X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักออกจากจวนมาไขคดี

ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 238-240

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 238 พบพานสหายเก่า

ไม่อาจไม่พูดถึง นับแต่สกุลหานเข้าร่วม เฉินอิ๋งก็ประหยัดเรี่ยวแรงไปได้มาก แม้แต่ภาพร่างสิ่งปลูกสร้างที่นางวาดไว้ก็ยังได้ช่างฝีมือทั้งหลายช่วยกันแก้ไขจนสมบูรณ์ สุดท้ายนางก็ได้แต่วางมือปล่อยให้คนอื่นจัดการกันไป นอกจากควักเงินจ่ายไม่หยุดแล้ว ที่นางต้องทำก็มีเพียงเรียบเรียงรวบรวมสร้างสื่อการเรียนการสอน

“สกุลหานไม่ว่าจะเจ้านายหรือลูกน้องล้วนแต่ผู้เปี่ยมสติปัญญา” เฉินอิ๋งพูดพลางทอดถอนใจ

คำพูดนี้สวินเจินไม่กล้าเอ่ยปากรับช่วงต่อ หลัวมามาเองก็ได้แต่กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเป็นที่สุด “วิสัยทัศน์ของนายท่านผู้เฒ่าสกุลหานนับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ”

คำพูดนี้แฝงความหมายลึกล้ำ พวกนางต่างรู้ดีแก่ใจ

วันนั้นไปเยี่ยมเยียนกัวหว่านแต่ไม่พบ ตอนกลับพวกสวินเจินเห็นรถม้าหลังคาดำสองคัน

ทหารองครักษ์ติดตามรถสองนายนั้นพวกนางเองก็รู้จัก

เรื่องนี้ไม่มีทางปิดบังได้นาน เรื่องจะแดงขึ้นเมื่อไรปัญหาอยู่ที่เวลาเท่านั้น หลังจากครุ่นคิดครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดเฉินอิ๋งก็นำเรื่องนี้ไปบอกกับหลี่ซื่อ ด้วยเหตุนี้หลัวมามาจึงพลอยรู้ไปด้วย

เฉินอิ๋งถอนหายใจเงียบๆ คราหนึ่งก่อนจะโยนเรื่องพวกนี้ออกจากหัวสมอง นางเปลี่ยนเรื่องคุย “เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน นายหญิงสี่ฉิวไม่ออกหน้า คนที่สกุลหานส่งมาก็เป็นพ่อบ้านใหญ่ของพวกเขา ต่อให้วันหน้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริง ก็ไม่มีอันใดผูกโยงพวกเรากับนายหญิงสี่ฉิวเข้าด้วยกันได้”

นางหวังว่ากัวหว่านจะมีชีวิตสงบสุขด้วยใจจริง ไม่ต้องเข้ามามีส่วนพัวพันกับเรื่องสู้รบอันใด

แต่จากที่เห็นในเวลานี้ เรื่องนี้เหมือนจะเป็นไปไม่ได้แล้ว

ครั้นพูดถึงตรงนี้พวกนางนายบ่าวก็ข้ามไปไม่พูดถึงรายละเอียดอันใดอีก

ยามนี้เซ่าจงมาถึงแล้ว อีกฝ่ายด้วยเพราะรีบรุดเดินทางมา ตอนมาถึงเนื้อตัวเขาจึงเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดโตๆ ท่ามกลางอากาศเย็นต้นฤดูใบไม้ผลิ หัวของเขาถึงกับมีไอร้อนปรากฏรางๆ

“ผู้น้อยคารวะคุณหนูสาม” เขายืนสงบนิ่งค้อมกายแสดงคารวะอยู่ทางด้านหน้าห่างจากเฉินอิ๋งไปไม่ไกลนัก

เฉินอิ๋งเบี่ยงกายเล็กน้อยพลางยิ้มกล่าว “พ่อบ้านเซ่างานการรัดตัว ข้าเรียกท่านมาเช่นนี้คงทำท่านเสียการเสียงานแล้ว”

เซ่าจงรีบเอ่ยปากตอบพลางยิ้มกล่าว “มิกล้า นายท่านผู้เฒ่าของพวกเรากำชับ บอกให้ผู้น้อยวางงานทั้งหมดในมือลงก่อน รับฟังคำสั่งของคุณหนูสาม เรื่องของคุณหนูสามก็คืองานของผู้น้อย ผู้น้อยย่อมต้องปฏิบัติตาม”

เฉินอิ๋งยิ้มพร้อมโบกมือกล่าว “ท่านก็อย่าได้เกรงใจข้าเกินไป ข้ารู้ว่าท่านยังมีเรื่องราวอีกมากที่ต้องจัดการ ข้าเองก็ไม่คิดจะพูดจาอ้อมค้อมอันใด แค่อยากถามว่าเรื่องสวนผลไม้ยามนี้เป็นเช่นใดแล้ว”

หานตวนหลี่รับเหมาหมดทุกอย่าง แม้แต่เรื่องสวนผลไม้ที่เยียนไถก็ยังรับไปด้วย ส่วนเผยซู่ด้วยเพราะเหตุผลบางอย่างจึงไม่ได้แย่งชิงกับอีกฝ่าย

สกุลหานเป็นเจ้าถิ่นอยู่แต่ไหนแต่ไร ที่ก่อนหน้านี้มีฐานะตกต่ำนั่นก็ด้วยเพราะถูกคนกดทับไว้จนขยับเขยื้อนไม่ได้ ยามนี้ภูเขาลูกใหญ่นั่นไม่มีแล้ว หนำซ้ำยังผูกสัมพันธ์อยู่กับสกุลหลี่และจวนกั๋วกง เบื้องหลังไม่แน่ว่าอาจมีผู้สนับสนุนที่ใหญ่โตยิ่งกว่านี้อีก เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สามารถกลับมาเงยหน้าอ้าปากได้ น้ำมันหอมระเหยพวกนั้นหรือก็ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ยามนี้ขายไปถึงเมืองเซิ่งจิงแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานคำว่า ‘คหบดีอันดับหนึ่งแห่งเติงโจว’ คงได้กลับมาอยู่ในมือสกุลหานอีกครั้งเป็นแน่

หานตวนหลี่อาจเพราะระลึกถึงบุญคุณของเฉินอิ๋ง และอาจเป็นไปได้ว่ามีแผนการอื่น เขาถึงคอยช่วยเหลือนางอย่างสุดกำลัง เรื่องสำนักศึกษาสตรีเฉวียนเฉิงนี้ ไม่ว่าเช่นไรเขาก็ต้องจัดการมันให้ดีที่สุด แม้แต่เรื่องที่เฉินอิ๋งนึกไม่ถึงเขาก็ยังช่วยนึกให้

พอได้ยินเฉินอิ๋งบอกว่ามีเรื่องจะถาม เซ่าจงก็ดึงเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากรองเท้าหุ้มข้อ อ่านมันออกมาให้นางฟัง “ห่างจากเมืองเยียนไถออกไปสี่สิบลี้ ซื้อที่ดินยี่สิบหมู่ไว้ผืนหนึ่ง ปลูกต้นหลินฉินพันห้าร้อยต้น ว่าจ้างคนสวนไว้สิบคน คนงานขุดร่องน้ำสี่สิบ…”

รายการต่างๆ เขียนไว้อย่างละเอียด แม้แต่ค่าใช้จ่ายก็คิดคำนวณออกมาเสร็จสรรพ สำหรับเฉินอิ๋งแล้วเรื่องปลูกต้นไม้ใดๆ นั้นนางหารู้เรื่องอันใดไม่ ยามนี้นางก็แค่รับฟังเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ เท่านั้น ครั้นอีกฝ่ายอ่านจบนางก็ยิ้มกล่าว “ลำบากแล้ว เพื่อการนี้ถึงกับต้องให้ท่านเดินทางไปถึงเยียนไถด้วยตนเอง”

เซ่าจงประคองบันทึกรายการดังกล่าวด้วยสองมือพลางยิ้มกล่าว “คุณหนูสามกล่าวหนักเกินไปแล้ว เรื่องพวกนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ผู้น้อยสมควรทำทั้งสิ้น”

หลัวมามาเดินขึ้นหน้าไปรับบันทึกรายการในมืออีกฝ่าย เฉินอิ๋งถามขึ้นอีกประโยค “เรื่องเชิญท่านอาจารย์ไม่ทราบว่าดำเนินการไปถึงไหนแล้ว”

พอได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของเซ่าจงก็กลับกลายเป็นกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กๆ ทันที “เรียนคุณหนูสาม เรื่องนี้นายท่านเป็นคนจัดการด้วยตนเอง ผู้น้อยรู้ก็แต่ว่ายามนี้ยังไม่มีผู้ใดตอบรับ”

เฉินอิ๋งส่งเสียง “อืม” ออกมาคราหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นนางก็มิได้รู้สึกผิดหวังอันใดมากนัก

เรื่องนี้ก็อยู่ในความคาดหมายของเฉินอิ๋งเช่นกัน สำนักศึกษาสตรีแห่งนี้แม้ฮ่องเต้หยวนจยาจะทรงอนุญาตให้สร้างขึ้น และเป็นสำนักศึกษาสตรีสำหรับชาวบ้านราษฎรทั่วไป รวมทั้งสตรีที่ด้อยโอกาสทางการศึกษาแห่งแรกของแผ่นดินต้าฉู่ ทว่าอาจารย์ที่เป็นบุรุษเกรงว่าจะไม่ยอมรับคำเชิญกันง่ายๆ ส่วนอาจารย์สตรี หากโชคดีพอก็น่าจะเชิญมาได้สักสองสามคน

“ผู้น้อยใคร่ถามคุณหนูสามสักข้อ เหตุใดถึงไม่หาอาจารย์จากทางจี่หนานเล่า” เซ่าจงถามอย่างระมัดระวัง

ที่ซานตง เติงโจวจัดเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกลความเจริญ การศึกษาไม่สู้ก้าวหน้านัก คิดหาอาจารย์สตรีสักคนหาใช่เรื่องง่ายๆ ไม่ ตรงกันข้ามกับจี่หนานที่เจริญรุ่งเรืองกว่า สถานที่หรือก็มีให้เลือกมากกว่าเติงโจวนัก เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเฉินอิ๋งถึงทิ้งใกล้เลือกไกลเช่นนี้

ได้ยินอีกฝ่ายถามเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็ยิ้มขื่น นางถอนหายใจตอบ “ข้าเองก็ใช่ว่าจะไม่อยากทำเช่นนั้น ทว่าความคิดอ่านของคนที่นี่หาได้เปิดกว้างไม่ อาจารย์สตรีเหล่านั้นทะนุถนอมชื่อเสียงเหนืออื่นใด ยากจะพูดจาชักจูงได้”

นางถึงกับขอให้หลี่เหิงช่วยถาม แต่ถึงกระนั้นก็หามีผลลัพธ์อันใดไม่ อาจารย์สตรีที่มีความรู้ในจี่หนานส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ น้อยนักที่จะยินดีปรากฏตัว

เฉินอิ๋งตัดสินใจว่าหากหาไม่ได้ ถึงตอนนั้นนางคงได้แต่ต้องบากหน้ายืมตัวอาจารย์จากสำนักศึกษาสกุลหลี่มาสักสองสามคน เฉินอิ๋งเองก็รับหน้าที่สอนหนังสือได้บางส่วน หลี่ซื่อเองก็เช่นกัน

ทว่าเรื่องพวกนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องในภายภาคหน้า พูดตอนนี้ออกจะเร็วเกินไปอยู่สักหน่อย

จู่ๆ เฉินอิ๋งก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ นางเอ่ยปากถาม “พ่อบ้านเซ่าเพิ่งกลับมาจากเติงโจว ไม่ทราบว่าท่านพอได้ยินข่าวเรื่องค่ายผู้อพยพที่นั่นบ้างหรือไม่”

เซ่าจงตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะกลับมาได้สติอย่างรวดเร็ว เขาค้อมกายกล่าว “หากคุณหนูสามหมายถึงเรื่องเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นในค่ายผู้อพยพล่ะก็ ผู้น้อยพอได้ยินมาอยู่บ้างขอรับ”

“เอ๋?” เฉินอิ๋งมองดูอีกฝ่ายด้วยดวงตาเป็นประกาย นางถามต่อ “ไม่ทราบว่าท่านพอจะเล่ารายละเอียดให้ข้าฟังได้หรือไม่”

เซ่าจงรีบบอก “วันนั้นผู้น้อยบังเอิญอยู่ที่เผิงไหลพอดี คืนเกิดเพลิงไหม้ผู้น้อยอยู่ในบ้านมองเห็นแสงไฟ ท้องฟ้าแดงฉานไปกว่าครึ่ง ด้านนายท่านผู้เฒ่าเพราะใส่ใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยิ่ง เช้าวันที่สองจึงสั่งให้ผู้น้อยออกไปสืบข่าว ทว่าค่ายผู้อพยพนั้นมีทหารเฝ้าอยู่ ผู้น้อยจึงสืบข่าวรู้ก็แต่ว่าจุดที่เกิดเพลิงไหม้นั้นเกิดขึ้นทางฝั่งตะวันตก คนที่พักอยู่ที่นั่นก่อนหน้านี้ล้วนเคยใช้ชีวิตอยู่ที่ท่าเรือ นอกจากเรื่องพวกนี้ เรื่องอื่นอันใดผู้น้อยล้วนไม่ทราบ”

ที่แท้ก็เป็นคนที่เคยตกอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกไห่ปัง

เฉินอิ๋งพยักหน้าเงียบๆ ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆ นางก็เห็นคนสองคนเดินมาจากไกลๆ ที่เดินอยู่ทางด้านหน้าคือหลางถิงอวี้

นางรู้สึกประหลาดใจจึงรีบเงียบเสียงลงทันที

เมื่อครู่หลางถิงอวี้เพิ่งจากไป แล้วเหตุใดถึงย้อนกลับมาอีก หรือว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น?

ครั้นคิดได้เช่นนั้นนางก็เรียกหลัวมามาให้ส่งเซ่าจงออกไป ส่วนพวกหลางถิงอวี้ก็เดินใกล้เข้ามาทุกขณะ

เฉินอิ๋งกวาดตามองคราหนึ่งก่อนจะพบว่าคนอีกผู้หนึ่งที่เดินตามหลางถิงอวี้อยู่ทางด้านหลังคือ…

เยี่ยชิง!

“เยี่ยชิง?” นางอุทานออกมาเบาๆ คราหนึ่ง ใบหน้าฉายแววประหลาดใจอย่างเก็บงำไว้ไม่อยู่ “ท่าน…ท่านมาได้เช่นไร”

เยี่ยชิงตอบเพียงสั้นๆ พลางยืนนิ่งอยู่ทางด้านหลังของหลางถิงอวี้ไม่ขยับ “คุ้มครองผู้คน”

บทที่ 239 ได้รับการนิรโทษกรรมแล้ว?

เฉินอิ๋งตะลึงมองเยี่ยชิง เห็นนางในชุดหมั่งเผาสีแดงสด ผมถูกรวบมัดไว้ด้วยหมวกหนัง สายคาดเอวหนังพันรัดอยู่บนเอว มีดาบยาวเล่มหนึ่งเหน็บติดอยู่ แส้เหล็กคู่นั้นไม่รู้ถูกเก็บซ่อนไว้ที่ใด

นั่นเป็น…ชุดมาตรฐานของทหารองครักษ์

เฉินอิ๋งตะลึงลาน

เยี่ยชิงเปลี่ยนมากินข้าวสารของทางการแล้ว?

สตรีสามารถเข้าไปเป็นองครักษ์วังหลวงได้ด้วยกระนั้นหรือ

พอเห็นเฉินอิ๋งจำคนที่มาด้วยได้เช่นนั้น หลางถิงอวี้ก็ยิ้มประสานมือกล่าว “คุณหนูสามสายตาเฉียบคมยิ่งนัก มองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่านั่นคือเยี่ย…ผู้บัญชาการเยี่ย”

ผู้บัญชาการเยี่ย?

เยี่ยชิงกินข้าวสารของทางการจริงๆ

เฉินอิ๋งเบิกตากว้างมองดูเยี่ยชิง ไม่แม้แต่จะคิดปิดบังอำพรางความรู้สึกประหลาดใจและกระหายใคร่รู้ในดวงตา

“ข้าเสนอตนเอง” ราวกับกลัวว่าเฉินอิ๋งจะถามต่อ เยี่ยชิงรีบตอบเสริมออกมาอีกประโยค

หลางถิงอวี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ช่วยอธิบาย “ผู้บัญชาการเยี่ยได้ยินข่าวเรื่องคุณหนูสามสร้างสำนักศึกษาสตรีจึงบอกว่าต้องการมา นายท่านของพวกเราบอกว่าที่นี่ไม่รับคนในยุทธภพ ผู้บัญชาการเยี่ยจึงยินดี…เรียกว่าอะไรนะ…รับนิรโทษกรรมหรือ”

พูดถึงตรงนี้เขาก็หดคอลงโดยไม่รู้ตัว

ที่อยู่ทางด้านหลัง สายตาของเยี่ยชิงกำลังกวาดอยู่บนลำคอที่หนาพอๆ กับหัวของเขา สีหน้าร้างไร้ความรู้สึก มีเพียงสายตาเท่านั้นที่เย็นชาอยู่ ‘เล็กน้อย’

หลางถิงอวี้คลำหลังคอพลางกลืนน้ำลาย เขารู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าแผ่นหลังเย็นยะเยือกอยู่เล็กๆ จนอดชักเท้าขยับถอยไปทางด้านข้างสองก้าวไม่ได้ ก่อนจะพูดต่อว่า “เอ่อ…ที่ผู้บัญชาการเยี่ยนำมาด้วยคือจดหมายของนายท่าน”

เขาไม่ได้เล่ารายละเอียดว่าเหตุใดเยี่ยชิงถึงมาล่าช้ากว่า คาดว่าคงเพราะกลัวถูกสายตาเย็นเยียบคู่นั้นกวาดมอง หลังพูดจบหลางถิงอวี้ก็ถอยออกไปยืนอยู่ทางด้านหลัง

เยี่ยชิงเดินขึ้นหน้า ยื่นส่งจดหมาย ก่อนจะหันหลังและก้าวเท้าออกเดิน

การเคลื่อนไหวทั้งหมดเป็นไปอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว ระหว่างทางไม่มีหยุดชะงัก

อีกฝ่ายเดินไกลออกไปทุกขณะ เฉินอิ๋งถือจดหมาย ในใจรู้สึกฉงนสนเท่ห์ยิ่ง

ไปกันดื้อๆ เช่นนี้?

ที่นางพูดมาทั้งหมดหน้าหลังรวมกันก็แค่หกเจ็ดตัวอักษรเท่านั้น หนำซ้ำยังไม่ได้เล่าถึงสถานการณ์อันใดให้กระจ่าง ไม่แม้แต่จะบอกว่าพวกเขาเตรียมการให้นางเช่นไร จู่ๆ ก็จากไปแล้วเช่นนี้

“ท่านจะไปที่ใด!” กว่าจะกลับมาได้สติก็ไม่ใช่ง่าย เฉินอิ๋งรีบตะโกนถาม

“เดินดูรอบๆ” เยี่ยชิงตอบอย่างประหยัดถ้อยประหยัดคำยิ่ง นางก้าวเท้ายาวๆ เดินขึ้นหน้า จังหวะการย่างก้าวคล้ายเป็นปกติ ทว่าทุกฝีก้าวกลับยาวกว่าคนทั่วไป เพียงไม่กี่ทีก็เดินลับหายไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว

หลางถิงอวี้เองก็มองตาค้าง หลังจากตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ยกมือขึ้นเกาหัว ยิ้มแหยเอ่ย “ผู้บัญชาการเยี่ย…ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา”

“ข้าเข้าใจ” เฉินอิ๋งพยักหน้าเห็นด้วย

ไม่เพียงแต่พูดน้อย หากยังเกลียดการถูกถามด้วย

เพียงแต่ถ้าว่ากันตามนี้ เฉินอิ๋งรู้สึกว่าตนเองคล้ายมีความสามารถยิ่งยวดประการหนึ่ง อย่างสามารถใช้คำพูดบีบบังคับผู้แข็งแกร่งให้ล่าถอยได้

เฉินอิ๋งยิ้มส่ายศีรษะโยนความคิดอ่านจุกจิกหยุมหยิมพวกนั้นทิ้งออกจากสมอง ก่อนจะเปิดจดหมายออกอ่าน พบว่าเผยซู่เขียนมาแค่เพียงสั้นๆ บอกว่าเขาได้มอบหมายให้เยี่ยชิงเป็นสตรีอารักขาเพียงในนาม ไม่ได้ให้นางรับผิดชอบทำงานเป็นองครักษ์วังหลวงแต่อย่างใด วันหน้านางคือผู้บัญชาการสตรีอารักขาของสำนักศึกษาสตรี มีกองกำลังเล็กๆ กลุ่มหนึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา จำนวนคนไม่เกินสิบคน เงินเดือนของคนพวกนี้ให้เฉินอิ๋งเป็นคนจัดการ ทางการจะรับผิดชอบเรื่องสวัสดิการบางส่วนให้

พูดให้ชัดเจนก็คือสตรีอารักขาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นชาวยุทธ์ที่เยี่ยชิงคัดสรรมาโดยมีเผยซู่เป็นคนพยักหน้าเห็นชอบ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นสตรี

ฮ่องเต้หยวนจยาไม่ได้ดีแต่พูดเท่านั้น ดูท่าตราของทางราชสำนักครึ่งหนึ่งที่ตีอยู่บนสำนักศึกษาสตรีเฉวียนเฉิงคือการลงทุนทั้งหลายทั้งปวงของพระองค์ อีกทั้งยังสามารถเก็บกลับได้ด้วย

เฉินอิ๋งทอดถอนใจพลางพับเก็บจดหมาย

ฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่องย่อมต้องตระหนี่ถี่เหนียวบ้างเป็นธรรมดา…

ทว่าครั้นคิดดูอีกทีนางก็รู้สึกว่าอันที่จริงเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ขอเพียงเบื้องบนไม่ขัดขวางการก่อสร้าง เช่นนี้ก็นับว่าเป็นการสนับสนุนใหญ่หลวงแล้ว แล้วยังมีเหตุผลใดที่นางต้องอยากได้คืบจะเอาศอกอีก

หลังพาเยี่ยชิงมาถึงสำนักศึกษาสตรี ภารกิจของหลางถิงอวี้ก็เป็นอันสิ้นสุด เขาเอ่ยปากขอตัวลา

เฉินอิ๋งเองก็ไปหาหลี่ซื่อ ดูนั่นดูนี่ในลานเรือนอยู่เป็นเพื่อนนาง ครั้นจัดการกับเรื่องที่ควรจัดการเป็นที่เรียบร้อย พวกนางสองแม่ลูกก็กลับบ้านไม่พูดอันใดอีก

 

หลังช่วงจิงเจ๋อ* ผ่านพ้น ต้นไม้ใบหญ้าฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง สภาพอากาศอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ บรรดาขุนนางสูงศักดิ์ในจี่หนานก็เริ่มกลับมามีชีวิตชีวากันอีกครั้ง

หนีซื่อได้รับเทียบเชิญเป็นจำนวนไม่น้อย ล้วนแต่เป็นงานเลี้ยงรับวสันต์ หลังจากครุ่นคิดแล้วครุ่นคิดอีก ในที่สุดหนีซื่อก็เลือกงานเลี้ยงรับวสันต์จวนจงหย่งป๋อ ถือเป็นการเปิดตัวบรรดาคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนอย่างพวกเฉินอิ๋งท่ามกลางแวดวงชนชั้นสูงของจี่หนาน

ทุกอย่างล้วนดำเนินไปอย่างราบรื่น เฉินอิ๋งตื่นขึ้นมาฝึกกิจวัตรก่อนล่วงหน้าครึ่งชั่วยาม ขณะกำลังเตรียมเก็บงาน นางก็สังเกตเห็นสวินเจินรีบร้อนเดินตรงเข้ามา

“คุณหนู หากเรียบร้อยแล้วคุณหนูก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด เวลาไม่เช้าแล้วเจ้าค่ะ”

ที่ตามอยู่ด้านหลังของสวินเจินราวกับหางน้อยๆ นั่นคือต้าจ้วน ที่อยู่ในมือต้าจ้วนคืออาภรณ์สีเขียวต้นหอมที่ตัดเย็บขึ้นใหม่ นางกำลังมองดูเฉินอิ๋งด้วยสายตากระวนกระวาย

เฉินอิ๋งเช็ดเหงื่อหันหลังเดินกลับไปพลางกล่าว “นี่เพิ่งจะยามใด เหตุใดต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้นด้วย”

สวินเจินกลับร้อนรนยิ่ง “สองวันนี้คุณหนูสูงขึ้นอีกแล้ว ขอบกระโปรงยังไม่ได้เย็บเก็บเรียบร้อย จำต้องวัดตัวก่อน คุณหนูรีบหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”

ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ทุกสรรพสิ่งล้วนเติบโต เฉินอิ๋งเองก็เริ่มอรชรอ้อนแอ้น ช่วงนี้นางเหมือนจะโตไวขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมานางก็ไม่ชักช้าโอ้เอ้อีก รีบเดินกลับไปในห้อง ก่อนจะเห็นจือสือกับช่างเย็บผ้ารออยู่ด้านในแล้ว บนเตียงมีกระโปรงวางอยู่สองสามตัว มีทั้งสีส้มหม่น สีฟ้าสดใส ยังมีสีม่วงครามอยู่อีกตัว

“ต้องลองทั้งหมดนี่หรือ” เฉินอิ๋งยื่นผ้าซับเหงื่อให้กับจือสือพลางถาม

หลัวมามารู้จักนิสัยของนางจึงยิ้มกล่าว “คุณหนู นี่เป็นครั้งแรกที่พวกคุณหนูจะออกไปเป็นแขกข้างนอก ท่านป้าสะใภ้ของคุณหนูบอกว่าต้องแต่งกายให้เรียบร้อยสักหน่อย ประเดี๋ยวคุณหนูแต่งตัวเสร็จแล้ว นางยังจะมาตรวจดูเองอีกรอบหนึ่ง หากไม่เป็นที่พอใจ คุณหนูยังจะต้องเปลี่ยนอีก”

เฉินอิ๋งส่งเสียง “อืม” ออกมาคราหนึ่ง พูดอย่างจนใจว่า “ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นก็ลองกันเถอะ”

หลังจากนั้นทุกอย่างก็ชุลมุนวุ่นวายไปหมด

ผ่านไปครู่ใหญ่ในที่สุดเสื้อผ้าอาภรณ์ตัดใหม่นั่นก็จัดการเป็นที่เรียบร้อย ผมเผ้าหรือก็จัดแต่งพร้อมสรรพ เฉินอิ๋งมาถึงยังเรือนประธานให้หนีซื่อตรวจดูความเรียบร้อยอีกคราว

ครั้นเห็นนางสวมเสื้อแพรปักลายสีฟ้าอ่อน กระโปรงไหมปักลายสีฟ้าสดใส กุ๊นขอบสีเดียวกัน ปิ่นทองประดับอยู่ข้างจอนผม ยามขยับกายเครื่องประดับส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง หนีซื่อก็พึงพอใจอย่างยิ่งยวด นางพยักหน้ายิ้ม “วันนี้เจ้าแลดูงดงามสะดุดตาจริงๆ สีนี้ขับดุนส่งเสริมใบหน้าเจ้ายิ่งนัก”

ไม่ผิดอย่างที่หนีซื่อกล่าว เฉินอิ๋งแม้จะรูปร่างหน้าตามิได้งดงามโดดเด่น แต่ก็แลดูสะอาดสะอ้านยิ่ง สวมใส่เสื้อผ้าโทนเย็นเช่นนี้นับว่าเหมาะสมมาก

เฉินอิ๋งยิ้มกล่าว “พวกหลัวมามาเลือกกันอยู่เป็นนาน ท่านป้าสะใภ้พอใจเช่นนี้ย่อมดียิ่งเจ้าค่ะ”

หลังจากนั้นไม่นานหลี่ซีกับเฉินเซียงสองพี่น้องก็มาถึง เพราะเสื้อผ้าของเฉินเซียงกับหลี่ซีสีเดียวกัน หนีซื่อจึงสั่งให้หลี่ซีกลับไปเปลี่ยนชุดใหม่ กว่าจะออกเดินทางได้เวลาก็ไม่เช้าแล้ว

ตอนรถม้าแล่นเข้าไปในจวนจงหย่งป๋อ หลี่ซีทอดสายตาดูทัศนียภาพภายในสวนพลางส่ายหน้าถอนหายใจพูดออกมาสองประโยค “แม้จะบอกว่าเป็นงานเลี้ยงรับวสันต์ แต่ยามนี้อันที่จริงต้องบอกว่าออกจะเร็วเกินไปอยู่สักหน่อย ดอกไม้ยังไม่ทันได้บานเสียด้วยซ้ำ”

จงหย่งป๋อเดิมคือจงหย่งโหว ทว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนบุกเบิกราชสำนักต้าฉู่แล้ว ยามนี้หลังสืบทอดต่อกันมาหลายต่อหลายรุ่น บรรดาศักดิ์ของพวกเขาก็ลดลงขั้นหนึ่ง

บทที่ 240 คนประเสริฐเพราะรู้ตน

หากจะพูดกันโดยละเอียดก็ต้องบอกว่าหลังฮ่องเต้หยวนจยาเสด็จขึ้นครองราชย์ ทั่วทั้งซานตงก็มีแต่การลดบรรดาศักดิ์ ไม่มีการแต่งตั้งขุนนางบรรดาศักดิ์ใหม่อันใดอีก คงด้วยเพราะกบฏคังอ๋องที่เกิดขึ้นในเวลานั้นทำให้ที่นี่ได้รับผลกระทบหนัก จนถึงยามนี้ก็ยังไม่อาจฟื้นคืนดังเดิม

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดคะเนของเฉินอิ๋งเพียงผู้เดียวเท่านั้น

จวนจงหย่งป๋อมีลานเรือนสามชั้น นั่นก็ด้วยเพราะตำแหน่งขุนนางของจงหย่งป๋อนั้นหาได้สูงไม่ เป็นเพียงรองนายกองพันลำดับรองขั้นห้า เรือนพำนักที่มีลานสามชั้นนี้ได้มาก็เพราะบรรดาศักดิ์ของเขาเท่านั้น

ตอนบรรดาสตรีทั้งหลายลงจากรถม้า ว่านซื่อฮูหยินของจงหย่งป๋อก็ออกมายืนรอต้อนรับอยู่ที่ข้างประตูแล้ว อวี๋ซื่อฮูหยินซื่อจื่อมีลูกสะใภ้วัยกำดัดสองนางคอยยืนเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ และยังมีคุณหนูจวนป๋อของพวกนางอีกสองคนยืนอยู่ท้ายสุด

จงหย่งป๋อมีบุตรชายอยู่ด้วยกันทั้งหมดสามคน บุตรชายคนโตหลูจวิ้น ได้รับการแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อก่อนหน้านี้นานแล้ว บุตรชายคนรองหลูโฉวเป็นหนอนหนังสือ สอบผ่านการคัดเลือกระดับมณฑลได้ขึ้นเป็นจวี่เหริน ถึงแม้จะพลาดในการสอบระดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวง แต่ก็ยังได้เป็นเสมียนอยู่ที่เมืองเว่ยฮุยมณฑลเหอหนาน เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นขั้นแปด เท้าครึ่งหนึ่งเรียกได้ว่าเหยียบอยู่บนวิถีชีวิตขุนนางแล้ว ส่วนบุตรชายคนที่สามหลูเหริน ไม่เอาไหนที่สุด เป็นก็แค่เจ้าหน้าที่ระดับล่างในกองทัพเท่านั้น

ยามนี้สตรีสองนางที่ตามอยู่หลังว่านซื่อได้แก่คุณหนูรองหลูหว่านอิน ธิดาคนโตของบ้านรอง กับคุณหนูหกหลูหว่านหนิง ธิดาคนโตของบ้านสาม ส่วนสะใภ้วัยกำดัดสองนางนั้นกลับเป็นลูกสะใภ้ของอวี๋ซื่อฮูหยินของซื่อจื่อ คนหนึ่งแซ่เฉียนอีกคนแซ่หวง ล้วนเป็นธิดาของขุนนางจี่หนาน

นอกจากพวกนางแล้ว ฮูหยินรองกับฮูหยินสามล้วนมิได้โผล่หน้ามา คาดว่าคงนำพาสตรีคนอื่นๆ เข้าไปด้านในแล้ว

“ในที่สุดหนีซื่อก็มาถึงแล้ว ข้าใจจดใจจ่อรอคอยอยู่ทีเดียว” ทันทีที่เห็นหนีซื่อ ว่านซื่อก็รีบเดินขึ้นหน้ากล่าว ขณะเอ่ยปากนางก็ตรงเข้าไปคล้องแขนหนีซื่ออย่างสนิทสนม สายตากวาดมองไปทางพวกเฉินอิ๋ง ยิ้มราวลมวสันต์ระผ่านใบหน้า “นับเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก ข้ายังกลัวว่าทางสำนักศึกษาจะไม่อนุญาต ทำให้งานเลี้ยงมีแต่พวกเราเหล่าผู้อาวุโส หากเป็นเช่นนั้นจริงคงแย่แน่ นึกไม่ถึงว่ายามนี้กลับไม่ต้องกังวลแล้ว เหมือนอย่างคำที่ว่าลมวสันต์เพิ่งมาถึงไม่ทันไร มวลผกาก็พร้อมใจกันผลิบานแล้ว”

คำพูดนี้ของนางเรียกเสียงหัวเราะได้ไม่น้อย

หนีซื่อชอบอกชอบใจยิ่งนัก ถ้อยวาจางดงามของว่านซื่อถูกใจนางมาก ใบหน้าของหนีซื่อยามนี้แขวนประดับไว้ซึ่งรอยยิ้ม นางกล่าวขึ้นว่า “หลูฮูหยินยกย่องพวกนางเกินไปแล้ว ข้าว่าคุณหนูทั้งสองของท่านต่างหากถึงจะเรียกว่าเสมือนบุปผาประหนึ่งหยก ช่างงดงามยิ่งนัก”

ที่หนีซื่อกล่าวก็แค่วาจาถ่อมตนเท่านั้น ทุกคนพบหน้ากันย่อมต้องเยินยอสรรเสริญเด็กรุ่นหลังของอีกฝ่าย นี่เป็นธรรมเนียมที่มีมาแต่ไหนแต่ไร

ว่านซื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกล่าว “ช่างเถอะๆ จะยกยอปอปั้นอันใดก็เอาไว้อีกสักครู่เถิด ตอนนี้ตามข้าเข้าไปนั่งข้างในก่อนดีกว่า” นางนำพาทุกคนเข้าไปยังโถงบุปผา* พลางพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกัน

โถงบุปผานั้นกว้างขวางมิใช่น้อย ทว่าคนที่อยู่ด้านในกลับมีกันไม่มาก กว่าครึ่งล้วนเป็นฮูหยินและนายหญิงสูงวัย พวกเด็กสาวต่างออกไปเที่ยวชมทัศนียภาพรอบๆ อยู่ก่อนนานแล้ว

หลังนั่งลงกันเป็นที่เรียบร้อย โอภาปราศรัยกันพอเป็นพิธีสองสามประโยค เหล่าผู้น้อยก็กล่าวคารวะผู้อาวุโส หลังผู้อาวุโสมอบของขวัญแรกพบให้เสร็จ ขั้นตอนทั้งหลายก็ถือเป็นอันสิ้นสุด คุณหนูสกุลหลูทั้งสองลุกขึ้น เชิญชวนพวกเฉินอิ๋ง ‘ไปชมสวนดอกไม้’

ขณะที่พวกนางทั้งสองเอ่ยปากเชื้อเชิญ เฉินอิ๋งก็สังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของอวี๋ซื่อคล้ายจางลงเล็กน้อย ทุกครั้งที่สายตากวาดมองไปยังหลานสาวทั้งสอง แววตาของนางก็ยิ่งคล้ายเหม่อลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ถึงจะรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กๆ แต่เฉินอิ๋งก็หาได้สนใจอันใดมากมายไม่

เรื่องราวภายในลานเรือนซับซ้อนหยุมหยิม อวี๋ซื่อเป็นถึงสะใภ้ใหญ่บ้านใหญ่ ส่วนคุณหนูทั้งสองกลับเป็นคนของบ้านรองและบ้านสาม ดูท่าระหว่างบ้านแต่ละหลังจะมีเรื่องราวที่ไม่อาจบอกกล่าวให้ผู้ใดรับรู้ได้บางอย่าง

เฉินอิ๋งคิดพลางลุกขึ้นตามคนอื่นๆ หลังกล่าวอำลาเหล่าผู้อาวุโส พวกนางก็เดินตามระเบียงประสานที่อยู่ด้านนอกตรงไปยังสวนดอกไม้

สวนดอกไม้จวนจงหย่งป๋อกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง ทว่ายามนี้เพิ่งต้นฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ในสวนจึงมีอยู่เพียงบางตา ทัศนียภาพแลดูจืดชืดอยู่เล็กน้อย โชคดีที่ในสวนมี ‘สวนต้นเหมย’ อยู่ ยามนี้กำลังผลิดอกพอดี บานสะพรั่งงดงามเป็นที่สุด บรรดาคุณหนูทั้งหลายต่างเที่ยวเล่นกันอยู่ที่นี่ นอกจากนี้จวนป๋อยังใส่ใจจัดเตรียมหมึกพู่กัน ขว้างธนูลงคนโท* พิณขลุ่ย และอื่นๆ ไว้ให้บรรดาสตรีที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์สุนทรีย์เหล่านั้นสามารถเขียนบทกวีดีดพิณหรือเล่นสนุกอยู่ใต้ต้นเหมย เฉิดฉายงดงามยิ่ง

หลูหว่านอินสองพี่น้องพยายามอย่างสุดความสามารถในการเอาใจใส่คอยอยู่เป็นเพื่อนไม่ห่าง หลังจากเดินอยู่รอบหนึ่ง จู่ๆ เฉินอิ๋งก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมาเลาๆ นางอดอุทานแย่แล้วในใจไม่ได้

ระดูของนางมาแล้ว ยามนี้นางคุ้นเคยกับความเจ็บปวดเช่นนี้ดี ครั้นนับวันดู วันนี้เกรงว่าญาติผู้นี้ของนางกำลังจะมาเยี่ยมเยือนอีกคราแล้ว

นางไม่อยากทำให้คนอื่นแตกตื่นจึงลอบพาสวินเจินกับจือสือถอยห่างออกมา และถามหาเส้นทางเอากับสาวใช้ตัวน้อยนางหนึ่ง ก่อนจะตรงดิ่งไปยังห้องสุขา

โชคดีที่ห้องสุขาอยู่ไม่ไกลนัก เลี้ยวไปตามระเบียงวนไม่กี่ครั้งก็ถึง หลัวมามาเตรียมของต้องใช้อยู่ก่อนล่วงหน้าแล้ว หากรอจนพบว่าใช่เรื่องระดูจริงๆ เฉินอิ๋งคงรับมืออันใดไม่ทันแล้ว

หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ ในที่สุดเฉินอิ๋งก็จัดการกับปัญหาได้เป็นที่เรียบร้อย แต่แล้วจู่ๆ นางก็นึกเกียจคร้าน ไม่อยากตรงไปร่วมชุมนุมที่สวนดอกเหมยนั่นอีก

ผู้อื่นเที่ยวเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ แต่นางกลับไม่สะดวก ‘ผ้าอนามัย’ สมัยโบราณแต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยคุ้นชินได้สักที ดังนั้นเดินให้น้อยนั่งให้มากย่อมเป็นการดีกว่า

บังเอิญบริเวณจุดอับลมนั้นมีเรือนริมน้ำตั้งอยู่หลังหนึ่ง สร้างคร่อมธารน้ำเล็กๆ งามวิจิตรสอดรับกับพื้นที่โดยรอบ ทั้งสี่ด้านล้วนแต่เป็นบานหน้าต่างซึ่งสามารถเปิดออกได้ ทางฝั่งตะวันออกอยู่ตรงกันข้ามกับสวนเหมยพอดี เงาร่างในอาภรณ์แดงบ้างเขียวบ้างในป่าเหล่านั้นยามนี้กลับกลายเป็นทัศนียภาพในสายตาของเฉินอิ๋ง

“พวกเราพักอยู่ที่นี่กันสักครู่เถอะ ไว้งานเลี้ยงเริ่มแล้วค่อยเข้าไป” เฉินอิ๋งตัดสินใจเช่นนี้

สวินเจินกับจือสือไม่มีความคิดเห็นอื่น ทำเพียงหยิบเอาเบาะรองนั่งที่พกติดตัววางลงบนเก้าอี้ไม้ เฉินอิ๋งนั่งลง สวินเจินเดินขึ้นหน้าไปปิดหน้าต่างทั้งสี่ด้านด้วยกังวลว่าเฉินอิ๋งจะป่วยเพราะต้องลม

เพิ่งนั่งได้เพียงครู่เดียว เสียงฝีเท้าคนก็ดังลอยมาจากทางระเบียง จากเสียงที่ได้ยินน่าจะกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังห้องสุขา

เดิมเฉินอิ๋งก็ไม่ได้นึกอยากสอดรู้สอดเห็นอันใด จนปัญญาก็แต่เสียงพูดของอีกฝ่ายกลับลอยตามลมเข้ามาในเรือนริมน้ำแห่งนี้

“เหตุใดท่านถึงตามมาด้วยเล่า” น้ำเสียงใสกระจ่างของดรุณีน้อยนางหนึ่งดังลอยเข้ามาภายใน แม้จะเลือนรางอยู่บ้างแต่ก็ฟังดูอ่อนหวานเป็นพิเศษ

เฉินอิ๋งฟังออกได้ทันที นั่นเป็นเสียงคุณหนูหกจวนจงหย่งป๋อหลูหว่านหนิง

“กระโปรงเปื้อนแล้ว” หลูหว่านอินตอบน้ำเสียงเย็นยะเยือกออกมาสี่คำ

หลูหว่านหนิงกลับหัวเราะคิกคัก ตามติดด้วยเสียงอาภรณ์ขยับไหวสวบสาบคล้ายนางกำลังพลิกดูกระโปรงของหลูหว่านอิน เพราะฝ่ายหลังกลับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบยิ่งกว่าเก่า “น้องหกคิดเลียนแบบคนในอดีตช่วยขจัดคราบสกปรกให้ผู้อาวุโสกระนั้นหรือ”

เสียงของนางสยบเสียงสวบสาบนั่นได้จริงๆ แต่เพียงไม่นานหลูหว่านหนิงก็ยิ้มหวาน “ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น พี่รองจริงจังเช่นนี้ไม่สนุกเลยสักนิด”

หลูหว่านอินไม่พูดไม่จา

ทว่าความเงียบของนางกลับกระตุ้นให้หลูหว่านหนิงยิ่งนึกอยากพูด ไม่นานนักเสียงของนางก็ดังขึ้นอีกคราว “บอกข้ามาตามตรงเถอะพี่รอง ท่านเองก็มาหลบหาความสงบเช่นกันใช่หรือไม่”

หลูหว่านอินยังคงไม่ตอบอันใด

ขณะที่เฉินอิ๋งคิดว่าหลูหว่านอินจะยังคงนิ่งเงียบต่อไป นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ นางจะเอ่ยปาก ยังคงเป็นคำพูดเรียบง่ายสั้นๆ ไม่กี่คำ “คนประเสริฐเพราะรู้ตน”

 

* จิงเจ๋อ (แมลงตื่น) ตรงกับวันที่ 5-7 มีนาคม อากาศอุ่นขึ้น แมลงหรือสัตว์ที่จำศีลอยู่จะเริ่มตื่นขึ้นเพื่อจะออกมาหาอาหาร

* โถงบุปผา หมายถึงโถงรับแขกนอกเหนือจากโถงใหญ่ โดยมากจะอยู่ที่เรือนสองข้างเรือนใหญ่หรือในสวนดอกไม้

* ขว้างธนูลงคนโท เป็นการละเล่นของจีนโบราณ วิธีเล่นคือขว้างลูกธนูให้เสียบลงไปในคนโท ตัดสินผลแพ้ชนะตามจำนวนลูกธนูที่ขว้างลงคนโท

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนมีนาคม 66)

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: