ทดลองอ่าน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 3 องก์ที่สอง บทที่ 15 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 3 องก์ที่สอง บทที่ 15 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 3

ผู้เขียน : เหลียงฉาน (涼蟬)

แปลโดย : Singin’ in the Rain

ผลงานเรื่อง : 狼鏑 (Lang Di)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์

และการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ  

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

  

องก์ที่สอง

บทที่ 15 กลับมาพบกัน

เฉินหรงรีบเดินเข้ามา เปิดปากพูด “เฮ่อหลันเฟิงตายแล้ว”

สีหน้าจิ้นเยวี่ยไม่เปลี่ยน แต่จี่ชุนหมิงเห็นนิ้วมือเขาที่อยู่บนกระดานหมากแข็งค้างไป

“หมายความว่าอย่างไร” จิ้นเยวี่ยข่มน้ำเสียงถาม

เฉินหรงจึงเล่าข่าวลือที่ได้มาจากเป่ยหรงให้จิ้นเยวี่ยฟังอย่างละเอียด ขณะที่เล่า เขาจ้องมองสีหน้าจิ้นเยวี่ยตลอดเวลา เห็นม่านตาของจิ้นเยวี่ยขยับไหว มุมปากเม้มแน่นขึ้นทุกขณะ เขากลับรู้สึกเบิกบานใจขึ้นมาหลายส่วน

“นั่นเป็นเรื่องเมื่อสองเดือนก่อน” เขาเอ่ย “ได้ข่าวว่าสองพี่น้องชาวเกาซินตายไปทั้งคู่ ตอนนี้เผ่าเกาซินมีอ๋องปรากฏตัวขึ้นมา เป็นสตรีอายุน้อยมาก ไม่ได้เรื่องได้ราว”

จู่ๆ จิ้นเยวี่ยก็ถาม “สองเดือนก่อน? เรื่องเกิดขึ้นราวๆ เดือนหก?”

เฉินหรงพยักหน้า “ไม่ผิดแน่”

ฉับพลันนั้นเอง กลิ่นอายของความเย็นชาและหวาดหวั่นใจที่ปกคลุมทั่วร่างจิ้นเยวี่ยก็สลายไปสิ้น แม้แต่เฉินซวงก็ยังดูโล่งอกถอนหายใจออกมา

เฉินหรงสะกิดใจขึ้นมาทันที “เป็นอะไรไป”

จิ้นเยวี่ยโบกมือไม่ใส่ใจ “ไม่มีอะไร ท่านก็ไม่ต้องทำหน้าตาจริงจังนัก อ๋องสตรีผู้นั้น ข้าเองก็รู้ว่าเป็นใคร เป็นเด็กสาวที่รู้จักกัน”

จี่ชุนหมิงไม่รู้เรื่องหมาป่าชั่วร้ายเกาซินเหล่านี้ เห็นจิ้นเยวี่ยกับเฉินซวงหัวเราะก็พลอยหัวเราะอย่างงุนงงไปด้วย ดังนั้นท่ามกลางสี่คนในลานเรือน มีเพียงเฉินหรงที่เหมือนอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก คล้ายถูกบรรยากาศเป็นมิตรระหว่างทั้งสามคนกีดกันไว้

เขาชักจะไม่พอใจ

“เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าไม่ใส่เฮ่อหลันเฟิงแล้ว ก็คิดเสียว่าข้าเรื่องมากไปเอง”

จิ้นเยวี่ยคิด

ท่านก็รู้ว่าข่าวนี้จะทำให้ข้าใจเสีย ยังอุตส่าห์ตั้งใจมาบอก

จิ้นเยวี่ยเข้าใจความคิดของเฉินหรง รู้สึกสงสารเขาหลายส่วน จึงยิ้มแล้วพูดว่า “คิดเสียว่าฟังนิทาน ขอบคุณองค์ชายสามที่มาแจ้งเรื่องนี้ คิดแล้วน่าจะเป็นข่าวลวงที่เทียนจวินแห่งเป่ยหรงแพร่มา ถ้าเดือนหก ตอนนั้นเฮ่อหลันเฟิงมิได้อยู่ที่เป่ยหรง”

เฉินหรงตกใจไม่น้อย เหตุใดเขาคิดไม่ถึงว่าเฮ่อหลันเฟิงกับจิ้นเยวี่ยเคยคลาดกันที่เซียนเหมินมาก่อน จึงคิดว่าคงเป็นข่าวที่พรรคหมิงเยี่ยสืบมา

“จางโม่บอกเจ้า?”

จิ้นเยวี่ยตอบรับอย่างคลุมเครือ หลังจากเฉินหรงนิ่งคิดอยู่พักใหญ่ ก็มิได้มัวคิดปัญหานี้ต่อไป เปลี่ยนเรื่องพูดทันที

“ได้ข่าวว่าที่เซียนเหมิน เจ้าไปๆ มาๆ กับสำนักเวิ่นเทียนบ่อยครั้ง เจ้าไปเซียนเหมินเพื่อสืบข่าวเกี่ยวกับซย่าโหวซิ่นมิใช่หรือ วันนั้นเห็นเจ้ากับซย่าโหวซิ่นมาหาข้าพร้อมกัน ข้าตกใจมากทีเดียว”

จิ้นเยวี่ยกะพริบตา แสร้งทำเหมือนกำลังนึกย้อนไป “มีเรื่องที่ว่านี้จริงด้วย”

เวลานี้เขารู้กระจ่างแก่ใจส่วนหนึ่ง นั่นคือเฉินหรงถามถึงซย่าโหวซิ่นก็เป็นเรื่องปกติ เฉินหรงส่งจิ้นเยวี่ยไปเซียนเหมินก็เพื่อให้สืบหาความจริงเกี่ยวกับการแย่งชิงเสบียงทัพที่เมืองชังเหลียงให้มากกว่านี้ แต่เฉินหรงรู้เรื่องสำนักเวิ่นเทียนได้อย่างไร

ตอนนั้นคนที่อยู่ข้างกายตนเองและรู้เรื่องภายในสำนักเวิ่นเทียน เมื่อคิดดูแล้วเห็นจะมีเพียงโหยวจวินซานเท่านั้น

โหยวจวินซานอยู่ข้างกายตนเองแท้ๆ พอกลับมาเหลียงจิงกลับถูกเฉินหรงเรียกตัวไป จากนั้นไม่นานเฉินหรงก็ล่วงรู้ว่าตัวเขาไปที่ใดมาบ้างในเซียนเหมิน แวบหนึ่งจิ้นเยวี่ยรู้สึกเศร้าหมองขึ้นมาในใจ ทั้งยังกรุ่นโกรธอยู่ด้วยหลายส่วน พอแน่ใจได้ว่าโหยวจวินซานเอาใจออกหากจากตนเองจากปากเฉินหรง เขาก็รู้สึกเสียใจมาตลอด

ณ เวลานี้ มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาดีใจ ก็คือโหยวจวินซานไม่รู้ว่าภาพวาดเจ้าสำนักเวิ่นเทียนเป็นภาพของเฉินต้วน

จิ้นเยวี่ยไม่คิดจะบอกเรื่องนี้ให้เฉินหรงรู้

เขาบอกเฉินหรงว่าสำนักเวิ่นเทียนมีความเกี่ยวข้องกับราชครูเหลียง อีกทั้งอำนาจของสำนักเวิ่นเทียนเวลานี้แทบจะแผ่ไปทั่วแคว้นต้าอวี่แต่ปิดบังซ่อนเร้นได้มิดชิด จนแม้แต่ในเหลียงจิงก็มีผู้ศรัทธาในสำนักเวิ่นเทียนอยู่ไม่น้อย เฉินหรงมีเรื่องให้คิดหนัก จิ้นเยวี่ยชวนให้ชายหนุ่มอยู่กินอาหารด้วยกัน เฉินหรงส่ายหน้าปฏิเสธ พูดคุยเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักกับจิ้นเยวี่ยและจี่ชุนหมิงสักพักก็ลุกขึ้นบอกลา

จิ้นเยวี่ยออกมาส่ง ก็เห็นโหยวจวินซานรออยู่ด้านข้าง ชายหนุ่มเดินเข้ามาทักทาย

“แม่ทัพน้อย”

จิ้นเยวี่ยมองดูเขา ยิ้มน้อยๆ “พี่ใหญ่โหยว”

โหยวจวินซานรอให้เขาพูดต่อ จิ้นเยวี่ยซ่อนแขนไว้ในชายแขนเสื้อ พูดเบาๆ “ขอให้ท่านดูแลตัวเองดีๆ”

โหยวจวินซานพลันรู้สึกว่างโหวงในใจ ระหว่างทางไปส่งเฉินหรงกลับจวน ชายหนุ่มพยายามขบคิดว่าที่จิ้นเยวี่ยพูดหมายความว่าอย่างไรพลางปลอบใจตนเองว่าพอจิ้นเยวี่ยกลับมาแคว้นต้าอวี่ก็ขาดการติดต่อกับเมืองเฟิงหูและแคว้นจินเชียง คนของพรรคหมิงเยี่ยตรวจสอบไม่พบเรื่องการทหารในทัพตะวันตกเฉียงเหนือ เขาก็ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง

เทียบกับเรื่องทางจิ้นเยวี่ย เขาเป็นห่วงที่นานแล้วไม่ได้ติดต่อกับแม่ทัพสี่และไป๋หนีที่อยู่ข้างกายอีกฝ่ายมากกว่า

เทศกาลจงชิวใกล้เข้ามา ปีนี้เจ้าแคว้นบริวารอย่างฉยงโจวและชื่อเยี่ยนมาเยี่ยมคารวะราชสำนักในวันเทศกาลด้วย ฮ่องเต้เหรินเจิ้งให้องค์ชายสามรับผิดชอบตระเตรียมงานทั้งหลาย เฉินหรงจึงยุ่งมาก พลอยทำให้โหยวจวินซานทำงานไม่ได้พักไปด้วย วันนี้เขานำแม่ทัพและทหารออกลาดตระเวนตรวจตราการป้องกันภายในเมืองเหลียงจิง ขณะผ่านไปที่หอพานโหลว จู่ๆ ก็รับรู้ได้ว่ามีสายตาคมปลาบมาจากด้านหลัง จึงรีบหันไปมอง

เทศกาลจงชิวเป็นวันงานฉลองใหญ่ แทบทุกร้านในเมืองล้วนมีการจัดเลี้ยงสุรา ธงยาวและป้ายอักษร ‘เซียนเมรัย’ แขวนไว้สูงๆ ต่ำๆ นอกร้าน สายลมสารทพัดผ่านจนปลิวไสว ด้านหน้าหอพานโหลวมีการประดับประดาอีกครั้ง ผูกผ้าหลากสี แขวนภาพและเสียบดอกไม้ ดูคึกคักอย่างยิ่ง โหยวจวินซานเหลียวกลับมามองหลายครั้ง ทว่าจับสายตานั้นไม่ได้แล้ว จึงเร่งม้าเดินต่อ

 

ในตรอกเล็กข้างหอพานโหลว เฮ่อหลันเฟิงรีบลากแขนจิ้นอวิ๋นอิงพาออกไป

“พี่ใหญ่ อย่าบุ่มบ่าม” เฮ่อหลันเฟิงหันไปห้าม “สถานการณ์ตอนนี้ สำคัญที่สุดคือท่านต้องรักษาตัวไว้ให้ดี อย่าบุ่มบ่ามออกไปประจันหน้ากับเขา”

เขากุมข้อมือหญิงสาวแน่น จับสังเกตได้ว่ามือที่อ่อนแรงทั้งสองข้างกำลังขืนไว้สุดแรงเกิด จิ้นอวิ๋นอิงพูดเสียงสั่นอยู่ด้านหลัง

“ขอบคุณมาก ข้าเข้าใจแล้ว”

เส้นเอ็นที่มือทั้งสองข้างของนางถูกตัด ปกติที่จริงก็แทบจะทำอะไรที่ใช้แรงไม่ไหว ตอนที่เฉินต้วนพบหญิงสาวสภาพนางน่าเวทนายิ่ง จึงรับไว้ช่วยงานในห้องครัว ให้ทำงานง่ายๆ อย่างเด็ดผัก เช็ดโต๊ะเท่านั้น คิดถึงตรงนี้ เฮ่อหลันเฟิงก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอก

เขาได้ยินจิ้นเยวี่ยเล่าเรื่องของพี่สาวมากมาย นางขี่ม้าได้อย่างสง่างามยิ่ง เหล่าคุณชายแห่งเมืองเหลียงจิงไม่มีใครที่ไม่แอบชื่นชมนาง นางยิงธนูและใช้หอกเก่ง จิ้นหมิงเจ้าบอกว่าหากนางต้องการ จะออกรบฆ่าฟันศัตรูก็มิใช่เรื่องยาก

ในใจเฮ่อหลันเฟิงจึงคิดมาตลอดว่าพี่สาวของจิ้นเยวี่ยทั้งห้าวหาญ รักอิสระ และเข้มแข็งไม่ต่างจากจูเยี่ย

‘พวกเรามีม้า มีขาหนึ่งคู่ ไม่ว่าที่ใดในใต้หล้าพวกเราก็สามารถไปได้’

เขาค่อยๆ เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจิ้นหมิงเจ้ากับพี่ชายจึงเน้นย้ำเรื่องนี้นัก ที่แท้เพราะนี่มิใช่กฎแห่งฟ้าดินที่ไม่เปลี่ยนแปร เคราะห์หามยามร้ายในชีวิตคนเรามีมากเหลือคณา ต่อให้อยากจะเลี่ยงก็เลี่ยงไม่พ้น

หาที่พักให้จิ้นอวิ๋นอิงได้แล้ว เฮ่อหลันเฟิงก็ประคองนางพาเข้าไปพักผ่อนในห้อง ที่นี่คือบ้านของหนิงหยวนเฉิง เฉินต้วนคัดเลือกคนไว้คอยคุ้มกันสองสามคน หลักๆ คือหนิงหยวนเฉิงกับเฮ่อหลันเฟิงผลัดกันมาเฝ้า แต่จิ้นอวิ๋นอิงเป็นคนเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ ต่อให้มีคนเฝ้าเช่นนี้ก็ยังลอดหลบออกไปได้อย่างง่ายดาย

“ข้าเพียงอยากกลับบ้าน” จิ้นอวิ๋นอิงบอกเฮ่อหลันเฟิง “ไม่แน่ว่าจื่อวั่งอาจไปที่ย่านชิงซูหลี่ เขาอาจรอข้าอยู่ที่บ้าน”

“พี่ใหญ่ ฟังข้านะ” เฮ่อหลันเฟิงรินน้ำถ้วยหนึ่งให้นาง บอกให้คนที่เฝ้าอยู่ซ้ายขวาหลบไปก่อน ตนเองนั่งอยู่ตรงหน้าจิ้นอวิ๋นอิง “ข้าเคยไปที่ย่านชิงซูหลี่มาแล้ว ประตูจวนสกุลจิ้นมีแถบกระดาษปิดผนึกไว้ ได้ยินว่าข้างในไร้คนอยู่อาศัย จิ้นเยวี่ยไม่ได้อยู่ที่นั่น”

จิ้นอวิ๋นอิงพลันรู้สึกร้อนใจ “เช่นนั้นเขาไปอยู่ที่ใด”

เฮ่อหลันเฟิง “พี่ใหญ่อยู่พักผ่อนที่นี่ให้สบายเถอะ ข้าจะไปตามหาเขาเอง เดินจนทั่วเมือง ไม่แน่หรอกว่าข้าอาจหาเขาจนพบ แล้วจะพามาอยู่ต่อหน้าท่าน อย่ากังวลไปเลย ข้าจะเป็นดวงตาให้ท่านเอง”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าดูจริงใจ ไม่เหมือนแค่พูดปลอบไปอย่างนั้น แต่เหมือนกำลังให้สัญญาอย่างเห็นค่ายิ่ง

“…ผู้ใดว่าเจ้าเป็นหมาป่าชั่วร้ายเกาซิน” จิ้นอวิ๋นอิงปัดปอยผมตรงหน้าผากที่กระจัดกระจายให้เฮ่อหลันเฟิง มองดูใบหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ที่ผสมผสานระหว่างชาวฮั่นกับชาวเกาซิน “เจ้ามีดวงตาที่อ่อนโยนออกเช่นนี้”

เฮ่อหลันเฟิงตะลึงงันไปพักหนึ่งแล้วค่อยๆ คลี่ยิ้ม แน่ใจได้อีกครั้งว่าสตรีตรงหน้าเป็นพี่สาวของจิ้นเยวี่ยจริงๆ เพราะคำพูดของทั้งสองเหมือนกันอย่างกับอะไรดี

วันถัดมาเป็นวันเทศกาลจงชิว เฮ่อหลันเฟิงอยากออกไปตามหาจิ้นเยวี่ยทุกวัน แต่ตอนนี้งานสำคัญที่สุดคือการคุ้มกันจิ้นอวิ๋นอิง เขาจำต้องออกไปข้างนอกเฉพาะตอนที่หนิงหยวนเฉิงกลับบ้านมาผลัดเวร วันนี้เขาตั้งใจไปที่พรรคหมิงเยี่ยโดยเฉพาะ

เทศกาลจงชิวคึกคักไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง คืนนี้แม้จะไม่มีโคมหลวง แต่โคมชาวบ้านมีมากมายหลากสีหลายแบบ แม้แต่หน้าประตูพรรคหมิงเยี่ยก็ยังมีคนช่วยเด็กๆ จุดประทัดเล่นโคมไฟ เฮ่อหลันเฟิงเดินจากด้านหน้าประตูเข้าไป คนของพรรคหมิงเยี่ยยังไม่ได้พัก มีบางคนจำเขาได้ จึงรีบขมวดคิ้วทันที

เฮ่อหลันเฟิงมาที่นี่หลายครั้งแล้ว ทุกครั้งถามสองคำถาม หนึ่งคือเยวี่ยเหลียนโหลวกับเฉินซวงอยู่หรือไม่ สองคือช่วยตามหาที่อยู่ของจิ้นเยวี่ยได้หรือไม่

ไม่นานมานี้เยวี่ยเหลียนโหลวกลับมาเหลียงจิงแล้วก็จริง แต่ไม่ช้าก็ออกไปกับจางโม่ ไม่รู้ไปอยู่ที่ใด ส่วนเฉินซวงตอนนี้อยู่เป็นเพื่อนข้างกายจิ้นเยวี่ย ตัวจิ้นเยวี่ยนั้นมีพรรคหมิงเยี่ยคอยคุ้มกันอยู่ พวกผู้ช่วยทั่วไปไม่รู้จะตอบคำถามเขาอย่างไร ส่วนคนที่รู้รายละเอียดก็ไม่อาจบอกที่อยู่ของจิ้นเยวี่ยกับเฉินซวงให้คนแปลกหน้าเช่นเฮ่อหลันเฟิงรู้ได้ตามใจชอบ

แม้จะถูกกีดกันเสมือนวิ่งชนกำแพงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็ยังมาสอบถามอยู่เรื่อยๆ ช่างน่าหงุดหงิดนัก

เดินเตร่อยู่ในพรรคหมิงเยี่ยพักใหญ่ เฮ่อหลันเฟิงก็ออกมาอย่างกรุ่นโกรธ เขาเดินทอดน่องไปเรื่อยจนถึงหอพานโหลว ฟังเสียงร้องแหลมที่แว่วมาจากในหออยู่สักพักแต่ฟังไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว คนรอบข้างกลับดูรื่นเริงสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง หอพานโหลวแห่งนี้ไม่มีจิ้นเยวี่ย เขาเดินผ่านกลุ่มคนไปทางย่านชิงซูหลี่ หน้าประตูจวนสกุลจิ้นที่ย่านชิงซูหลี่มีคนมาลอยโคมไม่น้อย เฮ่อหลันเฟิงเองก็ลอยด้วยโคมหนึ่ง เขาอยากให้พ่อค้าเร่ช่วยเขียนชื่อจิ้นเยวี่ย

“จันทร์กระจ่างลอยขึ้นเหนือเทือกเขาเทียนซาน เข้าใจหรือไม่”

พ่อค้าเร่ “ไม่เห็นเข้าใจ”

เฮ่อหลันเฟิงจึงหยิบพู่กันมาเขียนชื่อจิ้นเยวี่ยเอง ตัวอักษรบิดๆ เบี้ยวๆ แต่พอดูห่างๆ ก็พอเป็นรูปเป็นร่าง เขายังเดินซื้อผลทับทิมจากข้างทาง คนขายสอนวิธีกินให้ เขาถ่มเมล็ดออกทีละเมล็ด รู้สึกเมื่อยปากเมื่อยลิ้น

แต่ผลไม้สีแดงสดฉ่ำนี้ก็มีรสหวานอร่อย จิ้นเยวี่ยคงชอบกระมัง

เขาคิดพลางกินเมล็ดทับทิม มุ่งหน้าไปยังธารเยี่ยนจื่อที่อยู่ไม่ไกล

อีกด้านของย่านชิงซูหลี่ จิ้นเยวี่ยดึงชายแขนเสื้อจี่ชุนหมิง “พอถึงธารเยี่ยนจื่อแล้วเราก็แยกออกมา ให้พี่สาวเจ้ากับเฉินซวงอยู่กันตามลำพัง”

เพิ่งพูดจบ เฉินซวงก็หันมาถลึงตาใส่เขาทันที

พี่รองเหยาไม่ปิดบังความชื่นชอบที่มีต่อเฉินซวงแม้แต่น้อย วันเทศกาลชีซีนัดหมายเขาออกมาชมโคมไฟ เทศกาลจงชิวก็มาชวน เฉินซวงไม่อยากไปเลย ตอบเลี่ยงว่าตนเองต้องอยู่เล่นหมากกระดานกับจิ้นเยวี่ย ใครจะคาดคิด จิ้นเยวี่ยรีบกระโดดผึงบอกว่าตนเองอยากไปชมโคมไฟด้วย

จี่ชุนหมิงมากับพี่รองเหยา ชายหนุ่มเดาว่าเฉินซวงจะต้องใช้จิ้นเยวี่ยเป็นข้ออ้างว่า ‘ต้องอยู่เป็นเพื่อนจิ้นเยวี่ย’ ดีที่เฉินซวงบอกปัดไม่สำเร็จ สุดท้ายกลายเป็นสี่คนมาเดินด้วยกัน จิ้นเยวี่ยชอบพูดคุยกับพี่รองเหยา เขาคอยมองหาเงาร่างของพี่สาวตนเองอย่างระมัดระวังจากหญิงสาวผู้นี้ที่มีอายุอานามพอๆ กัน

“ต่างหูวันนี้ของพี่รองเหยาเป็นแบบของร้านหลิงหลงไจ?”

พี่รองเหยาแปลกใจมาก “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

“สายสร้อยทำจากทองคำ เกลี้ยงเกลาแวววาว วันเทศกาลจงชิวทุกปี ร้านหลิงหลงไจจะทำต่างหูกระต่ายหยกแบบใหม่ออกขาย ทุกปีข้าต้องซื้อให้พี่สาว” เขายิ้ม “พี่รองเหยาสวมแล้วงามมาก”

จิ้นเยวี่ยกับพี่รองเหยาคุยกันถูกคอ จี่ชุนหมิงกับเฉินซวงเดินด้วยกัน จี่ชุนหมิงไม่รู้จักอ้อมค้อม พูดตรงเข้าประเด็นทันที “เจ้าไม่ชอบพี่สาวของข้ามิใช่หรือ”

เฉินซวง “ไม่ใช่เสียหน่อย”

จี่ชุนหมิง “เช่นนั้นเหตุใดไม่ชอบออกไปไหนมาไหนกับนาง”

เฉินซวง “ข้าอาย ไม่ได้หรือ”

จี่ชุนหมิง “ไม่มีความเป็นบุรุษเอาเสียเลย”

เฉินซวง “เจ้าเป็นบุรุษ เหตุใดวันที่เว่ยเหยียนแต่งงาน เอาแต่ร่ำสุรากลัดกลุ้มในร้านตามลำพัง ยังวิ่งไปร้องห่มร้องไห้กับจิ้นเยวี่ยอีก ร้องไห้ขี้มูกโป่งเชียวนะ…”

จี่ชุนหมิงหน้าแดงก่ำ รีบวิ่งไปสมทบกับจิ้นเยวี่ย ไม่คุยกับเฉินซวงอีก

เห็นธารเยี่ยนจื่ออยู่ข้างหน้าแล้ว จิ้นเยวี่ยจึงดึงแขนจี่ชุนหมิง หันไปโบกมือให้เฉินซวงกับพี่รองเหยา

“ข้ากับจี่ชุนหมิงจะไปเดินเล่นทางนั้น!”

ไม่รอให้เฉินซวงได้ส่งเสียงตอบโต้ ทั้งสองก็รีบสาวเท้าวิ่งจากมา

ธารเยี่ยนจื่อยามราตรีสว่างไสวด้วยแสงจากโคมไฟ ต้นไห่ถังสองฟากธารน้ำเริ่มทิ้งใบทีละน้อย ยอดไม้แขวนผ้าไหมสีแดง พู่ห้อยหลากสีและโคมทรงดอกไม้ โคมทรงดอกไม้ที่แขวนไว้ส่วนใหญ่เป็นโคมดวงน้อย หมุนคว้างกลางสายลมยามสารทราวกับดวงดาราถูกผูกไว้กับปลายกิ่งไม้ มีสองสามดวงลุกไหม้ขึ้นเป็นบางครั้ง คนเดินผ่านพากันส่งเสียงตกอกตกใจ ไหม้แล้วก็มิได้หมายความว่าเป็นเรื่องร้าย ลูกไฟดวงน้อยเป็นเพราะเทพเซียนแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้ยินคำอธิษฐานในโลก จึงมารับดวงไฟดอกไม้ไปเพื่อทำให้คำอธิษฐานนั้นเป็นจริง

ธารเยี่ยนจื่อทอดตัวยาวคดเคี้ยว ในธารน้ำมีเพียงเรือลำน้อยไม่กี่ลำ ปกติบนเรือมีคนนั่งเรือเพียงสองคน พวกเขาล้วนสวมหน้ากาก เป็นหน้ากากหนึ่งชายหนึ่งหญิง ชายเปล่งเสียงขับบทเพลง หญิงดีดพิณบรรเลงดนตรี ทุกครั้งที่ลอดใต้สะพานหินจะมีคนบนสะพานโยนเหรียญอีแปะ ผลไม้หรือลูกกวาดลงไป เสียงโห่ร้องปลุกเร้าดังขึ้นทางโน้นทีทางนี้ที

จิ้นเยวี่ยพูดกับจี่ชุนหมิง “คนที่สวมหน้ากากสตรี อาจจะเป็นชายก็ได้”

จี่ชุนหมิง “เยวี่ยเหลียนโหลวจะต้องชอบเรื่องเช่นนี้แน่”

จิ้นเยวี่ยหัวเราะ “ตอนเด็กๆ ข้ามักพูดว่าโตขึ้นจะมาพายเรือที่ธารเยี่ยนจื่อ ไม่ขอเงินขอทองอันใด ให้ลูกกวาดขนมหวานข้าเท่านั้นเป็นพอ แค่นี้ข้าก็เบิกบานสนุกสนานได้ทั้งวัน”

จี่ชุนหมิงหันไปเห็นคนขายพุทราเชื่อมอยู่ไม่ไกล จึงพูดกับจิ้นเยวี่ย “รอข้าตรงนี้ ข้าจะไปซื้อของหวานให้เจ้ากินสักหน่อย”

แผงขายพุทราเชื่อมกำลังพูดถึงชายประหลาดคนหนึ่งที่ได้พบเมื่อครู่ให้อีกคนฟัง “นัยน์ตาสีเขียว! ไม่เหมือนพวกเราชาวต้าอวี่เลยสักนิด! กินพุทราหวานของข้าได้สองลูกก็บอกว่าไม่อร่อย แต่ก็ยังซื้อไป”

มีคนนึกไปถึงเรื่องเล่าที่พากันลือสนั่นไปทั่ว “นัยน์ตาสีเขียว? นั่นไม่ใช่หมาป่าชั่วร้ายแห่งเป่ยหรงหรือ ไอ้หยา มาถึงต้าอวี่แล้ว?”

คนขายพุทราเชื่อมพูดอีก “ไม่ใช่กระมัง หมาป่าชั่วไม่ใช่ว่าถูกเทียนจวินของเป่ยหรงฆ่าทิ้งแล้วหรือ ไหนเลยจะมีหมาป่าชั่วได้อีก!”

จี่ชุนหมิงพลอยนึกสนุกพูดยุส่ง “เป็นอย่างที่ว่ามาจริงๆ ได้ยินว่าชาวเกาซินนัยน์ตาสีเขียวล้วนเรียกว่าหมาป่าชั่วร้าย ทั่วทั้งตัวมีแต่ไอผีร้าย น่ากลัวมาก”

เขาเพิ่งพูดจบ คนที่อยู่รอบด้านก็พากันเงียบกริบ จี่ชุนหมิงตกใจทันที เขาหันไปก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ด้านหลัง คนผู้นั้นกำลังก้มหน้าน้อยๆ มองดูเขา ใบหน้าดูหล่อเหลาอย่างยิ่ง แววตาเปล่งประกายเขียวใส แต่สีหน้าไม่ดูขึ้งโกรธสักนิด สงบนิ่งมากทีเดียว

จี่ชุนหมิงตกใจสะดุ้งโหยง เหลือบเห็นคนผู้นี้สะพายธนูและแล่งธนูไว้ที่หลังก็รู้ว่าเป็นคนมีวรยุทธ์ ฉับพลันจึงรู้สึกเครียดขึงขึ้นมา รีบหันกลับไปพึมพำเบาๆ

“ไม่มีอะไรๆ คนต่างถิ่น ฟังภาษาต้าอวี่ไม่เข้าใจหรอก”

“คืนเจ้าหนึ่งเหรียญทองแดง” ชายหนุ่มผู้นั้นพูดกับพ่อค้า “เมื่อครู่คนมาก เจ้าคิดเงินผิด”

จี่ชุนหมิง “…”

เหงื่อเย็นผุดจนชุ่มแผ่นหลังของเขา

ชายหนุ่มพูดอีก “ชาวเกาซินไม่ใช่หมาป่าชั่วร้าย”

จี่ชุนหมิงรีบผงกศีรษะรัวๆ คว้าพุทราเชื่อมได้ก็ออกวิ่ง

ชายหนุ่มวิ่งแจ้นกลับไปหาจิ้นเยวี่ย กำลังจะเล่าเรื่องที่ตนเองได้ยินให้ฟัง จิ้นเยวี่ยก็ชูโคมทรงดอกไม้ให้ดู ในเทศกาลจงชิวชาวเมืองเหลียงจิงชอบลอยโคมทรงดอกบัวใบเล็กๆ ในธารเยี่ยนจื่อ โคมน้อยดวงนี้ในมือจิ้นเยวี่ยไม่เหมือนโคมทั่วไปอยู่บ้าง ตรงกลางนอกจากเทียนที่เหลือครึ่งเล่มแล้ว ยังมีกระดาษพับเป็นรูปทรงหมาป่าสีดำ

จี่ชุนหมิงถึงกับสะอึก “เจ้าชอบหมาป่า?”

จิ้นเยวี่ย “ข้าชอบหมาป่าชั่วร้ายแห่งเกาซิน”

จี่ชุนหมิง “…”

เขาจำต้องกลืนคำพูดที่มาถึงปากแล้วกลับลงท้อง

ด้านหลังคนทั้งสอง กลุ่มคนกำลังคึกคัก โคมทรงดอกไม้หลากสีสว่างไสว เฮ่อหลันเฟิงถือถุงกระดาษใส่พุทราเชื่อมยืนตะลึงกลางกลุ่มโคมไฟ ขยี้ดวงตา

ผู้ที่ถือโคมน้อยทรงดอกบัวพูดคุยหัวเราะกับชายหนุ่มท่าทางเหมือนบัณฑิตเมื่อครู่คือจิ้นเยวี่ย เล่อหม่าของเขา

หน้าอกเขาสั่นสะท้านดังตึกตัก เฮ่อหลันเฟิงรีบสาวเท้าสองสามก้าว ได้ยินพ่อค้าขายโคมทรงดอกไม้ตะโกน

“อะไรกัน หมาป่าชั่วร้ายเกาซิน? หมาป่าชั่วร้ายเกาซินถูกฆ่าไปแล้วมิใช่หรือ! ตายไปแล้ว! โลกนี้ไม่มีหมาป่าชั่วร้ายอะไรแล้ว!”

จิ้นเยวี่ยไม่พูดอธิบายอะไร เพียงหัวเราะให้ชายชรา แล้วถือโคมทรงดอกบัวดวงน้อยเดินไป

คำพูดนี้ราวกับจุดประกายให้คนรอบข้างสนใจเรื่องเล่าของแคว้นเป่ยหรง เฮ่อหลันเฟิงได้ยินแต่ผู้คนถกเถียงกันเรื่องเทียนจวินแห่งเป่ยหรงสังหารหมาป่าชั่วร้าย ชาวเหลียงจิงล้วนรู้เรื่องของหมาป่าชั่วร้าย ชาวเหลียงจิงล้วนรู้ว่าพี่น้องหมาป่าเกาซินตายแล้ว! แต่ละคนส่งเสียงเอะอะ พูดคุยกันเสียงดังขรมอย่างไม่เกรงใจยามเดินผ่านเขาไป

เฮ่อหลันเฟิงเพียงรู้สึกว่าพุทราเชื่อมในมือหนักอึ้งเหลือประมาณ พลอยทำให้สองเท้าของเขาเชื่องช้าลง ราวกับถูกก้อนหินถ่วงไว้

ในเมื่อรู้ว่าข้าตายแล้ว เหตุใดจิ้นเยวี่ยยังยิ้มออก เหตุใดเขาจึงสนิทสนมร่าเริงกับบัณฑิตผู้นั้นถึงเพียงนี้

เฮ่อหลันเฟิงไม่อาจสะกดความสับสนและกังวลในหัวใจ เดินตามไปห่างๆ ไม่กล้าเข้าใกล้

 

จิ้นเยวี่ยกับจี่ชุนหมิงเดิมทีจะไปหาเฉินซวงกับพี่รองเหยา แต่เหตุใดก็ไม่ทราบจึงหาทั้งสองไม่พบ จี่ชุนหมิงรู้ว่ามีคนของพรรคหมิงเยี่ยคอยจับตาดูจิ้นเยวี่ยอยู่ในที่ลับตา ตัวเขาจึงออกไปตามหาพี่สาวก่อน จิ้นเยวี่ยเดินวนเวียนอยู่แถวริมธารเยี่ยนจื่อ เห็นข้างกายมีพ่อค้าเร่ขายโคมลอยจึงขอยืมพู่กันกับหมึกมา เขียนคำว่า ‘เฮ่อหลันเฟิง’ สามตัวลงบนโคมน้อยทรงดอกบัวอย่างตั้งอกตั้งใจ

พอเงยหน้า อีกฟากของธารเยี่ยนจื่อมีแถวโคมเรียงรายสว่างจ้า มีคนเขียนอักษรเป็นกลอนสองประโยคที่ได้แรงบันดาลใจจากบรรยากาศงดงามชวนฝัน ความว่า ‘ลมพัดพลิ้วเยือนถิ่นสหาย ชลาสินธุ์โอบโพยมเมื่อโสมฉาย’

จิ้นเยวี่ยจดจำได้รางๆ ว่านี่เป็นลายมือของเยวี่ยเหลียนโหลว

ผู้คนแน่นขนัดริมธารเยี่ยนจื่อ เขาเดินลงบันไดหินอย่างระมัดระวัง วางโคมทรงดอกบัวลงไปยังผืนน้ำ

ผิวน้ำมีโคมทรงดอกไม้น้อยๆ นับไม่ถ้วนเปล่งแสงวับวาม แทบทุกใบเป็นทรงดอกบัวแดงเบ่งบานลอยเบียดเสียดกัน เพื่อให้โคมทรงดอกไม้ลอยไปได้อย่างมั่นคง คนที่มีเงินเหลือก็มักวางเหรียญอีแปะสักเหรียญไว้ในโคม จิ้นเยวี่ยกำลังคลำหาเหรียญ โคมใบน้อยก็ถูกกระแสน้ำพัดโงนเงนไปแล้ว ค่อยๆ ลอยปะปนไปกับโคมอื่นๆ ยากจะแยกออก

ตอนที่เดินกลับขึ้นไปบนตลิ่ง จี่ชุนหมิงก็กลับมาอยู่ข้างกายพอดี

“เฉินซวงทิ้งพี่สาวข้าอีกแล้ว!” เขาดูโกรธมาก “คนอะไรน่าโมโหจริง พี่สาวข้ามีอะไรไม่ดี! ข้าต้องหาเขาให้พบ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาไปที่ใด”

“ไม่รู้หรอก ข้าเพิ่งมาลอยโคมที่นี่” จิ้นเยวี่ยตอบ “ข้าเขียนชื่อหมาป่าชั่วร้ายเกาซินไว้บนโคมด้วย”

จี่ชุนหมิง “คนที่เจ้าชอบนั่นน่ะหรือ”

จิ้นเยวี่ยไม่ปฏิเสธ พยักหน้าสองทีสีหน้าปลาบปลื้ม

“เฮ่อหลันเฟิงใช่หรือไม่ ได้ยินเฉินซวงเคยพูดถึงมาบ้าง แต่จิ้นเยวี่ย…” จี่ชุนหมิงเกาใบหู มองไปทางธารเยี่ยนจื่อ “โคมทรงดอกบัวเขียนชื่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้ จะเป็นการนำภัยพิบัติมาสู่เขา”

จิ้นเยวี่ยตกตะลึง “ใครบอก”

จี่ชุนหมิง “เขียนไว้ในตำรา”

จิ้นเยวี่ยไม่ค่อยเชื่อสักเท่าใด หัวเราะแล้วพูดว่า

“ตำราเล่มใดของเจ้า” เขาหันหลังแล้วเดินไปทางย่านชิงซูหลี่ มือถือพุทราเชื่อมที่จี่ชุนหมิงนำกลับมาให้

เผอิญพ่อค้าตั้งแผงขายโคมทรงดอกไม้ย้ายแผงออกไป เงาโคมไฟทึบดำทาบทับฝูงชนจนดูเลือนราง จิ้นเยวี่ยตะลึงงัน เอาพุทราเชื่อมยัดใส่อกจี่ชุนหมิง วิ่งถลาไปข้างหน้า

ชั่วพริบตาเมื่อครู่นี้เขาเห็นสายตาที่คุ้นเคยวาบผ่านด้านหลังแสงโคมไฟ

จิ้นเยวี่ยวิ่งตามไปหนึ่งอึดใจ เขาไม่กล้าตะโกนเรียกเพราะเกรงว่าตนเองจะตาฝาด ชนคนเดินผ่านไปมาจนโซเซ ไม่รู้มีคนมากเท่าใดหันมามอง เขาวิ่งไปจนผมเผ้ากระเซิง ใบหน้าไม่รู้ไปชนกับอะไรจนเปรอะเปื้อนรอยดำเป็นปื้น เขารีบเช็ดออกลวกๆ ก็พบว่าวิ่งมาถึงช่วงปลายถนนที่จัดงานเทศกาลแล้ว คนเดินถนนบางตา โคมลอยเหนือศีรษะสว่างจ้า

ไม่ใช่เฮ่อหลันเฟิง ไม่มีเฮ่อหลันเฟิง เขาเพียงตาฝาดไปเท่านั้น

จิ้นเยวี่ยยืนพิงกำแพงหอบฮัก พบว่าฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น

ฉับพลันเขาก็นึกถึงข่าวลือจากเป่ยหรงที่เฉินหรงเล่าให้ฟัง ยังมีถ้อยคำเมื่อครู่ของจี่ชุนหมิงอีก

โคมทรงดอกบัวเขียนชื่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้…

จิ้นเยวี่ยหันกลับวิ่งไปทางธารเยี่ยนจื่อ

ที่แห่งนี้เป็นช่วงปลายน้ำของธารเยี่ยนจื่อแล้ว อยู่ใกล้สระมู่ชิงมาก น้ำดูตื้น ลึกแค่ท่วมหัวเข่าเท่านั้น เหนือลำน้ำมีสะพานหินเล็กๆ โคมทรงดอกบัวจากต้นน้ำที่ไหลมาสู่ปลายน้ำพากันอออยู่ใต้โค้งสะพานน้อยแห่งนี้ แน่นขนัดจนไหลเข้าออกไม่ได้ มีคนยืนอยู่บนสะพาน คอยแหย่ไม้ด้ามยาวลงในน้ำ เขี่ยโคมทรงดอกบัวให้ไหลผ่านใต้โค้งสะพานนั้นไปให้ได้

จิ้นเยวี่ยวิ่งสองสามก้าวลงบันไดหินก่อนกระโดดลงไปในธารน้ำ โคมทรงดอกบัวถูกแรงกระแทกจนพลิกคว่ำ เหรียญทองแดงที่ใส่ไว้ในโคมก็หล่นลงน้ำ

มีคนใช้ไม้ยาวสะกิดเขาพลางร้องด่าทอ

“มาขโมยเหรียญล่ะสิท่า! เหรียญนี่ให้พวกขอทานชราในเมืองเหลียงจิง เจ้าก็แต่งตัวดี หน้าไม่อายเสียจริง!”

จิ้นเยวี่ยไม่สนใจ เอาแต่หาโคมทรงดอกบัวของตนเองอยู่ในน้ำ โคมทรงดอกบัวลอยบนผิวน้ำแน่นขนัด ใต้เท้าเปียกลื่น จำต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ไม้ไผ่คอยทิ่มแทงสะกิด คนผู้นั้นด่าทออีกหลายประโยคแล้ววิ่งลงจากสะพาน

ในที่สุดจิ้นเยวี่ยก็เห็นโคมใบน้อยของตนเองอยู่ใต้โค้งสะพาน โคมใบนั้นจมอยู่ในน้ำครึ่งๆ ทว่าเทียนยังคงลุกไหม้อยู่

เขาหยิบโคมไฟขึ้นมา หมาป่าน้อยทำจากกระดาษปั้นสีดำเปียกชุ่มจนละลาย คำว่า ‘เฮ่อหลันเฟิง’ ดูเลือนไปแล้ว จิ้นเยวี่ยรีบฉีกโคมไฟนั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เศษกระดาษสีแดงสดถูกทิ้งลงน้ำ เขามองดูเศษกระดาษถูกไฟจากเปลวเทียนเผาไหม้ ติดไฟอยู่สักครู่ก็มอดดับ พลันรู้สึกได้ว่าภัยพิบัตินั้นน่าจะถูกกำจัดไปแล้ว

คนผู้นั้นวิ่งมาถึงริมธารน้ำ เห็นเขาฉีกทึ้งโคมทรงดอกบัว ฉับพลันก็โกรธจนหน้าซีด

“เหตุใดเจ้าฉีกโคมไฟของผู้อื่น!” ว่าแล้วก็ตวัดไม้ไผ่ด้ามยาวจะฟาดจิ้นเยวี่ย

ไม้ไผ่ยังไม่ทันฟาดถึงตัวจิ้นเยวี่ย จู่ๆ ก็ถูกคว้าไว้ คนผู้นั้นยังไม่ทันได้โต้กลับ ไม้ไผ่ยาวก็หลุดมือตกลงไปในน้ำดังตูม เขาตกใจสะดุ้งโหยง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ข้างๆ ที่ฉวยไม้ไผ่ยาวมาได้ก็โยนทิ้งทันที

ดวงตาของเฮ่อหลันเฟิงทำเอาคนผู้นั้นตกใจจนรีบหันหลังวิ่งหนีไป จิ้นเยวี่ยได้ยินเสียงบนตลิ่ง หันไปดูก็เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ริมธารเยี่ยนจื่อ ขมวดคิ้วมุ่น กำลังก้าวอาดๆ ย่ำลงน้ำมา

โคมไฟบนต้นไห่ถังส่ายไปมา ท้องนภามืดคล้ำประหนึ่งน้ำหมึกแต่งแต้มด้วยแสงโคมลอย เฮ่อหลันเฟิงเดินเข้ามาหา คว้ามือเขาไว้แล้วถามเสียงเครียด

“เจ้ากำลังทำอะไร”

จิ้นเยวี่ยมองดูใบหน้าเฮ่อหลันเฟิงเหมือนถูกสะกดจนแน่นิ่ง หัวใจเต้นโครมครามในอก มีแต่เสียงดัง วิ้งๆ ในหัวจนปวดร้าวไปหมด น้ำในธารน้ำเย็นอยู่บ้างในยามสารท เสื้อผ้าท่อนล่างของเขาชุ่มน้ำ แนบติดผิวหนังจนรู้สึกไม่สบายตัว เฮ่อหลันเฟิงจูงเขาเดินขึ้นตลิ่ง จิ้นเยวี่ยเคลื่อนไหวตามการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย มีเพียงสายตาจับจ้องที่เรือนร่างของชายหนุ่ม

“เจ้าตามหาอะไรอยู่ ให้ข้าช่วยสิ” เฮ่อหลันเฟิงอาสา ความลังเลสับสนในใจเขาสลายไปสิ้นเมื่อได้เห็นจิ้นเยวี่ยกระโดดลงน้ำ รอจนจูงอีกฝ่ายขึ้นมาถึงบนตลิ่งแล้ว อาการใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ เมื่อครู่นี้จึงค่อยๆ กลับคืนมา เขาไม่กล้าเงยหน้า การได้พบกันอีกครั้งเช่นนี้ไม่เหมือนที่เขานึกฝันไว้ก่อนเลย จึงพูดขึ้นทั้งๆ ไม่มีอะไรจะพูด “ข้าว่ายน้ำไม่แข็ง แต่ก็พอจะงมหาของในธารเยี่ยนจื่อได้อยู่หรอก…”

จิ้นเยวี่ยประคองใบหน้าเขา แรงมือนั้นเล่นเอาเฮ่อหลันเฟิงรู้สึกแปลกๆ เพราะอยู่ใกล้ชิดกันเกินไป เขาเห็นแสงจากโคมไฟและเงาสะท้อนเล็กๆ ของตนเองในดวงตาจิ้นเยวี่ย ดวงตาดำมีหยาดน้ำตาเอ่อขึ้นบางๆ กลอกกลิ้งเปี่ยมปริ่มในดวงตา

จู่ๆ จิ้นเยวี่ยก็ยกมือขึ้นตบใบหน้าตนเอง

เฮ่อหลันเฟิงตกใจ รีบฉวยมือเขาไว้

“ไม่ใช่ฝัน!”

จิ้นเยวี่ยกัดฟัน สีหน้าคล้ายร่ำไห้คล้ายแย้มยิ้ม

“…เจ้า…เจ้ามาตามหาข้า?”

เฮ่อหลันเฟิงพยักหน้า

“ข้ามาตามหาเจ้า” เขาพลันแตะถูกแผลที่แขนซ้ายของจิ้นเยวี่ย

มีแผลใหม่พาดเหนือตราประทับทาสของอวิ๋นโจวอ๋อง ตอนนี้ประสานดีแล้ว ราวกับเป็นรอยเฉี่ยวขีดฆ่าตราประทับทาส กรีดทำลายบาดแผลเก่า ก็คือรอยแผลที่ศรเกาซินทิ้งไว้ให้ในวันวาน

เฮ่อหลันเฟิงลูบไล้รอยแผลนั้น รู้สึกปวดแปลบในลำคอยากทานทน “เจ็บหรือไม่”

“เจ็บมาก…” จิ้นเยวี่ยคว้าคอเสื้อเขาพลางตะคอก “เจ็บแทบตาย! เจ้า…เจ้าใช้ศรเกาซินกับข้าได้อย่างไร…เจ้าเคยบอกว่าจะไม่…”

เขาร้องไห้เสียจนพูดไปคำพูดก็เริ่มสับสนคลุมเครือฟังไม่รู้เรื่อง ในหัวมีแต่เสียงดังวิ้งๆ จนปวดหัวราวกับมีอะไรมากระหน่ำตี จิ้นเยวี่ยพร่ำพูดอย่างสับสนจนตัวเองยังฟังไม่ออก ในใจมีเสียงคอยกระซิบบอกเขาว่า

ที่แท้เจ้ายังอยากจะต่อว่าเขา

“ข้าทำอะไรผิดไปหรือ” จิ้นเยวี่ยกลั้นน้ำตาไว้ อยากทำตัวเข้มแข็งต่อหน้าเฮ่อหลันเฟิง แต่กลั้นไม่อยู่ “…การตายของพี่ชายเจ้าเกี่ยวข้องกับข้าใช่หรือไม่ เกลียดข้าหรือ เจ้าเกลียดข้าจริงๆ?”

เขายิ่งพูดยิ่งรัวเร็วจนแทบหายใจไม่ทัน ความคลุ้มคลั่งประดังในอกจนล้นปรี่ แม้แต่หายใจก็ยังลำบากขึ้นทุกที จิ้นเยวี่ยเหมือนเด็กที่กำลังน้อยใจไร้คนเข้าใจ นอกจากซักถามแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรได้อีก

เฮ่อหลันเฟิงรีบโผเข้าไปจูบ ถ้อยคำสับสนพลันหยุดชะงัก จิ้นเยวี่ยรับรู้ได้ว่าริมฝีปากและลิ้นของตนเองถูกผู้อื่นครอบครอง ในนั้นมิได้มีความใคร่ หากแต่เป็นการปลอบประโลมอันอ่อนโยน เขาหยุดร้องไห้ ผลักเฮ่อหลันเฟิงออกอย่างขุ่นเคือง

“พี่ใหญ่ยังไม่ตาย” เฮ่อหลันเฟิงแนบชิดหน้าผากตนเองกับอีกฝ่าย จิ้นเยวี่ยดิ้นหนีไม่ได้ ถูกเขาโอดกอดแนบอก เฮ่อหลันเฟิงลูบเส้นผมเบามือ พูดชัดถ้อยชัดคำ “พวกเรากลับเขาเซวี่ยหลางแล้ว จั๋วจั๋วก็ปลอดภัย พี่ใหญ่กับจูเยี่ยได้อยู่ด้วยกัน พวกเขายังได้มีลูกของตัวเองด้วย เพียงแต่ตอนนั้นพี่ใหญ่ได้รับบาดเจ็บสาหัส”

จิ้นเยวี่ยตกตะลึง “ได้รับบาดเจ็บ…ข้ามีส่วน?”

เขาใช้มือที่เปียกชื้นเช็ดน้ำตา ดวงตาแดงก่ำจ้องมองเฮ่อหลันเฟิง รอฟังคำตอบ

เฮ่อหลันเฟิงรู้สึกว่าจิ้นเยวี่ยที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขาทั้งปวดใจทั้งหัวใจอ่อนยวบ “มีคนบอกอวิ๋นโจวอ๋องว่าข้ากับพี่ใหญ่จะใช้เส้นทางเทือกเขาอิงหลงหลบหนี”

“…เจ้าสงสัยข้า?” จิ้นเยวี่ยทั้งโกรธ ทั้งร้อนใจ ทั้งเสียใจ จนพูดไม่เป็นคำ “ไม่ใช่ข้า…ไม่มีทางเป็นข้า! เจ้าสงสัยข้าได้อย่างไร! ข้าไม่มีทาง…เหตุใดเจ้า…”

พูดยังไม่ทันจบ เฮ่อหลันเฟิงก็รวบตัวเขามากอดไว้ ปล่อยให้จิ้นเยวี่ยดิ้นสู้แต่ไม่ยอมปล่อยตัว

“ขออภัยด้วย” เฮ่อหลันเฟิง “ข้าเชื่อเจ้า”

เมฆดำทะมึนที่ปกคลุมในอก ในที่สุดก็สลายไปตอนนี้เอง

จิ้นเยวี่ยจิกผมชายหนุ่ม พูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

“เฮ่อหลันเฟิง เจ้าอาจสงสัยคนทั้งใต้หล้า แต่เจ้าสงสัยในตัวข้าไม่ได้!”

เฮ่อหลันเฟิง “อืม”

จิ้นเยวี่ยยังคงร่ำไห้ “ถ้าเจ้ายิงธนูทำร้ายข้าอีก ข้าจะไม่ยอมพบเจ้าอีกเลย จะไม่ให้อภัยเจ้าด้วย จนตายข้าก็จะเกลียดเจ้า…ไม่สิ ถ้าขืนเจ้าสงสัยข้าอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย”

“ได้” เฮ่อหลันเฟิงยืนพิงต้นไห่ถังต้นหนึ่ง กอดจิ้นเยวี่ยแนบแน่นให้อ้อมอก ฟังเสียงเขาสะอึกสะอื้นเบาๆ ยื่นหน้าไปกระซิบข้างหู “เจ้าเกลียดข้า ฆ่าข้าได้ทั้งนั้น ชีวิตข้าขอมอบให้เจ้าจัดการได้ตามใจ”

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก สองมือสั่นเทา สายลมเหมันต์ยาวนานกับจันทราเยือกเย็นถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เขาขี่เฟยเซียวผ่านที่ราบฉือวั่งหยวนกว้างใหญ่ ผ่านทุ่งหญ้าและทะเลทรายร้างไร้ผู้คน เส้นทางยาวไกลนับพันหลี่ ก็เพียงเพื่อมาถึงธารเยี่ยนจื่อในยามนี้ ได้พูดประโยคหนึ่งกับคนที่อยู่ในอ้อมอก

“ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”

ในที่สุดจิ้นเยวี่ยก็พลิกมือขึ้นกอดเขา กระซิบแผ่วเบาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยเสียงที่เฮ่อหลันเฟิงแทบไม่ได้ยิน ผสานกับเสียงอู้อี้ขึ้นจมูก “ข้าก็เหมือนกัน…”

ผืนน้ำ ยอดไม้ โคมไฟหมื่นพันแกว่งไกววับวาม เยวี่ยเหลียนโหลวกับจางโม่ คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืน ทอดสายตามองทิวทัศน์ของธารเยี่ยนจื่อจากบนหลังคาที่ห่างไกล

“เจ้านี่ใจร้ายเสียจริง” จางโม่พูด “ทั้งที่รู้ว่าเฮ่อหลันเฟิงมาเหลียงจิง แต่ไม่ยอมพบหน้าเขา”

เยวี่ยเหลียนโหลวถือกล้องยาสูบกล้องยาว รวบผมยาวไว้ลวกๆ ด้านหลัง ท่าทางเกียจคร้าน ได้ยินเข้าก็แย้มยิ้ม

“เจอหน้าบ่อยๆ ก็น่าเบื่อ จะต้องจัดให้มีเรื่องน่าสนุกบ้าง และก็เป็นเพราะสองคนมีวาสนาต่อกัน ข้ากับเจ้าไม่ต้องแอบชี้นำ ธารน้ำสายยาวออกอย่างนั้น ทั้งยังเป็นเทศกาลโคมไฟที่ผู้คนคึกคัก ยังมาพบเจอกันได้”

จางโม่ถามอีก “เจ้าเอากลอนสองบทที่แขวนบนหอโคมไฟลงมาตั้งแต่เมื่อใด”

เยวี่ยเหลียนโหลว “เจ้าไม่ชอบ?”

จางโม่ “คนเห็นมากเกินไป ไม่ชอบ”

เยวี่ยเหลียนโหลวยิ้ม กวักมือเรียกเขาให้มานั่งข้างๆ สองคนไม่พูดไม่จา เพียงทอดสายตามองแสงโคมไฟสว่างจ้าทั่วเมืองเหลียงจิงจากเบื้องบน เหลือบมองเงาร่างที่ซ้อนทับกันใต้ต้นไห่ถังเป็นครั้งคราว

เทศกาลโคมไฟสิ้นสุด คนที่ตลาดค้าโคมค่อยๆ แยกย้าย ขอทานแต่งตัวมอซอรวมกลุ่มกันเดินไปยังปลายน้ำเยี่ยนจื่อและสระมู่ชิง เก็บเศษเหรียญอีแปะจากโคมไฟทรงดอกบัว เฮ่อหลันเฟิงเล่าเรื่องที่ตนเองไปทำที่เมืองเซียนเหมินทั้งหมดให้จิ้นเยวี่ยฟัง จิ้นเยวี่ยมองดูผู้คนทั้งแก่เฒ่าและคนอ่อนวัยลงน้ำงมหาเหรียญ พลันรู้สึกเศร้าสลด

“คนน่าสงสารในใต้หล้านี้มีมากมายเหลือคณา” จิ้นเยวี่ยรำพึง

ในใจเขายังคงเคืองขุ่น ไม่อาจขจัดให้หมดไปเพียงเพราะการพบหน้ากันครั้งนี้ โดยเฉพาะหลังจากได้รู้ว่าเฮ่อหลันเฟิงติดใจสงสัยในตัวเขาจริงๆ เฮ่อหลันเฟิงป้อนพุทราเชื่อมให้ถึงปาก ทั้งจับมือเขาดึงให้ลุกขึ้นเดินเลียบไปตามธารเยี่ยนจื่อ จิ้นเยวี่ยสังเกตได้ว่าทางนี้เป็นทางออกไปนอกเมือง

“เจ้าจะไปนอกเมือง?” จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “เจ้ามาคนเดียว?”

“ไม่ใช่” เฮ่อหลันเฟิงกุมมือสิบนิ้วประสานกับเขา จิ้นเยวี่ยสลัดไม่หลุด ชายหนุ่มใช้แรงเล็กน้อยดึงจิ้นเยวี่ยมาอยู่ข้างกาย เอนศีรษะเข้าหาพลางกระซิบ “ยังมีอีกคนที่กลับมาเหลียงจิงพร้อมข้า”

จิ้นเยวี่ยกะพริบตาเล็กน้อย เมื่อได้ยินเฮ่อหลันเฟิงพูดว่า ‘กลับ’

“พี่สาวของเจ้าชื่อจิ้นอวิ๋นอิงสินะ?” เฮ่อหลันเฟิงบอก “หน้าตาคล้ายเจ้าสามสี่ส่วน โดยเฉพาะดวงตา”

ฝ่ามือที่เขากุมไว้พลันมีเรี่ยวแรงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน กุมมือไว้แน่น

จิ้นเยวี่ยร้องเสียงหลง

“เจ้าหานางพบแล้ว?!”

“นางยังมีชีวิตอยู่ ได้รับบาดเจ็บบางส่วน แต่ตอนนี้แข็งแรงแล้ว” เฮ่อหลันเฟิงตอบ “ข้าจะพาเจ้าไปพบนาง”

จิ้นเยวี่ยทั้งดีใจทั้งตกใจ น้ำตาคลอด้วยความเบิกบานใจ เขากระโดดโลดเต้นเหมือนเด็กๆ บอกไม่ถูกว่าดีใจมากเพียงใด จึงโผเข้ากอดเฮ่อหลันเฟิง เฮ่อหลันเฟิงก้มลงแตะจมูกกับเขา ยิ้มแย้มสนิทชิดเชื้อ

“อีกอย่างที่นางเหมือนเจ้า” พอหัวเราะแล้ว เขาก็เน้นย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คือชื่นชอบข้าเป็นพิเศษ”

 

คืนนี้จิ้นอวิ๋นอิงหลับไม่สนิท ตั้งแต่กลับมาเหลียงจิงก็ไม่มีสักวันที่ใจนางสงบ คืนวันเทศกาลจงชิวนี้ด้านนอกเต็มไปด้วยเสียงเด็กเล่นกันเจี๊ยวจ๊าว ทั้งเสียงดอกไม้ไฟและประทัด ยิ่งทำให้ยากข่มตานอน

ลุกจากเตียงเดินออกไปที่ลานเรือน นางอยู่ใต้ชายคามองดูหนิงหยวนเฉิงซึ่งจุดเทียนอ่านตำราการทหารในลานเรือนเล็ก

“เฮ่อหลันเฟิงเล่า” จิ้นอวิ๋นอิงถาม นางว่าจะคุยกับเฮ่อหลันเฟิงเรื่องจิ้นเยวี่ยเสียหน่อย

“ออกไปข้างนอกแล้ว เขาไม่เคยเห็นงานเล่นโคมไฟช่วงเทศกาลจงชิวของเหลียงจิง เลยอยากจะไปเที่ยวดูเสียหน่อย” หนิงหยวนเฉิงเหยียดแขน “พี่อิง อีกครึ่งชั่วยามข้าก็ต้องไปแล้ว มีงานที่วังต้องไปทำ เฮ่อหลันเฟิงเขารู้เวลา ประเดี๋ยวก็กลับ อย่ากังวลไปเลย”

จิ้นอวิ๋นอิงยิ้ม

“ข้าไม่ห่วงหรอก พวกเจ้าดีมาก” นางเพียงรู้สึกใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ เอาแต่กระวนกระวาย บอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะเหตุใด

คืนนี้งานเทศกาลโคมไฟของเหลียงจิงออกจะคึกคักเกินไปหน่อย เวลานี้แสงโคมค่อยๆ พร่าเลือนแล้ว จันทรากลมโตเหนือศีรษะจึงได้อวดโฉมแจ่มจ้า จิ้นอวิ๋นอิงก้มลงดูตำราการทหารในมือหนิงหยวนเฉิง ก็พบว่านี่เป็นตำรา ‘ถาม-ตอบห้วงทศวรรษชายแดนประจิม’ ที่จิ้นหมิงเจ้าเป็นผู้ประพันธ์ นางจำได้ว่าจิ้นเยวี่ยเคยอ่านตำรานี้บ่อยๆ เมื่อครั้งยังเด็ก

ขณะพูดคุยกัน ประตูลานเรือนพลันถูกผลักออก นอกประตูมีชายหนุ่มที่จิ้นอวิ๋นอิงคุ้นหน้ายืนอยู่ จากกันหลายปี น้องชายของนางถูกหิมะและสายลมแห่งที่ราบฉือวั่งหยวนเคี่ยวกรำ ความน่ารักใสซื่อเหมือนเด็กๆ จางหาย ไม่เหมือนจิ้นหมิงเจ้าและไม่เหมือนใครสักคนในใต้หล้านี้…หากแต่เหมือนภาพประทับจำอันเลือนรางในใจจิ้นอวิ๋นอิง ทั้งสูงโปร่งทั้งสง่างาม เป็นลักษณะอันโดดเด่นที่หาไม่ได้ในตัวบัณฑิตคนใดในเมืองเหลียงจิง

ฉับพลันจิ้นอวิ๋นอิงเหมือนตกอยู่ในความฝัน ชายหนุ่มผู้นั้นโผเข้ามาหา โอบกอดนางแนบแน่น สองพี่น้องไม่มีอะไรจะพูด แทบจะหลั่งน้ำตาออกมาพร้อมกัน

หนิงหยวนเฉิงหลบเข้าห้องไป พี่น้องทหารยามที่อยู่ในลานบ้านก็แอบหลบเข้าที่ลับตา เฮ่อหลันเฟิงเดินออกจากลานเล็กแล้วปิดประตูไม้ให้ ทิ้งสองพี่น้องอยู่ในลานเรือนเล็กแห่งนั้นด้วยกัน

คืนนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย บัดนี้เฮ่อหลันเฟิงค่อยมีเวลาได้สะสางความคิด เขาได้พบจิ้นเยวี่ยแล้ว ไม่มีเรื่องใดจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว

บ้านหลังน้อยของหนิงหยวนเฉิงอยู่นอกเมือง มีเพียงเขากับมารดาอาศัยอยู่ ค่อนข้างคับแคบ พอเด็กๆ กับคนที่มาเที่ยวชมโคมไฟพากันแยกย้ายไปแล้ว รอบด้านจึงเงียบสงัด เสียงฝีเท้าที่แว่วมาตามท้องถนนดังชัดเจน

เฮ่อหลันเฟิงเงยหน้า ทันใดนั้นก็มีสายลมหอมหวนพัดวูบ จึงรีบบีบจมูกตามสัญชาตญาณ ถอยหลังพลางชูกระบี่ในมือขึ้น

เยวี่ยเหลียนโหลวลอบจู่โจมไม่สำเร็จก็ยิ้ม

“เนิ่นนานมิได้พบหน้า จูบสักทีจะเป็นไรไป”

เฮ่อหลันเฟิง “ท่าน…”

พูดยังไม่ทันจบ รอยยิ้มของเยวี่ยเหลียนโหลวก็แปรเปลี่ยน มือผลุบมาที่ข้างเอวเขาว่องไวดุจงูเลื้อย เฮ่อหลันเฟิงยื่นมือไปจะคว้า ทว่าจับได้แต่ความว่างเปล่า มีดด้ามเล็กในปลอกหนังหมีที่เหน็บเอวไว้ถูกเยวี่ยเหลียนโหลวฉวยไปได้

เยวี่ยเหลียนโหลวแกว่งมีดเล่มนั้นไปมา พูดเสียงเย็นชา “ที่แท้สิ่งนี้ถูกเจ้าเก็บได้ ข้าอุตส่าห์ค้นหาที่เซียนเหมินตั้งสามวันสามคืน จิ้นเยวี่ยแทบจะระเบิดโทสะใส่ข้าอยู่แล้ว”

เฮ่อหลันเฟิง “ข้าไม่รู้นี่”

“จิ้นเยวี่ยให้อภัยเจ้า แต่ข้าไม่” เยวี่ยเหลียนโหลวมองประเมินเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “ศรเกาซินดอกนั้นที่ท่าเรือปี้ซาน เจ้ายิงได้แม่นยำเสียจริงๆ บัดนี้เจ้าจัดการธุระตนเองเรียบร้อยก็วิ่งแจ้นก้นสะเทือนกลับมา จิ้นเยวี่ยชอบเจ้า เขาจึงไม่โกรธ แต่ข้าไม่โกรธไม่ได้ ต่อให้เกิดเรื่องใหญ่หลวงเท่าชั้นฟ้า เจ้าก็ทำเช่นนี้กับเขาไม่ได้ เกรงว่าเจ้าคงไม่รู้ เพราะศรดอกนั้นของเจ้า เขาต้องทุกข์ทรมานมากเพียงใดระหว่างเดินทางกลับมาครั้งนี้ ไข้ขึ้นสูงไม่ลด มึนงงเลอะเลือน กินไม่ได้นอนไม่หลับ ตื่นมาก็คว้าตัวข้ากับเฉินซวง เอาแต่ถามว่าเหตุใดเจ้าคิดฆ่าเขา”

เฮ่อหลันเฟิงหลุบตามองต่ำ นิ่งฟังคำดุด่าว่ากล่าว

เยวี่ยเหลียนโหลวเก็บมีดเล่มเล็กไว้ “…อ้อ ใช่สิ เสียใจด้วย รอข้ามีเวลาก่อน แล้วจะไปเคารพศพพี่ใหญ่ของเจ้าที่ที่ราบฉือวั่งหยวน”

เฮ่อหลันเฟิง “เขายังไม่ตาย”

เยวี่ยเหลียนโหลวตะลึงงัน “อะไรนะ”

เฮ่อหลันเฟิงจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองปี้ซานในวันนั้นให้เยวี่ยเหลียนโหลวฟังคร่าวๆ พอเล่าถึงตอนที่สองพี่น้องประจันหน้าแม่ทัพหู่ที่ดักซุ่ม เฮ่อหลันจินอิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ซ้ำยังมีตูเจ๋อคอยพูดอยู่ข้างๆ เยวี่ยเหลียนโหลวก็ขบฟัน ยิ้มแล้วเอ่ย

“อ้อ เจ้าเลยคิดว่าจิ้นเยวี่ยเป็นคนเปิดโปงสินะ”

เขาเอามือไพล่หลังเดินกลับไปกลับมา พูดอย่างโกรธเคือง

“ถ้าเจ้าคิดสงสัยเขาแม้เพียงครึ่งส่วน นั่นก็นับว่าผิดต่อความจริงใจที่เขามีให้เจ้าแล้ว เป็นเฮ่อหลันจินอิงแน่ ข้ารู้ว่าเขาจะต้องใส่ไฟให้ลุกโหม เขาไม่พอใจที่เจ้าสองคนอยู่ด้วยกันมาตลอด พอสบโอกาสเหมาะเหมือนสวรรค์ประทานให้เช่นนี้ ไม่สร้างเรื่องสักหน่อยคงไม่ใช่คนอย่างเขา แล้วนี่ยังแย่งจูเยี่ยของข้าไปอีก!”

จางโม่เดินมาถึงพอดี จึงย้อนถามทันควัน “จูเยี่ยของเจ้า?”

ถึงตอนนี้เฮ่อหลันเฟิงค่อยสังเกตเห็นจางโม่ เขากับจางโม่ผงกศีรษะทักทายกัน เห็นเยวี่ยเหลียนโหลวกระแซะข้างๆ จางโม่ อธิบายว่าจูเยี่ยเป็นเพียงสหายสนิทของตนเอง ก็พอจะเดาได้รางๆ ว่าชายหนุ่มตรงหน้ามีฐานะเช่นไร ยิ่งทำให้สนใจใคร่รู้เรื่องของจางโม่มากขึ้นไปอีก จากที่ฟังจิ้นเยวี่ย หย่วนซัง และเฉินต้วนเล่าเรื่องภาพลักษณ์ของชาวยุทธ์ต้าอวี่มา ก็คล้ายว่าจางโม่จะเข้าลักษณะที่ว่านี้ พูดน้อย สีหน้าเรียบเฉย ยามยืนดูราวกับลำไผ่หยก มีสง่าราศี คิ้วตาสูงศักดิ์ไม่หวั่นไหว ดูราวกับสามารถเก็บงำจักรวาลกว้างใหญ่ไพศาลไว้ในใจได้

ถ้ามีจางโม่กับเยวี่ยเหลียนโหลวมาอยู่ตรงหน้าพร้อมกัน ต่อให้เป็นเด็กสามขวบก็ยังรู้ความว่าจางโม่นั้นน่าใกล้ชิดมากกว่า

เฮ่อหลันเฟิงหันไปประสานมือคารวะเขา เขาก็ประสานมือคารวะตอบอย่างมีมารยาท “ได้ยินนามอันยิ่งใหญ่ของคุณชายเฮ่อหลันมานาน ข้าน้อยจางโม่แห่งพรรคหมิงเยี่ย”

เป็นหนแรกที่มีคนเรียกเขาว่า ‘คุณชาย’ เฮ่อหลันเฟิงไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เนิ่นนานค่อยเค้นออกมาได้ประโยคหนึ่ง “ขอบคุณท่านมากที่ดูแลจิ้นเยวี่ยเป็นอย่างดี”

เยวี่ยเหลียนโหลวยิ้ม “ขอบคุณมาก? เจ้าเป็นอะไรกับจิ้นเยวี่ย มีสิทธิ์อะไรมาขอบคุณ หน้าใหญ่เสียจริง ใหญ่จนข้าขึ้นไปเริงระบำบนใบหน้าเจ้าได้เลยทีเดียว”

เฮ่อหลันเฟิงหันมองจางโม่ พบว่าจางโม่มิได้มีท่าทีจะห้ามปราม กลับยิ้มพลางมองดูเยวี่ยเหลียนโหลว

เขาลังเลครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างจริงจัง “ข้ารู้ข้าผิดไปแล้ว ท่านจะด่าจะตีข้าก็ได้”

เฮ่อหลันเฟิงไม่พูดมาก แต่พอพูดออกไปแล้วให้ความรู้สึกเฉียบขาดเด็ดเดี่ยว เยวี่ยเหลียนโหลวถึงกับสะอึกไปครู่หนึ่ง ยังอยากพูดจาเย้ยหยันอีกสักหน่อย แต่ก็ไม่อาจพูดต่อได้อีก

เสียงเบาๆ หลายเสียงดังขึ้นบนหลังคา ทหารที่ซุ่มอยู่โดยรอบลานเรือนแห่งนั้นยกธนูขึ้นทำทีป้องกัน เฮ่อหลันเฟิงเงยหน้าเห็นรีบห้ามปราม “คนรู้จักกัน”

ทหารจึงเก็บธนู เฉินซวงโผลงมาที่พื้น เหงื่อเย็นชุ่มศีรษะ หันไปจะคุกเข่าดังตึงให้จางโม่

“ประมุขพรรค เฉินซวงเลินเล่อ…”

จางโม่ประคองข้อศอกเขาไว้ เฉินซวงจึงคุกเข่าไม่ได้

“ไม่เป็นไร คืนนี้เหลียนโหลวกับข้าออกมาชมโคมไฟ เลยมาอยู่เฝ้าแทนก็เท่านั้นเอง” จางโม่บอก “งานเทศกาลโคมไฟงามหรือไม่”

“ไม่งาม” เฉินซวงรีบบอก “ต่อไปจะไม่ไปชมแล้ว จะอยู่เฝ้าข้างกายแม่ทัพน้อยไม่จากไปที่ใด”

เยวี่ยเหลียนโหลวยิ้ม “เฉินซวงหนอเฉินซวง นี่คือประมุขพรรค ไม่ใช่ผู้อาวุโสเติง ประมุขพรรคไม่พูดจาเล่นลิ้นซ่อนนัยแอบแฝงหรอก” เขาชะงักไปแล้วจึงถาม “วันนี้เจ้าไปชมโคมไฟกับแม่นางผู้นั้น?”

เฉินซวง “เป็นพี่สาวของจี่ชุนหมิง”

เยวี่ยเหลียนโหลว “เป็นสตรีเช่นไร งามหรือไม่”

เฉินซวง “เป็นสตรีโฉมงามที่หาได้ยากในใต้หล้านี้”

เยวี่ยเหลียนโหลวตบมือฉาด “เยี่ยมยอด! ดังนั้นเจ้า…”

“ดังนั้นข้าจึงไม่ทำร้ายนาง” เฉินซวงตอบสวน “ข้าพูดกับนางชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว”

เฮ่อหลันเฟิงมองดูเฉินซวง แล้วหันไปมองเยวี่ยเหลียนโหลวกับจางโม่ การพูดคุยนี้มีเพียงเขาที่เหมือนถูกกีดกันไว้ด้านนอก เพราะฟังความนัยในคำพูดของเฉินซวงไม่ออกเลยแม้แต่น้อย เยวี่ยเหลียนโหลวถอนหายใจสองเฮือก อ้าแขนออกจะเข้าไปกอดเฉินซวง เฉินซวงเบี่ยงหลบไม่ทันจึงถูกชายหนุ่มโอบกอดเสียแน่น

ประตูลานเรือนเปิดออก หนิงหยวนเฉิงเดินออกมาจากประตู ตกใจทันทีที่ได้เห็นสองสามคนอยู่นอกประตู เขามองดูเยวี่ยเหลียนโหลวที่กำลังกอดเฉินซวง เผยสีหน้าเหมือนอยากบอกว่า ‘ถ้าไม่เห็น ข้าก็คงไม่รู้สึกอะไรหรอก’

“ผลัดเวรแล้ว” หนิงหยวนเฉิงบอก “ข้าจะกลับไปที่วังหลวง”

เฮ่อหลันเฟิงแนะนำจางโม่ให้เขารู้จักสั้นๆ หนิงหยวนเฉิงทั้งตื่นเต้นตกใจทั้งยินดี กุมมือจางโม่ไม่ยอมปล่อย

“ประมุขพรรคหมิงเยี่ย! ข้ารอจะได้พบท่านนานแล้ว! ข้าอ่าน ‘บันทึกเรื่องในยุทธภพ’ มาแล้วทุกเล่ม!”

เขาเป็นคนร่าเริงไม่ยึดติด ปากพร่ำพูดทุกสองสามคำว่าสักวันจะขอนัดหมายไปกราบคารวะจางโม่ที่พรรคหมิงเยี่ย เฮ่อหลันเฟิงฟังอยู่ด้านข้างเงียบๆ เกิดความรู้สึกนับถือหนิงหยวนเฉิงขึ้นมาหลายส่วน

จางโม่ เยวี่ยเหลียนโหลว และเฉินซวงพูดคุยเล่นกันสักพักแล้วบอกลา นอกลานเรือนเล็กจึงเหลือเพียงเฮ่อหลันเฟิงกับเฉินซวง ตอนนี้เองเฮ่อหลันเฟิงค่อยพบว่าเฉินซวงไม่เพียงไม่พูดกับตัวเขาแม้แต่ประโยคเดียว แม้แต่มองก็ยังไม่มอง

จิ้นเยวี่ยกับพี่สาวมีเรื่องที่อยากคุยกันไม่รู้จบรู้สิ้น แต่ไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่นาน บัดนี้เขายังอาศัยจวนที่เฉินหรงจัดหามาให้ จะเข้านอกออกในก็มีคนจับตามอง ไม่อาจอยู่ค้างอ้างแรมข้างนอกโดยไม่กลับไป ไม่เช่นนั้นจะเป็นที่น่าสงสัย จิ้นเยวี่ยกับจิ้นอวิ๋นอิงจึงบอกลากัน พลอยทำให้สะอื้นไห้กันอีกรอบ

เขากับเฮ่อหลันเฟิงได้พบกันอีกครั้ง เหมือนได้กลับไปช่วงเวลานั้นที่ที่ราบฉือวั่งหยวน และยังได้พบหน้าพี่สาวอีกครั้ง เขาไม่ใช่แม่ทัพน้อย ไม่ใช่ข้ารับใช้เฉินหรง ไม่ใช่องค์ประกัน เป็นเพียงจิ้นจื่อวั่งของจวนสกุลจิ้นแห่งชิงซูหลี่ เกราะป้องกันและการระวังตัวทั้งหมดล้วนสามารถปลดลงได้แล้ว ชายหนุ่มเอนพิงศีรษะกับหัวไหล่จิ้นอวิ๋นอิง หวนนึกถึงวันเวลาทั้งหลายอันอ่อนโยนในวันวาน

เพราะหนิงหยวนเฉิงกลับไปที่วังหลวง เฮ่อหลันเฟิงจึงต้องอยู่คุ้มกันจิ้นอวิ๋นอิงที่นี่ จิ้นเยวี่ยกับเขาอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจาก แต่ก็เกรงว่าจิ้นอวิ๋นอิงจะเห็นพิรุธ เพราะจิ้นเยวี่ยยังไม่ได้เล่าเรื่องของตนเองกับเฮ่อหลันเฟิงให้พี่สาวได้รับรู้

จากมาได้สักระยะจิ้นเยวี่ยก็หันกลับไป เฮ่อหลันเฟิงกับเขายังทอดสายตามองกันจากปากประตูเข้าลานเรือน จิ้นอวิ๋นอิงโบกมือให้จิ้นเยวี่ย จิ้นเยวี่ยไม่อยากจากไปเลยจริงๆ ตัดใจให้ก้าวเดินแม้เพียงก้าวเดียวก็ไม่ได้ บังเกิดความลังเลขึ้นมาแล้ว

ทันใดนั้นเฮ่อหลันเฟิงก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามา ก้มลงกระซิบข้างหูจิ้นเยวี่ย

“รีบกลับไปเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะไปหาเจ้า”

น้ำเสียงเขาทุ้มต่ำอบอุ่นยิ่งจนใบหน้าจิ้นเยวี่ยร้อนผ่าว อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาบีบนิ้วมือเฮ่อหลันเฟิง แล้วรับคำ “อืม”

เฮ่อหลันเฟิง “ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยต่อว่าข้า”

จิ้นเยวี่ย “ก็ได้”

เฮ่อหลันเฟิง “ยิงธนูใส่ข้า”

สายตาจิ้นเยวี่ยกวาดมองสองตาของเขา “ข้าทำไม่ลงหรอก”

ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้พบพี่สาว เขายังรู้สึกกรุ่นโกรธอยู่บ้าง แต่พอเฮ่อหลันเฟิงพาพี่สาวมาอยู่ข้างกาย ความไม่พอใจและเคืองแค้นทั้งหลายในใจจิ้นเยวี่ยก็หายไปดุจควันสลายเมฆกระจาย บาดแผลแค่นั้นจะนับเป็นอะไรได้ แม้แต่ความรู้สึกแทบสิ้นหวังที่แสนเจ็บปวดในตอนนั้นก็ยังคล้ายถูกความตื่นเต้นยินดีเจือจางจนหมดสิ้น จิ้นเยวี่ยยิ้มพลางมองดูเฮ่อหลันเฟิง

“ขอบคุณเจ้ามาก”

ดวงตาดำขลับของเขาดูราวกระจกบานน้อย ในกระจกสะท้อนแสงจันทร์ มีเงาของเฮ่อหลันเฟิงอยู่ในนั้น หัวใจเฮ่อหลันเฟิงคล้ายเอิบอาบด้วยน้ำที่ละลายจากภูเขาหิมะยามต้นวสันต์ นึกอยากก้มลงจุมพิตจิ้นเยวี่ยเหลือเกิน ติดที่เวลานี้ไม่เหมาะสม สุดท้ายจึงเม้มปากอมยิ้ม

“รอข้านะ”

ทั้งสองมองสบตากันหลายหน มีคำพูดมากมายอยากเอื้อนเอ่ย ทว่าล้วนต้องกลืนลงท้อง เฮ่อหลันเฟิงเกี่ยวนิ้วนางกับนิ้วก้อยของจิ้นเยวี่ยไว้ พัวพันไม่อยากปล่อย เฉินซวงจึงพูดขึ้นอย่างเย็นชาอยู่ข้างๆ

“ไปได้แล้ว”

เฮ่อหลันเฟิงกลับไปอยู่ข้างกายจิ้นอวิ๋นอิง จิ้นอวิ๋นอิงย่อมถามว่าเขาพูดอะไร

“ข้าบอกว่าถ้าเจ้าไม่ไป พี่อิงจะเอาแต่ยืนอยู่ข้างนอกเช่นนี้ นางได้รับบาดเจ็บสาหัสเพิ่งหายดี ร่างกายอ่อนแอ ทำเช่นนี้ไม่ดีแน่” เฮ่อหลันเฟิงตอบ “จิ้นเยวี่ยเป็นห่วงท่าน เขาจึงเชื่อฟัง”

จิ้นอวิ๋นอิงยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า แต่คิดอะไรสักพักแล้วก็ถามอีก

“จริงหรือ แล้วเหตุใดคนติดตามของจื่อวั่งจึงเอาแต่ถลึงตามองเจ้า”

เฮ่อหลันเฟิงพานางกลับเข้าไปในลานเรือน “ข้าทำผิดด้วยเรื่องบางอย่าง เขาเลยไม่ชอบข้า”

 

ระหว่างเดินกลับที่พักกับจิ้นเยวี่ย เฉินซวงจามติดๆ กันหลายครั้ง ใจคิดว่าต้องเป็นเฮ่อหลันเฟิงกำลังพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับตัวเขาให้พี่สาวของจิ้นเยวี่ยฟังแน่

จิ้นเยวี่ยเองก็รู้สึกแสบๆ คันๆ จมูก ก่อนหน้านี้เพิ่งกระโดดลงธารเยี่ยนจื่อมา รองเท้าถุงเท้าเปียกชื้นไปหมด เมื่อครู่กำลังท่วมท้นด้วยอารมณ์ตื่นเต้นก็ยังรู้สึกแปลกๆ ตอนนี้มาถูกลมพัดเข้าอีก เล่นเอาหนาวจนตัวสั่น

เรื่องที่ทำให้เขารู้สึกหนักใจก็คือเรื่องเกี่ยวกับโหยวจวินซาน

เหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดในเมืองเฟิงหู เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับการสังเกตและข้อสันนิษฐานของจิ้นเยวี่ย เขาก็แน่ใจว่าโหยวจวินซานน่าจะเป็นสายสืบของแคว้นจินเชียง

ข้อเท็จจริงที่ว่านี้ทำให้จิ้นเยวี่ยทุกข์ใจยิ่ง ตลอดทางจึงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

เฉินซวงถามเขาว่าเหตุใดเฮ่อหลันเฟิงมาปรากฏตัวที่นี่ จิ้นเยวี่ยจึงเล่าให้ฟังคร่าวๆ

“ไม่ใช่เจ้าเป็นคนเปิดโปงแผนการ เช่นนั้นใครกันที่พูด” เฉินซวงสงสัย “เรื่องที่พวกเขาหลบหนีโดยใช้เส้นทางเทือกเขาอิงหลง ข้ากับเยวี่ยเหลียนโหลวก็ยังไม่รู้เลย”

“คนที่รู้เรื่องนี้มีเพียงข้า เฮ่อหลันเฟิงกับพี่ชาย ยังมีจูเยี่ยที่อยู่ไกลถึงเขาเซวี่ยหลาง” จิ้นเยวี่ยตอบ “กระทั่งอาขู่ล่าก็ต้องมีจูเยี่ยนำทางมา ไม่มีใครที่จะเปิดโปงความลับนี้”

เฉินซวงทำท่าเหมือนจะพูดแต่ชะงักไว้ จิ้นเยวี่ยรู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร

“ไม่ผิดหรอก คนที่เป็นไปได้มากที่สุดที่จะเปิดโปงก็คือข้า” จิ้นเยวี่ยรับ “แต่ข้าไม่เคย…ไม่เคยเลยจริงๆ…”

จู่ๆ เขาก็ยืนนิ่ง ความหวาดกลัวที่น่าครั่นคร้ามอย่างหนึ่งจู่โจมฉับพลัน

“จิ้นเยวี่ย?” เฉินซวงทัก “ไม่สบายหรือ”

ห้วงขณะนั้นอาการขนลุกสันหลังเย็นวาบเกาะกุมทั้งมือเท้าของจิ้นเยวี่ย เขาหวนนึกถึงสิ่งที่ตนเองบอกเล่าให้เฉินหรงฟังทั้งหมดตอนที่พบหน้ากัน

ที่จริงเขาไม่ได้บอกอวิ๋นโจวอ๋องว่าเฮ่อหลันเฟิงกับพี่ชายจะใช้เส้นทางเทือกเขาอิงหลงหลบหนีหลังลงมือสังหารแล้ว แต่เขาเคยพูดถึงเรื่องนี้กับเฉินหรงโดยไม่ได้ตั้งใจ ในเส้นทางบนเทือกเขาอิงหลงมีทางลับสายหนึ่ง เชื่อมต่อแคว้นต้าอวี่กับที่ราบฉือวั่งหยวนเข้าด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องเดินทางผ่านสิบสองเมืองแถบตอนเหนือของแม่น้ำเลี่ยซิงก็สามารถหลบหนีไปได้

ตอนนั้นเขายังไม่ล่วงรู้แผนสังหารของเฮ่อหลันเฟิงกับพี่ชาย และไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาจะหนีไปโดยใช้เส้นทางลับ

“เจ้าเป็นอะไรไป” เฉินซวงถามซ้ำ

ใบหน้าจิ้นเยวี่ยซีดขาว กุมแผลเป็นที่แขนข้างซ้ายอย่างเหม่อลอย บาดแผลตราประทับทาสที่หายเจ็บนานแล้วราวกับเต้นตุบๆ ขึ้นมาอีกครั้ง รอยแผลจากศรก็พลันรู้สึกชาขึ้นมาเลือนรางจนเขาหวาดกลัว

ศรดอกนั้นของเฮ่อหลันเฟิง ที่แท้ไม่ได้ยิงผิดคน

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 3

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED /

Hytexts / comico และ ARN

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 1-2

บทที่ 1 อาจเป็นเพราะสภาพอากาศขมุกขมัวหนาวเย็นยาวนานถึงครึ่งปี ทำให้เครื่องหอมเป็นที่โปรดปรานของชาวต้าเว่ย ได้เติมเครื่อง...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ม่านฝันคืนวสันต์รัญจวน บทที่ 1-2

บทที่ 1 แม่น้ำฉินไหว นกขมิ้นและดอกไม้ในเดือนสองทำให้ฤดูใบไม้ผลิแลดูงดงาม แม่น้ำฉินไหวในเมืองจินหลิงเป็นสถานที่ซึ่งมีทิวท...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 5-7

บทที่ 5 หลังจากเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่เรือนหลังเก่าและบรรยากาศวันปีใหม่เพิ่งผ่านพ้นไป เหล่าเจ้านายสกุลซูก็เตรียมเดินทางกลับ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 3-4

บทที่ 3 คนที่เพิ่งเดินเข้ามาผู้นี้คือซูลั่วอวิ๋น บุตรสาวคนโตที่ถูกขับไล่ไสส่งกลับบ้านเดิมนั่นเอง นิ้วชี้ของซูหงเหมิงยื่น...

community.jamsai.com