X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 107

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 107

เฉิงเซ่าซางพกพาความเจ็บปวดที่เห็นชีวิตคนถูกปลิดดุจต้นหญ้ากลับมาจนถึงตำหนักฉางชิว ไม่ผิดจากที่คิดไว้ รัชทายาทรอคอยอยู่ข้างกายฮองเฮาโดยตลอด ครั้นเห็นสองแม่ลูกใช้สายตาคาดหวังมองมาพร้อมกัน เฉิงเซ่าซางก็ต้านทานไม่ไหวอยู่บ้าง ยังคงเป็นหลิงปู้อี๋ที่เยือกเย็น บอกเล่าคดีฆ่าคนตายในจวนสกุลเหลียงรอบหนึ่งอย่างเรียบเฉย ความเรียบเฉยในน้ำเสียงนั้นราวกับว่าเรื่องที่เล่าคือแมวหลีฮวาข้างบ้านคลอดลูกน้อยออกมาอีกสองตัวแล้ว

ฮองเฮาฟังจบก็รู้สึกเคลือบแคลงไม่น้อย “…นอกจากหลิงจวินก็ไม่มีผู้อื่นเข้าออกเรือนตำรา แต่หลิงจวินยืนกรานปฏิเสธว่าไม่ได้สังหารสามี เช่นนั้นเป็นผู้ใดฆ่าเหลียงซั่งกันแน่”

รัชทายาททั้งตกตะลึงทั้งทำตัวไม่ถูก สีหน้าพลิกเปลี่ยนหลายตลบกว่าจะเอ่ยปากได้ “จื่อเซิ่ง นี่ก็หมายความว่า…เหลียงซั่งน่าจะถูกปองร้ายก่อนยามเซิน?”

หลิงปู้อี๋มองอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง ทว่าไม่ตอบคำ

รัชทายาทจึงหันไปถามอีกหน “เซ่าซาง เจ้าว่ามา”

เฉิงเซ่าซางมองคู่หมั้นด้วยความประหลาดใจยิ่ง ก่อนจะรีบเอ่ยตอบ “ทูลรัชทายาท หม่อมฉันสอบถามคนอื่นๆ แล้ว เตาอุ่นในเรือนตำราจุดไฟไม่แรงแต่อย่างใด ไม่ว่าผู้ที่ส่งอาหารช่วงใกล้เที่ยงจะสังหารเหลียงซั่งหรือไม่ ในเมื่อศพเย็นเฉียบถึงเพียงนั้น เหลียงซั่งย่อมไม่มีทางจะถูกทำร้ายตอนยามเซินไปได้…อืม ตามคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ เหลียงซั่งตายไปอย่างน้อยหนึ่งชั่วยามกว่าแล้วเพคะ”

รัชทายาทหลับตาชั่วครู่ คล้ายตกลงใจครั้งใหญ่ เขาประสานมือกล่าวกับฮองเฮาอย่างจริงจัง “เสด็จแม่ ในใจลูกมีอยู่ความคิดหนึ่ง อยากทูลให้เสด็จพ่อทรงตัดสิน”

“รัชทายาท ข้าไม่เห็นพ้อง” หลิงปู้อี๋พลันกล่าว

เฉิงเซ่าซางมองเขาอย่างตกใจ…รัชทายาทยังไม่ทันพูดอันใดเลยนะ

ฮองเฮามองหลิงปู้อี๋ แล้วหันไปมองรัชทายาท “เจ้าว่ามาก่อน”

รัชทายาทกล่าว “ลูกอยากร้องขอความเป็นธรรมแทนหลิงจวิน…”

เฉิงเซ่าซางตระหนกวูบ หลิงปู้อี๋ส่งเสียงมาเรียบๆ “ข้ายังคงไม่เห็นพ้อง”

รัชทายาทกล่าวต่อโดยไม่สนใจคนทั้งสอง “เสด็จแม่ เหลียงซั่งไม่มีทางจะถูกหลิงจวินสังหารเป็นอันขาด เพราะว่า…เพราะว่า…” เขามีสีหน้าละอายใจ “เพราะว่าเมื่อวานลูกกับหลิงจวินพบกันในคฤหาสน์ดอกกุ้ยม่วงที่นอกตัวเมืองพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮองเฮาตื่นตระหนกจนเสียงหาย เฉิงเซ่าซางหันขวับไปมองหลิงปู้อี๋แล้วเอ่ยด้วยความตกใจ “ท่านรู้เรื่องนี้แต่แรกแล้วหรือ!”

“นับแต่ชวีฮูหยินมาเมืองหลวง ข้าก็ป้องกันทั้งวันทั้งคืน วิตกว่ารัชทายาทจะไปพบชวีฮูหยิน” หลิงปู้อี๋น้ำเสียงราบเรียบ “วานซืนเช้าตรู่ ข้าได้ยินว่ารัชทายาทสั่งให้คนเตรียมรถม้าที่วิ่งเส้นทางบนเขาได้ ก็รู้แล้วว่ารัชทายาทหมายจะทำอันใด ดังนั้นข้าจึงเล่นตุกติกบางอย่างกับรถม้า หวังว่าเพลาล้อจะหักกลางทาง ทำให้รัชทายาทตกลงมา…”

เฉิงเซ่าซางหน้าดำทะมึน “ความคิดพิกลเยี่ยงนี้ ท่านยังอุตส่าห์คิดออกมาได้”

“น่าเสียดายรัชทายาทร้อนใจดั่งถูกไฟแผดเผา ก่อนออกไปพลันเปลี่ยนใจขี่ม้าเร่งเดินทางแทน ข้าจึงต้องจัดกำลังคนไปกลุ่มหนึ่ง คิดว่าระหว่างทางปลอมตัวเป็นโจรทำให้รัชทายาทตระหนกจนกลับเข้าเมืองมาก็ยังดี…”

“ที่แท้คนเหล่านั้นเป็นจื่อเซิ่งจัดส่งมา!” รัชทายาทรู้สึกเหลือเชื่อยิ่ง

“ไม่คาดว่าโชคจะไม่ดี เจอเข้ากับทหารหน่วยต่างๆ ของแม่ทัพใหญ่หานที่ลาดตระเวนเสร็จกำลังกลับเข้าเมือง หากมิใช่ผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มนั้นของข้าหนีได้เร็ว น่ากลัวว่าคงถูกแม่ทัพใหญ่หานจับเป็นเสียแล้ว ถึงตอนนั้นข้ายังต้องคิดหาข้ออ้างไปประกันตัวพวกเขาออกมาอีก”

รัชทายาททั้งฉุนทั้งขัน “จื่อเซิ่ง เจ้า…เจ้าไฉนจึง…เฮ้อ นี่เรียกว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต”

สุดท้ายหลิงปู้อี๋เอ่ยสรุปแกมตลกร้าย “รัชทายาทกล่าวได้ถูกต้องทีเดียว ข้ารับรู้ถึงประสงค์ของสวรรค์เบื้องบนแล้ว สรุปคือวันหน้าหากข้าคัดค้านสิ่งที่ท่านหมายจะกระทำ ข้าจะไม่มัวอ้อมค้อมอีกเด็ดขาด หากวานซืนข้าชวนท่านประลองยุทธ์ แล้วหาโอกาสทำให้ท่านล้มแขนหักไปสักข้าง อาจไม่เกิดเหตุต่อมาแล้วก็เป็นได้”

สำหรับความเห็นอันยอดเยี่ยมนี้ ฮองเฮาส่ายหน้าไม่หยุด เฉิงเซ่าซางเองก็จนถ้อยคำจะกล่าว

ส่วนรัชทายาทลูบแขนที่สมบูรณ์ดีของตน กระเถิบอย่างแนบเนียนเพื่อจะนั่งห่างจากหลิงปู้อี๋มากๆ หน่อย ค่อยหันไปกล่าวกับฮองเฮาต่อ “คฤหาสน์แห่งนั้นตั้งอยู่นอกเมือง ไม่ใกล้กับจวนสกุลเหลียงแต่อย่างใด ต่อให้ควบม้าเร็วเร่งลงแส้ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่า หลิงจวินออกจากจวนมาแต่เช้า พวกเราสองคนพบกันเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว ตอนแยกกันก็เป็นช่วงต้นยามอู่แล้ว เสด็จแม่ทรงตรองดู ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยามเซินหลิงจวินจึงจะกลับถึงจวนได้ แล้วนางจะฆ่าเหลียงซั่งได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ!” เขาทุ่มสุดตัว พูดจบทั้งหมดในรวดเดียว

ฮองเฮาใช้มือข้างหนึ่งลูบหน้าอก หอบหายใจเบาๆ “เจ้า…เจ้า…ไม่ควรจะพบกับนางอีก ซ้ำยังไปพบกันเป็นการส่วนตัว! นี่เจ้าจะเล่นชู้กับภรรยาขุนนางหรือไร”

รัชทายาทโขกศีรษะเอ่ยทั้งน้ำตา “ขอเสด็จแม่ทรงวินิจฉัย ลูกมิกล้ากระทำเรื่องผิดศีลธรรมเยี่ยงนี้เป็นอันขาด นับแต่สิบปีก่อนแยกจากหลิงจวิน ลูกก็ปลงใจแน่วแน่แต่แรกว่าจะลืมเลือนเรื่องในวันวานให้สิ้น ตะ…แต่…แต่ลูกบังเอิญรู้มาว่า…ชีวิตของหลิงจวินขื่นขมมากจริงๆ! เหลียงซั่งผู้นั้นเทียบไม่ได้กระทั่งเดรัจฉาน ถึงกับตบตีนางมาหลายปีแล้ว…”

“นะ…นี่…นี่เป็นความจริงเพคะ!” เฉิงเซ่าซางรีบพูดจาแทนรัชทายาท “หม่อมฉันเห็นมากับตา แผลบนร่างชวีฮูหยินมีทั้งถูกหยิก ถูกตี ยังมีถูกแส้เฆี่ยนด้วย! ได้ยินว่าแผลจำนวนหนึ่งเกิดขึ้นนานหลายปีแล้วเพคะ!”

ฮองเฮาทรุดนั่งลงอย่างตกตะลึง บนใบหน้าค่อยๆ เผยความรู้สึกไม่อาจหักใจ

“เพียงแต่…เรื่องนี้ไม่พูดออกไปจะดีเสียกว่า” เฉิงเซ่าซางพึมพำ “พูดออกไปแล้วกลับจะทำให้ชวีฮูหยินดูมีสาเหตุในการสังหารสามียิ่งกว่าเดิม”

“ลูกแม่” ฮองเฮาเอ่ยอย่างอ่อนแรง “เจ้ารู้หรือไม่ หากเจ้าเปิดปากพูดออกไป ก็ยากจะหนีพ้นคำคนอันน่ากลัว ชื่อเสียงของเจ้า ความประพฤติของเจ้า ล้วนไม่อาจชี้แจงให้ไร้รอยด่างพร้อยได้อีก”

รัชทายาทหลั่งน้ำตาตอบ “ผู้บริสุทธิ์ย่อมจะบริสุทธิ์วันยังค่ำ เสด็จพ่อจะเข้าพระทัยและให้อภัยลูก เหตุที่หลิงจวินไม่ยอมเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวนางเองก็เพราะไม่ปรารถนาจะดึงลูกเข้าไปพัวพัน หากลูกหมายรักษาตัวรอด เบิกตามองนางถูกปรักปรำ เช่นนั้นลูกจะกลายเป็นคนเยี่ยงไร!”

เฉิงเซ่าซางซึ้งใจไม่น้อย ไม่ว่าที่ใดเมื่อไร ผู้มีเจตนาดีอยู่ในหัวใจมักทำให้ผู้อื่นรู้สึกอบอุ่นได้เสมอ

“ต่อให้เป็นเช่นนี้ ข้าก็ยังคงไม่เห็นพ้อง” หลิงปู้อี๋ไม่รู้ร้อนรู้หนาวดุจเดิม

เฉิงเซ่าซางถูกขัดอารมณ์ซาบซึ้ง จึงเอ่ยอย่างไม่ชอบใจ “นอกจาก ‘ไม่เห็นพ้อง’ สามคำนี้แล้ว ท่านพูดคำอื่นเป็นอีกหรือไม่!”

รัชทายาทหมุนตัวมาส่งยิ้มอันสลดหดหู่ให้เฉิงเซ่าซาง “ชายาของข้ากับหลิงจวินนิสัยต่างกันราวฟ้ากับดิน ทว่าสภาพในปัจจุบันกลับสลับกันโดยสิ้นเชิง เมื่อแรกข้าละทิ้งไข่มุกหยกไปเก็บเศษกระเบื้อง ในใจเจ้าคงจะลอบด่านานแล้วว่าข้าเป็นหนอนที่เลอะเลือน”

เฉิงเซ่าซางคิดในใจ…ท่านรู้ตัวก็ดี

รัชทายาทเอ่ยเสียงแผ่ว “เมื่อสิบปีก่อนข้าไม่รู้เรื่องสัญญาแต่งงานระหว่างเหลียงกับชวีสองสกุล นึกว่าหลิงจวินออกเรือนไปได้ดี สามีภรรยาปรองดอง ข้าจึงได้ยอมทนเจ็บแยกทาง ใครจะรู้นางกลับแต่งได้สามีที่เลวทราม เจอกับคนสารเลวเยี่ยงเหลียงซั่ง ต้องใช้ชีวิตอย่างอยู่มิสู้ตาย…คิดดูให้ละเอียดแล้ว ล้วนเป็นข้าเองที่ทำร้ายนาง ตอนนี้ถือว่าข้าใช้คืนหนี้น้ำใจนี้เถิด”

เฉิงเซ่าซางถอนหายใจเบาๆ

รัชทายาทกล่าวกับหลิงปู้อี๋ต่อ “จื่อเซิ่ง เจ้าแม้เยาว์วัยกว่าข้า ทว่ามีปัญญาเฉียบขาดแต่เล็ก ฟังเพียงหนึ่งรู้ไปถึงสิบ เมื่อแรกเจ้าโน้มน้าวให้ข้ายกเลิกการหมั้นเปลี่ยนมาแต่งกับหลิงจวิน ก็เพราะ ‘เจ็บนานมิสู้เจ็บชั่วสั้นๆ’ ข้าไม่ได้ฟังคำเจ้า บัดนี้เสียใจเมื่อสาย ซ้ำวันนี้…ข้ายังจะไม่ฟังคำเตือนอันจริงใจของเจ้าอีก”

ขณะที่เฉิงเซ่าซางยิ่งสะเทือนใจ หลิงปู้อี๋กลับเป็นเช่นเครื่องทวนข้อความเครื่องหนึ่งซึ่งไม่รู้สึกรู้สา “รัชทายาทกล่าวได้ดียิ่ง ทว่าข้ายังคงไม่เห็นพ้อง”

เฉิงเซ่าซางขึงตาใส่เขา “…”

รัชทายาทส่ายหน้ายิ้มขื่น เขาไม่ชี้แจงแก้ต่างอีก ฮองเฮาเองก็เบือนหน้าไปไม่พูดจา นับว่าเห็นชอบโดยนัยแล้ว

 

ภายหลังออกมาจากตำหนักฉางชิว เฉิงเซ่าซางสะทกสะท้อนทอดถอนใจ “ความจริงข้ามองคนได้เก่งทีเดียว แวบแรกที่ได้เห็นชายารัชทายาท ข้าก็รู้สึกว่านางไม่ใช่คนจิตใจดีอันใด ตอนนี้ดูแล้วไม่ผิดจริงๆ เสียด้วย แวบแรกที่ได้เห็นรัชทายาท ข้ารู้สึกว่าเขาเป็นวิญญูชนผู้โอบอ้อม เฮ้อ แล้วก็เป็นดังนี้จริงๆ เช่นกัน”

หลิงปู้อี๋เงียบงัน

เฉิงเซ่าซางถาม “ไฉนท่านไม่พูดไม่จา”

สีหน้าดุจสลักจากน้ำแข็งผนึกด้วยเกล็ดน้ำค้างของหลิงปู้อี๋นิ่งสนิทไม่เปลี่ยนแปลง “ข้าเพียงอยากรู้ รัชทายาท ‘บังเอิญรู้มา’ ได้อย่างไรว่าชวีหลิงจวินถูกเหลียงซั่งตบตีทารุณมาหลายปี”

เฉิงเซ่าซางยิ้มตอบอย่างไม่อินังขังขอบ “ข้ารู้ว่าเบื้องหลังเรื่องนี้มีปมซับซ้อนหลายอย่าง ทว่าจะสางปมเยอะแยะนี้ไปทำอันใดเล่า ขอเพียงตอนนั้นชวีฮูหยินไม่ได้อยู่ในเรือนตำรา ผู้สังหารก็ย่อมไม่ใช่นาง เท่านี้ก็ใช้ได้แล้วไม่ใช่หรือ”

ไม่รู้หลิงปู้อี๋นึกถึงอันใด พอเดินไปถึงข้างต้นเหมยต้นหนึ่งจึงหยุดฝีเท้า ลูบศีรษะของเด็กสาวอย่างเบามือ บนเรือนผมอันนิ่มนุ่มนั้นถักเป็นวงแหวนเล็กๆ ครึ่งวงที่ดูใสซื่อน่ารักย้อยลงมาจรดข้างแก้ม เขาเอ่ยกับนางปนยิ้มน้อยๆ “อันที่จริงเจ้าหัวช้าเช่นนี้ก็ชวนให้ผู้อื่นชมชอบยิ่ง”

เฉิงเซ่าซางพลิกสีหน้าทันใด ตีมือของเขาออกไปดังเพียะ ดวงตากลมโตถลึงพลางเอ่ยด้วยโทสะ “ท่านหาว่าข้าโง่!” ในห้วงเวลาอันยาวนานที่นางถูกคนก่นด่าทั้งในที่ลับและที่แจ้ง วิธีด่าเยี่ยงนี้นับได้ว่าค่อนข้างแปลกใหม่

“มิสู้เจ้ากลับบ้านไปลองถามบิดามารดา ดูว่าพวกท่านจะพูดเช่นไร” หลิงปู้อี๋ยืนอยู่ใต้ต้นเหมยที่โปรยปรายกลีบดอกสีขาวต้นนี้ พร้อมกับรอยยิ้มที่สดชื่นงามกระจ่างตราตรึง

“ถามก็ถามสิ!” เฉิงเซ่าซางตอบเสียงดัง

ครั้นกลับถึงบ้าน เฉิงเซ่าซางวิ่งฉิวตรงไปยังห้องชั้นในของบิดามารดา แลเห็นท่านพ่อเฉิงกำลังนอนหนุนตักหัวหน้าเซียว ให้ภรรยาช่วยแคะหูอยู่…แคะหูก็แคะหูไปสิ ยังเล่นหูเล่นตา ลูบคลำมือเท้ากันอีก แสลงตาเสียจริงๆ เฉิงเซ่าซางจำต้องถอยร่นมาถึงด้านหลังฉากบังลม ออกแรงกระแอมสองหนค่อยย่างเท้าเข้าห้องไป

พอเล่าที่มาที่ไปโดยสังเขปจนจบ เฉิงเซ่าซางก็เอ่ยถาม “ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านว่า…รัชทายาทควรเป็นพยานให้ชวีฮูหยินหรือไม่เจ้าคะ”

ท่านพ่อเฉิงขบคิดแล้วย้อนถาม “จื่อเซิ่งว่าอย่างไรเล่า”

เฉิงเซ่าซางเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ท่านจะถามถึงเขาทำอันใดกัน!…เขาไม่เห็นพ้องเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นรัชทายาทก็ไม่ควรไปเป็นพยาน!” ท่านพ่อเฉิงตอบอย่างเรียบง่ายโผงผาง

“ไฉนท่านพ่อจึงเป็นเยี่ยงนี้เจ้าคะ! หลิงจื่อเซิ่งว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้นหรือ ทั้งที่แม้แต่จะกินอาหารร่วมกับเขา ท่านก็ยังไม่ยินยอมเลยนะ!”

เฉิงสื่อกล่าวอย่างมั่นใจในเหตุผล “พ่อยินยอมกินอาหารกับจื่อเซิ่งหรือไม่ กับพ่อเชื่อในฝีมือของเขาหรือไม่ มันเกี่ยวอะไรกันตรงที่ใด! พ่อรุดกลับมากินอาหารกับเจ้าที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรตัวน้อยนี้ทุกเย็น หรือว่าพ่อเชื่อถือเจ้านักหนา?!”

“ท่านพ่อถึงกับไม่เชื่อถือลูก?!” เฉิงเซ่าซางบอบช้ำยิ่งยวด “ท่านพ่อลองไปถามข้างนอกดู เด็กสาวที่เก่งกาจปราดเปรื่องเช่นลูกนี้ทั่วเมืองหลวงมีสักกี่คนกัน แม้แต่ในวังก็ยังเป็นที่ชื่นชมเลยนะเจ้าคะ…”

เฉิงสื่อสั่นศีรษะ “นั่นต้องดูว่าเทียบกับใคร เทียบกับหลิงปู้อี๋ แน่นอนว่าพ่อเชื่อถือเขา”

“ท่านพ่อ!”

“เอาล่ะ!” เซียวฮูหยินตำหนิเสียงเบา “สองคนพ่อลูกนอกเรื่องไปถึงไหนต่อไหนแล้ว” นางขึงตาใส่สามีเสร็จ ค่อยเอ่ยกับบุตรสาวอย่างจริงจัง “ถึงอย่างไรพวกเราก็มีพื้นเพเป็นสามัญชน ความคิดซับซ้อนวกวนในตระกูลขุนนางใหญ่เหล่านั้นพวกเราไม่เข้าใจหรอก สถานการณ์ของรัชทายาทในตอนนี้พวกเราอาจไม่รู้แจ้งเท่าจื่อเซิ่ง พบเจอเรื่องราวใดเจ้าควรฟังจื่อเซิ่งให้มากไว้จะดีกว่า เขาโตกว่าเจ้า ประสบการณ์ความรู้มีมาก เขาไม่เห็นพ้อง ย่อมจะมีเหตุผลของเขา”

เฉิงสื่อสนับสนุน “แม่เจ้าพูดถูก ระวังไว้ย่อมจะไม่ผิด”

เฉิงเซ่าซางก้มหน้าตรึกตรองก่อนเอ่ย “ท่านพ่อท่านแม่สั่งสอนถูกต้องเจ้าค่ะ ลูกจะจดจำไว้ เพียงแต่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว ขณะที่พวกเราพูดคุยกันอยู่นี้ รัชทายาทไปถึงเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาทแล้ว คิดในแง่ดี ฝ่าบาททรงเห็นรัชทายาทเปิดเผยมีเมตตา ไม่แน่กลับจะรู้สึกว่าพระโอรสซื่อตรงจริงใจก็เป็นได้ ท่านพ่อท่านแม่ เช่นนี้ลูกขอตัวก่อน เช้าวันพรุ่งนี้ท่านแม่ไม่ต้องมาเรียกลูกนะเจ้าคะ ฮองเฮาตรัสว่าวันนี้ลูกเหน็ดเหนื่อยอยู่ที่จวนสกุลเหลียง อนุญาตให้วันพรุ่งนี้ลูกเข้าวังสายหน่อย ลูกจะขอนอนจนตะวันโด่งเจ้าค่ะ”

หลังมองส่งบุตรสาวคนเล็กจากไปแล้ว เฉิงสื่อก็ยิ้มเอ่ยกับภรรยา “เจ้าว่าเหนียวเหนี่ยวเติบใหญ่แล้วใช่หรือไม่ ใจกว้างกว่าเมื่อก่อนเยอะทีเดียว หากเปลี่ยนเป็นตอนที่พวกเราเพิ่งกลับมาเมืองหลวง นางไม่ปากร้ายว่ารัชทายาทจุ้นไม่เข้าเรื่องน่ะสิแปลก”

เซียวฮูหยินเพ่งมองทิศทางที่บุตรสาวจากไป เนิ่นนานกว่าจะตอบคำ “…ไม่ใช่นางเติบใหญ่แล้วหรอก เป็นเพราะฮองเฮาทรงดีกับนางต่างหาก ฮองเฮาอ่อนโยนพระทัยดี ผ่อนปรนให้กับความคิดเองเออเองของนาง ชื่นชมในความฉลาดคมคายของนาง นานวันเข้ากระไอดุร้ายบนตัวเหนียวเหนี่ยวย่อมสลายหายไป ผู้อื่นใจกว้างกับนาง นางย่อมจะปฏิบัติกับคนรอบข้างอย่างใจกว้างเช่นกัน”

เฉิงสื่อรู้ความในใจของภรรยา จึงถอนใจกล่าว “อย่าคิดมากไปเลย เหนียวเหนี่ยวถูกอัธยาศัยกับฮองเฮาได้ ถือเป็นโชควาสนาของนาง”

หัวใจของเซียวฮูหยินกระจ่างแจ้งดั่งคันฉ่อง ทว่าเรื่องบางเรื่อง…ล่วงผ่านไปแล้วก็คือล่วงผ่านไปแล้ว

วันรุ่งขึ้นเฉิงเซ่าซางนอนจนตะวันส่องบั้นท้ายจริงๆ เสียด้วย ครั้นคืบคลานออกจากผ้าห่มอันอบอุ่นมาอย่างพึงพอใจ นางก็ล้างหน้าหวีผมแต่งตัวเรียบร้อย อาจู้อดถามไม่ได้ “ตั้งโมงยามนี้แล้ว เหตุใดคุณหนูไม่กินอาหารกลางวันที่จวนค่อยเข้าวังเล่าเจ้าคะ”

เฉิงเซ่าซางเดินมุ่งไปเบื้องนอกพลางยิ้มตอบ “ข้าช่วยทางบ้านประหยัดเสบียงอย่างไรเล่า”

ใครจะรู้อาเหมยตัวน้อยที่อยู่อีกด้านกลับเปิดโปงเฉิงเซ่าซาง “พี่เฉี่ยวกั่วบอกข้าหมดแล้ว วันนี้ตำหนักฉางชิวมีเนื้อกวางย่างเกลือ คุณหนูอยากกินมาช้านาน ยังกำชับพ่อครัวเก็บไว้ให้ด้วยหลายๆ ชิ้น ตกเย็นจะนำกลับมาให้ทุกคนได้ลิ้มลอง”

เฉิงเซ่าซางทำหน้าผีทะเล้นใส่อาเหมย “เด็กจอมคาบข่าว กล้าเผยความลับข้ารึ ระวังเนื้อกวางจะไม่มีส่วนของเจ้า!”

เฉิงเซ่าซางออกไปท่ามกลางเสียงหัวเราะของสาวใช้ที่ดังก้องลาน เมื่ออยู่ในรถม้า นางยังไม่ลืมที่จะตำหนิเฉี่ยวกั่ว “ข้าอุตส่าห์นึกว่าเจ้าซื่อสัตย์ปิดปากสนิท เจ้าบอกอาเหมย ไม่เท่ากับบอกอาจู้? บอกอาจู้ ไม่เท่ากับบอกท่านแม่ข้า? ท่านแม่รู้แล้ว ท่านพ่อมีหรือจะไม่รีบมาหัวเราะเยาะว่าข้าตะกละ!”

เฉี่ยวกั่วตอบด้วยความละอาย “ล้วนเป็นเพราะบ่าวไม่ดีเอง ค่ำเมื่อวานบ่าวบอกพ่อครัวเรือนหน้าว่าวันนี้คุณหนูจะนำเนื้อกวางที่สดใหม่กลับมาบ้าน ตอนที่ถามเขาว่าปรุงเป็นหรือไม่ ก็ถูกอาเหมยได้ยินเข้าเจ้าค่ะ”

เหลียนฝางเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ความจริงก็ไม่ต่างกันนั่นล่ะ พ่อครัวรู้แล้ว ชิงชงฮูหยินก็ต้องรู้ เช่นนั้นนายหญิงย่อมจะรู้ได้อยู่ดี” ความหมายคือไม่ว่าอย่างไรเฉิงเซ่าซางก็หนีไม่พ้นหรอก

ขณะที่นายบ่าวสามคนกำลังสนทนา รถม้าแล่นตัดผ่านตลาด เฉิงเซ่าซางรู้สึกว่าวันนี้ข้างนอกอึกทึกผิดธรรมดา ไม่รู้กำลังเอะอะมะเทิ่งอันใดกัน ในใจนางรู้สึกไม่สู้ดี จึงสั่งบ่าวชายไปสืบดู ปรากฏว่าสถานการณ์ที่ถามได้มาถึงกับทำให้นางตระหนกจนหน้าถอดสี

“…ชาวบ้านกำลังถกกันเอง…ว่าองค์รัชทายาทเป็นผู้สังหารคุณชายในบ้านผู้ว่าการเหลียงขอรับ!”

เฉิงเซ่าซางแตกตื่นยิ่งยวด ไม่กล้าชักช้าอีก รีบให้รถม้าแล่นสู่วังหลวงในทันที ครั้นลงรถม้าที่ประตูซั่งซีและวิ่งเร็วรี่ตลอดทางจนถึงตำหนักฉางชิวแล้ว นางค่อยพบว่าตั้งแต่ขันทีระดับกลางที่เฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนัก ไปจนถึงนางกำนัลที่กวาดถูอยู่รายทางล้วนมีสีหน้าประหวั่นระแวดระวัง กลัวแต่ว่าจะสะกิดให้เคราะห์ภัยลามมาถึงตัว

ไจ๋เอ่าตรงมาต้อนรับ บอกนางเสียงเบาว่ารัชทายาทอยู่ด้านในถูกฮ่องเต้ต่อว่าต่อขานอยู่ ตนไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะรับ ย่างเท้าเข้าตำหนักไปอย่างระมัดระวัง เดินมุ่งสู่ด้านในไปตามทางระเบียงตำหนัก กระทั่งพบเห็นเฉินอันจือเฝ้าอยู่หน้าประตูโถงชั้นใน จึงประสานมือทำท่าขอร้องมิให้เขาทูลแจ้ง เฉินอันจือก็ยิ้มขื่นพยักหน้า

เสียงฮ่องเต้ก่นด่าด้วยโทสะถ่ายทอดออกจากโถงชั้นในมาเป็นระลอก เฉิงเซ่าซางได้ยินรางๆ ว่า “เลอะเลือนไร้หัวคิด” “ทำตามอำเภอใจ” “โง่เง่าถึงขีดสุด” เป็นต้น ตลอดมานางเคารพรัชทายาทยิ่งนัก รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีอุปนิสัยอันซื่อตรงไม่ปรุงแต่ง จิตใจดีงามสงสารผู้ตกทุกข์ได้ยาก พบเห็นความอยุติธรรมหาญกล้าเข้าช่วย…กระนั้นนางกลับถอยออกมาเงียบๆ

“เจ้าจะไม่เข้าไปพูดจาน่าฟังแทนรัชทายาทสักสองประโยคหรือ” สุ้มเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังโดยไม่ให้ตั้งตัว เฉิงเซ่าซางหวิดจะกรีดร้องออกมา

นางหันหลังขวับ ออกแรงตีหลิงปู้อี๋ก่อนลดเสียงเอ่ย “ข้าเสียสติหรือไร ปกติไม่มีเหตุฝ่าบาทยังทรงเทศนาข้า ขืนเข้าไปตอนนี้ ข้าได้ไปแล้วไปลับน่ะสิ!”

เห็นเด็กสาวตื่นกลัวจนดวงหน้าเล็กเครียดเกร็ง หลิงปู้อี๋ก็พานางออกไปจนถึงโถงปีกเพื่อให้นางกินอาหารกลางวัน เขาวางเนื้อกวางที่อวบอิ่มที่สุดชามนั้นลงตรงหน้านาง มองนางด้วยแววตารักใคร่ใจดีดุจให้กำลังใจลูกแมวเลียดื่มนมวัว ครั้นเฉิงเซ่าซางถามว่าที่แท้เกิดเรื่องราวใด หลิงปู้อี๋ก็บัญชาให้นางกินไปฟังไป จากนั้นค่อยเล่าความโดยละเอียด…

บ่ายเมื่อวานรัชทายาทไปสารภาพกับฮ่องเต้เรื่องที่ตนลอบพบปะกับชวีหลิงจวิน มุ่งหวังจะใช้เรื่องนี้ล้างมลทินแทนนาง ผลคือถูกฮ่องเต้ด่ากราดแสกหน้าไปหนึ่งยก แล้วสั่งห้ามรัชทายาทเคลื่อนไหวโดยพลการ พระองค์ที่เป็นบิดาจะคิดอ่านให้เอง ใครจะรู้รัชทายาทกังวลว่าเรื่องราวยิ่งลากยาว ความทุกข์ยากที่ชวีหลิงจวินได้รับก็จะยิ่งมาก เกิดนางปลงไม่ตกคิดสั้นขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร ดังนั้นเขาจึงไปบอกความจริงกับจี้จุนถึงกรมอาญาเอง ว่ากันว่าตอนนั้นผู้เฒ่าจี้โกรธจนใบหน้าสลับสีฉูดฉาด ถลึงตาใส่รัชทายาทซึ่งหน้าหลายหนอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ก่อนไปแจ้งสกุลเหลียงด้วยตนเองภายใต้การร้องขอซ้ำแล้วซ้ำเล่าของรัชทายาท

เหลียงเอ่าย่อมเต้นผาง แผดด่าเสียงกร้าวว่าชวีหลิงจวินไม่รักษาจรรยาสตรี เคียดแค้นจนแทบจะถลกหนังลูกสะใภ้ออกมา แต่ผู้ว่าการเหลียงไม่สนใจไยดีอารมณ์ของเหลียงเอ่า ตรงไปประกาศต่อผู้อาวุโสคนสำคัญในตระกูลหลายท่าน…ใจความคือไม่ว่าฆาตกรเป็นใคร แต่สรุปว่าไม่ใช่ชวีหลิงจวิน อีกทั้งเรื่องนี้สมควรจะยุติแต่เพียงเท่านี้ ไม่เหมาะจะสืบสาวต่อไปอีก มาถึงตรงนี้ทุกคนต่างพรูลมหายใจอย่างโล่งอก เพราะหากชวีหลิงจวินทนถูกทำทารุณไม่ไหวจนฆ่าสามี และท้ายที่สุดชดใช้ด้วยชีวิตจริงๆ เช่นนั้นเหลียงกับชวีสองสกุลจะต้องเป็นอริกันอีกคราแน่ อย่าว่าแต่ทุกคนเชื่อมั่นในความประพฤติที่ผ่านมาของชวีหลิงจวิน ไม่เชื่อว่ารัชทายาทกับนางมีสัมพันธ์ส่วนตัว แต่ต่อให้มีแล้วอย่างไรเล่า ในครอบครัวใหญ่ตระกูลสูงศักดิ์มีเรื่องที่พูดให้ชัดเจนไม่ได้ออกถมเถไป

เมื่อมาถึงขั้นนี้ ศพของเหลียงซั่งก็บรรจุโลงได้เสียที สมควรทำความสะอาดเพื่อเตรียมส่งศพในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เนื่องจากแผลที่คร่าชีวิตเหลียงซั่งเด่นชัดเหลือเกิน ทำให้จี้จุนที่รอบคอบมาร้อยครั้งพลาดพลั้งไปหนึ่งครา ที่ผ่านมาถึงกับไม่ได้ตรวจสอบศพ ถัดจากนั้นเรื่องราวจึงได้ย่ำแย่

“ในปากของเหลียงซั่งอมเครื่องประดับหยกรูปจักจั่นอยู่ชิ้นหนึ่ง บนนั้นสลักอักษรสองตัวว่า ‘จื่อคุน’ ” หลิงปู้อี๋เอ่ยเรียบๆ

เฉิงเซ่าซางรู้ว่านี่เป็นชื่อรองของรัชทายาท “เข้าใจผิดใช่หรือไม่ อาจมีคนปลอมแปลงก็ได้ สลักอักษรไม่ยากสักหน่อย”

“ตอนนั้นใต้เท้าจี้ยังอยู่ในจวนสกุลเหลียง กำลังกินอาหารเย็นกับใต้เท้าผู้ว่าการ เขาเป็นผู้ที่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทในวังบ่อยครั้ง ย่อมจำแนกออกว่านั่นคือหยกที่รัชทายาทห้อยประดับเป็นประจำ” หลิงปู้อี๋ตอบสบายๆ

“ความจริงไม่กี่วันก่อนใต้เท้าจี้ยังเห็นข้างเอวรัชทายาทห้อยจักจั่นหยกชิ้นนี้อยู่เลย อีกอย่าง…คลายมวยผมของเหลียงซั่งออกแล้ว ในเรือนผมก็มีดอกกุ้ยที่เล็กจ้อยแทรกปนอยู่จำนวนหนึ่ง…กินต่อ อย่าหยุดสิ…มิผิด ดอกกุ้ยนั้นก็คือดอกกุ้ยสีม่วง” หลิงปู้อี๋กล่าวต่อจนจบ

นั่นก็คือผลผลิตเฉพาะในคฤหาสน์ดอกกุ้ยม่วงของรัชทายาทแห่งนั้น…ดอกกุ้ยสีม่วงที่มีเพียงหนึ่งเดียวทั่วทั้งเมืองหลวง!

“ยังมีอีกหรือไม่” เฉิงเซ่าซางถามอย่างไม่มีอะไรจะเสียแล้ว

“ย่อมมีอีก” หลิงปู้อี๋ตอบเรียบๆ “ใต้เท้าจี้แม้สูงวัย สมองกลับไม่เชื่องช้า เขาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ไปตรวจดูหีบที่ใช้ส่งตำราโบราณใบนั้นทันที”

“หีบใบนั้นมีอะไรหรือ” เฉิงเซ่าซางเอ่ยด้วยความฉงน “ข้าจำได้ว่ามันว่างเปล่านี่นา อ๊ะ ไม่ถูกสิ ข้างในยังมีหนังสือไม้ไผ่อยู่สองสามม้วน ด้านข้างก็มีกระจัดกระจายอยู่อีกหลายม้วน”

“ใต้เท้าจี้ฉวยหนังสือไม้ไผ่ที่เหลืออยู่ในหีบออกมาทั้งหมด เลิกผ้าชุบน้ำมันที่รองก้นหีบอยู่ออก ค้นพบว่าผนังหีบไม่เพียงมีคราบเลือด ยังมีดอกกุ้ยสีม่วงหลายดอก”

“เบาะแสช่างเป็นระเบียบเรียบร้อยนัก” เฉิงเซ่าซางยิ้มเยาะพลางฟาดตะเกียบลง นางแทบฉุกคิดได้ทันทีถึงสิ่งที่คนจวนสกุลเหลียงคาดเดาในใจเมื่อคืน…ชวีหลิงจวินหมายลักลอบพบปะรัชทายาท ทว่าถูกเหลียงซั่งจับได้ แล้วสะกดรอยนางไปตลอดทางจนถึงคฤหาสน์ดอกกุ้ยม่วง ครั้นเปิดโปงเรื่องของภรรยากับรัชทายาท เหลียงซั่งที่เข้าวิวาทด้วยโทสะก็ถูกฆ่าตาย ถัดจากนั้นรัชทายาทหมายอำพรางเรื่องนี้จึงให้ใช้หีบตำราลำเลียงศพของเหลียงซั่งกลับมายังเรือนตำรา ชวีหลิงจวินค่อยแสร้งทำเป็นพบศพ สุดท้ายรัชทายาทออกหน้าเป็นพยานเพื่อให้ชวีหลิงจวินพ้นผิด

“แล้วเรื่องบานปลายใหญ่โตเพียงนี้ได้อย่างไร ผู้คนวิจารณ์กันแทบจะทุกตรอกถนนแล้ว!” เฉิงเซ่าซางเอ่ยอย่างหัวเสีย “คนสกุลเหลียงไม่รู้จักเป็นตายเยี่ยงนี้เชียวหรือ อย่าว่าแต่เรื่องราวยังไม่ชัดแจ้ง ต่อให้รัชทายาทผิดจริงๆ พวกเขาก็เปิดเผยเรื่องนี้ออกมาไม่ได้!”

“แน่นอนว่าคนฉลาดจะไม่ทำเรื่องเยี่ยงนี้ ทว่า…สกุลเหลียงยังมีตัวโง่งมอยู่ผู้หนึ่งไม่ใช่หรือไร” หลิงปู้อี๋ถากถาง “หญิงชราสกุลเหลียงผู้นั้นเจ็บแค้นอยู่ในใจ เชื่อมั่นว่าผู้ว่าการเหลียงกับใต้เท้าจี้ล้วนเจตนาจะปกป้องรัชทายาทกับชวีหลิงจวิน เมื่อคืนนางจึงแสร้งเป็นลม วันนี้พอเช้านางก็ให้คนสนิทลอบออกจากจวนสกุลเหลียง ฟ้องคดีต่อผู้ว่าการเมืองหลวงอย่างเอิกเกริก”

เฉิงเซ่าซางโกรธจนแน่นหน้าอก มองไปทางหลิงปู้อี๋ “เรื่องบานปลายถึงขั้นนี้แล้ว ไฉนท่านยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

หลิงปู้อี๋ยิ้มเย็น “รู้เสียทีว่าฝ่ายตรงข้ามหมายออกกระบวนท่าใด นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ หาไม่ก็ต้องคอยพะวงอยู่ตลอด ไม่รู้ที่ใด ไม่รู้เมื่อไร ไม่รู้ใครจะเล่นงานฝ่ายเรา”

ร่างอันสูงเพรียวของเขายืนขึ้นอย่างสง่างาม ย่างก้าวเนิบช้าอยู่ภายในห้อง “เบาะแสสายนี้ดูคล้ายร้อยเรียงเป็นระเบียบ แต่ใช่ว่าไร้ช่องโหว่ให้โจมตี จะจักจั่นหยกก็ดี ดอกกุ้ยม่วงก็ดี ล้วนใช้ปรักปรำได้ทั้งสิ้น แต่ไรมารัชทายาทเป็นคนสบายๆ ไม่ยึดติดเรื่องหยุมหยิม เมื่อแรกกระทั่งตราประทับของตำหนักบูรพายังเคยทำหายไป นับประสาอะไรกับเครื่องประดับเล็กน้อยเท่านี้

ทว่ารัชทายาทผู้จิตใจดีซื่อตรงของพวกเราอุตส่าห์ยอมรับเสียเองว่าเคยพบปะกับชวีหลิงจวินที่คฤหาสน์ดอกกุ้ยม่วง เรื่องนี้จึงยุ่งเหยิงอยู่บ้าง กระนั้นต่อให้เหลียงซั่งบุกไปเปิดโปงรัชทายาทกับชวีหลิงจวินจริง การสะสางศพคนผู้หนึ่งก็ง่ายดายยิ่ง ฮึ ไยต้องเปลืองแรงทำยุ่งยาก เรียกว่ายิ่งปกปิดยิ่งเผยพิรุธชัดๆ!

เรื่องนี้แม้มีช่องโหว่อีกมาก แต่ตราบใดที่ความจริงยังไม่กระจ่าง หากฝ่าบาททรงฝืนปิดคดี ชั่วชีวิตรัชทายาทก็ยากจะหนีพ้นคำนินทากับการมองด้วยหางตา ข้าว่าคนในมุมมืดผู้นั้นดูเหมือนไม่มีเจตนาจะตอกตรึงข้อหาฆ่าคนชิงภรรยานี้ไว้บนศีรษะของรัชทายาทหรอก เพียงคิดจับปลาตอนน้ำขุ่น ทำลายเกียรติภูมิของรัชทายาทเพื่อหวังผลในอนาคต”

มาจนถึงตอนนี้ คดีฆ่าสามีซึ่งเดิมทีดูคล้ายธรรมดาทั่วไปจึงค่อยฉีกเปิดผ้าคลุมที่มันปิดซ่อนอย่างระมัดระวังออกช้าๆ เผยโฉมหน้าแท้จริงอันมากเล่ห์ชวนพรั่นพรึงต่อหน้าเฉิงเซ่าซาง กลไกทุกห่วงโซ่ร้อยรัด ทุกจุดที่หักเหล้วนสอดรับกับจุดอ่อนของจิตใจคน เมื่อคิดว่าตั้งแต่ต้นจนจบมีคนลอบจับตาตำหนักฉางชิวดุจเขี้ยวโง้งที่มีโลหิตหยาดหยดแผ่ไอยะเยือกชวนสะพรึง ชั่ววูบหนึ่งเฉิงเซ่าซางก็ถึงกับสั่นสะท้านทั้งที่ไร้ลมหนาว

หลิงปู้อี๋รอคอยจนทางฮ่องเต้ด่าทอไปพอสมควรแล้ว ค่อยเดินกลับโถงชั้นในไปสะสาง ‘สนามรบ’ และแวะรับ ‘เชลยศึก’ ผู้หนึ่ง

ฮองเฮาล้มป่วยอีกคราแล้ว ไม่รู้เป็นเพราะโกรธเคืองหรือเสียใจ นางไม่ได้เอ่ยถึงกับเฉิงเซ่าซางแม้ประโยคเดียว ยังคงคลี่ยิ้มน้อยๆ บอกให้เด็กสาวนำเนื้อกวางกลับบ้านไปเร็วหน่อย หากพ่อครัวสกุลเฉิงปรุงเนื้อกวางไม่เป็น ก็ให้เรียกพ่อครัวตำหนักฉางชิวไปจวนสกุลเฉิงสักเที่ยว

เฉิงเซ่าซางออกจากห้องบรรทมมาอย่างเงียบงัน แลเห็นรัชทายาทกำลังนั่งเหม่ออยู่ใต้ทางระเบียงนอกห้อง ดวงหน้าของเขาใต้แสงตะวันรอนคล้ายชราภาพลงห้าหกปีในชั่ววันเดียว ดูไร้ที่พึ่งเป็นอย่างยิ่ง เขาสัมผัสได้ว่าด้านหลังมีคนมา จึงเอ่ยถามเสียงเบา “เสด็จแม่ทรงสบายดีหรือไม่”

“ฮองเฮาเสวยพระโอสถและเข้าบรรทมแล้วเพคะ”

“ข้างนอกมีคนพูดว่าข้าประพฤติต่ำทรามไร้คุณธรรม ความจริงวาจานี้ไม่ผิดเลย ดีที่สุดควรเพิ่มอีกประโยคด้วยว่าข้ามีตาหามีแววไม่ เมื่อแรกข้ามองชายาของตนผิดไป จึงทำร้ายให้หลิงจวินต้องออกเรือนไปกับคนชั่วช้า บัดนี้ข้าอยากช่วยหลิงจวินสักครั้ง กลับผลักให้นางตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าเดิม หึๆ ข้านี่ช่างเป็นว่าที่ประมุขแผ่นดิน…ที่หาดีไม่ได้เลยจริงๆ” รัชทายาทเยาะหยันตนเอง

“รัชทายาทเพคะ ทรงรู้สึกว่าชวีฮูหยินไม่ได้ฆ่าเหลียงซั่งจริงๆ หรือ” เฉิงเซ่าซางไม่ปลอบโยนอีกฝ่าย ตรงข้ามยังตั้งคำถามอันแหลมคม “เมื่อแรกทรงมองพระชายาผิดไป บัดนี้จะมองชวีฮูหยินผิดไปเช่นกันหรือไม่ ความจริงระหว่างทางนางอาจวางแผนสังหารสามีตนเอง แล้วซ่อนศพไว้ในหีบตำรา รอจนพบปะกับพระองค์เสร็จค่อยลำเลียงศพกลับเรือนตำราของสกุลเหลียง”

รัชทายาทตะลึงไปวูบหนึ่งก่อนยิ้มกล่าว “แล้วสาเหตุที่นางทำเช่นนี้เล่า ดึงข้าเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้มีผลดีอันใดต่อนาง มีผลดีอันใดต่อเหลียงกับชวีสองสกุล”

“ทูลรัชทายาท หม่อมฉันไม่เข้าใจเรื่องการปกครอง เหลียงกับชวีสองสกุลจะไม่มีความคิดให้ร้ายพระองค์แน่หรือเพคะ” เฉิงเซ่าซางถามต่อ

รัชทายาทหลุดหัวเราะ “ข้าแม้โง่เขลาสายตามืดบอด แต่ก็มิได้ไม่รู้ความจนถึงขั้นนี้ ตระกูลขุนนางเก่าแก่อย่างเหลียงกับชวีสองสกุล ต่อให้อยากให้ร้ายข้าเพียงใดก็จะไม่ลงสนามด้วยตนเองเด็ดขาด”

เฉิงเซ่าซางพึมพำ “หม่อมฉันก็คิดเช่นเดียวกัน ตอนนี้สกุลเหลียงชุลมุนดุจโจ๊กเดือดหนึ่งหม้อ ชื่อเสียงย่อยยับ มีหรือจะสละตัวลืมความเป็นตายมาให้ร้ายผู้อื่น ซ้ำไม่แน่ว่าจะโจมตีจุดตายของผู้อื่นได้ในคราวเดียว นี่ไม่เท่ากับทำร้ายศัตรูแปดร้อยบ่อนทำลายตนเองหนึ่งพันหรือ อย่างวงศ์ตระกูลของหม่อมฉันที่เพิ่งจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมายี่สิบสามสิบปี ท่านพ่อยังหักใจเอาชื่อเสียงวงศ์ตระกูลมาเสี่ยงไม่ได้ นับประสาอะไรกับสกุลเหลียงสกุลชวีเล่า”

“เซ่าซางคิดจะพูดอันใดกันแน่” รัชทายาทถามด้วยความฉงน

เฉิงเซ่าซางดึงสติคืนมายิ้มตอบ “ก่อนหน้านี้ใต้เท้าหลิงเคยบอกหม่อมฉัน ชวีฮูหยินเป็นผู้มีสติปัญญาเสมอมา หากอยากสังหารเหลียงซั่งจริงๆ ย่อมมีวิธีอยู่ถมเถ นางจะไม่ทำให้ตนเองตกอยู่ในภาวะอับจนเยี่ยงนี้เด็ดขาด ประกอบกับถ้อยคำเมื่อครู่ของรัชทายาท หม่อมฉันคิดว่า…เหลียงซั่งต้องมิใช่ชวีฮูหยินเป็นผู้สังหารเพคะ”

“ข้อนี้แน่นอน”

“และเหลียงซั่งผู้นั้นก็คงจะไม่คิดสั้นเองด้วย?”

รัชทายาทหลุดหัวเราะอีกครา “นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า”

“เช่นนั้นก็ดีเพคะ”

เฉิงเซ่าซางนั่งลงข้างกายรัชทายาท สองตานางหมดจดบริสุทธิ์ดุจเด็กน้อยขณะเอ่ยด้วยสีหน้าอันจริงจัง “องค์รัชทายาท เมื่อสิบปีก่อนพระองค์อาจทำผิดไป ทว่าสิบปีให้หลังมิได้ทำผิด เมื่อรู้ว่าชวีฮูหยินถูกทำทารุณ หากพระองค์มัวพะวงชื่อเสียงจนไม่ไยดีไถ่ถาม นั่นต่างหากจะทำให้ผู้คนผิดหวังปวดใจ แต่ไรมามีก็แต่คนเป็นโจรได้พันปี หามีใครป้องกันโจรได้พันปีไม่* มีคนลอบเล่นงานพระองค์อยู่ หากทรงกลัวนั่นกลัวนี่เสียจนนั่นไม่กล้านี่ก็ไม่กล้า เช่นนั้นมีชีวิตอยู่จะน่าเบื่อถึงเพียงใด

ทว่า…มีเรื่องหนนี้เป็นเครื่องเตือนใจแล้ว ต่อไปทรงต้องหารือกับใต้เท้าหลิงก่อนค่อยกระทำการดีหรือไม่ เหลียงซั่งเป็นเศษสวะ ตัวบัดซบ สารเลว เรื่องที่เขาข่มเหงชวีฮูหยิน พระองค์ไม่สะดวกจะออกหน้าเองก็ไหว้วานใต้เท้าหลิงได้นี่เพคะ ใต้เท้าหลิงมีวิธีหนึ่งร้อยแปดสิบแบบเป็นอย่างน้อยที่จะจัดการอีกฝ่าย ทรงว่าใช่หรือไม่เล่า”

รัชทายาทได้รับแรงกระตุ้นจากน้ำเสียงอันแรงกล้าของแม่นางน้อย พาให้เผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “ข้าจำไว้แล้ว ต่อไปจะหารือกับจื่อเซิ่งแน่นอน เพียงแต่…เซ่าซางพูดเหมือนตอนนี้เรื่องราวยุติลงแล้วอย่างนั้นล่ะ”

เฉิงเซ่าซางยืนขึ้นยืดไหล่ผึ่งผาย ตอบอย่างหนักแน่น “วางพระทัยได้เพคะ ในเมื่อชวีฮูหยินเป็นผู้บริสุทธิ์ ฆาตกรตัวจริงก็ต้องเป็นผู้อื่น ใต้ผืนฟ้าไม่มีป่าใดที่ไร้แสงเล็ดลอด บนผืนดินไม่มีแม่น้ำใดที่ไร้หยดน้ำรั่วไหล ไม่ใช่การค้นหาท่ามกลางทะเลมนุษย์อันไพศาล ไร้ร่องรอยให้สืบเสาะเสียหน่อย แค่จวนสกุลเหลียงแห่งเดียว พลิกค้นมันทุกซอกทุกมุม ย่อมจะพบพิรุธจนได้!

รัชทายาทกับชวีฮูหยินล้วนเป็นคนดี ไม่มีเหตุผลที่คนดีจะต้องกล้ำกลืนฝืนทน ส่วนคนถ่อยกลับกระหยิ่มได้ใจ อย่าได้ทรงกังวลว่าบัดนี้เกียรติภูมิตกต่ำ ขอเพียงฆาตกรตัวจริงถูกจับกุม เรื่องราวกระจ่างแจ้งแล้ว ความบริสุทธิ์ย่อมจะกลับคืนแก่พระองค์เอง”

รัชทายาทคิด…นางเปี่ยมด้วยพลังชีวิต ต่างจากสิ่งมีชีวิตอันอ่อนแอซีดเซียวที่เติบโตมาในวังอันลึกล้ำนี้โดยสิ้นเชิง นางเฉกเถาวัลย์ป่าอันแกร่งเหนียว ต่อให้ไม่มีกิ่งไม้ให้เลื้อยพัน ก็สามารถกระหวัดเป็นเกลียวหยัดยืนขึ้น แตกกิ่งก้านชูรับแสงตะวันได้ด้วยตนเอง

เขายินดีแทนหลิงปู้อี๋จากใจจริง

 

* ‘มีก็แต่คนเป็นโจรได้พันปี หามีใครป้องกันโจรได้พันปีไม่’ หมายถึงกำลังของมนุษย์ย่อมมีขีดจำกัด การป้องกันตัวในเวลายาวนาน ไม่ว่าใครก็ต้องพลาดพลั้งเข้าสักวัน

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 มี.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: