X
    Categories: ทดลองอ่านปรปักษ์จำนนมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 4

ตอนที่แปด

 

ตอนนี้เลยเวลาคารวะยามเช้าตามปกติไปเกือบครึ่งชั่วยามเต็มๆ ดวงตะวันลอยขึ้นจนถึงสันหลังคาของเรือนอุดรแล้ว ทั้งสองมาถึงเรือนอุดรภายใต้สายตาจับจ้องของข้ารับใช้ตลอดรายทาง สวีฮูหยินไม่ได้อยู่ที่โถงใหญ่ห้องเดียวกับเมื่อวาน หากแต่อยู่ในห้องนั่งเล่นที่นางใช้ทำกิจวัตรยามปกติ ด้านในยังมีคนอยู่อีกไม่น้อย นอกจากจูซื่อและเจิ้งซูแล้ว กระทั่งเว่ยเหยี่ยนก็อยู่ที่นี่ด้วย เขาดูคึกคักกระปรี้กระเปร่าขณะสนทนาสรวลเสเป็นเพื่อนอยู่ข้างกายสวีฮูหยิน พอได้ยินบ่าวรายงานว่าเว่ยเซ่ากับเสี่ยวเฉียวมาถึงจึงหยุดคุยแล้วหันหน้ามา

ไม่เพียงแต่เขาคนเดียว สายตาของคนในห้องที่เหลือล้วนพร้อมใจกันกวาดมองมาด้วยสีหน้าที่ต่างกันไป

เว่ยเซ่าเดินเข้ามาพร้อมสีหน้าอันปลอดโปร่ง เสี่ยวเฉียวหลุบตาคอยเดินตามมา ก่อนจะหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าสวีฮูหยิน

นางสัมผัสได้ถึงสายตาของจูซื่อที่จับจ้องตนเขม็งมาจากด้านข้าง ช่างชวนให้คนอึดอัดคับข้องเสียจริง

“ท่านย่าที่เคารพ โปรดรับการคารวะจากหลานสะใภ้” เสี่ยวเฉียวคำนับ “หลานสะใภ้เสียมารยาทจริงๆ วันรุ่งขึ้นหลังท่านย่ากลับจวนก็เกียจคร้านบกพร่องถึงเพียงนี้แล้ว ขอท่านย่าได้โปรดลงโทษ ครั้งหน้าหลานสะใภ้ไม่กล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอก” สวีฮูหยินเป็นกันเองอย่างเห็นได้ชัด “ย่าเป็นคนสั่งพวกบ่าวว่าไม่ต้องกวนพวกเจ้าเอง แล้วนี่กินอาหารกันมาหรือยัง หากยังไม่ได้กิน ที่นี่มีน้ำแกงข้นรอบเช้าที่ยังร้อนอยู่ พวกเจ้าสองคนไปกินได้เลย”

“กินก่อนมาแล้วขอรับ หลานขอบคุณที่ท่านย่ารักเอ็นดู เข้าใจและให้อภัยที่เมื่อคืนหลานกลับดึก คราวหน้าหลานไม่กล้าอีกแล้ว” เว่ยเซ่าเอ่ยปนยิ้ม

เว่ยเหยี่ยนหัวเราะร่วน “ต้องโทษหลานคนเดียว เมื่อคืนบังคับให้จ้งหลินอยู่ดื่มสุราด้วยกันตั้งนานกว่าจะปล่อยเขาไป เกรงว่าขากลับเขาคงจำทางไม่ได้ด้วยซ้ำ เช้านี้ยังตื่นมาได้ เห็นชัดว่าได้น้องสะใภ้ดูแลเป็นอย่างดี หากท่านยายจะตำหนิก็ตำหนิหลานเถอะ”

แม้เสี่ยวเฉียวจะไม่ได้ช้อนตาขึ้น แต่ก็สัมผัสได้ว่าขณะที่เว่ยเหยี่ยนกล่าววาจา เขากวาดสายตามองมาที่นางปราดหนึ่ง

สวีฮูหยินคลี่ยิ้มกล่าว “พวกเจ้าพี่น้องไม่ได้พบกันเสียนาน นั่งดื่มสุราด้วยกันก็นับว่าสมควรอยู่แล้ว เพียงแต่คราวหน้าห้ามดื่มมากอีก จะได้ไม่เสียสุขภาพ”

เว่ยเหยี่ยนกับเว่ยเซ่าขานรับโดยพร้อมเพรียง สองพี่น้องอยู่เป็นเพื่อนสวีฮูหยิน สนทนากันเล็กน้อยเรื่องงานฉลองวันเกิดซึ่งจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน สวีฮูหยินบอกหลานทั้งสองว่าไม่ต้องฟุ่มเฟือย จัดแค่เป็นพิธีก็พอ จากนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายกล่าวขอตัว เว่ยเหยี่ยนกับเว่ยเซ่าจากไปพร้อมพ่อบ้าน ส่วนเสี่ยวเฉียวกลับเรือนประจิม

สวีฮูหยินรั้งจูซื่อไว้ ทั้งสั่งให้เจิ้งซูถอยออกไปก่อน ในห้องเหลือแค่เพียงแม่สามีกับลูกสะใภ้สองคน

จูซื่อนั่งคุกเข่าเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง เห็นผ่านไปเนิ่นนานแม่สามีก็ไม่เอ่ยปากเสียที เนื่องจากกลัวเกรงอีกฝ่ายมาครึ่งค่อนชีวิต ยามนี้ในใจจูซื่อจึงไม่สงบนัก หลังลังเลเล็กน้อยในที่สุดก็ยิ้มแล้วพูดหยั่งเชิง “อีกไม่กี่วันก็ถึงวันเกิดท่านแม่แล้ว หลายวันมานี้คนทั้งจวนล้วนยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน ที่เรือนของข้าก็ไม่ได้อยู่ว่าง ตัวคนแม้เร่งรีบ ทว่าหัวใจกลับเบิกบานยิ่งนัก”

สวีฮูหยินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “แค่เรื่องเล็กเรื่องเดียว หากทำตามเจตนาเดิมของข้าก็ไม่ต้องเตรียมงานกันเช่นนี้ ทว่าพวกเจ้ากลับไม่ฟัง ข้าจึงต้องปล่อยไปตามใจ ลับหลังจะได้ไม่ถูกตัดพ้อว่าไม่ยอมส่งเสริมใจกตัญญูของพวกเจ้า”

จูซื่อยิ้มประจบ “เอาที่ใดมาพูดเจ้าคะ นี่เป็นใจกตัญญูอันจริงแท้ของเหล่าผู้เยาว์ เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว”

ฮูหยินผู้เฒ่าผงกศีรษะ กวาดตามาทางจูซื่อแล้วเอ่ยเปลี่ยนประเด็น “ข้าจำได้ว่าบุตรสาวสกุลเจิ้งตอนนี้อายุสิบแปดสิบเก้าปีแล้วกระมัง หญิงสาวถึงวัยนี้หากยังไม่ออกเรือนอีก นานวันเข้าย่อมไม่ดี เจ้าก็พิจารณาดู หากมีครอบครัวที่เหมาะสมก็ตบแต่งนางไปเถิด”

จูซื่อตะลึงงัน

การแต่งงานในยุคนี้ วัยสมรสครั้งแรกของบุรุษส่วนใหญ่นั้นคือช่วงสิบสี่สิบห้าปีจนถึงสิบแปดสิบเก้าปี ส่วนสตรีคือช่วงสิบสามสิบสี่ปีถึงสิบหกสิบเจ็ดปี หญิงวัยสิบแปดสิบเก้าที่ยังไม่ออกเรือนเช่นเจิ้งฉู่อวี้ หากมิใช่มีสาเหตุอื่นเช่นเจ็บป่วย รูปโฉมอัปลักษณ์ หรือครอบครัวยากจนกระทั่งจัดหาสินเจ้าสาวไม่ไหวแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็พบเห็นได้น้อยเหลือเกิน

จูซื่อสูญเสียสามีกับบุตรชายคนโตไปตั้งแต่สิบปีก่อน ทายาทจึงเหลือเว่ยเซ่าเพียงคนเดียว นางย่อมทุ่มเทพลังใจทั้งหมดไปที่ตัวบุตรชายโทนคนนี้ เดิมทีหมายมั่นให้บุตรชายแต่งหลานสาวเป็นภรรยา ทว่าจนใจที่เจิ้งฉู่อวี้มีชาติกำเนิดไม่สูงพอ ด้วยรู้ดีว่าสวีฮูหยินไม่มีทางอนุญาตเด็ดขาด จูซื่อจึงถอยมาเรียกร้องลำดับรองลงไปแทน หวังที่จะให้บุตรชายรับเจิ้งฉู่อวี้เป็นอนุ เช่นนี้ไม่เพียงเกี่ยวดองได้ถึงสองชั้น ตนยังสามารถเก็บหลานสาวไว้ข้างกายตลอดไปได้อีกด้วย

ทว่าขณะที่เจิ้งฉู่อวี้อายุมากขึ้นทุกวัน เรื่องนี้กลับไม่มีความคืบหน้าเสียที ปีสองปีมานี้จูซื่อจึงยิ่งร้อนรนกระวนกระวาย อดไม่ได้ที่จะเร่งรัดเว่ยเซ่าหนักขึ้น กลับนึกไม่ถึงว่าบุตรชายจะไม่อ่อนข้อให้แม้แต่น้อย กลับมาคืนแรกก็ทำเรื่องเช่นนั้นออกมา ทำให้นางเสียหน้าอย่างมากต่อหน้าข้ารับใช้

จูซื่อไม่ตำหนิที่บุตรชายหักหน้าตน ทว่ากลับเลือกโยนความโกรธแค้นทั้งหมดไปที่หญิงสกุลเฉียว เดิมทีหลายวันที่ผ่านมาก็ยังหงุดหงิดไม่หาย เช้านี้ยังเห็นบุตรชายกับลูกสะใภ้ตัวดีชักช้าไม่มาเสียที ใจจึงคิดว่าบุตรชายถูกหญิงสกุลเฉียวนั่นล่อลวงด้วยรูปโฉมไปแล้ว ถึงได้ละโมบหาความสำราญจนตื่นสาย ความอึดอัดขัดใจยิ่งทบทวี กระทั่งชั่วครู่ก่อนนางก็ยังนึกถึงเรื่องนี้อยู่ ยามนี้จู่ๆ ได้ยินว่าที่สวีฮูหยินรั้งตนไว้ก็เพื่อจะพูดเรื่องหลานสาว หัวใจจึงพลันเต้นตึกตัก ใบหน้าเผยแววลำบากใจ

“เหตุใดจึงไม่พูดจาเล่า เจ้าหาครอบครัวที่เหมาะสมไม่ได้ หรือว่าไม่อาจจัดเตรียมสินเจ้าสาว หากเจ้าไม่สะดวกในเรื่องนี้ ข้าจะหาเจ้าบ่าวให้เอง สินเจ้าสาวข้าก็จะเป็นคนออกให้”

ขณะที่จูซื่อพูดไม่ออกก็ได้ยินสวีฮูหยินเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้อย่างไม่ช้าไม่เร็ว นางช้อนตาขึ้นและสบเข้ากับแววตาของอีกฝ่ายพอดี พอเห็นดวงตาข้างเดียวของแม่สามีเพ่งมองตนอยู่ก็ใจฝ่อจนรู้สึกร้อนตัว นางจึงรีบฝืนยิ้มกล่าว “จะเป็นเพราะสาเหตุนี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ ท่านแม่ก็น่าจะรู้ว่าสองปีมานี้กระทั่งบ่าวในจวนยังมองฉู่อวี้เป็นคนของจ้งหลินมาตลอด หากตอนนี้แต่งนางให้ผู้อื่น เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะกระมัง…”

สวีฮูหยินกล่าว “พวกบ่าวไม่รู้ความ เจ้าในฐานะนายหญิงใหญ่ของสกุลเว่ยไม่อบรมก็ช่างเถิด ไยจึงถูกพวกบ่าวจูงจมูกได้อีก ฐานะครอบครัวเช่นพวกเราต่อให้บุรุษจะรับอนุก็ยังต้องเข้าพิธี แต่นี่อย่างแรกไร้ซึ่งพิธีการ อย่างที่สองไร้ซึ่งศักดิ์ฐานะ แล้วบุตรสาวสกุลเจิ้งจะกลายมาเป็นคนของจ้งหลินได้อย่างไรกัน”

จูซื่อเพียงเอ่ยแก้ตัวโดยไม่กล้าสบตาสวีฮูหยินตรงๆ “ท่านแม่คงยังไม่ทราบ เรื่องนี้ข้าเคยพูดกับจ้งหลินแล้ว จ้งหลินเองก็ไม่ได้บอกปัด เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาอยู่ข้างนอกมาตลอด ยามนี้เพิ่งกลับจวนและเพิ่งตบแต่งภรรยา หากเอ่ยเรื่องนี้ในทันทีย่อมไม่เหมาะ เดิมทีข้าคิดว่ารออีกสักพักก็จะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”

สวีฮูหยินแค่นเสียงดังฮึ “แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าคืนแรกที่จ้งหลินกลับมา มีบ่าวรุ่นป้าคนหนึ่งไปแอบฟังอยู่นอกห้องนอนเรือนประจิม ทำเอาจ้งหลินเดือดดาลกระทั่งฟันกรอบประตูจนเสียหาย บ่าวรุ่นป้าคนใดจะกล้าล่วงเกินนายถึงขั้นนี้กัน ข้าอายุมากแล้ว พอแก่ตัวก็เกียจคร้านเหนื่อยหน่าย ถึงได้มอบหมายทุกเรื่องในจวนทางนี้ให้แก่เจ้า แต่เจ้ากลับอบรมบ่าวเช่นนี้น่ะหรือ”

ใบหน้าของจูซื่อเกลื่อนด้วยความอับอาย นึกไม่ถึงว่าสวีฮูหยินจะรู้เรื่องนี้ด้วย นางก้มหน้างุดไม่กล้าส่งเสียงอีก

“ข้ารู้ หลายปีที่ผ่านมาไม่ง่ายเลยสำหรับเจ้า ข้าเองก็ล้วนเห็นอยู่ในสายตา” น้ำเสียงของสวีฮูหยินอ่อนลง “เหตุที่เจ้ารั้งบุตรสาวสกุลเจิ้งไว้ในจวนก็เกิดจากความรักหวงแหน ทว่ารักก็ส่วนรัก ขืนเจ้ายังเลอะเลือนเช่นนี้ต่อไปอีก มีแต่จะส่งผลร้ายต่อเรื่องสำคัญชั่วชีวิตของลูกผู้หญิง ที่เช้านี้ให้เจ้าอยู่สนทนาด้วยก็ไม่มีเจตนาอื่น เพียงอยากเตือนสติเจ้าสักประโยคเท่านั้น”

จูซื่อโขกศีรษะคำนับ ก่อนเอ่ยทั้งน้ำตาคลอ “ลูกสะใภ้รู้ว่าท่านแม่หวังดี กลับไปแล้วจะทำตามที่ท่านแม่สั่ง ข้าจะหาครอบครัวที่เหมาะสมแก่ฉู่อวี้ ไม่กล้าประวิงเวลาอีกแล้ว”

ใบหน้าของสวีฮูหยินเผยรอยยิ้มบางๆ ผงกศีรษะกล่าว “เจ้าคิดได้เช่นนี้ข้าก็วางใจเสียที ไม่มีเรื่องอื่นแล้ว เจ้าไปเถิด”

จูซื่อหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาก่อนกล่าวขอตัวอย่างพินอบพิเทา

รอจนกลับถึงเรือนบูรพาจูซื่อก็ไล่บ่าวออกไป แล้วบอกเจิ้งฉู่อวี้เรื่องที่ตนถูกสวีฮูหยินรั้งให้อยู่สนทนาเมื่อครู่

เจิ้งฉู่อวี้ตะลึงงัน ขอบตาค่อยๆ แดงเรื่อ นางร่ำไห้พลางโน้มกายลงบนตั่ง ก้มคำนับก่อนกล่าว “ความรักจากใจจริงที่ท่านป้ามีต่อฉู่อวี้นั้น ฉู่อวี้ไร้สิ่งใดตอบแทน ท่านควรให้ข้าจากไปโดยเร็วจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องอยู่เช่นนี้ต่อไป ทำให้ท่านป้าที่ถูกกระหนาบอยู่ตรงกลางต้องทุกข์ใจเพิ่มขึ้น”

จูซื่อรักและหวงแหนหลานสาวอยู่แต่เดิม จึงได้เก็บเจิ้งฉู่อวี้ไว้เป็นเพื่อนข้างกายมานานปี มองอีกฝ่ายเสมือนบุตรสาวแท้ๆ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังปักใจในคำทำนายจากพิธีกรรมคุณไสย เชื่อมั่นว่าบุตรสาวสกุลเจิ้งคือดาวอุปถัมภ์ของตน เพียงเห็นเจิ้งฉู่อวี้ร่ำไห้ จูซื่อก็รู้สึกปวดใจยิ่ง จึงรีบประคองแขนอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยปลอบโยน “อย่าได้เสียใจไปเลย เมื่อครู่ตอนอยู่ที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า ป้าก็แค่รับปากไปอย่างนั้นเอง ในใจป้าเห็นเจ้าเป็นคนของจ้งหลินนานแล้ว ไหนเลยจะจัดการให้เจ้าออกเรือนไปกับผู้อื่นได้อีก”

เจิ้งฉู่อวี้สะอื้นกล่าว “ฉู่อวี้ช่างไร้ประโยชน์นัก รั้งอยู่ในจวนสกุลเว่ยเช่นนี้ ทั้งมีสถานะน่าลำบากใจ ทั้งปล่อยวัยสาวให้ล่วงเลยไปอย่างเสียเปล่า ทว่าเหล่านี้ล้วนไม่เป็นไร ต่อให้ทั้งชีวิตไม่มีผู้ใดต้องการ ข้าก็ยินยอมพร้อมใจอยู่รับใช้ข้างกายท่านป้า เพียงแต่ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อาจยอมรับข้าได้เสียแล้ว ข้าไหนเลยจะมีหน้าทำให้ท่านป้าลำบากได้อีก เช่นนั้นแต่งไปกับผู้อื่นเสียดีกว่า แต่งกับบริวารหรือพ่อค้าเร่ข้าก็ไม่เกี่ยงงอน…”

“พูดจาเหลวไหล! ป้าจะหักใจได้อย่างไรกัน!” จูซื่อรีบตัดบทเจิ้งฉู่อวี้ โอบนางไว้ในอ้อมกอดพลางเอ่ยปลอบประโลม “เจ้าวางใจได้ ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่า ป้าจะอ้างว่ากำลังหาครอบครัวที่เหมาะสม พอถ่วงเวลาไปก่อนได้ชั่วคราว คาดว่านางคงไม่ถึงกับมาเร่งรัดในทันที ส่วนทางจ้งหลิน ป้าจะช่วยคิดหาวิธีแทนเจ้า รีบจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด จะไม่แต่งเจ้าออกไปเช่นนั้นเป็นอันขาด”

เจิ้งฉู่อวี้มีชาติกำเนิดไม่สูงส่ง อายุสิบกว่าก็กลายเป็นเด็กกำพร้า ตระกูลฝ่ายบิดาไม่มีใครพึ่งพาได้ เคราะห์ยังดีที่มีท่านป้าเป็นจูซื่อผู้มีฐานะเป็นถึงนายหญิงใหญ่ของสกุลเว่ยคนนี้คอยปกป้อง หลังถูกรับตัวมาที่จวนสกุลเว่ย นางจึงมีทั้งอาภรณ์หรูหราอาหารเลิศรส เดินเข้าออกก็มีข้ารับใช้ล้อมหน้าหลัง ได้ใช้ชีวิตอยู่เหนือผู้คน ไหนเลยจะตัดใจจากไปได้ อีกทั้งเว่ยเซ่าก็เป็นวีรบุรุษแต่วัยหนุ่ม รูปงามสง่าผ่าเผย หัวใจทั้งดวงของนางยังฝากไว้ที่เขาตั้งแต่แรก ยิ่งเมื่อจูซื่อวาดหวังให้นางเป็นคู่ครองของบุตรชายจึงตรงกับใจนางพอดี

อันที่จริงคราแรกนั้นใช่ว่านางจะไม่เคยคิดอยากแต่งเป็นภรรยาเอกของเว่ยเซ่า แต่นางรู้ตัวว่าฐานะไม่ถึง เพื่อเพิ่มน้ำหนักความสำคัญให้ตนเอง พอเห็นว่าจูซื่องมงายในเรื่องคุณไสย เชื่อฟังตามคำของแม่หมอบนเขาอวี๋ซานทุกประการ นางจึงลอบเตรียมเงินสินบนจำนวนมากวิงวอนให้แม่หมอพูดจาแทนตนยามที่อยู่ต่อหน้าจูซื่อ แม่หมอรับเงินไปแล้วย่อมช่วยงาน นางจึงได้กลายเป็นดาวอุปถัมภ์ของจูซื่อ นับแต่นั้นจูซื่อก็ให้ความสำคัญกับนางยิ่งขึ้นไปอีก

แต่น่าเสียดาย อย่างไรเสียในสกุลเว่ยนี้จูซื่อก็มิใช่ผู้ที่พูดแล้วมีสิทธิ์ขาด เบื้องบนไม่เพียงมีสวีฮูหยินกดศีรษะอยู่ กระทั่งเว่ยเซ่าก็ไม่ได้คล้อยตามเชื่อฟังมารดาอย่างว่าง่ายแต่อย่างใด เจิ้งฉู่อวี้รู้ว่าการแต่งเป็นภรรยาของเว่ยเซ่า เกรงว่าคงเป็นเรื่องที่เลือนรางไม่อาจจับต้องได้ ภายหลังนางจึงต้องถอยมาตั้งเป้าหมายที่รองลงมา ยอมลดตัวเป็นอนุใช่ว่าจะไม่อาจทำได้ ทว่าพริบตาเดียวหลายปีก็ผ่านพ้น นางได้ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาจนอายุสิบแปดปีแล้ว อย่าว่าแต่บรรลุเป้าหมายเลย สองปีมานี้ยามที่เว่ยเซ่ากลับมาก็ไม่เคยกระทั่งชายตาแลนางซ้ำสอง ในใจนางแม้ประหวั่นลนลานเพียงใด แต่ยังดีที่ตลอดมาเว่ยเซ่ายังไม่ได้แต่งภรรยา ข้างกายก็ไม่มีหญิงอื่น นางจึงมีเครื่องปลอบใจให้รอคอยผ่านแต่ละวันมาได้ กระทั่งรอถึงปลายปีที่แล้ว นางก็ได้ข่าวว่าเว่ยเซ่าแต่งหญิงสกุลเฉียวแห่งเหยี่ยนโจวเป็นภรรยาที่เมืองซิ่นตู ซ้ำสวีฮูหยินยังส่งจงเอ่าคนสนิทไปเป็นผู้จัดเตรียมพิธีด้วย

ตอนที่เพิ่งได้ยินข่าวนี้เจิ้งฉู่อวี้คล้ายถูกแมวข่วนเกาหัวใจจนหาความสงบไม่ได้ แต่เมื่อตรองดูอีกครั้งนางก็พบว่าสกุลเว่ยมีความแค้นต่อสกุลเฉียว การที่เว่ยเซ่าแต่งหญิงสกุลเฉียวมาก็น่าจะมีจุดประสงค์อื่น ต่อให้แต่งหญิงสกุลเฉียวเข้ามาแล้ว ชีวิตวันหน้าของคนผู้นั้นก็คงไม่มีทางได้เป็นสุข เว่ยเซ่ายิ่งไม่มีวันปฏิบัติต่ออีกฝ่ายในฐานะภรรยาด้วยความจริงใจ อีกทั้งช้าเร็วเขาก็ต้องแต่งภรรยาอยู่วันยังค่ำ เดิมทีนางก็สิ้นหวังที่จะได้เป็นภรรยาเอกของเขาอยู่แล้ว เขาแต่งได้ภรรยาที่เป็นเช่นนี้ อันที่จริงกลับเป็นเรื่องดีสำหรับตนเองมากกว่า

ที่ผ่านมาแม้จูซื่อจะรักใคร่เจิ้งฉู่อวี้ยิ่งนัก ทว่าเมื่อก้าวพ้นออกจากเรือนบูรพาแล้ว คนอื่นในจวนสกุลเว่ยล้วนไม่มีใครเห็นนางเป็นนายอย่างแท้จริง แม้แต่พวกบ่าวชั้นต่ำ บางครั้งก็ยังกล้าวิจารณ์ลับหลังว่านางเกาะท่านโหวไม่สำเร็จ เสียเวลาเปล่าจนกลายเป็นหญิงเทื้อคาเรือน ในใจของเจิ้งฉู่อวี้มิใช่ไม่คับแค้น แต่พอนึกว่าหญิงสกุลเฉียวมาถึงเมื่อใด ต่อไปก็ต้องถูกปฏิบัติอย่างเย็นชาเช่นกัน เปรียบกันแล้วนางก็จะไม่ใช่ตัวตลกอันใดอีก เมื่อคิดได้ดังนี้ ในใจไม่เพียงเปลี่ยนเป็นปลอดโปร่งโล่งสบาย ทั้งยังแอบหวังให้อีกฝ่ายมาถึงเร็วหน่อยเสียด้วยซ้ำ

วันนั้นพอเจิ้งฉู่อวี้รู้ว่าเว่ยเซ่ากับหญิงสกุลเฉียวกลับถึงจวนแล้ว นางก็ติดตามจูซื่อกลับจากเขาอวี๋ซาน ในใจรู้ดีว่าท่านป้าผู้นี้ของนางไม่มีทางญาติดีกับหญิงสกุลเฉียวเป็นอันขาด เดิมทีนางกลับมาพร้อมความคิดที่จะรอชมเรื่องขบขัน กลับนึกไม่ถึงว่าหญิงสกุลเฉียวจะเลอโฉมปานเทพธิดา บุคลิกงามพิสุทธิ์ดุจกล้วยไม้ในแดนเซียนถึงเพียงนั้น แต่เดิมเจิ้งฉู่อวี้ทะนงว่าตนสะสวย ทว่าเมื่อเทียบกับอีกฝ่ายแล้ว นางกลับหมองไร้ประกายไปโดยสิ้นเชิง ยิ่งตอนที่ได้เห็นหญิงสกุลเฉียวยืนเคียงไหล่กับเว่ยเซ่า คุกเข่าลงคำนับจูซื่อ ทั้งสองยิ่งดูเป็นคู่ที่สวรรค์สร้างมา สมกันดั่งกิ่งทองใบหยก

ตอนนั้นเจิ้งฉู่อวี้ได้รับความสะเทือนทางจิตใจอย่างมาก พอตกค่ำเว่ยเซ่าก็ไม่ได้ให้นางเข้าห้องตามความประสงค์ของจูซื่อ มิหนำซ้ำหญิงรับใช้อาวุโสที่ถูกจูซื่อใช้ไปแอบสืบข่าวให้ก็ยังถูกเว่ยเซ่าพบเห็นเข้าอีก ตอนนั้นหญิงรับใช้แม้เสียขวัญอยู่ไม่น้อย แต่จากที่กลับมาเล่าให้ฟัง เว่ยเซ่ากับหญิงสกุลเฉียวนั่นน่าจะร่วมเรียงเคียงหมอนกันไปแล้ว

เจิ้งฉู่อวี้ผิดหวังอย่างรุนแรง หลายวันมานี้นางจึงยังกลัดกลุ้มใจไม่คลาย ลอบจับตาดูความเคลื่อนไหวในเรือนประจิมมาตลอด เฝ้ารอข่าวแพร่มาจากทางนั้นว่าเว่ยเซ่าเพิกเฉยหรือละเลยหญิงสกุลเฉียว ทว่าจวบจนเช้านี้คนทั้งสองกลับชักช้ามาสาย ท่าทางส่อนัยคลุมเครือ กระทั่งสวีฮูหยินที่มีท่าทีเรียบเฉยกับตนเสมอมาก็ดูจะผ่อนปรนต่อหญิงสกุลเฉียวมากขึ้นทีเดียว เจิ้งฉู่อวี้ทั้งริษยาทั้งเจ็บแค้น หัวใจยุ่งเหยิงดุจใยปอ

เมื่อครู่จูซื่อกลับจากเรือนอุดรยังพูดเรื่องแต่งงานนี้ขึ้นมาอีก นางร่ำไห้เศร้าเสียใจจึงมิใช่กำลังเสแสร้งแกล้งทำ ยังดีที่ท่านป้ามีท่าทีแน่วแน่ เจิ้งฉู่อวี้พิงกายอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่าย รับฟังคำปลอบประโลมจากนางแล้วจิตใจถึงค่อยสงบลงเล็กน้อย นางหลั่งน้ำตากล่าว “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านป้ายังมีวิธีใดเก็บข้าไว้ข้างกายได้อีกหรือ”

จูซื่อลังเลก่อนตอบ “ไว้หาจังหวะเหมาะๆ ป้าจะไปที่เขาอวี๋ซาน ให้แม่หมอทำนายก่อนแล้วค่อยวางแผน”

สามวันต่อมา วันเกิดของสวีฮูหยินก็เวียนมาถึง

ด้วยฐานะปัจจุบันของสกุลเว่ยในแดนเหนือ วันเกิดอายุครบหกสิบปีของสวีฮูหยินจึงไม่เพียงแต่มีคนใหญ่คนโตจำนวนมากในมณฑลโยวโจวที่รู้สึกเป็นเกียรติเมื่อได้รับเทียบเชิญมาร่วมอวยพรวันเกิดที่จวน หากแต่ผู้ที่อยู่นอกมณฑลโยวโจวก็เช่นกัน บรรดาเจ้าเมืองละแวกใกล้เคียง อาทิ เมืองป๋อไห่ เมืองเหรินชิว เมืองเล่าหลิง ต่างก็ไม่ย่อท้อต่อหนทางยาวไกล รุดเดินทางมาร่วมอวยพรวันเกิดถึงเมืองอวี๋หยางด้วยตนเอง สำหรับผู้ที่ไม่อาจมาได้ด้วยตนเองก็จะส่งคนนำของกำนัลมาแสดงความยินดีแทน ซึ่งคนกลุ่มนี้มีจำนวนมากเสียจนนับไม่ไหว

เนื่องจากสวีฮูหยินเดิมมาจากแคว้นจงซาน หลิวตวนผู้เป็นจงซานอ๋องคนปัจจุบันนับดูแล้วก็เป็นหลานห่างๆ ของนาง ดังนั้นถึงตัวเขาจะไม่มา แต่ก็ส่งทูตเป็นตัวแทนมาร่วมอวยพร วันนี้ยังมีราษฎรแห่กันมาอย่างล้นหลามถึงหน้าประตูจวนสกุลเว่ย คุกเข่ากราบคารวะสวีฮูหยินผ่านประตูเนื่องในวันเกิด สวีฮูหยินรู้ข่าวนี้ก็ตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง นางนำพาเว่ยเซ่ากับเว่ยเหยี่ยนออกมาคารวะตอบราษฎรถึงนอกประตูใหญ่ด้วยตนเอง บรรยากาศอีกมากมายของการเฉลิมฉลองอันใหญ่โตยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง

คัมภีร์อู๋เลี่ยงโซ่วบนผืนผ้าไหมที่เสี่ยวเฉียวคัดลอกเป็นของขวัญวันเกิดนั้นดูจะเป็นที่ชื่นชอบของสวีฮูหยินมากทีเดียว

ยุคนี้แม้จะมีกระดาษใช้กันแล้ว ทว่ากระดาษกลับมีเนื้อหยาบและไม่คงทน หนังสือที่เป็นทางการยังคงบันทึกลงบนไม้ไผ่กับผ้าไหมเป็นหลัก หนังสือไม้ไผ่นั้นหนักและเทอะทะเกินไป หากจะนำมาใช้เพื่อคัดลอกคัมภีร์อู๋เลี่ยงโซ่วสักฉบับคงต้องใช้เกวียนลากถึงจะนำมาได้ หนังสือผ้าไหมนี้มีน้ำหนักเบา ทั้งขนย้ายสะดวก ราคาก็สูง ต่อให้ไม่เอ่ยถึงคุณภาพของวัสดุ ลำพังเพียงแค่ตอนคัดลอกก็ไม่อาจเลินเล่อแม้สักขีดพู่กันเดียวได้แล้ว หากผิดพลาดไปสักหนึ่งตัวอักษร ผ้าไหมทั้งผืนก็จำต้องทิ้งไปทันที นับว่าสิ้นเปลืองเวลาการคัดลอกอย่างยิ่ง

คัมภีร์อู๋เลี่ยงโซ่วที่เสี่ยวเฉียวมอบให้กับสวีฮูหยินฉบับนี้เข้ากรอบลวดลายงามสง่า ตัวอักษรดูวิจิตรแปลกตา เนื้อความยิ่งเป็นพุทธคัมภีร์ตรงใจสวีฮูหยิน พอรู้ว่าหลานสะใภ้เป็นผู้คัดลอกเองกับมือ สวีฮูหยินจึงส่งให้ผู้คนรอบข้างได้ชื่นชมกันเป็นพิเศษ ในบรรดาแขกเหรื่อเหล่านั้นมีบุรุษจากเมืองป๋อไห่ผู้หนึ่งนามว่าเกาเหิง ซึ่งเป็นจิตรกรและลิปิกรเลื่องชื่อในยุคนี้ เขาติดตามเจ้าเมืองป๋อไห่มาร่วมอวยพรวันเกิดสวีฮูหยินถึงเมืองอวี๋หยาง เมื่อได้เห็นอักษรบนผ้าไหมก็รู้สึกชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยชมว่าตัวอักษรนี้เข้มแข็งเปี่ยมเสน่ห์ งามสง่าโดดเด่น ส่วนประกอบของเส้นขีดเป็นระเบียบรัดกุม มีกลิ่นอายของผู้เป็นเลิศในเชิงอักษร

เกาเหิงเป็นลิปิกรชั้นครู ทั้งยังเชี่ยวชาญด้านอักษรและภาพวาด สันทัดการสลักอักษรบนหินและโลหะ อีกทั้งยังแตกฉานในการดนตรี กระทั่งได้รับคำยกย่องว่าเป็น ‘ยอดมงกุฎแห่งป๋อไห่’ แม้แต่เขายังเอ่ยชมถึงเพียงนี้ คนอื่นที่เหลือย่อมไม่ตระหนี่ในคำยกยอกันอีก สวีฮูหยินเบิกบานใจยิ่ง รับผืนผ้าไหมกลับมาส่งให้จงเอ่ากับมือ ก่อนจะสั่งให้อีกฝ่ายนำไปเก็บไว้อย่างดี

ยามเที่ยง สกุลเว่ยจัดงานเลี้ยงที่โถงด้านหน้า แขกเหรื่อคับคั่งราวเมฆบนท้องฟ้า ในเครือญาติสกุลเว่ยมีบุรุษผู้หนึ่งที่มีศักดิ์เป็นอาของเว่ยเซ่า สิบปีก่อนเขาได้ติดตามเว่ยจิงไปบุกตีหลี่ซู่ เพื่อคุ้มกันเว่ยเซ่าฝ่าวงล้อมหนีออกมาให้ได้ ร่างของเขาจึงถูกฟันไปหลายดาบ เขากลับมาพร้อมอาการบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะสิ้นใจโดยไม่อาจยื้อต่อไปได้ ภรรยาม่ายกับบุตรชายกำพร้าที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังจึงล้วนได้รับการดูแลจากสวีฮูหยินเป็นอย่างดี ยามนี้เด็กหนุ่มที่อายุเท่าเว่ยเซ่าคนนั้นเติบใหญ่แล้ว อีกทั้งมีครอบครัวและงานที่มั่นคง ปีก่อนเขาเพิ่งได้บุตรชายมาหนึ่งคน จะว่าไปเรื่องนี้ช่างบังเอิญนัก บุตรชายของเขาก็เกิดวันเดียวกับสวีฮูหยิน วันนี้จึงมีอายุครบหนึ่งขวบพอดี

ด้วยใจที่เมตตาเอ็นดู สวีฮูหยินจึงอยากให้เจ้าหนูคนนี้ได้หน้าไปด้วย เมื่อสองวันก่อนนางจึงเรียกจางซื่อผู้เป็นย่าของเด็กมาหารือเรื่องจัดพิธีครบหนึ่งขวบ สุดท้ายจึงตกลงใจอุ้มเจ้าหนูมาฉลองพร้อมกันด้วยเสียเลย จะได้เพิ่มเรื่องครึกครื้นน่ายินดียิ่งขึ้น

แม้สวีฮูหยินจะบอกว่าทำเพื่อเพิ่มเรื่องน่ายินดี แต่ผู้เป็นย่าของเด็กก็นับเป็นคนรู้ความ รู้ดีว่านี่คือเกียรติอย่างสูงที่สวีฮูหยินมอบให้ มีเหตุผลใดที่ตนจะไม่ยินยอม จางซื่อจึงกลับบ้านไปเตรียมการจนครบถ้วน พอถึงยามเที่ยงของวันนี้ ท่ามกลางแขกเหรื่อเต็มโถง เจ้าหนูที่แต่งตัวด้วยอาภรณ์สีสันตระการตาก็ถูกมารดาบังเกิดเกล้าอุ้มออกมาวางนั่งบนตั่ง

รอจนเสร็จพิธีจวาโจวและยกเส้นหมี่อายุยืนมาขึ้นโต๊ะแล้ว งานเลี้ยงก็จะเริ่มต้นขึ้น

‘จวาโจว’ เป็นชื่อเรียกในยุคหลัง ยุคนี้ยังเรียกว่า ‘ซื่อเอ๋อร์’ แรกเริ่มเป็นที่นิยมแค่ในแดนเจียงหนาน ทว่าบัดนี้กลับเริ่มเป็นที่นิยมในแดนเหนือมากขึ้น แม้ชื่อเรียกจะต่างแต่โดยรวมยังคงคล้ายคลึงกัน ต่างแฝงไว้ซึ่งความคาดหวังที่ผู้อาวุโสมีต่อผู้เยาว์

เจ้าหนูหน้าตาน่าเอ็นดูรูปร่างแข็งแรงสวมอาภรณ์ชุดใหม่ทั้งร่าง เขาถูกมารดาวางนั่งบนตั่งโดยมีแม่นมยืนเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง บนตั่งบริเวณที่ใกล้กับเขามากที่สุดจัดวางหนังสือไม้ไผ่ ลูกศรคันธนู และตราประทับ ถัดออกไปคือเปลือกหอยมุก งาช้าง และนอแรด ไกลออกไปตรงบริเวณที่เขาเอื้อมไม่ถึงคือพวกอาหารกับของเล่น หลังจากวางเด็กลง แม่นมก็คอยหยอกเย้า ชักจูงให้เขาไปคว้าจับสิ่งของข้างกาย

วันนี้มีแขกเหรื่อจำนวนมาก หากมิใช่คหบดีร่ำรวยก็เป็นพวกขุนนางชั้นสูง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดใดๆ ขึ้น ก่อนที่จะมาถึงงาน คนในครอบครัวก็ป้อนเจ้าหนูจนอิ่มแต่แรก อีกทั้งยังหัดให้เขาคว้าจับหนังสือไม้ไผ่กับลูกศรคันธนูซ้ำอยู่หลายหน ตอนซ้อมที่บ้านนั้นราบรื่นดียิ่ง ไม่คิดว่าพอจู่ๆ มาอยู่ในโถงอันหรูหรา รอบทิศมีแต่คนไม่รู้จักแล้ว เจ้าหนูจะนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว ไม่รู้เพราะหวาดกลัวหรือกินอิ่มจนง่วงนอนกันแน่ ไม่ว่าแม่นมจะหยอกเย้าอย่างไร เจ้าหนูก็ไม่ไปคว้าจับสิ่งของตรงหน้าเสียที ผู้เป็นมารดาเห็นเช่นนี้จึงรีบเดินไปหยอกเย้าชักจูงเพิ่มอีกแรง ทว่าเจ้าหนูก็ยังไม่จับสิ่งใดอยู่นั่นเอง นั่งหน้าตาทึ่มทื่อไม่ยอมกระดุกกระดิก

เดิมสวีฮูหยินมีเจตนาดี คิดว่าเกิดวันเดียวกันถือเป็นวาสนาที่หาได้ยากยิ่ง นางจึงอยากให้เจ้าหนูได้รับเกียรตินี้ร่วมด้วย แต่ไม่นึกเลยว่าเจ้าหนูนี่จะตื่นคน ผิดจากที่คาดหมายในตอนแรกโดยสิ้นเชิง ทั้งแขกเหรื่อเต็มโถงก็กำลังรออยู่ ต้องให้เจ้าหนูจับสิ่งของเสร็จก่อน งานเลี้ยงถึงจะเริ่มต้นขึ้นได้

สถานการณ์เริ่มประดักประเดิด

สวีฮูหยินเห็นมารดาเด็กเผยสีหน้ากลัดกลุ้มรุ่มร้อนใจ แขกเหรื่อที่ได้รับเชิญมาร่วมงานก็ทยอยเงียบเสียงสนทนา พากันมองดูเจ้าหนูที่นั่งซึมอยู่บนตั่ง สวีฮูหยินเริ่มนึกเสียใจขึ้นมาไม่น้อย เมื่อแรกตนไม่น่าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาเลย เพราะมีเจตนาดีแท้ๆ ตอนนี้กลับทำให้งานเลี้ยงหมดความครึกครื้นไป เห็นมารดาเด็กร้อนใจจนเสียงดุขึ้นทุกที กลายเป็นยิ่งทำให้เจ้าหนูตกใจนิ่งอึ้งมากขึ้นและเริ่มมีทีท่าว่าจะร้องไห้ สวีฮูหยินมองไปทางจงเอ่าที่ยืนอยู่ด้านข้างของตน ขณะคิดจะบอกใบ้ให้อีกฝ่ายหาข้ออ้างอุ้มเจ้าหนูลงไปก็ได้ยินเสียงสตรีที่อยู่ด้านหลังตนเอ่ยขึ้นก่อน “ในสายตาไร้สรรพสิ่ง ในหัวใจมีร้อยนที ตั้งตรงเช่นแผ่นผา ไร้กิเลสย่อมเที่ยงธรรม เจ้าหนูคนนี้เมื่อเติบใหญ่ต้องเป็นคนมองการณ์ไกล มิใช่ชนชั้นสามัญแน่”

หัวใจของสวีฮูหยินพลันผ่อนคลายลง หันหน้าไปมองผู้ที่เอ่ยวาจาก็พบว่าเป็นเสี่ยวเฉียวที่ตามมารับใช้อยู่ด้านหลังของตน นึกไม่ถึงว่านางจะช่วยพูดแก้สถานการณ์ให้ตนได้ทันท่วงที อีกทั้งสถานการณ์อันยุ่งยากนี้ยังแก้ไขได้เข้าทียิ่ง เพียงชั่วพริบตาบรรยากาศอันประดักประเดิดก็คลี่คลายด้วยความสุขุมเยือกเย็นทันที

บรรดาแขกเหรื่อต่างตะลึงงันไปชั่วอึดใจก่อนมีท่าทีตอบสนอง พากันผงกศีรษะเอ่ยคล้อยตาม ในที่สุดมารดาเด็กก็ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ประดับยิ้มบนใบหน้า รีบอุ้มเจ้าหนูพามาใกล้สวีฮูหยินแล้วโขกศีรษะอวยพรวันเกิดนาง

สวีฮูหยินใบหน้าเปื้อนยิ้ม เรียกจงเอ่าให้อุ้มเจ้าหนูมานั่งบนตักของตน เด็กน้อยดูจ้ำม่ำขาวน่ารักน่าเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง เมื่อครู่น่าจะแค่ตกใจเท่านั้น สวีฮูหยินจึงสั่งให้โถงชั้นนอกเริ่มงานเลี้ยง จากนั้นก็กวาดดวงตาข้างเดียวไปทางเสี่ยวเฉียว ผงกศีรษะให้นางเล็กน้อย

แม้เป็นเพียงการผงกศีรษะครั้งเดียว ทว่าเสี่ยวเฉียวมองออกถึงแววชื่นชมในสายตาของสวีฮูหยิน สิ่งนี้ทำให้ใจนางรู้สึกมั่นคงขึ้นไม่น้อย

นับแต่แรกเห็นท่านย่าของเว่ยเซ่า เสี่ยวเฉียวก็รู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งมีดวงตากระจ่างเหลือเพียงข้างเดียวผู้นี้ชวนให้เกิดความรู้สึกที่คาดเดาไม่ถูก หากท่าทีที่อีกฝ่ายมีต่อนางใกล้เคียงกับจูซื่อหรือเว่ยเซ่าก็ไม่มีอันใดต้องพูดอีก เรื่องแต่งนางเป็นสะใภ้ก็เพราะประโยชน์จากมณฑลเหยี่ยนโจว ทว่าสวีฮูหยินนั้นแปลกออกไป

เสี่ยวเฉียวย่อมเคยได้ยินเรื่องที่สวีฮูหยินปกครองสกุลเว่ยในอดีตมาเช่นกัน คนที่ปกครองคนทั้งตระกูลได้จะต้องเป็นสตรีที่ไม่ธรรมดาอย่างไม่ต้องสงสัย และเพราะเหตุนี้เองถึงทำให้สาวน้อยยิ่งรู้สึกกังขาที่อีกฝ่ายตัดสินใจให้เว่ยเซ่าแต่งกับนางซึ่งเป็นบุตรสาวในตระกูลของศัตรู

ทว่าตนจะขบไม่แตกก็ไม่เป็นไร ขอเพียงสวีฮูหยินดีต่อนางเป็นพอ

สวีฮูหยินปฏิบัติต่อนางย่อมนับว่าดี โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เผชิญหน้ากับพฤติกรรมของเว่ยเซ่าและมารดาของเขามาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้เรียกได้ว่าไม่ต่างจากพระโพธิสัตว์จุติลงมา มีรัศมีธรรมวงหนึ่งอยู่เหนือศีรษะ ย่อมทำให้เสี่ยวเฉียวประหม่าทันทีที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝันนี้

ทว่าที่ผ่านมาความเมตตานั้นจะจำกัดอยู่เพียงท่าทีทั่วไปที่ผู้อาวุโสมีต่อผู้เยาว์เท่านั้น การรู้จักประมาณตนเพียงเท่านี้ เสี่ยวเฉียวนับว่ายังมีอยู่

จนกระทั่งเมื่อครู่นี้เอง ดูเหมือนเรื่องราวจะมีความเปลี่ยนแปลงใหม่เกิดขึ้นเล็กน้อย

เนื่องจากประกายความคิดที่ผุดวาบขึ้น เสี่ยวเฉียวจึงคลี่คลายสถานการณ์อันยุ่งยากใจเมื่อครู่นี้ลงได้ ในสายตาที่เจือแววชมเชยยามสวีฮูหยินหันหน้ากวาดมองตนนั้น เสี่ยวเฉียวมองออกว่าอีกฝ่ายน่าจะมีความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิมเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย

ถามว่านางไม่ดีใจหรือ

ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!

นางดีใจอย่างยิ่งทีเดียว

ความจริงแล้วกระทั่งยามนี้นางยังนึกไม่ออกเลยว่าอีกห้าหรือสิบปีข้างหน้าจะทำอย่างไร

หากทุกสิ่งดำเนินไปตามรอยของชาติก่อน ก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่เว่ยเซ่าผู้นี้จะลงมืออย่างอำมหิตกับนางและสกุลเฉียว

ก่อนหน้านี้ชุนเหนียงโน้มน้าวให้เสี่ยวเฉียวโอนอ่อนปรนนิบัติเว่ยเซ่า พูดให้ชัดเจนก็คือให้นางใช้รูปโฉมทำให้เขาลุ่มหลง อาศัยสิ่งนี้มาเปลี่ยนแปลงชะตากรรม

ชุนเหนียงมีความเชื่อมั่นต่อนางอย่างมืดบอดพร้อมความคาดหวังที่เปี่ยมล้น แต่บอกตามตรงว่านางไม่ได้มีความมั่นใจในตนเองเลยแม้แต่น้อย

บางทีความงามของนางอาจสามารถเกี่ยวกระหวัดหัวใจของบุรุษส่วนใหญ่ในใต้หล้าได้ ทว่ากับเว่ยเซ่าผู้นี้ ดูเหมือนเขาจะจัดอยู่ในกลุ่มคนส่วนน้อยที่มีภูมิต้านทาน

เขาแค้นนางอย่างแท้จริง หรือพูดอีกอย่างก็คือ…คนสกุลเฉียวทุกคน

เสี่ยวเฉียวไม่อาจจินตนาการได้ว่าหากตนเปลื้องอาภรณ์ต่อหน้าเขาจนเปลือยเปล่า แล้วล่อใจเขาด้วยเรือนร่าง เขาจะสรรหาถ้อยคำอันเจ็บแสบเช่นไรมาหยามหมิ่นนางบ้าง งานที่มีความยากระดับสูงและมีความเป็นไปได้มากที่จะลงเอยด้วยการหาความอัปยศใส่ตนเช่นนี้ ถึงวันพรุ่งนี้ต้องศีรษะหลุดจากบ่า แต่ไม่ว่าจะทำอะไรนางก็จำเป็นต้องใคร่ครวญให้ถ้วนถี่เสียก่อน ในเมื่อทางนี้ยังหาทางออกไม่ได้ชั่วคราว นางก็มีแต่ต้องลงแรงมาทางสวีฮูหยินก่อน

ตอนนี้ดูท่าว่าดวงของนางจะไม่เลวทีเดียว กระทั่งสวรรค์ก็ยังช่วยเหลือนาง

เสี่ยวเฉียวอดไม่ได้ที่จะชมชอบเจ้าหนูจ้ำม่ำที่อยู่ในอ้อมกอดของสวีฮูหยินยามนี้

เจ้าช่างเป็นดาวนำโชคตัวน้อยของน้าจริงๆ!

พอถูกอุ้มลงจากที่นั่งที่เขาต้องแสดงให้พวกผู้ใหญ่ดู เจ้าหนูจ้ำม่ำก็เหมือนถูกคลายจากคาถาสะกดร่าง มีชีวิตชีวาขึ้นทันตาเห็น เบิกสองตาที่กลมดิกมองซ้ายทีขวาที ท่าทางน่าเอ็นดูเป็นที่สุด เหล่าสตรีที่อยู่ในโถงจัดเลี้ยงต่างเข้ามารุมล้อมพากันแย่งชมเปาะและผลัดกันอุ้มเจ้าหนู

“เจ้าก็มาอุ้มสักหน่อยสิ” สวีฮูหยินพลันยิ้มพูดกับเสี่ยวเฉียว

ในยุคนี้มีธรรมเนียมผลัดกันอุ้มเด็กหลังพิธี ‘ซื่อเอ๋อร์’ โดยเฉพาะหญิงที่อยากได้ทายาทในเร็ววัน กล่าวกันว่าจะได้มีโชคและให้กำเนิดบุตรได้สมใจ

สตรีคนอื่นๆ ล้วนหัวเราะคิกคัก ต่างหันหน้าไปมองเว่ยเซ่าที่กำลังทักทายแขกเหรื่ออยู่หน้าประตูโถงจัดเลี้ยง

ดูเหมือนชายหนุ่มจะสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวด้านในแล้วเช่นกัน เขาออกอาการวอกแวกอยู่บ้าง สองตาเหลือบมองเสี่ยวเฉียวเป็นพักๆ

มารดาของเจ้าหนูจ้ำม่ำอุ้มบุตรชายส่งมาใกล้มือเสี่ยวเฉียวด้วยตนเอง

เสี่ยวเฉียวชำเลืองมองเว่ยเซ่าที่อยู่หน้าประตู เผอิญสบเข้ากับสายตาที่เขากำลังมองนางพอดี

ดวงหน้าของสาวน้อยเผยรอยยิ้มหยาดเยิ้มเอียงอายอย่างที่ภรรยาพึงมี นางรับเจ้าหนูจากมือผู้เป็นมารดาอย่างระมัดระวัง พออุ้มได้มั่นคงก็หยอกเย้าเจ้าหนูเล็กน้อย

เจ้าหนูจ้ำม่ำไว้หน้าเสี่ยวเฉียวอย่างยิ่ง ส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากจนผู้คนรอบข้างพากันหัวเราะตาม

“ฮูหยินผู้เฒ่า เวลานี้ของปีหน้าท่านก็จะได้อุ้มเหลนแล้วนะเจ้าคะ!”

สตรีนางหนึ่งยิ้มละไม เอ่ยเสริมบรรยากาศอันน่ายินดีด้วยเสียงกังวาน

เสี่ยวเฉียวเขินอายไม่พูดจา เพียงส่งเจ้าหนูคืนแก่มารดาแล้วก็เหลือบมองเว่ยเซ่าอีกหน

สีหน้าเว่ยเซ่าดูแปลกพิกลนิดๆ ก่อนที่จะมีคนเรียกเขาจากเชิงบันไดหน้าประตูพอดี ชายหนุ่มชะงักไปชั่วอึดใจหนึ่งก็หมุนกายเดินไปอย่างรวดเร็ว

ตกค่ำ จวนสกุลเว่ยจุดโคมสว่างไสวไปทั่ว

หลังจากคึกคักมาตลอดช่วงกลางวัน พอถึงยามนี้สวีฮูหยินซึ่งอายุมากแล้วย่อมต้องอ่อนเพลีย หลังออกหน้าพอเหมาะแก่โอกาส ตอนนี้สวีฮูหยินจึงขอตัวกลับไปพักผ่อนที่เรือนอุดรก่อน แขกสตรีก็ทยอยแยกย้ายตามไป เหลือแต่การสังสรรค์ของเหล่าบุรุษ

เว่ยเซ่าคอยรับส่งแขก ดูแลงานมาตั้งแต่เช้า จนบัดนี้ใกล้ถึงปลายยามซวี ก็ยังไม่มีเวลากระทั่งจะกินอาหารค่ำ เขาเดินไปส่งแขกจากแดนไกลหลายคนออกจากจวน ขณะเร่งฝีเท้าย้อนกลับมาถึงเชิงบันไดประตูชั้นใน พลันได้ยินเสียงคนเรียกดังขึ้นที่เบื้องหลัง

“เว่ยโหวโปรดรั้งฝีเท้า”

ชายหนุ่มเหลียวไปมอง ก่อนชะงักฝีเท้าเมื่อจำได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นขุนนางที่มาพร้อมกับทูตของจงซานอ๋อง

ขุนนางผู้นั้นเดินมาถึงเบื้องหน้าเว่ยเซ่าแล้วคำนับอย่างนอบน้อม เว่ยเซ่าคารวะตอบตามมารยาท อีกฝ่ายเอ่ยประจบสองสามประโยค เห็นเว่ยเซ่าเหมือนไม่มีแก่ใจจะฟังสักเท่าใดจึงยิ้มกล่าว “คาดว่าเว่ยโหวคงจำข้าน้อยไม่ได้แล้ว หลายปีก่อนข้าน้อยเคยทำงานให้สกุลซูแห่งจงซาน ตอนที่อวี้โหลวฮูหยินยังไม่ออกเรือน ข้าน้อยมีวาสนาเคยได้พบเว่ยโหวหลายครั้ง ไม่ทราบเว่ยโหวยังพอจำได้หรือไม่”

เว่ยเซ่าชะงักไปเล็กน้อย เพ่งมองอีกฝ่ายปราดหนึ่ง นิ่งอยู่ชั่วอึดใจจึงเอ่ยถาม “มีเรื่องอันใดหรือ”

เมื่อเหลียวซ้ายแลขวาเห็นว่าปลอดคน ขุนนางผู้นั้นจึงเดินมาประชิดอีกก้าว หยิบถุงหอมซึ่งผูกปากถุงด้วยริ้วผ้าต่วนใบหนึ่งออกจากอกเสื้อ ยื่นส่งด้วยสองมือพร้อมเอ่ยเสียงเบา “เว่ยโหวคงยังไม่ทราบ ข้าน้อยติดตามท่านทูตมาเยือนเมืองอวี๋หยางครานี้ ทั้งมาร่วมอวยพรวันเกิดแด่ฮูหยินผู้เฒ่า ทั้งได้รับการไหว้วานให้มาส่งสาร พออวี้โหลวฮูหยินได้ยินข่าวดีเรื่องงานมงคลของเว่ยโหวก็รู้สึกปลื้มปีติยิ่งนัก เดิมทีครานี้ต้องการมาที่อวี๋หยางด้วยตนเอง ทั้งมาเยี่ยมคารวะฮูหยินผู้เฒ่าและมาแสดงความยินดีกับเว่ยโหวที่เพิ่งผ่านพิธีมงคล ทว่าจนใจที่ตัวอยู่เมืองลั่วหยาง งานประจำวันรัดตัวจนไม่อาจปลีกเวลามาได้ เมื่อรู้ว่าข้าน้อยจะมาอวี๋หยางจึงให้ข้าน้อยนำสารนี้มาแสดงความยินดีแทน”

เว่ยเซ่าไม่พูดจาและไม่เคลื่อนไหว ทำเพียงมองถุงหอมผ้าต่วนสีม่วงซึ่งปักลายวิจิตรประณีตในมือของอีกฝ่าย

เห็นชายหนุ่มไม่รับของ ขุนนางผู้นั้นจึงแอบช้อนตาขึ้นเหลือบมองแวบหนึ่ง

หน้าประตูแขวนโคมสองดวง พอดีกับที่มีสายลมราตรีไล้ผ่านตัวโคม ก่อกวนให้แสงสีแดงส่ายไหว ดวงหน้าของเว่ยเซ่าจึงฉาบสะท้อนด้วยแสงสีแดงชั้นบางๆ ที่ไม่อยู่นิ่งนั้น ดูเหมือนเขาเหม่อลอยเล็กน้อย แววตาหม่นแสงหลอมกลืนกับสีของรัตติกาลอันเวิ้งว้างที่อยู่รายล้อม มองเห็นไม่ชัดเจนนัก

ขุนนางผู้นั้นบรรจงวางถุงหอมไว้บนบันได ค้อมกายให้เว่ยเซ่าก่อนถอยหลังหลายก้าว ขณะรีบหมุนตัวเพื่อเตรียมจากไปก็พลันได้ยินเสียงเว่ยเซ่าดังขึ้น “นำคำพูดของข้าไปแจ้งว่าเว่ยเซ่าขอบคุณในเจตนาดีของอวี้โหลวฮูหยิน แต่สิ่งอื่นมิจำเป็น”

สุ้มเสียงของเขาค่อนข้างทุ้มหนัก พูดจบก็ก้าวยาวๆ ผ่านถุงหอมที่อยู่บนบันไดจากไป

 

เว่ยเซ่าส่งแขกคนสุดท้ายเสร็จก็บังเอิญพบเว่ยเหยี่ยนที่เพิ่งส่งแขกกลับมาเช่นกัน หลังมอบหมายงานส่วนที่เหลือแก่พ่อบ้านแล้ว ทั้งสองสนทนากันสองสามประโยคก็กล่าวลาแยกย้ายไป

เว่ยเหยี่ยนออกจากประตูใหญ่จวนสกุลเว่ย รับแส้ม้าจากมือจางหลันผู้ติดตามคนสนิทที่อยู่กับเขามาหลายปี ก่อนจะพลิกกายขึ้นม้า เมื่อกลับถึงเรือนพักก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว

วุ่นวายมาตลอดกลางวันจึงยังไม่ได้กินสิ่งใดเพื่อเติมท้องให้อิ่ม เว่ยเหยี่ยนเข้าห้องอาบน้ำเปลี่ยนเป็นสวมชุดที่หลวมสบายเดินออกมา รินสุราดื่มคนเดียวอยู่ใต้หน้าต่าง พอดื่มสุราลงไปครึ่งป้าน เบื้องหน้าสายตาก็ผุดภาพของหญิงสกุลเฉียวขึ้นมาอีกโดยไม่รู้ตัว

ในโถงจัดเลี้ยงตอนกลางวัน นางงดงามเฉิดฉายไร้ผู้ใดเปรียบ นึกไม่ถึงว่านอกจากเลอโฉมแล้วนางยังมีสติปัญญาเหนือใคร ชวนให้เขาประหลาดใจไม่น้อย ตกค่ำตอนไปส่งสวีฮูหยินกลับเรือนอุดร นางก็คอยติดตามรับใช้อยู่ข้างกายสวีฮูหยิน ยามนั้นแสงไฟบนระเบียงทางเดินไม่สว่างนัก ซ้ำนางยังยืนอยู่ไกลท่ามกลางสตรีกลุ่มหนึ่ง ทว่าเขาก็ยังเห็นนางได้ในปราดเดียว อาศัยสีรัตติกาลสลัวลอบมอง จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่อาจเบนสายตาจากไปได้ เพียงแต่หญิงสกุลเฉียวซึ่งราวเทพธิดาที่ไม่อาจลบหลู่ผู้นั้น ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่ได้ชายตาแลมาทางเขาเลยสักนิด

ท้องไส้ของเว่ยเหยี่ยนร้อนผ่าวขึ้นทีละน้อย ในกายคล้ายมีไฟซึ่งไม่รู้ที่มาจุดปะทุขึ้น สุราแม้อยู่เบื้องหน้า ทว่าปากคอกลับแห้งผาก ครั้นเบือนหน้าไปเห็นนางบำเรอคนโปรดที่คอยรับใช้อยู่ด้านข้างมองตนด้วยสายตาทอดไมตรีหยาดเยิ้ม เว่ยเหยี่ยนก็ยกยิ้มพลางผลักจอกสุราออก ยื่นมือฉุดร่างนางมานั่งบนตักของตน พริ้มตาก้มหน้าลงสูดหายใจลึกล้ำ ดอมดมกลิ่นกล้วยไม้อ่อนจางที่แผ่กำจายจากในปกเสื้อตรงหลังคอของนางบำเรอ ในห้วงความคิดผุดภาพนั้นอีกครา ภาพของลำคอขาวพิสุทธิ์ดุจหยกที่เผยออกมายามโฉมสะคราญหันแผ่นหลังให้ตนเมื่อแรกพบที่ร้านเข้ากรอบ ผิวกายของนางแสนอ่อนเยาว์ ถึงขั้นมองเห็นขนอ่อนดุจขนเด็กแรกเกิดแต่ละเส้นบนใบหู ทั่วกายของชายหนุ่มพลันร้อนแผดเผายากทานทน เขาสะกดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป ยื่นมือจากด้านหลังมากระชากเปิดสาบเสื้อของนางบำเรอคนโปรดในคราวเดียว เคล้นคลึงความอวบอิ่มที่อยู่ภายในอย่างหนักหน่วง

นางบำเรอไม่รู้ว่าเหตุใดราตรีนี้เพิ่งเริ่มต้นเว่ยเหยี่ยนก็ดุดันถึงเพียงนี้ นางถูกเขาบีบเคล้นจนรู้สึกเจ็บแต่ก็ไม่กล้าต่อต้าน ทำได้เพียงแสร้งเปล่งเสียงชวนเสียวซ่านวิญญาณเพื่อเอาอกเอาใจเขา

สีหน้าของเว่ยเหยี่ยนดุดัน เขาวางนางบำเรอที่ถูกเปลื้องอาภรณ์กับขอบโต๊ะ ทันทีที่เลิกชายเสื้อของตนขึ้น เขาก็หยุดชะงัก ก่อนจะเงยศีรษะขึ้นช้าๆ

ริมหน้าต่างมีเงาดำรูปกายสูงใหญ่เพิ่มมาหนึ่งสาย เว่ยเหยี่ยนมองปราดเดียวก็จดจำโครงร่างของผู้มาเยือนได้

แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นอึมครึม แรงปรารถนาเมื่อครู่พลันเหือดหายในพริบตา คล้ายมีจิตสังหารท่วมทะลักมาแทนที่

เดิมทีนางบำเรอคนโปรดกำลังหลับตารอคอยเขามอบความรัก ทว่าจู่ๆ เว่ยเหยี่ยนกลับนิ่งไปเสียเฉยๆ นางนึกฉงนอยู่บ้างจึงลืมตาขึ้นมา เห็นเขากำลังเพ่งมองไปนอกหน้าต่าง นางเหลียวมองตามไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ไม่คาดว่าจะได้เห็นเงาดำสายหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น นางตระหนกสุดขีดกรีดร้องเสียงแหลมออกมา

“ออกไป” เว่ยเหยี่ยนค่อยๆ ยืดกายยืนตรงแล้วเอ่ยเรียบๆ

นางบำเรอรู้ว่าเขากำลังพูดกับนาง มือไม้ที่ปั่นป่วนรีบดึงอาภรณ์กลับมาทบปิดสาบเสื้อ จากนั้นก็ก้มหน้างุดวิ่งซอยเท้าออกจากห้องไปอย่างรีบร้อน

เงาดำที่ด้านนอกจึงข้ามหน้าต่างเข้ามา ชุดที่สวมใส่เป็นอาภรณ์ชาวฮั่น เมื่อถอดหมวกออกก็เผยให้เห็นใบหน้าของบุรุษวัยกลางคนที่ไว้หนวดเคราหยิกงอจรดถึงจอนผม เขาคำนับเว่ยเหยี่ยนอย่างนอบน้อมก่อนเอ่ยปาก “นายกองฮูเหยี่ยนเลี่ยมาเรียนถามความเป็นอยู่ของนายน้อยขอรับ ไม่ทราบว่าท่านสบายดีหรือไม่”

เว่ยเหยี่ยนพูดเสียงเย็นชา “เจ้ามาทำอะไร ที่นี่คืออวี๋หยาง ทำเหมือนในเมืองไร้ผู้คนไปได้ หรือแน่ใจว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า?”

ฮูเหยี่ยนเลี่ยกล่าว “รื่อจู๋อ๋องคิดถึงนายน้อย บ่าวรับคำสั่งเสี่ยงตายมาเชิญนายน้อยกลับไป โชคดีที่หลบพ้นทหารรักษาการณ์มาได้ หากนายน้อยจะสังหารบ่าว บ่าวก็เต็มใจรับความตายขอรับ”

เว่ยเหยี่ยนเอ่ยเน้นทีละคำ “นี่เจ้าเป็นคนรนหาที่ตายเองนะ”

ไม่ทันขาดคำ เสียงเช้งก็ดังขึ้นพร้อมกับประกายสีขาวที่วาบผ่าน เว่ยเหยี่ยนชักกระบี่ออก ปลายกระบี่แทงตรงเข้าสู่หน้าอกซ้ายของฮูเหยี่ยนเลี่ย

กระบี่จมเข้าสู่เนื้อหนังไปทีละชุ่น ไม่ช้าโลหิตสีแดงเข้มก็ทะลักออกจากเสื้อตรงหน้าอกของฮูเหยี่ยนเลี่ย ค่อยๆ ซึมกระจายอย่างช้าๆ จนกระทั่งหยดกระเซ็นลงพื้น

สีหน้าของฮูเหยี่ยนเลี่ยเผือดขาวขึ้นเรื่อยๆ เขาทรุดเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ทว่าดวงตาทั้งคู่ยังคงมองตรงไปที่เว่ยเหยี่ยน สองบ่าไม่สั่นไหวแม้สักครั้ง

“หากข้าแทงลึกลงไปอีกเพียงชุ่นเดียว เจ้าคิดว่าตัวเองยังจะมีชีวิตรอดอีกหรือไม่” แววตาของเว่ยเหยี่ยนเฉียบขาด

“คนเราช้าเร็วก็ต้องตาย ได้ตายใต้คมกระบี่ของนายน้อย ฮูเหยี่ยนเลี่ยไม่นึกเสียดาย” ฮูเหยี่ยนเลี่ยเอ่ยเสียงหนักแน่น

แซ่ฮูเหยี่ยนคือหนึ่งในวงศ์ตระกูลที่เรืองอำนาจของชาวซยงหนู ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความห้าวหาญดุดัน อีกทั้งคนในตระกูลนี้ส่วนใหญ่ก็ล้วนครองตำแหน่งสูงอยู่ในราชสำนัก

เว่ยเหยี่ยนหรี่ตาลงนิดๆ ชั่วครู่ให้หลังจึงดึงกระบี่ออกอย่างช้าๆ แล้วหยิบผ้าผืนหนึ่งมาเช็ดคราบเลือดบนปลายกระบี่ เขาเอ่ยเสียงเย็นโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง “ฉวยจังหวะตอนที่ข้ายังไม่เปลี่ยนใจ จงไสหัวไปเดี๋ยวนี้ ต่อไปอย่าให้ข้าเห็นเจ้าอีก”

บุรุษซยงหนูฉีกตัวเสื้อแถบหนึ่งมาพันแผลลวกๆ ปิดปากแผลที่ยังคงมีเลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด สุดท้ายจึงใช้ฝ่ามือกดบาดแผลเอาไว้ ยืนขึ้นจากพื้นช้าๆ พลางเอ่ยขณะมองเว่ยเหยี่ยน “ขอบพระคุณนายน้อยที่ไว้ชีวิต วันนี้ที่บ่าวเสี่ยงตายมาก็ไม่ได้มีเจตนาอื่นใดเคลือบแฝง ท่านอ๋องรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดมารดาของชายาผู้ล่วงลับ จึงบัญชาให้บ่าวมาอวยพรวันเกิดแทนท่านอ๋องโดยเฉพาะ หากนายน้อยยินยอมนำเจตนาดีของท่านอ๋องไปถ่ายทอด หัวเข็มขัดทองคำยี่สิบอัน ผ้าแพรเนื้อหนาสีชาดกับผ้าไหมสีเขียวอย่างละยี่สิบพับ และอาชาพ่วงพียี่สิบตัว ล้วนเตรียมไว้พร้อมแล้ว รออยู่ที่นอกกำแพงเมืองไต้นี่เอง”

เว่ยเหยี่ยนหัวเราะหยัน

“เจตนาของเขาคืออยากให้คนสกุลเว่ยได้รู้ชาติกำเนิดของข้ากระมัง นับแต่นี้จะได้มีใจระแวงจนไม่อาจยอมรับข้าได้สินะ”

“ท่านอ๋องมิได้มีเจตนาเช่นนั้นเลยขอรับ” บุรุษนามฮูเหยี่ยนเลี่ยค้อมกายให้เขา “หากนายน้อยไม่ยินยอมถ่ายทอดให้ ท่านอ๋องก็ได้แต่เลิกล้มไป บ่าวได้นำจดหมายที่ท่านอ๋องเขียนด้วยตัวเองมาหนึ่งฉบับ ขอนายน้อยโปรดอ่านด้วย”

ฮูเหยี่ยนเลี่ยหยิบหนังแพะม้วนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เขาวางลงบนมุมโต๊ะแล้วถอยหลังไปหลายก้าว

“บ่าวมิกล้ารบกวนความสงบของนายน้อยอีก บ่าวขอตัวก่อนขอรับ”

ฮูเหยี่ยนเลี่ยคุกเข่าคำนับเว่ยเหยี่ยนอีกครั้ง

“ในกายของนายน้อยมีสายเลือดอันอุ่นระอุของพวกเราชนเผ่ายิงธนูไหลเวียนอยู่ ท่านอ๋องคิดคำนึงถึงนายน้อยทุกคืนวัน บัดนี้ฉานอวี๋สูงวัย เสียนอ๋องซ้ายระแวงระวังท่านอ๋องอยู่ทุกทาง ท่านอ๋องกำลังรอคอยให้นายน้อยกลับไปช่วยเหลือโดยด่วน อีกอย่างด้วยความสามารถอันล้ำเลิศของนายน้อย สมควรจะเป็นอินทรีผงาดฟ้ามากกว่า ท่านยินยอมพร้อมใจที่จะลดตัวรับใช้ผู้อื่น ไม่อาจสำแดงปณิธานเช่นนี้ไปชั่วชีวิตจริงหรือขอรับ”

ฮูเหยี่ยนเลี่ยพลันเอ่ยทิ้งท้าย เขาลุกขึ้นพลิกกายออกไปทางหน้าต่างเช่นเดิม ก่อนที่เงาร่างของเขาจะหายลับไปกับความมืดตรงส่วนลึกของลานอย่างรวดเร็ว

ปลายกระบี่ในมือเว่ยเหยี่ยนจรดสัมผัสพื้น ดวงตาเพ่งมองแผ่นหนังแพะที่วางอยู่บนมุมโต๊ะม้วนนั้น แล้วยืนเหม่อลอยอยู่เนิ่นนาน

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

sangdow Marcom: