บทที่ 1
ในช่วงเวลาที่หนาวเหน็บที่สุดของเหมันต์ฤดู เมืองหลวงมีหิมะปลิวว่อนดุจขนห่าน ลมหนาวยามคืนเหมันต์พัดพาให้โคมไฟที่มุมชายคาเฉลียงทางเดินแกว่งไหว ในช่วงยามห้า* ด้านนอกก็เริ่มปรากฏหิมะขาวโพลนไปทั่วทั้งแถบ
ภายในเรือนจ้าวสุ่ย ณ จวนจิ้งอันโหว** หิมะแรกของฤดูโปรยปรายลงบนยอดกิ่งต้นเหมยเขียว
เสียงเคาะบอกโมงยามที่รบกวนจนทำให้คนตื่นจากนิทราก่อนหน้านี้เริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงฝีเท้ารีบร้อนถี่กระชั้นของเหล่าบ่าวไพร่สาวใช้ในจวนก็เริ่มดังขึ้นในราตรีดึกสงัดนี้
เพียงครู่หนึ่ง นอกประตูห้องหลักก็มีเสียงเคาะดัง ‘ตึงๆ’ มีคนเอ่ยเรียกเบาๆ ว่า “คุณหนูสี่เจ้าคะ”
เป็นแม่นมจางผู้ที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินท่านโหว
ซู่ซินกำลังจัดวางอาหารเช้า ครั้นเห็นว่าคุณหนูของตนมิได้ส่งเสียงขานรับจึงส่งสายตาให้ลวี่เอ้อซึ่งยืนอยู่ข้างหลังคุณหนู ลวี่เอ้อเข้าใจความหมาย จึงวางหวีในมือลง แล้วเดินออกไปที่ห้องด้านนอกเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
คาดว่าสาวใช้ที่เฝ้าเวรยามคงจะเป็นคนเปิดประตูให้ ยามลวี่เอ้อไปถึง แม่นมจางก็กำลังเดินนำหญิงชราจากร้านจิ่นซิ่วรวมถึงสาวใช้ที่ถือถาดไว้ในมือเดินเรียงแถวเข้ามาพอดี
ภายใต้แสงเทียนมัวสลัว ชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนของเหล่าสาวใช้ขั้นสองของจวนจิ้งอันโหวนั้นดูเหมือนจะก่อให้เกิดเป็นเงาเส้นโค้งงดงามอันไร้ที่ติปรากฏออกมาที่ข้างประตู
“แม่นมจาง” ลวี่เอ้อเป็นคนมีไหวพริบ รีบคารวะด้วยรอยยิ้มกว้างทันที
แม่นมจางถลึงตาใส่ลวี่เอ้อหนึ่งปราด จากนั้นก็รีบยื่นมือออกไปประคอง แล้วหันมองไปทางฉากกั้นเล็กน้อย นางได้แต่มองอยู่เช่นนี้ ส่วนลวี่เอ้อก็ออกมาต้อนรับอยู่ที่นี่ เช่นนั้นแสดงว่าคุณหนูสี่คงจะไม่ออกมา
นางกับลวี่เอ้อนับว่าสนิทสนมคุ้นเคยกันอยู่บ้าง จึงทักทายปราศรัยกันสองประโยค ต่อมาจึงพาหญิงชราจากร้านจิ่นซิ่วเดินเข้ามาแนะนำเสื้อผ้าเครื่องประดับที่ตัดเย็บขึ้นใหม่สำหรับเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงในครานี้
“…ขนสัตว์ที่ฮูหยินท่านโหวให้มาคราวนี้ทั้งเรียบลื่นแวววาวทั้งขาวบริสุทธิ์ไร้ตำหนิ เดิมทีก็นับเป็นของดีชั้นเลิศอันหาได้ยากยิ่งอยู่แล้ว ได้ยินว่านี่ยังเป็นสิ่งของที่ได้รับพระราชทานมาเมื่อครั้งงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย ถ้าไม่ตัดเย็บให้ดีจะยิ่งเป็นความผิดมหันต์ คราวนี้ทำเอาหลงจู๊ร้านเรากลุ้มใจแทบแย่! คิดไปคิดมาหลงจู๊ร้านเราเลยไปร้องขอให้แม่นางจางช่วยตัดเย็บด้วยตนเอง แม่นางลวี่เอ้อเองก็รู้ว่าหลังจากแม่นางจางออกเรือนไปแล้วก็ไม่ค่อยจะรับงานเย็บปักสักเท่าไร เพื่อให้นางตัดเย็บให้ ท่านหลงจู๊ยังทุ่มเทเรี่ยวแรงไปไม่น้อย ท่านดูลวดลาย ดูรอยสอยตะเข็บพวกนี้สิ”
หญิงชราจากร้านจิ่นซิ่วแนะนำไปพลาง สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังก็ยื่นชุดคลุมขนจิ้งจอกสีขาวเงินที่รีดเรียบกริบไปตรงหน้าลวี่เอ้อ ให้นางพินิจพิจารณา
ลวี่เอ้อขยับเข้าไปใกล้ๆ ประเมินดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน สายตาเผยแววชื่นชมเล็กน้อย “ใช้การปักเต็มผืนผ้า ผ้าแพรเงินก็เข้ากันดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่ทำให้ผ้าขนสัตว์ผืนนี้เสียเปล่าจริงๆ”
นางตรวจสอบชุดคลุมทั้งข้างนอกข้างในจนทั่ว หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอันใดผิดพลาดก็เอ่ยอย่างพึงพอใจว่า “งานเลี้ยงในวังครานี้จัดขึ้นกะทันหัน รีบเร่งตัดเย็บแต่ก็ยังงดงามประณีตถึงเพียงนี้ หลงจู๊ของพวกเจ้าทุ่มเทตั้งใจจริงๆ”
หญิงชรารีบฉีกยิ้มพลางกล่าวถ่อมตัว ในที่สุดก็เบาใจลงได้
เจ้านายที่แม่นางลวี่เอ้อผู้นี้ปรนนิบัติรับใช้คือบุตรสาวคนเล็กในภรรยาเอกของจิ้งอันโหว…หมิงถาน นางใช้ชีวิตหรูหราสุขสบายมาตั้งแต่เยาว์วัย เป็นที่รักใคร่เอ็นดูอย่างสุดแสน พบเจอของดีๆ มามากมาย และก็จู้จี้พิถีพิถันยิ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ธรรมดาทั่วไปจะได้รับการยอมรับจากลวี่เอ้อผู้เป็นสาวใช้ข้างกายนี้มิใช่เรื่องง่าย
แต่บังเอิญที่เจ้านายผู้นี้มีบุญคุณต่อร้านพวกเขา วันนี้ฟ้ายังไม่ทันสาง หลงจู๊ก็สั่งให้นางนำเสื้อผ้ามาส่งที่จวนจิ้งอันโหว ซ้ำยังกำชับกำชาเป็นพิเศษว่านางต้องไปที่เรือนของคุณหนูสี่ด้วยตนเอง เมื่อได้รับคำว่า ‘ทุ่มเทตั้งใจ’ จากลวี่เอ้อ นางก็สามารถกลับไปรายงานแก่หลงจู๊ได้เต็มที่ นอนหลับสนิทเต็มอิ่มได้เสียที
ทางฝั่งเรือนจ้าวสุ่ยนั้น ครั้นลวี่เอ้อรับเสื้อผ้ามาก็ยัดถุงเหอเปา* ให้มากมาย ก่อนจะส่งพวกแม่นมจางเดินออกไปจากประตูบุปผาคล้อย** อย่างมีมารยาท
ส่วนทางฝั่งเรือนเฟิงเหอ หญิงชราและสาวใช้อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเข้ามาส่งเสื้อผ้าเครื่องประดับที่นี่ฝีเท้าก้าวเดินจะเชื่องช้ากว่า ยามนี้กลับเพิ่งเข้ามาถึงเรือนหลักเท่านั้น
แม่นมหวงซึ่งเป็นผู้รับใช้ดูแลข้างกายฮูหยินท่านโหวย่อกายคารวะ แย้มยิ้มพลางแนะนำเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับให้แก่เสิ่นฮว่า คุณหนูญาติผู้พี่ที่มาขออาศัยอยู่จวนโหว
เสิ่นฮว่ารับฟังพร้อมกับกวาดตามองชุดผ้าแพรปักลายหรูหรา ปิ่นปักผมอัญมณีที่อยู่ในถาด จากนั้นก็ยอบกายคารวะอย่างนุ่มนวล เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ขอบคุณแม่นมหวงที่ลำบากนำมาให้ อาฮว่าขอขอบคุณฮูหยินอย่างยิ่ง” ต่อมาก็ส่งสายตาให้บ่าวรับใช้ประจำกายทันที
บ่าวรับใช้เข้าใจความหมายของนาง จึงเดินก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย ยัดถุงเหอเปาที่มีลายปักวิจิตรประณีตใบหนึ่งให้แก่แม่นมหวง
ถุงเหอเปาลวดลายงดงาม แต่ข้างในกลับมีเงินรางวัลไม่เท่าไร พอเดินออกมาจากเรือนเฟิงเหอแล้ว แม่นมหวงก็จับแขนเสื้อประมาณจำนวนเงินดู
นางมิได้ใส่ใจเงินรางวัลเล็กๆ น้อยๆ นี่ เพียงแต่บังเอิญเจอกับแม่นมจางที่เดินออกมาจากเรือนจ้าวสุ่ยพอดี ซ้ำนางกับแม่นมจางยังไม่ค่อยถูกกันอีกด้วย
“ได้ยินมานานแล้วว่าไปทำงานที่เรือนคุณหนูสี่จะได้รับเงินตกรางวัลอย่างงาม เป็นเรื่องจริงเสียด้วย วันหลังออกไปข้างนอกจะได้ซื้อแป้งประทินโฉมของหอหล่านชุ่ยที่อยากได้เสียที” ด้านหลังแม่นมจาง สาวใช้หน้ากลมที่เพิ่งจะได้เลื่อนขั้นเป็นสาวใช้ขั้นสองและเพิ่งได้เข้าไปที่เรือนจ้าวสุ่ยเป็นครั้งแรกกำลังเอ่ยออกความเห็นกับสหายที่อยู่ข้างๆ
สาวใช้ร่างสูงข้างหลังแม่นมหวงได้ยินก็แค่นเสียงเบาๆ อย่างทนไม่ไหว “ก็แค่ตกรางวัลธรรมดาๆ เท่านั้น ตอนเจ้าไปซื้อแป้งประทินโฉม อย่าบอกว่าเป็นคนของจวนโหวเล่า คนอื่นเขาจะได้ไม่คิดว่าคนจากจวนจิ้งอันโหวล้วนเป็นคนโลกแคบเช่นนี้”
สาวใช้หน้ากลมผู้ที่ได้เลื่อนขั้นจากขั้นสามมาเป็นขั้นสองภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ครึ่งปีก็มิอาจดูถูกฝีปากของนางได้เช่นกัน นางแสร้งทำเป็นตกอกตกใจ “เงินตกรางวัลถึงเพียงนี้เรียกว่าธรรมดาๆ? เช่นนั้นเงินตกรางวัลที่คุณหนูญาติผู้พี่ให้มาสามารถซื้อแผงขายแป้งประทินโฉมได้ทั้งแผงเลยอย่างนั้นหรือ”
“เจ้า!”
“พอได้แล้ว อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับนางเลย” มีคนดึงตัวสาวใช้ร่างสูงเอาไว้ “พวกเราต่างก็เป็นคนของเรือนฮูหยินเหมือนๆ กัน ออกมาทำงานข้างนอกขอแค่ให้เสร็จสิ้นราบรื่นเป็นพอ เรื่องอื่นมีอันใดสำคัญไปกว่านั้นอีก”
สาวใช้ร่างสูงถูกโน้มน้าวจนลดโทสะลงไปเล็กน้อย ครั้นแล้วนางก็นึกคล้อยตามคำพูดนี้ไปถึงเรื่องสำคัญ นางเลิกโมโหแล้วกลับมายิ้มแย้มแทน “ใช่แล้ว ทำงานก็ขอแค่ให้ราบรื่นเป็นพอ ทั่วทั้งจวนนี้เกรงว่าคงจะไม่มีงานที่ใดราบรื่นกว่าที่เรือนของคุณหนูญาติผู้พี่อีกแล้ว”
นางมิได้พูดถึงความยุ่งยากมากเรื่องของการทำงานที่เรือนคุณหนูสี่ออกมา สาวใช้หน้ากลมก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และไม่ส่งเสียงขานตอบเช่นกัน
สาวใช้ร่างสูงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ว่าไปแล้วก็หาได้ยากยิ่ง คุณหนูญาติผู้พี่งดงามอ่อนโยน ฉลาดปราดเปรื่อง ซ้ำยังดีต่อบ่าวรับใช้ปานนี้อีก”
“ข้าว่าที่หาได้ยากยิ่งกว่าคือนางมีพี่ชายดีๆ คนหนึ่ง” สาวใช้อีกคนที่อยู่ด้านหลังแม่นมหวงเอ่ยแทรกขึ้น
สาวใช้ร่างสูงเอ่ยสำทับ “ใช่แล้ว มีแม่ทัพน้อยเสิ่นอยู่ อนาคตของคุณหนูญาติผู้พี่ไม่มีทางย่ำแย่แน่นอน”
สาวใช้หน้ากลมยิ้มออกมา “พี่สาวทั้งสองห่วงใยนางถึงเพียงนี้ แต่ฮูหยินกับคุณหนูสี่ต่างหากที่เป็นเจ้านายที่แท้จริงของพวกเรา อนาคตของคุณหนูญาติผู้พี่จะเป็นอย่างไร นั่นก็เป็นโชคชะตาของคุณหนูญาติผู้พี่ ไม่เกี่ยวอันใดกับพี่สาวทั้งสองเสียหน่อย”
สาวใช้ร่างสูงปากไวเหน็บแนมกลับไปโดยมิได้ยั้งคิด “คุณหนูญาติผู้พี่อาศัยอยู่ที่จวนโหว ถ้ามีอนาคตดีจวนโหวก็มีหน้ามีตาไปด้วย จะไม่ให้ห่วงใยได้อย่างไร ไม่แน่วันนี้ผ่านพ้นไป ผู้อื่นอาจจะติดปีกโผทะยานย้ายไปอยู่ที่ถนนชางอวี้ก็เป็นได้”
ทันใดนั้นราวกับมีลมหนาวยะเยือกพัดเข้ามาที่เฉลียงทางเดิน ทางเดินตรงสวนดอกไม้ฝั่งตะวันออกที่เมื่อครู่นี้ยังมีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวกลับเงียบสงัดลงในบัดดล…
ในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าบนถนนชางอวี้มีจวนอยู่เพียงหลังเดียว
ผู้ที่อาศัยอยู่ในจวนหลังนั้นไม่ใช่ว่าใครในแคว้นต้าเสี่ยนจะพูดถึงก็ได้
แม่นมทั้งสองซึ่งทีแรกทำเป็นไม่ได้ยินการปะทะฝีปากเหล่านี้ต่างก็ชะงักฝีเท้าลงอย่างฉับพลัน จากนั้นหันกลับมากล่าวตำหนิเสียงเฉียบ “พูดจาส่งเดชอันใด! ท่านที่ถนนชางอวี้ผู้นั้นพวกเจ้าเอามาพูดเล่นได้หรือ กล้าดีอย่างไรถึงพูดจาเลื่อนเปื้อน!”
เหล่าสาวใช้ตกใจเสียขวัญ พอรู้ว่าตนเองพูดผิดไป แต่ละคนต่างก็กลั้นหายใจ ศีรษะก้มต่ำจนแทบจะถึงปลายเท้า สาวใช้ที่เอ่ยถึงถนนชางอวี้เมื่อครู่นี้ยิ่งตกใจจนหน้าซีดเผือด ถาดไม้จันทน์ในมือสั่นจนโอนเอนโงนเงน
“มีคนพูดถึงถนนชางอวี้ แม่นมทั้งสองเลยระเบิดโทสะ พอตามไปถึงสวนดอกไม้ฝั่งตะวันออก บ่าวกลัวจะถูกจับได้ เลยไม่กล้าตามต่อเจ้าค่ะ”
ในเรือนเฟิงเหอ เสิ่นฮว่ายืนอยู่ริมหน้าต่างของห้องหลัง ฟังบ่าวรับใช้ประจำตัวรายงานสิ่งที่ไล่ตามไปแอบฟังมา ฟังจบมุมปากของนางก็ยกขึ้นเล็กน้อย ทอดมองไปยังทิศทางของเรือนจ้าวสุ่ย ในก้นบึ้งดวงตาปรากฏแววดูถูกหยามเหยียดที่ไม่เข้ากับความนุ่มนวลอ่อนโยนในยามปกติเลยแม้แต่นิดเดียว
“หมายความว่าข้าไม่นุ่มนวลไม่งดงาม ไม่ฉลาดปราดเปรื่องเท่านาง ดีกับพวกเจ้าไม่มากพอ อ้อ ซ้ำพี่ชายของข้าก็ไม่กล้าหาญชาญชัยอย่างแม่ทัพน้อยเสิ่น อนาคตข้างหน้าไม่ดีพออย่างนั้นสินะ” ที่เรือนจ้าวสุ่ย หมิงถานเอามือเท้าแก้มนั่งอยู่ข้างโต๊ะ เอ่ยทวนซ้ำอย่างเนิบช้า
กลิ่นหอมของชาอิ๋นเซิง* อ่อนจางละมุนละไม แฝงอยู่ในกลิ่นหอมกรุ่นของอาหารเช้าที่ตั้งวางอยู่ คล้ายกับมีกลิ่นแต่ก็ไม่มีอยู่ในที ดวงหน้าขาวผ่องหมดจดราวกับขี้ผึ้งประทินโฉมซุกซ่อนอยู่หลังไอหมอกสีขาวที่ลอยเป็นเกลียวขึ้นมาจากการต้มน้ำเดือดชงชา ทำให้มองเห็นไม่ค่อยชัดเจนนัก
“คำพูดเลอะเทอะเหลวไหลพวกนั้นคุณหนูอย่าเก็บเอามาใส่ใจเลยเจ้าค่ะ รูปโฉมและอุปนิสัยของคุณหนูถือว่าโดดเด่นอย่างหาตัวจับได้ยากในบรรดาคุณหนูทั้งหลายในเมืองหลวงเชียวนะเจ้าคะ!”
ลวี่เอ้อปรามไม่ทัน ปล่อยให้สาวใช้ที่กลับมารายงานเล่าทุกอย่างออกมาอย่างละเอียดยิบ ยามนี้จึงจำต้องเบี่ยงเบนประเด็นสนทนาเพื่อกอบกู้สถานการณ์แทน
“จริงสิเจ้าคะคุณหนู ของที่ฮูหยินส่งมาบ่าวเปิดดูหมดแล้ว วันนี้เข้าวังก็สวมชุดตัวนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ”
ลวี่เอ้อมีหน้าที่ดูแลเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เรือนจ้าวสุ่ยโดยเฉพาะ นางพอจะมีความคิดความเห็นเกี่ยวกับการจับคู่เสื้อผ้าเครื่องประดับอยู่มาก เพียงชั่วเวลาสั้นๆ นางก็เริ่มพูดพรรณนาจากอักษรชื่อ ‘ถาน’ ที่สลักอยู่บนปิ่นหยกอย่างเป็นพิเศษไปจนถึงชุดคลุมขนจิ้งจอกสีขาวปักลายผ้าแพรเงินเต็มผืนตัวนั้น
ครั้นพูดแต่ละอย่างจบแล้วพบว่าไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ ลวี่เอ้อแอบช้อนตามองอย่างอดไม่อยู่ “คุณหนู?” ในเสียงของนางมีความระแวดระวังเพิ่มขึ้นหลายส่วน
ซู่ซินซึ่งปรนนิบัติด้านอาหารการกินตักโจ๊กหนึ่งถ้วยวางลงตรงหน้าของหมิงถาน และช่วยเอ่ยเตือนด้วยเช่นกัน “คุณหนู ต้องดูชุดสักหน่อยนะเจ้าคะ”
หมิงถานกวาดตามองถาดในมือของลวี่เอ้อแวบหนึ่ง “เอาตัวนี้ก็แล้วกัน ใส่ชุดใดก็เหมือนกันนั่นล่ะ” นางเปลี่ยนมาเท้าแก้มด้วยมืออีกข้าง ส่วนมือที่ว่างก็จับช้อนกระเบื้องในถ้วยโจ๊กเล่นไปมาอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก
นางเพิ่งจะตื่นขึ้นตอนยามห้า บนร่างนางสวมใส่ชุดนอนปักลายกิ่งดอกสาลี่ คลุมทับด้วยผ้าคลุมขนจิ้งจอกอ่อนนุ่ม เกศาดำขลับแผ่สยายจนถึงเอวราวกับม่านน้ำตก มีเพียงปอยผมปอยหนึ่งที่ตกลงอยู่ข้างแก้มซูบผอมอย่างไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย
ไม่รู้เช่นกันว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ ขนตาที่เป็นแพหนาราวกับขนอีกาขยับไหวเป็นระยะๆ ประหนึ่งกำลังขานรับต่อเปลวเทียนวูบไหวที่สะท้อนอยู่บนผิวถ้วยโจ๊ก เห็นแล้วเกิดความสงสารเวทนาคนงามอยู่เล็กน้อย
แต่น่าเสียดาย ยามนี้คนงามกลับกินอันใดไม่ลง แม้ไอร้อนจากโจ๊กจางหายไปจนหมดสิ้นแต่อาหารก็ยังไม่พร่องลงไปสักเท่าไร
เมื่อเห็นนางมีท่าทีเช่นนี้ ซู่ซินที่พูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไรก็อดเกลี้ยกล่อมมิได้ “โจ๊กช่วยบำรุงกระเพาะ คุณหนูกินสักหน่อยเถิด วันนี้ท่านยังต้องเข้าวังอีกนะเจ้าคะ”
งานเลี้ยงในวังมีกฎระเบียบมากมาย ไม่ผ่อนคลายสบายใจเท่ากับกินอาหารอยู่ที่จวน ซู่ซินเองก็ปรารถนาดี ทว่านางไม่พูดถึงยังจะดีเสียกว่า พอพูดถึงเรื่องเข้าวัง หมิงถานก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดคับข้องใจยิ่ง
ที่ผ่านๆ มาช่วงเทศกาลซั่งหยวน* หาได้มีงานเลี้ยงในวังไม่ ครานี้ตั้งใจจัดงานเลี้ยงในวังเพราะเหตุใด บรรดาตระกูลสูงศักดิ์ต่างก็รู้กันดีแก่ใจ แต่ในวังกลับยังจะปกปิดอำพราง แม้แต่คนที่มีคู่หมั้นอยู่แล้วอย่างนางก็ยังต้องไปร่วมงานเลี้ยงด้วยเช่นกัน
หากเป็นอย่างทุกที แค่ไปร่วมวงสนุกสนานด้วยก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ตอนนี้ในสมองนางเต็มไปด้วยเรื่องโสมมที่คู่หมั้นของนางกับญาติผู้น้องของเขาลักลอบมีสัมพันธ์กัน มิหนำซ้ำยังแอบมีบุตรนอกสมรสด้วยกันมาตั้งนานแล้ว!
แม้ว่าเรื่องนี้จะถูกปิดบังเอาไว้อย่างมิดชิด กระทั่งสาวใช้ประจำกายนางก็ยังไม่มีใครรู้ ทว่าบุตรนอกสมรสคนนั้นอายุสองขวบเต็มแล้ว กระโดดโลดเต้นร้องเรียกท่านพ่อได้แล้ว ไม่ว่าสุดท้ายเรื่องการแต่งงานจะเป็นเช่นไร เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นหลักฐานประจักษ์ชัดว่าคุณหนูสี่สกุลหมิงอย่างนางถูกคู่หมั้นทรยศหักหลัง
พอคิดว่าการหมั้นหมายที่ในอดีตทุกคนต่างอิจฉาตาร้อน อีกทั้งตัวนางเองก็ค่อนข้างภูมิอกภูมิใจนี้ ไม่แคล้วจะต้องจบลงอย่างเสียเกียรติ หมิงถานประเดี๋ยวรู้สึกว่าถ่านไหมเงิน* ที่อยู่ในกระถางถ่านเผาไหม้อวัยวะภายในของนางจนมีควันพวยพุ่งขึ้น ประเดี๋ยวก็รู้สึกว่าโจ๊กที่ไร้ไอร้อนนี้เย็นเฉียบจากลำคอไปจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ
“ไม่กินแล้ว” นางว้าวุ่นใจ วางช้อนกระเบื้องลง จากนั้นลุกขึ้นเดินเข้าไปยังห้องชั้นใน
ซู่ซินจ้องมองแผ่นหลังของหมิงถานแล้วถอนหายใจออกมา มิได้เอ่ยโน้มน้าวอันใดอีก นางสั่งให้พวกสาวใช้ยกอาหารเช้าบนโต๊ะที่แทบจะไม่ได้ถูกแตะต้องออกไป
“หลายวันมานี้คุณหนูเป็นอะไรไป ถ้าไม่ชอบใจที่สาวใช้พวกนั้นพูดจาไม่น่าฟังลับหลังก็รายงานฮูหยินให้ขับไล่ออกไปเสียก็สิ้นเรื่อง ไม่เห็นต้องถึงขนาดแม้แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ยังไม่ยอมดูเลยนี่”
คุณหนูของพวกนางให้ความสำคัญกับการแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นที่สุด ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกจะต้องละเอียดประณีตตั้งแต่เส้นผมไปจนถึงลวดลายที่พื้นรองเท้า จึงไม่แปลกที่ลวี่เอ้อจะเคลือบแคลงสงสัยจนต้องขยับเข้าไปใกล้ซู่ซินแล้วกระซิบกระซาบเสียงเบา
ซู่ซินเองก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน “เมื่อคืนตอนข้าเฝ้ายามก็ลองถามแล้ว แต่คุณหนูไม่พูด บางทีอาจจะอยากอยู่เงียบๆ ก็เป็นได้ เอาล่ะ ข้าไปต้มโจ๊กไก่ฉีกที่ห้องครัวก่อน อย่างไรก็ต้องให้คุณหนูกินอาหารรองท้องก่อนเข้าวัง เจ้าเองก็อย่าไปรบกวนคุณหนูเล่า”
ซู่ซินอายุมากกว่าเล็กน้อย ทั้งยังสุขุมละเอียดอ่อน ได้รับความไว้วางใจจากหมิงถานมากที่สุด ลวี่เอ้อเบ้ปาก ไม่กล้าเอ่ยโต้ตอบ ทำได้เพียงบิดพู่ผ้าไหมที่ข้างเอวพลางมองส่งซู่ซินเดินออกจากประตูไป
ทว่าพอเงาร่างของซู่ซินหายลับไปนอกประตูบุปผาคล้อยแล้ว นางก็หันกายกลับทันที เดินเข้าไปในห้องชั้นในด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
ห้องชั้นในของเรือนจ้าวสุ่ยประดับตกแต่งอย่างหรูหราบรรจง ตั้งแต่ตั่งกับเตียงฉลุลายไปจนถึงตะขอเกี่ยวผ้าม่านสีขาวเงิน แต่ละอย่างล้วนมีที่มาที่ไปสลับซับซ้อน กำยานหอมในแต่ละฤดูแต่ละสภาพอากาศก็ล้วนพิถีพิถันเช่นเดียวกัน
วันนี้ภายในห้องจุดกำยานกลิ่นดอกสาลี่หอมอ่อนๆ บางเบาคล้ายมีคล้ายไม่มี กลิ่นหอมหวานสดชื่น และเย็นนิดๆ หมิงถานนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องประทินโฉม ยังคงเอามือเท้าศีรษะ ท่าทางเกียจคร้าน ไม่มีแก่ใจทำสิ่งใด
“คุณหนู บ่าวหวีผมให้ท่านต่อนะเจ้าคะ” ลวี่เอ้อขยับเข้าไปใกล้ๆ เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
หมิงถานมิได้ส่งเสียงตอบ ลวี่เอ้อจึงถือว่านั่นเป็นการตอบรับกลายๆ นางหยิบหวีขึ้นมาพลางสางผมให้หมิงถาน แล้วเอ่ยขึ้นโดยคิดไปเองว่าจะช่วยให้หมิงถานสบายใจขึ้น “คุณหนูกำลังกลุ้มใจว่าวันนี้คุณหนูญาติผู้พี่ก็จะเข้าวังเหมือนกันหรือเจ้าคะ วางใจเถิดเจ้าค่ะคุณหนู ท่านผู้นั้นมีฐานะอันใดกัน จะมาต้องตาต้องใจคุณหนูญาติผู้พี่ได้อย่างไร ต่อให้ถูกใจจริงๆ แต่ด้วยฐานะของคุณหนูญาติผู้พี่แล้ว ก็พอจะเป็นได้แค่ชายารองเท่านั้น จะมาเทียบกับท่านได้อย่างไร ต่อไปคุณหนูจะได้เป็นฮูหยินซื่อจื่อ* แห่งจวนลิ่งกั๋วกงตัวจริงเสียงจริงเชียวนะเจ้าคะ”
“…” หมิงถานไร้คำพูด
“อีกอย่าง ซื่อจื่อของพวกเรารูปโฉมงามสง่า ความสามารถโดดเด่น ทั่วทั้งเมืองหลวงมีใครบ้างไม่อิจฉาคู่กิ่งทองใบหยกอย่างท่านกับซื่อจื่อเล่าเจ้าคะ!”
ประโยคนี้ลวี่เอ้อกดเสียงต่ำเบาอย่างที่สุด ทว่าน้ำเสียงปลาบปลื้มปีตินั้นหมิงถานฟังแล้วเสียดแทงแก้วหูยิ่ง
ใครเป็นคู่กิ่งทองใบหยกกับคนไร้ยางอายผู้นั้นกัน เขาคู่ควรเสียที่ไหน!
นางกลัวว่าหากเด็กสาวผู้นี้ยังพูดต่อไปอีกสักสองประโยคตนเองคงจะโมโหจนกระอักเลือดออกมา นางจึงหลับตาลง ยกมือบอกให้หยุด “เอาคันฉ่องมาให้ข้า”
ลวี่เอ้อไม่รู้ว่าตนเองพูดอันใดผิดไป แต่โชคดีที่สมองทำงานไว นางรีบไปหยิบคันฉ่องเล็กมา ซ้ำยังเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างรู้ประสา ยืนเอ่ยชื่นชมรูปโฉมอันงดงามสะคราญตาจนทำให้ปักษีตกนภา มัจฉาจมวารี* ของหมิงถานอยู่อีกด้านหนึ่ง
หมิงถานพิศมองคนในคันฉ่องอย่างละเอียดลออ ไม่ได้เอ่ยตอบ ทว่าจากมุมปากที่ค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นนั้น สามารถมองออกได้ไม่ยากว่านางปักใจเชื่อตามคำชมเชยของลวี่เอ้อจริงๆ
เด็กสาวอย่างลวี่เอ้อพฤติกรรมคำพูดคำจาไม่อยู่ในกรอบ ซ้ำยังมักจะพูดแทงใจดำนางอยู่บ่อยครั้ง แต่มีคำพูดหนึ่งที่ลวี่เอ้อกล่าวได้ถูกต้อง… ‘เมื่อเห็นใบหน้าดวงนี้ ต่อให้มีแต่ข้าวเปล่าก็ยังกินข้าวได้หลายถ้วย’
หมิงถานถือคันฉ่องส่องตนเองอยู่ครึ่งเค่อ* เพลิงโทสะที่สูงเทียมฟ้าของนางก็ค่อยๆ สงบลงอย่างไม่มีสาเหตุ ในสมองเหลือแค่ความคิดเดียวเท่านั้น…ไฉนข้าถึงได้งดงามเพียงนี้หนอ!
เชิงอรรถ
* ชาวจีนสมัยโบราณแบ่งเวลาตอนกลางคืนออกเป็น 5 ยาม โดยยามแรกเริ่มเวลา 19.00 น. ถึง 21.00 น. ยามห้าจึงหมายถึงเวลา 03.00 น. ถึง 05.00 น. มีชื่อเรียกว่ายามอิ๋น
** โหว คือบรรดาศักดิ์ในสมัยโบราณ เป็นตำแหน่งซึ่งฮ่องเต้แต่งตั้งให้เชื้อพระวงศ์หรือผู้มีความดีความชอบ ซึ่งบรรดาศักดิ์ 5 ขั้นรองจากขั้นอ๋อง คือกง โหว ป๋อ จื่อ และหนาน แต่ละสมัยมีคำเรียกและลำดับแยกย่อยต่างกัน
* ถุงเหอเปา คือถุงผ้าพกติดตัวใบเล็กสำหรับใส่เศษเหรียญหรือของจุกจิก มักปักเป็นลายสัตว์หรือตัวอักษรที่มีความหมายเป็นมงคล
** ประตูบุปผาคล้อย คือประตูกลางของบ้านแบบเรือนสี่ประสาน เป็นตัวแบ่งเขตลานด้านหน้ากับเขตบ้านด้านใน ซึ่งส่วนชายคาที่ยื่นออกมาจากประตูจะมีเสาลอยห้อยลงมา เป็นเสาที่ไม่ได้ยาวจรดพื้น เรียกกันว่าเสาบัว
* ชาอิ๋นเซิง เป็นชื่อเดิมของ ‘ชาผู่เอ่อร์’ เป็นชาที่ปลูกทางใต้ของมณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) มีสรรพคุณเป็นยา ใบชาถูกอัดเป็นก้อนรูปทรงต่างๆ ต่างจากชาชนิดอื่น
* เทศกาลซั่งหยวน เป็นอีกชื่อเรียกหนึ่งของเทศกาลหยวนเซียว ตรงกับวันที่ 15 เดือน 1 ตามจันทรคติจีน ซึ่งเป็นคืนแรกของปีที่พระจันทร์เต็มดวง คนในครอบครัวจึงมาชมจันทร์กันพร้อมหน้า กินขนมบัวลอยซึ่งแสดงถึงความกลมเกลียว ภายหลังจัดเป็นงานฉลองยิ่งใหญ่ต่อเนื่องจากเทศกาลตรุษจีน มีประเพณีประดับโคมไฟ จึงเรียกอีกชื่อว่าเทศกาลซั่งหยวน โดยมากชื่อเทศกาลซั่งหยวนมักใช้ในบริบทของพิธีทางการ
* ถ่านไหมเงิน เป็นถ่านไม้ชนิดหนึ่ง ขี้เถ้าเป็นสีขาว ไร้ควัน ติดไฟยาก และมอดยาก ในสมัยโบราณมักใช้ในวังหลวง
* ซื่อจื่อ คือตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์อ๋อง ทายาทผู้ครองแคว้น หรือทายาทของเจ้าเมือง มักเป็นบุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก
* มาจาก ‘มัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง’ คำกล่าวที่ใช้ชื่นชมความงามของสี่ยอดหญิงงามของจีน ได้แก่ ซีซือ หวังเจาจวิน เตียวฉาน และหยางกุ้ยเฟย หมายถึงงามชวนตะลึงจนเหล่าปลาจมลงไปในลำธาร เหล่านกร่วงหล่นจากท้องฟ้า ดวงจันทร์เขินอายจนต้องหลบเร้น หมู่มวลดอกไม้หุบกลีบลง
* เค่อ เป็นหน่วยนับเวลาของจีนในสมัยโบราณ เท่ากับ 15 นาที
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.