ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 3 บทที่ 75 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 3 บทที่ 75 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 3

ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)

แปลโดย : Lucky Luna

ผลงานเรื่อง : 放学等我

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบูลลี่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 75

 

ทั้งสี่คนย่างอาหารทะเลกัน แบ่งกันนั่งเป็นสองฝั่ง

วังเยวี่ยกับเพื่อนสนิทของเธอกินกันอย่างจริงจังสองคน โดยหันไปมองอีกฝั่งด้วยความสนใจใคร่รู้เป็นครั้งคราว

“นายมันเป็นคนสารเลวไม่มีหัวใจ!”

“อืม”

“นายมันเป็นไอ้คนกากไม่มีหัวคิด!”

“อืม” อวี้ฝานหยิบกระดาษทิชชูส่งให้เธอแผ่นหนึ่ง “เช็ดสิ”

ทั้งๆ ที่จางเสียนจิ้งกำลังโมโหอยู่แท้ๆ แต่เธอพูดไปพูดมาก็อยากจะร้องไห้อย่างอธิบายไม่ถูก เธอรับกระดาษทิชชูมา กลอกลูกตาขึ้นก่อนจะเช็ดอย่างระมัดระวัง “นายรู้ไหมว่าช่วงที่นายหนีไป ทุกครั้งเวลาพวกเราเดินผ่านกองขยะ หวังลู่อันกับจั่วควนจะต้องเข้าไปดูให้ได้สักแวบหนึ่ง ทุกครั้งที่ออกมาเนื้อตัวฉันเหม็นไปหมด!”

“…”

พูดจบพวกเขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง ทั้งสองสบตากันหลายวินาที ในใจเห็นพ้องต้องกันกับความจริงที่ว่าหวังลู่อันกับจั่วควนเป็นคนโง่

จางเสียนจิ้งด่ายกหนึ่งแล้วถึงรู้สึกดีขึ้น เมื่อก่อนเวลาพวกเขาพูดถึงอวี้ฝานล้วนสะเทือนใจมาก ตอนแรกทุกคนมักพูดกันว่าไม่เจอกันนานขนาดนี้ ต่อให้เจอหน้ากันวันใดวันหนึ่งจะต้องห่างเหินกัน ไม่สนิทกันแน่นอน ต่อมาเมื่อเวลานานเข้า โดยทั่วไปก็จะเข้าใจไปโดยปริยายว่าไม่มีทางได้พบกันอีก

เธอเองก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน แต่คิดไม่ถึงว่าแวบแรกที่เห็นอวี้ฝาน ความทรงจำสองปีในสมัยมัธยมปลายนั้นจะโจมตีเข้ามาในห้วงสมองของเธอทันที แล้วเธอก็พุ่งเข้าไปโดยไม่แม้แต่จะคิด

เธอเปลี่ยนไปแล้ว อันที่จริงดูไปแล้วอวี้ฝานเองก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน แต่แปลกมาก หลายปีให้หลังเธอรู้สึกว่าพวกเขายังคงเป็นเพื่อนสนิทกัน

“พวกเขายังบอกว่าถ้าเจอนาย จะซัดนายสักยกแล้วก็ไป จะไม่พูดกับนายเลยสักประโยคเดียว”

“พวกเขาสู้ได้ค่อยว่ากันเถอะ” อวี้ฝานพิงพนักเก้าอี้พลางเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย

จางเสียนจิ้งทั้งอยากหัวเราะทั้งอยากร้องไห้ “นายเรียน ม.ปลายปีสาม กับมหา’ลัยที่เมืองหนิงเหรอ ทำไมพี่วังถึงบอกว่านายเพิ่งเรียนจบปีนี้ล่ะ”

“ดร็อปกลางคันไปหนึ่งปี ถึงได้เรียน ม.ปลาย”

“ตอนนั้นนาย…”

“เรื่องในครอบครัวน่ะ” อวี้ฝานพูดอย่างสบายๆ

“งั้นนายลาออกก็ลาออกไปสิ จะลบเพื่อนพวกเราทำไม แล้วก็ออกจากกลุ่มไปด้วย ทำไม ลาออกแล้วไม่อยากคบค้ากับพวกเราแล้ว?”

ทันใดนั้นอวี้ฝานก็นึกถึงตอนก่อนย้ายบ้าน พวกชายฉกรรจ์มาถามอวี้ฝานถึงบ้าน ตกลงว่าวันนี้จะคืนเงิน ทำไมถึงชักช้าไม่เข้าบัญชีสักที เก็บกระเป๋าเดินทางคิดจะหนีใช่ไหม

เขาถึงได้รู้ว่าอวี้ข่ายหมิงยังกู้เงินมาอีกหลายพันหยวน ทบต้นทบดอกกลายเป็นสองหมื่น อวี้ข่ายหมิงคืนไม่ไหว พวกเขาก็ค้นโทรศัพท์ของอวี้ข่ายหมิง โทรไปหาผู้ติดต่อทั้งหมดที่หาเจอในโทรศัพท์มือถือ ไม่เจอเพื่อนที่ยอมให้อวี้ข่ายหมิงยืมเงินใช้หนี้เลยสักคน เลยหันมาคิดจะแย่งโทรศัพท์มือถือของเขา

ตอนนั้นเขาต่อยคนแล้วหนี เช็ดเลือดกำเดาพร้อมกับลบผู้ติดต่อทุกคน แม้แต่วีแชตก็ออกจากระบบทั้งหมด

เขาหลุบตาลงและเงียบไปสักพัก ได้แต่บอกว่า “ไม่ได้ตั้งใจ”

จางเสียนจิ้งสัมผัสได้อย่างเฉียบไวว่าเขาไม่ค่อยอยากพูดถึงประเด็นนี้อีก เธอจึงชะงักแล้วกล่าวเสียงเบา “ช่างเถอะ”

อวี้ฝานถาม “หลายปีมานี้พวกเขาเป็นยังไงกันบ้าง เธอล่ะ” อยากถามประโยคนี้ตั้งแต่เจอหน้ากันแล้ว

“ก็ดี” จางเสียนจิ้งจุดบุหรี่สำหรับผู้หญิง “คิดไม่ถึงล่ะสิ ฉันเองก็สอบเข้ามหา’ลัยได้ตอนรอบสอง แต่สุดท้ายไม่ได้ไปทำงานตรงสาขา ช่วยไม่ได้ สวยเกินไปหน่อย โพสต์ไม่กี่คลิปก็ดังแล้ว กลายเป็นคนดังในอินเตอร์เน็ตไปแล้ว ส่วนหวังลู่อันเรียนจบแล้วก็เข้าไปเป็นเถ้าแก่น้อยในบริษัทพ่อเขา จั่วควนทำอู่ซ่อมรถพอใช้ได้ ตอนนี้ถิงเป่าเจ๋งสุดๆ เป็นทนายความ เพิ่งเรียนจบก็ได้เข้าสำนักงานทนายความแล้ว ส่วนเฉินจิ่งเซิน…”

ได้ยินชื่อนี้โดยไม่ทันตั้งตัว อวี้ฝานก็ใจกระตุก หยุดหายใจไปโดยอัตโนมัติ

จางเสียนจิ้งพลั้งปากไปแล้ว กัดบุหรี่อยู่สักพัก ไม่รู้ว่าควรหยุดหรือควรพูดต่อดี

กระทั่งคนที่อยู่ตรงข้ามเอ่ยปากอย่างแผ่วเบา “เขาทำไมเหรอ”

จางเสียนจิ้งถึงได้พูดต่อ “อันที่จริงฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน ปกติเขาก็ไม่ค่อยชอบคุยในกลุ่มอยู่แล้ว หลังจากย้ายห้องไปก็ยิ่งไม่พูดมากกว่าเดิม ฉันไม่ได้คุยกับเขามาหลายปีแล้ว…หลังจากนั้นพวกเราก็ได้ยินจากอู๋ซือว่าเขาถูกส่งชื่อไปมหา’ลัยเมืองเจียง ดูเหมือนจะอยู่สาขาคอมพิวเตอร์ อู๋ซือบอกว่าเป็นสาขาที่เข้ายากที่สุด ทุกคนในนั้นเป็นหัวกะทิหมด และหลังจากนั้น…ก็ไม่รู้แล้ว”

อวี้ฝานมองไปยังจุดจุดหนึ่งโดยไม่แสดงท่าทีใดๆ ตั้งใจฟังแต่ละคำแต่ละประโยค จากนั้นชั่วขณะที่เธอพูดจบก็ขานรับอย่างเฉยชาและเป็นธรรมชาติมาก “อ้อ ไม่เลวนี่”

“หลังจากเลิกกันพวกนายก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย?”

หลังจากถามประโยคนี้ออกไปก็ไม่ได้รับคำตอบเลย จางเสียนจิ้งเบือนหน้าไปพ่นควัน และหันกลับมาอย่างแปลกใจ เห็นอวี้ฝานท่าทางแข็งค้าง มองเธออย่างตื่นตะลึงและงุนงง

“เธอกำลังพูดอะไร…เลิกอะไร” เนิ่นนานอวี้ฝานถึงได้เอ่ยคำพูดออกไปจากลำคอ พูดอย่างแกล้งโง่ “อย่าใช้คำไปเรื่อย”

“ไม่ต้องแสดงละครแล้ว เฉินจิ่งเซินยอมรับกับปากว่าพวกนายกำลังคบกัน” จางเสียนจิ้งอธิบายทันที “สบายใจได้ หลายปีมานี้ฉันปิดปากสนิท ไม่เคยบอกใคร”

“…”

เฉินจิ่งเซินพูดเองกับปาก…

พูดว่ายังไง พูดอะไรไป

อวี้ฝานกัดฟันแล้วก็คลายออก หลังจากทบทวนซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งเขาก็เอ่ย “ไม่”

ไม่รู้ว่าหมายความว่าไม่ได้คบกันหรือว่าไม่ได้ติดต่อกันอีก

เอาเถอะ จางเสียนจิ้งหยิบมือถือออกมา พิมพ์ไปพลางถามไปพลาง “แต่ว่าตอนที่ฉันเห็นน่ะ ตกใจจริงๆ นะ ทำไมนายไว้ผมยาวขนาดนี้ล่ะ หล่อเกินไปแล้ว”

“ขี้เกียจตัดน่ะ” อวี้ฝานหลุบตามองนิ้วของเธอที่ตวัดอยู่บนจอ “เธอทำอะไรน่ะ”

“บอกเรื่องที่เจอนาย…”

พูดยังไม่ทันจบในมือก็พลันว่างเปล่า มือถือของจางเสียนจิ้งถูกดึงไปแล้ว

“ทำอะไร” จางเสียนจิ้งเอ่ยอย่างงงงัน “บอกไม่ได้เหรอ นายอยากตัดขาดกับพวกเขาหรือไง”

“ไม่ใช่” อวี้ฝานการกระทำไวกว่าสมอง เขากวาดตามองตัวหนังสือที่จางเสียนจิ้งเพิ่งพิมพ์ ‘ฉันแม่งจับตัวอวี้ฝานได้แล้ว’ แวบหนึ่งก่อนจะเอ่ย “ผ่านไปสักระยะดีกว่า ช่วงนี้ยุ่งๆ ไม่มีเวลาทะเลาะกับพวกเขา”

“…”

จางเสียนจิ้ง “ขอโทษนะ ฉันทนไม่ไหวหรอก นอกจากนายจะจับฉันมัดไว้ ต่อให้นายโยนมือถือฉันทิ้ง ทุบให้พัง ฉันก็จะวิ่งแจ้นไปล็อกอิน QQ ที่ฉันไม่ได้ใช้มาห้าปีที่ร้านเน็ต ประกาศข่าวนี้ให้เพื่อนใน QQ ทั้ง 429 คนของฉันรู้”

อวี้ฝานเงยหน้ามองเธอ ดวงตาเฉยชาคู่นั้นพร้อมจะทำเรื่องโง่ๆ ได้ทุกเมื่อ

จางเสียนจิ้ง “…ตอนนี้ในประเทศกวาดล้างอำนาจมืดรุนแรงมากนายรู้ไหม”

อวี้ฝานดูจำนวนคนในกลุ่มแวบหนึ่ง นอกจากเขาคนเดียวแล้วจำนวนก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย เขาลบตัวหนังสือในช่องแชต “ช่างเถอะ แล้วแต่เธอ แต่อย่าบอกในกลุ่ม”

จางเสียนจิ้งรู้สึกตัวแล้ว “และก็อย่าบอกเฉินจิ่งเซิน ใช่ไหม? รู้แล้ว เข้าใจได้ ถึงยังไงก็เลิกกันแล้วนี่เนอะ”

“…”

“คุยกันเป็นไงบ้าง” วังเยวี่ยที่อยู่อีกด้านได้ยินอะไรไม่ชัดก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามา “เนื้อที่ฉันย่างไว้ให้พวกเธอเย็นหมดแล้ว”

“คุยเสร็จแล้วครับ” อวี้ฝานคืนมือถือกลับไป เลื่อนเก้าอี้แล้วลุกขึ้น “พวกเธอกินเถอะ ฉันจะไปแต่งรูป”

ผู้หญิงสามคนรวมตัวกัน สองคนในนั้นยังเป็นคนดังในอินเตอร์เน็ตที่จำเป็นต้องโพสต์รูปทางการค้า เซาเข่าริมหาดมื้อนี้แทบจะมีแต่การถ่ายภาพ ตอนบ่ายอวี้ฝานแบกวัตถุดิบอาหารลังหนึ่งลงจากรถ ตกเย็นก็แบกวัตถุดิบอาหารลังหนึ่งกลับไปอีกครั้ง น้ำหนักดูเหมือนจะไม่ได้ลดไปสักเท่าไหร่

จางเสียนจิ้งดื่มเหล้าไปนิดหน่อย แล้วลากคอเสื้ออวี้ฝานมาแอดวีแชตใหม่อีกครั้ง

สุดท้ายวังเยวี่ยก็รับหน้าที่ส่งทุกคนกลับบ้าน ประเด็นสนทนาระหว่างพวกเธอ อวี้ฝานไม่ค่อยแทรกเข้าไป เขาเบือนหน้ามองไฟถนนที่วาบผ่านนอกหน้าต่าง กระทั่งประเด็นสนทนาบนรถค่อยๆ ลากมาถึงตัวเขา

ด้วยคำถามของเพื่อนสนิทวังเยวี่ย ‘สมัยเรียนเขาเป็นยังไงบ้าง’ จางเสียนจิ้งตอบไปว่า…

“สมัย ม.ปลาย เขาไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาเลย กร่างจะตายไป…วันๆ เอาแต่ต่อยตีกับคนอื่น ทุกวันจันทร์จะได้เห็นเขาอ่านคำสำนึกผิดบนเวที”

“ทำไมครูไม่สนใจน่ะเหรอ สนสิ สนแน่นอน แต่ยุ่งไม่ได้ เขามันเป็นหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก”

“ว้าว ตอนนั้นทั้งสามโรงเรียนข้างๆ เราไม่มีใครกล้าแหย่เขาเลย…”

“ทำไมฉันจำได้ว่าตอนเขาเรียนซ้ำผลการเรียนโอเคเลยนะ หลังจากนั้นยังสอบเข้ามหา’ลัยได้ด้วยไม่ใช่เหรอ” วังเยวี่ยเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้

“อ้อ เพราะตอน ม.ปลายปีสอง มีเด็กท็อปที่เก่งมาก…” รู้สึกได้ถึงสายตาพิฆาตจากคนข้างๆ จางเสียนจิ้งก็ค่อยๆ หุบปากลง

เมื่อกลับถึงบ้าน อวี้ฝานก็เหนื่อยล้าแทบหมดแรงแล้ว

เขาปลดล็อกเข้าไปในบ้าน ปิดประตู ต่อมาก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว

เขายืนนิ่งตรงทางเข้าอันมืดสนิท จ้องไปที่จุดใดจุดหนึ่งอย่างเหม่อลอย

เขาไม่ได้ยินชื่อเฉินจิ่งเซินมานานมาก…นานมากๆ แล้ว

ตอนเพิ่งออกมาจากเมืองหนาน จริงๆ แล้วเขาได้ยินทุกวัน ทุกครั้งที่อวี้ข่ายหมิงดื่มเหล้ากลับมา ปากเอาแต่บ่นว่า ‘ฉันแม่งจะกลับไปหาแม่ของเฉินจิ่งเซิน’ ‘เบอร์เฉินจิ่งเซินเบอร์อะไร’ ‘แกโง่หรือเปล่า ไม่มีแกเฉินจิ่งเซินมันก็เป็นเกย์อยู่ดี ในเมื่อเป็นผู้ชายกันหมด ทำไมแกทำไม่ได้ล่ะ’

จากนั้นทั้งสองก็ชกต่อยกัน อวี้ข่ายหมิงสงบเสงี่ยมไประยะหนึ่งแล้วก็บ่นอยากกลับเมืองหนาน พูดซ้ำวนไปวนมาหลายเดือนกว่าจะสงบลงในที่สุด

ต่อมาเขาพบว่าแม้จะไม่มีอวี้ข่ายหมิงพูดพร่ำข้างหูเขาแล้ว แต่แค่เขาคิดถึงเฉินจิ่งเซินก็ยังคงกระตุ้นปฏิกิริยาตอบสนองทางกายภาพขึ้นมาได้ แน่นหน้าอก ปวดศีรษะ ปวดกระเพาะ หายใจติดขัด

อวี้ฝานยืนอยู่ในความมืดมาครึ่งชั่วโมงแล้ว ในที่สุดถึงได้กดเปิดไฟในบ้าน กุมท้องแล้วขึ้นไปชั้นบน

คนที่ซื่อสัตย์เสมอมาอย่างจางเสียนจิ้ง เธอบอกว่าทนไม่ไหวก็ทนไม่ไหว คืนนั้นเองอวี้ฝานก็ได้รับคำขอเป็นเพื่อนข้อความหนึ่ง

[หวังลู่อัน ขอเพิ่มคุณเป็นเพื่อน ข้อความแนบ : ไม่มี]

ตอนนั้นเขากำลังปวดกระเพาะ และก็ขี้เกียจจะคิดเล็กคิดน้อยกับคำว่า ‘ไม่มี’ นี้ว่าประกอบด้วยความขุ่นเคืองมากแค่ไหน จึงหลับตาลงแล้วกดรับ

จางเสียนจิ้งดูเหมือนจะบอกเรื่องเขาแค่กับหวังลู่อัน เพราะหลังจากนั้นก็ไม่ได้รับคำขอเป็นเพื่อนจากคนอื่นอีก ตั้งแต่หวังลู่อันแอดเขามาก็ไม่เคยคุยกับเขาเลย

นิสัยของอวี้ฝานน้อยมากที่จะเป็นฝ่ายไปคุยกับคนอื่นก่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงขั้นอยู่เมืองหนิงมาหกปีแล้ว แต่กลับมีแค่วังเยวี่ยกับเจ้าของห้องที่ติดต่อกับเขาบ่อยที่สุด ส่วนที่เหลือล้วนเป็นลูกค้า

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้ เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรได้

ดังนั้นหลังจากเพิ่มเป็นเพื่อนกันหนึ่งสัปดาห์แล้ว หน้าต่างแชตของเขากับหวังลู่อันถึงยังคงอยู่ที่ประโยคนั้น ‘เราเป็นเพื่อนกันแล้ว ตอนนี้เริ่มแชตกันเถอะ’

จนกระทั่งวันนี้อวี้ฝานอดหลับอดนอนเคลียร์งานในมือทั้งคืนเสร็จแล้ว เมื่อตื่นขึ้นมามือถือก็ได้รับข้อความเสียงสามสิบกว่าข้อความ

แต่ละข้อความยาวหนึ่งนาที

วันนี้เป็นวันหยุดพักของเขา เขานอนหรี่ตาอยู่บนเตียงสักพัก ถึงได้ค่อยๆ ยื่นนิ้วไปกดเปิดข้อความแรก…

“อวี้ฝานนายแม่ง…” ตัดไป ข้อความถัดไป

“ฉันซวยชะมัดที่มารู้จักนาย…” ข้อความถัดไป

“ฉันเป็นเพื่อนกับหมาเทียบกับนายแล้ว…” ข้อความถัดไป

ประมาณยี่สิบห้าข้อความ ในที่สุดการด่าทออันดุเดือดของหวังลู่อันก็หยุดลง อวี้ฝานถึงได้กะพริบตา เริ่มฟังอย่างไม่ตกหล่นเลยสักคำ

“นายเป็นยังไงบ้าง ฉันได้ยินมาว่านายอยู่เมืองหนิง ทำไมแม่งหนีไปไกลขนาดนี้เนี่ย”

“นายมีมโนธรรมบ้างไหม ตอนนั้นไปไม่บอกกันเลย ตอนนี้แอดเพื่อนกลับมายังไม่สำนึกกับฉันอีก มีเพื่อนแบบนายด้วยหรือไง”

“ฉันตามหานายตลอดหลายปีมานี้ แถมยังหาข่าวนายในไป่ตู้ด้วย หาอะไรไม่เจอสักอย่าง ฉันยังนึกว่านายตายไปแล้วซะอีก ฉันวางแผนไว้ว่าอีกสองปีถ้าเกิดหานายไม่เจอก็จะสร้างหลุมศพให้นาย และถือว่าเพื่อนยากทำเต็มที่เพื่อนายเป็นครั้งสุดท้าย”

อวี้ฝานจ้องมองเพดาน ฟังไปพลางตอบในใจไปพลาง

ใช้ชีวิตไปอย่างนั้น

ไม่มีมโนธรรม

ปกติ บางครั้งฉันเองก็นึกว่าตัวเองตายไปแล้วเหมือนกัน

ฟังจบทั้งหมดแล้วอวี้ฝานก็หยิบมือถือขึ้นมากดปุ่มข้อความเสียง “รถหรูๆ ที่พ่อนายรับปากว่าจะให้นาย ซื้อหรือยัง”

ทางนั้นเงียบไปพักหนึ่ง

“ซื้อแล้ว ฉันสอบเข้ามหา’ลัยได้ตั้งแต่รอบแรก เขาไม่ซื้อให้ฉันได้เหรอ ฉันขับรถไปอุดหนุนที่อู่ซ่อมรถของจั่วควนตั้งหลายครั้ง…” หวังลู่อันเจือเสียงสะอื้น พูดถึงสุดท้ายแล้วก็อดด่าคนไม่ได้ “ไอ้ฉิบหาย นายอยากตายหรือไง”

ทั้งสองคนไม่ได้โทรศัพท์ เพียงแค่ส่งข้อความเสียง ไม่ได้พูดมานานมากแล้วจริงๆ ข้อความเสียงสามารถให้เวลาอีกฝ่ายได้ใคร่ครวญเล็กน้อยว่าจะพูดอะไร ค่อนข้างดีทีเดียว

อวี้ฝานไม่ชอบอยู่ว่างๆ เขาจึงลุกขึ้นจากเตียงไปชงกาแฟ ทางหนึ่งคุยสัพเพเหระกับหวังลู่อัน ทางหนึ่งคอนเฟิร์มโปรเจ็กต์ถ่ายภาพกับลูกค้าของเขาคนหนึ่ง

ลูกค้าคนถัดไปของเขามาจัดพิธีแต่งงานที่เมืองหนิง บอกว่าพวกเพื่อนสนิทยากที่จะมารวมตัวกันได้ จึงอยากถือโอกาสสวมชุดพิธีการหนึ่งวันก่อนงานแต่งงาน รวมกลุ่มถ่ายรูปพรีเวดดิ้งกับบรรดาเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวอย่างครึกครื้นเป็นพิเศษ

การถ่ายรูปพรีเวดดิ้งช่างภาพจำเป็นต้องมีทักษะในการสื่อสาร เมื่อก่อนอวี้ฝานไม่เคยรับงาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงครั้งนี้ที่ยังมีเพื่อนเจ้าบ่าวเพื่อนเจ้าสาวอีกด้วย เขาจึงปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด

เพียงแต่ผ่านไปไม่กี่วัน อีกฝ่ายก็ติดต่อมาอีกครั้ง ทั้งยังเพิ่มราคาเป็นสองเท่า

อวี้ฝานเจรจาเรื่องสไตล์กับอีกฝ่ายและนัดเวลาเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็กดเปิดข้อความเสียงที่หวังลู่อันส่งมาเมื่อหนึ่งนาทีก่อน “เพื่อทำให้นายรู้ความผิดของนายเอง ฉันแชร์เพลง ‘เพื่อนเลวที่ดีที่สุด’ ในโมเมนต์ไปเจ็ดครั้งแล้ว ขนาดเด็กท็อปยังกดไลค์ให้ฉัน นายมีอะไรทำไมไม่พูด!”

อวี้ฝานเหม่อไปกับข้อความเสียงนี้

หวังลู่อันพูด ‘เด็กท็อป’ คำเดียว จู่ๆ ก็ราวกับดึงเขากลับไปที่ห้องเรียนชั้นมัธยมปลาย เขาทึ้งผมพลางแก้โจทย์ ส่วนคนข้างๆ หลุบตากำปากกา ยื่นมือมา เขียนขั้นตอนคำนวณทิ้งไว้อย่างง่ายๆ สบายๆ บนกระดาษทดของเขา

บางครั้งเขาดูไปดูมาเข้าใจแล้วก็จะคว้าข้อมือของอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้เขียนลงไปอีก

อวี้ฝานยกมือถือขึ้นมากดปุ่มข้อความเสียง “เฉินจิ่งเซิน…”

เลื่อนขึ้นเพื่อยกเลิก

“เขา…”

เลื่อนขึ้นเพื่อยกเลิก

“หลังจากเรียนจบพวกนาย…”

เลื่อนขึ้นเพื่อยกเลิก

อวี้ฝานว้าวุ่นจนหงุดหงิดนิดหน่อย ถึงขั้นอยากตบกกหูตัวเองสักทีอย่างอธิบายไม่ถูก เขาออกแรงทึ้งผม ความวิตกกังวลที่หายไปแล้วสองปีวกกลับมาอีกครั้ง สุดท้ายก็ส่งข้อความเสียงเปล่าๆ ไปข้อความหนึ่งโดยไม่ทันระวัง

เชี่ย

อวี้ฝานกำลังจะยกเลิก จู่ๆ กระดิ่งประตูก็ดังขึ้นมา

อวี้ฝานรับพัสดุขนาดเท่าฝ่ามือมาจากพนักงานส่งของแล้วขมวดคิ้ว แน่ใจว่าหลายวันมานี้ตนไม่ได้ซื้ออะไร พลิกไปดูชื่อผู้ส่ง…จางเสียนจิ้ง

“…”

อวี้ฝานหยิบคัตเตอร์มาแกะกล่อง เผยให้เห็นกระดาษโน้ตและกล่องสีดำใบเล็กๆ ข้างใน

คนอื่นล้วนดูกระดาษก่อนแล้วค่อยดูกล่อง แต่อวี้ฝานไม่ เขาเปิดกล่องด้วยมือเดียว เห็นถุงซิปล็อกโปร่งใสที่ยับยู่ยี่ใบหนึ่ง

ข้างในบรรจุกระดุมสีขาวเม็ดหนึ่งเอาไว้

อวี้ฝานชะงัก แวบเดียวก็จำได้ว่านี่คือกระดุมชุดเครื่องแบบโรงเรียน กระดุมชุดเครื่องแบบโรงเรียนบนโลกเหมือนกันหมด แต่เขารู้สึกว่าเม็ดนี้คุ้นตามาก

หลายครั้งเมื่อเขาไม่สามารถเผชิญหน้ากับเจ้าของกระดุมได้ก็จะวางหน้าผากไว้บนบ่ากว้างของอีกฝ่าย ก้มหน้าจ้องมันนานมากโดยจิตใต้สำนึก

‘ตอนเรียนจบ ม.ปลายปีสาม เฉินจิ่งเซินวางของไว้ในโต๊ะของนาย ฉันคิดว่าถ้าวางไว้ตรงนั้นไม่ช้าก็เร็วต้องถูกเก็บไปแน่ ก็เลยหยิบกลับมาด้วย ยังไงซะก็เป็นกระดุมของนายแล้ว จะเก็บไว้หรือจะทิ้งนายก็ตัดสินใจเอาเองเถอะ’

ตอนแกะพัสดุอวี้ฝานทำอย่างลวกๆ หยาบๆ ตอนนี้มือลอยค้างอยู่กลางอากาศ แม้แต่จะแตะของสิ่งนั้นก็ยังลังเล

เขายืนอยู่ตรงนั้น หลุบตาลงสบกับกระดุมเม็ดนั้น ในหัวสมองคิดไปถึงชุดเครื่องแบบที่เขาเคยแตะต้องมาหลายครั้งตัวนั้น คิดถึงท่าทางตอนเฉินจิ่งเซินเอากระดุมไปวางไว้โดยไม่รู้ตัว

จนกระทั่งมือถือดังครืด

“ทำไมไม่ตอบข้อความอีกแล้ว ยุ่งเหรอ” หวังลู่อันถาม

ในที่สุดนิ้วมือก็ลดลงไปแตะกระดุมเม็ดนั้นอย่างระมัดระวังโดยมีถุงพลาสติกบางๆ กั้น

“ตอนนี้เฉินจิ่งเซินเป็นยังไงบ้าง” อวี้ฝานได้ยินตนเองถามกับมือถือ

“พวกนายยังติดต่อกันไหม”

“…เขาสบายดีหรือเปล่า”

ในที่สุดเมืองหนิงก็ถึงช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่อุณหภูมิลดลง เพราะเป็นเมืองติดทะเล พออากาศเย็นก็จะมีลมกระโชกแรงและฝนตก ตอนวังเยวี่ยมาถึงสตูดิโอผมที่เพิ่งหนีบมาเมื่อเช้าก็ถูกพัดจนยุ่งแล้ว

วังเยวี่ยพยายามกู้คืนผมหน้าม้าของตนกลับมาจากข้างหลัง มองคนที่นั่งแต่งรูปอยู่ในสตูดิโอ ก่อนเอ่ยอย่างงุนงง “วันนี้นายใส่แค่ไอ้นี่มาเนี่ยนะ”

อากาศสิบกว่าองศา อวี้ฝานสวมเสื้อยืดแขนยาวสีดำบางๆ ตัวเดียว ตาจ้องไปยังคอมพิวเตอร์พลางตอบรับว่า “อืม”

เมืองนี้อุณหภูมิลดจนไม่สมเหตุสมผล แค่คืนเดียวอุณหภูมิก็ลดฮวบกว่าครึ่ง เขาออกจากคอนโดฯ แล้วถึงได้รู้สึก แต่ก็ขี้เกียจกลับไปหยิบ

“แต่วันนี้นายออกไปถ่ายพรีเวดดิ้งนอกสถานที่ไม่ใช่เหรอ” วังเยวี่ยกล่าว “ตอนนี้ลูกค้ายังไม่มา รีบกลับไปหยิบเสื้อโค้ตสิ”

“ไม่ต้องหรอก ยังไงซะตอนเช้าพวกเขาก็ถ่ายในสตูฯ ก่อน ดูพยากรณ์อากาศแล้ว ตอนเที่ยงอุณหภูมิจะสูงขึ้น”

“…คิดว่าตัวเองยังหนุ่มเลยทำเรอะ รอนายแก่แล้วก็อย่าเสียใจทีหลังล่ะ” วังเยวี่ยพบว่าบนคอของอวี้ฝานมีสร้อยเงินบางๆ เส้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา จึงเอ่ยไปอย่างนั้น “ดึงจี้สร้อยออกมาหน่อยสิ เอาไว้ข้างในไม่สวยเลย”

“อย่ามายุ่งกับวัยรุ่นเลย” อวี้ฝานกล่าว

“…”

ลูกค้าที่นัดไว้มาถึงสถานที่ตรงเวลา ก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้ว่าถ่ายด้วยกันหกคน หญิงสามชายสาม แต่ตอนนี้มากันแค่ห้าคน

“ยังมีเพื่อนเจ้าบ่าวอีกคนกำลังอยู่ระหว่างทาง รบกวนรออีกสักเดี๋ยวนะครับ รีบมาจากต่างที่ บอกว่าใกล้ถึงแล้ว” เจ้าบ่าวบอก

อวี้ฝานพยักหน้า ไม่ใส่ใจเท่าไรนัก

ชุดพิธีการและเรื่องแต่งหน้าอีกฝ่ายรับผิดชอบเอง เจ้าสาวนำชุดพิธีการมาหลายชุด แต่ละชุดล้วนดูมีราคา เธอกับพวกเพื่อนๆ แต่งหน้ากันอยู่ด้านข้าง ทั้งสตูดิโอเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะด้วยความยินดีของพวกเธอ

“ไม่ต้องทำหน้าเศร้าแล้ว” เจ้าสาวโอบเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เธอ “ช่อดอกไม้พรุ่งนี้ฉันจะโยนให้เธอ จะทำให้เจอเนื้อคู่จริงๆ ทันที!”

“เฮ้อ ช่างเถอะ หลังจากถูกนอกใจครั้งหนึ่ง ตอนนี้ฉันมองใครก็เป็นเหมือนผู้ชายกากเดนไปหมด”

“เกิดอะไรขึ้น อายุไม่เท่าไหร่ก็จะตัดขาดความรักซะแล้ว หรือไม่ฉันให้สามีฉันแนะนำให้เธอสักคนเอาไหม”

“อย่าเลย ผู้ชายไอทีมีคนหล่อที่ไหนกัน มีแต่คนใส่เสื้อลายตารางหัวโล้น…” เพื่อนเจ้าสาวพูด แต่จู่ๆ ก็เงียบเสียงไป ก่อนจะรีบเสริมทันที “แน่นอนว่ายกเว้นสามีเธอ!”

“เฮ้ย! เธอนี่แบ่งแยกอาชีพเหรอ” เจ้าบ่าวรีบกล่าวทันที “รอก่อนเถอะ เดี๋ยวเธอก็จะได้เห็นหนุ่มไอทีที่หล่อจนเหมือนไม่มีอยู่จริง”

“จริงเหรอ”

“จริงสิ เมื่อก่อนเป็นเทพในสาขาเราเลยล่ะ อยู่หอพักเดียวกับเราด้วย เขาอย่าว่าแต่เรียกว่าเดือนคณะเลย อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับเดือนมหา’ลัยด้วยซ้ำ” เจ้าบ่าวแตะเพื่อนอีกคนของตัวเอง “เขาเจ๋งสุดๆ ตอนนั้นพวกฉันสองคนจะสอบอะไรต้องเอาของกินกับเครื่องดื่มไปวางไว้บนโต๊ะเขาทุกครั้ง เรียกกันว่าเซ่นไหว้เทพเจ้า”

เพื่อนเจ้าสาวคนนั้นอุทาน “…แม้แต่เธอสองคนก็ต้องคารวะเขา? งั้นเขาต้องเก่งมากแค่ไหนกัน…ตอนนี้ก็ทำงานอยู่บริษัทอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่กับพวกนาย? หรือว่าไปเรียนต่อต่างประเทศแล้ว?”

“ที่ไหนกันล่ะ เขายังไม่ทันเรียนจบก็ถูกแต่ละบริษัทอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่แย่งตัวแล้ว เรียกได้ว่าหัวร้างข้างแตกกันเลยทีเดียว…แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เลือกเลยสักที่ ไปบริษัทอินเตอร์เน็ตสตาร์ตอัพที่เมืองหนาน ลงทุนด้านเทคโนโลยี นี่เพิ่งผ่านไปแค่ปีกว่าก็พัฒนาก้าวกระโดดอย่างกับขี่จรวดแน่ะ”

อวี้ฝานเช็กอุปกรณ์เสร็จก็ตอบกลับข้อความของหวังลู่อันอย่างเงียบๆ อยู่ด้านข้าง

ส่วนคนที่มาสายนั้นตอนนี้ก็ยังไม่ถึง เจ้าบ่าวเจ้าสาวปรึกษากันว่าจะถ่ายฝ่ายหญิงเดี่ยวๆ ก่อนสักสองสามรูป ถ่ายเสร็จไปครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เห็นเงาคน

เจ้าบ่าวกลับมาจากคุยโทรศัพท์ บอกว่า “ฉันถามแล้ว ยังต้องรออีกสักเดี๋ยว หรือไม่เราสองคนถ่ายกันก่อนสักรูปดีกว่า เขาหล่อเกินไป อย่าไปเล่นกับเขา”

เพื่อนเจ้าบ่าวหัวเราะคิกคักทันทีแล้วว่า “ไม่มีปัญหา! ฉันจะขับให้นายเด่นเอง!”

อวี้ฝานกึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ยกเลนส์ขึ้น หามุมดีๆ กำลังจะกดชัตเตอร์ ทันใดนั้นประตูของสตูดิโอก็ถูกผลักเปิด กระดิ่งลมที่วังเยวี่ยแขวนไว้แกว่งสองทีอย่างเปราะบาง

เจ้าบ่าวเงยหน้ามองแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มาแล้ว!”

“ขอโทษด้วย ฝนตกรถติด”

เสียงที่ทุ้มต่ำและเย็นชาราวกับค้อนหนักห้าตันทุบลงกลางกระหม่อมของอวี้ฝานอย่างแรง

“ไม่เป็นไร” เจ้าบ่าวมองไปทางอวี้ฝานแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “รอเดี๋ยวนะน้องชาย เขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แป๊บเดียว”

อวี้ฝานอ้าปากคิดจะตอบรับ แต่กลับไม่ได้ส่งเสียงออกไป

เขายังคงอยู่ในท่าเดิม เพียงแต่ก้มหน้าเล็กน้อย เส้นผมบวกกับกล้องแทบจะบังทั้งใบหน้าเขา

อวี้ฝานคล้ายถูกต่อยหนึ่งหมัด สมองขาวโพลน ลมหายใจเดี๋ยวช้าลงเดี๋ยวขาดห้วงไป เขาคุกเข่าค้างอยู่ตรงนั้นนานมาก อยากลุกขึ้นแต่กลับไม่มีแรง ขาราวกับไม่ใช่ของตัวเอง ชักช้าจนเจ้าบ่าวต้องเรียกเขาสองทีกว่าเขาจะยกกล้องแล้วเงยหน้าขึ้นใหม่

เขาจ้องผู้ชายที่โผล่มาใหม่ในช่องมองภาพ นิ้วที่ถือกล้องขาวซีด

หน้าตาที่คุ้นเคยนั้นมองมาอย่างเย็นชา สบตากับเขาในช่องมองภาพ

อวี้ฝานพยายามแล้วหลายครั้งก็กดชัตเตอร์ไม่ลงสักที ทั้งๆ ที่ทั่วร่างเย็นจนไม่รับรู้อะไรแล้ว ทว่าภาพตรงหน้าเขากลับกำลังโยกไหว

อย่าสั่น

อย่าสั่น…

  

  

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน เลิกเรียนแล้วเจอกัน เล่ม 3

 

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 1-2

บทที่ 1 อาจเป็นเพราะสภาพอากาศขมุกขมัวหนาวเย็นยาวนานถึงครึ่งปี ทำให้เครื่องหอมเป็นที่โปรดปรานของชาวต้าเว่ย ได้เติมเครื่อง...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ม่านฝันคืนวสันต์รัญจวน บทที่ 1-2

บทที่ 1 แม่น้ำฉินไหว นกขมิ้นและดอกไม้ในเดือนสองทำให้ฤดูใบไม้ผลิแลดูงดงาม แม่น้ำฉินไหวในเมืองจินหลิงเป็นสถานที่ซึ่งมีทิวท...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 5-7

บทที่ 5 หลังจากเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่เรือนหลังเก่าและบรรยากาศวันปีใหม่เพิ่งผ่านพ้นไป เหล่าเจ้านายสกุลซูก็เตรียมเดินทางกลับ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 3-4

บทที่ 3 คนที่เพิ่งเดินเข้ามาผู้นี้คือซูลั่วอวิ๋น บุตรสาวคนโตที่ถูกขับไล่ไสส่งกลับบ้านเดิมนั่นเอง นิ้วชี้ของซูหงเหมิงยื่น...

community.jamsai.com