ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 2 บทที่ 48 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

Additional Heritage มรดกลวงรัก

ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 2 บทที่ 48 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 2

ผู้เขียน : 水千丞 (Shui Qian Cheng)

แปลโดย : : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 附加遗产 (Fu Jia Yi Chan)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การบูลลี่ การมีอคติต่อคนรักร่วมเพศ การกล่าวถึงเลือด การฆ่าตัวตาย และการกระทำชำเรา

การล่อลวง การลักพาตัว การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน และการพยายามฆ่า

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 48

 

เรื่องนี้เป็นเหมือนการจุดชนวนระเบิดสำหรับเวินเสี่ยวฮุย ซึ่งทำให้ศีรษะของเขาแทบจะระเบิด

เขากับหลีซั่ว?! มีเซ็กซ์กันหลังจากดื่มไวน์เมื่อคืนเหรอ!

เพราะตกใจจนเกินไป แม้การแสดงออกของเขาจะดูเฉื่อยชา แต่ข้างในหัวใจกำลังร้องโหยหวนอย่างบ้าคลั่ง

ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้! ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้!

เขาไม่ถึงขั้นที่จะร้องหาบุพการีเพราะนอนกับใครบางคนหรอกนะ แม้นี่จะเป็นครั้งแรกของเขา แต่ก็โชคดีที่ไม่ใช่คนที่เขาเกลียด แต่ว่าสิ่งที่ทำให้รับไม่ได้ก็คือเขาเพิ่งจะยืนยันความรู้สึกที่มีต่อลั่วอี้ได้ไม่นานก็ดันแม่งไปนอนกับหลีซั่วซะแล้ว ซึ่งสำหรับเขามันเหมือนเป็นการทรยศลั่วอี้

อันที่จริงจะพูดว่าทรยศก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะสุดท้ายแล้วระหว่างเขากับลั่วอี้ก็ยังคลุมเครือ ทว่าในทางจิตใจ เขารู้สึกว่าเขาทรยศลั่วอี้และความรู้สึกของตัวเอง ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ขึ้นเตียงกับหลีซั่วด้วยความคิดที่จะเป็นคู่นอนคืนเดียว ถ้ายังมีสติอยู่ เขาก็ไม่อยากทำหรอกนะ!

เวลาดื่มเหล้าแล้วเกิดเรื่องขึ้นง่ายจริงๆ เขาสาบานว่าต่อจากนี้ให้ตายก็จะไม่ดื่มจนเมาอีก! เวินเสี่ยวฮุยตบศีรษะของตัวเองด้วยความรำคาญสองสามครั้ง รู้สึกเสียใจสุดๆ ไปเลย

ถ้าลั่วอี้รู้แล้ว…จะโทษเขาหรือเปล่า ทันทีที่คิดอย่างนี้เวินเสี่ยวฮุยก็รู้สึกอยากร้องไห้เล็กน้อย

หลีซั่วมองท่าทางผิดปกติของเขาก่อนจะเอ่ยปากด้วยความไม่เข้าใจ “เสี่ยวฮุย นายเป็นอะไรไป ปวดหัวเหรอ” เขาจับมือของเวินเสี่ยวฮุย คิดที่จะตรวจดู

เวินเสี่ยวฮุยสะบัดมือของเขาเหมือนถูกไฟช็อต การแสดงออกบนใบหน้านั้นแข็งกระด้างและกระอักกระอ่วน

“ใช่ๆ ปวดนิดหน่อย”

หลีซั่วยิ้มอย่างอ่อนโยน “ดูนายสิ ฉันบอกแล้วว่าไม่ให้นายดื่มเยอะ แต่ว่าอันที่จริงนายที่ดื่มจนเมาก็เชื่อฟังกว่าที่คิดแฮะ”

เวินเสี่ยวฮุยใจสั่น รู้สึกว่าทุกคำพูดและทุกรอยยิ้มของหลีซั่วล้วนเต็มไปด้วยความคลุมเครือ เขาอยากจะบ้าตายอยู่แล้ว

“ฉันจะไปข้างล่างซื้อยาลดไข้ให้นาย ไข้ไม่สูงมาก กินยานิดหน่อยก็น่าจะหายแล้ว”

“…ได้” เวินเสี่ยวฮุยมองเขาด้วยความสับสน

หลีซั่วลุกขึ้นยืนแล้วครุ่นคิด จากนั้นก็โน้มตัวลงมาจูบแก้มของเวินเสี่ยวฮุย เขายิ้มแล้วเอ่ย “เมื่อคืนฉันมีความสุขมาก”

หลีซั่วหมายถึงการที่เวินเสี่ยวฮุยเต็มใจที่จะระบายความในใจกับตนในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง ทว่าเวินเสี่ยวฮุยกลับบิดเบือนคำนี้ให้กลายเป็นคำชมหลังจากหลับนอนกับเขา มุมปากของเขากระตุก

หลีซั่วหยิบเสื้อแจ็กเก็ตแล้วออกไปซื้อยา

เวินเสี่ยวฮุยนั่งเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ระเบิดเสียงคำรามออกมา “บ้าเอ๊ยยย!”

เขาทิ้งตัวลงบนเตียง มองเพดานอย่างเหม่อลอย

ค่ำคืนแรกที่เขารอคอยมาแสนนานเป็นอันพังทลายลงท่ามกลางความสับสนแบบนี้ ในสมองของเขามีเพียงฉากที่กระจัดกระจาย แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดมันคือไม่ใช่คนที่เขาต้องการ

ไม่ใช่คนนั้นที่เขาต้องการ

เวินเสี่ยวฮุยสูดจมูก รู้สึกเสียใจเล็กน้อยกับความโง่เขลาของตัวเอง เขาไม่เชื่อว่าหลีซั่วจะฉวยโอกาสเพราะไวน์ หลีซั่วไม่ใช่คนที่ไร้คุณธรรมขนาดนั้น ฉะนั้นเขาคิดว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้ทำมันอย่างแน่นอน แล้วทำไมถึงมีลั่วอี้ปรากฏอยู่ในความทรงจำของเขาล่ะ เขาเห็นหลีซั่วเป็นลั่วอี้อย่างนั้นเหรอ หรือว่า ‘ของขวัญวันเกิด’ ที่ลั่วอี้พูดถึงเมื่อวานจะหมายถึงเขาอย่างเป็นนัยๆ

ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็รู้สึกเสียใจอยู่ดี

เขาโอดครวญอยู่ครู่หนึ่ง รู้แล้วก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี จึงพลิกตัวลงจากเตียง

วินาทีที่สองเท้าแตะพื้นเขาก็คุกเข่าลงไปเสียงดังตึ่ง เอามือกุมก้นไว้แทบจะร้องไห้ออกมา

แม่ของแม่เจ็บสุดๆ ไปเลย…

ลีลาอันยอดเยี่ยมของหลีซั่วไม่ใช่ชื่อเสียงจอมปลอมตามคาด ส่วนขนาดของหลีซั่ว…เขาก็เคยคลำผ่านกางเกงของอีกฝ่ายมาก่อน ตอนนี้ขาทั้งคู่ของเขาแทบจะเดินไม่ได้อยู่แล้ว แต่หลีซั่วก็นับว่าไม่เลวจริงๆ ที่ช่วยเขาทำความสะอาดทั้งนอกและใน นอกจากความเจ็บปวดแล้วก็ไม่มีส่วนไหนที่รู้สึกไม่สบายตัว…

อย่างไรก็ดีเขาก็ยังรู้สึกทรมานจนอยากจะเอาศีรษะโขกให้ตายไปเลย

เวินเสี่ยวฮุยพยายามลุกขึ้นมาจากพื้น สวมใส่เสื้อผ้า เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาจะมีหน้าไปเผชิญหน้ากับหลีซั่วได้อย่างไร จึงเก็บข้าวของของตัวเองและเผ่นแน่บจากไป

หลังเดินออกมาจากโรงแรมเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่มีเงินจึงรีบโทรหาหลัวรุ่ย คราวนี้หลัวรุ่ยเปิดเครื่องแล้วและบอกว่าจะเรียกแท็กซี่ไปรับเขา

เขาส่งข้อความให้หลีซั่ว บอกว่าตัวเองมีธุระนิดหน่อยจึงต้องกลับก่อน เขาคิดว่าต่อจากนี้ตัวเองคงไม่มีหน้าไปเจอกับหลีซั่วอีกแล้ว

ขณะที่กำลังรอหลัวรุ่ย เขาก็ลังเลว่าควรจะโทรหาลั่วอี้ดีหรือเปล่า เขาเปิดรายชื่อเบอร์โทรศัพท์ดูก็พบว่าลั่วอี้โทรหาเขากลางดึกเมื่อคืนนี้ เขารีบโทรกลับทันทีแต่ปรากฏว่าสายไม่ว่าง

เวินเสี่ยวฮุยถอนหายใจอย่างโล่งอก จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าถ้าลั่วอี้รับสาย เขาจะสามารถคุยสายกับลั่วอี้ได้อย่างราบรื่นหรือเปล่าหลังจากที่เขาหลับนอนกับหลีซั่วแล้ว…เขาไม่กล้าคิดจริงๆ ว่าถ้าหากลั่วอี้รู้แล้วจะเป็นอย่างไร เขาควรจะปิดบังลั่วอี้หรือเปล่า มันจะหน้าไม่อายเกินไปหน่อยไหม…

หลัวรุ่ยมาถึงอย่างรวดเร็ว เวินเสี่ยวฮุยเข้าไปนั่งในรถ กอดเขาพลางร้องไห้คร่ำครวญ “ฉันสับสนสุดๆ ไปเลยว่ะ ฮือๆๆๆๆ”

หลัวรุ่ยสะดุ้งโหยง “เกิดอะไรขึ้น นายทะเลาะกับลั่วอี้เหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยสูดจมูก จู่ๆ ก็พูดด้วยความโมโห “เมื่อวานนายแม่งปิดเครื่องทำไม ถ้านายไม่ปิดเครื่องก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว!”

“เมื่อวานพาพนักงานที่ร้านไปร้องเพลงน่ะ มือถือแบตฯ หมด เกิดอะไรขึ้นกันแน่” หลัวรุ่ยตื่นเต้นเล็กน้อย “ทะเลาะกับลั่วอี้จริงๆ ใช่ไหม เพราะอะไรเหรอ”

“เปล่า ไม่ได้ทะเลาะ”

“งั้นนายเป็นอะไร”

เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยสีหน้าหดหู่ “เมื่อวานฉันเพิ่งจะไปถึงคฤหาสน์ลั่วอี้ก็ถูกไล่ออกมา”

หลัวรุ่ยมีสีหน้าตกใจ “ทำไมล่ะ เพราะอะไร ผิดใจกับเขาเหรอ”

“พ่อเขามา”

หลัวรุ่ยดูเฉาลงทันที น้ำเสียงก็สั่นเครือเล็กน้อย “พะ…พ่อของเขา? คน…คนนั้นเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า “ฉันตกใจแทบแย่ ออร่าของเขาน่ากลัวมาก ฉันไม่กล้ามองตาเขาเลย จากนั้นลั่วอี้ก็ดูเครียดมากก็เลยให้ฉันกลับไปก่อน”

หลัวรุ่ยถอนหายใจ “งั้นก็ช่วยไม่ได้นี่นา แต่ว่าพ่อเขาน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ เป็นเพราะเขามาพวกนายก็เลยไม่ได้ฉลองวันเกิดด้วยกัน?”

เวินเสี่ยวฮุยส่ายหน้า “ไม่รู้สิ แต่สรุปว่าลั่วอี้ดูเครียดเป็นพิเศษ”

“จากนั้นล่ะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน”

“ตอนนั้นฉันรีบออกมาไง นอกจากมือถือแล้วก็ไม่ได้เอาอะไรออกมาเลย ที่ตัวก็ไม่มีเงินสักหยวน โทรหานาย นายแม่งก็ปิดเครื่อง! นายปิดเครื่องเวลาที่ฉันต้องการนายที่สุด!” เวินเสี่ยวฮุยนึกๆ แล้วก็โมโหขึ้นมา

“นายมีเหตุผลหน่อยได้ไหม…ช่างเถอะๆ แล้วจากนั้นล่ะ นายก็เลยเตร็ดเตร่อยู่ข้างถนน? โดนหมากัดเหรอ”

เวินเสี่ยวฮุยกุมศีรษะ “โชคดีที่หลีซั่วโทรหาฉัน ฉันก็เลยไปดื่มเหล้ากับเขา”

“อ่อ จากนั้น…” จู่ๆ หลัวรุ่ยก็เบิกตากว้าง “ที่ที่ฉันไปรับนายเมื่อกี้เป็นโรงแรม หรือว่า…”

เวินเสี่ยวฮุยกุมศีรษะพลางพยักหน้า

หลัวรุ่ยสูดหายใจ ดวงตาลุกวาวและอ้าปากกว้าง นับเป็นการแสดงออกที่ดูตลกมาก

แม้แต่วิญญาณแห่งการซุบซิบนินทาของคนขับรถแท็กซี่ก็ยังลุกเป็นไฟ อีกฝ่ายแอบมองพวกเขาผ่านกระจกมองหลังเงียบๆ

หลัวรุ่ยทำใจให้สงบลง มองเวินเสี่ยวฮุยที่กำลังสับสนแล้วกลืนน้ำลาย “ฉะนั้น…นายกับหลีซั่ว…ทำเรื่องอย่างว่าแล้ว?”

เวินเสี่ยวฮุยส่งเสียงครวญครางเจือปนเสียงสะอื้นไห้

อารมณ์ของหลัวรุ่ยสับสนมาก พวกเขาเคยตกลงกันว่าไม่ว่าใครที่หลุดพ้นจากความเป็นพรหมจารีก่อนจะต้องฉลองครั้งใหญ่ แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเวินเสี่ยวฮุยไม่ได้มีความสุขขนาดนั้น

เขาโอบไหล่ของเวินเสี่ยวฮุย “เบบี๋ อย่าเสียใจไปเลย พอดื่มแล้วอารมณ์แปรปรวนก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ความผิดนายสักหน่อย”

“ทำไมจะไม่ใช่ความผิดของฉันล่ะ ฉันโง่นี่นา” เวินเสี่ยวฮุยพูดด้วยเสียงสะอื้น “ถ้า…ไม่มีลั่วอี้ล่ะก็ ฉันก็ไม่คิดอะไรหรอก แต่พอฉันนึกถึงลั่วอี้ก็รู้สึกเหมือนตัวเองทรยศเขา รู้สึกเสียใจมากๆ”

หลัวรุ่ยลูบศีรษะของเขา “ฉันเข้าใจๆ แต่ตอนนี้นายกับลั่วอี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันนี่นา นายไม่ได้ทรยศใครทั้งนั้น อย่ามัวแต่โทษตัวเองเพราะเรื่องนี้เลย”

เวินเสี่ยวฮุยรู้ว่าหลัวรุ่ยพูดถูก เขาก็ทำได้เพียงแค่ปลอบประโลมตัวเองแบบนี้เท่านั้น แต่เขาก็ยังรู้สึกหงุดหงิดและรำคาญใจอยู่ดี

หลัวรุ่ยพาเขากลับไปที่บ้านของตัวเอง ต้มชาผลไม้กาหนึ่งเพื่อให้เขาผ่อนคลาย พร้อมกับปลอบเขาอย่างอ่อนโยน

เวินเสี่ยวฮุยมีอาการเมาค้าง ร่างกายก็ปวดเมื่อย จึงผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

หลังจากหลับไปจนถึงช่วงบ่ายเวินเสี่ยวฮุยก็ถูกปลุกด้วยเสียงมือถือของตัวเอง เขายื่นมือออกไปคว้า ทว่าหลัวรุ่ยคว้ามันมาได้ก่อนเขาและพูดขึ้นด้วยสีหน้าลำบากใจ

“ลั่วอี้โทรมา จะรับสายไหม”

เวินเสี่ยวฮุยตัวสั่น ความง่วงงุนหายเป็นปลิดทิ้ง เขากะพริบๆ ตามองหลัวรุ่ย ก่อนพูดอย่างลังเล “ถ้ายังไงนายช่วยฉันรับดีไหม บอกว่าฉันนอนอยู่”

หลัวรุ่ยฝืนใจพูด “ก็ได้” เขารับสายแล้วจงใจกดเสียงต่ำ “ฮัลโหล ลั่วอี้เหรอ เสี่ยวฮุยนอนอยู่ที่บ้านฉันน่ะ”

เวินเสี่ยวฮุยจ้องเขม็งไปยังทั้งสองคนที่คุยโทรศัพท์กัน เขารู้สึกเครียดสุดๆ

หลัวรุ่ยใช้รูปปากพูดแบบไร้เสียงกับเวินเสี่ยวฮุย ‘เขาจะมารับนาย’

เวินเสี่ยวฮุยส่ายหน้าเหมือนของเล่นป๋องแป๋ง

หลัวรุ่ยทำได้เพียงกัดฟันพูด “ฉันเห็นว่าเขาเหนื่อยมาก อย่ารบกวนเขาดีกว่า งั้นเป็นพรุ่งนี้ดีไหม”

หลัวรุ่ยวางสายพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก “เขาบอกว่าถ้านายตื่นแล้วให้โทรกลับด้วย”

เวินเสี่ยวฮุยคลุมผ้าห่ม พยักหน้าอย่างเศร้าโศก

“ฉันว่านายซ่อนตัวไปก็ไม่มีประโยชน์ ว่ากันตามตรงมันจะเรื่องใหญ่สักแค่ไหนเชียว ไม่อย่างนั้นนายก็ไม่ต้องบอกลั่วอี้ คิดซะว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”

เวินเสี่ยวฮุยขยี้ๆ ผมที่ยุ่งเหยิง “แม่เล็ก นายก็รู้ว่าคนอย่างฉันรูดซิปปากไม่ค่อยอยู่ ฉันจะต้องเปิดโปงตัวเองไม่ช้าก็เร็วแน่”

“อย่างนั้นนายก็บอกเขา! ถ้าเขาชอบนายจริงๆ ก็จะยกโทษให้ นายก็ไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว”

เวินเสี่ยวฮุยถอนหายใจยืดยาวและพยักหน้า

หลัวรุ่ยลูบไล้ใบหน้าของเขา “อย่าหดหู่ไปเลย โชคดีที่เป็นหลีซั่ว ไม่ใช่คนสำส่อนที่ไหน”

“ต่อไปฉันคงไม่มีหน้าไปเจอหลีซั่วแล้ว มันน่าอายเกินไป”

“อืม อย่าฝืนตัวเอง”

เวินเสี่ยวฮุยโอบเอวของหลัวรุ่ย ซบศีรษะบนไหล่ของเขาแล้วพูดเบาๆ “น่าหงุดหงิดชะมัด”

“ไม่ต้องหงุดหงิดหรอก มีฉันอยู่”

 

เวินเสี่ยวฮุยอยู่ที่บ้านของหลัวรุ่ยจนมืดค่ำ เขารู้ดีว่าการหลบซ่อนไปตลอดไม่ใช่ทางออกจึงโทรหาลั่วอี้

เสียงของลั่วอี้ฟังดูอ่อนโยนมาก “ในที่สุดพี่ก็ตื่นแล้ว ยังรู้สึกไม่ดีอยู่ไหม”

“อืม ปวดหัว ไม่ได้ดื่มเยอะแบบนี้มานานแล้ว”

ลั่วอี้ยิ้มพลางเอ่ย “ผมไปรับพี่นะ”

“คืนนี้ฉันจะนอนบ้านหลัวรุ่ย ขี้เกียจขยับตัว ไม่เป็นไรหรอก”

“ก็ได้ งั้นพรุ่งนี้ผมจะไปรับพี่ที่จวี้ซิงหลังเลิกงาน”

“…ได้” เวินเสี่ยวฮุยนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “ลั่วอี้ เมื่อวานคนคนนั้น…”

ลั่วอี้ตัดบทเขา “ไม่สะดวกคุยทางโทรศัพท์ ไว้พวกเราเจอกันแล้วค่อยคุยดีไหม”

“โอเค”

ลั่วอี้หัวเราะเบาๆ “ผมชอบจักรยานฟิกซ์เกียร์ที่พี่ให้มากเลย เสียดายที่ไม่มีเบาะหลัง ไม่อย่างนั้นจะได้พาพี่ไปเที่ยวเล่นได้”

เวินเสี่ยวฮุยหลุดขำ “คนอื่นเขาขับรถสปอร์ตพาคนไปเที่ยวเล่น แต่นายขี่จักรยาน เคยมีความรู้สึกของการเป็นคนรวยบ้างไหม”

“พี่อยากจะนั่งรถสปอร์ตก็ไม่มีปัญหา ผมจะรีบไปสอบใบขับขี่”

“ฉันพูดเล่นน่ะ ท่าทางที่นายขี่จักรยานก็หล่อมากเหมือนกัน”

ลั่วอี้กระซิบ “ตอนนี้ผมอยากจูบพี่ อยากกอดพี่จังเลย”

ใบหน้าของเวินเสี่ยวฮุยร้อนผ่าว เขาพบว่าลั่วอี้ไม่ได้ขี้อายเหมือนที่เขาจินตนาการไว้ อันที่จริงอาจจะพูดได้ว่ากล้ามากด้วยซ้ำ เขาอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี ยิ่งลั่วอี้อ่อนโยนและคลุมเครือมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น

ลั่วอี้กำชับให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่ จากนั้นก็วางสาย

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าการสนทนาเพียงสั้นๆ ได้ใช้พลังงานทั้งหมดที่เขาสะสมเอาไว้ในวันนี้ เขาทรุดตัวลงบนเตียง ในใจเต็มไปด้วยความเสียใจและหงุดหงิด

 

วันต่อมาเวินเสี่ยวฮุยก็แบกสังขารที่แสนจะทรมานไปทำงาน เขาหยุดพักติดต่อกันมาสองวันแล้ว ด้วยอาชีพที่มีวันหยุดไม่แน่นอนอย่างพวกเขานั้นไม่มีแนวคิดในการหยุดติดต่อกันสองวัน ขืนยังไม่ไปทำงานอีกก็คงจะไม่ดีเท่าไร

ที่สตูดิโอเวินเสี่ยวฮุยก็ยังคงไร้ชีวิตชีวาเช่นเดิม เขาเก็บตัวอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน สีหน้าของเขาแทบดูไม่ได้ หลิวซิงนึกว่าเขาป่วยจึงให้เขากลับไปพักผ่อน เขาเองก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงโทรหาลั่วอี้ บอกว่าไม่ต้องมารับเขา เขาจะเรียกรถไปเอง

ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ควรเผชิญหน้าเสียที

 

ทันทีที่มาถึงคฤหาสน์ของลั่วอี้ ในแวบแรกเขาก็มองเห็นจักรยานที่ตัวเองมอบให้อีกฝ่ายเป็นของขวัญ มันจอดอยู่เคียงข้างจักรยานของลั่วอี้ทั้งยังถูกล็อกไว้

เขานึกถึงตอนที่มาคฤหาสน์ของลั่วอี้ครั้งแรกเมื่อกว่าสองปีก่อน ลั่วอี้โยนจักรยานเข้าไปในลานอย่างไม่ใส่ใจ โดยบอกว่าการรักษาความปลอดภัยที่นี่ดี ไม่ต้องกลัวขโมย ตอนนี้จักรยานคันเก่าคันนั้นก็ยังคงถูกทิ้งอย่างส่งเดช แต่กลับล็อกจักรยานคันที่เขาให้เอาไว้

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกระคายเคืองจมูกทันใด เขารู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้

ลั่วอี้เปิดประตูออกมา “พี่เสี่ยวฮุย พี่จะมัวยืนอยู่ข้างนอกทำไมล่ะ หนาวจะตาย รีบเข้ามาสิ”

เวินเสี่ยวฮุยมองลั่วอี้ เดินปรี่เข้าไปแล้วพุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของเขาทันที

ลั่วอี้ตกตะลึง ยื่นมือไปกอดเขา มุมปากผุดรอยยิ้มจางๆ

ทั้งสองคนเข้าไปในตัวคฤหาสน์ ลั่วอี้ได้เตรียมอาหารไว้เต็มโต๊ะแล้ว มีปลาแซลมอนกับเค้กที่ยังไม่ได้แตะต้องวันก่อนด้วย

“ผมเก็บไว้ในตู้เย็นน่ะ ยังสดอยู่” ลั่วอี้โน้มตัวเข้ามาจูบเวินเสี่ยวฮุย “วันนี้อยู่ฉลองวันเกิดชดเชยกับผมเถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะ “โอเค!”

ขณะที่พวกเขากำลังกินข้าวต่างคนต่างก็มีเรื่องกังวลใจ ส่งผลให้ไม่ค่อยรู้สึกอยากอาหาร

ลั่วอี้กินไปไม่กี่คำก็พูดขึ้น “ขอโทษทีนะ วันนั้น…” เขาต้องการจะพูดว่าวันนั้นเขามีเรื่องด่วนจึงต้องรีบกลับ ทั้งที่ควรจะอยู่เป็นเพื่อนเวินเสี่ยวฮุยมากกว่า

ทว่าเวินเสี่ยวฮุยรีบชิงสารภาพก่อน “ไม่เป็นไร ใครก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะมา…”

สีหน้าของลั่วอี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “อืม”

“จากนั้นเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”

ลั่วอี้ส่ายหน้า “เขาแค่มาเยี่ยมผม”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่ามันไม่มีทางเป็นเรื่องแค่นั้น แต่ลั่วอี้ไม่ยอมปริปากพูดเกี่ยวกับเรื่องของคนคนนั้นเสมอมา เขาจึงถามไม่ออก

“อย่างนั้นก็ดีแล้ว เขาน่ากลัวนิดหน่อยจริงๆ”

“พี่เสี่ยวฮุย ทนายเฉากำลังช่วยพี่ดำเนินการเรื่องมรดก ไว้ดำเนินการเสร็จแล้วพี่กับแม่พี่ก็ย้ายที่อยู่เถอะ ย้ายเข้าไปห้องชุดที่แม่ผมทิ้งไว้ให้ ที่นั่นซ่อนตัวได้ดี”

“ซ่อน?” เวินเสี่ยวฮุยประหลาดใจเล็กน้อย ทำไมเขาต้องอาศัยอยู่ในที่หลบซ่อนด้วย

“ความหมายของผมคือการรักษาความปลอดภัยดีมาก จะไม่มี ‘โจร’ อีก” เขาเน้นคำว่าโจรโดยไม่รู้ตัว

“อ่อ ห้องนั้นอยู่ที่ไหนเหรอ ฉันยังไม่รู้เลย”

ลั่วอี้กล่าวถึงสถานที่ “ถึงจะอยู่รอบนอกวงแหวนที่สี่ แต่ว่าก็ไม่ไกลมาก ห้องก็ดีมากด้วย มีพื้นที่มากกว่าสองร้อยตารางเมตร ไม่ไกลจากที่ทำงานของพี่ แถมแถวนั้นคนพักน้อย สภาพแวดล้อมไม่แออัดเหมือนห้องที่พี่อยู่ตอนนี้ สรุปว่ารีบย้ายไปเถอะ”

เวินเสี่ยวฮุยค่อนข้างแปลกใจที่ลั่วอี้ดูอยากจะให้เขาย้ายที่อยู่เสียเหลือเกิน เขาสรุปว่าเป็นเพราะลั่วอี้ใส่ใจในความปลอดภัยของเขา จึงพูดว่า “ฉันก็อยากย้ายเหมือนกัน แต่ฉันยังไม่ได้พูดกับแม่เรื่องของนายเลย ยิ่งยื้อเวลาออกไปฉันก็ยิ่งไม่กล้าพูด”

“พี่ก็บอกเธอว่าตอนนี้พี่มีกำลังจ่ายเงินกู้แล้วก็ได้ ขายห้องที่อยู่ปัจจุบันทิ้ง แล้วก็ไปกู้สินเชื่อของห้องที่ดีกว่านี้”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า “วิธีนี้ก็เป็นไปได้ อันที่จริงพวกเราก็วางแผนจะเปลี่ยนที่อยู่นานแล้ว ฉันจะบอกแม่หลังจากผ่านช่วงนี้ไปแล้ว หวังว่าจะจัดการให้เสร็จได้ภายในครึ่งปี”

“ครึ่งปี? นานเกินไปแล้ว” ลั่วอี้ขมวดคิ้วขณะเอ่ย

เวินเสี่ยวฮุยตกตะลึง “แต่ก็จะเร็วเกินไปไม่ได้นะ”

ลั่วอี้ก้มหน้า พูดเสียงเบา “ก็จริง จะรีบไม่ได้”

“อืม ฉันจะกลับไปปรึกษากับแม่ ตอนนี้เธอมีแฟนแล้ว และถ้าแต่งงานก็อาจจะต้องพิจารณาเรื่องอื่นๆ อีก”

ลั่วอี้พยักหน้า

“จริงสิ คนคนนั้น…ได้ให้ของขวัญอะไรนายในปีนี้หรือเปล่า” เวินเสี่ยวฮุยนึกถึงของขวัญของปีที่แล้วก็ยังทำให้เขาขนหัวลุกอยู่เลย

ลั่วอี้หัวเราะเยาะ “เขาให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับผมเลยแหละ”

“หา? อะไรเหรอ”

ลั่วอี้เคาะศีรษะของเขาด้วยตะเกียบ “ตั้งใจกินข้าว”

เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วลั่วอี้ก็เก็บจานชาม เวินเสี่ยวฮุยนั่งอยู่บนโซฟา จ้องมองโทรทัศน์อย่างเหม่อลอย ในสมองกำลังคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน

ก่อนมาที่นี่เขาคิดดีแล้วว่าจะสารภาพกับลั่วอี้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับลั่วอี้จริงๆ ก็รู้สึกว่ามันยากที่จะพูดออกมา เขาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเมื่อเขาพูดว่าตัวเองหลับนอนกับหลีซั่วแล้ว ลั่วอี้จะมีอาการอย่างไร จะโมโหไหม จะเสียใจไหม จะผิดหวังหรือเปล่า ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไหนก็ล้วนเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ทั้งนั้น

ลั่วอี้ยกน้ำผลไม้เข้ามา “พี่เสี่ยวฮุย กำลังคิดอะไรน่ะ”

เวินเสี่ยวฮุยกลืนน้ำลายเอื๊อก ตัดสินใจเด็ดขาด “ตอนวันเกิดของนาย พอฉันออกจากบ้านของนายแล้ว หลีซั่วก็โทรมาพอดี ฉันก็เลยไปดื่มกับเขา”

“อ่อ ผมรู้แล้ว”

“นายรู้?”

“ตอนที่ผมโทรหาพี่ หลีซั่วเป็นคนรับสาย”

เวินเสี่ยวฮุยเบิกตากว้าง ตื่นเต้นจนแทบจะสำลักอยู่ในลำคอ “อ่อ ฉัน…เพราะฉันไม่มีเงินติดตัว หลัวรุ่ยก็ปิดเครื่อง ฉันถึงได้ไปหาหลีซั่ว…”

ลั่วอี้หัวเราะ “พี่กำลังอธิบายกับผมอยู่เหรอ ผมชอบนะ”

เวินเสี่ยวฮุยจิกกางเกง “แต่ว่า…หลังจากนั้นฉันดื่มหนักมาก”

“ต่อไปก็อย่าดื่มเยอะแบบนั้นอีก โดยเฉพาะเวลาที่อยู่กับผู้ชายคนอื่น” ลั่วอี้นั่งลงข้างเขาแล้วขยี้ผมของเขา “พี่จะขาดสติโดยสมบูรณ์ไม่ได้”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า ก้มศีรษะจนจวนจะแตะหน้าอกอยู่แล้ว เขาพยายามหลายครั้งแต่ก็ยังพูดไม่ออก

ลั่วอี้เชยคางของเขาขึ้นมาแล้วจูบริมฝีปากของเขา จูบนี้ทั้งอ่อนโยนและละเอียดอ่อนในตอนแรก ทว่าลั่วอี้ยิ่งจูบอย่างล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็กลายเป็นจูบอันร้อนแรง

เวินเสี่ยวฮุยคว้าคอของเขา ทันใดนั้นเองก็รู้สึกเหมือนเคยเห็นภาพนี้มาก่อน

ลั่วอี้โน้มตัวกดเขาลงบนโซฟา ลิ้มรสทุกกระเบียดนิ้วในช่องปากของเขาอย่างระมัดระวัง มือใหญ่สอดเข้ามาในเสื้อผ้าของเขาแล้วลูบไล้อย่างพิถีพิถัน

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกเหมือนมีดวงดาวระยิบระยับอยู่ตรงหน้า สมองของเขาบวมเป่ง ทำไมลั่วอี้ถึงได้มีฝีมือขนาดนี้ล่ะ เจ้าเด็กคนนี้คงไม่ได้แอบไปลองกินกับคนอื่นลับหลังเขาหรอกใช่ไหม

ไม่สิ เขาไม่ได้มาเพื่อทำเรื่องนี้!

เวินเสี่ยวฮุยผลักหน้าอกของลั่วอี้ พูดพลางหายใจหอบ “ไม่ได้ ตอนนี้ไม่ได้”

หน้าอกของลั่วอี้กระเพื่อมขึ้นลง เห็นได้ชัดว่ากำลังข่มอารมณ์เอาไว้ ตอนนี้เวินเสี่ยวฮุยกำลังปล่อยฮอร์โมนออกมาอย่างบ้าคลั่งในสายตาของเขา ทำให้เขายากที่จะยับยั้งตัวเอง แต่เมื่อเขาคิดว่าร่างกายของเวินเสี่ยวฮุยอาจจะยังไม่หายดีก็ทำได้เพียงพยุงตัวลุกขึ้น

“ใช่ ตอนนี้ไม่เหมาะ” เขาจูบเวินเสี่ยวฮุยอย่างอาลัยอาวรณ์หลายครั้งก่อนจะลุกขึ้น

เวินเสี่ยวฮุยเม้มริมฝีปาก “ฉันอยาก…จะบอกนายเรื่องหนึ่ง หวังว่าหลังจากนายฟังแล้ว นายต้อง…ใจเย็นนะ”

“เรื่องอะไรเหรอ”

“กะ…เกี่ยวกับหลีซั่ว”

เมื่อได้ยินชื่อนี้สีหน้าของลั่วอี้ก็จมดิ่งลง “เขาทำไมเหรอ พี่เสี่ยวฮุย ในเมื่อพี่ปฏิเสธเขาแล้วก็อย่าข้องแวะกับเขาอย่างคลุมเครือแบบนี้ได้ไหม”

ลั่วอี้ไม่ค่อยพูดจาจริงจังกับเขาสักเท่าไร ประโยคนี้นับได้ว่าไม่เกรงใจแล้ว เวินเสี่ยวฮุยยิ่งรู้สึกทรมานในใจ ทั้งยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่เขลา ก็เหมือนกับที่ลั่วอี้พูด ถ้าเขาไม่ได้ข้องแวะกับหลีซั่วอีกก็คงจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้น

เขาพูดเสียงเบา “นายพูดถูก แต่ว่าฉัน…หลีซั่วดีกับฉันมากจริงๆ คืนนั้น…”

เมื่อลั่วอี้นึกถึงคืนนั้นก็พลันบังเกิดความอิจฉา น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป “เขาดีกับพี่มากแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่ด้วย พี่มีความสุขที่เขาดีกับพี่มากจริงๆ ใช่ไหม!”

เวินเสี่ยวฮุยตกตะลึง หากเป็นเวลาปกติเขาคงโมโหไปแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินอย่างนั้นกลับรู้สึกไม่สบายใจ

เขาถอนหายใจพลางพูด “ก็คงจะอย่างนั้นล่ะมั้ง ฉันก็เลยไม่ระวังทำเรื่องโง่ๆ เข้า”

“ว่าไงนะ”

เวินเสี่ยวฮุยรวบรวมความกล้ามองตาของลั่วอี้ “คืนนั้นฉันดื่มมากเกินไป ฉันกับหลีซั่ว…”

คราวนี้ลั่วอี้เป็นฝ่ายตกตะลึงบ้าง เขาจ้องเวินเสี่ยวฮุยตาไม่กะพริบ

เวินเสี่ยวฮุยดูเหมือนอยากจะร้องไห้เล็กน้อย “ฉัน…ฉันโง่มากจริงๆ วันนั้นฉันดื่มจนภาพตัดและไม่รู้ว่าทำไมถึงได้…แต่ถึงยังไงฉันก็คิดว่าฉันควรจะบอกนาย ฉันไม่สามารถปิดบังเรื่องแบบนี้กับนายได้ พวกเราจริงใจต่อกันจะดีกว่า”

มีประกายวาววับในดวงตาของลั่วอี้ ทันใดนั้นเขาก็ผลักเวินเสี่ยวฮุยลงบนโซฟาอีกครั้งและจูบริมฝีปากของเขาอย่างหยาบคาย

เวินเสี่ยวฮุยถูกทำให้ตกใจ คิดจะดิ้นให้หลุดแต่กลับถูกลั่วอี้กดร่างเอาไว้ ทำได้เพียงตั้งรับจูบที่ค่อนข้างจะคลุ้มคลั่งและฉุนเฉียวนี้ ลิ้นของลั่วอี้สอดเข้าไปเกี่ยวกับลิ้นของเขาอย่างจองหองเพื่อตักตวงรสชาติของเขา

“ลั่วอี้…อั่ก…” เวินเสี่ยวฮุยตกใจกับความบ้าบิ่นเฉียบพลันของลั่วอี้จริงๆ ลั่วอี้โกรธจนเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร!

ลั่วอี้จูบจนสมองของเวินเสี่ยวฮุยขาดออกซิเจน และปล่อยเขาก่อนที่จะหมดลมหายใจ แล้วพูดเบาๆ “คนโง่”

เวินเสี่ยวฮุยน้ำตารื้นที่ขอบตา “ฉันก็รู้ว่าตัวเองโง่มาก”

“คนโง่” ลั่วอี้มองดูท่าทางรู้สึกผิดและระมัดระวังของเวินเสี่ยวฮุยก็รู้สึกว่าตรงไหนในหัวใจสักที่นั้นถูกจู่โจม เดิมทีที่แห่งนี้น่าจะเป็นน้ำแข็งอายุพันปี แต่ตอนนี้พื้นที่ส่วนใหญ่ของมันได้ละลายไปแล้ว “แบบนี้พี่ก็ยังนึกไม่ออกอีกเหรอ”

“หา?”

ลั่วอี้จูบปลายจมูก ปาก คาง และลูกกระเดือกของเขา สุดท้ายก็วนเวียนอยู่บนหน้าอก มือขนาดใหญ่ลูบไล้บริเวณเอวของเขา “แบบนี้พี่ก็จำไม่ได้เหรอ”

สมองของเวินเสี่ยวฮุยสับสนเล็กน้อย “…อะไรนะ”

ลั่วอี้โน้มตัวลงแนบชิดกับเวินเสี่ยวฮุยแล้วโค้งลำตัวส่วนล่างเบาๆ

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกเพียงว่ามีวัตถุแข็งบางอย่างกระแทกอยู่บนขาของตัวเอง แสงสีขาววาบเข้ามาในสมองของเขา เวินเสี่ยวฮุยตกตะลึงทันใด

  

  

  

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 2

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in Additional Heritage มรดกลวงรัก

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 1-2

บทที่ 1 อาจเป็นเพราะสภาพอากาศขมุกขมัวหนาวเย็นยาวนานถึงครึ่งปี ทำให้เครื่องหอมเป็นที่โปรดปรานของชาวต้าเว่ย ได้เติมเครื่อง...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ม่านฝันคืนวสันต์รัญจวน บทที่ 1-2

บทที่ 1 แม่น้ำฉินไหว นกขมิ้นและดอกไม้ในเดือนสองทำให้ฤดูใบไม้ผลิแลดูงดงาม แม่น้ำฉินไหวในเมืองจินหลิงเป็นสถานที่ซึ่งมีทิวท...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 5-7

บทที่ 5 หลังจากเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่เรือนหลังเก่าและบรรยากาศวันปีใหม่เพิ่งผ่านพ้นไป เหล่าเจ้านายสกุลซูก็เตรียมเดินทางกลับ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 3-4

บทที่ 3 คนที่เพิ่งเดินเข้ามาผู้นี้คือซูลั่วอวิ๋น บุตรสาวคนโตที่ถูกขับไล่ไสส่งกลับบ้านเดิมนั่นเอง นิ้วชี้ของซูหงเหมิงยื่น...

community.jamsai.com