บทที่ 3
ระหว่างทางมุ่งหน้าไปหอทิงอวี่ ไป๋หมินหมิ่นชื่นชมว่าไฉนเผยซื่อถึงได้วางตัวดีเช่นนี้อยู่พักหนึ่ง ต่อมาก็บ่นอิดออดว่าหลังจากพี่สะใภ้คนใหม่มาช่วยดูแลเรื่องต่างๆ ในจวนก็ได้กำหนดกฎระเบียบยิบย่อยมากมาย แล้วก็บ่นว่าชีวิตของนางยากลำบากเพียงใด
หมิงถานเอาแต่คิดอยากจะสืบถามเรื่องสำคัญจากไป๋หมินหมิ่น ทว่าในวันเทศกาลซั่งหยวนนี้ บนถนนหนทางมีรถม้าขวักไขว่จอแจ เสียงดังเอะอะมะเทิ่งยิ่ง ไม่สะดวกจะพูดคุยสักเท่าไร นางจึงจำต้องอดทนข่มกลั้นเอาไว้ รอให้ถึงหอทิงอวี่แล้วค่อยสอบถามอย่างละเอียด
หอทิงอวี่เป็นโรงน้ำชาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง น้ำชาอาหารว่างเอร็ดอร่อย ทัศนียภาพริมน้ำยิ่งเป็นเลิศ
ทุกคราเมื่อล่วงเข้าปลายสารทต้นวสันต์ ยามสายฝนพร่างพรมโปรยปราย บนลำน้ำมีหมอกปกคลุมบางๆ ผิวน้ำกว้างไกลสุดสายตา เมื่อได้เอนร่างพิงราวรั้วฟังเสียงฝนพรำ นับเป็นภาพทิวทัศน์ที่ได้รับความนิยมชมชอบจากเหล่าบัณฑิตปัญญาชนในเมืองหลวงเป็นอย่างมาก
นอกจากนั้นในเทศกาลซั่งหยวนของแต่ละปีเรือหลวงจะจุดดอกไม้ไฟเหนือแม่น้ำเสี่ยนเจียง สองฝั่งริมแม่น้ำเสี่ยนเจียงเองก็สว่างไสวเจิดจ้าไปด้วยโคมไฟนานาชนิดราวกับมีการเชิดโคมไฟมัจฉามังกรแหวกว่ายเริงระบำตลอดทั้งราตรี
หอทิงอวี่อยู่ในตำแหน่งดีเลิศ เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการนั่งชมความยิ่งใหญ่อลังการของดอกไม้ไฟอันสวยสดโชติช่วง ต่อให้เป็นผู้สูงศักดิ์หรือขุนนางคนใดก็ต้องจองล่วงหน้าหลายเดือนถึงจะมีหวังได้ห้องพิเศษริมน้ำในคืนเทศกาลซั่งหยวนนี้
ห้องพิเศษที่ไป๋หมินหมิ่นจองไว้อยู่บนชั้นสาม พื้นที่ไม่ได้กว้างใหญ่มาก แต่กลับประดับประดาตกแต่งได้อย่างประณีตงดงาม ตำแหน่งในการชมทิวทัศน์ก็ถือว่าดีเยี่ยม แต่ถ้าจะพูดถึงตำแหน่งที่ดีที่สุดก็ต้องเป็นห้องอุ่นที่อยู่ตรงกลางข้างๆ ห้องของพวกนาง
ยามเด็กรับใช้นำทางไป๋หมินหมิ่นกับหมิงถานเดินขึ้นมาชั้นบน ภายในห้องอุ่นที่อยู่ตรงกลางนั้นได้มีคนสี่คนนั่งล้อมรอบโต๊ะ กำลังดื่มสุราพลางสนทนาสัพเพเหระอยู่ก่อนแล้ว
บุรุษที่นั่งอยู่ใกล้ประตูแต่งตัวงดงามหรูหรา ทั่วทั้งร่างล้วนมิใช่ของธรรมดาสามัญ แน่นอนว่าสิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดก็คือหยกขาวมันแพะ* ที่สลักคำว่า ‘จาง’ ซึ่งอยู่ตรงข้างเอวของเขาชิ้นนั้น
‘จาง’ คือแซ่ตระกูลเดิมของฮองเฮา คนที่พอจะรู้เรื่องของตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงต่างก็รู้ดีว่าผู้ที่ครอบครองหยกชิ้นนี้มีเพียงแต่ ‘จางไหวอวี้’ น้องชายร่วมอุทรของฮองเฮาองค์ปัจจุบันเท่านั้น
ยามนี้จางไหวอวี้นั่งอยู่ข้างโต๊ะด้วยท่าทางสบายๆ มือจับจอกสุราเล่นพลางเอียงกายเข้าไปหาบุรุษชุดดำที่อยู่ข้างๆ พร้อมกับเอ่ยเย้าเล่นว่า “ท่านอ๋อง เรื่องวุ่นวายที่งานเลี้ยงในตำหนักฉางหมิงคราวนี้มิใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะ ท่านทำร้ายน้ำใจของคุณหนูเขา ได้ยินว่านางร้องไห้สะอึกสะอื้นไปตลอดทางที่ออกจากวังเชียว”
บุรุษชุดดำไม่แม้แต่จะเปิดเปลือกตาขึ้น แต่กลับเป็นลู่ถิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำลึก “บุตรสาวของกู้จิ้นจง?”
‘กู้จิ้นจง’ ก็คือนามของเฉิงเอินโหว
จางไหวอวี้เลิกคิ้ว พยักหน้าเล็กน้อย
นัยน์ตาของลู่ถิงปรากฏแววดุดันผ่านวูบหนึ่ง “ประเดี๋ยวยังมีเรื่องให้นางต้องร้องไห้สะอึกสะอื้นอีก” ครั้นแล้วก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมดทันที
เมื่อเทียบกับการแต่งตัวฉูดฉาดหรูหราของจางไหวอวี้และกระไอดุดันที่แผ่ซ่านของลู่ถิงแล้ว ซูจิ่งหรานในชุดผ้าดิ้นปักลายเมฆาสีขาวนวลกลับดูมีความสุภาพภูมิฐานราวกับชายหนุ่มรูปงามผู้สูงส่งท่ามกลางโลกหล้าอันโกลาหลวุ่นวายมากกว่า
ซูจิ่งหรานหมุนแหวนน้าว** ในมือไปมา ต่อมาก็ส่ายศีรษะพลางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “จริงๆ แล้วการฉีกหน้าผู้อื่นเป็นเรื่องเล็ก เพียงแต่พฤติกรรมเช่นนี้ เกรงว่าไม่ถึงวันพรุ่งนี้ข่าวลือที่ว่าติ้งเป่ยอ๋องโอหังวางโตไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาคงจะแพร่กระจายไปทั่วทุกซอกตรอกให้ทุกคนล่วงรู้กันหมด พอถึงตอนนั้นหากอยากจะหาคู่ครองดีๆ ขึ้นมา เกรงว่าคุณหนูในเมืองหลวงคง…”
วาจานี้ยังไม่ทันสิ้น ด้านนอกก็มีเสียง ‘แอ๊ด’ ดังขึ้นเบาๆ เสียงแว่วๆ ของเด็กรับใช้ก็ดังตามขึ้นมาเช่นกันว่า “คุณหนูทั้งสองท่าน เชิญด้านในขอรับ”
ดูเหมือนจะมีคนเข้ามาที่ห้องพิเศษข้างๆ ซูจิ่งหรานหยุดคำพูด คนอื่นๆ เองก็นิ่งเงียบไม่ส่งเสียงออกมาอีกอย่างรู้กัน
“อาถาน รีบนั่งสิ ข้าได้บอกให้พวกเขาเตรียมชากับอาหารว่างเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว มีแต่ของที่เจ้าชอบกินทั้งนั้นเลย อ้อ จริงสิ เมื่อครู่นี้พูดถึงเรื่องใดแล้วนะ”
ไป๋หมินหมิ่นเป็นคนช่างพูด นางพูดมาตลอดทางไม่ยอมหยุด พูดตั้งแต่เรื่องน่ากลัดกลุ้มในจวนตนเองยาวรวดไปจนถึงเรื่องงานเลี้ยงในอุทยานยงหยวน
“งานเลี้ยง ใช่ เรื่องงานเลี้ยงในวัง สาวใช้ในจวนพวกเจ้านี่ก็ปากเปราะจริงๆ เสิ่นฮว่าน่ะหรือจะไต่เต้าเข้าจวนติ้งเป่ยอ๋องได้ ถึงเสิ่นอวี้พี่ชายของนางจะได้รับความไว้วางใจจากติ้งเป่ยอ๋อง แต่ก็ไม่ใช่ไว้ใจผู้ใต้บังคับบัญชาแล้วจะแต่งน้องสาวของผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าจวนเป็นชายาได้กระมัง ขนาดกู้จิ่วโหรวยังถูกฉีกหน้ากลางงานเลย พูดถึงเรื่องนี้แล้ว กู้จิ่วโหรวนี่ก็ช่างกล้าจริงๆ ฮ่องเต้กับฮองเฮาก็ประทับอยู่ด้วย ไม่เพียงกล้าพูดโพล่งชื่นชมออกมา ยังจะบรรเลงเพลงต่อหน้าทุกคนอีก คิดอย่างไรของนางกันแน่”
“กู้จิ่วโหรวทำตัวใจกล้าบ้าบิ่นไปหน่อยก็จริง แต่ติ้งเป่ยอ๋องผู้นั้นก็ออกจะอวดดีไร้มารยาทเกินไปเหมือนกัน” ยามอยู่กับไป๋หมินหมิ่น หมิงถานมักจะทำตัวผ่อนคลายสบายใจ กอปรกับมีลวี่เอ้อเฝ้าระวังอยู่ข้างนอก นางเอามือเท้าแก้ม เอ่ยต่อว่าต่อขานอย่างไม่มีความระแวดระวัง “พวกดีแต่ใช้กำลังล้วนแต่โอหังหยาบกระด้าง ข้าว่าเขาคงจะไม่ใช่คนจิตใจดีอันใดหรอก”
“…” จางไหวอวี้ ลู่ถิง และซูจิ่งหรานไร้คำพูดเอื้อนเอ่ยโดยพร้อมเพรียงกัน
‘คนดีแต่ใช้กำลังโอหังหยาบกระด้าง’ เองก็ชะงักนิ่งไปเช่นกัน
หมิงถานไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย นางจิบชาหนึ่งอึกอย่างสง่างาม ในที่สุดก็นึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “จริงสิ สองวันมานี้เจ้าสืบรู้บ้างหรือไม่ว่าท่านลุงคิดจะทำอย่างไรต่อ”
ไป๋หมินหมิ่นเอาแต่รู้สึกว่าตนเองเหมือนกับลืมเรื่องสำคัญอันใดบางอย่างไป ยามนี้หมิงถานเอ่ยถามขึ้นเองนางถึงนึกขึ้นมาได้ “อ๊ะ ยังไม่มีเลย วันนั้นเจ้าเองก็เห็นแล้ว ท่าทางของท่านพ่อข้าอย่างกับอยากจะถือมีดไปฟันคนที่จวนลิ่งกั๋วกงใจแทบขาด แต่เพราะถูกอาจารย์โจวโน้มน้าวเอาไว้ หลายวันมานี้จึงเก็บอารมณ์เอาไว้ได้ ข้าคิดว่าคงอยากจะรอบิดาเจ้ากลับมาเมืองหลวงก่อนค่อยปรึกษาหารือกัน”
หมิงถานได้ยินดังนั้นคิ้วงามก็ขมวดมุ่นน้อยๆ
ที่หมิงถานรู้เรื่องสกปรกโสมมของคู่หมั้นนางได้ก็เพราะเมื่อหลายวันก่อนนางไปคารวะญาติผู้ใหญ่ที่จวนชางกั๋วกง ต่อมาถูกไป๋หมินหมิ่นลากไปแอบหยิบนิยายในห้องหนังสือ
เดิมทีหานิยายเจอแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าตอนกำลังจะแอบหนีออกไป ไป๋จิ้งหยวนซึ่งเป็นท่านลุงของหมิงถานกับอาจารย์โจวซึ่งเป็นที่ปรึกษากลับเดินเข้ามาในห้องหนังสือพร้อมกัน พอเข้าประตูมาก็ระเบิดโทสะอย่างรุนแรง ขว้างปาจานรองหมึกชั้นดีทันที ซ้ำยังด่าทอบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของจวนลิ่งกั๋วกงพร้อมกันอย่างสาดเสียเทเสีย ไม่ให้โอกาสพวกนางได้ปฏิเสธไม่รับฟังเลยสักนิด
‘ภรรยาเอกยังไม่ทันแต่งเข้าจวนก็แอบได้เสียกับญาติผู้น้องซ้ำยังมีบุตรนอกสมรสด้วยกันอีก เรื่องโสโครกโสมมพรรค์นี้มีแต่สกุลเหลียงของพวกเขาเท่านั้นกระมังที่ทำได้! เจ้าเด็กสารเลวนั่นแค่เลื่อนฐานะขึ้นมาได้หน่อยก็คิดว่าตนเองเป็นเชื้อพระวงศ์จริงๆ แล้วอย่างนั้นหรือ ถ้าไม่ใช่เพราะการหมั้นหมายนี้กำหนดเอาไว้นานแล้ว ลำพังความทุเรศเหลวแหลกของพวกเขาต่อให้รอไปถึงแปดรุ่นก็ไม่คู่ควรกับอาถานหรอก! เขาคิดว่าจวนจิ้งอันโหวหรือจวนชางกั๋วกงตายกันหมดจวนแล้วหรือไร มีอย่างนี้ที่ไหนกัน!’
ตอนนั้นหมิงถานกับไป๋หมินหมิ่นต่างก็ตกใจจนตะลึงงันไป หลบซ่อนอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับเขยื้อนอยู่พักใหญ่
พอค่อยๆ ได้สติกลับคืนมาแล้ว ไป๋จิ้งหยวนกับอาจารย์โจวก็ออกไปจากห้องหนังสือราวกับสายลมพัดโหม
จริงๆ แล้วในตอนนั้นพอเริ่มรู้ตัว ไป๋หมินหมิ่นก็โมโหจนจะปรี่ออกไปหาไป๋จิ้งหยวนบิดาของนาง ให้เขาไปที่จวนลิ่งกั๋วกงเพื่อทวงความยุติธรรมให้หมิงถานทันที
แต่ก็เหมือนดั่งที่อาจารย์โจวโน้มน้าว เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่ดีไม่งามสักเท่าไร โวยวายใหญ่โตไปก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย นอกจากนั้นบิดาของหมิงถานก็อยู่ระหว่างทางกลับมารายงานสถานการณ์ที่เมืองหลวงแล้ว หากบ้านฝ่ายลุงออกหน้าโดยพลการอาจจะถูกครหาว่าทำเกินขอบเขตได้
ก่อนหน้านี้ลืมเรื่องนี้ไปชั่วขณะเลยไม่ได้รู้สึกอันใด แต่ยามนี้พอคิดขึ้นมา ไป๋หมินหมิ่นก็ยังโกรธแค้นยากจะทน
นางกินขนมไปสามชิ้นติดๆ กัน ด่าทอต่อว่าจวนลิ่งกั๋วกงเหมือนกับบิดานาง จากนั้นก็ตบโต๊ะเอ่ยรับปากกับหมิงถานว่า “เรื่องนี้เป็นความผิดสกุลเหลียงของเขาทั้งสิ้น ความประพฤติต่ำทรามเช่นนี้ไหนเลยจะเอามาเป็นคู่ครองของเจ้าได้! อาถาน เจ้าไม่ต้องกังวลไป มีท่านพ่อข้าอยู่ทั้งคน อย่างไรก็ต้องถอนหมั้นครั้งนี้ให้จงได้!”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าคนผู้นี้เอามาเป็นคู่ครองไม่ได้ แต่ว่าเรื่องถอนหมั้น…”
หมิงถานไม่ได้เอ่ยต่อไป ทว่าไป๋หมินหมิ่นกับคนที่อยู่ห้องข้างๆ ต่างก็เข้าใจดีว่าโลกนี้โหดร้ายทารุณกับสตรียิ่งนัก ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด หากถอนหมั้นก็จะต้องทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างแน่นอน
หมิงถานชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่านึกอันใดอยู่ จู่ๆ นางก็เท้าคางแล้วขยับเข้าไปใกล้ๆ ไป๋หมินหมิ่นเอ่ยถามหยั่งเชิงว่า “หมินหมิ่น เจ้าว่าพอถึงตอนนั้นถ้าถอนหมั้นแล้ว…ข้าควรจะแสดงออกเช่นไรดีถึงจะดูเป็นผู้บริสุทธิ์หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี”
“บริสุทธิ์หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี?”
ไป๋หมินหมิ่นวางขนมในมือลง ซ้ำยังตั้งอกตั้งใจย้อนนึกจริงๆ
“ข้าจำได้ว่าตอนคุณหนูห้าสกุลหลี่ถูกถอนหมั้น นางไปหั่นผมประชดที่บ้านคู่หมั้นด้วยตนเอง ยังมีคุณหนูสามสกุลฟางที่อยู่ทางตะวันออกของเมือง คู่หมั้นของนางไถ่ตัวสตรีจากหอโคมเขียวผู้หนึ่งกลับมาก่อนจะถึงวันแต่งงาน เหตุผลเพราะนางผู้นั้นตั้งครรภ์ ซ้ำยังจะรับนางเข้าจวนตามขนบการแต่งอนุภรรยาสุจริตชน* อีกด้วย คุณหนูสามสกุลฟางทราบเรื่องนี้เข้า จึงใช้ผ้าขาวผูกกับขื่อห้อง แขวนคอฆ่าตัวตาย”
“ไม่ต้องหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้ก็ได้”
“พรืด…แค่กๆ!” พอฟังมาถึงตรงนี้จางไหวอวี้ก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ พ่นสุราออกจากปาก มิหนำซ้ำยังสำลักจนไอออกมา
แต่เขายังไม่ทันได้พักหายใจหายคอ ภาพตรงหน้าก็พลันไหววูบ หลังจากนั้นก็รู้สึกชาวาบตรงคอขึ้นมา ลำคอติดขัด อยากจะอ้าปากพูดแต่กลับไม่มีเสียงใดเปล่งออกมา
จุดใบ้!
แม้ว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่จะเป็นวรยุทธ์กันทั้งสิ้น แต่ผู้ที่สามารถลงมือได้อย่างแนบเนียนเช่นนี้ นอกจากเทพสงครามผู้ทำให้ชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือเพียงได้ยินชื่อก็อกสั่นขวัญหายซึ่งอยู่ข้างๆ เขา…ติ้งเป่ยอ๋องเจียงซวี่แล้ว ก็ไม่มีความเป็นไปได้อื่นอีก
จางไหวอวี้เบิกตาถลน หยิบพัดจีบขึ้นมาชี้ใส่เจียงซวี่ สีหน้าเต็มไปด้วยอาการตัดพ้อต่อว่า
เจียงซวี่กลับไม่หลบไม่หลีก เพียงแค่เปิดเปลือกตาขึ้น จ้องมองเขาอย่างเงียบๆ เท่านั้น
ในดวงตาคู่นั้นราวกับเป็นน้ำลึก ไร้ระลอกคลื่น ดำสนิทและเย็นเยียบ จางไหวอวี้เองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงได้รู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างไม่มีสาเหตุ เพียงชั่วพริบตาต่อมาจึงวางพัดจีบลงอย่างขลาดๆ
โคมไฟริมสองฝั่งแม่น้ำนอกหน้าต่างส่องสะท้อนลงบนผิวแม่น้ำ ประกายคลื่นแวววาวระยิบระยับ ห้องอุ่นกลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง มีเพียงพู่ระย้าบนพัดจีบที่อยู่บนโต๊ะขยับไหวเบาๆ ผ่านแสงเทียน
“หมินหมิ่น เมื่อครู่เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่” หมิงถานถามขึ้นอย่างเคลือบแคลงสงสัย
“เสียง? เสียงอะไรหรือ” ไป๋หมินหมิ่นมีสีหน้างงงวย
หมิงถานกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วส่ายศีรษะพลางเอ่ย “เหมือนจะมีคนไอ ข้าคงจะฟังผิดไป”
จริงๆ แล้วหอทิงอวี่ถือว่าให้ความสำคัญกับการกั้นเสียงยิ่ง แต่เพราะห้องอุ่นข้างๆ มีแต่ผู้ฝึกวรยุทธ์ จึงย่อมได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากข้างนอกได้ทั้งหมด หากมิใช่เพราะคืนนี้เปิดหน้าต่างชมทิวทัศน์ ด้วยความสามารถในการได้ยินของหมิงถานแล้ว คงจะไม่ได้ยินเสียงแม้แต่นิดเดียว
อาจเป็นเพราะในใจเกิดความหวาดระแวง แล้วก็อาจเพราะได้พูดเรื่องสำคัญไปหมดแล้ว บทสนทนาที่ทั้งสองพูดคุยกันหลังจากนั้นจึงมีแต่หัวข้อทั่วไปของเหล่าหญิงสาว ไม่มีเรื่องอันใดสลักสำคัญ
ยามซวี* ตรง เรือหลวงลอยหยุดอยู่กลางแม่น้ำเสี่ยนเจียงเพื่อเตรียมจุดดอกไม้ไฟ
ไป๋หมินหมิ่นเฝ้ารอตรงริมหน้าต่างอยู่นานแล้ว หมิงถานเองก็ปลดเปลื้องความสงบเสงี่ยมภูมิฐานที่ต้องคอยระมัดระวังอยู่ตลอดเวลายามอยู่ข้างนอกลง นางยกชายกระโปรงย่ำขึ้นไปบนขั้นบันไดเล็กๆ ริมหน้าต่าง มือทั้งสองข้างเกาะขอบหน้าต่างไว้ ยื่นศีรษะออกไปข้างนอกอย่างอดไม่อยู่
คืนเทศกาลซั่งหยวนของเมืองหลวงมักจะคึกคักครื้นเครงสว่างรุ่งโรจน์โชติช่วง เหมือนอย่างคำโบราณว่า ‘ศาสตร์พิลึกกลอัศจรรย์ ละครร้องรำหลายหลาก มากมายละลานตา’
ริมสองฝั่งของแม่น้ำเสี่ยนเจียง โคมไฟจุดสว่างไสวตลอดทั้งราตรี ราษฎรจับกลุ่มรวมตัวกันรอดูดอกไม้ไฟ ตรงท่าน้ำยังมีโคมน้ำขอพรลอยออกมาดวงแล้วดวงเล่า เมื่อทอดมองออกไปจากที่ไกลๆ ช่างเป็นภาพที่คึกคักมีสีสันยิ่ง
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของราษฎร ในที่สุดดอกไม้ไฟของเรือหลวงก็ลอยขึ้นฟ้าทีละลูกๆ บนฝั่งก็มีจวนของคหบดีร่ำรวยจุดดอกไม้ไฟร่วมด้วยเช่นเดียวกัน ทันใดนั้นท้องนภายามราตรีก็ดูเหมือนถูกแสงสีเจิดจ้าสดใสนี้ส่องสว่างราวกับเป็นเวลากลางวัน
หมิงถานกับไป๋หมินหมิ่นถือกำเนิดจากตระกูลสูงศักดิ์ พบเจอของดีๆ มาไม่น้อย แต่อย่างไรพวกนางก็เป็นเด็กสาวที่ยังเยาว์วัยใสซื่อ ยามนี้จึงต่างกลั้นลมหายใจจดจ้อง ไม่ยอมกะพริบตาแม้แต่แวบเดียว
“งดงามจริงๆ” หมิงถานเท้าคางพลางมองไปยังท้องนภายามรัตติกาล อุทานออกมาเสียงแผ่วเบา
ไป๋หมินหมิ่นพยักหน้า เอ่ยด้วยความสุขสำราญว่า “ข้าชอบอันที่เป็นรูปกระต่ายเมื่อครู่นี้ที่สุดเลย น่ารักยิ่ง!”
“ข้าชอบดอกไม้ไฟสีทองที่โปรยปรายลงมาเป็นระยะๆ พวกนั้น เสียงแผ่วๆ เบาๆ เสนาะหูเหลือเกิน เหมือนกับ… รีบดูเร็วเข้า มาอีกแล้ว!”
สุ้มเสียงนุ่มนวลแฝงความลิงโลดของเด็กสาวไม่เพียงแต่ดึงดูดให้สหายหันไปมองอย่างตั้งอกตั้งใจ ยังดึงดูดให้คนหลายคนที่อยู่ในห้องอุ่นข้างๆ มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้ตัวเช่นกัน
เจียงซวี่มิได้ขยับกาย เขายังคงรินสุราดื่มเองอยู่เหมือนเดิม ทว่าตำแหน่งของเขาอยู่ตรงข้ามกับหน้าต่างพอดี เมื่อเงยหน้าขึ้น สายพิรุณสีทองที่ดุจดังภาพฝันมายาท่ามกลางม่านราตรีก็ถูกกักเก็บเข้าสู่ในดวงตาของเขาจนหมดสิ้นพอดิบพอดี
แม้ดอกไม้ไฟสุดแสนงามล้ำปานใด แต่ก็เกิดขึ้นเพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ไม่นานท้องนภายามราตรีก็กลับคืนสู่ความสงบเงียบ หมิงถานยืนอยู่ริมหน้าต่าง เนิ่นนานก็ยังไม่ได้สติคืนกลับมา ซ้ำยังดูทุกข์ระทมอย่างไม่มีสาเหตุอีกด้วย
โชคดีที่ยามนี้ยังไม่ถือว่าดึกมาก ไป๋หมินหมิ่นอยากจะไปเดินเที่ยวที่ถนนริมน้ำหนานอวี้ จึงยุให้หมิงถานไปด้วยกันอย่างสุดความสามารถ
ความเศร้าสร้อยของหมิงถานพลันถูกภาพการแห่รถบุปผา โคมไฟมากมายหลากสีสันที่ไป๋หมินหมิ่นพรรณนาให้ฟังขับไล่จนหายเกลี้ยงไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้หมิงถานไม่เคยเดินเที่ยวถนนริมน้ำหนานอวี้ในคืนเทศกาลซั่งหยวนมาก่อน ถนนสายยาวริมแม่น้ำเส้นนี้ครื้นเครงรื่นเริงไม่ธรรมดา ทั้งยังมีผู้คนหลากประเภทปะปนกันไป ช่วงเทศกาลซั่งหยวนในแต่ละปีมักจะมีหญิงสาวหรือเด็กน้อยเกิดเรื่องในแถบนี้เป็นประจำ ดังนั้นตระกูลผู้สูงศักดิ์จึงต่างห้ามไม่ให้บุตรสาวของตนเองเหยียบย่างมาที่นี่
หญิงสาวทั้งสองใช้ผ้าโปร่งปกปิดใบหน้าอย่างระมัดระวัง ยามลงจากรถม้าเบื้องหน้าก็มีแสงจากโคมไฟสว่างไสวโชติช่วง เสียงดังจ้อกแจ้กจอแจ รื่นเริงคึกคักจนทำให้หมิงถานเผลอมองเหม่อไปชั่วขณะ
ไป๋หมินหมิ่นแอบแวะมาที่นี่ติดต่อกันหลายปี จึงไม่ได้รู้สึกอัศจรรย์ใจแต่อย่างใด นางมองไปรอบๆ ไม่รู้ว่าพบเห็นสิ่งใดกัน อยู่ๆ ก็อุทานออกมาหนึ่งเสียง “เอ๊ะ?”
“มีอันใดหรือ” หมิงถานเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ข้าดูเหมือนจะเห็นคุณชายรองสกุลซูเข้า” ไป๋หมินหมิ่นจ้องมองออกไปข้างหน้า สีหน้าดูสนใจใคร่รู้เล็กน้อย
คุณชายรองสกุลซูเป็นบุตรชายของอัครเสนาบดีฝ่ายขวา บุคลิกสูงส่งสง่างาม มีความรู้ความสามารถโดดเด่น สตรีในเมืองหลวงที่ชมชอบเขามีอยู่ไม่น้อย
ได้ยินว่าการสอบขุนนางช่วงฤดูใบไม้ผลิเขาก็เข้าร่วมสอบด้วย ชาวบ้านร้านตลาดต่างก็พูดกันว่าด้วยรูปโฉมและความสามารถอย่างคุณชายรองสกุลซูคงจะเป็นตัวเต็งตำแหน่งทั่นฮวา* ของการสอบในปีนี้แน่ๆ
หมิงถานเองก็เคยพบเห็นเขาอยู่ไกลๆ ในงานเลี้ยงของสกุลซู เขาถือว่าเป็นคุณชายสูงศักดิ์นุ่มนวลผู้มีความสามารถอนาคตยาวไกลคนหนึ่งจริงๆ ถ้านางไม่ได้มีการหมั้นหมายแย่ๆ กับจวนลิ่งกั๋วกงอยู่ คิดว่าเจรจาเรื่องการแต่งงานกับคนสกุลซูก็ไม่เลวเช่นกัน จะว่าไปไม่ช้าก็เร็วนางย่อมต้องถอนหมั้นอยู่แล้ว นางก็ควรเริ่มครุ่นคิดเรื่องมองหาคู่ครองดีๆ ใหม่เอาไว้ล่วงหน้าได้แล้วกระมัง
หมิงถานกำลังครุ่นคิดอย่างใจลอย ไป๋หมินหมิ่นก็เอ่ยด้วยความตื่นตะลึงขึ้นอีกครั้ง “ข้าไม่ได้ดูผิดจริงๆ ด้วย อาถาน เจ้าดูสิ นั่นรองผู้บัญชาการลู่มิใช่หรือ รองผู้บัญชาการลู่อยู่ที่นี่ คนที่มากับเขาต้องเป็นคุณชายรองสกุลซูแน่ๆ!”
หมิงถานหันมองไปตามสายตาของไป๋หมินหมิ่น บุรุษที่พกกระบี่ตรงหน้ารูปร่างสูงใหญ่ มีรอยแผลเป็นที่ไม่ลึกไม่ตื้นจากหน้าผากด้านซ้ายไปจนถึงหางตา คนผู้นี้ก็คือลู่ถิง รองผู้บัญชาการทหารองครักษ์หลวงที่ขึ้นชื่อในเรื่องความโหดเหี้ยมดุดัน
ลู่ถิง ซูจิ่งหรานและจางไหวอวี้ทั้งสามคนเป็นสหายรักกัน ทุกคนต่างก็รู้กันทั่ว หมิงถานยังไม่ทันเห็นซูจิ่งหรานที่มากับลู่ถิงชัดเต็มตา ไป๋หมินหมิ่นก็ลากนางเดินมุ่งหน้าออกไปตามหาคนอย่างอดใจรอไม่ไหว
“เอ๋…คุณหนู!” บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลังเพิ่งรู้สึกตัว จึงรีบเร่งไล่ตามไป
หญิงสาวทั้งสองฝีเท้ารวดเร็วยิ่ง ทว่าบนถนนผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาแน่นขนัด ครั้นพวกนางคลาดสายตาไปเพียงแวบเดียว คนที่เดิมทียังอยู่ตรงนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อไม่ได้เห็นชายหนุ่มรูปงามในระยะประชิด ไป๋หมินหมิ่นก็รู้สึกเสียดายนิดๆ อย่างอดไม่ได้ แต่เพราะนางเป็นคนชอบเล่นสนุกสนาน เพียงไม่นานก็ถูกร้านค้าแผงลอยต่างๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำดึงดูดความสนใจไป
ประเดี๋ยวก็ซื้อขนมเข่ง ประเดี๋ยวก็ซื้อเกาลัดคั่ว สิ่งของที่ซื้อมาก็หิ้วพะรุงพะรังอยู่ในมือ ยังทำท่าจะเลิกผ้าปิดหน้า ทั้งหมิงถานยังยัดอาหารที่ซื้อมาใส่ปากนางอีกด้วย
แต่ไหนแต่ไรมาหมิงถานก็พิถีพิถันในเรื่องอาหารการกินและการแต่งกายยิ่งยวด ขนมข้างทางเหล่านี้นางไม่กล้ากลืนลงท้องจริงๆ เจ้ายัดข้าก็หลบ ทั้งสองหัวเราะเล่นกันอย่างสนุกสนาน ครื้นเครงรื่นเริงเป็นอย่างมาก
“เป็นอย่างไรบ้าง ถนนริมน้ำหนานอวี้สนุกกว่าอารามหลวงต้าเซี่ยงกั๋วอันใดนั่นอีกใช่หรือไม่เล่า” หลังจากลอยโคมน้ำเสร็จ ไป๋หมินหมิ่นก็เรียกขอความดีความชอบจากหมิงถานอย่างลำพองใจ
ขณะที่หมิงถานกำลังจะส่งเสียงตอบ ทันใดนั้นก็มีคนโบกพัดจีบอยู่ด้านหน้า ตะโกนร้องเรียก “น้องถาน!”
หมิงถานนึกว่าตนเองหูแว่วไปชั่วขณะ
ทว่าคนผู้นั้นกลับเดินตรงมาหาอย่างรวดเร็ว ใช้การเคลื่อนไหวพิสูจน์ว่านางมิได้หูแว่วไปเอง
“น้องถาน ส่วนผู้นี้คือ…น้องหมิ่น?”
ผู้มาใหม่รูปโฉมหล่อเหลางดงาม สวมใส่ชุดคลุมผ้าแพรสีขาวหยกซึ่งปักเย็บลวดลายอย่างงดงามประณีต เกล้าผมด้วยมาลาทองคำ ท่าทางดั่งคุณชายสูงศักดิ์ทุกประการ
หลังจากไป๋หมินหมิ่นเห็นชัดว่าผู้ที่ร้องเรียกเป็นใครนางก็อยากจะเดินเข้าไปเตะเขาสักครั้งนัก นางเอ่ยอย่างกระฟัดกระเฟียดว่า “ใครน้องเจ้า!”
จวนลิ่งกั๋วกงหมั้นหมายกับจวนจิ้งอันโหว ทว่าไม่ค่อยมีการไปมาหาสู่กับจวนชางกั๋วกงสักเท่าไรนัก ไป๋หมินหมิ่นจึงไม่ยอมรับ เนื่องจากคำว่า ‘น้องหมิ่น’ ออกจะดูสนิทสนมมากเกินไป ผู้มาใหม่ไม่ต่อล้อต่อเถียง รีบโค้งกายประสานมือคารวะ เป็นการแสดงการขออภัยที่เสียมารยาท
ไป๋หมินหมิ่นรู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเปิดโปงเรื่องราวให้แตกหักกัน กระนั้นนางก็มิอาจหายโมโหได้ ทั้งยังคิดจะทิ่มแทงผู้มาใหม่ด้วยวาจาสักเล็กน้อย
แต่หมิงถานกลับดึงตัวไป๋หมินหมิ่นไว้ จากนั้นก็พยายามให้ตนเองรักษาท่าทีสงบเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ซื่อจื่อ ท่านจำข้าได้อย่างไรกัน”
เขาหัวเราะเบาๆ โบกพัดจีบพลางเอ่ยเสียงละมุน “น้องถานเจิดจรัสดุจไข่มุกเปล่งประกาย แม้จะมีผ้าโปร่งบางปิดคลุมใบหน้าอยู่ก็ไม่อาจบดบังรัศมีได้”
หมิงถานไม่แสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า ทว่าในใจกลับอยากจะตบอีกฝ่ายสักฉาดใหญ่ ให้เขาพูดภาษาคนให้รู้เรื่อง
จะว่าไปก็แปลก ในอดีตนางมองว่าคู่หมั้นอย่างเหลียงจื่อเซวียนผู้นี้ดูนุ่มนวลมีมารยาทมากล้นด้วยความสามารถ แม้บุคลิกจะเป็นรองคุณชายรองสกุลซูอยู่เล็กน้อย แต่ก็เป็นตัวเลือกสามีที่เยี่ยมยอดอย่างหาตัวจับได้ยาก
แต่ตอนนี้พอมาดูอีกครั้ง นางรู้สึกแค่เพียงว่าหลายปีก่อนหน้านี้ดวงตาของตนเองคงถูกเอาไปสับเปลี่ยนกับคนตาบอดเป็นแน่ อากาศหนาวเหน็บปานนี้ยังจะโบกพัดหาอะไรกัน! คำพูดคำจาก็แสนกรุ้มกริ่มไร้มารยาท! ช่างน่าสะอิดสะเอียน! เจ้าคนเสแสร้งจอมปลอม!
อาจเป็นเพราะรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่ผิดปกติของหมิงถาน เหลียงจื่อเซวียนจึงแย้มยิ้มพร้อมกับอธิบายว่า “จริงๆ แล้วเพราะข้าเห็นปิ่นลายดอกเหมยจ้าวสุ่ย* บนศีรษะของน้องถานต่างหาก ดูเหมือนน้องถานจะชื่นชอบปิ่นปักผมอันนี้ยิ่ง”
หมิงถานมิได้เอ่ยคุยตอบ
เหลียงจื่อเซวียนชะงักนิ่งไปเล็กน้อย ครั้นแล้วก็เอ่ยพูดเองเออเองต่อไปเพื่อกลบเกลื่อนความกระอักกระอ่วน
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ไม่ว่าวันนี้เขาจะพูดอะไร หมิงถานก็นิ่งเฉยไม่ตอบสนอง คุณหนูสกุลไป๋ผู้นั้นยิ่งใช้สายตาทิ่มแทงเขาเป็นพักๆ
หรือว่าเรื่องนั้น…
ไม่ เป็นไปไม่ได้ เรื่องนั้นเก็บงำเอาไว้อย่างมิดชิดรัดกุมมาตลอด สกุลหมิงกับสกุลไป๋จะล่วงรู้ได้อย่างไร
ถ้าหากรู้เข้า ด้วยนิสัยรักพวกพ้องวงศ์ตระกูล ซ้ำยังเป็นคนหุนหันพลันแล่นของชางกั๋วกง เขาจะยอมอยู่เงียบๆ ไม่มาหาเรื่องที่จวนลิ่งกั๋วกงได้อย่างไร
พอคิดถึงตรงนี้เหลียงจื่อเซวียนก็สงบใจลงเล็กน้อย ทว่าเขาเองก็เพิ่งจะตระหนักได้เหมือนกันว่าเรื่องที่มารดากำชับนักกำชับหนาก่อนหน้านี้นั้นสำคัญเพียงใด
เขาชอบคนอ่อนโยนบอบบางอย่างญาติผู้น้อง แต่ก็เห็นหมิงถานเป็นภรรยาที่ยังมิได้แต่งเข้าจวนตลอดมา นอกจากนั้นสกุลหมิงและสกุลไป๋ที่อยู่เบื้องหลังหมิงถานก็จะเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อเส้นทางขุนนางของเขาในอนาคต การแต่งงานครั้งนี้จะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้เป็นอันขาด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ความเมินเฉยโดยคิดว่า ‘ไยต้องทำถึงเพียงนี้’ ยามพูดคุยกับมารดาก็ถูกสลัดทิ้งออกไปในที่สุด เขาพลิกหลังมืออย่างแยบยล เคาะพัดจีบลงบนข้อมือเบาๆ ในขณะเดียวกันนั้นก็หาเรื่องอื่นมาพูดคุยราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น ยังคงสนทนากับหมิงถานฝ่ายเดียวต่อไป
หมิงถานกำลังรอลวี่เอ้อกับองครักษ์มาตามหา จะได้มีข้ออ้างสลัดให้พ้นจากการเกาะแกะรบเร้าของเหลียงจื่อเซวียนแล้วกลับจวนเสียที รอผ่านไปครู่ใหญ่จนในที่สุดนางก็เหลือบเห็นเงาร่างของลวี่เอ้อ จู่ๆ ก็พลันเกิดความวุ่นวายในกลุ่มฝูงชนจากที่ไกลๆ
“จับขโมยที!”
“คนข้างหน้านั่น! อย่าหนีนะ!”
หมิงถานหันมองไปตามเสียง นางยังไม่ทันเห็นชัดเต็มสองตาก็มีเงาร่างสองร่างวิ่งตะบึงจากในฝูงชนที่เกิดเหตุมาทางท่าน้ำ หมิงถานยังไม่ทันมีอาการตอบสนองก็รู้สึกว่ามีแรงผลักสายหนึ่งจู่โจมเข้าใส่…
“อาถาน!”
“คุณหนู!”
“ตูม!” เสียงที่ตามขึ้นหลังเสียงหวีดร้องของไป๋หมินหมิ่นกับลวี่เอ้อที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลคือเสียงตกน้ำอย่างไม่มีสัญญาณบอกกล่าวล่วงหน้า!
เหลียงจื่อเซวียนตอบสนองเร็วยิ่งยวด “น้องถาน!” เขาตะโกนเรียก แล้วก็ถอดชุดตัวนอกออกหมายจะไปช่วยคนด้วยสีหน้าร้อนรนกระวนกระวาย
ลวี่เอ้อเดินตรงเข้ามา ครั้นเห็นว่าเป็นท่านเขยในอนาคต นางก็ราวกับเจอฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายในขณะที่กำลังเสียขวัญ รีบร้อนพยักหน้าพลางเอ่ยเร่งเร้า “ซื่อจื่อ รีบช่วยคุณหนูของข้าด้วยเจ้าค่ะ!”
ไป๋หมินหมิ่นดึงตัวเหลียงจื่อเซวียนเอาไว้โดยพลัน ตะโกนใส่อย่างร้อนรนใจ “ห้ามไป!”
ต่อให้นางชอบเที่ยวชอบเล่นสนุกเพียงใด แต่นางก็มีฐานะเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่โต ไม่มีใครรู้ดีไปกว่านางว่าหากเหลียงจื่อเซวียนลงไปช่วย ชีวิตที่เหลือของหมิงถานก็คงจบสิ้นเป็นแน่แท้!
“เจ้าอยากเห็นนางตายหรือไร!” เหลียงจื่อเซวียนซักถาม ต่อมาก็สะบัดไป๋หมินหมิ่นออกอย่างไม่สนใจสิ่งใด
“ตูม!” เสียงตกน้ำดังขึ้นอีกครั้ง
เชิงอรรถ
* หยกขาวมันแพะ เป็นหยกสีขาวขุ่นเหมือนไขมันของแพะ เนื้อละเอียดไร้รอยตำหนิ เกลี้ยงเกลาและวาวแสง
** แหวนน้าว คือปลอกนิ้วสำหรับสวมนิ้วหัวแม่มือขณะยิงธนู มักทำจากหยกหรือกระดูกสัตว์ จึงใช้เป็นเครื่องประดับด้วย
* อนุภรรยาสุจริตชน หรือเหลียงเชี่ย เป็นอนุภรรยาที่มีชาติกำเนิดมาจากครอบครัวสุจริตชน มีการเขียนหนังสือแต่งอนุภรรยาเป็นลายลักษณ์อักษร ถือว่ามีฐานะไม่สามารถขายทิ้งได้ง่ายๆ
* ยามซวี คือช่วงเวลา 19.00 น. ถึง 21.00 น.
* ทั่นฮวา คือตำแหน่งของผู้ที่สอบเข้าเป็นขุนนางหน้าพระที่นั่งได้เป็นอันดับสาม อันดับหนึ่งคือตำแหน่งจ้วงหยวนหรือจอหงวน ส่วนอันดับสองคือตำแหน่งปั่งเหยี่ยน
* เหมยจ้าวสุ่ย เป็นชื่อพันธุ์หนึ่งของต้นเหมย ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Armeniaca mume var. pendula Sieb. มีลำต้นสูงใหญ่ขยายออกกว้าง กิ่งหนาแน่นและใบดก ใบค่อนข้างใหญ่หนา ดอกสีขาว มีห้ากลีบ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.