ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3 บทที่ 96-97 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3 บทที่ 96-97 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3

ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่

แปลโดย : สนสราญ

ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

 เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

ปัญหาครอบครัว การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การตาย การฆาตกรรม การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่ การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ

และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

    

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 96

เคลื่อนไหวตามอำเภอใจ

 

หักหลังกลุ่มของตัวเองเพื่อผู้อื่น เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเลวร้ายหรือเปล่า

แน่นอนว่าหากว่ากันตามหลักศีลธรรมแล้ว คนทรยศสมควรถูกทอดทิ้ง

แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานชายหน้าเหลี่ยมที่ดีมอสจ้องสำรวจเข้าไปถึงความหวาดกลัวที่ซ่อนลึกลงไปภายในจิตใจรายนั้นก็เป็นคนของกลุ่มหวนเซียงถวนเหมือนกัน คนคนนั้นทำตัวน่าละอายยิ่งกว่า ถึงขนาดฆ่าเพื่อน ยึดไอเทมของชาวบ้านไปเป็นของตัวเอง จากนั้นก็แสร้งทำเป็นโศกเศร้ากอดศพของเพื่อนที่ตนเองฆ่าร่ำไห้เจ็บปวดเจียนขาดใจ

พอมีตัวอย่างให้เปรียบเทียบ การคาบข่าวมาบอกคนอื่นของฉงเยวี่ยจึงดูเบากว่ากันมาก

ทว่าเรื่องพวกนี้ล้วนแต่เป็นความคิดของคนนอก

เพราะไม่ใช่ทั้งคนของกลุ่มหวนเซียงถวนและไม่ใช่คนของกลุ่ม VIP แน่นอนว่าพวกเขาย่อมเอ่ยปากวิพากษ์วิจารณ์กันได้สบายๆ

แต่สำหรับคนในแล้วกลับไม่อาจทำเช่นนั้น

นับได้ว่าฉีฮว่าเยือกเย็นและสุขุมที่สุด

ตั้งแต่ต้นจนจบหัวคิ้วเขาไม่แม้แต่จะขยับ ท่าทางราวกับตัวเองไม่ใช่หัวหน้ากลุ่มหวนเซียงถวน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฉงเยวี่ยทรยศหักหลังก็ดี เรื่องลอบเล่นงานกลุ่ม VIP ก็ช่าง ทั้งหมดล้วนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา

สภาพจิตใจยอดเยี่ยมเช่นนี้ คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านคนอื่นๆ ต่างพากันนึกละอายใจ

ตอนนี้ในกลุ่มคนที่ไม่มีตราประทับเหลือสมาชิกจากกลุ่มหวนเซียงถวนเพียงสองคนเท่านั้น ทว่าปฏิกิริยาของพวกเขากลับเรียกได้ว่ามีเลือดเนื้อมีจิตใจ ขณะที่ดีมอสพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง พวกเขาก็มองไปทางฉงเยวี่ยคล้ายไม่อยากเชื่อ หวังจะได้ยินพี่น้องของตัวเองตัดบทผู้คุมด่านด้วยความหนักแน่น ด่าอีกฝ่ายว่าแต่งเรื่องได้ทุเรศมากออกมาคำหนึ่ง

ทว่ากลับไม่มี

สิ่งที่พวกเขามองเห็นคือฉงเยวี่ยพูดอะไรไม่ออก สีหน้าแข็งทื่อมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งดีมอสพูดจบ ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำไปหมด เนื้อตัวสั่นสะท้านเบาๆ

ความจริงเป็นแบบไหนอย่างไรล้วนประจักษ์ชัดแล้ว

เรื่องนี้ทำเอาสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนทั้งสองอกกระเพื่อมรุนแรง ภาพที่พวกเขากับฉงเยวี่ยร้องด่าตำหนิติติงชายหน้าเหลี่ยมในตอนแรกคล้ายกำลังตบใส่หน้าพวกเขาคนแล้วคนเล่า

“ทำไม…” ในที่สุดหนึ่งในสองของสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนก็เอ่ยปาก ไม่ใช่ซักไซ้ด้วยความโกรธแค้น ไม่ใช่เอ่ยปากตัดสัมพันธ์ เสียงนั่นเต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดไม่เข้าใจ

เสียงของอีกฝ่ายทำให้ฉงเยวี่ยตื่นจากความรู้สึกหวาดกลัว

เพราะไม่กล้าสบตากับสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนทั้งสอง ดังนั้นฉงเยวี่ยจึงได้แต่มองดีมอสต่อ

“ขอโทษ…”

คำพูดประโยคนี้เขามอบมันให้กับพี่น้อง

“แต่ฉันไม่นึกเสียใจ”

คำพูดประโยคนี้เขาบอกกับตัวเอง

ฉงเยวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง ฟังเสียงหัวใจตัวเองเต้นโครมคราม ขณะที่ลมหายใจเริ่มมั่นคงขึ้น จู่ๆ เขาก็พบว่าพอเรื่องที่เขากังวลมากที่สุดนี้เกิดขึ้นจริง มันกลับไม่ได้เป็นเหมือนวันสิ้นโลก ฟ้าไม่ได้ถล่มคนไม่ได้ตาย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกโล่งอกโล่งใจที่ไม่ต้องปิดบังต่อ

“ตั้งแต่เข้าร่วมกลุ่มหวนเซียงถวนฉันก็ยึดเอาที่นี่เป็นความเชื่อเป็นความศรัทธาของฉันมาโดยตลอด เกียรติยศของกลุ่มหวนเซียงถวนคือเกียรติยศของฉัน ใครดูแคลนกลุ่มหวนเซียงถวนก็เท่ากับดูถูกฉันด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นใครหรือกลุ่มไหน ขอเพียงกล้าหยามเกียรติกลุ่มหวนเซียงถวนของพวกเรา ฉันก็พร้อมที่จะชักหน้าใส่คนคนนั้น จนกระทั่งได้มาพบกับกลุ่ม VIP…”

ตลอดระยะเวลาเนิ่นนานนี่นับเป็นครั้งแรกที่ฉงเยวี่ยเผชิญหน้ากับจิตใจของตัวเอง

“เรื่องที่ฉันถูกกลุ่ม VIP ตบหน้าพวกนายเองก็รู้ ตอนฉันถูกหัวหน้ากลุ่มลงโทษพวกนายเองก็อยู่ที่นั่น บางทีพวกนายอาจรู้สึกว่าที่ฉันคาบข่าวไปบอกกลุ่ม VIP ก็เพราะตอน PK กันในห้องฝึกซ้อมพวกเขาปล่อยฉันครั้งหนึ่ง หรืออาจเป็นเพราะฉันแค้นที่ถูกหัวหน้ากลุ่มลงโทษ

ถ้าพวกนายให้ฉันตอบ คำตอบของฉันก็มีทั้งที่ใช่และไม่ใช่

ใช่ เพราะกลุ่ม VIP แต่ไม่ใช่ว่าฉันคิดจะตอบแทนน้ำใจของพวกเขา แต่เป็นเพราะพวกเขาทำให้ฉันตระหนักได้เป็นครั้งแรกถึงความหมายที่แท้จริงของการรวมตัวอยู่ด้วยกันบนโลกใบนี้ว่ามันคืออะไรกันแน่ คือการแย่งชิงทรัพยากรให้ได้มากยิ่งขึ้น? คือการปฏิเสธคนกลุ่มอื่น? หรือคือการให้คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทุกคนพากันปิดปากเงียบเมื่อได้ยินชื่อกลุ่มของนาย?

ไม่ใช่ เพราะฉันเชื่อว่าวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งกลุ่มในตอนแรกคือการรวบรวมคนให้มาอยู่ด้วยกัน ใช้พลังแข็งแกร่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันฝ่าด่าน แต่หลังจากผ่านไปปีแล้วปีเล่าก็ไม่รู้ว่าความหมายของกลุ่มมันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตอนไหน แม้แต่พวกเราทุกคนเองก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน แต่ไม่ใช่กับกลุ่ม VIP…

พวกเขาปล่อยฉันไม่ใช่เพราะเห็นว่าฉันเจริญหูเจริญตาและยิ่งไม่ใช่เพราะต้องการยุยงให้ฉันทรยศพรรคพวก แต่เหตุผลเพียงหนึ่งเดียวที่เขายอมปล่อยฉัน ก็เพราะพวกเขาเข้าใจกระจ่างแจ้งว่าศัตรูของพวกเราไม่ใช่คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน หากแต่เป็นสถานที่บัดซบนี่!”

ฉงเยวี่ยพูดจบแล้ว และเนื่องจากอารมณ์หวั่นไหวทำให้เขาหอบหายใจหนักหน่วง ท่ามกลางวิหารเทพเจ้าเงียบสงัดนี้เสียงนี้จึงฟังดูกระจ่างชัดเป็นพิเศษ

การทดสอบภายในวิหารเทพเจ้าดำเนินมาจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครสักคนที่พูดยาวรวดเดียวแบบนี้ เนื้อหาหรือก็ชวนให้ครุ่นคิด ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือเห็นต่าง จะมากจะน้อยคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทุกคนที่มีกลุ่มต่างถูกคำพูดดังกล่าวชักจูงให้ครุ่นคิดไตร่ตรอง

ที่ที่มีคนล้วนมียุทธภพ

ที่ที่มีคนล้วนมีสังคม

ยุทธภพวุ่นวาย สังคมซับซ้อนสับสน คนที่เข้าไปอยู่ในนั้นล้วนถูกชักจูงง่ายดาย สุดท้ายก็ลืมความจริงที่เรียบง่ายที่สุดข้อหนึ่งไป…ที่จริงนายไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ที่นายต้องทำมีเพียงแค่เชื่อมพลังของแต่ละคนเข้าด้วยกันแล้วหนีไป

แต่เพราะการต่อสู้ระหว่างกลุ่ม ระหว่างคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านต่างหากที่คอยบั่นทอนพลังนั่น

แปะๆๆ

ดีมอสปรบมือตัดบทความคิดอ่านสับสนของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน

“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันอดทนฟังคนพูดจาเหลวไหลได้จนจบ” เขายิ้มอ่อนโยน หางตาหางคิ้วแขวนไว้ซึ่งความรู้สึกเย้ยหยัน “พูดได้น่าฟังมาก เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ แต่น่าเสียดายที่จุดเริ่มต้นไม่ถูกต้อง”

เขาคว้าคอเสื้อของฉงเยวี่ย ดึงคนให้ขยับเข้ามาใกล้ “ภารกิจสำคัญของพวกนายที่นี่ไม่ใช่การผ่านด่าน หากแต่เป็นการเอาตัวรอด” เขาเก็บรอยยิ้มไปทีละน้อย น้ำเสียงทุ้มต่ำ “จับกลุ่มช่วยเหลือกันก็ดี ฆ่าฟันกันเองก็ดี ทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ก็ดี ฆ่าคนให้ร้ายผู้อื่นก็ดี ขอเพียงสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้ไม่ว่าจะแบบไหนก็ล้วนเป็นเรื่องที่ถูกต้อง คนตายไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น”

ฉงเยวี่ยอยากตอบโต้ แต่วินาทีถัดมาเขาก็สบตาเข้ากับตาของดีมอส

ในดวงตาคู่นั้นเขามองไม่เห็นตัวเอง

ที่เขามองเห็นคือเหวลึก

นับแต่ฉงเยวี่ยถูกดีมอสเลือก สมาธิของถังหลิ่นก็ไม่เคยเคลื่อนออกจากตัวของอีกฝ่าย ต่อให้เรื่องที่ฉงเยวี่ยขายข่าวให้พวกเขาถูกเปิดโปง กลุ่มหวนเซียงถวนตกใจ ฉงเยวี่ยชี้แจงความในใจ เขาล้วนไม่เคยลดความระแวดระวังลง ทั้งนี้ก็เพราะกลัวดีมอสจะฉวยโอกาสตอนเขาไม่ทันระวังปลิดชีวิตของฉงเยวี่ย

ตอนนี้เรื่องที่เขากังวลใจที่สุดเกิดขึ้นแล้ว

จู่ๆ ฉงเยวี่ยก็เนื้อตัวแข็งทื่อ สองตาเหม่อลอย นั่นเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าดีมอสลงมือแล้ว

อีกฝ่ายไม่คิดจะพูดคุยกับฉงเยวี่ยอีก บางทีนับแต่ตอนปรบมือเขาก็มอบโทษประหารให้อีกฝ่ายแล้ว

ฉงเยวี่ยไม่ใช่คนของกลุ่ม VIP

แต่ถังหลิ่นอยากช่วย

นับแต่ฉงเยวี่ยบอกข่าวให้กับพวกเขา เขาก็อยากจะช่วยอีกฝ่าย

ยิ่งกับคำพูดที่อีกฝ่ายโพล่งออกมาเมื่อครู่ ก็ยิ่งทำให้เขาอยากช่วยมากขึ้นอีก!

‘เงาร่างหมาป่าโดดเดี่ยว’ เริ่มต้นทำงานแทบจะในเวลาเดียวกับที่ร่างของฉงเยวี่ยแข็งทื่อ เงาสีดำที่ปรากฏออกมาจากอากาศพุ่งเฉียงไปทางด้านหลังของดีมอสแล้วกระโจนเข้าใส่แผ่นหลังของอีกฝ่ายรวดเร็วดุดัน

ฟุ่บ

เงาร่างหมาป่าพุ่งแหวกอากาศ

ทันทีที่ได้ยินเสียงดีมอสก็หันหลังกลับมา ถึงจะยังไม่ทันเห็นชัดแต่เขาก็เบี่ยงกายหลบไปทางด้านข้างด้วยท่าทางคล่องแคล่วได้ทันท่วงที ปฏิกิริยาตอบสนองต่ออันตรายตามสัญชาตญาณนับว่ารวดเร็วกว่าตาเห็น

เงาร่างหมาป่าเฉียดผ่านไหล่ของเขาไป ทันทีที่แตะถูกพื้นมันก็หันกลับมา บังขวางอยู่หน้าฉงเยวี่ย คำรามเสียงทุ้มต่ำขู่ใส่ดีมอส

เมื่อการจ้องตากันถูกขัดจังหวะ แววตาเหม่อลอยของฉงเยวี่ยก็ค่อยๆ กลับเป็นปกติอีกครั้ง

ดีมอสไม่นึกสนใจ ไม่แม้แต่จะมอง สมาธิทั้งหมดล้วนจับอยู่บนร่างของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน เขาจะเอาชีวิตฉงเยวี่ยเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ตอนนี้สิ่งที่เขาจำเป็นต้องรู้ให้ได้คือใครไม่รู้จักเจียมตัว กล้าขวางทางมีดแทนเจ้าอ้วนนี่

ถังหลิ่นตั้งใจจะเดินออกมาจากกลุ่มคนที่มีตราประทับ แต่ทันทีที่ขยับฟั่นเพ่ยหยางก็คว้าแขนเขาเอาไว้แน่น

เขาออกแรงคว้าไว้จนถังหลิ่นหน้านิ่วเจ็บปวด

เมื่อหันหน้ามองไปถังหลิ่นก็พบว่าฟั่นเพ่ยหยางกำลังไม่พอใจ เขาดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามสะกดกลั้นอารมณ์อยู่อย่างสุดกำลังจนไฟแทบจะลุกโชนออกมาจากสองตา

ไม่มีสัญญาณอะไรบอกให้ฟั่นเพ่ยหยางรู้เลยว่าถังหลิ่นกำลังจะลงมือ ถ้าสังเกตเห็นเร็วกว่านี้ เขาไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายปล่อย ‘เงาร่างหมาป่าโดดเดี่ยว’ ออกมาแน่!

ถังหลิ่นสะบัดมือฟั่นเพ่ยหยางออกจนเกิดเสียงดัง

ดีมอสเห็นการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นแล้ว

ถังหลิ่นจะออกมาหรือไม่ออกมาก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก

“นายคิดจะช่วยเขา?” ใบหน้าของดีมอสราบเรียบไร้ความรู้สึก น้ำเสียงสงบนิ่งไม่ต่างอะไรกับผิวน้ำช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ปราศจากลม

ถังหลิ่นส่ายหน้า “คุณไม่ควรคิดว่าผมมีความสามารถพอจะช่วยเขาได้และผมเองก็ไม่คิดแบบนั้น” เขาหยุดไปชั่วขณะ “ดังนั้นไม่สู้เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่าเป็นผมไม่อยากให้คุณฆ่าเขาดีกว่าเหรอ”

สายตาของดีมอสที่พิจารณาดูถังหลิ่นนั้นแฝงไว้ด้วยความหมายคลุมเครือ “ในเมื่อรู้ว่าช่วยไม่ได้แล้วยังคิดจะช่วย?”

ถังหลิ่นบอก “พยายามอย่างสุดความสามารถ ที่เหลือก็แล้วแต่สวรรค์”

ทันทีที่พูดจบเงาร่างหมาป่าที่ยืนอยู่หน้าฉงเยวี่ยก็พุ่งเข้าใส่ดีมอส

คราวนี้ดีมอสไม่ได้ถอย ตรงกันข้ามกลับรอให้เงาร่างหมาป่ามาถึงตรงหน้า เขายกมือขึ้นวาดใส่ท้องของเงาร่างหมาป่ารวดเร็วราวกับเป็นมีดเล่มหนึ่ง

ไม่ว่าใครก็ไม่เคยเห็นการเคลื่อนไหวแบบนี้ของดีมอส

ถ้ามือของเขาเป็นมีดจริง จุดจบของเงาร่างหมาป่าคงไม่พ้นไส้ทะลัก

ถังหลิ่นสะท้านไปทั้งใจ เขารีบสั่งให้เงาร่างหมาป่ากลายร่างเป็นหมอกดำทันที

ทว่าสำนึกด้านการโจมตีของเงาร่างหมาป่าแข็งแกร่ง มันไม่ยอมสลายตัว

ปลายนิ้วของดีมอสที่สัมผัสถูกเงาร่างหมาป่านั้นกำลังกรีดลงล่าง

จู่ๆ ก็มีวัตถุชิ้นหนึ่งพุ่งแหวกอากาศมา เร็วจนแทบมองไม่เห็นว่ามันคืออะไร กระแทกเข้าใส่มือของดีมอสราวกับกระสุนปืนใหญ่

ถูกเล่นงานโดยไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนั้น มือของดีมอสก็ถูกกระแทกเบี่ยงออกไปจากเดิม

เงาร่างหมาป่าโจมตีใส่เป้าหมายได้อย่างราบรื่นตามแรงเฉื่อย ขาหน้าทั้งสองข้างตวัดใส่ช่วงอกทิ้งรอยฉีกขาดสามแถวสองรอยไว้บนทักซิโดสีดำของดีมอส

รอยฉีกขาดทะลุจากทักซิโดไปถึงเสื้อเชิ้ต เผยให้เห็นแผ่นอกขาวอยู่รางๆ

พอโจมตีสำเร็จมันก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว เงาร่างหมาป่าเจ้าเล่ห์แพรวพราวรู้ดีว่าเมื่อไหร่ควรสู้ตาย เมื่อไหร่ควรถอย

เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นกะทันหัน ทำเอาดีมอสแม้แต่จะนึกโกรธก็ยังลืม เขาลูบมือที่ถูกกระแทกจนแดง เรื่องแรกที่เขาทำคือก้มหน้ามองหาวัตถุปริศนานั่น

อาหารกระป๋องกระป๋องหนึ่งนอนอยู่บนพื้นห่างจากข้างเท้าเขาไปไม่ไกล

เขาเห็นชัดแล้ว

บรรดาคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านเองก็เห็นชัดเช่นกัน

หลังจากนั้นในกลุ่มคนที่ไม่มีตราประทับก็มีเสียงตะโกนร้องไห้ฟูมฟายของเฉวียนม่ายดังขึ้นมา “เนื้อกระป๋อง มื้อเที่ยงของฉัน”

นั่นเป็นสิ่งประโลมจิตใจเพียงหนึ่งเดียวของการทำเควสต์ฝ่าด่านในคืนนี้ของเขา ขนาดตอนเกือบถูกทำให้บ้าตายอยู่ใน ‘ทะเลลึกชวนสะพรึง’ เขาก็ยังตัดใจกินไม่ลง

ฟั่นเพ่ยหยาง

‘เสียงสวรรค์ของคนคร้าน’

ถังหลิ่นคิดหันกลับไปดูประธานฟั่นของกลุ่มตัวเอง แต่เพิ่งหันหน้าไปได้ไม่ทันไรมือใหญ่ๆ ข้างหนึ่งก็กดหัวเขาไว้ ฝืนให้เขามองดูดีมอสต่อ “อย่าเสียสมาธิ”

ฉงเยวี่ยไม่มีคนขวาง ดังนั้นคิดอยากหันหน้าเขาก็หัน สายตาที่มองไปทางถังหลิ่นกับฟั่นเพ่ยหยางนั้นไม่อาจใช้คำว่า ‘ซาบซึ้ง’ แค่คำเดียวมาบรรยายได้ หากแต่ผสานไว้ซึ่งความรู้สึกซับซ้อนลึกล้ำมากมาย สิ่งนี้ทำให้ตาของเขาเจ็บ แดงระเรื่อยากจะควบคุม

สายตาของดีมอสจับจ้องไปมาระหว่างพวกเขาสามคน แล้วก็เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน

ความรู้สึกไม่สบอารมณ์ปรากฏอยู่ในแววตาของเขาเพิ่มมากขึ้นทีละน้อย “ไม่รู้จักเจียมตัวเอาเสียเลย แถมยังมีหน้ามาทำซาบซึ้งอีก ภาพแบบนี้ฉันโคตรเกลียดเลย”

พูดจบจู่ๆ เขาก็พุ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าฉงเยวี่ย สี่นิ้วคมกริบราวกับปลายมีดพุ่งเข้าใส่ลำคออ่อนแอของฉงเยวี่ย

ฉงเยวี่ยสะดุ้ง สองตาเบิกกว้าง ไม่มีเวลาพอให้หลบ

ฟุ่บ

เงาร่างหมาป่าพุ่งกระโจนเข้ามาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง มันไม่ได้กระโจนใส่ดีมอส หากแต่เป็นฉงเยวี่ย

ฉงเยวี่ยถูกชนล้ม ร่างกระแทกพื้นดังโครมใหญ่ รอดพ้นจากการโจมตีของดีมอสได้อย่างฉิวเฉียด เรียกได้ว่าคล่องแคล่วปราดเปรียวกว่าหลบเองหลายร้อยเท่า

ในเวลาเดียวกันวัตถุคมกริบอีกชิ้นก็พุ่งลอยแหวกอากาศเข้ามา

เนื่องจากมีประสบการณ์มาก่อน คราวนี้คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านจึงสามารถจับรูปร่างเค้าโครงของวัตถุแหลมๆ นั่นได้อย่างรวดเร็ว

อู่อู่เฟินสมาชิกกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนเองก็เช่นกัน ท่ามกลางความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเขาคลำไปที่ข้างเอวของตัวเอง “เชี่ย มีดพกฉัน”

เฉวียนม่ายที่เพิ่งจะสูญเสียเนื้อกระป๋องที่เป็นมื้อกลางวันไป รู้สึกเหมือนได้รับความยุติธรรมขึ้นมาเล็กๆ

เสียงอุทธรณ์ของคนเป็นเจ้าของพวกนั้นไม่ได้ส่งผลอะไรต่อปฏิกิริยาตอบสนองของดีมอส เท้าเขายังคงไม่ขยับ มีเพียงร่างกายท่อนบนเท่านั้นที่เอนไปด้านหลังเล็กน้อย หากวิเคราะห์ถึงเส้นทางของวัตถุมีคมนั่น การเคลื่อนไหวเพียงเท่านี้เพียงพอที่จะหลบพ้นได้อย่างสบายๆ แล้ว

ทว่าหลังจากเอนตัวไปด้านหลังได้ไม่เท่าไหร่เขาก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

ความเร็วไม่ถูกต้อง

จู่ๆ การเคลื่อนไหวของเขาก็ช้าลง!

ภายใต้แสงสายัณห์ฉงเยวี่ยที่ควรตายไปก่อนหน้านี้สีหน้าหนักแน่นจดจ่อ กล้ามเนื้อทั่วร่างเขม็งตึง เห็นได้ชัดว่ากำลังควบคุมต้นไอเทม

ไอเทมลดความเร็ว?

ดีมอสรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกคนเข้ามาขวางมือขวางเท้า เจ้าอ้วนรวมถึงประเภทของต้นไอเทมของอีกฝ่ายล้วนสร้างความรำคาญให้กับเขาสุดๆ

มีดคมกริบมาถึงตรงหน้าแล้ว

ด้วยความเร็วของดีมอสในเวลานี้เขาไม่สามารถหลบมีดสั้นนั่นได้พ้น ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไม่หลบ หันมารวบรวมสมาธิเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย ก่อนจะยกมือขึ้นมารับคมมีดตรงๆ

คนที่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ต่างมองกันตาค้าง “…”

รับมีดด้วยมือเปล่าเนี่ยนะ

ในตอนนั้นเองลมสายหนึ่งก็พัดวูบเข้าใส่แผ่นหลังของดีมอสไปอย่างรวดเร็ว

โลหะส่องประกายวับวาวแหวกผ่านอากาศเกิดเป็นเส้นสีขาว

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านแต่ละคนรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจ คราวนี้ฟั่นเพ่ยหยางขโมยมีดใครมาอีกล่ะเนี่ย

ชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขาให้คำตอบกับทุกคนอย่างรวดเร็ว “เฮ้ นั่นมันวอลนัทเหล็ก* ของผม”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “ทำไมนายถึงทำตัวพิลึกพิลั่นแบบนี้!”

ชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขา “พกมีดอาจทำให้ตัวเองบาดเจ็บได้ง่าย แล้วก็อันตราย!”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “วอลนัทเหล็กไม่อันตราย แล้วมีประโยชน์อะไร”

ชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขา “เวลาอยู่ว่างๆ สามารถใช้มันฝึกกำลังมือได้”

ทุกคน “…”

ปลอดภัยพกพาได้ง่าย ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย หนำซ้ำยังมีเหตุผลด้านมรดกทางวัฒนธรรมสนับสนุน นายชนะ

การต่อสู้เริ่มต้น คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องต่างพากันชักเท้าแยกย้ายไปยืนอยู่ตลอดสองข้างทาง ในเวลานี้การต่อสู้โจมตีของทั้งสองฝ่ายหยุดชะงักลงชั่วขณะ กลางสมรภูมิรบดีมอสยืนอยู่ด้านหนึ่ง ถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยาง และฉงเยวี่ยยืนอยู่อีกด้าน ต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกัน แบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน

เสื้อผ้าของดีมอสขาดวิ่นทว่าคนกลับไม่กระเซอะกระเซิง เขายังคงสงบนิ่ง ผิวหนังหรือก็ยังคงขาวไร้สีเลือด แม้ต้องหลบเลี่ยงอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่มันกลับไม่ทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเลยแม้แต่น้อย

แต่ไม่ใช่สำหรับคนทั้งสาม

ไม่ว่าจะเป็นฟั่นเพ่ยหยางที่ลงมือโจมตีมากที่สุด หรือคนที่รองลงมาอย่างถังหลิ่น รวมถึงฉงเยวี่ยที่คอยช่วยเหลืออยู่ตลอดระยะเวลาครึ่งหลัง กำลังกายของพวกเขาล้วนถดถอยลงในระดับที่ต่างกันออกไป ฟั่นเพ่ยหยางจังหวะลมหายใจไม่สม่ำเสมออยู่เล็กๆ ถังหลิ่นมีเหงื่อเกาะอยู่ที่ปลายจมูก ฉงเยวี่ยเห็นชัดที่สุด อกของเขากระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหอบหายใจ

ดีมอสนิ่งมองดูคนที่สามที่อยู่ตรงหน้า จู่ๆ ก็รู้สึกว่าสถานการณ์แบบนี้เขาเคยประสบพบเจอมาก่อน

ในตอนนั้นเขาเองก็มาคุมด่านเหมือนอย่างเวลานี้ ขณะกำลังคิดจะส่งคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านเดินทางไปยังปรโลก สุดท้ายก็มีคนคนหนึ่งเสนอหน้าออกมาปกป้อง

จำได้แล้ว

มุมปากของดีมอสยกขึ้นน้อยๆ ยากจะสังเกตเห็น

ฮั่วสวี่

วันนี้นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขานึกถึงคนคนนี้ ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่อีกฝ่ายได้ทิ้งความประทับใจลึกล้ำไว้ให้เขาจริงๆ

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือบทบาทของฮั่วสวี่ในคืนนั้นคือบทบาทเดียวกับเจ้าอ้วนที่อยู่ตรงหน้า

ไม่ใช่อีกฝ่ายโดดออกมาปกป้องคนอื่น

แต่เป็นตอนที่เขากำลังจะปลิดชีวิตฮั่วสวี่ กลับมีคนออกมาปกป้องอีกฝ่าย

เรื่องราวหลังจากนั้นยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่

หลังจากบรรดาผู้พิทักษ์ที่กระโดดออกมาปกป้องอย่างกระตือรือร้น พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับคนทั้งสามที่กำลังยืนคุมเชิงอยู่ตรงหน้าเขาอย่างในเวลานี้ ต่างกันตรงที่ฮั่วสวี่ไม่รับน้ำใจชาวบ้าน

คำพูดประโยคแรกที่ฮั่วสวี่บอกและอาจเป็นเพียงคำพูดประโยคเดียวคือ ‘ไสหัวไป อย่ามาเกะกะขวางทางฉัน’

ภาพเหตุการณ์นั่นอัศจรรย์สุดๆ

อัศจรรย์ถึงขั้นที่เวลานี้ดีมอสก็ยังอดนึกถึงสีหน้าท่าทางของเจ้าคนกระตือรือร้นคนนั้นซ้ำๆ ไม่ได้

ถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยาง และฉงเยวี่ย “…”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านคนอื่นๆ “…”

ผู้คุมด่านไม่พูด ไม่โจมตี เอาแต่ยืนนิ่งครุ่นคิด ท่าทีปล่อยปละละเลย รอยยิ้มแปลกประหลาดแขวนประดับอยู่บนใบหน้า นี่เป็นท่าเตรียมพร้อมต่อสู้แบบใหม่?

“ไม่สู้แล้ว” จู่ๆ ดีมอสก็ยักไหล่ สายตาจับจ้องไปที่ร่างของฉงเยวี่ยอีกครั้ง “เจ้าอ้วน นายโชคดีไม่เบา ตอนนี้ฉันอารมณ์ดี ยอมให้นายผ่านก็ได้”

ฉงเยวี่ย “…”

หนึ่งวินาทีก่อนเขาเพิ่งตัดสินใจสู้ตายหยกๆ แต่วินาทีถัดมาผู้คุมด่านกลับให้เขาผ่านด่านเสียดื้อๆ ชีวิตคนเราขึ้นๆ ลงๆ วูบวาบเกินไปหน่อยหรือเปล่า

“แต่พวกนายสองคนไม่ได้” ดีมอสเปลี่ยนเรื่องคุย หันมองไปทางถังหลิ่นกับฟั่นเพ่ยหยาง “พวกนายสองคนทำให้ฉันนึกสนุก เพราะฉะนั้นต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด”

“ได้” ในเมื่อกล้าช่วยฉงเยวี่ย ถังหลิ่นก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด “คุณจะเอาแบบไหนยังไงก็ว่ามา”

“ไม่ๆ ฉันชอบทำตามธรรมเนียมดั้งเดิม” ดีมอสพูด “เรามาคุยเรื่องความหวาดกลัวของนายกัน”

ถังหลิ่นรับคำอย่างไม่สะทกสะท้าน “เริ่มได้เลย”

ดีมอสส่ายหน้า “ฉันจะเก็บของที่อยากกินที่สุดไว้กินทีหลัง”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”

การท้าทายก่อนทำศึกสงครามจะใช้คำพูดรุนแรงแบบไหนก็ย่อมได้ แต่คำว่าแบบไหนยังไง ธรรมเนียมดั้งเดิม อยากกินพวกนี้นี่มันคืออะไรกัน!

พูดกับถังหลิ่นจบ ดีมอสก็หันมองไปทางฟั่นเพ่ยหยาง เขายังคงยิ้ม สายตาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบขึ้นทีละน้อย “ของอร่อยก็ต้องกินท้ายสุดถึงจะดี เพราะฉะนั้นคนต่อมาก็คือนาย”

ฟั่นเพ่ยหยางไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด แต่เพื่อความมั่นใจเขาจึงเอ่ยปากถามว่า “คุณต้องการคุยกับผม?”

ดีมอสเอียงคอน้อยๆ พิจารณาดูเขาตามอำเภอใจ “พวกนายสามคนลงมือกับฉัน ถ้าแม้แต่ค่าตอบแทนสักนิดก็ไม่ต้องจ่าย แบบนั้นมันคงสบายเกินไปหน่อย คนหนึ่งผ่านไปได้ อีกคนฉันตั้งใจเก็บไว้เป็นคนสุดท้าย ดังนั้นเขาตอนนี้จึงยังปลอดภัยอยู่ ในเมื่อเป็นแบบนั้นฉันก็คงได้แต่ต้องคุยกับนายแล้ว”

“ได้” ฟั่นเพ่ยหยางไม่สนใจลำดับการพูดคุย “แต่ก่อนจะคุยกัน” เขามองไปทางถังหลิ่น “ผมต้องคุยกับเขาสองสามประโยคก่อน”

เขาบอกว่า ‘ต้อง’ ไม่ได้บอกว่า ‘อยาก’

ความต่างของคำสองคำนี้ทำเอาดีมอสเลิกคิ้ว

บางทีคนอื่นอาจไม่ทันสังเกต ทว่าสำหรับคนที่ทำการทดสอบคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างเขากลับสามารถจับความรู้สึกนี้ได้ชัดแจ้ง

‘ต้อง’ เป็นข้อเสนอ

‘อยาก’ เป็นการขอร้อง

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่เคยเอ่ยปากขอร้องเขามีอยู่มากมาย แต่คนที่ยื่นข้อเสนอออกมาตรงๆ กลับมีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น

คนที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ไม่แม้แต่จะหยุดคิด ทั้งหมดล้วนออกมาจากความรู้สึกแท้จริง

เกลียดจริงๆ เชียว

เขาจัดการมอบโทษประหารให้กับฟั่นเพ่ยหยางอยู่ภายในใจเรียบร้อยแล้ว

หลังจากนั้นเขาก็เตรียมแสดงความเมตตา ตอบรับข้อเสนอของอีกฝ่าย ขณะกำลังจะเอ่ยปากทางนั้นกลับชิงพูดขึ้นก่อน

ฟั่นเพ่ยหยาง “เรื่องแบบเมื่อกี้นี้ วันหน้าจะต้องไม่เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง”

ดีมอส “…”

ที่แท้ข้อเสนอเมื่อครู่นี้ก็เป็นแค่ขั้นตอนพิธีการอย่างหนึ่ง?

ไม่มีใครสนใจความรู้สึกของผู้คุมด่าน

ความสนใจของทุกคนล้วนรวมกันอยู่ที่ฟั่นเพ่ยหยางกับถังหลิ่น

อีกเดี๋ยวก็ต้องเจอกับบทสนทนาแห่งความเป็นความตายแล้ว แต่ฟั่นเพ่ยหยางกลับจะพูดคุยกับถังหลิ่นให้ได้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญมากแน่ๆ

นึกไม่ถึงว่าที่ฟั่นเพ่ยหยางเอ่ยปากจะเป็นเรื่องเมื่อครู่นี้

ช่วยเหลือเจ้าอ้วนเยวี่ย ซ้ำยังช่วยเหลือสำเร็จอีก ท่ามกลางความเป็นความตายแบบนี้พวกเขายังจะหยิบยกเรื่องนั้นขึ้นมาพูดอีก?

ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจ

ถังหลิ่นกลับรู้สึกว่า นึกอยู่แล้วเชียว สุดท้ายก็เลี่ยงไม่พ้น

นับแต่ยื่นมือเข้าช่วยฉงเยวี่ยเขาก็มองเห็นสายตาโกรธขึ้งไม่พอใจของฟั่นเพ่ยหยาง สะบัดมือฟั่นเพ่ยหยางพุ่งตัวออกไป นับแต่นั้นเขาก็รู้แล้วว่าต้องถูกอีกฝ่ายตามคิดบัญชีภายหลังแน่

ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายมีเพียงเรื่องเดียวคืออีกฝ่ายไม่คิดจะรอนานขนาดนั้น

“เรื่องอย่างเมื่อกี้นี้” ฟั่นเพ่ยหยางจ้องลึกเข้าไปในตาของถังหลิ่น ก่อนจะเอ่ยปากซ้ำด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ห้ามไม่ให้มีอีกเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด”

คำว่า ‘เด็ดขาด’ นั้นหนักแน่น ไม่เปิดโอกาสให้ถังหลิ่นได้นึกเคลือบแคลงสงสัย

ถังหลิ่นนิ่งมองดูเขา “ฉงเยวี่ยช่วยพวกเรา พวกเราก็ควรช่วยเขาเช่นกัน”

ฟั่นเพ่ยหยางบอก “ควร แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยง”

ถังหลิ่นถาม “คุณโกรธที่ผมทำตามอำเภอใจ?”

ฟั่นเพ่ยหยางไม่พูด แต่ท่าทีกลับชัดเจน

ทว่าถังหลิ่นไม่ยอมจำนน เขาจำเป็นต้องพูดให้ชัดเจนขึ้นไปอีก “คุณกลัวผมจะตาย?”

ฟั่นเพ่ยหยางขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบคำคำนี้ และยิ่งไม่ชอบที่จะได้ยินมันหลุดออกมาจากปากของถังหลิ่น แค่ได้ยินใจเขาก็เต้นไม่เป็นส่ำแล้ว

ถังหลิ่นถอนหายใจเบาๆ คล้ายปลดปล่อยความรู้สึกอัดอั้นที่เก็บไว้ในใจมาเป็นเวลานาน “ตอนนี้คุณคงเข้าใจความรู้สึกของผมแล้วใช่ไหม”

ฟั่นเพ่ยหยางตะลึงงัน คำถามที่มาอย่างไม่มีเค้าลางนี้ทำเอาเขาถึงกับไปไม่ถูก

ถังหลิ่นเองไม่ได้คิดจะพูดแทงใจดำอีกฝ่าย คราวที่แล้วเพราะโกรธจัดเขาถึงไม่อยากพูดและไม่มีเวลาพูด สุดท้ายจึงได้แต่ยึดอำนาจมาไว้กับตัว แต่ตอนนี้สบจังหวะพอดี เขาจำเป็นต้องพูดให้ฟั่นเพ่ยหยางเข้าใจ

“ผมทำตามอำเภอใจ คุณโกรธ เหตุผลเดียวกัน คุณทำตามอำเภอใจ ผมเองก็โกรธ คุณรู้ไหมว่าความรู้สึกที่หลังตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าคนหายตัวไป ทิ้งไว้ก็แต่โน้ตแผ่นหนึ่ง แถมข้างบนยังเขียนข้อความโกหกที่มองปราดเดียวก็เห็นทะลุปรุโปร่งมันเป็นยังไง”

ฟั่นเพ่ยหยางพูดอะไรไม่ออก เขาคิดว่าเรื่องที่ตัวเองไปต้งเสวียฉวินที่อยู่ใต้ทะเลตามลำพังนั้นผ่านพ้นไปแล้วเสียอีก นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรื้อฟื้นหยิบยกขึ้นมารุกฆาตใส่เขากะทันหันจนป้องกันไม่ทันแบบนี้

เขาทำตามอำเภอใจจริงๆ หากยังเอ่ยปากตำหนิถังหลิ่นอีก เช่นนั้นก็เท่ากับเขาทำตัวไร้เหตุผล

แต่ว่า…

“ไม่มีหาก ไม่มีแต่ ไม่มีทว่า” ขณะที่ฟั่นเพ่ยหยางกำลังคิดจะแก้ตัว ถังหลิ่นก็ตอกคำพูดของเขากลับมาจนหมด “คุณห่วงใยผมเท่าไหร่ ผมก็ห่วงใยคุณเท่านั้น ห่วงใยมากกว่า” จู่ๆ เขาก็หยุดชะงัก น้ำเสียงค่อยๆ กลับกลายเป็นสงบนิ่งแต่ในเวลาเดียวกันก็หนักแน่นมั่นคง “มากกว่าที่คุณคิด”

บางทีในเวลานี้เขาอาจยังไม่อาจตอบสนองความรู้สึกของฟั่นเพ่ยหยางได้

ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาฟั่นเพ่ยหยางก็เป็นเพื่อนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา

ฝ่ามือของฟั่นเพ่ยหยางเต็มไปด้วยเหงื่อ

ได้ยินถังหลิ่นบอกว่าห่วงใยแบบนั้นเขาก็อดตื่นเต้นตกประหม่าไม่ได้

มีอยู่แวบหนึ่งที่เขาคิดว่าถังหลิ่นคนเก่ากลับมาแล้ว แต่เพียงไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่าไม่ใช่ ถังหลิ่นคนนั้นไม่มีทางเอาความคิดอ่านที่ซ่อนลึกอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจมาโยนใส่เขาแบบนี้ ไม่มีทางปลดปล่อย ตรงไปตรงมา และเร่าร้อนแบบนี้

เขานึกอยากโอบกอดอีกฝ่าย

แสงสว่างในวิหารเทพเจ้ามืดดับลง แสงสีเหลืองอึมครึมเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเงียบสงัด ประกายแสงสีเงินจางๆ ปรากฏขึ้นให้เห็นเป็นครั้งคราว

คล้ายคืนค่ำปลอดโปร่งแจ่มใส

แสงจันทร์สาดส่องอยู่บนร่างของคนทั้งคู่

เดี๋ยวก่อน

ดีมอส “…”

ทุกคน “…”

ทำไมพวกเขาถึงต้องมาดูผู้ชายสองคนบอกความในใจกันอยู่ที่นี่ด้วย!

 

* วอลนัทเหล็ก เป็นหนึ่งในพืชสกุลวอลนัท เรียกอีกอย่างว่าวอลนัทย่างปี๋ เพราะมีแหล่งที่มาจากเขตปกครองตนเองย่างปี๋ มณฑลยูนนาน

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คืนลมพัดต้องเหมยงาม

ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 1-2

บทที่ 1 ลมตะวันตกพัดมา สุริยันจมลับประจิม แสงสายัณห์สาดส่องขอบฟ้า เสิ่นเฉียนเปลี่ยนม้าไปตัวหนึ่งแล้วในจุดพักม้า เช่นนี้จ...

คืนลมพัดต้องเหมยงาม

ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 3-4

บทที่ 3 หงหลวนแต่งงาน ลมราตรีพัดกรู แสงจันทร์สาดส่อง ภายในหอตั้นเสวี่ยของจวนสกุลเซี่ยเวลานี้ เซี่ยจิ่นสองมือไพล่หลัง ฟัง...

คืนลมพัดต้องเหมยงาม

ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 5-6

บทที่ 5 ราตรีวุ่น แววตาเสิ่นเฉียนมืดทะมึน กัดริมฝีปาก ปลายคางเกร็งแน่นเผยความแข็งกร้าวอยู่ในที “ที่แท้ถูกเด็ดปีกหมดสิ้นแ...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 91-92

บทที่ 91 เอาคืน  ภายหลังหลี่เจาเกอกับโม่หลินหลางเดินจากมาไกล โม่หลินหลางก็ข่มใจไม่ไหว เอ่ยกับหลี่เจาเกอด้วยความรุ่มร้อน ...

community.jamsai.com