไห้เงียบๆ กับตนเองครู่หนึ่ง ไม่รู้เป็นเพราะยาที่หมอทหารทาให้ออกฤทธิ์ หรือเพราะร้องไห้แล้วในใจรู้สึกดีขึ้น ความเจ็บปวดบนข้อมือจึงเหมือนกับทุเลาลงตามลำดับ ดวงหน้าของนางเปื้อนคราบน้ำตา เอนร่างพิงกับหัวเตียง ก่อนสะลึมสะลือหลับตาลงได้ในที่สุด
เว่ยเซ่าแยกกับกงซุนหยาง เดินมุ่งสู่ที่พักของเสี่ยวเฉียว
หญิงรับใช้อาวุโสทั้งสองต่างรู้ว่าเมืองถูกเปลี่ยนนายใหม่ในคืนเดียว เจ้าเมืองเฉินพังกับคนในครอบครัวหลายสิบชีวิตล้วนกลายเป็นเชลย ยามนี้พวกนางสองคนจึงถูกสั่งให้รอรับใช้อยู่ที่นี่ ดวงตาทั้งสี่ข้างเบิกโตตลอดเวลา ไม่กล้าผ่อนคลายลงสักชั่วขณะ กลัวแต่จะเกิดเหตุอันใดขึ้นอีก ทันใดนั้นก็มองเห็นบุรุษผู้หนึ่งเดินมาจากปลายสุดของระเบียงทางเดิน แม้ยังหนุ่มแน่นแต่ก้าวย่างกลับแฝงไว้ซึ่งอำนาจบารมี เห็นองครักษ์บนระเบียงทางเดินพากันคารวะเขาแบบทหาร เหมือนจะเรียกขานเขาว่าท่านโหว เมื่อคาดเดาได้ว่าผู้มาน่าจะเป็นเยียนโหวเว่ยเซ่าผู้เป็นสามีของนายหญิงที่อยู่ในห้องนี้ พวกนางจึงรีบเดินขึ้นหน้าไปต้อนรับ คุกเข่าแยกกันคนละด้าน
เว่ยเซ่าชะงักฝีเท้า ชำเลืองมองแสงเทียนที่ฉายออกมาจากหน้าต่างก่อนสอบถามความเคลื่อนไหวในห้อง หญิงรับใช้คนหนึ่งตอบว่าหลังจากท่านกงซุนกับหมอทหารจากไป พวกตนสองคนก็อยู่ที่นี่เพื่อรอรับใช้ ไม่เคยละทิ้งที่นี่แม้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม ทว่าตลอดมานายหญิงในห้องไม่เคยเรียกใช้พวกตนเลย น่าจะหลับใหลไปแล้ว
เว่ยเซ่าเดินไปถึงหน้าประตูแล้วหยุดชะงักเล็กน้อย
นางถูกเฉินรุ่ยลักพาตัวมาไม่ใช่เรื่องเท็จ ทว่าวิธีการที่พาตัวมานั้นเหมือนยังมีจุดที่น่าสงสัย ไม่สู้ฉวยโอกาสนี้เข้าไปสอบถามเจ้าตัวดูจะได้กระจ่างแจ้งเสียที
คิดดังนี้ในใจเขาก็ปลอดโปร่ง ยกมือผลักประตูเข้าไป เมื่ออ้อมฉากบังลมที่อยู่ตรงหน้าบานนั้นก็เห็นนางเอนพิงหัวเตียงพร้อมเสื้อผ้าครบชุด ผ้าห่มคลุมถึงแค่ท้อง ดวงหน้าเอียงเข้าด้านใน นิ่งสนิทไม่เคลื่อนไหว น่าจะเป็นเช่นที่หญิงรับใช้ผู้นั้นกล่าว…นางหลับไปแล้ว
เว่ยเซ่าเดินตรงไปถึงข้างเตียงหมายเรียกปลุกนาง แต่เหลือบเห็นว่าบนแก้มข้างที่เผยอยู่ด้านนอกดูเหมือนมีร่องรอยของคราบน้ำตา สายตาของเขาหยุดนิ่งก่อนจะเบนลงสู่มือของนาง
ยามนี้มือทั้งคู่หงายขึ้นวางอยู่นอกผ้าห่ม นิ้วมืองอทำมุมดูนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ ขาวสะอาดสะอ้านดุจก้านต้นหอม แขนเสื้อพับขึ้นสองทบ ถลกขึ้นไปกองอยู่ใต้ข้อพับแขน เผยให้เห็นเรียวแขนงามช่วงหนึ่งซึ่งมีผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื้นอย่างเห็นได้ชัด มีเพียงตรงกลางข้อมือที่ถูกพันด้วยผ้าปอสีขาวนุ่มละเอียด ปรากฏสีคล้ำของยาขี้ผึ้งซึมออกมารางๆ ดูสะดุดตายิ่ง
เว่ยเซ่าพิศมองชั่วครู่ก็เบนสายตากลับมาบนดวงหน้าของนางอีกครั้ง
ประกายเทียนส่องมาจากด้านข้าง แสงสลัวที่ถูกกรองผ่านผ้าม่านฉายลงบนดวงหน้านาง ส่งผลให้ขนตางอนยาวทอดเงาประหนึ่งพัดหนึ่งวงประดับเปลือกตาล่างโดยไร้เสียง ดวงหน้าของนางเอียงเข้าด้านในเล็กน้อย เขาจึงมองเห็นลายเส้นด้านข้างอันงามละเมียดละไมได้เพียงครึ่งเดียว ภายใต้แสงเทียนสลัวกับเงาม่านแพร โฉมสะคราญที่นิทราตามลำพังประดุจดอกไห่ถัง หนึ่งกิ่งที่ถูกกางกั้นด้วยม่านหมอก สำหรับประสาทการมองเห็นของบุรุษย่อมเป็นความอิ่มเอมที่นำมาซึ่งความเพลิดเพลินใจ
เว่ยเซ่าก็เป็นบุรุษธรรมดาคนหนึ่ง ไหนๆ นางก็หลับไปแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะมองซ้ำอีกหน ตอนนี้เขาถึงสังเกตเห็นว่ามุมปากของนางเชิดขึ้นน้อยๆ ราวกับฟ้าประทานมาให้แต่กำเนิด กระทั่งในยามนี้ที่นางน่าจะเจ็บแผลจนหว่างคิ้วมุ่นนิดๆ อย่างเห็นได้ชัด แต่เพราะมุมปากที่เม้มเชิดขึ้นนี่เอง ดวงหน้ายามหลับใหลถึงมีลักษณะอันไร้เดียงสาเติมแต่งขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ
เว่ยเซ่าไม่ค่อยอยากเรียกปลุกนางแล้ว ยามที่เขาดึงสายตากลับมาและหมุนกายเตรียมจากไปนั้น เสี่ยวเฉียวที่อยู่บนเตียงคล้ายสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เปลือกตาจึงขยับเล็กน้อยก่อนเบิกขึ้นช้าๆ ทันเห็นเงาคนเลือนรางส่ายไหวอยู่หน้าเตียง นางตระหนกวูบร้องอุทานเบาๆ ผุดลุกขึ้นมานั่งในทันที
“ข้าเอง!”
เว่ยเซ่าชะงักฝีเท้า รีบหมุนกายมากล่าว
เหตุการณ์ที่ประสบมาในสองวันนี้ไม่น่าระลึกถึงนัก ซ้ำเสี่ยวเฉียวยังเพิ่งสะดุ้งตื่นขึ้นจากห้วงฝันจึงไม่แคล้วเป็นกระต่ายตื่นตูมไปสักหน่อย ยามนี้นางเห็นผู้มาเยือนชัดถนัดตาแล้วจึงผ่อนลมหายใจออกช้าๆ
นางคาดเดาว่าเขาน่าจะมีเรื่องอะไรถึงได้มาที่นี่ อีกทั้งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่นางถูกลักพาตัว นางจึงไม่พูดอันใด เพียงนั่งอยู่กับที่ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย นิ่งมองรอคอยเขาเอ่ยปาก
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ยังไม่พูดจา เห็นสายตาของเขาทอดลงมา เสี่ยวเฉียวจึงก้มหน้ามองตาม จากนั้นก็ค่อยๆ หดมือไปที่มุมผ้าห่มแล้วซ่อนไว้
เว่ยเซ่าจึงเบนสายตาไป เบือนหน้าเล็กน้อยไม่มองนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ข้ามาที่นี่ก็แค่อยากบอกให้เจ้าพักฟื้นให้เต็มที่ ยังไม่ต้องไปเมืองอวี๋หยางชั่วคราว รออีกสักพักข้าก็ต้องกลับไปเช่นกัน ถึงตอนนั้นค่อยพาเจ้ากลับไปด้วยกัน”
เสี่ยวเฉียวรู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง แต่ไม่ได้พูดอันใด ทำเพียงมองเขาพร้อมขานรับเบาๆ
เว่ยเซ่าชำเลืองมองปราดหนึ่งก่อนหมุนกายจากไป เสี่ยวเฉียวได้ยินเสียงพูดดังขึ้นนอกประตู เขากำชับหญิงรับใช้อาวุโสให้ปรนนิบัตินางเป็นอย่างดี จากนั้นเสียงฝีเท้าก็เงียบหายไปตามลำดับ
เสี่ยวเฉียวค่อยๆ เอนกายลงอีกครั้ง ในใจรู้สึกตงิดๆ คล้ายมีอันใดไม่ถูกต้อง
เหตุการณ์ที่นางถูกลักพาตัวมานี้เขากลับไม่เอ่ยถามเลยสักคำ นี่แสดงว่าเขาไม่รู้ใช่หรือไม่ หลิวเหยี่ยนต่างหากที่เป็นคนลักพาตัวนางตั้งแต่ต้น
หากเขาไม่เอ่ยถึงไปตลอด นางก็สามารถแสร้งทำเหมือนว่าไม่เคยมีเรื่องนั้นเกิดขึ้น กลบเกลื่อนเรื่องราวไปเช่นนี้ได้ใช่หรือไม่
วันรุ่งขึ้นเว่ยเซ่าก็ออกประกาศในเมือง ปลอบขวัญราษฎร รับช่วงดูแลจวนว่าการ งานยุ่งต่อเนื่องหลายวัน กระทั่งไม่ได้เผยโฉมอีกเลย เสี่ยวเฉียวเองก็ไม่ได้ย่างเท้าออกจากประตูสักครึ่งก้าว กินดื่มและนอนพักฟื้นอยู่แต่ในห้อง จวบจนสี่ห้าวันต่อมาหญิงรับใช้อาวุโสสองคนที่คอยปรนนิบัตินางก็มาเชิญนางออกไปขึ้นรถม้า เสี่ยวเฉียวถึงรู้ว่าจะเดินทางกลับเมืองซิ่นตูกันแล้ว
เว่ยเซ่ามอบหมายเมืองสืออี้แก่กงซุนหยาง เว่ยเหลียงกับพวกทหารที่บาดเจ็บให้อยู่พักฟื้นต่อ ทิ้งไพร่พลเกินครึ่งอยู่รักษาการณ์ที่นี่ ส่วนตนเองนำกำลังคนที่เหลือพาเสี่ยวเฉียวกลับไป
เสี่ยวเฉียวนั่งรถม้าติดตามขบวนของเว่ยเซ่ากลับถึงเมืองซิ่นตูอย่างราบรื่น
พวกชุนเหนียงล่วงหน้ากลับมาก่อนเสี่ยวเฉียวนานแล้ว
บุตรสาวแท้ๆ ของชุนเหนียงเคราะห์ร้ายป่วยตายตั้งแต่อายุเพียงสามสี่ขวบ นับจากนั้นชุนเหนียงก็ยิ่งทุ่มเทความคิดจิตใจทั้งหมดมาที่เสี่ยวเฉียว เห็นนางสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตนเองเสียอีก วันนั้นได้แต่เบิกตามองนางถูกผู้อื่นลักพาตัวไปต่อหน้า ชุนเหนียงจึงปวดร้าวเจียนขาดใจ หลังกลับเมืองซิ่นตูมาก่อนตามคำสั่งของเว่ยเหลียง กลางวันก็กินไม่ได้ กลางคืนก็นอนไม่หลับ ร่ำไห้จนดวงตาบวมแดง ระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ใบหน้าซึ่งเคยอวบอิ่มซูบตอบลงไม่น้อย ยามนี้เฝ้าคอยจนได้เห็นเสี่ยวเฉียวแคล้วคลาดกลับมาในที่สุด หยาดน้ำตาแห่งความยินดีจึงเอ่อท้นออกมาก่อน รอจนเห็นข้อมือที่บาดเจ็บและได้รู้ว่าเสี่ยวเฉียวใช้เปลวเทียนทำร้ายตนเองเพื่อหลบหนี ชุนเหนียงก็ปวดใจหลั่งน้ำตาอีกหน หลังจากร้องไห้แล้วยิ้มออก ยิ้มออกแล้วร้องไห้ ในที่สุดก็กลับถึงเรือนเซ่อหยางที่เสี่ยวเฉียวเคยพำนักอยู่หนึ่งคืน เหล่าสาวใช้เปิดกล่องจัดเรียงเครื่องใช้กันใหม่ ตระเตรียมอยู่อาศัยที่นี่
‘ห้องหอ’ ห้องนี้เดิมน่าจะเป็นห้องส่วนตัวที่เว่ยเซ่าพำนักเป็นประจำ ดูเหมือนวันรุ่งขึ้นพอเสี่ยวเฉียวจากไปก็ถูกเก็บกวาดจนด้านในไม่เหลือกลิ่นอายมงคลที่เคยถูกใช้เป็น ‘ห้องหอ’ แม้แต่น้อย
ตกค่ำเสี่ยวเฉียวก็พักผ่อนตามปกติ นางรู้ว่าเว่ยเซ่าไม่มาอยู่ร่วมห้องกับตนแน่ ผิดกับชุนเหนียงที่ไม่รู้คิดอย่างไร ดูเหมือนผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้แล้วจะมีเรื่องในใจเรื่องใหม่ผุดขึ้นมาอีก เรียกว่าฮ่องเต้ไม่รีบขันทีรีบ ขนานแท้ กระทั่งรอจนดึกดื่นเสี่ยวเฉียวหลับใหลไปนานแล้ว ชุนเหนียงก็ยังอดทนไม่ยอมไปเข้านอน จวบจนสาวใช้ที่ทำงานในห้องหนังสือของเว่ยเซ่าซึ่งถูกนางใช้เงินซื้อตัวคนนั้นลอบส่งข่าวมา บอกว่าท่านโหวสั่งให้ปูเตียงเตรียมค้างคืนที่ห้องหนังสือ ชุนเหนียงถึงได้ถอดใจปิดประตูไปนอนพร้อมความหงุดหงิด
ตลอดหลายวันต่อมาเสี่ยวเฉียวได้รับการดูแลอย่างละเอียดพิถีพิถันจากชุนเหนียง เรียกได้ว่าอาหารมาอ้าปาก เสื้อผ้ามากางแขน เท่านี้ก็เพียงพอ หลังสู้ทนผ่านพ้นความทรมานในช่วงวันแรกๆ ยามนี้แผลไฟลวกบนข้อมือของนางเริ่มฟื้นฟูแล้ว ผิวตายชั้นนั้นค่อยๆ ผลัดออก ผิวใหม่เริ่มสร้างขึ้นทดแทน หมอยังคอยมาเปลี่ยนยาให้นางทุกวัน นับจากเมื่อวานก็เลิกใช้ยาขี้ผึ้งสีดำเข้มที่ค่อนข้างเหม็นชนิดเก่า เปลี่ยนมาเป็นยาตัวใหม่สีขาวน้ำนมและมีกลิ่นเย็นชื่นใจยิ่ง หมอบอกว่ายาขี้ผึ้งตัวนี้มีสรรพคุณผลัดผิวตายสร้างผิวใหม่ ดูจากระดับความรุนแรงของแผลไฟลวกแล้ว เขาคาดคะเนจากประสบการณ์ว่าหากฟื้นฟูได้ดี ผิวที่สร้างขึ้นใหม่น่าจะเรียบเนียนเช่นกาลก่อนและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้
ช่วงวันแรกๆ ชุนเหนียงเป็นกังวลเรื่องนี้มาตลอด กลัวแต่ว่าข้อมือทั้งคู่ของเสี่ยวเฉียวซึ่งแต่เดิมงามดุจหยกจะมีร่องรอยไฟลวก ได้ยินหมอพูดเช่นนี้ถึงเบาใจได้เสียที
คืนนั้นเสี่ยวเฉียวชำระร่างกาย
นางขยันชำระกายผิดจากเคย สองปีที่ผ่านมาต่อให้เป็นฤดูเหมันต์ที่หนาวจัดเยี่ยงนี้ ขอเพียงอยู่บ้านที่มีสิ่งของเอื้ออำนวยจะต้องแช่ร่างทุกสองวัน ตอนแรกชุนเหนียงก็รู้สึกประหลาดใจกับนิสัยชอบชำระกายที่พลันเปลี่ยนไปจากเดิม ต่อมาจึงค่อยๆ คุ้นชิน อย่างไรเสียสกุลเฉียวก็เป็นตระกูลใหญ่ฐานะมั่นคง แค่สั่งโรงครัวต้มน้ำร้อนเพิ่มไม่กี่ถังเท่านั้น
ห้องอาบน้ำของที่นี่เชื่อมต่อกับห้องนอนที่เสี่ยวเฉียวพำนักอยู่ ตรงกลางกั้นด้วยฉากบังลมหนึ่งบาน ชุนเหนียงช่วยถอดเสื้อผ้าให้เสี่ยวเฉียว ประคองนางลงนั่งในถังอาบน้ำขนาดใหญ่แล้วออกคำสั่งเฉียบขาดให้นางยกสองมือขึ้นสูง ห้ามให้ข้อมือเปียกแม้เพียงน้อยนิด เห็นสาวน้อยเชื่อฟังแต่โดยดีแล้วจึงค่อยสระเรือนผมยาวให้นางด้วยความพึงพอใจ
เสี่ยวเฉียวพิงร่างกับขอบถัง น้ำร้อนปริ่มเหนือหน้าอก เส้นน้ำกระเพื่อมน้อยๆ ตามการวักน้ำของชุนเหนียง ให้ความรู้สึกดุจมีปลายลิ้นเล็กตวัดจุมพิตแผ่วเบาบนผิวกายตรงหน้าอกของนาง เสี่ยวเฉียวแช่ทั้งร่างอยู่ในน้ำอันอบอุ่น สัมผัสได้ว่าชุนเหนียงกำลังช่วยนวดหนังศีรษะให้ด้วยฝีมืออันช่ำชองและชวนผ่อนคลาย แสนสบายจนนางจวนหลับใหล
“…นายหญิง มีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่ง บ่าวไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่”
ขณะหลับตาพริ้ม เสี่ยวเฉียวพลันได้ยินชุนเหนียงเอ่ยเสียงเบาที่ข้างหูจึงขานตอบดังอืม
“บ่าวรู้สึกอยู่ตลอดว่าคนที่ขี่ม้ามาลักพาตัวนายหญิงไปจากจุดพักเปลี่ยนม้าในวันนั้นดูคุ้นตาอยู่บ้าง…”
ชุนเหนียงพูดแนบอยู่ข้างใบหูของเสี่ยวเฉียวถ่ายทอดเสียงเข้ามา
สาวน้อยชะงักก่อนเบิกดวงตาขึ้น นั่งตัวตรงหันขวับไปมองชุนเหนียง เห็นนางมองดูตนอยู่เช่นกัน สีหน้าเจือความไม่แน่ใจ แต่สิ่งที่มากยิ่งกว่าน่าจะเป็นความกังวล เสี่ยวเฉียวมองออก
“นายหญิง…” ชุนเหนียงมองนางพลางถอนหายใจแผ่วเบา “คนผู้นั้น…ใช่คุณชายที่บ่าวคิดหรือไม่เจ้าคะ”
หลิวเหยี่ยนอาศัยอยู่ในจวนสกุลเฉียวหลายปี ต่อมาแม้จากไปนานพอควร ทว่าลักษณะจำเพาะของคนผู้หนึ่งต่อให้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเติบใหญ่ แต่รูปโฉมโดยรวมก็ยังคงรักษาไว้ไม่เปลี่ยน หากชุนเหนียงจะจดจำได้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
เสี่ยวเฉียวมองดวงตาที่เปี่ยมล้นด้วยความวิตกคู่นั้น ลังเลเล็กน้อยก่อนโน้มตัวไปตอบเสียงเบาข้างหูอีกฝ่าย “ชุนเหนียงวางใจได้ ต่อไปเขาน่าจะไม่มาอีกแล้ว”
ชุนเหนียงตะลึงงัน สีหน้าเปลี่ยนเป็นหวั่นวิตกยิ่งกว่าเดิม
“เว่ยโหวรู้เรื่องนี้หรือไม่” นางเอ่ยถามข้างหูเสี่ยวเฉียว แผ่วเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ
เสี่ยวเฉียวสั่นศีรษะ
“คืนที่บุกยึดเมืองสืออี้เขาเคยมาหาข้า ข้านึกว่าเขาจะสอบถามเหตุการณ์ในวันที่ข้าถูกลักพาตัวไป หากตอนนั้นเขาเอ่ยถาม ข้าก็จะบอกเขา แต่ในเมื่อเขาไม่ได้ถาม ข้าจึงคิดว่ามีเรื่องเพิ่มขึ้นมิสู้มีเรื่องน้อยลงดีกว่า…”
ชุนเหนียงเหม่อลอยไปชั่วครู่
“หวังว่าเรื่องราวจะผ่านพ้นไปเพียงเท่านี้เถิด…” นางทอดถอนใจ
เสี่ยวเฉียวเห็นชุนเหนียงกลัดกลุ้ม จึงโอบสองแขนที่ขาวราวหิมะรอบลำคอของนาง ส่งเสียงฮือๆ ขึ้นจมูกพร้อมพูดอ้อน “ชุนเหนียง ข้าคันข้อมือยิ่งนัก อยากเกาเหลือเกิน…ทำอย่างไรดี…”
ข้อมือของนางกำลังสร้างผิวใหม่ ไม่แคล้วเริ่มคันยุบยิบ ซ้ำยังถูกความชื้นจากไอร้อนที่อบอวลอยู่ภายในถังอาบน้ำ นี่จึงไม่ใช่คำพูดหลอกอีกฝ่ายแต่อย่างใด
ชุนเหนียงเคร่งเครียดทันตาเห็น รีบคว้ามือนางไว้ ใช้ท้องนิ้วคลึงเบาๆ ใกล้รอยแผลพลางเอ่ยปาก “อดทนนิดเดียวก็จะผ่านพ้นไป ห้ามเกาเองส่งเดชนะเจ้าคะ ได้ยินหรือไม่ หากเกาถลอกทิ้งแผลเป็นไว้จะทำอย่างไรกัน”
เสี่ยวเฉียวส่งเสียงอืมติดกันสองหน ซบดวงหน้ากับหน้าอกที่อุ่นนิ่ม หลับตาคลอเคลียก่อนเอ่ยเสียงนุ่มหวาน “ชุนเหนียง ท่านดีต่อข้ายิ่งนัก…”
ชุนเหนียงยิ้มออกแล้ว “หมานหมานของชุนเหนียงงดงามถึงเพียงนี้ ทั้งยังช่างเอาใจใส่ ผู้ใดจะใจร้ายใจดำหักใจทำไม่ดีต่อท่านได้…”
ยังไม่ทันขาดคำ เบื้องนอกพลันบังเกิดเสียงดังปึงคล้ายประตูห้องถูกใครผลักเปิดในคราวเดียว ความรุนแรงนั้นคล้ายแฝงด้วยโทสะที่กำลังปะทุแรง
“ท่านโหว! นายหญิงยังชำระกายอยู่ในห้องอาบน้ำนะเจ้าคะ!”
เสียงของสาวใช้ที่ดังตามมาฟังออกถึงความตระหนกลนลาน
เสี่ยวเฉียวลืมตาขึ้น
ชุนเหนียงเองก็ชะงักไปชั่วอึดใจก่อนตบบ่าปลอบขวัญเสี่ยวเฉียว จากนั้นรีบยืนขึ้นหมายออกไปรับหน้า ทว่าเสียงฝีเท้าประชิดเข้ามาแล้ว พอเงาคนวาบผ่านเบื้องหลังฉากบังลม ผ้าม่านที่ทิ้งตัวอยู่ก็ถูกคนกระชากเปิดในคราวเดียว เว่ยเซ่าบุกตรงเข้ามาในห้องอาบน้ำแล้ว
เปลวเทียนบนเชิงเทียนสำริดรูปคนคุกเข่าที่วางอยู่ทั้งสี่มุมวูบไหวเล็กน้อย ภายในพื้นที่ซึ่งอวลด้วยไอหมอกอันหอมหวนนุ่มนวลนี้ อากาศคล้ายเย็นลงในฉับพลันพร้อมกับการรุกล้ำกะทันหันของเขา
ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าเฉยชาอย่างยิ่ง ทว่าแววตากลับฉายโทสะที่ไม่อาจอำพรางได้ เขากวาดมองมาที่เสี่ยวเฉียวซึ่งยังคงนั่งอยู่ในถังอาบน้ำเบื้องหน้าพร้อมกับเอ่ยว่า “ออกไป”
ชุนเหนียงรู้ว่าเขากำลังพูดกับตน นางกดข่มความไม่สบายใจเอาไว้ เอ่ยด้วยเสียงที่สั่นสะท้านนิดๆ “ท่านโหวมาหานายหญิงหรือเจ้าคะ นายหญิงยังชำระกายอยู่ ขอท่านโหวโปรดอนุญาตให้บ่าวปรนนิบัตินางสวมอาภรณ์ก่อน…”
“ไสหัวไป!”
เว่ยเซ่าเพิ่มระดับเสียง
หัวไหล่ของชุนเหนียงสะดุ้งไหว แต่ยังคงค้อมกายขวางอยู่เบื้องหน้าเสี่ยวเฉียวอย่างดื้อรั้นไม่ยอมออกไป
“ชุนเหนียง ท่านออกไปเถิด ข้าไม่เป็นไรหรอก” เสี่ยวเฉียวเอ่ยเนิบช้า
ชุนเหนียงหันกลับไปมองนาง ในที่สุดก็ก้มหน้าลง ก่อนจะเดินผ่านข้างกายเว่ยเซ่าออกไปเงียบๆ
ในห้องอาบน้ำคงเหลือเพียงหนุ่มสาวทั้งสอง
เปลวเทียนบนเชิงเทียนเผาไหม้อย่างสงบ ทอรัศมีเหลืองนวลอบอุ่น มีไอหมอกสีขาวซึ่งกลั่นตัวเป็นหยดน้ำบางเบาปกคลุมอยู่ระหว่างคนทั้งสอง สายตาอึมครึมของเขาจ้องมองเสี่ยวเฉียวที่อยู่ในถังอาบน้ำผ่านชั้นหมอกที่ลอยเอื่อย บรรยากาศชวนอึดอัดและแปลกพิกล
ทั้งที่น้ำในถังยังคงร้อนกรุ่น เสี่ยวเฉียวที่แช่กายอยู่ในน้ำกลับรู้สึกหนาววูบ เรือนผมยาวที่เปียกชื้นแนบปรกลำคอระหง ไอเย็นในอากาศคล้ายแทรกซึมผ่านเส้นผมเข้าสู่ผิวหนัง หัวไหล่กับหน้าอกส่วนที่เปิดเปลือยอยู่เหนือผิวน้ำจึงพลอยผุดตุ่มที่เล็กละเอียดเฉกเช่นหนังไก่ แม้แต่ยอดทรวงอกที่อยู่ใต้ผิวน้ำยังคล้ายสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่กำลังลุกลามลงมาช้าๆ ชูชันโดยไร้เสียง
สาวน้อยกระถดกายลงเล็กน้อยโดยไม่แสดงสีหน้า ให้ผิวน้ำบดบังสองไหล่ ทว่าร่างกายของนางเพิ่งขยับ ชายหนุ่มก็ตรงมาถึงถังอาบน้ำในไม่กี่ก้าวแล้ว สองมือแยกลงมาค้ำยันขอบถัง บังเกิดเสียงดังปังราวกับจะฟาดถังไม้ให้แหลก ผิวน้ำถูกแรงกระแทกจนสั่นเป็นริ้วสับสนในทันที เขาโน้มกายลงประชิดพลางจ้องดวงตานาง แล้วขบกรามเอ่ยเน้นทีละคำด้วยน้ำเสียงที่คล้ายสะกดกลั้นจนสุดกำลังกว่าจะข่มโทสะลงไปได้ “เพื่อช่วยเจ้าออกมา ที่เชิงกำแพงเมืองสืออี้ไพร่พลของข้าสูญเสียไปเท่าไรเจ้ารู้บ้างหรือไม่ เว่ยเหลียงที่ตะลุยศึกเหนือใต้ไร้ผู้ต่อกรก็ยังหวุดหวิดต้องสิ้นชื่อ! เจ้ากลับกล้านอกใจข้า ถึงขั้นลักลอบสานสัมพันธ์กับหลิวเหยี่ยนแห่งหลางหยาลับหลังข้าเชียวหรือ!”
หัวไหล่ของเสี่ยวเฉียวสั่นวูบ หัวใจเต้นรัวเร็วในทันที
สุดท้ายเขาก็รู้เรื่องนี้ดังคาด เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะเร็วปานนี้!
ชายหนุ่มโน้มกายลงมาคุกคาม บีบช่องว่างระหว่างทั้งสองถึงระยะใกล้สุดในฉับพลัน สาวน้อยสัมผัสได้ชัดเจนถึงไอเย็นเฉียบดุจน้ำแข็งที่โชยมาปะทะใบหน้าอีกระลอกยามที่เขากดร่างลงต่ำ
ใบหน้าของนางยังคงฉาบด้วยไอหมอกอันชุ่มชื้น มีหยดน้ำกลิ้งลงมาตามเรียวคิ้วก่อนจะร่วงเผาะลงบนขนตา ทว่านางไม่อาจพะวงเช็ด รีบร้อนพิงร่างถอยห่างจนกระทั่งแผ่นหลังชนเข้ากับขอบถังที่อยู่เบื้องหลังจึงได้หยุดเคลื่อนกาย นางแหงนหน้ามองเขาพร้อมกล่าว “อนุญาตให้ข้าออกไปสวมเสื้อผ้าก่อนค่อยชี้แจงให้ท่านฟังได้หรือไม่”
เว่ยเซ่าจับจ้องดวงตาของนาง ชั่วครู่ถึงเลื่อนสายตาผ่านพวงแก้มอมชมพูที่ฉาบเคลือบด้วยไอน้ำเรื่อยลงไป กวาดสายตาแผ่วเบาและเนิบช้าถึงขีดสุดมองไปยังลายเส้นโค้งเว้าบริเวณทรวงอกซึ่งถูกวาดเค้าโครงด้วยผิวน้ำที่กระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย
ทันทีที่ก้มมองตามสายตาของเขาไป เสี่ยวเฉียวก็ผลุบร่างลงใต้น้ำอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เผยเพียงลำคอช่วงหนึ่งเท่านั้น
เว่ยเซ่าเห็นเช่นนี้มุมปากก็สั่นกระตุกนิดๆ เขาเผยสีหน้าคล้ายเยาะหยันด้วยเจตนาร้ายอันชัดเจน ก่อนจะไม่มองนางอีก เขายืดตัวตรงแล้วหมุนกายสะบัดแขนเสื้อเดินออกมา
“ไปสวมเสื้อผ้าให้นาง!”
เสียงของเขาที่ดังขึ้นเบื้องนอกไม่ต่างอะไรกับการคำราม
สองมือของเสี่ยวเฉียวยึดจับขอบถัง บังเกิดเสียงดังซ่าเมื่อนางลุกขึ้นจากน้ำ หยดน้ำดุจไข่มุกร่วงพรูลงมาตามผิวพรรณอันขาวนวลดั่งเคลือบไข ผิวกายที่อบอุ่นพลันเปิดเปลือยท่ามกลางกลุ่มควัน ส่งผลให้ขนลุกชันประดุจหนังไก่ในทันที นางสยิวกายวูบ สองขาราวกับพลอยอ่อนระทวยตาม ยามที่กำลังปีนออกจากถังอาบน้ำด้วยมือเท้าที่สั่นเทิ้ม ชุนเหนียงก็รีบรุดเดินเข้ามาพยุงนางออกจากถัง
เสี่ยวเฉียวรีบเช็ดเรือนผมที่เปียกชุ่มของตนลวกๆ ขณะที่ชุนเหนียงช่วยเช็ดเนื้อตัวและสวมเสื้อผ้าให้นาง
นิ้วมือของชุนเหนียงแตะสัมผัสเสี่ยวเฉียว สามารถรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยียบเช่นเดียวกับน้ำ
“นายหญิง…นายท่านกำลังโกรธจัด…อย่างไรก็ให้บ่าวรั้งอยู่ข้างกายท่านเถิด”
ชุนเหนียงก้มหน้ามัดเชือกผูกเสื้อให้นาง มือสั่นเทาเล็กน้อย มัดอยู่หลายหนกว่าจะสำเร็จ
เสี่ยวเฉียวสั่นศีรษะ ขยับมาใกล้ข้างหู “อย่าได้เป็นห่วงเลย ข้าสามารถรับมือได้ ท่านไปเถิด”
ชุนเหนียงลังเลชั่วครู่ สุดท้ายจึงกระซิบแนบหูนาง “เช่นนั้นบ่าวจะรั้งอยู่หน้าประตู คอยสังเกตความเคลื่อนไหวในห้อง หากมีอันใดไม่บังควร บ่าวจะเข้ามาเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเฉียวก้มหน้าตรวจสอบสาบเสื้อตนเองรอบหนึ่ง เห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วจึงหลับตาตั้งสติ ระบายลมหายใจยาวก่อนเดินออกไป
ชุนเหนียงตามนางออกมา ชำเลืองมองสีหน้าอึมครึมของเว่ยเซ่าที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่สบายใจแล้วก็ค้อมกายคำนับ เดินพิรี้พิไรออกจากห้อง พลิกมือปิดประตูตามหลังเบาๆ
หัวไหล่ของเว่ยเซ่าขยับเล็กน้อย
“ท่านพี่ ท่านคงอนุญาตให้ข้าเรียกขานว่าท่านพี่กระมัง ข้ารู้ว่าท่านโกรธเพราะสาเหตุใด หวังว่าท่านจะรับฟังข้าชี้แจง”
เสี่ยวเฉียวชิงเอ่ยปากก่อนที่เขาจะพูด นางเดินไปหาเขาหลายก้าว สุดท้ายก็หยุดยืนอยู่ข้างเชิงเทียนอันหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากเขาไม่กี่ก้าว มองตาของเขาขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล หากตั้งใจฟังจริงๆ ก็สามารถฟังออกว่าแฝงซึ่งนัยวิงวอนอยู่ในที
ระยะห่างระหว่างทั้งสองพอเหมาะพอเจาะยิ่ง ห่างกันไม่กี่ช่วงแขน ทั้งไม่ไกลเกินไปจนห่างเหิน และไม่ถึงกับใกล้จนชวนให้สองฝ่ายต้องอึดอัด
แรกเริ่มเว่ยเซ่าคล้ายตะลึงไปเล็กน้อย ไม่ช้าหัวคิ้วก็ขมวดมุ่น ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงมีสีหน้าเขียวคล้ำดังเดิม
“ข้าคิดว่าท่านคงรู้เรื่องหมดแล้ว วันนั้นผู้ที่ลักพาตัวข้าไปจากจุดพักเปลี่ยนม้าชิวจี๋ในทีแรกนั้นไม่ใช่เฉินรุ่ยจริงๆ แต่เป็นหลางหยาซื่อจื่อหลิวเหยี่ยน” เสี่ยวเฉียวกล่าวต่อ
ดวงตาของเว่ยเซ่าหรี่ลงนิดๆ พลางเอ่ยเสียงเยียบเย็น “เขาดั้นด้นติดตามมาตลอดทาง ชายมีรัก หญิงก็มีใจ ความรักของพวกเจ้าสองคนช่างแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าโลหะอีกนะ”
“เมื่อครู่ท่านเข้ามาซักถามข้า ข้าก็คาดเดาได้ว่าท่านเข้าใจผิดแล้ว เมื่อก่อนข้ากับหลิวซื่อจื่อเคยมีพันธะหมั้นหมายกันจริง แต่ก็ไม่ได้พบหน้ามาหลายปี ยิ่งไม่เคยติดต่อกันเป็นการส่วนตัว ครึ่งปีก่อนท่านลุงข้าฉลองวันเกิด เขาเดินทางมาถึงจวนโดยไม่ติดว่าหนทางยาวไกล ตอนนั้นพวกเราสองคนก็ไม่ได้พบหน้ากัน เรื่องนี้จริงแท้แน่นอน ท่านสามารถตรวจสอบได้ ครั้งนี้ที่เขาปรากฏกายมาลักพาตัวข้าไป ข้าเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน หาใช่นัดแนะกับเขาล่วงหน้าไม่ ถ้อยคำของข้าเป็นจริงทุกประโยค หากมีวาจาไม่จริงแม้สักคำ ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ข้า!”
จังหวะการพูดของนางไม่รีบเร่งและไม่เชื่องช้า นางพูดจบก็มองเว่ยเซ่าที่อยู่ตรงหน้า เว่ยเซ่าก็เพ่งพิศนางเช่นกัน
สองคนประสานสายตาทั้งสี่ชั่วขณะ
แววดุร้ายบางเบายังคงฉายออกมาจากดวงตาของเขา ทว่านางยังคงเยือกเย็นอย่างยิ่ง ไม่หลบหลีกแม้แต่น้อย
ในที่สุดลายเส้นบนดวงหน้าอันแข็งกระด้างจนเกือบแข็งทื่อนั้นก็ค่อยๆ นุ่มนวลขึ้น
ในใจเสี่ยวเฉียวเพิ่งผ่อนคลายลงเล็กน้อย กลับได้ยินเขาเอ่ยเสียงเยียบเย็นขึ้นมาอีก “แต่ข้าได้ยินว่าหลางหยาซื่อจื่อผู้นั้นมาอาศัยลี้ภัยกับสกุลเฉียวที่เมืองตงตั้งแต่แรกรุ่น พวกเจ้าสองคนใช้เวลาร่วมกันทุกวัน มีหัวใจตรงกัน ซ้ำยังหมั้นหมายกันนานแล้ว เหตุใดยังต้องทำให้เกิดสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างในวันนี้ขึ้นอีก ข้าเว่ยเซ่าไยต้องกังวลว่าจะไร้ภรรยา ไหนเลยจะถึงขั้นต้องแต่งสตรีที่หัวใจมีชายอื่นมาเข้าสกุลเว่ยด้วย สกุลเฉียวกล้าลบหลู่ข้าถึงเพียงนี้ เห็นข้าเป็นอะไร!”
“ท่านพี่เข้าใจผิดอีกแล้ว” เสี่ยวเฉียวเอ่ยพลางเพ่งมองเขา “ข้าไม่ปฏิเสธ เป็นความจริงที่ข้ากับหลิวซื่อจื่อรู้จักกันมานาน คนเรามิใช่ต้นไม้ใบหญ้า อยู่ร่วมกันนานวันไหนเลยจะไม่รู้สึกรู้สา ทว่าข้ากับหลิวซื่อจื่อเป็นอดีตไปแล้ว เมื่อครู่ข้าก็บอกท่านแล้วว่าช่วงสองปีนี้ข้าเติบโตขึ้น มีแต่ยิ่งห่างเหินกับเขามากขึ้นทุกวัน ส่วนเรื่องสกุลเฉียวและสกุลเว่ยนั้น บัดนี้ผู้ใดเข้มแข็งผู้ใดอ่อนแอ ท่านและข้าล้วนรู้แจ้งแก่ใจดี อยู่ที่นี่ข้าไม่มีสิ่งใดที่ไม่อาจพูด สกุลเฉียวของข้าหมายอาศัยกำลังของท่านถึงได้ขอผูกไมตรีด้วยการเกี่ยวดอง คำว่าลบหลู่นั้นจะมาจากที่ใดได้อีก พวกข้าไหนเลยจะกล้าคิด ในเมื่อข้าเชื่อคำของผู้ใหญ่ ตัดสินใจเด็ดขาดออกเรือนกับท่านแล้ว ยังจะโลเลสองใจได้อย่างไรกัน ข้าจริงใจแต่งเข้าสกุลเว่ยของท่านด้วยกายบริสุทธิ์และใจดวงเดียว ใจนี้ดั่งตะวันจันทราที่กระจ่างเปิดเผย เห็นได้ชัดเจน”
“ช่างมีปากคอคารมคมคายจริงๆ ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้าสินะ” สีหน้าของเว่ยเซ่ายังคงปั้นปึ่ง “ในเมื่อถามใจตนเองได้อย่างไม่ละอาย เช่นนั้นตั้งแต่ที่ข้าช่วยเจ้ากลับจากเมืองสืออี้ จนบัดนี้ก็หลายวันแล้ว เหตุใดตลอดมาเจ้าถึงปิดบังไม่บอกความจริงกับข้าเล่า”
“คืนที่บุกยึดเมืองสืออี้ท่านเคยมาเยี่ยมข้า ตอนนั้นข้าคิดในใจว่าขอเพียงท่านถามถึงเรื่องที่ข้าถูกลักพาตัวระหว่างทาง ข้าจะบอกความจริงกับท่านทันที แต่ตอนนั้นท่านไม่เอ่ยถึงสักครึ่งประโยค แค่เอ่ยปากบอกให้ข้าพักฟื้นให้เต็มที่ ไม่ต้องเร่งเดินทางขึ้นเหนือชั่วคราว พูดจบท่านก็รีบร้อนจากไป ข้ามีโอกาสเอ่ยปากที่ใดกัน เรื่องในตอนนั้นท่านน่าจะจดจำได้”
เว่ยเซ่าแค่นเสียงดังฮึ “หลังกลับมาซิ่นตูเล่า ถึงวันนี้เหตุใดเจ้าไม่เคยเอ่ยถึงสักครึ่งประโยค”
“ท่านพี่ ตลอดหลายวันหลังจากข้าตามท่านกลับมาถึงซิ่นตู ข้าก็อยู่ในเรือนเซ่อหยางแห่งนี้ทั้งวัน ไม่เคยออกไปที่ไหนแม้แต่ครึ่งก้าว ท่านเองก็งานรัดตัวนัก ตั้งแต่กลับมาข้าก็ไม่เคยได้พบหน้าท่านอีกเลย จนตอนนี้ข้าถึงได้พบหน้าท่านเป็นครั้งแรก ข้าเองก็รู้ว่าท่านไม่ชอบหน้าข้า ต่อให้ข้ามีใจชี้แจงอย่างไร ยังจะเอาโอกาสและความกล้าจากที่ใดเป็นฝ่ายไปหาท่านแล้วเอ่ยเรื่องนี้ได้เล่า”
เว่ยเซ่ามีสีหน้านิ่งงันไปเล็กน้อย
เสี่ยวเฉียวเองก็เงียบเสียงหลุบตาลง ชั่วครู่ต่อมาขนตาของนางสั่นไหวนิดๆ ก่อนจะลอบช้อนตาเหลือบมองเขาอย่างรวดเร็ว แต่กลับสบสายตาของเขาเข้าตรงๆ เว่ยเซ่ากำลังมุ่นคิ้วมองนางอยู่
“อันที่จริงเมื่อครู่ก่อนนี้เอง…” นางปรายตาไปทางประตู เพิ่มระดับเสียงขึ้นเล็กน้อย “ข้าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องนี้กับชุนเหนียง ข้ามีใจอยากบอกให้ท่านรู้ แต่ก็กลัวว่าท่านจะไม่เชื่อ หากข้าพูดขึ้นเองแล้วสะกิดให้ท่านแคลงใจ ต่อให้ข้ามีร้อยปากก็ไม่อาจชี้แจงจนกระจ่างได้ ไม่นึกว่าจะบังเอิญถึงเพียงนี้ ข้าเพิ่งเอ่ยถึง ท่านพี่ก็เข้ามาซักถามข้าอย่างโกรธเกรี้ยวพอดี…”
เสียงของนางเบาลงจนกระทั่งเงียบหายไป ความเจ็บช้ำน้ำใจเจืออยู่ในแววตา นางขบริมฝีปากแดงเบาๆ หลุบดวงตาลงช้าๆ ยืนรวบมืออยู่เบื้องหน้าเขาประดุจลูกกวางที่เชื่องเชื่อ
ครู่ใหญ่สีหน้าของเว่ยเซ่าจึงค่อยอ่อนลง ทว่าสายตายังคงลุ่มลึก
“ที่เจ้าพูดมา…เป็นความจริงหรือ”
เสี่ยวเฉียวช้อนตาขึ้นอย่างแช่มช้า สบมองกับเขาอีกหน
“ข้ารู้ว่าในใจท่านรังเกียจข้า ที่แต่งกับข้าก็ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจเดิมของท่าน คาดว่าท่านคงไม่เคยคิดจะปฏิบัติต่อข้าในฐานะภรรยาจริงๆ ด้วยซ้ำ ทว่าข้ากลับไม่เหมือนกัน ตั้งแต่ก้าวออกจากครอบครัวเดิม ย่างเท้าเข้าสู่ประตูบ้านของสามี ก็ไม่เคยคิดว่ายังมีหนทางใดให้หันกลับ เมื่อได้ชื่อเป็นภรรยาของท่าน ข้าย่อมสำรวมตนรักษาจารีต เพียงแต่บางเรื่องมิใช่สิ่งที่ข้าสตรีอ่อนแอคนเดียวจะอาศัยกำลังตนพลิกผันได้ เหตุไม่คาดฝันระหว่างทางครั้งนี้มิใช่ความปรารถนาของข้าเลย ทว่าข้าจะทำอย่างไรได้เล่า การกระทำของหลิวซื่อจื่อถึงไม่เป็นการสมควร แต่คงเกิดจากการไม่ลืมเลือนเรื่องราวในอดีตจึงยังปฏิบัติต่อข้าด้วยมารยาทดุจเดิม กระทั่งข้าตกไปอยู่ในกำมือของเฉินรุ่ยผู้นั้นอีกทอดหนึ่ง ข้าก็เหมือนอยู่ใกล้กับสุนัขป่า เพื่อมิให้ถูกหมิ่นเกียรติ สิ่งที่ข้าสามารถทำได้ก็แค่ฝืนพอเอาตัวรอด ประวิงเวลาได้เท่าใดก็เท่านั้น ความหวาดหวั่นสิ้นหวังของข้าในเวลานั้นยังหามีใครเผื่อแผ่ความเห็นใจมาให้สักนิดไม่ โชคยังดีที่สุดท้ายท่านมาได้ทันเวลา ในที่สุดข้าก็รอดพ้นจากเคราะห์ แต่เรื่องที่ทำให้ท่านต้องสูญเสียไพร่พลไปเช่นนี้ก็ถือเป็นความผิดของข้าจริงๆ…”
ไม่รู้เว่ยเซ่าผู้นี้เป็นอย่างไร คงเพราะรู้ว่าผู้ที่ลักพาตัวนางในทีแรกคือหลิวเหยี่ยนต่างหากถึงได้บุกเข้ามาเอาเรื่องอย่างโมโห ทุกสิ่งก่อนหน้านี้เดิมทีเสี่ยวเฉียวเพียงพูดเพื่อเอาตัวรอด หมายกำจัดความระแวงแคลงใจของเขา มิให้วันหน้าตนมีชีวิตที่ยิ่งยากลำบากก็เท่านั้น ทว่าพอพูดมาถึงตอนท้าย นึกถึงความรู้สึกหวาดหวั่นอันไร้ที่พึ่งในยามที่ตนอับจนหนทาง นึกถึงความทรมานขณะเนื้อหนังถูกเปลวเทียนแผดเผาในยามที่ดิ้นรนช่วยเหลือตนเองให้มีชีวิต อีกทั้งภาพความอาวรณ์เหลือล้นที่บิดาและน้องชายมีต่อตนในวันออกเรือนลาจากครอบครัวก็ยังผุดขึ้นเบื้องหน้าสายตา นางจึงพลันรู้สึกแสบจมูก ขอบตาเริ่มแดงเรื่ออย่างไม่อาจยับยั้ง
“เดิมทีท่านก็ฝืนใจแต่งกับข้าอยู่แล้ว หากท่านทำใจเชื่อไม่ได้จริงๆ ทั้งตำหนิที่ข้าทำให้กำลังพลของท่านต้องเดือดร้อนไปด้วย ท่านก็หย่าข้าแล้วส่งข้ากลับเหยี่ยนโจวเสียเถิด!”
นางกล่าวเสียงสั่นเครือ เห็นชัดว่าแม้กำลังฝืนข่มกลั้น ขบริมฝีปากอย่างเอาเป็นเอาตายจนริมฝีปากล่างซึ่งแต่เดิมเป็นเช่นกลีบบุปผาถูกขบกัดจนซีดขาว ทว่าท้ายที่สุดมุกน้ำตาวาวใสขนาดเท่าเมล็ดถั่วหนึ่งหยดก็ยังคงเอ่อท้นออกมาอย่างไม่ฟังคำสั่ง พลันกลิ้งหยดลงมาตามพวงแก้มข้างหนึ่ง
แม้เว่ยเซ่าวางแผนยึดเมืองสืออี้มาช้านาน ทว่าการโจมตีครั้งนี้ก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ปราศจากการเตรียมการล่วงหน้าอย่างรอบด้าน และไม่ได้เปรียบด้านจำนวนคน การศึกอันดุเดือดที่กำแพงเมืองครั้งนี้ล้วนอาศัยฝีมือการรบของแม่ทัพและทหารที่สั่งสมมาจากสงครามน้อยใหญ่นานปี รวมเข้ากับภาวะผู้นำของตนในกองทัพถึงคว้าชัยมาได้ในที่สุด หลังการศึกเพิ่งยุติ ข้างมือมีงานปลีกย่อยสารพัดที่ต้องสะสางเร่งด่วน ดังนั้นแม้นึกสงสัยรายละเอียดในวันที่เสี่ยวเฉียวถูกลักพาตัวไป ทว่างานล้นมือทั้งวันไม่มีเวลาว่าง เขาจึงพับเรื่องไว้ไม่ได้ใส่ใจมากมายนัก
จนกระทั่งมาเกิดเหตุในวันนี้ เชลยกลุ่มหนึ่งถูกคุมตัวมาจากเมืองสืออี้ ในจำนวนนั้นมีผู้หนึ่งเป็นคนสนิทของเฉินรุ่ย เขาเปิดปากพูดหมดเปลือกหวังเพียงรักษาชีวิตรอด เล่าเหตุการณ์ในวันนั้นว่าพวกตนติดตามเฉินรุ่ยไปลักพาตัวภรรยาของเว่ยเซ่าจากมือหลิวเหยี่ยนแห่งหลางหยากลางทาง เว่ยเซ่าได้รับรายงานจึงสั่งให้คนไปสืบข้อมูลเพิ่ม ไม่ช้าก็รู้เรื่องที่เสี่ยวเฉียวกับหลางหยาซื่อจื่อหลิวเหยี่ยนเคยมีพันธะหมั้นหมายกันมาก่อน
เรื่องที่เกี่ยวดองกับสกุลเฉียว สำหรับเขาเป็นเพียงการพายเรือตามน้ำเท่านั้น ไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ยิ่งไม่เคยมีความคิดจะอยู่ร่วมเตียงตายร่วมหลุมกับหญิงสกุลเฉียวอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ตอนหารือเรื่องแต่งงานเขาจึงไม่ถามไถ่สักครึ่งประโยค ยิ่งไม่เคยส่งคนไปสืบข้อมูลว่าหญิงสกุลเฉียวงามหรืออัปลักษณ์ งานเรือนเป็นเช่นไร เขาไม่แยแสเลยสักนิด ขอเพียงคนที่แต่งมาคือหญิงสกุลเฉียวเป็นพอ ดังนั้นจึงไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเมื่อก่อนเสี่ยวเฉียวกับหลิวเหยี่ยนยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังเช่นนี้ การได้รับรู้อย่างกะทันหันนี้ทำให้เขาขุ่นเคืองเป็นทุนเดิม ยิ่งไม่นึกว่ายังมีเหตุการณ์ที่หลิวเหยี่ยนแห่งหลางหยาลักพาตัวคนไปก่อนที่จะตกสู่เงื้อมมือของเฉินรุ่ยแทรกเข้ามาอีก
ภรรยาที่เพิ่งเข้าพิธีถูกชายอื่นลักพาตัวเข้าเมืองสืออี้ไปอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ต่อให้เขาเว่ยเซ่าไม่ไยดีในความเป็นความตายของภรรยาเพียงใด แต่ขอเพียงยังมีลมหายใจก็ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้สึกรู้สา สถานการณ์บังคับให้เขาจำต้องยกทัพบุกตีเมืองสืออี้อย่างฉุกละหุกโดยที่ไม่ได้เตรียมการอย่างถี่ถ้วน สุดท้ายแม้ช่วงชิงคนกลับคืนมาได้พร้อมยึดเมืองมาครองสำเร็จ ทว่าฝ่ายตนก็สูญเสียเกินกว่าที่ประมาณการไว้มิใช่น้อย ยิ่งนึกได้ว่าเสี่ยวเฉียวยังมีเยื่อใยตัดหลิวเหยี่ยนไม่ขาด สกุลเฉียวลบหลู่ตนได้ถึงเพียงนี้ เขาผู้มีนิสัยหยิ่งทะนงไหนเลยจะข่มกลั้นโทสะนี้ลงได้ อารมณ์เดือดดาลพุ่งขึ้นมาในฉับพลัน เขาโยนงานอื่นทิ้งแล้วบุกตรงมาเอาความทันที
เสี่ยวเฉียวแก้ต่าง นี่ก็อยู่ในความคาดหมายของเขา ทว่าสิ่งที่นึกไม่ถึงคือ…ตนกลับรับฟังคำแก้ต่างของนางเสียได้ ไฟโทสะซึ่งพวยพุ่งอยู่ในใจขุมนั้นค่อยๆ มอดลงตามวาจาของนางโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว สายตาก็จับนิ่งอยู่บนร่างของนางอย่างไม่รู้สึกตน
เมื่อครู่เสี่ยวเฉียวรีบร้อนออกมาจากห้องอาบน้ำ บนร่างจึงสวมเพียงเสื้อตัวในสีฟ้านวลชิ้นเดียว เรือนผมยาวยังไม่ทันได้หวีสาง ทิ้งตัวปรกบ่า ปลายผมยังมีน้ำหยดไม่ขาดตอน คราบน้ำแผ่ขยายตามลำดับ เปียกซึมเนื้อผ้าบริเวณหัวไหล่และหน้าอกจนแนบติดเรือนร่าง เผยเค้าโครงของสองไหล่ลาดกับลายเส้นโค้งเว้าขึ้นลงออกมาให้เห็นรำไร
สายตาของเว่ยเซ่าหยุดนิ่ง เบื้องหน้าดวงตาพลันผุดภาพที่ตนเหลือบเห็นตอนโน้มกายลงไปซักถามนางในห้องอาบน้ำเมื่อครู่ก่อน ตอนนั้นแม้นางรีบหดกายลงใต้น้ำเร็วเพียงใด แต่เขาก็เหลือบเห็นแล้ว ความรู้สึกอันไม่บังควรผุดขึ้นในใจรางๆ เขารีบขับไล่ภาพนั้นออกจากห้วงความคิด ครั้นช้อนสายตาขึ้นมากลับเห็นพวงแก้มที่เปื้อนน้ำตาของนางอีก ท่าทางดุจดอกสาลี่แต้มฝนนั้น กอปรกับฟังออกถึงอารมณ์ขุ่นเคืองที่เจืออยู่ในวาจาประโยคสุดท้ายของนางไม่มากก็น้อย ทำให้เขานึกได้ว่าชั่วครู่ที่ตนไม่อาจระงับอารมณ์บุกรุกเข้ามาคงทำให้นางตกใจมากจริงๆ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจเล็กน้อยจึงมุ่นคิ้วกล่าว “เอาความคิดฟุ้งซ่านมากปานนี้มาจากที่ใดกัน ข้าเคยพูดหรือว่าจะหย่าเจ้าส่งคืนไป!”
เสี่ยวเฉียวเบือนหน้า รีบยกมือปาดน้ำตาบนดวงหน้าโดยไม่พูดจา
ภายในห้องเงียบงัน
เว่ยเซ่าเห็นนางไม่หันหน้ามาทางตนอีก นางเอาแต่เพ่งมองเชิงเทียนบนโต๊ะที่อยู่เยื้องออกไป ราวกับนั่นคือบุปผาที่ชวนมองดอกหนึ่ง เขาก็รู้สึกหมดความสนใจ ลังเลชั่วครู่ก่อนเอ่ย “เจ้าเช็ดผมแล้วเข้านอนเร็วหน่อยแล้วกัน” จบคำเขาก็หมุนกายสาวเท้าจากไป
พอเขาคล้อยหลังไปแล้ว หัวไหล่ของเสี่ยวเฉียวซึ่งเครียดเกร็งมาตลอดก็ผ่อนคลายลงช้าๆ นางระบายลมหายใจยาวแล้วพิงขอบโต๊ะที่อยู่ด้านข้างอย่างอ่อนแรง
หลังมรสุมเมื่อคืนผ่านพ้น ทุกอย่างก็ไม่มีอันใดต่างไปจากเดิม จนสองวันให้หลังจงเอ่าจึงส่งทองคำกับแพรพรรณจำนวนหนึ่งมาให้เสี่ยวเฉียว นอกจากนี้ยังมีเชียงเถา ที่ยามปกติพบเห็นได้ไม่บ่อยนักกับผลทับทิมที่เป็นบรรณาการมาจากเมืองอันสือ โดยเฉพาะอีกสองถาด จงเอ่าบอกว่าท่านโหวเป็นผู้สั่งให้นำมา
เสี่ยวเฉียวรู้สึกประหลาดใจนิดๆ นางคาดเดาว่าน่าจะเป็นการชดเชยเล็กน้อยของเว่ยเซ่าสำหรับเรื่องในคืนนั้น นางปั้นยิ้มตามเรื่องราว บอกให้อีกฝ่ายช่วยแจ้งต่อท่านโหวว่านางซาบซึ้งใจยิ่ง
ฝ่ายชุนเหนียงยินดีเป็นล้นพ้น รีบสั่งให้สาวใช้รับของกำนัล ส่วนตนเองก็กล่าวขอบคุณซ้ำอีกหลายหน
“นายหญิง ฮูหยินผู้เฒ่าสูงวัยแล้ว ข้างกายต้องการบ่าวคนนี้คอยรับใช้ พรุ่งนี้บ่าวจึงขอเดินทางกลับก่อน ไม่อาจอยู่รับใช้นายหญิงต่อได้ ส่วนนายหญิงก็วางใจพำนักอยู่ที่นี่อีกสักระยะหนึ่งแล้วค่อยกลับขึ้นเหนือพร้อมท่านโหวเถิด ถึงตอนนั้นก็จะได้คารวะฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว”
ก่อนจากจงเอ่าก็กล่าวทิ้งท้ายเช่นนี้ ท่าทียามพูดจาแทบไม่ต่างจากเมื่อก่อน ยังคงเฉยเมยไว้ตัวเช่นเดิม ทว่านี่เป็นวาจายาวที่สุดที่เสี่ยวเฉียวเคยได้ยินอีกฝ่ายพูดกับตนตลอดเวลาที่ผ่านมาแล้ว อีกทั้งนางยังสังเกตได้ว่าในคำพูดของจงเอ่าไม่ได้เอ่ยถึงสตรีอีกคนในจวนสกุลเว่ยที่เมืองอวี๋หยาง…จูซื่อมารดาของเว่ยเซ่า
จงเอ่าค้อมกายให้นางเล็กน้อยก่อนหมุนกายจากไป
“นายหญิง เว่ยโหวใส่ใจท่านแล้ว ช่างดียิ่งนัก”
ชุนเหนียงมิใช่ขาดประสบการณ์ในชีวิต ทว่านางกลับชื่นมื่นไม่หายกับข้าวของกองพะเนินที่เว่ยเซ่าส่งมา ประเดี๋ยวลูบคลำชิ้นนี้ ประเดี๋ยวหยิบจับชิ้นนั้น ซ้ำยังฉวยผ้าแพรมาทาบตัวเสี่ยวเฉียวพลางพูดว่าอีกสองวันจะตัดชุดใหม่ให้นาง
“ข้ามีเสื้อผ้ามากพอแล้ว เดิมทีก็ใส่ไม่หวาดไม่ไหว ไม่ต้องทำเพิ่มหรอก”
เสี่ยวเฉียวออกอาการไม่ยินดียินร้าย กล่าวจบก็สุ่มหยิบเชียงเถาสองลูกมากลิ้งเล่นในฝ่ามือสองที
“ก็ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นรออีกสักพักแล้วกัน” ชุนเหนียงสั่งสาวใช้เก็บทองคำกับแพรพรรณ “บ่าวปอกเชียงเถากับทับทิมให้กินนะเจ้าคะ เว่ยโหวช่างมีน้ำใจนัก เมื่อก่อนฤดูหนาวที่เมืองตงยังยากจะได้เห็นเชียงเถากับทับทิมที่น่าชื่นใจเช่นนี้”
“ข้าไม่ชอบกินของพวกนี้!”
เสี่ยวเฉียวโยนลูกเชียงเถาในมือกลับลงถาด
เชียงเถาลูกหนึ่งกระดอนกลิ้งออกจากถาด หมุนติ้วอยู่บนโต๊ะ
“พวกเจ้าเอาไปแบ่งกันกินเถิด”
นางปัดๆ ฝ่ามือ หันไปพูดกับชุนเหนียงและสาวใช้ที่กำลังมองนางอย่างตกตะลึง
แม้อาศัยอยู่ที่เดียวกัน ทว่าหลังจากคืนนั้นเสี่ยวเฉียวก็ไม่เคยเห็นเว่ยเซ่าเผยโฉมเบื้องหน้าตนอีกเลย
เว่ยเซ่าไม่ได้ห้ามนางออกไปข้างนอก แต่เสี่ยวเฉียวกลับไม่เคยออกไปสักครั้ง ชีวิตของนางยังคงเรียบเรื่อยยิ่ง สิ่งบันเทิงใจเพียงหนึ่งเดียวน่าจะเป็นการขึ้นไปบนหอถานไถเพื่อชมดูเมืองหรือทอดสายตามองออกไปแสนไกล
บางครั้งในยามอาทิตย์อัสดง ขณะที่เสี่ยวเฉียวยืนอยู่บนยอดหอถานไถจะบังเอิญเห็นเงาร่างของกำลังพลกลุ่มหนึ่งที่น่าจะเป็นเว่ยเซ่ากำลังเข้าออกเมือง
ดูเหมือนเขาจะมีงานล้นมือจริงๆ วิ่งวุ่นราวกับสุนัขตัวหนึ่งทีเดียว
เสี่ยวเฉียวคิดในใจ
อากาศเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นตามลำดับ กระทั่งเช้าค่ำยังไม่อาจถอดอาภรณ์ฤดูเหมันต์อันหนาหนักบนร่างออกไปได้ ทว่าสายลมที่โชยมากลับไม่คล้ายใบมีดที่คุกคามผู้คนอีก ธารน้ำแข็งเริ่มละลาย ลานนอกเรือนเซ่อหยางซึ่งเดิมทีหม่นหมองเหี่ยวเฉาก็เริ่มผุดสีเขียวอ่อนหลายจุด
ในวันที่กิ่งแห้งของต้นไห่ถังเบื้องนอกหน้าต่างห้องของเสี่ยวเฉียวเริ่มแตกยอดอ่อน เว่ยเซ่าก็สั่งคนมาส่งข่าวบอกให้นางเก็บสัมภาระ อีกสองสามวันเตรียมออกเดินทางขึ้นเหนือ วันเกิดอายุครบหกสิบปีของสวีฮูหยินจวนจะมาถึงแล้ว เขาต้องกลับไปฉลองวันเกิดผู้เป็นย่า
สามวันให้หลัง ล้อรถม้าที่เสี่ยวเฉียวนั่งก็บดผ่านผิวถนนซึ่งปูด้วยแผ่นหินสีเทาอมเขียว ส่ายโคลงเคลงออกจากเมืองซิ่นตูมุ่งขึ้นเหนือสู่เมืองอวี๋หยาง
การเดินทางครั้งนี้ราบรื่นยิ่ง ไม่มีเหตุไม่คาดฝันใดเกิดขึ้นอีก
ครึ่งเดือนต่อมาคนทั้งคณะก็มาถึงเมืองอวี๋หยางในที่สุด
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกำแพงเมืองอวี๋หยางมีเขาลูกหนึ่งนามว่าอวี๋ซาน ตัวเมืองอยู่ทางใต้ของเขาจึงได้ชื่อว่าอวี๋หยาง สมัยก่อนยังเรียกอีกชื่อว่าอู๋จง เพราะมุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือขึ้นไปร้อยลี้จะมีเมืองเก่าแก่นามว่าอู๋จงอยู่แห่งหนึ่ง แม้เมืองมีขนาดเล็ก ทว่าสามด้านล้วนโอบล้อมด้วยขุนเขา ฤดูเหมันต์ไม่หนาวจัดเพราะไม่ต้องโกรกลมแห้งผากเหมือนกับพื้นที่อื่น อาศัยอยู่ภายในเมืองนี้จึงไม่ต่างจากการอยู่ที่แดนเจียงหนานเลย สกุลเว่ยสร้างเรือนพักอีกแห่งไว้ในเมืองอู๋จง ตั้งแต่ฤดูเหมันต์ปีที่แล้วสวีฮูหยินก็พำนักอยู่ที่นั่น จนบัดนี้ยังไม่กลับมาที่เมืองอวี๋หยาง
อวี๋หยางเป็นเมืองที่มีทหารประจำการมาเนิ่นนานแต่อดีต หลายร้อยปีก่อนกำแพงหมื่นลี้สำหรับส่วนที่สร้างโดยแคว้นเยียนเพื่อป้องกันชาวซยงหนูก็พาดผ่านด้านข้างของเมืองนี้ด้วย
ตั้งแต่รุ่นปู่ของเว่ยเซ่า สกุลเว่ยหมายสยบชาวซยงหนูและเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่การป้องกันชายแดนเหนือ จึงย้ายเมืองเอกของมณฑลโยวโจวจากฟั่นหยางขึ้นมาสู่อวี๋หยางซึ่งใกล้ชายแดนทางเหนือยิ่งขึ้น การป้องกันเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องมาทุกชั่วอายุคน จนมาถึงรุ่นของเว่ยเซ่า กระทั่งฉานอวี๋ ของซยงหนูที่มีนามว่าอีเสียโม่ซึ่งขณะนี้มีขุมกำลังกล้าแข็งก็ยังไม่กล้าบุ่มบ่ามปะทะกับกองทัพของเว่ยเซ่าซึ่งๆ หน้า แถบเมืองไป๋ถานและเมืองซั่งกู่ซึ่งอดีตเคยประสบกับการทำลายล้างของทหารม้าซยงหนูซ้ำแล้วซ้ำเล่า บัดนี้ล้วนปลอดศึกมาหลายปีแล้ว ราษฎรกลับมารวมกลุ่มตั้งถิ่นฐานดังเดิม จำนวนคนก็เพิ่มพูนขึ้นตามลำดับ
ในวันที่เสี่ยวเฉียวมาถึง ยามที่รถม้าเข้าใกล้ประตูเมือง นางชะโงกศีรษะออกนอกหน้าต่างรถมองดูด้วยความสนใจใคร่รู้ เห็นเบื้องหน้าที่ไกลตาปรากฏกำแพงเมืองสูงตระหง่านทะลุชั้นเมฆ ประหนึ่งมังกรดำขนาดมหึมาน่าเกรงขามสองตัวหมอบกับพื้นทอดร่างคดเคี้ยวไปทางตะวันออกและตะวันตก กระทั่งมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด รอจนใกล้เข้าไปทุกทีถึงเห็นได้ชัดถนัดตาว่าตัวกำแพงทั้งหมดล้วนก่อด้วยศิลายักษ์เต็มก้อนสีเทาดำขนาดสูงเกือบสามเชียะ ดูแข็งแกร่งดุจกำแพงหมื่นลี้ทีเดียว
หอสังเกตการณ์เหนือประตูเมืองก็มิใช่รูปแบบของหอประดับซุ้มหลังคาที่นางเห็นทั่วไปจนชินตา หากแต่เป็นหอทรงเจดีย์สี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่เฉกเช่นป้อมปราการ ตามแนวกำแพงทุกหลายสิบจั้งจะมีหอทรงเจดีย์เช่นนี้หนึ่งหลัง มีขนาดย่อมกว่าหอเหนือประตูเมืองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ธงบนมุมทั้งสี่ของหอทรงเจดีย์ปลิวไสว ทหารรักษาการณ์ที่สวมชุดเกราะต่างก็แข็งขัน ภายใต้แสงตะวันส่องสะท้อน ใบดาบบนทวนวงเดือนก็เปล่งประกายของโลหะวูบวาบแยงตา
เมื่อครู่ทหารสอดแนมได้นำข่าวการกลับอวี๋หยางของท่านโหวเข้ามารายงานในเมืองแล้ว ประตูเมืองจึงเปิดอ้ากว้าง ทหารสวมชุดเกราะกองใหญ่เรียงแถวกรูออกจากเมืองมายืนแยกสองข้างทาง หลี่เตี่ยนและจางเจี่ยนพร้อมด้วยแม่ทัพอีกสิบกว่าคนซึ่งรั้งอยู่ที่อวี๋หยางต่างควบม้าออกจากเมืองมาต้อนรับ เว่ยเซ่าพูดคุยด้วยเล็กน้อยกับแม่ทัพใต้บัญชาก่อนนำคนทั้งหมดเข้าเมือง ตลอดทางที่ผ่านไพร่พลล้วนทำความเคารพแบบทหารโดยพร้อมเพรียง โห่ร้องคำว่า ‘ท่านโหวกลับมาแล้ว’ ด้วยสุ้มเสียงดุจฟ้าคำรามสะท้านแก้วหู หลังเข้ามาในเมือง ราษฎรที่ได้ยินข่าวต่างก็พากันวิ่งออกจากประตูเรือนมาต้อนรับอยู่สองข้างทางด้วยความยินดี กระทั่งขบวนเคลื่อนมาตามถนนจนถึงจวนผู้ว่าการซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางของเมืองฝั่งทิศเหนือในที่สุด
เว่ยเซ่ากลับเมืองโดยไม่ได้แจ้งข่าวกับทางบ้านล่วงหน้า ดังนั้นจูซื่อมารดาของเขาจึงไม่รู้แต่อย่างใด บังเอิญวันนี้นางไม่อยู่ในจวนพอดี พ่อบ้านรายงานว่าเมื่อสองวันก่อนจูซื่อพาเจิ้งฉู่อวี้หลานสาวไปที่ศาลทรงเจ้าบนเขาอวี๋ซาน ยามนี้ยังอยู่ในศาลทรงเจ้านั้น เขาได้ส่งคนไปแจ้งแล้ว คาดว่าคงจะกลับมาในไม่ช้า
จูซื่อศรัทธาในเรื่องคุณไสย ไม่กี่ปีมานี้ยิ่งงมงายถึงขั้นหมกมุ่น ไปมาหาสู่กับแม่หมอในศาลทรงเจ้าอยู่บ่อยครั้ง เมื่อก่อนมักเชิญอีกฝ่ายมาถึงจวน ให้การปรนนิบัติราวกับแม่หมอเป็นเซียนวิเศษ หลังถูกเว่ยเซ่าพบเข้าสองหน เห็นบุตรชายไม่ชอบใจจึงได้เชิญมาที่จวนน้อยลง เปลี่ยนไปเยือนที่ศาลทรงเจ้าด้วยตนเองแทน แม้เว่ยเซ่าจะเอือมระอาเพียงใด ทว่าเตือนเท่าใดก็ไม่เห็นมารดาฟังสักครั้ง อีกทั้งตนก็วุ่นอยู่กับงานในกองทัพ ตลอดปีไม่ค่อยอยู่ในจวน ไกลเกินกว่าจะควบคุมอีกฝ่าย จึงได้แต่หลับตาข้างหนึ่งปล่อยนางไปด้วยความจนใจเช่นนี้ ตอนนี้เพิ่งย่างเท้าเข้าประตูจวนก็ได้ยินว่ามารดาไปศาลทรงเจ้านั่นอีกแล้ว เว่ยเซ่าจึงมุ่นคิ้วนิดๆ ก่อนสั่งให้พ่อบ้านพานายหญิงไปพักที่เรือนด้านหลัง
Comments
comments