ตอนที่เจ็ด
สองสามวันต่อมา เสี่ยวเฉียวออกจากจวนไปที่ร้านเข้ากรอบแห่งหนึ่งในตัวเมือง
ด้วยฐานะของสกุลเว่ย อันที่จริงสามารถเรียกคนทางร้านมาที่จวนได้เลย ทว่านี่คือของกำนัลที่จะมอบแด่สวีฮูหยิน แม้ได้เตรียมใจไว้แล้วที่จะถูกสวีฮูหยินชังน้ำหน้าเช่นกัน แต่เสี่ยวเฉียวก็ยังมุ่งหวังที่จะเข้ากรอบชิ้นงานของตนให้งามที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากนางไปที่ร้านด้วยตนเอง ไม่ว่าลวดลายหรือสีสันย่อมจะมีตัวเลือกมากกว่า ดังนั้นช่วงบ่ายวันนี้นางจึงส่งคนไปแจ้งทางเรือนบูรพา จากนั้นสั่งเตรียมรถม้าแล้วเดินทางออกจากจวน
นี่เป็นครั้งแรกที่นางออกมาข้างนอก
เมืองอวี๋หยางมีขนาดใหญ่ไม่น้อยทีเดียว ด้วยการปกครองดูแลมาตลอดหลายสิบปีของสกุลเว่ยสามรุ่น เฉพาะครัวเรือนในตัวเมืองนี้ก็มีถึงหมื่นเศษ จำนวนราษฎรยิ่งมีมากถึงหลายแสน บ้านเรือนสองข้างทางแน่นขนัด รถม้าและผู้คนคลาคล่ำไม่ขาดสาย สินค้าจากแดนเหนือและใต้ล้วนมีครบครัน
ร้านเข้ากรอบฝีมือดีที่สุดในเมืองตั้งอยู่บนถนนสายหนึ่งของตัวเมืองทิศตะวันออก เนื่องจากผิวถนนคับแคบ คนสัญจรคับคั่ง เสี่ยวเฉียวจึงให้รถม้าจอดอยู่ปากทางที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบก้าว ก่อนที่ตนเองจะเดินเข้าร้านโดยมีชุนเหนียงกับสาวใช้อีกคนมาเป็นเพื่อน
รูปโฉมของสาวน้อยโดดเด่นยิ่งนัก ระยะทางเพียงไม่กี่สิบก้าวก็ดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมากเอาไว้ได้ คนเดินถนนต่างพากันมองมาที่นาง คนที่เดินผ่านไปแล้วก็ยังเหลียวหลังมามองซ้ำ
เมื่อเสี่ยวเฉียวเข้ามาในร้าน แม้ไม่ได้แสดงฐานะใด แต่เถ้าแก่ย่อมมีสายตาที่รู้จักมองคน เห็นนางอายุไม่มาก ท่าทางราวสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น ทว่ากลับแต่งกายเช่นสตรีที่ออกเรือนแล้ว อาภรณ์และเครื่องประดับล้วนงามวิจิตร รูปโฉมสะคราญตาจนไม่กล้าเพ่งพิศตรงๆ ย่อมต้องเป็นสะใภ้สกุลใหญ่สักสกุลในเมืองนี้แน่ เถ้าแก่จึงมีท่าทีนบนอบอย่างยิ่ง รอจนเสี่ยวเฉียวหยิบม้วนผ้าไหมที่คัดลอกเสร็จออกมาคลี่กาง เถ้าแก่เห็นตัวอักษรแล้วดวงตาก็สว่างวาบ เอ่ยปากชมเปาะ “ชั่วชีวิตของข้าเข้ากรอบผ้าไหมมานับไม่ถ้วนก็จริง กลับเพิ่งเคยได้เห็นตัวอักษรที่งามสง่าล้ำเลิศเช่นนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าเป็นผลงานจากมือของผู้ใด”
อักษรแบบจ้าวย่อมไม่อาจพบเห็นได้ในยุคนี้ เสี่ยวเฉียวเพียงแต่ลอกเลียนมาจึงตอบเฉไฉสองสามประโยคอย่างคลุมเครือก่อนชี้แจงจุดประสงค์ พอได้ยินว่าจะมอบเป็นของขวัญวันเกิดแด่ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเว่ย เถ้าแก่ก็ไม่กล้าชักช้า รีบคลี่กางตัวอย่างสีและลวดลายจำนวนมากออกมา
เสี่ยวเฉียวคัดเลือกช้าๆ สุดท้ายก็ถูกใจลวดลายที่มีชื่อว่าไหมชาดตัดทอง แต่เถ้าแก่กลับส่ายหน้ากล่าว “บังเอิญยิ่งนัก ไหมชาดตัดทองนี้มีลูกค้าจองไว้แล้ว อีกทั้งเหลือเพียงชุดเดียว หากนายหญิงรีบใช้ เลือกลายอื่นได้หรือไม่ขอรับ”
“ในเมื่อนางถูกใจก็ยกให้นางไปแล้วกัน ข้าเปลี่ยนลายใหม่ใช่ว่าจะไม่ได้!”
สุ้มเสียงอันกังวานพลันดังมาจากหน้าประตู
เสี่ยวเฉียวเงยหน้าขึ้น มองเห็นบุรุษอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีผู้หนึ่งพลิกกายลงจากหลังอาชาพ่วงพี โยนเชือกบังเหียนให้ผู้ติดตามก่อนก้าวยาวๆ เข้ามาในร้าน
บุรุษผู้นี้กำยำล่ำสันอย่างยิ่ง รูปโฉมก็มีราศีองอาจไม่น้อย บนร่างแม้สวมชุดลำลอง ทว่าสีหน้าท่าทางกลับจองหองเหิมเกริมราวกับรอบข้างไร้ผู้คน เห็นชัดว่าน่าจะเป็นคนที่มีฐานะสูงส่ง เมื่อเดินเข้ามาใกล้ สองตาอันเจิดจ้าที่พินิจมองเสี่ยวเฉียวก็เผยแววตกตะลึงในความงามออกมารางๆ
เดิมทีเสี่ยวเฉียวคุ้นชินแล้วกับสายตาเพ่งพิศของพวกบุรุษ ทว่าแววตาที่ชายผู้นี้มองนางกลับโจ่งแจ้งและคุกคามถึงขีดสุด ราวกับจะกลืนกินนางในคำเดียวเสียเดี๋ยวนี้ นางรู้สึกขุ่นเคืองตามสัญชาตญาณ จึงหมุนกายหันหลังไป
เถ้าแก่รู้จักบุรุษผู้นี้ ใบหน้าคลี่ยิ้มประจบขณะรีบเดินขึ้นหน้าไปค้อมกายกล่าว “เจ้าเมืองเว่ย ภาพอักษรอายุยืนที่ท่านสั่งไว้ วันพรุ่งก็เสร็จแล้วขอรับ ถึงตอนนั้นย่อมส่งไปให้ท่านถึงจวน ไหนเลยจะกล้ารบกวนท่านมาด้วยตนเอง”
บุรุษแซ่เว่ยกล่าว “วันนี้ข้าเพิ่งกลับจากเมืองไต้ นึกขึ้นได้จึงแวะมากำชับเท่านั้น” ขณะที่ปากกล่าววาจา ดวงตากลับชำเลืองมองเงาหลังของเสี่ยวเฉียวเป็นระยะ
เถ้าแก่ยิ้มตอบ “สิ่งที่ใช้อวยพรวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าจะกล้าชักช้าได้อย่างไรกัน เจ้าเมืองเว่ยวางใจเถิดขอรับ!”
บุรุษแซ่เว่ยคลี่ยิ้มไม่พูดอะไรอีก แสดงท่าทีให้เขาไปรับรองเสี่ยวเฉียว
เถ้าแก่ชะงักไปอึดใจเดียวก็เข้าใจกระจ่างแจ้ง รีบยิ้มเอ่ยกับเสี่ยวเฉียว “เมื่อครู่ลายที่นายหญิงถูกใจก็คือลายที่เจ้าเมืองเว่ยท่านนี้จองไว้ ในเมื่อท่านเจ้าเมืองออกปากแล้ว หากนายหญิงชื่นชอบก็สามารถยกให้แก่นายหญิงได้”
บุรุษผู้นี้แซ่เว่ยพอดี ซ้ำยังเอ่ยถึงสิ่งที่ใช้อวยพรวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหนึ่ง
เสี่ยวเฉียวจึงหันหน้าไปมองเขาตามจิตใต้สำนึก และปะทะเข้ากับสายตาที่จับจ้องตนอยู่ดังเดิม สาวน้อยอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น
“ไม่ต้องหรอก ข้าเปลี่ยนลายใหม่แล้วกัน”
นางเอ่ยเรียบๆ พลางชี้มือเลือกตัวอย่างอีกลายหนึ่ง นัดวันรับของเสร็จก็ทิ้งเงินมัดจำไว้ หมุนกายเดินจากไปโดยไม่ชายตาแลบุรุษผู้นั้นซ้ำสอง
บุรุษแซ่เว่ยมองส่งเงาหลังของเสี่ยวเฉียว ขณะเหม่อมองไปไกลจนเห็นนางก้าวขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ปากทางคันนั้นแล้ว เถ้าแก่ก็ตามมาเอ่ยที่ด้านข้าง “จะว่าไปก็บังเอิญยิ่งนัก ผ้าไหมที่นายหญิงผู้นั้นต้องการเข้ากรอบก็เป็นของขวัญวันเกิดที่จะมอบแด่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนท่านเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้ยินนางเอ่ยว่าตนเองมาจากสกุลใด”
ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นเผยแววประหลาดใจ ลังเลเล็กน้อยก่อนรับเชือกบังเหียนจากมือผู้ติดตาม พลิกกายขึ้นบนหลังม้า
พอเสี่ยวเฉียวกลับถึงจวนสกุลเว่ย เหตุการณ์แทรกเล็กๆ ของวันนี้ก็ถูกสลัดออกจากใจในไม่ช้า พอพลบค่ำนางก็ได้ข่าวว่าเว่ยเซ่ารับฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาถึงจวนแล้ว เสี่ยวเฉียวจึงรีบรุดไปรอคารวะสวีฮูหยินที่ห้องเล็กข้างโถงใหญ่ของเรือนอุดร
สวีฮูหยินเพิ่งกลับมาถึง หากชิงชังรังเกียจคงไม่ให้นางเข้าพบเร็วปานนี้ แต่ถึงกระนั้นนางก็ต้องแสดงท่าทีให้เห็น ขณะรออยู่ในห้องเล็กด้านข้าง นางมองผ่านหน้าต่างเห็นระเบียงทางเดินที่ทอดสู่โถงใหญ่มีคนทยอยเข้าๆ ออกๆ เสียงฝีเท้าดังตึกๆ ไม่ขาดหู นอกจากพวกบ่าวแล้วก็ยังมีหัวหน้าฝ่ายต่างๆ ในจวนสกุลเว่ย รวมไปถึงคนที่แต่งกายเหมือนขุนนางบุ๋นบู๊ของเมืองนี้
นางรอคอยอยู่พักหนึ่ง ท้องฟ้าจวนมืดแล้ว เสียงฝีเท้าบนระเบียงทางเดินจึงเบาบางลงตามลำดับ ในที่สุดหญิงรับใช้อาวุโสผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวที่หน้าประตูห้องเล็ก ค้อมกายเชิญเสี่ยวเฉียวเข้าไป เสี่ยวเฉียวพลันรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ตั้งสติตามหญิงรับใช้อาวุโสมุ่งไปยังโถงใหญ่
ในชาติก่อนตอนที่สองเฉียวพี่น้องได้พบหน้ากันครั้งสุดท้าย เสี่ยวเฉียวได้ฟังจากคำบอกเล่าของผู้เป็นพี่สาว คนเดียวในสกุลเว่ยที่ไม่เคยกลั่นแกล้ง ทั้งสี่ฤดูไม่เคยลืมสั่งบ่าวไพร่ให้นำสิ่งของจำนวนหนึ่งส่งมาที่ห้องของนาง คนผู้นั้นก็คือท่านย่าของเว่ยเซ่าเท่านั้น น่าเสียดายที่สวีฮูหยินกลับจากไปเร็ว ต้าเฉียวแต่งเข้าสกุลเว่ยได้ไม่ถึงหนึ่งปี สวีฮูหยินก็สิ้นบุญจากไปด้วยเหตุไม่คาดฝัน นับแต่นั้นสถานการณ์ของต้าเฉียวก็ยิ่งยากลำบาก
เพราะเหตุนี้เสี่ยวเฉียวถึงให้ความสำคัญกับการเข้าพบสวีฮูหยินเป็นพิเศษ นางไม่ได้คาดหวังว่าตนจะได้รับความโปรดปรานจากอีกฝ่าย แต่ขอเพียงสวีฮูหยินต่างจากมารดาของเว่ยเซ่า อย่างน้อยในหนึ่งปีนับจากนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับนางแล้ว
รูปแบบของเรือนอุดรใกล้เคียงกับเรือนประจิมที่เสี่ยวเฉียวพักอาศัย หน้ากว้างของห้องกว้างขวางยิ่งกว่า ทว่าการตกแต่งกลับแสนเรียบง่ายจนเกือบเข้าขั้นสมถะ เมื่อเปรียบกับเรือนบูรพาที่จูซื่อพำนักจึงกลายเป็นความต่างที่เด่นชัด สิ่งเดียวในโถงใหญ่แห่งนี้ที่สามารถขับเน้นฐานะของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเว่ยได้ก็คือตั่งสูงซึ่งมองเห็นอยู่ตรงหน้าเมื่อเดินเข้ามา นั่นคือตั่งไม้ประดู่ทรงสูงตัวหนึ่งซึ่งต้องใช้บันไดสามขั้นในการก้าวขึ้นไป สองข้างของตั่งสูงมีโต๊ะสี่เหลี่ยมข้างละหนึ่งตัว ด้านบนจัดวางเครื่องใช้ เบื้องหลังตั่งสูงล้อมด้วยฉากยาวเคลือบรักที่วาดตกแต่งด้วยลวดลายเมฆหมอก ยามนี้สวีฮูหยินท่านย่าของเว่ยเซ่านั่งอยู่ตรงกลางของตั่งสูงตัวนี้นี่เอง
ยามที่เสี่ยวเฉียวเข้ามา ด้านในก็เหลือคนไม่มากแล้ว มีเพียงบ่าวอาวุโสไม่กี่คนยืนรับใช้ประปราย จงเอ่าอยู่ด้านข้าง ไม่เห็นจูซื่อกับเจิ้งซู เว่ยเซ่าก็อยู่ที่นี่ด้วย เขานั่งเป็นเพื่อนอยู่ทางขวามือของฮูหยินผู้เฒ่า
สวีฮูหยินรูปร่างผอมแห้ง สวมชุดดำ เรือนผมสีดอกเลา หน้าผากกว้างคางมน สองแก้มตอบนิดๆ รูปโฉมไม่มีจุดใดพิเศษ ดูเหมือนหญิงสูงวัยธรรมดาผู้หนึ่ง สิ่งเดียวที่ชวนให้เสี่ยวเฉียวประหลาดใจเล็กน้อยก็คืออีกฝ่ายเหลือดวงตาเพียงข้างเดียว ตาซ้ายเป็นต้อกระจกไปแล้ว กลายเป็นสีขาวหิมะทั้งหมด ทว่าประกายตาข้างขวาที่เหลืออยู่กลับเจิดจ้าเป็นพิเศษ มีพลังอยู่เต็มเปี่ยม เมื่อนั่งบนตั่งสูงกวาดดวงตาข้างเดียวมองลงมาแล้วก็ทำให้ผู้อื่นไม่ค่อยกล้าสบตาตอบ
หลังจากเดินเข้ามาเสี่ยวเฉียวก็เห็นดวงตาข้างเดียวของสวีฮูหยินจับนิ่งบนร่างตน สีหน้ายากจำแนกได้ว่าเป็นอารมณ์ใด สาวน้อยรีบหลุบตา เดินไปถึงตั่งสูงซึ่งพื้นเบื้องหน้าจัดวางตั่งสำหรับนั่งคุกเข่าไว้หลายตัวแล้วนางก็คุกเข่าทั้งสองข้าง โขกศีรษะคารวะสวีฮูหยินที่อยู่ตรงหน้า สุดท้ายจึงมอบรองเท้าปักลายบุพื้นนุ่มด้วยนุ่นใยไหมหนึ่งคู่
ในห้องเงียบกริบ ไม่ได้ยินสรรพเสียงแม้เพียงน้อยนิด
จงเอ่าเดินตรงมารับรองเท้าไป จากนั้นสาวใช้คนหนึ่งก็ยกถาดเคลือบรักแดงออกมา ด้านบนวางหยกมันแพะ ทรงกลมแบนแกะลวดลายสี่สัตว์เทพ หนึ่งแผ่นกับประคำหยกเลี่ยมทองลายเส้นขดหนึ่งพวง
แผ่นหยกลายสี่สัตว์เทพสื่อนัยถึงสิริมงคล ส่วนประคำหยกคือของขวัญแรกพบที่ผู้อาวุโสกำนัลแก่ผู้เยาว์
“น้ำใจของฮูหยินผู้เฒ่า นายหญิงรับไว้แล้วลุกขึ้นเถิด” จงเอ่ากล่าว
เสี่ยวเฉียวคำนับขอบคุณก่อนลุกขึ้น ก้มหน้าไปยืนสำรวมอยู่ด้านหลังของเว่ยเซ่า
ชั่วครู่ต่อมาสาวน้อยรู้สึกเหมือนสวีฮูหยินที่อยู่บนตั่งสูงยังคงมองตนอยู่ นางจึงอดไม่ได้ที่จะช้อนตาขึ้นเล็กน้อยสบตากับอีกฝ่าย
พักก่อนที่จงเอ่ากลับมาจากเมืองซิ่นตู สวีฮูหยินได้ไถ่ถามถึงบุตรีสกุลเฉียวด้วย จงเอ่าจึงเล่าเรื่องตั้งแต่นางถูกเฉินรุ่ยแห่งปิงโจวลักพาตัวระหว่างทางจนกระทั่งท่านโหวบุกยึดเมืองสืออี้ให้ผู้เป็นนายฟังรอบหนึ่ง จากนั้นเอ่ยว่าบุตรีสกุลเฉียวเลอโฉมหายากยิ่งในแผ่นดิน กิริยาท่าทางนับว่าพอเหมาะเข้าที อุปนิสัยใจคอก็ดีงาม
‘ช่างน่าเสียดายนัก’
สุดท้ายนางก็เอ่ยเสริมเช่นนี้อีกหนึ่งประโยค
จงเอ่ารับใช้อยู่ข้างกายสวีฮูหยินมาครึ่งค่อนชีวิต ทั้งเป็นคนละเอียดรอบคอบ ไม่กล่าวพร่ำเพรื่อโดยง่าย การแสดงความเห็นของตนต่อหน้าสวีฮูหยินอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ยิ่งพบเห็นได้น้อยครั้ง
สวีฮูหยินจึงซักถามว่า ‘ช่างน่าเสียดายนัก? หมายความเช่นไร’
จงเอ่าตอบเพียงว่าเมื่อสวีฮูหยินได้พบก็จะทราบเอง
ตอนนั้นสวีฮูหยินรู้สึกไม่เห็นพ้องอยู่บ้าง ทว่ายามนี้ได้เห็นบุตรีสกุลเฉียวเองกับตา ดูเหมือนจะตระหนักได้แล้ว นึกไม่ถึงว่าสกุลเฉียวจะเลี้ยงดูโฉมสะคราญที่ยากพบพานได้เช่นนี้ ช่างมีสง่าราศีจับร่างโดยแท้ ยามที่อีกฝ่ายเพิ่งเข้ามา กระทั่งสวีฮูหยินผู้เห็นโลกมามากก็ยังรู้สึกว่าเบื้องหน้าสายตาพลันสว่างไสว
รูปโฉมยังนับเป็นเรื่องรอง บุคลิกท่าทางของบุตรีสกุลเฉียวต่างหากที่เข้าตาสวีฮูหยินยิ่งนัก
ในชีวิตของคนเรานี้ หากครึ่งชีวิตแรกยิ่งครอบครองมามาก สิ่งที่ประสบพบเจอก็จะยิ่งซับซ้อน รอจนอายุเพิ่มพูน ความคิดหลายอย่างจะค่อยๆ แปรเปลี่ยน และยิ่งนิยมสิ่งที่สงบเรียบง่าย กับวัตถุเป็นเช่นนี้ กับคนก็เฉกเช่นเดียวกัน ดังนั้นนี่ก็คือสาเหตุที่คนเรายิ่งแก่ตัวมักจะยิ่งชอบเด็กเล็ก
ยามที่สวีฮูหยินพิศมองบุตรีสกุลเฉียวก็สังเกตเห็นนางช้อนตาขึ้นสบมองตนอย่างรวดเร็วปราดหนึ่ง
ดวงตาข้างเดียวของสวีฮูหยินจับแววตาของนางได้ในทันที นั่นมิใช่ความขลาดกลัว หากแต่เป็นความไม่แน่ใจเล็กน้อย นอกเหนือจากนี้ก็คือความสว่างสดใสและปลอดโปร่งเยือกเย็น
สวีฮูหยินมองคนปราดแรกมักมองที่แววตาของอีกฝ่ายเสมอ การตัดสินคนจากรูปโฉมภายนอกมิใช่ไร้เหตุผลเสียทีเดียว เพราะประกายในดวงตาทั้งคู่ก็เป็นส่วนหนึ่งของรูปโฉมเช่นกัน นางมีความรู้สึกที่ดีต่อเจ้าของแววตาเช่นนี้โดยสัญชาตญาณ
ตรงข้ามกับบางคน อาทิ จูซื่อลูกสะใภ้ของนาง เหตุที่ที่ผ่านมาสวีฮูหยินไม่อาจมีความรู้สึกที่ดีต่ออีกฝ่ายได้นั้นก็เริ่มต้นมาจากแววตาที่ได้เห็นในปราดแรกนี่เอง ยามนั้นผู้เป็นสามีหมายสู่ขอจูซื่อให้แก่บุตรชาย สวีฮูหยินกังวลเรื่องชาติกำเนิดของว่าที่ลูกสะใภ้จึงไม่ค่อยเต็มอกเต็มใจเท่าไรนัก ทว่าจนใจที่ผู้เป็นสามียืนกรานหนักแน่น อีกทั้งบิดาของจูซื่อก็มีบุญคุณช่วยชีวิตเขา สุดท้ายสวีฮูหยินถึงฝืนใจยอมรับในที่สุด
ปราดแรกที่เห็นจูซื่อ แม้อีกฝ่ายจะแต่งกายเข้าทีและทุกอิริยาบถล้วนได้รับการอบรมเช่นคนตระกูลใหญ่ ทว่าสวีฮูหยินกลับไม่พึงพอใจในลูกสะใภ้คนนี้ ขณะที่จูซื่อมองนาง สิ่งที่เผยชัดอยู่ในดวงตาคือแววตาที่ขาดความมั่นใจ หมายเร่งเอาอกเอาใจนาง
ต่อให้เครื่องแต่งกายเข้าทีเพียงใดหรือกิริยาสอดคล้องกับหลักเกณฑ์สักเพียงไหน เมื่อเข้าคู่กับแววตาเยี่ยงนี้ก็ไม่แคล้วถูกลดทอนระดับชั้นลงไป
ดังนั้นความไม่ถูกตาต้องใจนี้จึงสืบเนื่องมาจวบจนปัจจุบัน
สิ่งเดียวที่ทำให้สวีฮูหยินมองจูซื่อสูงขึ้นก็คือท้องของอีกฝ่ายยังนับว่าได้ความ สามารถให้กำเนิดหลานชายที่ยอดเยี่ยมแก่สกุลเว่ยคนหนึ่ง มารดาได้ดีเพราะบุตร ดูท่านี่ก็คือสาเหตุที่สวีฮูหยินอดกลั้นต่อจูซื่อ หลับตาข้างหนึ่งปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามอำเภอใจมาตลอด
ตอนแรกที่สวีฮูหยินเป็นผู้ตัดสินใจให้เว่ยเซ่าหลานชายแต่งกับบุตรีสกุลเฉียว นางย่อมมีสิ่งที่คำนึงถึงเช่นกัน
คนนอกที่รู้เรื่องการแต่งงาน รวมไปถึงเว่ยเซ่าหลานชายของนางเองล้วนนึกว่านางทำเพื่อพื้นที่มณฑลเหยี่ยนโจว
ทว่าแท้ที่จริง…นางเองก็มีสิ่งอื่นที่คำนึงถึง เพียงแต่ผู้อื่นไม่ล่วงรู้เท่านั้น
สวีฮูหยินพินิจมองเสี่ยวเฉียวซ้ำสอง ก่อนจะเห็นสาวน้อยหลุบตาลงอีกครั้ง ยามที่อีกฝ่ายยืนอยู่เบื้องหลังเว่ยเซ่าหลานชาย ทั้งสองช่างเหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก
นางเอ่ยปากพูดประโยคแรกนับแต่เสี่ยวเฉียวเดินเข้ามา “จ้งหลิน ย่าได้พบหน้าหลานสะใภ้แล้ว ถูกใจยิ่งนัก ย่าเดินทางมาทั้งวัน รู้สึกเพลียอยากพักผ่อน เจ้าพานางกลับไปเถิด”
เว่ยเซ่าลุกขึ้นจากตั่ง เอ่ยอย่างนอบน้อม “หลานขออำลา ท่านย่าพักผ่อนเร็วหน่อย พรุ่งนี้เช้าหลานจะมาเยี่ยมเยียนใหม่”
สวีฮูหยินอมยิ้มผงกศีรษะ
เว่ยเซ่าลงจากตั่งเดินมุ่งสู่เบื้องนอก เสี่ยวเฉียวค้อมกายกล่าวอำลาสวีฮูหยิน พอหมุนตัวกำลังจะตามเว่ยเซ่าจากไป เบื้องนอกพลันมีเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังมาจากระเบียงทางเดิน ตามด้วยสุ้มเสียงของคนผู้หนึ่ง “ท่านยายกลับมาแล้ว แต่หลานไม่ได้ออกจากเมืองไปต้อนรับเลย ไหนจะยังมาช้าอีก ไม่สมควรเลยจริงๆ ท่านยายอย่าได้ตำหนิว่าหลานอกตัญญูเป็นอันขาดเชียว!”
สิ้นเสียงพูดซึ่งเสี่ยวเฉียวคล้ายเคยได้ยินจากที่ใดมาก่อน บุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูเข้ามา
เสี่ยวเฉียวตะลึงเล็กน้อยเมื่อช้อนตามองไป
ช่างบังเอิญได้ถึงเพียงนี้ ถึงกับเป็นบุรุษแซ่เว่ยที่พบในร้านเข้ากรอบเมื่อช่วงบ่าย เพียงแต่ยามนี้เขาคล้ายกับมองไม่เห็นนาง สองตาดูสว่างวาบเมื่อจรดบนร่างของเว่ยเซ่าที่อยู่ด้านหน้า ใบหน้าของเขาเผยยิ้มก่อนจะสาวเท้าตรงมาหาเว่ยเซ่าทันที
ใบหน้าของเว่ยเซ่าประดับยิ้มเช่นกันขณะก้าวยาวตรงไปต้อนรับบุรุษผู้นั้น ดูท่าทั้งสองจะรู้จักมักคุ้นกันดียิ่ง
เสี่ยวเฉียวหยุดยืนอยู่กับที่ มองดูชายหนุ่มสองคนโอภาปราศรัยกันอยู่ตรงนั้น เสียงหัวเราะดังมาไม่ขาดหู ท่าทางคล้ายพี่น้องที่สนิทชิดเชื้อ
“เหยี่ยนเอ๋อร์ ในที่สุดก็เห็นเจ้ากลับมาจนได้ ยายยังคิดว่าเจ้าจะตั้งรกรากอยู่ที่เมืองไต้ไม่กลับมาแล้วเสียอีก” สวีฮูหยินที่อยู่บนตั่งยิ้มกล่าวเมื่อเห็นบุรุษผู้นี้มาถึง ท่าทางดีอกดีใจมากเช่นกัน
บุรุษผู้นี้มีนามว่าเว่ยเหยี่ยน พอได้ยินสวีฮูหยินเอ่ยปากก็ผละจากเว่ยเซ่าเดินมาเอ่ยปนยิ้มที่เบื้องหน้าตั่ง “งานฉลองอายุครบหกสิบปีของท่านยายทั้งที ต่อให้เหยี่ยนเอ๋อร์ขาหักทั้งสองข้างก็ต้องคลานกลับมาให้จงได้”
สวีฮูหยินหัวเราะเบิกบาน เว่ยเหยี่ยนคุกเข่าลงบนตั่งตัวเดียวกับที่เสี่ยวเฉียวคุกเข่าเมื่อครู่ก่อน หลังคำนับสวีฮูหยินแล้วก็ลุกขึ้นยืน เขาค่อยทอดสายตามาปราดหนึ่งราวกับเพิ่งเห็นเสี่ยวเฉียวเดี๋ยวนี้เอง จากนั้นจึงหันไปยิ้มกล่าวกับเว่ยเซ่าทันที “น้องรอง ตอนที่อยู่เมืองไต้ข้าก็ได้ยินข่าวงานมงคลของเจ้าแล้ว หรือว่าผู้นี้ก็คือ…”
เขาชะงักคำพูดพลางพิศมองเสี่ยวเฉียว
เว่ยเซ่าเดินกลับมาข้างกายเสี่ยวเฉียวก่อนยิ้มตอบ “ถูกแล้ว” พูดจบค่อยแนะนำเว่ยเหยี่ยนต่อนาง “เขาคือญาติผู้พี่ของข้า ก่อนหน้านี้คุมทัพอยู่ที่เมืองไต้มาตลอด โตกว่าข้าไม่กี่ปี แต่ไรมาข้าเห็นเขาเป็นเสมือนพี่ชายแท้ๆ เจ้าเรียกเขาว่าพี่ชายเป็นใช้ได้”
เสี่ยวเฉียวชำเลืองมองเว่ยเหยี่ยน เห็นเขายืนอยู่ใกล้ๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม สายตาทั้งคู่ที่มองใบหน้าของนางมองไม่ออกถึงความผิดปกติใดๆ แต่เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนพบกันโดยบังเอิญที่ข้างนอกเมื่อช่วงบ่ายแล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจกลับยังคงอึดอัดนิดๆ อยู่ ทว่านางย่อมไม่แสดงออกบนใบหน้าแม้แต่น้อย เพียงอมยิ้มทำตามคำของเว่ยเซ่า คารวะอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยเรียกว่า “พี่ชาย”
เว่ยเหยี่ยนคารวะตอบ จากนั้นจึงสนทนากับเว่ยเซ่าดังเดิม ทั้งสองพูดคุยอีกหลายประโยคก่อนกล่าวอำลาสวีฮูหยินพร้อมกัน หลังเดินออกมาได้สักระยะ ไม่รู้ว่าพี่น้องที่สนิทสนมคู่นั้นเดินเคียงไหล่กันอยู่เบื้องหน้าพูดอะไรกันบ้าง เพราะมีเสียงหัวเราะดังมาเป็นระลอก เสี่ยวเฉียวเดินตามหลังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จวบจนถึงทางแยกมุ่งสู่เรือนประจิม พวกเขาถึงชะงักฝีเท้า
เว่ยเหยี่ยนกล่าว “น้องรอง ข้ากับเจ้าไม่ได้พบกันนานแล้ว วันนี้ได้เจอกันเสียที ไหนเลยจะขาดสุราได้ มาดื่มด้วยกันสักจอกเป็นอย่างไร”
เว่ยเซ่าลังเลเล็กน้อยก่อนตอบปนยิ้ม “ตรงใจข้าพอดี”
เว่ยเหยี่ยนหัวเราะร่วน “น่ากลัวว่าเจ้าคงหักใจละทิ้งน้องสะใภ้ที่เพิ่งเข้าพิธีซ้ำยังงามดุจบุปผาหยกผู้นี้ไม่ลงกระมัง วันนี้ข้าอารมณ์ดีอย่างหาได้ยากยิ่ง ไม่สนอะไรมากแล้ว เจ้าจงไปดื่มกับข้าให้หนำใจก่อน!” เขาพูดจบก็มองไปทางเสี่ยวเฉียว “น้องสะใภ้ ข้าไม่ได้พบจ้งหลินนานแล้ว ขอดึงตัวจ้งหลินไปดื่มสักหลายจอก แต่เจ้าวางใจได้ รับรองว่าไม่ถึงขั้นไม่กลับบ้านแน่นอน ดึกหน่อยก็จะส่งเขาคืนให้แก่เจ้า”
ในใจเสี่ยวเฉียวรู้สึกขัดเขินอยู่นิดๆ ชำเลืองดูเว่ยเซ่าปราดหนึ่ง เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาไม่ได้มองมาที่นาง สีหน้าดูแข็งทื่อเล็กน้อยเช่นกัน
“พี่ชายกล่าวล้อเล่นแล้ว เชิญพวกท่านตามสบายเถิด” เสี่ยวเฉียวขานตอบ
“น้องสะใภ้ไม่ตำหนิก็ดี จ้งหลิน ไปกัน!”
เว่ยเซ่าคลี่ยิ้มก่อนจะเดินตามเว่ยเหยี่ยนมุ่งสู่ทิศทางของเรือนด้านหน้า แต่ก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวก็พลันเหลียวมามองเสี่ยวเฉียวปราดหนึ่ง
พบว่านางหมุนกายเดินมุ่งสู่เรือนประจิมไปแล้ว
ดึกดื่นป่านนี้เว่ยเซ่าก็ยังไม่กลับมา
ในเมื่อเขายังไม่กลับมา เสี่ยวเฉียวย่อมไม่อาจนอนคนเดียวไปก่อนได้ นางจึงจำใจนั่งคอย
สาวน้อยหนุนแก้มภายใต้แสงไฟ ขบคิดถึงคนและเรื่องที่พบเจอมาเมื่อช่วงบ่าย
เว่ยเหยี่ยนผู้นี้ทำให้นางจดจำอย่างลึกซึ้ง ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่นเลย เพียงแค่เรื่องแซ่ของเขาก็ทำให้ผู้อื่นขบคิดไม่แตกแล้ว
ในเมื่อเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเว่ยเซ่า เป็นหลานยายของสวีฮูหยิน เหตุใดจึงใช้แซ่เว่ยเช่นกันได้ บังเอิญปานนี้เชียวหรือ
อีกเนิ่นนานต่อจากนี้กว่าที่เสี่ยวเฉียวจะได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว…ชาติกำเนิดของเว่ยเหยี่ยนนั้นเร้นลับซับซ้อนยิ่งนัก
เว่ยเซ่าเคยมีอาหญิงอยู่ผู้หนึ่งนามว่าชิงอวิ๋น เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของสวีฮูหยิน เนื่องจากเหตุไม่คาดฝันครั้งหนึ่งเมื่อสามสิบปีก่อน ขณะที่นางอยู่เมืองชายแดนได้ถูกบุรุษซยงหนูที่มีฐานะสูงลักพาตัวไป จวบจนสามปีให้หลังบิดาของเว่ยเซ่าจึงชิงตัวน้องสาวคืนมาได้ ทว่ากลับมาแล้วจึงค่อยพบว่านางตั้งครรภ์ได้ห้าหกเดือน คนทางบ้านจึงบอกให้นางเอาเด็กออก แต่อาหญิงของเว่ยเซ่าไม่ยินยอม อีกทั้งยังใช้ความตายมาข่มขู่ สวีฮูหยินอับจนปัญญายิ่งนัก สุดท้ายจึงได้แต่ตามใจนาง ไม่คาดว่าตอนคลอดบุตรจะเคราะห์ร้ายเสียชีวิตจากการตกเลือด
สวีฮูหยินรักบุตรสาวคนเล็กผู้นี้อย่างยิ่ง เมื่อสูญเสียบุตรสาวอันเป็นที่รักไปอย่างปวดร้าว เลือดเนื้อเชื้อไขซึ่งบุตรสาวที่รักยิ่งทิ้งเอาไว้จึงถูกมองด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป
ผู้คนในยุคนี้แม้จะสามารถยอมรับสตรีชาวฮั่นที่เคยถูกชาวหูลักชิงตัวไปได้ก็จริง ทว่าไม่มีทางเลยที่จะปฏิบัติต่อเด็กที่มีสายเลือดชาวหูอย่างเสมอภาคเท่าเทียม แต่สวีฮูหยินกลับไม่ยินดีจะส่งเด็กไปยังซยงหนู หลังใคร่ครวญจนถ้วนถี่จึงให้เด็กคนนี้ใช้แซ่เว่ยตามมารดา ส่วนตนเองก็เป็นคนเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่มากับมือ เพียงบอกต่อภายนอกว่าบิดาของเขาเคยแต่งเข้ามาเป็นเขยสกุลเว่ย ทว่าถึงแก่กรรมไปแล้ว
คนที่รู้เรื่องในอดีตช่วงนี้นั้นมีน้อยยิ่ง และสวีฮูหยินเองก็ไม่เคยเอ่ยต่อเว่ยเหยี่ยนแม้เพียงครึ่งประโยค
เว่ยเหยี่ยนมิได้พำนักร่วมกับคนสกุลเว่ย เขาย้ายออกมาอยู่ตามลำพังนานมากแล้ว ในเมืองอวี๋หยางก็มีเรือนพักของเขาอยู่แห่งหนึ่ง
สองปีมานี้เว่ยเซ่าไม่ค่อยอยู่ในมณฑลโยวโจว การรักษาการณ์ของทั้งมณฑลล้วนมอบหมายแก่เว่ยเหยี่ยน และเขาได้ตั้งทัพอยู่ที่เมืองไต้ ในเรือนพักแห่งนี้เมื่อไร้นาย เวลาส่วนมากของที่นี่จึงแทบไม่มีคนอยู่ บัดนี้เมื่อเขากลับมาแล้ว ข้ารับใช้ย่อมตามมาด้วยจนครบ เขาเชื้อเชิญเว่ยเซ่ามายังเรือนพักของตน ครั้นเข้าสู่ประตูใหญ่ ล่วงผ่านประตูชั้นในจนมาถึงโถงแห่งหนึ่งที่ลานข้างเรือนใหญ่ เว่ยเหยี่ยนจึงสั่งการให้จุดเทียนสว่างไสว ไม่ช้าข้ารับใช้ก็จัดอาหารชั้นเลิศเต็มโต๊ะและประคองยกสุราเข้ามา เว่ยเหยี่ยนรินสุราเต็มจอกให้เว่ยเซ่าด้วยตนเองก่อนกล่าว “ยึดเมืองสืออี้ได้ มณฑลปิงโจวก็เป็นเช่นเรือนที่เปิดประตูอ้ากว้าง การรุกคืบสู่ตะวันตกกลืนกินเมืองจิ้นหยางย่อมนับวันรอได้เลย ช่างน่ายินดีน่าเฉลิมฉลอง! ข้าคารวะจ้งหลินหนึ่งจอก!”
“โยวโจวคือรากฐานของสกุลเว่ย ที่ผ่านมาแข็งแกร่งประดุจหลอมสร้างด้วยโลหะ ความชอบของพี่ชายอยู่เหนือกว่าข้าเสียอีก ข้าขอคารวะพี่ชายเช่นกัน!”
ชายหนุ่มทั้งสองนั่งประจำที่ ต่างดื่มกันคนละหนึ่งจอก เห็นญาติผู้น้องหมุนจอกสุราในมือสูดดมกลิ่น เว่ยเหยี่ยนจึงยิ้มถาม “เป็นอย่างไร รู้แล้วกระมังว่าเหตุใดข้าถึงเชิญเจ้ามาที่เรือน มีคำกล่าวว่าไว้แต่โบราณ สุราแคว้นจ้าวแรง สุราแคว้นเยียนนุ่ม สุราแคว้นฉินฝาด พักก่อนข้าได้บ่าวที่ดูแลสุรามาคนหนึ่ง บรรพชนเคยเป็นผู้บ่มสุราในวังแคว้นจ้าว สุราที่บ่มออกมาเข้มข้นหาได้ยาก มีของดีอยู่เช่นนี้ ข้าจะดื่มด่ำตามลำพังได้อย่างไร ต้องเชิญน้องรองมาร่วมดื่มเป็นธรรมดา” เขารินเติมอีกจอกก่อนยิ้มกล่าวต่อ “มียอดสุรา ไหนเลยจะขาดหญิงงามได้” เขาพูดจบก็ปรบมือ เครื่องดนตรีหลังม่านมุกเริ่มเป่าบรรเลง เสียงสูงต่ำเปลี่ยนสลับระรื่นหู หญิงงามในอาภรณ์หลากสีแถวหนึ่งเดินเรียงลำดับกันออกมา ก่อนจะหมุนกายร่ายรำตามเสียงดนตรี ทั้งหมดคือหญิงขายศิลปะที่เว่ยเหยี่ยนเลี้ยงเอาไว้ ท่วงท่าอ่อนช้อยพลิ้วไหวประดุจเซียน
เว่ยเหยี่ยนแสดงท่าทีให้สตรีที่โฉมงามกว่าใครมาดื่มสุราเป็นเพื่อนเว่ยเซ่า ทว่าเว่ยเซ่ากลับสะบัดมือสั่งห้ามไม่ให้เข้ามาใกล้
เว่ยเหยี่ยนตะลึงชั่วอึดใจก่อนหัวเราะร่วนเอ่ยหยอกเย้า “จ้งหลินยังคงเป็นเช่นกาลก่อนไม่มีผิด จิตกระจ่างตัดกิเลส ละซึ่งนารีดุจละซึ่งความชั่ว! ไม่ถูกสิ บัดนี้น่าจะเป็นเพราะในเรือนมีภรรยาคนงามอยู่แล้ว บุปผาดาษดื่นเช่นนี้จะเข้าตาจ้งหลินได้อย่างไรเล่า!”
เว่ยเซ่าคลี่ยิ้มไม่เอ่ยแก้ต่าง เพียงยกป้านสุรารินใส่จอกที่อยู่เบื้องหน้าด้วยตนเอง
“แล้วกันไปเถิด มาเยือนเรือนข้าทั้งที เจ้าก็คือแขก ในเมื่อแขกไม่ชอบก็ถอยไปให้หมด จะได้ไม่มาอยู่ใกล้ๆ รบกวนพวกเราพี่น้องสนทนา!”
เว่ยเหยี่ยนโบกมือ พ่อบ้านซึ่งคอยรับใช้อยู่ข้างโต๊ะรีบแสดงท่าทีให้นักดนตรีหยุดบรรเลงเครื่องดนตรี เหล่านางรำก็ถอยออกไปอย่างรวดเร็วเฉกเช่นตอนเข้ามา ทั้งสองดื่มไปสองสามจอก เว่ยเหยี่ยนก็ถามถึงเรื่องการป้องกันเมืองสืออี้ เอ่ยเตือนให้เตรียมป้องกันการโต้กลับของเฉินเสียงแห่งปิงโจว
เว่ยเซ่ากล่าว “ยามนี้มีท่านกงซุนช่วยข้ารักษาเมืองชั่วคราวอยู่ น่าจะไม่มีปัญหาใหญ่อะไร เรื่องเดียวที่น่าปวดหัวก็คือเฉินพังไม่ยอมสวามิภักดิ์ข้า เฉินพังปกครองเมืองสืออี้มาช้านาน ครองใจราษฎรไม่น้อย หากเขาไม่สวามิภักดิ์ เกรงว่าชาวเมืองสืออี้คงมีใจเอนเอียงไปทางปิงโจว”
เว่ยเหยี่ยนเอ่ย “เฉินพังสวามิภักดิ์ย่อมดีที่สุด แต่หากไม่สวามิภักดิ์จริงๆ ฆ่ามันทิ้งเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูสิ ทำเช่นนี้ถึงจะเป็นทางแก้ ขืนเก็บไว้นานวันเข้าก็กลับจะกลายเป็นเภทภัย หากไม่ดื่มสุราคารวะก็ต้องดื่มสุราจับกรอก! ใช้พระเดชควบคู่กับพระคุณถึงเป็นวิถีแห่งการทหาร”
เว่ยเซ่าตอบ “ข้าเองก็คิดจะทำเช่นนี้ แต่ท่านกงซุนแนะให้ข้าอดใจรออีกสักหน่อย ปล่อยไปก่อนชั่วคราว แล้วอีกสักพักข้าค่อยไปดูใหม่”
เว่ยเหยี่ยนกล่าว “รู้หรือไม่เหตุใดตอนเป็นเด็กหนุ่มเจ้าถึงได้สมญานามว่าจอมอหังการน้อย ก็เพราะเจ้ามีนิสัยแข็งกร้าว มีความคิดเห็นเป็นของตัวเองสูง ทั้งไม่สนว่าใครจะว่าอย่างไร หากเป็นเมื่อหลายปีก่อน เกรงว่าเฉินพังสิบคนก็คงศีรษะหลุดจากบ่าหมดแล้ว นี่ถ้าข้าเดาไม่ผิด คงเป็นเพราะตัวเจ้าเองก็ยังไม่อยากฆ่าเฉินพังกระมัง ถึงยังได้เก็บชีวิตเขาไว้ หากเจ้ามีใจคิดสังหารจริง ต่อให้กงซุนหยางโน้มน้าวอย่างไรก็คงไร้ผล ข้าว่าเดี๋ยวนี้นิสัยของเจ้าอ่อนลงกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย”
เว่ยเซ่าคลี่ยิ้ม “อย่าเอ่ยถึงเรื่องในอดีตอยู่เลย พวกเราพี่น้องไม่ได้พบกันตั้งนาน ดื่มสุราต่างหากถึงจะเป็นเรื่องหลัก” เขาพูดพลางรินสุราให้ญาติผู้พี่หนึ่งจอก
เว่ยเหยี่ยนแย้มยิ้มพลางยกจอกสุรามาสูดดมใกล้ปลายจมูก เบื้องหน้าสายตาก็ผุดภาพเมื่อช่วงบ่ายยามแรกพบสาวน้อยผู้นั้นในร้านเข้ากรอบ
แม้โฉมสะคราญเพียงกวาดตามองมาแค่แวบเดียว ทว่ายามนั้นกลับสะกดให้เขาตกตะลึงในความงามได้อย่างแท้จริง ความงามในรูปโฉมของนางเขาไม่เคยพบพานมาก่อนในชีวิตนี้ ทรวดทรงองค์เอวแม้ยังไม่งามเท่าสตรีเจริญวัย แต่ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา มองปราดเดียวก็รู้ว่านางมีข้อดีในจุดอื่น ท่วงท่าอันงามตรึงใจที่ผสานทั้งความบริสุทธิ์ผุดผ่องของดรุณีน้อยกับเสน่ห์ของสาวแรกออกเรือนได้จู่โจมเข้าสู่ก้นบึ้งดวงตาของเขาอย่างถนัดถนี่
เห็นสาวน้อยที่ไม่รู้เป็นสะใภ้สกุลใดผู้นั้นราวกับรังเกียจที่ตนพิศมองนางเช่นนั้นจึงหมุนกายหันแผ่นหลังให้ ทว่านางกลับไม่รู้เลยสักนิดว่าคอเสื้อกับเรือนผมดำขลับที่มุ่นมวยต่ำล้วนไม่อาจซุกซ่อนลำคอระหงที่ยังคงกึ่งซ่อนเร้นกึ่งเปิดเผยต่อสายตาของผู้อื่น ขาวเนียนวาวประดุจหยกมันแพะ ปลุกให้จินตนาการยิ่งเตลิดไปไกล ยามนั้นชายหนุ่มใจเต้นอารมณ์หวั่นไหว อย่าว่าแต่กรอบลายไหมชาดตัดทองเลย แม้ให้เขาเก็บดวงดาวแก่นางเพื่อจะได้ยลโฉมสะคราญแย้มยิ้ม เขาก็จะคิดหาทุกวิถีทางนำมาให้นางให้จงได้
ก่อนหน้านี้เขาเคยแต่งภรรยาตามการจัดการของสวีฮูหยิน แต่ไม่ถึงสองปีภรรยาก็ล้มป่วยเสียชีวิต หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้แต่งภรรยาใหม่จวบจนบัดนี้ ทว่าเขาแตกต่างจากเว่ยเซ่า เขาไม่เคยกดข่มแรงปรารถนา ข้างกายมีสตรีไม่เคยขาด แต่ถึงแม้ไม่ขาดแคลนสตรี พวกนางก็ไม่เคยเข้ามาอยู่ในหัวใจ หญิงที่พอข้ามคืนผ่านไปแล้วเขาจดจำหน้าตาไม่ได้ใช่ว่าจะไม่มี
ผิดกับสาวน้อยท่าทางเพิ่งแต่งงานได้ไม่นานที่เขาพบพานในวันนี้ นางถึงขั้นทำให้เขาจิตใจฟุ้งซ่านได้เพียงนั้น เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยประสบมาก่อนเลยจริงๆ
ด้วยฐานะของเขา ไม่ว่าจะต้องการสตรีเช่นไรล้วนย่อมได้ทั้งสิ้น ต่อให้เป็นหญิงมีสามีในตระกูลขุนนางใหญ่ที่เมืองหลวงลั่วหยาง หากว่าเขาถูกตาต้องใจจริงก็ใช่ว่าไม่อาจคว้ามาอยู่ในมือ แต่นึกไม่ถึงว่าหลังจากสะกดรอยตามรถม้าของนางไป ประตูที่เห็นนางเข้าไปในตอนท้ายจะเป็นประตูจวนสกุลเว่ยบานนั้น
“พี่ชาย ระหว่างทางที่ข้ารับท่านย่ากลับมา ท่านย่าเอ่ยถึงท่านอยู่หลายหน บอกว่าตอนนี้ท่านตัวคนเดียว ข้างกายไม่มีกระทั่งคนดูแลความเป็นอยู่ ซ้ำไม่ยอมย้ายกลับมาอยู่ที่จวน ท่านย่าจึงไม่ค่อยวางใจ เหตุที่ท่านไม่ยอมกลับมาคงเพราะท่านแม่ของข้ากระมัง”
จูซื่อไม่ชอบเว่ยเหยี่ยน เมื่อก่อนตอนยังอยู่ร่วมกัน แม้ไม่ถึงขั้นราวีกลั่นแกล้ง แต่ก็ดูเหมือนระแวงระวังไปเสียทุกอย่าง เว่ยเหยี่ยนสัมผัสได้จึงย้ายออกมาอยู่ตามลำพังตั้งแต่อายุสิบเจ็ดสิบแปดจวบจนบัดนี้
ขณะที่เว่ยเหยี่ยนเหม่อลอยเล็กน้อยก็ได้ยินเว่ยเซ่าเอ่ยขึ้นเช่นนี้ เขาจึงดึงสติกลับมายิ้มตอบ “เกี่ยวอันใดกับท่านป้าเล่า ข้าทำตัวแปลกแยกจนเคยชินเองต่างหาก แค่ไม่อยากถูกผูกมัดอยู่ใต้สายตาท่านยายก็เท่านั้น” เขาพลันฉุกคิดอะไรได้จึงเอ่ยเสริม “คราวนี้หากท่านยายจะเอ่ยเรื่องคู่ครองอันใดนั่นกับข้าอีก เจ้ารู้เรื่องเมื่อใดก็ต้องมาบอกข้าด้วย ข้าจะได้รีบกลับเมืองไต้”
เว่ยเซ่าเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ก็ท่านย่าเป็นห่วงนี่นา”
เว่ยเหยี่ยนยิ้มเย้า “หากจัดการแต่งงานเช่นเดียวกับของน้องชายให้ข้า ข้าก็คงยอมรับไปแล้ว”
เดิมทีเว่ยเซ่ากำลังรินสุรา เมื่อได้ยินเช่นนี้มือที่ถือป้านสุราจึงชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองญาติผู้พี่
เว่ยเหยี่ยนย่อมรู้ตัวว่าพลั้งปากออกไปจึงรีบยิ้มเอ่ยกลบเกลื่อน “น้องสะใภ้เลอโฉมหายากยิ่งในแผ่นดิน จ้งหลินมีวาสนาไม่น้อยที่ได้ทั้งโฉมสะคราญได้ทั้งเหยี่ยนโจว การแต่งงานที่ท่านยายจัดให้ครั้งนี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
เว่ยเซ่าคลี่ยิ้มก่อนรินสุราจนเต็มจอก เขาชูขึ้นคารวะเว่ยเหยี่ยนก่อนดื่มช้าๆ
เว่ยเซ่ากลับมาในช่วงหลังของยามไฮ่ เขาเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าที่ล่องลอยเล็กน้อย ขณะก้าวข้ามธรณีประตูบานที่ถูกตนฟันกรอบเสียหายและเพิ่งซ่อมแซมเสร็จเมื่อไม่กี่วันก่อน จู่ๆ ฤทธิ์สุราก็ประดังขึ้นมาระลอกหนึ่งจนเขาต้องหยุดพัก ยกมือยันประตูทรงกาย
สองปีที่ผ่านมาเสี่ยวเฉียวเคยชินแล้วที่จะเข้านอนเร็ว เพราะนอกจากเข้านอนเร็วก็ไม่มีเรื่องอื่นใดให้ทำแล้วจริงๆ เว้นเสียแต่มีเรื่องในใจจนนอนไม่หลับเท่านั้น หาไม่ในยามนี้นางคงเข้าสู่ห้วงนิทราไปนานแล้ว ในที่สุดเมื่อครู่สาวน้อยก็รอไม่ไหวขึ้นมาบนเตียงก่อน เอนพิงอยู่บนนั้นภายในห้องอันเงียบสงัด ขณะที่นางกำลังสะลึมสะลือมากขึ้นตามลำดับ นางก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเคลื่อนไหวของเว่ยเซ่าที่กลับเข้ามา เสี่ยวเฉียวรีบคลุมเสื้อลงจากเตียงไปต้อนรับ ก่อนจะเห็นเขาชะงักอยู่ตรงประตู กลิ่นสุราทั้งร่างโชยมาปะทะจมูก นางรู้ว่าเขาเมามายแล้วจึงเรียกหญิงรับใช้อาวุโสให้พยุงเขาเข้ามา
หญิงรับใช้อาวุโสสองสามคนที่อยู่นอกประตูรีบรุดมากระหนาบซ้ายขวาหมายประคองนายท่านทันที
เว่ยเซ่าช้อนตาขึ้นจับจ้องเสี่ยวเฉียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าแต่ไม่ได้เข้ามาใกล้นัก เขาเห็นว่านางมองตนอยู่เช่นกัน อีกทั้งยังเผยแววห่วงใยเกลื่อนดวงหน้า คงเพราะสุราที่ดื่มคืนนี้แรงกว่าปกติจริงๆ ชายหนุ่มพลันรู้สึกแน่นหน้าอก ฤทธิ์สุราอีกระลอกพลันปะทุออกมาอย่างไม่อาจยับยั้ง เขาสลัดหญิงรับใช้ที่เข้ามาใกล้หมายประคองแขนตนออกไปในคราวเดียว ก่อนยกเท้าข้ามธรณีประตูเข้ามาเองแล้วเดินมุ่งสู่ด้านใน
เพิ่งอยู่ร่วมห้องกับเว่ยเซ่าไม่ถึงสองวัน เสี่ยวเฉียวก็สังเกตเห็นว่าท่าทางเขาจะใส่ใจเรื่องความสะอาดเป็นระเบียบมากทีเดียว แม้ปกติจะสวมชุดสีดำเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังแผ่กลิ่นอายของความพิถีพิถันออกมาได้อย่างชัดเจน ข้ารับใช้ในเรือนประจิมที่ปรนนิบัติเขามานานยิ่งรู้ดีว่านายท่านเคยชินที่จะแช่ร่างผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวัน หวังเอ่าผู้นั้นไม่อยู่ที่เรือนประจิมแล้ว เมื่อครู่หญิงรับใช้อาวุโสแซ่หลินที่เลื่อนขึ้นมาแทนพอเห็นเขากลับมาก็รีบสั่งบ่าวให้ยกน้ำอาบเข้าห้อง ไม่ช้าก็เตรียมการเรียบร้อย
หลินเอ่ายังรู้อีกว่ายามที่นายท่านชำระกายจะไม่ชอบให้มีคนคอยอยู่ด้านข้าง เมื่อเตรียมน้ำอาบเสร็จแล้วจึงนำบ่าวออกไปรอด้านนอก อีกครู่ค่อยกลับมาจัดเก็บของ
“น้ำอาบเตรียมพร้อมแล้ว ท่านพี่จะไปชำระกายหรือไม่”
เสี่ยวเฉียวเอ่ยถามเขา
เว่ยเซ่าทำราวกับไม่ได้ยิน ยืนหันหลังให้เสี่ยวเฉียวพลางปลดกระบี่ เขากดกระบี่ลงบนโต๊ะเสียงดังปึง แล้วหมุนกายเดินไปยังห้องอาบน้ำ
เสี่ยวเฉียวรู้เช่นกันว่ายามที่เขาชำระกายไม่ต้องมีใครปรนนิบัติ ยิ่งไม่ต้องให้นางคอยดูแล เห็นเขาคลายสาบเสื้อพลางเดินเข้าไปด้านใน จนกระทั่งเงาร่างหายลับไปหลังประตูห้องอาบน้ำแล้ว นางก็กระดากใจที่จะปีนกลับขึ้นเตียงไปนอนต่อจึงได้แต่นั่งคอยเขา
รอคอยอยู่สักพัก เสียงน้ำซ่าๆ ซึ่งแรกเริ่มยังได้ยินมาจากด้านในก็ค่อยๆ เงียบหาย ก่อนที่จะไม่มีเสียงเคลื่อนไหวใดๆ อีก
เสี่ยวเฉียวลังเลเล็กน้อย นางรู้สึกชอบกลอยู่บ้าง ในที่สุดจึงยืนขึ้น กลั้นหายใจแล้วย่องไปใกล้ห้องอาบน้ำอย่างเบามือเบาเท้า แหวกม่านตรงมุมเป็นช่องเล็กๆ เหลือบมองด้านในอย่างรวดเร็ว
เว่ยเซ่านั่งพิงอยู่ในถังอาบน้ำ สองแขนซ้ายขวาแยกวางอยู่บนขอบถัง ศีรษะหงายไปด้านหลังเล็กน้อย หลับตาพริ้ม
ที่แท้หลับไปแล้วนี่เอง
สำหรับบุรุษผู้นี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เสี่ยวเฉียวจะมีความรู้สึกดีอันใดด้วยได้ ทว่ายามนี้นางก็ไม่ได้หวังให้เขาหลับสนิทจนไถลจมน้ำไปในลักษณะเช่นนี้ สาวน้อยลังเลชั่วอึดใจแล้วเรียกเขาคำหนึ่ง “ท่านพี่”
ดูเหมือนเขาจะหลับลึกยิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด
เสี่ยวเฉียวเพิ่มระดับเสียงขึ้นอีก แต่เขาก็ยังคงไม่ตอบสนอง
นางจึงเดินเข้ามาหยิบกระบวยไม้อันหนึ่งที่ใช้ในการอาบน้ำแล้วยื่นไปจิ้มแขนเขาหนึ่งทีก่อนเอ่ยเรียกซ้ำ “ท่านพี่”
คราวนี้เว่ยเซ่ามีอาการตอบสนองเสียที เปลือกตาของเขาขยับเล็กน้อยก่อนลืมตาขึ้นช้าๆ
ฤทธิ์สุราอันเข้มข้นยังคงฉายชัดอยู่บนดวงหน้า หยดน้ำที่เกาะพราวอยู่จำนวนหนึ่งทำให้สีน้ำหมึกของคิ้วคมยิ่งลึกล้ำ เป็นเพราะศีรษะหงายไปด้านหลังเล็กน้อย ลูกกระเดือกของชายหนุ่มจึงยิ่งนูนเด่น บ่ากว้าง สองแขน รวมไปถึงแผงอกส่วนที่เผยอยู่เหนือผิวน้ำล้วนอวดเค้าโครงของมัดกล้าม น้ำทอประกายสีทองแดงอุ่นตาท่ามกลางแสงเทียน
ทันทีที่เขาลืมตา เสี่ยวเฉียวก็เบนสายตาไปทางอื่น เปลี่ยนไปจับจ้องผ้าเช็ดตัวที่วางพาดอยู่บนขอบถังข้างกายเขาพร้อมเอ่ยชี้แจง “เมื่อครู่ท่านหลับไป”
เว่ยเซ่าพริ้มตายกมือนวดคลึงหน้าผาก ท่าทางคล้ายปวดศีรษะอยู่บ้าง ไม่ช้าเขาก็ขยับไหล่ ค่อยๆ นั่งยืดกายตรงพลางลืมตาขึ้นมองนาง
เสี่ยวเฉียวหมุนกายเดินออกไปด้านนอกทันที
เสียงน้ำจำนวนมากดังซ่าขึ้นที่เบื้องหลัง ดูเหมือนเขาจะลุกขึ้นยืนแล้ว
สาวน้อยจึงยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
“เสื้อผ้าของข้า ส่งมาให้ที”
สุ้มเสียงของเขาที่ดังตามหลังมาแหบพร่านิดๆ
เสี่ยวเฉียวจำใจชะงักฝีเท้า ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าของเขาจากบนชั้นวางชุดสะอาดเดินกลับมายื่นส่งให้
ชายหนุ่มออกมาจากถังอาบน้ำแล้ว ร่างกายท่อนล่างพันคร่าวๆ ด้วยผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่นั้น เขารับเสื้อผ้าจากนางมาสวมทับ ผูกเชือกเพียงลวกๆ แล้วปลดผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ร่วงลงพื้น ก่อนเดินเท้าเปล่าก้าวออกมาเบื้องนอก
ไม่รู้ว่าเขาไปดื่มสุราเมื่อตอนค่ำมาเท่าใดกันแน่ ถึงได้มีสภาพเมามายมิใช่เบาเช่นนี้ แสงไฟในห้องอาบน้ำสลัวราง ซ้ำยังมีไอน้ำปกคลุม ทำให้ยามที่เขาหมุนกายถึงกับไม่ทันสังเกตเห็นชั้นวางอ่างน้ำที่อยู่ด้านข้าง เสี่ยวเฉียวจึงเห็นเขาชนเข้าไปตรงๆ ชัดเต็มสองตา
เนื่องจากรูปร่างสูง หน้าผากของเขาจึงชนเข้ากับไม้ที่วางนอนแผ่นนั้นเสียงดังโป๊กก้องกังวาน
เนื้อไม้ของชั้นวางแข็งแรงทนทาน เว่ยเซ่าชนเข้าไปครานี้คงเจ็บไม่ใช่เล่น
เงาร่างของเขาชะงักกึก
“ซี้ด…” เสี่ยวเฉียวได้ยินเสียงเขาสูดปากเบาๆ ก่อนยกมือกุมหน้าผาก
แม้มองไม่เห็นสีหน้า แต่ก็สามารถจินตนาการได้ไม่ยาก
เสี่ยวเฉียวกลั้นไม่อยู่แล้วจริงๆ เสียงคิกจึงเล็ดลอดออกมา
แม้สุ้มเสียงแสนจะแผ่วและเบาเพียงใด กระทั่งต้นเสียงเพิ่งจะโพล่งขึ้นในส่วนลึกของลำคอเท่านั้นก็ถูกนางกดข่มกลับลงไปทันที ทว่าหูของเว่ยเซ่าในยามนี้ดูเหมือนจะเฉียบไวยิ่งนัก ศีรษะจึงหันขวับมาในพริบตา
คิ้วสองข้างของเขาขมวดมุ่นพร้อมขึงตาจ้องนาง
เสี่ยวเฉียวเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมจริงจังในฉับพลัน
มือของเขาที่กุมหน้าผากอยู่ลดลงช้าๆ
“ใครเอาชั้นไม้นี่มาวางไว้ตรงนี้” เสียงของเขาฟังดูไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
“เดิมทีก็วางไว้ตรงนี้อยู่แล้ว” เสี่ยวเฉียวตอบเสียงค่อย “แต่หากเกะกะขวางทาง ข้าก็จะให้พวกบ่าวมาเก็บไป” นางเอ่ยเสริมอีกประโยค
เว่ยเซ่าขึงตาจ้องนางซ้ำสอง
“ไม่ต้องแล้ว” เขาเอ่ยหนึ่งประโยคเสียงเยียบเย็นก่อนเดินอ้อมชั้นไม้ไป คราวนี้ก็ออกจากห้องอาบน้ำราบรื่นเสียที
เสี่ยวเฉียวขบริมฝีปากเดินตามออกมา นางเปิดประตูให้พวกหลินเอ่าเข้ามาเก็บกวาด พวกนางเก็บกวาดอย่างคล่องแคล่วเสร็จเรียบร้อยก็ออกไปจากห้อง
เสี่ยวเฉียวปิดประตู ก่อนจะหันกลับมาเห็นเขานอนอยู่บนเตียงหลับตาไปแล้ว
นางจึงตรงไปเป่าไฟตะเกียงที่อยู่ตรงหัวเตียง แล้วปีนขึ้นเตียงในความมืดอย่างระมัดระวัง ไม่ให้สัมผัสถูกเขาแม้เพียงน้อยนิด
สาวน้อยเพิ่งเอนนอนลงไป ไม่ทันไรก็ได้ยินเว่ยเซ่าเอ่ยขึ้น “ข้าคอแห้ง”
นี่ย่อมหมายความว่าต้องการให้ข้ายกน้ำมาให้เขาสินะ
ดังนั้นเสี่ยวเฉียวจึงคลานตัวไป เล็งตำแหน่งเหมาะๆ เพื่อไม่ให้สัมผัสถูกเขาขณะปีนลงจากเตียง นางจุดตะเกียงก่อนเดินไปรินน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะ ยกมาถึงหน้าเตียงยื่นส่งให้เขา
เว่ยเซ่าลุกขึ้นนั่งก่อนรับน้ำชามาดื่ม เสี่ยวเฉียวนำถ้วยเปล่าไปวางคืนบนโต๊ะ ดับตะเกียงอีกครั้งแล้วกลับขึ้นเตียงมาอย่างระมัดระวังตามเดิม
นางเพิ่งเอนกายลง ทว่ายังไม่ทันจัดท่านอนเสร็จดี ข้างหูก็ได้ยินเว่ยเซ่าเอ่ยขึ้นซ้ำสอง “ข้ายังคอแห้ง”
เสี่ยวเฉียวพลันนึกสงสัย แคลงใจว่าเพราะเมื่อครู่นางเผลอไปล่วงเกินเขาเป็นแน่ ตอนนี้เขาจึงจงใจใช้งานนางโดยเอาอาการเมามาบังหน้า
นี่ถ้าหากเป็นยุคที่นางจากมา นางเป็นได้เตะเขาลงจากเตียงในเท้าเดียวไปแล้ว ให้เขาไปดื่มเองเสียให้พอ
ทว่าอยู่ที่นี่ ภรรยาปรนนิบัติสามีกลับถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
เสี่ยวเฉียวจึงปีนกลับลงไป จุดตะเกียงน้ำมันสว่าง แล้วรินน้ำส่งมาถึงหน้าเตียงให้เขาอีกถ้วย
เว่ยเซ่าลืมตาขึ้น ลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า รับน้ำมาดื่ม
“ท่านพี่ยังต้องการดื่มอีกสักถ้วยหรือไม่” เสี่ยวเฉียวถามเขา
เว่ยเซ่ายื่นถ้วยคืนมา มองนางพร้อมหัวคิ้วที่เลิกขึ้นนิดๆ ก่อนจะนอนกลับลงไปโดยไม่เอ่ยตอบ
เสี่ยวเฉียวยืนอยู่ข้างเตียงอีกสักพัก เห็นคราวนี้ดูเหมือนเขาจะหลับได้เสียที นางจึงค่อยวางถ้วยชากลับเข้าที่ เป่าตะเกียงดับเป็นหนที่สาม แล้วปีนขึ้นเตียงมาช้าๆ
ก่อนเป่าตะเกียงดับ สาวน้อยมองตำแหน่งขาของเขาไว้อย่างดิบดีแล้ว ยามปีนขึ้นมาจึงคอยหลบอย่างระมัดระวัง ไม่คาดว่าเพิ่งจะปีนขึ้นมา ขาข้างหนึ่งของเขากลับงอขึ้น นางไม่ทันตั้งตัวจึงเสียหลักถลาลงมาทับสองขาของเขาไว้ใต้ร่างในคราวเดียว
เสี่ยวเฉียวรู้สึกได้ว่าใต้หน้าอกและท้องของตนแข็งโป๊ก ดูท่าจะหนุนอยู่บนสองเข่าของเขา นางสะดุ้งโหยงรีบใช้สองมือยันเตียงหมายคลานออกไป ไม่คาดว่าท่ามกลางความมืดมิดที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจนนั้น มือข้างหนึ่งจะกดลงไปบนต้นขาของเขาเสียได้ ยังไม่ทันหดมือกลับ นางก็รู้สึกได้ว่าเขาลุกพรวดขึ้นมานั่งแล้ว เงาดำไหววูบขึ้นตรงหน้า ร่างท่อนบนของเขาพลันโน้มลงมาหานาง
“เมื่อครู่น่าขันนัก…ใช่หรือไม่” เว่ยเซ่ากล่าวพร้อมกับที่กลิ่นสุราโชยมาปะทะจมูกเสี่ยวเฉียว นางได้ยินเสียงอันเย็นยะเยียบของเขาดังขึ้นที่ข้างหู
เสี่ยวเฉียวตระหนกวูบ โคนหูกับผิวกายบนลำคอถูกลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดทำให้ขนทุกเส้นลุกชันขึ้นทันที สาวน้อยรีบหงายตัวไปด้านหลัง พยายามหลบเลี่ยงร่างที่ทาบทับลงมา
“ท่านพี่เป็นอะไรไปหรือ ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด”
นางขานตอบ แท้จริงก็รู้สึกร้อนตัวอยู่บ้าง น้ำเสียงจึงฟังดูลอยๆ ไม่มีความหนักแน่นสักเท่าใดนัก
ดวงตาของนางค่อยๆ ปรับตัวกับความมืดได้มากขึ้น แม้จะยังมองเห็นไม่ชัดเจนนัก แต่ก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังจับจ้องนางอยู่
ชั่วครู่ให้หลัง ในที่สุดเว่ยเซ่าก็ค่อยๆ นั่งยืดกายตรง ดึงระยะห่างระหว่างทั้งสองออกไป
เสี่ยวเฉียวระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ตอนนี้ถึงพบว่ามือยังคงกดอยู่บนต้นขาข้างหนึ่งของเขา
กล้ามเนื้อต้นขาบริเวณนี้แน่นกระชับ ให้ความรู้สึกแข็งเช่นกล้ามเนื้อที่ไร้ไขมันส่วนเกิน เมื่อกางกั้นด้วยเนื้อผ้าบางเบาเพียงชั้นเดียวนี้ ไม่รู้เป็นฝ่ามือของตนหรือผิวกายของเขากันแน่ที่ร้อนผ่าวอยู่ตลอด สาวน้อยรีบหดมือกลับ ใช้ทั้งมือและเท้าคลานเข้าสู่ด้านใน ทว่าเพิ่งคลานพ้นขาของเขานางกลับขยับต่อไม่ได้เสียแล้ว ไม่รู้ไปทำอย่างไรเข้า ชายเสื้อมุมหนึ่งถึงถูกเท้าของเขาทับไว้ข้างใต้ได้
เสี่ยวเฉียวจึงลองกระตุกดู
ไม่รู้เป็นเพราะเขาจงใจหรือขาหนักจริงๆ ชายเสื้อของนางจึงไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
เสี่ยวเฉียวกระตุกซ้ำอีกหน
“ท่านพี่ ท่านทับชายเสื้อของข้าอยู่” นางเอ่ยเตือนเสียงเบา
เว่ยเซ่าพ่นลมออกจมูกดังฮึอย่างเย็นชา ค่อยยกขาขึ้นนิดๆ เสี่ยวเฉียวราวกับได้รับการปลดปล่อย นางรีบคลานเข้าไปเอนตัวลงนอนที่ด้านในสุดของเตียง อดไม่ได้ที่จะแอบบ่นอุบอยู่ในใจ
เนื่องจากแนวคิดที่ยกย่องชายเหนือหญิง โดยทั่วไปหนึ่งในคำสอนที่สตรีจะได้รับก่อนออกเรือนก็คือวันหน้าเมื่อสามีภรรยานอนร่วมเตียง ต้องยึดลำดับชายนอนด้านในหญิงนอนด้านนอก ส่วนบุรุษผู้นี้คงเพราะความเคยชิน นับแต่คืนแรกที่ทั้งสองอยู่ร่วมห้อง เขาก็นอนด้านนอกไม่ยอมขยับเข้าไปด้านใน ย่อมไม่เหมาะที่เสี่ยวเฉียวจะออกปากไล่ที่เขา ตนเองจึงต้องเข้าไปนอนด้านในแทน
นิสัยแย่ๆ ของเว่ยเซ่าช่างมีเยอะยิ่งนัก
นางชอบนอนด้านนอกมากกว่าจริงๆ ทั้งพื้นที่กว้างขวาง ขึ้นลงก็สะดวก
…
เว่ยเซ่ารู้สึกต้นขาผ่อนวูบ นางชักมือกลับไปแล้ว
บริเวณที่เคยถูกฝ่ามือของนางกดเอาไว้ดูเหมือนจะไม่ร้อนผ่าวเช่นนั้นอีก ทั้งยังเย็นลงอย่างรวดเร็ว
เขายังคงนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว หน้าผากตรงที่ชนถูกชั้นไม้เมื่อครู่ยังเจ็บแปลบมาจนถึงตอนนี้ ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้อาจเขียวช้ำก็เป็นได้
เมื่อครู่เขาก็ได้ยินนางหัวเราะชัดๆ
ย้อนไปก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเพิ่งกลับมากำลังจะก้าวเข้าประตู เนื่องจากดื่มสุราจนมึนเมาอยู่บ้างจริงๆ ฝีเท้าจึงไม่มั่นคง เขายืนตั้งสติอยู่หน้าประตูชั่วคราว ตอนนั้นเขาก็เห็นความห่วงใยเกลื่อนใบหน้าของนาง แม้ปากนางจะสั่งให้พวกบ่าวมาช่วยพยุงก็จริง แต่นางกลับยืนนิ่งเป็นสากอยู่เบื้องหน้าไม่เดินมา
คงนึกล่ะสิว่าเขามองไม่ออก ความห่วงใยบนใบหน้านางนั้นแสร้งทำออกมาชัดๆ
หากนางนึกห่วงใยเช่นนั้นจริงคงจะเดินมาช่วยพยุงสักหน่อยแล้ว กลัวว่ามือนางจะถูกเขาบิดหักหรืออย่างไร
บุรุษไม่แคล้วมักเป็นเช่นนี้ เมื่อแต่งภรรยาแล้วต่อให้ตนไม่ถูกใจเพียงใด จิตใต้สำนึกก็ยังคงเรียกร้องให้ภรรยายอมศิโรราบต่อตนทั้งใจอยู่ดี
เว่ยเซ่าก็คือบุรุษทั่วไปที่มีอยู่ดาษดื่นจำพวกนี้นี่เอง
หากเมื่อครู่เสี่ยวเฉียวเดินมาช่วยพยุงจริง ก็ไม่แน่ว่าเขาจะให้นางแตะต้อง ทว่ากลับเห็นนางไม่ขยับเขยื้อนเช่นนี้ ฉะนั้นนางต่างหากคือคนที่มีปัญหา
หากเขาเข้าใจไม่ผิด สกุลเฉียวต้องการทำดีกับเขา ถึงได้เป็นฝ่ายเสนอแต่งบุตรสาวมา
หรือว่าก่อนออกเรือนจะสั่งสอนให้นางมาปรนนิบัติกับเขาเช่นนี้
เว่ยเซ่าเพ่งมองเงาร่างอ้อนแอ้นที่อยู่ด้านในของเตียง
ยามนี้นางกระถดตัวไปอยู่ด้านในสุด นิ่งสนิทดุจแมวเชื่องตัวหนึ่ง จากศีรษะจรดปลายเท้าให้ความรู้สึกซื่อตรงสงบเสงี่ยม
ตอนนี้ในใจเว่ยเซ่าถึงค่อยรู้สึกโล่งสบายขึ้นเล็กน้อย เขายกมือลูบคลำหน้าผากของตนอีกครั้งก่อนหงายร่างลงบนเตียงดังเดิม
ยามที่ทิ้งตัวลง เขาพลันนึกถึงความรู้สึกในชั่วขณะที่นางถูกตนขัดขาถลาล้มลงมา
ด้านหน้าตรงนั้น…ดูเหมือนจะนุ่มไม่น้อยทีเดียว
เช้าวันรุ่งขึ้น…เว่ยเซ่าตื่นแล้ว
เมื่อคืนเขาดื่มหนักไปจริงๆ ถึงกับเมาค้างทั้งคืน จนบัดนี้แม้จะรู้สึกตัวแล้ว แต่ก็ยังคงปวดศีรษะอยู่เล็กน้อย
ทันทีที่ชายหนุ่มลืมตาก็มองเห็นใบหน้าดวงหนึ่ง สายตาของเขานิ่งชะงัก
งุนงงเพียงชั่วอึดใจสั้นๆ ก่อนที่สติเขาจะรับรู้อย่างรวดเร็ว
ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น พอนอนหลับตื่นมาถึงได้กลายเป็นนอนหันหน้าเข้าหาสตรีนางนี้ ซ้ำยังประชิดเข้าไปใกล้ยิ่ง ระยะห่างเหลือเพียงช่วงศอกเดียวเท่านั้น
แท้ที่จริงหากพูดให้ถูกมากขึ้นก็คือ…เขาเองเป็นฝ่ายพลิกตัวไปด้านใน ผลจึงกลายเป็นประชิดเข้าไปหานางเช่นนี้
สาวน้อยยังคงหลับลึกยิ่ง เรือนผมยาวยุ่งนิดๆ ปรกระลำคอข้างหนึ่ง มีผมอยู่สองสามเส้นยังแนบติดบนริมฝีปากจิ้มลิ้ม ดวงหน้ายามหลับใหลเป็นสีแดงปลั่ง แพขนตาม้วนงอนแลดูน่าเอ็นดูชวนมอง
สายตาของเว่ยเซ่ารั้งอยู่บนดวงหน้าของนางครู่หนึ่ง เรียกว่าเป็นสัญชาตญาณของบุรุษเกือบทุกคนก็ว่าได้ สายตาของเขาย่อมเคลื่อนลงสู่เบื้องล่าง ก่อนจะหยุดมองตรงสาบเสื้อของนางที่ยามนี้คลายออกเล็กน้อย
แม้เพิ่งอยู่ร่วมห้องกันไม่กี่คืน ทว่าเว่ยเซ่าก็สังเกตเห็นแต่แรกแล้ว ยามที่เข้านอนสาบเสื้อของนางจะทบมิดชิดเสมอ ทำราวกับตนจะทำอะไรนางเสียอย่างนั้น
เขารู้สึกขบขันอยู่บ้างกับการกระทำอันไร้เดียงสาเช่นนี้ของนาง
แต่ในเมื่อยามนี้สาบเสื้อของนางคลายออกเอง เขาหยุดแวะมองสักหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร
เพราะความคิดเช่นนี้เอง ในใจเว่ยเซ่าจึงผุดความรู้สึกสุขใจเล็กๆ ที่คล้ายการได้เอาคืนอย่างหนึ่งขึ้น
ขณะพิศมองบริเวณหลายชุ่นใต้กระดูกไหปลาร้าอันงามล้ำเลิศซึ่งเผยออกมาจากสาบเสื้อนั้น ช่วงล่างของเขาก็ค่อยๆ ขยายตัวจนเริ่มอึดอัดจนอยากหาทางผ่อนคลาย
ทันใดนั้นขนตางอนของเสี่ยวเฉียวก็ขยับนิดๆ
เว่ยเซ่ารีบถอนสายตากลับมา แล้วพลิกกายไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
เมื่อเสี่ยวเฉียวลืมตาขึ้นจึงเห็นเว่ยเซ่าที่ยังคงนอนหันหลังให้ตนอยู่ นางขยี้ตา พอทอดตามองไปยังหน้าต่างนอกม่านมุ้ง ความคิดของนางก็ชัดเจนในทันที
ข้าตื่นสาย! นอนเลยเวลาไปมากแล้ว! ทั้งฟ้าก็สว่างเต็มที่แล้วด้วย!
ถึงป่านนี้ค่อยไปคารวะยามเช้าที่เรือนของสวีฮูหยิน รับรองว่าต้องสายโด่งแน่!
นางอยากสร้างความประทับใจที่ดีต่อหน้าท่านย่าของเว่ยเซ่าให้มากที่สุด ต่อให้เดิมทีจะไม่เคยมีความคิดนี้ แต่หลังจากได้พบสวีฮูหยินเมื่อวาน ความคิดนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ไกลเกินเอื้อมเช่นนั้นแล้ว
ทว่านางกลับอับโชคได้ถึงเพียงนี้ ทั้งที่สวีฮูหยินเพิ่งกลับมาเมื่อวาน เช้าวันรุ่งขึ้นตนก็ดันหลับเพลินจนเป็นหมูไปเสียได้!
นางนอนตื่นสายก็ช่างเถิด แต่เหตุใดชุนเหนียงจึงไม่มาเคาะประตูเตือนกันบ้าง ทุกคนในเรือนประจิมหลับเป็นตายกันหมดแล้วหรือ…
เสี่ยวเฉียวอยากร้องไห้ทว่ากลับไร้น้ำตา นางลุกพรวดจากเตียงขึ้นนั่งทันทีราวกับถูกขดลวดดีด
เว่ยเซ่าลืมตาหันหน้ามา เขาขมวดคิ้วมองนางก้าวข้ามขาของตนในคราวเดียวด้วยอาการมือเท้าปั่นป่วน “นี่เจ้าเป็นอะไรของเจ้า ยังเช้าอยู่แท้ๆ ข้างหลังมีสุนัขป่าไล่กวดเจ้าอยู่หรือ”
“สายแล้ว! ตื่นสายแล้ว! ไปคารวะยามเช้าที่เรือนท่านย่าสายแน่แล้ว!”
เสี่ยวเฉียวไม่มัวพะวงกับเขาอีก ก้าวพรวดลงพื้นแล้วจึงหันมาพูดหน้าม่อย
ตอนนี้เว่ยเซ่าถึงพลิกตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า จัดสาบเสื้อของตนก่อนที่ริมฝีปากจะเผยยิ้มเยาะ “ต้องรีบถึงขั้นนี้เชียวหรือ ไปสายนิดหน่อยท่านย่าจะกินเจ้าหรืออย่างไร”
แน่สิ ก็ท่านไม่เป็นอะไรอยู่แล้วนี่!
เสี่ยวเฉียวพึมพำประโยคนี้ในใจ นึกโทษเขาอยู่บ้าง หากไม่ใช่เพราะเมื่อคืนเขากลับมาดึกเหลือเกิน ซ้ำก่อนนอนยังหาเรื่องเคี่ยวกรำนางอีกยก เช้านี้นางคงไม่ถึงขั้นนอนเลยเวลาเช่นนี้หรอก
เสี่ยวเฉียวไม่แยแสเว่ยเซ่าอีก นางทบสาบเสื้อก่อนไปเปิดประตูอย่างรีบร้อน
ชุนเหนียงกับพวกหญิงรับใช้อาวุโสที่มีหน้าที่ปรนนิบัติเจ้านายล้างหน้าล้วนยืนรวมตัวอยู่บนระเบียงทางเดินด้านนอกอย่างที่ควรจะเป็น ชุนเหนียงรีบเอ่ยเสียงเบาทันทีที่เห็นเสี่ยวเฉียว “นายหญิงไม่ต้องร้อนใจไปเจ้าค่ะ เมื่อครู่ทางฮูหยินผู้เฒ่าให้คนนำคำพูดมาแจ้งว่ารู้เรื่องที่เมื่อคืนนายท่านดื่มสุรากลับมาจนดึกแล้ว ให้ทั้งสองท่านไม่ต้องตื่นเช้าไปคารวะ บ่าวจึงไม่ได้เคาะประตูเรียกเจ้าค่ะ”
ตอนนี้เสี่ยวเฉียวถึงเบาใจลงเล็กน้อย ให้พวกนางเข้ามาปรนนิบัติล้างหน้าหวีผม
เว่ยเซ่าราวจงใจเป็นปรปักษ์กับนาง ท่าทางของเขาจึงชักช้าอย่างไร้เหตุผล นางเป็นสตรียังแต่งตัวเสร็จแล้ว แต่เขากลับยังคงสวมเสื้อนอกอยู่ตรงนั้น แค่สายคาดเอวเส้นเดียวก็ต้องรัดอยู่นานสองนาน ทำเอาเสี่ยวเฉียวที่มองดูอยู่อีกด้านไฟลุกออกจากสองตา แค้นใจจนแทบอยากตรงไปตบหน้าเขาสักฉาดหนึ่ง กว่าจะแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็มิใช่ง่ายเลย นี่เขายังกินอาหารเช้าที่ยกเข้ามาอีกหลายคำถึงค่อยเหลือบมองเสี่ยวเฉียว แล้วเอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ไปสิ”
เสี่ยวเฉียวเดินตามเขาออกไป
Comments
comments