บทที่ 2
อารมณ์ดีๆ อันมาจากการชื่นชมรูปโฉมอันงามงดเฉิดฉันของหมิงถานยังคงอยู่ต่อไปจนกระทั่งออกจากจวนเดินทางเข้าวังหลวง
นอกประตูชั้นสอง รถม้าถูกเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ยามหมิงถานประคองเตาอุ่นมือปรากฏตัวขึ้นอย่างนวยนาด เผยซื่อ** ฮูหยินท่านโหวกับเสิ่นฮว่าคุณหนูญาติผู้พี่ก็ได้นั่งตัวตรงรออยู่ในรถม้าก่อนแล้ว
ครั้นเห็นหมิงถานปลดชุดคลุมออก ก้มศีรษะมุดตัวเข้าไปในรถม้า ในดวงตาของเผยซื่อปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ “อาถาน รีบขึ้นมาสิ”
เมื่อหมิงถานนั่งมั่นคงดีแล้ว เผยซื่อก็เอ่ยเป็นห่วงเป็นใยขึ้นอีกคราด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ไฉนถึงถอดชุดคลุมออกเล่า วันนี้อากาศหนาวเย็น ระวังจะจับไข้เอา”
“ในรถม้าอบอุ่น หากไม่ถอดตอนนี้ ประเดี๋ยวตัวเปียกเหงื่อลงจากรถม้าคงจะหนาวแย่” หมิงถานยิ้มตาหยี กุมมือของเผยซื่อกลับอย่างเฉลียวฉลาด “ปล่อยให้ท่านแม่ต้องรอนาน เป็นความผิดของข้าเองเจ้าค่ะ”
เผยซื่อถลึงตาใส่นางเบาๆ แวบหนึ่ง “ผิดไม่ผิดอันใดกัน วันนี้เป็นวันเทศกาลซั่งหยวน อย่าเอ่ยคำพูดเช่นนี้สิ!”
“เจ้าค่ะ ลูกรู้ตัวว่าผิดแล้ว…” หมิงถานอิงแอบในอ้อมอกของเผยซื่อ ซ้ำยังลากเสียงยาวเป็นการออดอ้อน
เผยซื่อจิ้มหน้าผากบุตรสาวด้วยความระอาใจ “เจ้านี่นะ ทะเล้นจนเคยตัว!”
เสิ่นฮว่าซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเห็นภาพเหตุการณ์ฉากนี้เข้า จึงปิดปากพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “ท่านป้าสะใภ้กับญาติผู้น้องสองแม่ลูกรักใคร่ลึกซึ้ง ทำให้อาฮว่าอิจฉาตาร้อนจริงๆ”
เผยซื่อมองอาฮว่ายิ้มๆ แวบหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
นับแต่โบราณกาลมา การแต่งเข้ามาเป็นภรรยาใหม่นั้นยากลำบาก หมิงถานเป็นบุตรสาวในภรรยาเอกจากฮูหยินคนก่อน เบื้องหลังยังมีบ้านมารดาที่ทรงอำนาจคอยหนุน สองสามปีแรกที่เผยซื่อเพิ่งจะแต่งเข้าจวนโหวนั้น ด้วยเกรงว่าผู้อื่นจะกล่าวหาว่านาง ‘ใจร้ายใจดำต่อเด็กสาวกำพร้า’ นางจึงดูแลเอาใจใส่หมิงถานอย่างพิถีพิถันยิ่งกว่าท่านโหวสามีของตนเองเสียอีก
หลายปีที่ผ่านมานางมิได้ให้กำเนิดบุตรธิดา เดิมทียังกังวลว่าตำแหน่งนายหญิงแห่งจวนโหวจะไม่มั่นคง แต่เพราะนางกับหมิงถานมีความสัมพันธ์สนิทสนมแน่นแฟ้น ได้รับคำชมว่า ‘จิตใจดีงามเปี่ยมเมตตา’ จากบรรดาฮูหยินสูงศักดิ์ในเมืองหลวง นางจึงอยู่ในตำแหน่งนายหญิงแห่งจวนโหวนี้ได้อย่างมั่นคงไม่สั่นคลอน
ด้วยเหตุผลนี้กอปรกับตัวเผยซื่อเองก็มีชื่อเสียงค่อนข้างดีงามอยู่เป็นทุนเดิม คนที่ตั้งใจสังเกตดูเสียหน่อยก็จะรู้ว่าไม่ว่าจะชื่นชมนางอย่างไรก็ไม่ทำให้นางชอบใจเท่าชมว่านางกับหมิงถานรักใคร่สนิทสนมลึกซึ้ง
ยามนี้ในใจเผยซื่อถูกชื่นชมเยินยอจนรู้สึกสุขอุรายิ่งนัก เพียงแต่หมิงถานกลับอารมณ์ดิ่งลงฉับพลันเพราะเสิ่นฮว่าเอ่ยปากขึ้น…
ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใด ตลอดครึ่งปีที่เสิ่นฮว่ามาอาศัยอยู่ที่จวนโหว แม้ฉากหน้าหมิงถานกับนางจะอยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบ ทว่าเบื้องหลังกลับคอยปะทะกันอยู่เนืองๆ
คราวนี้พอได้ยินสุ้มเสียงนุ่มละมุนของเสิ่นฮว่า หมิงถานก็นึกถึงการหมั้นหมายที่เลวร้ายของตน รวมถึงคำพูดที่พวกสาวใช้ซุบซิบนินทากันภายในจวนขึ้นมาไม่หยุด
คำนินทาเหล่านั้นเล่าลือกันไปอย่างเกินจริง แต่นางก็ไม่กล้ามั่นใจว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เลยแม้เพียงเศษเสี้ยว
เพราะอย่างไรท่านที่อยู่ตรงถนนชางอวี้ผู้นั้นก็ยกทัพจับศึกอยู่ข้างนอกมานานปี คงจะไม่เคยเห็นหญิงงามมากมายนัก มิหนำซ้ำพวกนักรบที่ไม่รู้หนังสือหนังหาเช่นนี้มักจะชอบเอาตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนมีวิชาความรู้ อยากจะรับสตรีมากความสามารถเป็นภรรยาให้เต็มจวนเพื่อพิสูจน์ให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเองมิใช่คนกักขฬะ…บิดาของนางก็คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เขาไปปฏิบัติหน้าที่ต่างเมืองก็ยังไม่ลืมพาหลิ่วอี๋เหนียง* ไปขับขานโคลงกลอนเคียงคู่ด้วย
ถ้าหากเสิ่นฮว่าได้ไปอยู่ที่ถนนชางอวี้ ยกระดับฐานะจนสูงส่ง ส่วนงานแต่งงานของนางกลับต้องพังทลายไม่เป็นท่าเพราะถูกคู่หมั้นหักหลัง เช่นนั้นคุณหนูสี่สกุลหมิงอย่างนางจะไม่กลายเป็นเรื่องน่าตลกขบขันที่สุดของเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ
ตอนนี้ยังไม่ทันไรสาวใช้ชั้นล่างพวกนั้นก็ปั้นเรื่องเสริมแต่งกันเองเช่นนี้แล้ว ถ้าเรื่องนี้กลายเป็นจริงขึ้นมา หากนางไม่โกนผมออกบวชเป็นชี น่ากลัวว่าในเมืองหลวงแห่งนี้คงจะไม่มีที่ยืนให้อาถานแห่งสกุลหมิงอย่างนางแล้ว!
เสียงรถม้าเคลื่อนดังอื้ออึงอยู่ข้างหู หมิงถานยิ่งคิดก็ยิ่งฉุนเฉียว ในอกยังถึงกับอึดอัดกลัดกลุ้ม ยามรถม้าหยุด ‘กึก’ ลงตรงนอกประตูฉี่เซวียน นางก็ยังคงจมดิ่งอยู่กับอารมณ์หงุดหงิดใจอย่างยากจะถอนตัวออกมาได้
ยามสตรีในครอบครัวของเหล่าขุนนางเดินทางเข้าวัง รถม้าและบ่าวรับใช้ล้วนไม่สามารถเข้าออกได้ตามใจชอบ เผยซื่อยื่นแสดงป้ายนายหญิงตราตั้ง* ต่อมาหมัวมัว** ในวังก็จะตรวจสอบว่ามีการพกพาอาวุธหรือไม่ ถึงค่อยให้ขันทีนำทางพวกนางเดินไปยังอุทยานยงหยวนซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงในวันนี้
นับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นต้าเสี่ยนเป็นต้นมา นอกจากการคัดเลือกสนมชายาแล้ว น้อยครั้งยิ่งที่สตรีซึ่งไม่มีบรรดาศักดิ์นายหญิงตราตั้งจะได้เข้าวัง ยิ่งถือว่าเป็นครั้งแรกด้วยที่มีการจัดงานเลี้ยงเชิญคนมาร่วมอย่างกว้างขวางมากมายเช่นนี้
วังหลวงซึ่งมีกำแพงสีแดงปกคลุมด้วยหิมะดูโอ่อ่าน่าเกรงขาม ทุกก้าวที่ย่างออกไป ความน่ายำเกรงก็ยิ่งดูเหมือนจะหนักอึ้งขึ้นหนึ่งส่วน ชวนให้คนแทบจะหายใจลำบาก ทำให้เส้นทางมุ่งหน้าไปยังอุทยานยงหยวนเงียบสงัดยิ่ง ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดทั้งสิ้น มีเพียงเสียงดังสวบสาบเบาๆ จากยามรองเท้าเดินย่ำลงบนหิมะบางๆ เท่านั้น
ทุกคนตั้งอกตั้งใจเดินตรงไปข้างหน้า จึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าในห้องอุ่น** ซึ่งอยู่บนที่สูงใกล้ๆ กันมีหน้าต่างเปิดไว้บานหนึ่ง…
“ทางตงโจวให้เขตสุยเป่ยรับช่วงดูแลต่อก็ถือเป็นเรื่องดี เจ้าน่าจะได้พักผ่อนอยู่ที่เมืองหลวงสักระยะ จริงสิอาซวี่ ปีนี้เจ้าก็…ยี่สิบเอ็ดแล้วกระมัง มิสู้ถือโอกาสช่วงนี้ตัดสินใจเรื่องการแต่งงานเสีย การสร้างครอบครัวมีทายาทสืบทอดสกุลนั้นเป็นเรื่องใหญ่ วันนี้ที่อุทยานยงหยวน ฮองเฮาตั้งใจเชิญสตรีในครอบครัวขุนนางที่ถึงวัยเหมาะจะแต่งงานเข้าวังมาเป็นพิเศษ หากถูกใจคุณหนูสกุลใดก็บอกกับเรา ขอแค่ชาติตระกูลผุดผ่อง ประพฤติตนดีงาม เราจะมอบสมรสพระราชทานให้เจ้าแน่นอน”
ตั้งแต่เข้ามาในห้องอุ่น ฮ่องเต้เฉิงคังก็เอาแต่พูดจาเรื่อยเปื่อย พูดตั้งแต่การศึกที่ดินแดนทางเหนือไปจนถึงชัยชนะที่ตงโจว สุดท้ายก็เบนหัวข้อสนทนามาอยู่ที่เรื่องการ ‘แต่งงาน’ อย่างคิดเอาเองว่าดูลื่นไหลเป็นธรรมชาติแล้ว
ขณะที่ฮ่องเต้เฉิงคังกำลังคิดว่าจะเพิ่มเสริมอันใดเข้าไปอีกสักหน่อย จางฮองเฮาซึ่งยืนอยู่อีกด้านก็ปิดปากกระแอมกระไอเบาๆ ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างพลางเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “สตรีกลุ่มนี้ แม่นางน้อยที่สวมชุดคลุมสีขาวเงินทางด้านซ้าย หม่อมฉันคิดว่ารู้กฎระเบียบไม่เลวเลยเพคะ”
ฮ่องเต้เฉิงคังถูกขัดจังหวะ จึงหรี่ตาลงอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็มองออกไปยังนอกหน้าต่าง ครู่หนึ่งผ่านไปก็พยักหน้าเล็กน้อย “ฮองเฮาสายตามองคนไม่เลว” พระองค์กำชับสั่งขันทีว่า “ไปสืบมาซิว่าเป็นคุณหนูสกุลใด”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีขานรับบัญชา ก่อนจะโค้งกายแล้วเดินถอยออกไป
ฮ่องเต้เฉิงคังหันหน้ากลับมาอีกครา มองไปยังบุรุษชุดดำที่อยู่ข้างกาย “อาซวี่ เจ้าเองก็มาดูสักแวบหนึ่งสิ ในเมื่อจะเลือกชายาให้เจ้า ก็ต้องเลือกที่เจ้าพึงใจถึงจะถูก”
ลมเย็นยะเยือกเจือด้วยเกล็ดหิมะพัดโชยผ่านหน้าต่างเข้ามาขานรับกับเสียงที่ยังไม่ทันจะสิ้นคำนี้ ชุดผ้าดิ้นสีดำซึ่งปักลวดลายงูใหญ่ถูกลมพัดจนชายชุดด้านหนึ่งปลิวขึ้นมา คนผู้นั้นยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงริมหน้าต่าง หลุบตากวาดมองแวบหนึ่ง แล้วก็เบนสายตาออกอย่างไร้อารมณ์
บอกว่าแวบหนึ่งก็แวบหนึ่งจริงๆ!
ฮ่องเต้เฉิงคังหมดถ้อยคำจะเอื้อนเอ่ยไปพักใหญ่
โชคดีที่พระองค์เคยชินกับท่าทางไม่สนใจไยดีของคนข้างๆ มานานแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการเสียมารยาทแต่อย่างใด เพียงแต่พระองค์ก็มิได้เอ่ยปากพูดคุยกับคนผู้นี้อีกเป็นการชั่วคราว ขณะรอคอยให้ขันทีนำความมารายงานอยู่นั้น ก็หันไปพูดคุยเสียงเบากับจางฮองเฮาด้วย
ในช่วงเวลาระหว่างนี้จางฮองเฮามองสำรวจแผ่นหลังของหมิงถาน ในใจยิ่งพึงพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ
แม่นางน้อยเหล่านี้ส่วนมากล้วนเพิ่งจะเคยเข้าวังหลวงเป็นครั้งแรก ถึงแม้ยามอยู่ในบ้านจะได้รับการสั่งสอนกฎระเบียบมาเป็นอย่างดี แต่น้อยคนนักที่จะไม่หวาดหวั่นต่อความน่ายำเกรงของวังหลวง เมื่อในใจมีความหวาดกลัว มือเท้าก็จะหวาดกลัวไปด้วย ลมหายใจติดขัดถี่กระชั้น
เท่าที่สังเกตดูหญิงสาวมามากมายจนถึงตอนนี้ มีเพียงแม่นางตรงหน้าผู้นี้ที่อากัปกิริยาภูมิฐานที่สุด ทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวล้วนเยือกเย็นสง่างาม ช่างงดงามเพลิดเพลินสายตายิ่ง
ไม่นานนักขันทีก็กลับมาที่ห้องอุ่น โค้งกายคำนับแล้วเอ่ยตอบว่า “กราบทูลฝ่าบาท กราบทูลฮองเฮา คนกลุ่มนี้คือฮูหยินจิ้งอันโหว คุณหนูสี่จวนจิ้งอันโหว ยังมีน้องสาวของแม่ทัพน้อยเสิ่นที่มาขออาศัยอยู่กับจวนจิ้งอันโหวพ่ะย่ะค่ะ”
“น้องสาวของเสิ่นอวี้?” ฮ่องเต้เฉิงคังเลิกคิ้ว
ขันทีรีบเอ่ยตอบ “น้องสาวของแม่ทัพน้อยเสิ่นอวี้คือคนที่สวมชุดคลุมที่ถักจากผ้าแพรสีทอง ส่วนคนที่ฮองเฮาตรัสถามคือคุณหนูสี่แห่งจวนจิ้งอันโหวพ่ะย่ะค่ะ”
จวนจิ้งอันโหว ฐานะวงศ์ตระกูลถือว่าเหมาะสมคู่ควร จางฮองเฮากำลังคิดถึงตรงนี้ ขันทีก็เอ่ยเสริมขึ้นมาว่า “คุณหนูสี่จวนจิ้งอันโหวได้หมั้นหมายกับซื่อจื่อของลิ่งกั๋วกงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หมั้นหมายแล้ว?” จางฮองเฮาชะงักไปชั่วครู่ “นี่ช่าง…”
จวนลิ่งกั๋วกงเป็นผู้สูงศักดิ์ตระกูลเก่าแก่ นางเองก็ไม่กล้าเปล่งคำว่า ‘เสียดาย’ สองพยางค์นี้ออกมา ทว่าบนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความเสียอกเสียดาย
ฮ่องเต้เฉิงคังกล่าวว่า “ในเมื่อมีคู่หมั้นแล้ว ก็ไม่ควรจะไปทำลายวาสนาของผู้อื่น”
ถ้อยคำของพระองค์แม้แฝงด้วยความเสียดาย ทว่าในใจหาได้คิดเช่นนั้น พอได้ยินคำว่า ‘จวนจิ้งอันโหว’ ก็คัดชื่อคุณหนูสี่แห่งจวนโหวผู้นี้ออกทันที
พระองค์ชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยังชี้ไปที่แผ่นหลังเลือนรางซึ่งเดินห่างไกลลิบออกไปแล้ว “เราว่าน้องสาวของเสิ่นอวี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน ถึงแม้สกุลเสิ่นจะมีฐานะต่ำต้อยไปเสียหน่อย แต่ก็ยังพอจะให้เป็นชายารองได้”
จางฮองเฮาไม่มีความสนใจต่อการเลือกอนุภรรยา จึงหลุบตาพลางจัดแขนเสื้อให้เรียบร้อย มิได้ส่งเสียงขานรับ
ฮ่องเต้เฉิงคังหันกลับมาเอ่ยถามอีกครั้ง “อาซวี่ เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง เจ้าเองก็ให้ความสำคัญกับเสิ่นอวี้อยู่พอสมควรเลยมิใช่หรือ”
“ไม่คิดอย่างไร ถ้าฝ่าบาททรงดำริว่าไม่เลว ก็ทรงรับเข้าตำหนักในสิพ่ะย่ะค่ะ”
สุ้มเสียงนี้ไม่ดังไม่เบา แต่ฟังออกได้ว่าข่มกลั้นความรำคาญใจจางๆ เอาไว้หลายส่วน
ไม่รู้เพราะเหตุใดพอขันทีที่อยู่โดยรอบได้ยินแล้วต่างก็ตกใจจนแข้งขาอ่อน ทั้งๆ ที่ในห้องอุ่นจุดเตาอุ่นใต้ดินเอาไว้ แต่ทุกคนกลับตัวสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่ ก้มหน้าต่ำงุด
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องอุ่น เหล่าหญิงสาวครอบครัวขุนนางไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยแม้แต่น้อย เมื่อเดินเข้ามาในอุทยานยงหยวน ทุกคนก็ถูกนำทางไปยังตำหนักฉางหมิง เข้านั่งประจำที่ตามลำดับ
ที่นั่งของจวนจิ้งอันโหวอยู่ติดกับประตูของตำหนักฉางหมิงพอดี หากขยับออกไปข้างหลังอีกนิดก็จะต้องตากลมหนาวนอกตำหนักแล้ว
เสิ่นฮว่าเข้านั่งที่ตามเผยซื่อ ในใจฉงนงุนงงเล็กน้อย
นางมาอยู่เมืองหลวงได้ครึ่งปี รู้ดีว่าจวนจิ้งอันโหวยิ่งใหญ่เกรียงไกร มีฐานะไม่ธรรมดา แต่เหตุใดวันนี้ในวังจัดงานเลี้ยงกลับได้อยู่ห่างไกลเช่นนี้เล่า
เสิ่นฮว่าไม่เข้าใจ แต่หมิงถานกลับเข้าใจกระจ่างยิ่ง
สถานที่ซึ่งมีแต่ชนชั้นสูงรวมตัวกันอย่างเมืองหลวง จริงๆ แล้วท่านโหวผู้หนึ่งก็ไม่ได้ถือว่ามีตำแหน่งสูงส่งอันใด บัดนี้ที่จวนจิ้งอันโหวมีหน้ามีตาเช่นนี้ หลักๆ แล้วเป็นเพราะจิ้งอันโหวบิดาของนางเป็นข้าหลวงใหญ่รักษาชายแดน กุมอำนาจที่แท้จริงเอาไว้ในมือ
ลำดับที่นั่งงานเลี้ยงในวังยึดตามลำดับบรรดาศักดิ์เป็นหลัก จวนกั๋วกงที่อยู่เหนือจวนโหวของพวกเขาก็มีตั้งหลายสิบตระกูลแล้ว ไหนยังต้องนับเหล่าพระญาติเชื้อพระวงศ์อีก ได้นั่งอยู่ในเขตตำหนักเช่นนี้ก็ถือว่ามีอภิสิทธิ์มากแล้ว
ยามนี้ภายในตำหนักฉางหมิงมีคนมากมายแต่กลับเงียบสงบยิ่ง หลังจากหมิงถานนั่งประจำที่ นางก็กวาดตามองไปยังตำแหน่งจวนลิ่งกั๋วกงที่อยู่ด้านหน้าคล้ายมิได้ตั้งใจมอง
ไม่มองก็แล้วไป แต่พอมองเสร็จ ในใจนางก็บังเกิดโทสะอย่างไม่มีสาเหตุขึ้นมาอีกครั้ง
นี่จวนลิ่งกั๋วกงคิดว่าไม่มีผู้ใดรู้เรื่องฉาวโฉ่ของพวกเขา หรือว่าพวกเขาไม่เห็นอาถานแห่งสกุลหมิงอย่างนางอยู่ในสายตากันแน่ ถึงได้พาญาติผู้น้องที่แอบมีสัมพันธ์ลับๆ กับคู่หมั้นนางมาร่วมงานด้วยอย่างเปิดเผยเช่นนี้! พวกนางคิดว่านี่เป็นงานเช่นใดกัน หรือคิดอยากจะพาคนมาปรากฏตัวต่อหน้านางให้คุ้นหน้าคุ้นตาเอาไว้ต่อไปจะได้ร่วมปรนนิบัติสามีคนเดียวกันอย่างสามัคคีกลมเกลียวอย่างนั้นหรือ!
เผยซื่อสังเกตเห็นว่าสายตาของหมิงถานมีบางอย่างแปลกๆ จึงเอ่ยเรียกเบาๆ “อาถาน เป็นอะไรไปหรือ”
เผยซื่อยังไม่รู้เรื่องที่จวนลิ่งกั๋วกงปิดบังอยู่ หมิงถานจึงเก็บสายตากลับมา ฝืนส่งเสียงตอบไปว่า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” แล้วก็พยายามสะกดกลั้นเพลิงโทสะในหัวใจของตนเองเอาไว้ นั่งอย่างสุภาพตัวตรงตามระเบียบ ไม่หันไปมองอีกแม้แต่แวบเดียว
เมื่อแรกจวนลิ่งกั๋วกงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นถึงสายตาของหมิงถาน แต่ยามนี้พอเห็นว่าสตรีจวนจิ้งอันโหวมาถึงกันแล้ว จึงอดมองสังเกตดูจากไกลๆ มิได้
ฮูหยินลิ่งกั๋วกงเองก็ลอบมองด้วยเช่นกัน มองไปพลางภาคภูมิใจไปพลาง
อาถานแห่งสกุลหมิงมีชื่อเสียงดีงามเป็นเลิศในหมู่คุณหนูในเมืองหลวง รูปโฉม ชาติตระกูล กิริยามารยาท ฝีมือการบรรเลงฉิน* แต่ละอย่างล้วนยอดเยี่ยมโดดเด่น นิสัยใจคอก็สงบเสงี่ยมเรียบร้อย ทั้งชวนให้สามีรักใคร่ ทั้งพาออกหน้าออกตาได้ ช่างหาได้ยากยิ่ง เคราะห์ดีที่หมั้นหมายไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ หาไม่แล้วจะต้องมีหลายตระกูลพากันแย่งสู่ขอเป็นแน่
แต่บุตรชายตัวปัญหาของนางนั้น…
พอคิดถึงตรงนี้นางก็เหลือบมองไปด้านหลังปราดหนึ่ง บังเอิญเห็นหญิงสาวนางหนึ่งกำลังประคองถ้วยชาอย่างชดช้อยบอบบาง จึงอดทอดถอนใจในใจมิได้ว่าแม้จะเป็นหลานสาวของตน แต่เอาออกหน้าไม่ได้ก็คือไม่ได้
ไม่รู้เช่นกันว่าจะปิดบังเรื่องนี้ไปได้อีกนานเพียงใด ยามจิ้งอันโหวปฏิบัติหน้าที่ครบตามกำหนดเวลา เดินทางกลับมารายงานสถานการณ์ที่เมืองหลวง การแต่งงานของทั้งสองตระกูลก็จะต้องเริ่มกำหนดฤกษ์ยาม ถ้าหากอยากจะแต่งอาถานแห่งสกุลหมิงเข้าจวนอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค เรื่องนี้นางคงต้องรีบวางแผนเสียแต่เนิ่นๆ
ทุกคนที่อยู่ในตำหนักต่างคนต่างคิดเรื่องของตนเอง ทว่าฉากหน้ากลับแสดงท่าทีนิ่งเงียบพินอบพิเทาออกมาเหมือนกันทั้งหมด
ความเงียบงันนี้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งขันทีตะโกนก้องด้วยเสียงเล็กแหลมว่า “ฮองเฮาเสด็จ!”
ทุกคนถึงเก็บงำความคิดเอาไว้แล้วลุกขึ้นยืน คุกเข่าถวายบังคมไปทางจางฮองเฮาอย่างพร้อมเพรียงกัน “ถวายบังคมฮองเฮา ขอฮองเฮาทรงพระเกษมสำราญ!”
“ลุกขึ้น” น้ำเสียงของจางฮองเฮาค่อนข้างอ่อนโยนนุ่มนวล ทั้งยังดูเหมือนแฝงแววขบขันอยู่สามส่วน “เชิญทุกคนเข้าวังมาร่วมเทศกาลซั่งหยวนวันนี้ ก็แค่อยากจะให้มาสนุกสนานกัน ทุกคนนั่งลงเถิด ไม่ต้องเคร่งพิธีการ”
ถึงแม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่คนที่กล้านั่งลงไปเต็มก้นโดยไม่เคร่งพิธีการจริงๆ กลับไม่มีใครสามารถมีชีวิตออกไปจากตำหนักฉางหมิงแห่งนี้ได้ ทุกคนยอบกายคารวะอย่างพร้อมเพรียงพร้อมขานตอบว่า “เพคะ” แล้วถึงค่อยนั่งลงอย่างสุภาพเรียบร้อย
แต่ไรมาลำดับขั้นตอนของงานเลี้ยงในวังนั้นซับซ้อนยิบย่อย แม้ว่าจางฮองเฮาจะลดพิธีการที่ไม่จำเป็นไปบ้างแล้วบางส่วน แต่กว่าจะดำเนินแต่ละขั้นตอนเสร็จสิ้น อาหารรสเลิศที่เตรียมไว้แบ่งให้ทุกคนกินก็เย็นชืดสนิทหมดแล้ว
สตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายต่างก็กินคนละคำสองคำพอเป็นพิธี คอยรักษาท่วงท่าภูมิฐานสง่างามเอาไว้อยู่ตลอดเวลา
ภายในตำหนักมีเสียงเครื่องดนตรีขับขานบรรเลง นางรำเริงระบำอ่อนช้อยงามงด ราชนิกุลหญิงที่อยู่ด้านหน้าพูดคุยบอกเล่าเรื่องสนุกๆ ในเมืองหลวงให้จางฮองเฮาฟังเป็นระยะๆ บางครั้งก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังแว่วมาจากด้านหลัง บรรยากาศถือว่าผ่อนคลายสำราญใจยิ่ง
พองานเลี้ยงดำเนินมาถึงครึ่งทาง ขันทีก็เดินมาถ่ายทอดคำพูดที่ข้างกายจางฮองเฮาอย่างรีบร้อน ไม่รู้เช่นกันว่านำความเรื่องใดมากราบทูล หลังจากจางฮองเฮากำชับสั่งสองสามประโยค ก็มีคนจัดที่นั่งตรงตำแหน่งประธานเพิ่มอีกสองที่อย่างคล่องแคล่วว่องไว
แม้ทุกคนจะไม่ได้หันไปมองตรงๆ แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีแก่ใจว่าในที่สุดงานเลี้ยงที่กินอาหารไม่รู้รสนี้ก็กำลังจะเข้าสู่ช่วงสำคัญเสียที
เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ความคิดนี้ของแต่ละคนเพิ่งจะผุดขึ้นมา ก็มีขันทีถ่ายทอดคำพูดออกไปด้านหลังอย่างต่อเนื่องว่า “ฮ่องเต้เสด็จ…”
หมิงถานกำลังคิดเรื่องงานแต่งงานกับจวนลิ่งกั๋วกงอยู่คนเดียว ครั้นได้ยินเสียงนี้ก็รีบเก็บความคิดว่อกแว่กของตนเอาไว้ทันที จากนั้นลุกขึ้นถวายบังคมไปข้างหน้าพร้อมกับคนอื่นๆ
ในตำหนักเปล่งเสียงทรงพระเจริญหมื่นปีดังกึกก้องกังวาน ฟังดูคล้ายกับมีเสียงก้องสะท้อนไปมาในพื้นที่อันกว้างขวางนี้ กระทั่งเสียงก้องสงบลง ผู้ที่อยู่บนตำแหน่งประธานถึงค่อยเปล่งเสียงออกมาอย่างนุ่มนวลแต่ไม่สูญสิ้นความน่ายำเกรงว่า “ลุกขึ้น”
หมิงถานลุกขึ้นอย่างรู้สึกประหลาดใจ พระสุรเสียงของฝ่าบาทเยาว์วัยกว่าที่คิดไว้ไม่น้อย เช่นนั้นติ้งเป่ยอ๋องที่เป็นญาติผู้น้องของฝ่าบาทจะไม่เยาว์วัยยิ่งกว่าหรือ
กระทั่งนั่งลงเรียบร้อยแล้วก็ได้ยินจางฮองเฮากล่าวอารัมภบทว่า “ชัยชนะครั้งใหญ่ที่ตงโจวเมื่อเดือนก่อน เป็นความปลาบปลื้มปีติของแคว้นต้าเสี่ยนพวกเรายิ่ง ประจวบเหมาะวันนี้ฝ่าบาททรงเชิญเหล่าขุนนางมาเลี้ยงฉลองให้แก่ติ้งเป่ยอ๋องที่ตำหนักหงอันพอดี ข้าเลยคิดว่าถึงแม้พวกเราจะเป็นสตรี แต่ก็ควรจะคารวะให้แก่ยอดบุรุษแห่งแคว้นต้าเสี่ยนเช่นกัน ดังนั้นจึงได้เชิญฝ่าบาทและติ้งเป่ยอ๋องมาจากตำหนักหงอันเป็นพิเศษ”
ทุกคนนิ่งเงียบกันไปราวๆ หนึ่งอึดใจก็มีคนพูดเปิดขึ้น เสียงชื่นชมขานรับจึงดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย
หมิงถานรู้ดีว่าสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงไม่ว่าจะพูดจะทำอันใดต้องอ้อมค้อมไม่โผงผาง แต่คิดไม่ถึงว่าการแสดงออกในวังหลวงกลับต้องอ้อมค้อมวกวนยิ่งกว่าแปดสิบเอ็ดตลบ ทั้งที่เป็นการดูตัวพระชายาแท้ๆ แต่ก็ยังจะอ้างว่าเป็นการฉลองชื่นชมอันใดนั่น
นางนั่งอยู่ห่างไกลยิ่ง กอปรกับไม่สามารถจ้องมองพระพักตร์ตรงๆ ได้ หางตานางจึงเหลือบเห็นคนทั้งสามซึ่งอยู่บนตำแหน่งประธานเป็นเพียงก้อนสีพร่ามัวเท่านั้น
ขณะที่นางกำลังคิดว่าติ้งเป่ยอ๋องผู้นี้เป็นใบ้ใช่หรือไม่ ผู้คนสรรเสริญคารวะสุราให้เช่นนี้กลับไม่พูดไม่จาเลยสักคำ ทันใดนั้นเสียงสตรีอ่อนหวานหยดย้อยอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นจากฟังตรงข้ามอย่างไม่ทันตั้งตัว “ได้ยินมานานแล้วว่าท่านอ๋องอายุเพียงแค่วัยรวบผม* ก็นำกำลังทหารชั้นยอดสามพันนายต้านชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือสามหมื่นนายได้ สร้างคุณูปการใหญ่หลวงให้แก่แคว้นต้าเสี่ยน หม่อมฉันนับถือชื่นชมท่านอ๋องมาหลายปีแล้ว วันนี้ได้พบเจอตัวจริง นับว่าเป็นโชคดีอย่างสูง หม่อมฉันขอถวายบทเพลง ‘เมฆาเหนือธารา’ แก่ท่านอ๋อง…”
เป็นบุตรสาวคนรองในภรรยาเอกของเฉิงเอินโหว กู้จิ่วโหรว
จวนเฉิงเอินโหวไม่กลัวผู้คนครหามาแต่ไหนแต่ไร ก่อนหน้านี้ก็มีบุตรสาวคนโตในภรรยาเอกอย่างอวี้กุ้ยเฟยที่ถูกข้าหลวงตรวจการตำหนิกล่าวโทษกลางท้องพระโรงว่าเป็นนางมารจิ้งจอกใช้มารยายั่วยวนฮ่องเต้ บัดนี้ยังจ้องจะเอาตำแหน่งพระชายาของจวนติ้งเป่ยอ๋องอีก
ครั้นกล่าวคำชื่นชมนับถือจบ เครื่องดนตรีก็ถูกตระเตรียมเสร็จสรรพ กู้จิ่วโหรวยิ้มพริ้มเพราพลางก้มย่อกายคารวะ สุดท้ายก็กล่าวอย่างถ่อมตัวว่า “หม่อมฉันมิได้เก่งกาจสามารถ จำต้องแสดงความอัปลักษณ์ให้เห็นแล้ว”
หมิงถานฝึกเรียนฉินมาตั้งแต่เยาว์วัย ได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง ในเมื่อมีคนอยากจะแสดงฝีมือบรรเลงฉินต่อหน้านาง นางก็นึกสนใจใคร่รู้อยู่บ้างว่าอีกฝ่ายจะสะกดสายตาทุกคนได้อย่างไร
แต่น่าเสียดายที่นางไม่มีวาสนาได้ฟัง เสียงหวานเยิ้มด้านหน้าเพิ่งจะสิ้นสุดลง บุรุษในชุดผ้าดิ้นสีดำที่อยู่ตรงตำแหน่งประธานก็เอ่ยตัดบทอย่างเย็นชาว่า “รู้ว่าอัปลักษณ์ก็ไม่ต้องแสดง”
ในชั่วอึดใจนั้นในตำหนักเงียบกริบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตก
หมิงถานนึกว่าตนเองฟังผิดไป ถึงแม้ติ้งเป่ยอ๋องผู้นี้จะได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้และกุมอำนาจล้นฟ้าไว้ในมือ แต่ดีร้ายอย่างไรกู้จิ่วโหรวก็เป็นบุตรสาวภรรยาเอกของเฉิงเอินโหว พูดจาเช่นนี้ออกจะก้าวร้าวไร้มารยาทเกินไปเสียหน่อยกระมัง
ทว่าผ่านไปเนิ่นนานคนในตำหนักที่มีสิทธิ์กล่าวตำหนิอย่างผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคนก็ยังไม่เอ่ยวาจาใดออกมา
จางฮองเฮาไม่กล่าววาจาก็ถือว่าพอจะเข้าใจได้ อย่างไรเสียอวี้กุ้ยเฟยซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ ของกู้จิ่วโหรวก็สร้างปัญหาที่ตำหนักในให้นางไม่น้อย แต่กับฮ่องเต้เฉิงคังซึ่งโปรดปรานเอ็นดูอวี้กุ้ยเฟยเสมอมากลับไม่แม้แต่จะพูดแก้สถานการณ์แม้แต่คำเดียว เอาแต่ดื่มสุราอย่างไม่สนใจผู้ใด ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับพระองค์แม้แต่เศษเสี้ยว
กระทั่งบุรุษในชุดผ้าดิ้นสีดำผู้นั้นเดินออกไป ภายในตำหนักก็ยังเงียบสนิทไร้สรรพเสียง ขันทีเพียงแค่โค้งกายส่ง ไม่มีผู้ใดกล้าขวางทางเขา
ก่อนจะมาร่วมงานเลี้ยง ทุกคนคงไม่คาดคิดว่างานเลี้ยงในวังคราวนี้จะปิดฉากลงอย่างลวกๆ เช่นนี้
ตอนออกจากวังมายังไม่ถึงปลายยามโหย่ว* เลยด้วยซ้ำ ท้องนภายังไม่มืดดี ถนนหลวงเพิ่งจะเริ่มจุดโคมไฟเท่านั้น
หมิงถานเหยียบแท่นรองเตรียมตัวจะขึ้นรถม้า ทันใดนั้นก็ได้ยินคนตะโกนเรียกจากด้านหลัง “อาถาน!”
นางหันหน้ากลับไป เมื่อเห็นผู้มาเยือนชัดเจนก็อดคลี่ยิ้มออกมามิได้
ไป๋หมินหมิ่นตะโกนเรียกเสร็จแล้วเดิมคิดจะเดินเข้าไปหาทันที แต่ครั้นปะทะเข้ากับภาพหมิงถานหันกลับมาแย้มยิ้มอย่างเผลอไผล แสงโคมไฟเจิดจ้าที่กำลังสว่างไสวดวงแล้วดวงเล่าอยู่ด้านหลังดูคล้ายกลับหม่นแสงลงในฉับพลัน
ฟันขาวสะอาดดวงตาใสกระจ่างประดุจดังสายน้ำยามสารทฤดูที่ส่องประกายวาวระยับ เรียวคิ้วบางๆ ริมฝีปากยกโค้งเสมือนจันทราดาราดารดาษ คนงามก็เป็นเช่นนี้ล่ะหนอ
ไป๋หมินหมิ่นจ้องมองจนเหม่อลอยอยู่กับที่ครู่หนึ่ง สุดท้ายต้องให้บ่าวรับใช้ประจำกายสะกิดเตือนถึงได้สติกลับคืนมา
ไป๋หมินหมิ่นเป็นบุตรสาวคนโตของภรรยาเอกบ้านใหญ่จวนชางกั๋วกง เป็นญาติผู้พี่ของหมิงถาน เนื่องจากอายุอานามใกล้เคียงกัน ใกล้ชิดสนิทสนมกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ ทั้งสองจึงเป็นสหายสนิทที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กจนโต
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ตำหนักฉางหมิง ที่นั่งของจวนชางกั๋วกงกับจวนจิ้งอันโหวอยู่ในแถวซ้ายเหมือนกัน ทั้งสองคนจึงไม่ได้เห็นหน้ากันตรงๆ ยามนี้พอออกจากวัง ไป๋หมินหมิ่นจึงรีบมาตามหาอย่างไม่รอช้า
นางเดินเข้ามาดึงตัวหมิงถานเอาไว้อย่างสนิทชิดเชื้อ จากนั้นก็คารวะให้เผยซื่ออย่างว่องไว “หมินหมิ่นคารวะท่านอาหญิงเจ้าค่ะ”
นางเป็นคนปากไวใจเร็ว ไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อมวกวน พอคารวะเสร็จก็บอกจุดประสงค์ที่แวะมาออกไปโดยตรงทันที “ท่านอาหญิง วันนี้เป็นวันเทศกาลซั่งหยวน ข้าไหว้วานพี่ชายให้จองห้องพิเศษริมแม่น้ำที่หอทิงอวี่เอาไว้ อยากจะเชิญอาถานไปร่วมชมโคมไฟกับข้า ท่านอาหญิงให้ข้ายืมตัวอาถานสักสองสามชั่วยาม** ได้หรือไม่เจ้าคะ”
อาหญิงที่แท้จริงของไป๋หมินหมิ่นคือไป๋ซื่อมารดาแท้ๆ ผู้ล่วงลับของหมิงถาน ด้วยฐานะและอุปนิสัยของนาง การยอมเรียกเผยซื่อว่า ‘ท่านอาหญิง’ ถือเป็นการให้การยอมรับกับชื่อเสียงความมี ‘จิตใจดีงามเปี่ยมเมตตา’ ของเผยซื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
ยิ่งไม่ต้องพูดว่าในใจของเผยซื่อนั้นจะชื่นอกชื่นใจเพียงไร มีหรือจะไม่ยอมอนุญาต นางยิ้มแย้มพลางกล่าววาจาพอเป็นพิธี ครั้นแล้วก็สั่งให้บ่าวรับใช้คอยติดตามไปด้วย อีกทั้งยังกำชับสั่งลวี่เอ้ออย่างละเอียดถี่ถ้วนให้นางดูแลคุณหนูของตนเองให้ดีๆ
ต้องยอมรับว่าเผยซื่อเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ในเมื่อไป๋หมินหมิ่นมิได้เอ่ยถึงเสิ่นฮว่าแม้แต่คำเดียว นางก็ทำเป็นลืมความรอบคอบเอาใจใส่ในฐานะนายหญิงจวนโหวที่ควรมีไปได้อย่างถูกเวลา ไม่ได้เอ่ยคำพูดเกินควรอย่างเช่นว่าให้เสิ่นฮว่าตามไปชมเรื่องสนุกๆ ด้วยอะไรทำนองนั้นเลย
กระทั่งไป๋หมินหมิ่นพาหมิงถานจากไปแล้ว เผยซื่อเองก็ไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เพียงแค่ทำเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น หันมาพูดเรื่องบัวลอยสีสันต่างๆ ที่ในจวนได้ตระเตรียมไว้วันนี้กับเสิ่นฮว่าด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม
เชิงอรรถ
** ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่า ‘ซื่อ’ (แปลว่านามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดเจนก็มี
* อี๋เหนียง เป็นคำเรียกอนุภรรยา
* นายหญิงตราตั้ง (มิ่งฟู่) เป็นบรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้พระราชทานแก่มารดาหรือภรรยาของขุนนางชั้นสูง โดยในแต่ละขั้นจะมีคำเรียกที่แตกต่างกัน ได้แก่ ขั้นหนึ่งและขั้นสองเรียกว่าฟูเหริน ขั้นสามเรียกว่าซูเหริน ขั้นสี่เรียกว่ากงเหริน ขั้นห้าเรียกว่าอี๋เหริน ขั้นหกเรียกว่าอันเหริน และขั้นเจ็ดลงไปเรียกว่าหรูเหริน
** หมัวมัว เป็นคำเรียกหญิงสูงวัย มีความหมายหลากหลาย ทั้งย่า ยาย แม่นม ป้า และยังเป็นคำเรียกหญิงรับใช้อาวุโสในเชิงยกย่อง รวมถึงนางข้าหลวงอาวุโสในวังหลวงด้วย
** ห้องอุ่น หมายถึงห้องเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับเรือนใหญ่ ซึ่งมีการติดตั้งเตาสำหรับจุดไฟไว้ที่ชั้นใต้ดินของห้อง
* ฉินหรือพิณเป็นเครื่องสายจีน เดิมมีห้าสาย ต่อมาพัฒนาเป็นเจ็ดสาย ช่วงเสียงกว้าง เนื้อเสียงออกทุ้ม เสียงกังวานไกล เป็นเครื่องดนตรีอันแสดงถึงความสูงสง่า
* วัยรวบผม หมายถึงอายุ 15 ปี ก่อนสมัยราชวงศ์ชิง เด็กชายชาวฮั่นทุกคนเมื่ออายุครบ 15 ปีจะต้องรวบผมเกล้าขึ้น
* ยามโหย่ว คือช่วงเวลา 17.00 น. ถึง 19.00 น.
** หนึ่งชั่วยาม เทียบได้กับเวลาสองชั่วโมง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.