X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 108

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 108

วันนี้เฉิงเซ่าซางไม่กลับบ้านแล้ว นางส่งเฉี่ยวกั่วกลับไปแจ้งที่จวนสกุลเฉิงว่านางจะค้างแรมในตำหนักฉางชิว ให้คนทางบ้านไม่ต้องเป็นห่วง อย่างไรก็มีเครื่องนอนเบาะผ้าห่มครบครัน ทั้งมีไจ๋เอ่าคนช่างคุยเป็นเพื่อนอีกทั้งคน ตกค่ำแสงเทียนส่องโต๊ะหนังสือ นางเขียนข้อสงสัยทีละข้อลงบนแผ่นไม้อันเกลี้ยงเกลาแผ่นหนึ่ง เช้าวันรุ่งขึ้นเพิ่งกินอาหารเช้าเสร็จ ขันทีคนสนิทของรัชทายาทก็มาหานาง เชิญนางไปตำหนักบูรพาสักเที่ยว

เมื่อเดินไปถึงตำหนักบูรพา รัชทายาทกำลังสนทนาเสียงเบาอยู่ในลานกับหลิงปู้อี๋ เหลียงชิวฉี่ทางหนึ่งสั่งให้นางกำนัลพาเฉิงเซ่าซางไปยังโถงปีก อีกทางหนึ่งเบาเสียงเอ่ยกับเฉิงเซ่าซาง “นายน้อยบอกว่าพ่อบ้านคฤหาสน์ดอกกุ้ยม่วงมาถึงแล้ว คิดว่านายหญิงน้อยคงอยากพบสักหน่อย ต้องการสืบถามอันใดก็ถามได้อย่างเต็มที่ ประเดี๋ยวนายน้อยจะพาท่านออกจากวังไปสืบคดีขอรับ”

เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะรับ ครั้นติดตามนางกำนัลเดินเข้าสู่โถงปีก ก็เห็นชายารัชทายาทกำลังโอดครวญกับเจ้าหน้าที่สวมชุดแพรวัยสามสิบกว่าปีผู้หนึ่ง

“…ชวีหลิงจวินหญิงแพศยาที่สมควรตายนั่น ตนเองรนหาเรื่องตายก็ยังจะทำให้รัชทายาทพลอยเดือดร้อน ตอนนี้ข้างนอกโจษกันเซ็งแซ่ ข้าไม่มีหน้าจะออกไปพบผู้คนแล้ว! เถือเนื้อนางเป็นพันหมื่นชิ้นก็ยังไม่พอจะระบายแค้นในใจข้าเลยจริงๆ!”

เฉิงเซ่าซางไม่อาจทนฟังต่อ หนึ่งเท้าก้าวขวับเข้าไป แล้วเอ่ยเสียงดังทันที “สองวันไม่พบกัน พระชายาทรงสบายดีหรือไม่”

ตอนนี้ชายารัชทายาทหวาดกลัวเฉิงเซ่าซางอยู่บ้าง พอได้ยินเสียงนางจึงหดร่างอย่างห้ามไม่อยู่ ผิดกับบุรุษชุดแพรผู้นั้นที่โผงผางตะเบ็งเสียง “เจ้าเป็นเด็กไร้มารยาทจากที่ใด พบชายารัชทายาทแล้วไม่โขกศีรษะถวายคำนับ?!”

เฉิงเซ่าซางคารวะชายารัชทายาทอย่างลวกๆ ก่อนมองพิจารณาบุรุษผู้นี้ขึ้นลงรอบหนึ่ง “ท่านก็คือซุนเซิ่ง ญาติผู้พี่ของพระชายา และเป็นพ่อบ้านของคฤหาสน์ดอกกุ้ยม่วง?”

ซุนเซิ่งมองเฉิงเซ่าซางด้วยแววตาอันขุ่นเข้มพลางตอบอย่างลำพอง “ถูกต้อง! แม่นางน้อยหน้าตาไม่เลวเลยนี่…”

“พี่ชาย!” ชายารัชทายาทปรามอย่างเคร่งเครียด “ห้ามเสียมารยาท!” ญาติผู้พี่ของตนยังไม่เคยลิ้มรสขมจากเฉิงเซ่าซางผู้นี้

“เสียมารยาทอะไรกัน ก็เพราะปกติพระชายาใจดีเกินไป ผู้อื่นจึงรังแกได้ ทำให้พวกเราสกุลซุนต้องเก็บกลั้นอยู่เยี่ยงนี้! เป็นสกุลเดิมของชายารัชทายาทผู้สูงส่งแท้ๆ จนบัดนี้นอกจากบรรดาศักดิ์ลอยๆ สองตำแหน่งก็ควานหาอะไรไม่ได้สักอย่าง น่าอับอายขายหน้าสิ้นดี!” ซุนเซิ่งเอ่ยอย่างฉุนเฉียว

เฉิงเซ่าซางหัวเราะเยาะเบาๆ หนึ่งที “เคราะห์ดีไม่ได้แต่งตั้งตำแหน่งขุนนางอันใดให้คนสกุลซุนของท่าน คฤหาสน์แค่หลังเดียวยังดูแลให้ดีไม่ได้ ขืนแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางให้จริงๆ ไม่ก่อหายนะใหญ่โต เป็นภัยต่อชาวบ้านในพื้นที่ เดือดร้อนถึงชื่อเสียงขององค์รัชทายาทหรือไร!”

“เด็กต่ำช้าพูดว่าอะไรนะ!” ซุนเซิ่งหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง

“ข้าพูดว่าเคราะห์มาถึงศีรษะท่านแล้ว ยังไม่รู้จักความเป็นความตายอีก!”

ชายารัชทายาทรีบเอ่ย “คฤหาสน์ดอกกุ้ยม่วงแม้ญาติผู้พี่ข้าเป็นผู้ดูแล ทว่าในจรดนอกมีบ่าวมากปานนั้น พี่ข้ารอบคอบร้อยครั้งจะพลาดพลั้งสักคราก็มีกันได้ ทุกวันดอกกุ้ยม่วงหลายต้นนั้นมีดอกหล่นกระจายบนพื้นเยอะแยะ ไม่แน่ว่าบ่าวระดับล่างคนใดอาจขโมยเก็บไปกำหนึ่ง นี่สุดจะป้องกันได้”

เฉิงเซ่าซางเอ่ยกลั้วหัวเราะหยัน “ในคฤหาสน์ใช่ว่ามีดอกกุ้ยม่วงอยู่ทุกแห่งสักหน่อย! ไจ๋เอ่าเคยเล่าว่าเดิมที่นั่นชื่อคฤหาสน์จื่อกุย* ต่อมาริมทะเลสาบฝั่งตะวันออกมีต้นดอกกุ้ยม่วงซึ่งหาได้ยากยิ่งยวดเติบโตขึ้นมาเจ็ดแปดต้นจึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่ ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ความจริงทั่วคฤหาสน์มีเพียงบริเวณเดียวที่มีดอกกุ้ยม่วง อีกทั้งทุกวันมีผู้ได้รับมอบหมายไปดูแลโดยเฉพาะ เอาเถิด ต่อให้ใต้เท้าซุนรอบคอบร้อยครั้งก็มีพลาดพลั้งไปหนึ่งครา บัดนี้เรื่องเกิดขึ้นแล้ว ขอเรียนถามใต้เท้าซุน ท่านสืบพบหรือยังว่าผู้ใดขโมยดอกกุ้ยม่วงไป”

ซุนเซิ่งหน้าถมึงทึงขบกรามกรอด “เวลาฉุกละหุก ยังสืบไม่พบ”

“เช่นนั้นพักนี้ในคฤหาสน์มีบ่าวคนใดพลันร่ำรวยขึ้นมาหรือไม่”

“บ่าวในคฤหาสน์มีตั้งมากมาย ยังไม่ทันได้สอบสวนทีละคน”

“คฤหาสน์ดอกกุ้ยม่วงจัดเป็นเรือนสวนของราชวงศ์ บ่าวในนั้นปกครองแบบเดียวกับนางกำนัลขันที ไม่อาจออกไปข้างนอกโดยง่าย ช่วงไม่กี่วันนี้มีคนใดเคยไปจากคฤหาสน์บ้าง” ลักลอบเก็บดอกกุ้ยม่วง อย่างไรเสียก็ต้องส่งมอบของกระมัง

“ยังไม่อาจรู้ได้”

“ข้อนี้ไม่จำเป็นต้องสอบสวนทีละคนสักหน่อย พลิกดูบันทึกการเข้าออกคฤหาสน์ก็ได้แล้วมิใช่หรือไร เหตุใดจึงยังไม่รู้!”

ซุนเซิ่งถูกซักถามจนอับอายกลายเป็นโกรธ จึงตะคอกกลับไปว่า “เจ้าเลิกกดดันคุกคามกันเสียที! ข้าดูแลคฤหาสน์ดอกกุ้ยม่วงทั้งหมด ย่อมรู้จักขอบเขตอันควร เด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเยี่ยงเจ้าจะรู้อะไร! เรื่องนี้ต้องสืบอย่างค่อยเป็นค่อยไป…”

“เกรงว่าคงไม่ทันแล้ว” เสียงของหลิงปู้อี๋ดังมา จากนั้นเขากับรัชทายาทก็ก้าวตามกันเข้ามาในโถงปีก

คนทั้งหมดรีบถวายคำนับต่อรัชทายาท ซุนเซิ่งเผยสีหน้าร้อนตัว เอ่ยปนยิ้มประจบ “คือว่า…รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ ทรงเห็นว่าเรื่องนี้…”

รัชทายาทหน้าขรึม ไม่ยินดีจะแยแสอีกฝ่าย ซุนเซิ่งหันไปมองญาติผู้น้องเพื่อขอความช่วยเหลือ ชายารัชทายาทกลับมีสีหน้ากระอักกระอ่วน

หลิงปู้อี๋หันไปถามเฉิงเซ่าซาง “เจ้าถามความจบแล้ว?”

รอยรังเกียจรังงอนเกลื่อนใบหน้าเฉิงเซ่าซาง “ใต้เท้าซุนผู้นี้ถามอันใดไปก็ไม่รู้สักอย่าง แต่วางท่าเป็นเจ้าหน้าที่กลับไม่เบา”

หลิงปู้อี๋ผงกศีรษะรับ ก่อนสั่งการไปทางด้านนอก “องครักษ์ จับกุมซุนเซิ่ง อาฉี่ เจ้าจงคุมส่งไปด้วยตนเอง”

ลูกพี่ลูกน้องสกุลซุนทั้งสองตื่นตระหนกยิ่ง ซุนเซิ่งผวาจนทึ่มทื่อ ชายารัชทายาทเอ่ยเสียงสั่น “เจ้า…เจ้าจะทำอันใด ต่อให้ญาติผู้พี่ข้าบกพร่องเรื่องกวดขันบ่าวในคฤหาสน์ โทษก็ไม่ถึงขั้นนี้”

หลิงปู้อี๋คร้านจะพูดพร่ำ สืบเท้าขึ้นหน้าไปหิ้วคอเสื้อด้านหลังของซุนเซิ่ง ก่อนกล่าวอย่างเฉยเมย “บอกให้พระชายารู้ไว้ ดอกกุ้ยม่วงยังนับเป็นเรื่องเล็ก แต่จักจั่นหยกของรัชทายาทชิ้นนั้นเล่า รัชทายาทมิได้พบปะชวีหลิงจวินมาเนิ่นนาน ก่อนที่จะเดินไปพบนางจึงจัดแต่งอาภรณ์ด้วยตนเองอีกครั้ง ตอนนั้นรัชทายาทจำได้ชัดแจ้งว่าจักจั่นหยกยังห้อยอยู่ที่ข้างเอวเป็นปกติดี”

“นั่นอาจหล่นหายระหว่างทางขากลับ ยามขี่ม้า เครื่องประดับก็กระเทือนหล่นได้ง่ายอยู่แล้ว!” ชายารัชทายาทยังคงพูดอย่างดิ้นรน

หลิงปู้อี๋เหลือบมองซุนเซิ่งที่ออกอาการร้อนตัว ก่อนเอ่ยปนยิ้มหยัน “ภายหลังพบชวีหลิงจวิน รัชทายาทอารมณ์ไม่มั่นคง นั่งเหม่ออยู่ในคฤหาสน์เป็นนาน สุดท้ายสละม้า นั่งรถม้ากลับตำหนักบูรพา คฤหาสน์…รถม้า…ทางเดินในวัง…ตำหนักบูรพา จักจั่นหยกมีความเป็นไปได้ว่าจะหล่นหายในสี่พื้นที่นี้เท่านั้น พระชายา ท่านว่าจักจั่นหยกนี้จะหล่นหายที่ใดได้”

“หากมีคนจงใจจะให้ร้ายรัชทายาท ย่อมต้องวางแผนมาล่วงหน้า รถม้ากับทางเดินในวังล้วนไม่อยู่ในการคาดการณ์ ส่วนตำหนักบูรพา…หลังจากเรื่องตราประทับคราวก่อน คาดว่าคงลงมือไม่ง่ายดายเยี่ยงนั้นแล้ว…เช่นนี้ก็ต้องเป็นที่คฤหาสน์น่ะสิ!” เฉิงเซ่าซางเอียงศีรษะ

สีหน้าซุนเซิ่งเผือดขาว ร้องขอให้ละเว้นเสียงดัง “รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ มิใช่กระหม่อมนะ มิใช่กระหม่อมจริงๆ ต้องมีคนลอบปะปนเข้าคฤหาสน์แน่! พระชายา ท่านช่วยพี่ชายคนนี้อ้อนวอนรัชทายาทที…”

“ที่แท้เป็นเรื่องราวใด ถามดูก็จะได้รู้กัน” หลิงปู้อี๋ไม่พูดมากอีก หิ้วซุนเซิ่งขึ้นแล้วโยนออกนอกทางระเบียงไปในคราวเดียว

เหลียงชิวฉี่นำองครักษ์มาคอยอยู่ด้านนอกแต่แรก จึงจับตัวอีกฝ่ายมัดแน่นอย่างแสนช่ำชอง ทั้งแวะยัดเศษผ้าใส่ปากซุนเซิ่งหนึ่งก้อน

ชายารัชทายาทอยู่ในโถงเห็นภาพฉากนี้ก็หวั่นหวาดจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง คุกเข่าเบื้องหน้ารัชทายาทแล้วโขกศีรษะติดๆ กัน จวบจนหน้าผากเป็นสีแดงเลือดค่อยร่ำไห้กล่าว “หม่อมฉันขอคำนับวิงวอนให้ทรงวินิจฉัย จริงอยู่หม่อมฉันโง่เขลาไม่รู้ความ คิดอ่านตื้นเขินช่างริษยา ทว่าหัวใจที่หม่อมฉันมีให้พระองค์ประกาศต่อฟ้าได้ แล้วญาติผู้พี่ของหม่อมฉันจะมีจิตคิดคดให้ร้ายพระองค์ได้อย่างไรกัน! ในเรื่องนี้จะต้องมีเบื้องหลังซ่อนแฝง ขอทรงได้โปรดสืบความให้กระจ่างก่อนเพคะ!”

รัชทายาทดูเหมือนมิอาจหักใจ กระนั้นยังคงตอบเสียงแข็ง “หากเรื่องไม่เกี่ยวกับซุนเซิ่งจริง เขาย่อมกลับมาอย่างครบสมบูรณ์ได้แน่ จื่อเซิ่งจะไม่จงใจหาความเขาหรอก”

เฉิงเซ่าซางค้นพบว่าในสายตาที่หลิงปู้อี๋มองไปทางรัชทายาทมีความปรารถนาดีปนรอยยิ้มเยาะบางๆ คล้ายกำลังจนใจว่าไฉนรัชทายาทจึงใจอ่อนง่ายเพียงนี้ แค่โขกศีรษะไม่กี่ทีกับหลั่งน้ำตาไม่กี่หยดเท่านั้นเอง

รัชทายาทผลักชายาของตนออกห่างเบาๆ ก่อนหันหน้ามากล่าว “เพราะความสะเพร่าของข้า เลยเพาะออกมาเป็นภัยใหญ่ ต้องขอรบกวนแล้ว”

เฉิงเซ่าซางพลันรู้สึกว่ามีภารกิจสำคัญอยู่บนบ่า จึงให้คำมั่นอันจริงจัง “วางพระทัยได้เพคะ หม่อมฉันจะทุ่มเทสุดกำลัง คืนความบริสุทธิ์ให้พระองค์อย่างแน่นอน!”

รัชทายาทชะงักวูบหนึ่ง ก่อนผลิยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ “ดีๆ ข้าเชื่อเจ้า…”

เฉิงเซ่าซางจับสังเกตได้ว่าสีหน้ารัชทายาทผิดปกติ ครั้นเหลียวไปมองหลิงปู้อี๋ที่อยู่ด้านหลังตนเอง นางก็พลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง “รัชทายาท! ถ้อยคำเมื่อครู่ทรงพูดกับใต้เท้าหลิงสินะ!” เป็นนางทึกทักไปเองฝ่ายเดียว น่าขายหน้าเสียจริง

รัชทายาทไม่อาจหักใจตอบไปตามตรง จึงหันแผ่นหลังให้ พร้อมกับสองไหล่ที่สั่นไหวเบาๆ

เดิมหลิงปู้อี๋กำลังก้มหน้ากลั้นหัวเราะ ยามเงยหน้าจึงดูราวบุปผาบนภูเขาที่เปี่ยมสีสันสดใส ดุจทิวทัศน์ธรรมชาติอันงามกระจ่างตา เขาจับจูงเด็กสาวที่กำลังทำปากยู่ กล่าวอำลารัชทายาทพร้อมกัน จากนั้นถามนางขณะก้าวไปบนทางเดินในวัง “พวกเราไปสืบดูที่ใดกันก่อนดี”

เฉิงเซ่าซางทำปากแบนแล้วพูดพึมพำ “ถามข้าทำอันใด ท่านต่างหากเป็นผู้ที่รัชทายาทเชื่อถือให้ความสำคัญ ข้าน่ะเป็นแค่ตัวพ่วง”

ในดวงตาหลิงปู้อี๋เอ่อท้นด้วยรอยยิ้ม ทว่าสีหน้ากลับทำเป็นขึงขัง “ไม่ว่าผู้อื่นจะเชื่อถือหรือไม่เชื่อถือเจ้า จะมีหรือไม่มีคนมองเห็น เจ้าก็ควรทำทุกเรื่องอย่างจริงจังจึงจะเป็นวิถีอันถูกต้องของคนเรา”

เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะช้าๆ คลี่รอยยิ้มน้อยๆ “เอาเถิด ถึงข้าจะรู้ว่าท่านกำลังกล่อมข้า แต่ที่ท่านพูดมาถูกต้องยิ่ง การประพฤติปฏิบัติตัวสมควรเป็นเช่นนี้จริงๆ”

“ไม่เคืองแล้ว? เช่นนั้นพวกเราจะไปที่ใดกันก่อน”

“ไม่มีก่อนหลัง ข้าอยากไปแค่จวนสกุลเหลียง หมื่นเปลี่ยนล้วนไม่พ้นต้นทาง ห่วงโซ่สำคัญอยู่ที่นั่นเท่านั้น!”

“ดียิ่ง ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกัน”

บรรยากาศในจวนสกุลเหลียงวันนี้ต่างจากวานซืน

หากบอกว่าวานซืนผู้ใหญ่ผู้น้อยในจวนสกุลเหลียงให้ความรู้สึกกระตือรือร้น ผสมด้วยความอยากรู้อยากเห็นปนฉงนสงสัย จวนสกุลเหลียงในวันนี้ก็ต้องบอกว่าดูอึมครึมขึ้นมาก ให้กลิ่นอายเงียบเหงาวังเวงอยู่ในที หลังจากเข้ามาในจวนหนุ่มสาวทั้งสองก็แยกกันดำเนินการ หลิงปู้อี๋ไปหาผู้ว่าการเหลียงอย่างฉับไว เฉิงเซ่าซางยังคงไปพบชวีหลิงจวินก่อน ไม่คาดกลับมีฉากเด็ดหนึ่งฉากแทรกเข้ามาให้ได้ชม

เดิมในลานเรือนของชวีหลิงจวินปลูกพันธุ์ไม้ล้ำค่าหลากชนิด บัดนี้ล้วนถูกรื้อออกจนไม่เหลือ เผยให้เห็นพื้นที่ราบโล่งซึ่งปูด้วยแผ่นหิน ตรงนั้นมีกลุ่มบ่าวชายร่างกำยำบ้างถือพลองบ้างถือเชือกยืนหน้าขรึม กึ่งกลางมีคนเจ็ดแปดคนถูกกดอยู่กับพื้น กำลังถูกโบยดังเพียะพะ เฉิงเซ่าซางสังเกตได้ว่าเจ็ดแปดคนนี้ล้วนไม่ได้ถูกอุดปาก คล้ายเจตนาให้พวกเขาเปล่งเสียงร้องโหยหวนเพื่อให้ใครสักคนได้ยิน

หยวนเซิ่นยืนอยู่ใต้ทางระเบียง เสื้อคลุมกำมะหยี่ทอลายสีไพลินพัดพลิ้วล้อลม ตัวคนสูงระหง ท่วงทีสง่าผ่อนคลาย

เฉิงเซ่าซางชะงักกึก “ไฉนท่านอยู่ที่นี่ได้” ที่นี่เป็นเขตเรือนชั้นในมิใช่หรือไร

หยวนเซิ่นส่งยิ้มน้อยๆ ให้นาง “วันนี้ท่านแม่ข้ามาด้วย”

เหลียงชิวเฟยซึ่งถูกหลิงปู้อี๋ส่งมาติดสอยห้อยตามเฉิงเซ่าซางรีบประสานมือกล่าวหน้าบึ้ง “ข้าน้อยคารวะคุณชายหยวน” จากนั้นพูดเร่งรัดโดยไม่รอให้เฉิงเซ่าซางกับหยวนเซิ่นโอภาปราศรัยแม้สองประโยค “นายหญิงน้อย เวลาไม่รอคน ท่านรีบเข้าไปสอบถามชวีฮูหยินเถิดขอรับ”

เฉิงเซ่าซางคิดว่าถูกต้อง จึงผงกศีรษะเป็นการอำลาหยวนเซิ่น แล้วถอดรองเท้าขึ้นบันได ผลุบเข้าห้องชั้นในไปอย่างรวดเร็ว

สถานการณ์ในห้องตอนนี้น่าสนใจยิ่งยวด ราวละครชีวิตฉากหนึ่ง

ผู้ที่นั่งสูงอยู่ตรงกลางเบื้องบนเป็นฮูหยินชุดขาว ท่าทางอายุสี่สิบกว่า รูปโฉมงดงามยิ่ง เพียงแต่สีหน้าอ้างว้าง ให้ความรู้สึกอมทุกข์ ดูคล้ายไม่ค่อยไยดีเรื่องใดในใต้หล้านี้ บนศีรษะกลัดปิ่นหยกขาวที่วาวใสหนึ่งอัน ริมหูประดับตุ้งติ้งหยกขาวหนึ่งคู่ ข้อมือซ้ายสวมกำไลหยกขาวสลักลายอักษร ‘หุย’* หนึ่งวง ข้างเอวกลับห้อยวงแหวนลูกปัดแก้วสีแดงชาดสะดุดตาหนึ่งอัน…สตรีผู้นี้คงจะเป็นเหลียงซื่อมารดาของหยวนเซิ่นนั่นเอง นางมองเฉิงเซ่าซางซ้ำหลายหนเมื่อได้ยินบ่าวแจ้งนามของเด็กสาว

ชวีหลิงจวินนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกายเหลียงซื่อ เปรียบกับวานซืนดูเหมือนซูบผอมลง แลอิดโรยยิ่งยวด ร่างสะโอดสะองนั้นคล้ายคงเหลือแต่โครงกระดูก โย่วถงสาวใช้คนสนิทของนางยังคงนั่งเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง

ถัดลงไปเบื้องล่างเป็นสตรีวัยกลางคนค่อนไปทางสูงวัยที่มีสีหน้าดุร้ายผู้หนึ่ง กำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันถลึงตาจ้องเหลียงซื่อกับชวีหลิงจวิน หากมิใช่บนร่างถูกหญิงรับใช้อาวุโสแรงดีสองคนกดไว้อย่างแน่นหนา นางคงกระโจนไปตบตีชวีหลิงจวินแต่แรกแล้ว

เหลียงเอ่าถูกกดร่างจนไม่อาจขยับเขยื้อน ได้แต่เค้นคำพูดออกจากไรฟัน “ข้าเป็นแม่เล็กของเจ้านะ! เจ้าถึงกับกล้าไร้มารยาทกับข้า?!”

เหลียงซื่อกล่าว “เมื่อแรกข้าก็ไม่เห็นพ้องที่ท่านพ่อจะแต่งกับเจ้า ชาติตระกูลต่ำต้อยเป็นเพียงเรื่องเล็ก ทว่าเจ้าใจคอคับแคบ คิดอ่านตื้นเขิน เห็นแก่ตัวยิ่ง ไม่เคยรู้จักว่าอันใดคือคำนึงถึงส่วนรวม รู้จักแต่ผลประโยชน์เบื้องหน้าสายตาตนเอง บัดนี้เจ้าทำดีนัก ดึงรัชทายาทลงน้ำมาด้วย ชีวิตกับอนาคตของคนทั้งตระกูลเจ้าล้วนไม่ไยดีแล้ว ผู้อาวุโสท่านใดในตระกูลยังจะมาหนุนหลังเจ้า เลิกฝันเสียเถิด”

เหลียงเอ่าเอ่ยเสียงคั่งแค้น “หรือจะให้เบิกตามองลูกข้าตายอย่างอนาถ แต่นางแพศยานี่กลับรอดตัวลอยนวล?!” สายตาที่นางมองไปทางชวีหลิงจวินราวจะกลืนกินอีกฝ่ายเป็นๆ

“คดียังไม่ชัดแจ้ง ไม่อาจผลีผลามกระทำการ”

“ผายลม! พวกเจ้าแต่ละคนล้วนถือดีว่ามีชาติกำเนิดสูงส่ง ดูแคลนพวกข้าแม่ลูกมาโดยตลอด ทั้งที่ไม่ว่าอย่างไรอาซั่งก็เป็นถึงว่าที่ผู้นำสกุลเหลียง ข้าเองก็เป็นถึงฮูหยินม่ายของบิดาเจ้า…”

“ดังนั้นข้าจึงได้พูดว่าท่านพ่อไม่ควรแต่งเจ้าเข้ามา บนโลกใบนี้มีสกุลเหลียงอยู่ก่อน ค่อยมีเหลียงซั่ง ลำพังฝีมือของเหลียงซั่ง หากไม่มีสกุลเหลียง เขาจะมีค่าสักกี่เฉียนกัน อีกอย่างข้าจะเผยเรื่องภายในให้เจ้าฟังเรื่องหนึ่ง หนนี้ไม่ว่าบทสรุปจะเป็นเช่นไร ตำแหน่งฮูหยินม่ายของเจ้าล้วนถึงปลายทางแล้ว เจ้าจะถูกคุมตัว ‘พักฟื้นให้ดีๆ’ ”

สีหน้าของเหลียงซื่อเฉยเมย สั่งลงโทษเหลียงเอ่าราวกับแค่เขี่ยจิ้งหรีดตัวหนึ่งเข้าโถกระเบื้องเท่านั้น ครั้นเอ่ยคำนี้จบนางก็ให้บ่าวอุดปากเหลียงเอ่า ไม่คิดจะเหลือบแลสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึงของอีกฝ่าย แล้วเบือนหน้าไปหาชวีหลิงจวิน

“เดิมข้านึกว่าเจ้าเป็นคนฉลาด การแต่งงานที่ดีหนหนึ่งกลับทำจนกลายเป็นเยี่ยงนี้ เหลียงซั่งตบตีเจ้า ปากเจ้าไม่อาจพูด ร่างไม่อาจขยับหรือไร บิดากับพี่ชายเจ้าก็มิใช่ผู้ที่จะไม่ไยดีความเป็นความตายของเจ้าเสียหน่อย โวยวายออกมาแต่เนิ่นๆ ก็คงไม่บานปลายมาถึงขั้นนี้หรอก”

ใบหน้าชวีหลิงจวินซีดขาว สีหน้าห่อเหี่ยว “แรกเริ่มข้าต้องการจะหย่าร้าง แต่เหลียงซั่งข่มขู่จะไปป่าวร้องข้างนอกว่าข้าลักลอบติดต่อมีสัมพันธ์กับรัชทายาท ตอนนั้นข้าอายุน้อย ถูกสยบขวัญไปชั่วเวลาหนึ่ง หลังจากมีบุตร ข้ามองออกว่าเหลียงซั่งเพียงแสร้งวางโตข่มขู่ไปอย่างนั้นเอง จึงคิดจะหย่าร้างอีกครา เขากลับพูดอย่างอำมหิตชั่วช้า บอกว่าต่อให้ข้าไปได้ ลูกๆ ก็ต้องรั้งอยู่ เด็กเล็กๆ ไม่รู้จะมีชีวิตรอดได้สักกี่วัน…ข้าจึงลังเลขึ้นมาอีก

ไม่เพียงเท่านี้ ในอดีตเหลียงกับชวีสองสกุลเป็นดั่งน้ำกับไฟ ไม่ง่ายเลยกว่าจะคืนดีกันได้ แล้วข้าผู้เดียวจะเป็นเหตุให้ทำลายส่วนรวมได้อย่างไรกัน แต่ว่าควรจะทำเช่นไรเล่า ถึงอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ดังนั้นข้าจึงลอบคัดเลือกองครักษ์หญิงฝีมือดีไว้หลายคน ให้พวกนางคอยอยู่ข้างกาย เหลียงซั่งจึงไม่ค่อยกล้าลงมือกับข้าอีก ความจริงมีเพียงช่วงไม่กี่ปีแรกที่ข้าขื่นขมไร้ที่ระบายอย่างแท้จริง ช่วงต่อๆ มาเขาตีข้ากี่ครั้ง ข้าเป็นต้องให้องครักษ์หญิงตีกลับไป ไม่เชื่อให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพดูได้ บนร่างเหลียงซั่งก็มีแผลเช่นกัน

เดิมหลายปีมานี้เขาเพลาลงไปมาก ใครจะรู้หลังมาถึงเมืองหลวง นิสัยเก่าเขากลับกำเริบ ทว่าข้าในปัจจุบันมีหรือยังจะทนยอมเขาอีก หลายวันก่อนข้าได้เปิดโปงเรื่องนี้ต่อใต้เท้าผู้ว่าการจนสิ้นแล้ว แม้เขาลำบากใจอย่างยิ่ง แต่ก็ยังคงรับปากข้าว่าหากข้าหย่าร้างกับเหลียงซั่งแล้ว เขาจะนำเด็กทั้งสองไป ขอให้อาสะใภ้ที่จิตใจดีมีคุณธรรมในตระกูลเลี้ยงดู ดังนั้น…ข้าไยต้องสังหารเหลียงซั่งด้วย ในเมื่อข้ามีแผนปลีกตัวแต่แรกแล้ว!”

เอ่ยมาถึงประโยคสุดท้าย ชวีหลิงจวินสะเทือนใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

เฉิงเซ่าซางลอบถอนใจ มิน่าเล่าจึงกล่าวกันว่า ‘ขุนนางเที่ยงธรรมยากตัดสินเรื่องในครอบครัว’* วานซืนตอนที่รู้ว่าชวีหลิงจวินถูกทำทารุณมานานปี ความจริงในใจเฉิงเซ่าซางดูแคลนอยู่บ้าง รู้สึกว่ามีแต่สตรีที่อ่อนปวกเปียกไม่เอาไหนเท่านั้นจึงจะทนรับเรื่องบ้าบอพรรค์นี้ได้ ชวีหลิงจวินผู้นี้ก็แค่นี้เอง ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ทุกครอบครัวล้วนมีความยากลำบากของตนจริงๆ เสียด้วย

เหลียงซื่อเงียบงันไปเนิ่นนานเช่นกัน ก่อนจะหันมากล่าวกับเฉิงเซ่าซาง “ในเมื่อเจ้ารับบัญชาจากตำหนักฉางชิว อยากจะถามสิ่งใดก็ถามเถิด”

เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะรับ นั่งตัวตรงรวบรวมสมาธิแล้วเริ่มสอบถาม

“ช่วงใกล้เที่ยง ผู้ไปส่งอาหารที่เรือนตำราเป็นใครกันแน่”

“เป็นโย่วถง นางสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ของข้าไป ข้าไม่อยากให้คนในจวนรู้ว่าข้าออกไปข้างนอกแล้ว”

“ทว่าเมื่อคุณชายเหลียงเห็นโย่วถง จะจำแนกไม่ออกหรือเจ้าคะ”

“เขารู้ก็รู้ไปสิ ถึงอย่างไรข้ากับเขาก็ฉีกหน้ากันแล้ว บางเรื่องต่างรู้แก่ใจดี เพียงไม่ได้พูดออกมาเท่านั้น” ชวีหลิงจวินตอบ

“ดังนั้นชั้นวางหนังสือก็เป็นคุณชายเหลียงผลักล้มลงจริงๆ น่ะสิ”

“เฮ้อ พอเขาเห็นโย่วถงมาก็รู้ทันทีว่าข้าออกไปข้างนอก จึงระบายอารมณ์ผลักชั้นวางหนังสือจนล้ม เพียงแต่ตอนนั้นเขาหมกมุ่นกับงานแกะสลัก ไม่อยากหยุดมือกลางคัน จึงเพียงลั่นวาจาว่ารอข้ากลับมาก่อนค่อยคิดบัญชีให้เต็มที่”

เฉิงเซ่าซางส่ายหัว ถอนใจโดยไร้เสียง…คดีนี้แสนซับซ้อนพิสดารโดยแท้ จุดน่าสงสัยที่วานซืนวิเคราะห์ออกมาถึงกับกลายเป็นข้อเท็จจริงเสียอย่างนั้น

“ยังมีหีบตำราใบนั้น ฮูหยินยืนยันได้หรือไม่ว่าข้างในเป็นสิ่งใดกันแน่”

“ข้าเข้าใจความหมายของแม่นางเฉิง เหลียงซั่งผู้นี้ไร้คุณธรรมความสามารถ สิ่งเดียวที่ลุ่มหลงมีแต่การแกะสลักหินและโลหะ ตำราเหล่านั้นข้าเตรียมไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ที่ตลอดมาเก็บไว้ไม่มอบออกไปเพราะคิดว่ายามคับขันจะไว้ใช้ต้านโทสะของเหลียงซั่ง สามวันก่อนตอนที่จะหาบหีบเข้าไปในเรือนตำรา ข้าแน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ข้างในล้วนเป็นตำราจริงแท้แน่นอน มิใช่ถูกใครสับเปลี่ยนเป็นศพเด็ดขาด”

“เหตุใดฮูหยินแน่ใจเช่นนี้เล่า” เฉิงเซ่าซางรู้สึกประหลาดใจ

ใบหน้าชวีหลิงจวินผุดรอยละอาย ตั้งสติก่อนตอบอย่างหนักแน่น “วันนั้นข้าออกจากคฤหาสน์ดอกกุ้ยม่วงกลับเข้าเมือง ระหว่างทางเจอผู้เฒ่าผู้หนึ่งนำตำราโบราณมาผึ่งขาย จึงซื้อติดมือกลับมาหนึ่งม้วน หลังกลับถึงบ้านข้าให้บ่าวชายหาบหีบตำราในเรือนข้าออกมา ขณะเดินไปตามทางสายเล็กริมทะเลสาบที่ทอดสู่เรือนตำรา ข้าเปิดหีบออกแล้วนำตำราม้วนสุดท้ายที่เพิ่งซื้อใส่เข้าไปด้วยตนเอง ถัดจากนั้นบ่าวชายก็หาบหีบอยู่ข้างกายข้าโดยตลอด ไม่เคยห่างจากข้า เหตุใดใต้ผ้าชุบน้ำมันที่ก้นหีบจึงมีคราบเลือดนั้น ข้าไม่อาจรู้ได้จริงๆ”

เฉิงเซ่าซางมุ่นคิ้วครุ่นคิด ในเมื่อหีบตำราใบนั้นวางอยู่ในเรือนของชวีหลิงจวินมาช้านาน คาดว่าคงมีคนฉวยโอกาสเล่นตุกติกกับใต้ผ้าชุบน้ำมัน ชวีหลิงจวินกับสาวใช้ไม่เคยสังเกตเห็นก็เป็นธรรมดา

นางพลันฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง จึงถามด้วยความแปลกใจ “แต่ที่เรือนตำราวันนั้น ข้าเห็นในหีบมีตำราอยู่แค่สองสามม้วนเองนี่เจ้าคะ”

สีหน้าชวีหลิงจวินเผยความเจ็บปวดรางๆ เอ่ยเสียงแหบแผ่ว “ข้ากับเหลียงซั่งได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยา แท้ที่จริงกลับเทียบไม่ได้กระทั่งสหายที่คบหาผิวเผิน วันนั้นหลังจากเข้าไปในเรือนตำรา ข้าไม่อยากจะยุ่งกับเขา เพียงเอ่ยทักเล็กน้อย เห็นเขาไม่ไยดีก็นึกว่าเขากำลังโกรธ ข้าคร้านจะแยแสเขาจึงเปิดหีบออกเอง แล้วนำหนังสือไม้ไผ่แต่ละกระบอกไปวางบนชั้นวางที่อยู่ด้านนอกสุด วางไปจนเกือบหมดแล้ว พบว่าตลอดมาไม่มีเสียงตอบสนองใดๆ ข้าค่อยนึกแปลกใจขึ้นมา รอจนเดินอ้อมชั้นวางหนังสือกับฉากบังลมไป ถึงค่อยเห็นเขานั่งพิงผนังทิศตะวันตก บนร่างมีมีดสั้นปักคาอยู่เล่มหนึ่ง ข้าตกใจจนทรุดลงกับพื้น ร้องเรียกคนมา”

เฉิงเซ่าซางอับจนถ้อยคำ นี่มันความบังเอิญอะไรกัน

“จริงอยู่ที่ฮูหยินจะชี้แจงเช่นนี้ก็ได้ ทว่าตามคำกล่าวของใต้เท้าจี้ อ้อ ไม่สิ ไม่เฉพาะแค่ใต้เท้าจี้…ผู้อื่นก็ล้วนกล่าวว่า…เป็นท่านลากศพของคุณชายเหลียงออกจากหีบไปจัดวางพิงผนัง จากนั้นย้ายหนังสือไม้ไผ่ในเรือนตำรามาใส่เข้าหีบสองสามม้วนพอเป็นพิธี” แม้ในเรือนตำราของเหลียงซั่งมีหนังสือไม้ไผ่อยู่ไม่เท่าไร ทว่าก็มากพอจะเติมเต็มหีบตำราใบหนึ่งได้

โย่วถงสาวใช้คนสนิทแก้ต่างอย่างรุ่มร้อน “ตอนคุณหนูข้าเปิดหีบที่ริมทะเลสาบ บ่าวชายสองคนล้วนเห็น ในหีบไม่มีคนจริงๆ เจ้าค่ะ”

เฉิงเซ่าซางถอนใจเอ่ยท้วง “บ่าวชายสองคนนั้นฮูหยินพามาจากสกุลชวีกระมัง ถึงกับช่วยฮูหยินหาบศพแล้ว นับประสาอะไรกับแค่ช่วยปกปิด เจ้าพูดออกไป ผู้อื่นก็ไม่เชื่อหรอก”

โย่วถงอึ้งงันไปชั่วครู่ ก่อนโถมตัวลงกับพื้น ร่ำไห้อย่างหนัก “วันนั้นบ่าวก็บอกแล้ว ให้บ่าวเป็นคนรับข้อหาฆ่าคนตายนี้เสีย แต่คุณหนูกลับไม่ยินยอม!”

ชวีหลิงจวินลูบเรือนผมของสาวใช้คนสนิทพลางถอนใจกล่าว “โย่วถงเด็กโง่ เจ้าโตมากับข้าแต่เล็ก เจ้าฆ่าคนกับข้าฆ่าคนมีอันใดต่างกันเล่า อย่างไรข้าก็ต้องลงเอยด้วยข้อหาบงการสาวใช้ไปสังหารสามีอยู่ดี หนำซ้ำยังจะดึงเจ้าพ่วงเข้ามาอีกคน”

โย่วถงร่ำไห้อย่างปวดร้าวไม่คลาย

เฉิงเซ่าซางกล่าว “ผู้เยาว์จะขอดูเสื้อคลุมขนสัตว์ที่โย่วถงสวมวันนั้นได้หรือไม่เจ้าคะ ดีที่สุดคือแม้แต่เสื้อผ้าที่นางสวมวันนั้นก็จะขอดูด้วยสักหน่อย”

ชวีหลิงจวินตอบรับ แล้วให้โย่วถงที่ยังสะอึกสะอื้นพาเฉิงเซ่าซางไปด้านหลัง

ห้องของโย่วถงมิได้อยู่รวมกับสาวใช้อื่น หากแต่นอนในห้องที่กั้นขึ้นด้านหลังห้องนอนของผู้เป็นคุณหนูเพื่อจะได้อยู่ดูแลใกล้ๆ

ตอนที่เฉิงเซ่าซางคอยในห้องนอนของชวีหลิงจวิน เหลียวซ้ายแลขวาแล้วเห็นสิ่งที่คุ้นตายิ่งชิ้นหนึ่ง ทำให้ใจนางกระตุกวูบอย่างห้ามไม่อยู่

ไม่ช้าโย่วถงก็ประคองเสื้อคลุมขนสัตว์ของชวีหลิงจวินกับเสื้อผ้าที่ตนสวมในวันนั้นออกมา เฉิงเซ่าซางพลิกดูอย่างละเอียดลออรอบหนึ่ง พบว่าไม่มีรอยเลือดกับจุดที่น่าสงสัยสักนิดจริงๆ จึงยุติเพียงเท่านี้

ถัดจากนั้นเฉิงเซ่าซางตั้งใจจะไปดูในเรือนตำราที่เกิดเหตุสักหน่อย ใครจะรู้หยวนเซิ่นซึ่งยืนอยู่ใต้ทางระเบียงได้ยินเข้า ถึงกับยิ้มละไมติดตามมา

“มารดาท่านเคร่งขรึมเพียงนั้น ไฉนท่านจึงชอบยิ้มเยี่ยงนี้ได้” เฉิงเซ่าซางเอ่ย

หยวนเซิ่นยังคงคลี่ยิ้มน้อยๆ “ก็คนครอบครัวเดียวกันนี่ เก็บจุดเด่นเสริมจุดด้อยอย่างไรเล่า ท่านแม่ไม่ชอบยิ้ม ไม่ชอบพูด ข้าจึงยิ้มให้มาก พูดให้มาก”

“แล้วท่านตามข้ามาทำอันใด”

“อย่างไรเราสองก็มีความเกี่ยวพันกันอยู่บ้าง ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า เจ้าจะได้ไม่หวาดกลัว”

“หวาดกลัว?! เมื่อแรกศพที่ข้าเห็นนอกอำเภอหวาแค่นับร้อยเสียเมื่อไร! ฮ่าๆ หวาดกลัว? ข้าเขียนอักษรสองตัวนี้ไม่เป็นหรอก!”

หยวนเซิ่นชะงักฝีเท้า ยื่นมือหักกิ่งไม้กิ่งหนึ่งมาชูตรงหน้าเฉิงเซ่าซาง “เจ้าเขียนอักษรสองตัวนี้มาดูที ใช้รูปแบบอักษรบนหนังสือพิธีการนะ ห้ามใช้รูปแบบอักษรที่เจ้าหน้าที่ขุนนางชั้นผู้น้อยมักใช้”

เฉิงเซ่าซางถลึงตาจ้องเขาอยู่เป็นนาน สุดท้ายตนเองกลับหัวเราะออกมาก่อน “ข้าน่ะเขียนไม่เป็นจริงๆ!” ด้านการเรียนของนางฮองเฮาไม่เคยตั้งเกณฑ์บังคับ ยึดว่าเข้าใจในเหตุผลคือหลักสำคัญอันดับหนึ่ง

ดวงหน้าแต้มยิ้มของเด็กสาวปานบุปผา เปิดเผยเปี่ยมชีวิตชีวา แม้ยามนี้เป็นฤดูเหมันต์ ในช่องอกของหยวนเซิ่นกลับคล้ายพกพาเตาอุ่นเล็กๆ หนึ่งใบ

เหลียงชิวเฟยที่ติดตามอยู่ด้านหลังคนทั้งสองฟังแล้วเหลือกตาไม่หยุด เป็นเดือดเป็นแค้นยิ่งกว่าตนเองถูกสวมหมวกเขียวเสียอีก ทว่าหยวนเซิ่นมีฐานะสูงส่ง คารมคมคาย ชั่วขณะหนุ่มน้อยจึงคิดไม่ออกว่าควรพูดอันใดไปคุกคามให้อีกฝ่ายล่าถอยดี

“ท่านกวนให้ผู้อื่นชังน้ำหน้าเช่นเคย ชอบขุดคุ้ยจุดอ่อนของผู้อื่นอยู่เรื่อย!” เฉิงเซ่าซางเท้าสะเอวขึงตา แต่กลับอยากยิ้มอย่างอดไม่ได้

หยวนเซิ่นคล้ายถูกด่าทอจนปลอดโปร่งไปทั้งตัว จึงหัวเราะร่วนเสียงกังวาน

“อย่าหัวเราะสิ อย่าหัวเราะ ตอนนี้คนสกุลเหลียงกำลังมีเรื่องถึงชีวิตคนเชียวนะ! ท่านหัวเราะเยี่ยงนี้หาเรื่องถูกฟาดหรือไร! เลิกหัวเราะได้แล้ว ต่อให้ท่านเป็นบุตรชายของเหลียงฮูหยินก็เถอะ ระวังจะถูกผู้อื่นแอบตีหัวเข้าให้!” เฉิงเซ่าซางเหลียวมองรอบด้านอย่างเคร่งเครียด

หยวนเซิ่นค่อยๆ เก็บเสียงหัวเราะแล้วค้อมคำนับต่ำๆ “เซ่าซางจวิน ข้าน้อยขออภัย ณ ตรงนี้” เขายืดกายขึ้น ส่งยิ้มมองเด็กสาว “ข้ารู้ว่าเซ่าซางจวินหาญกล้าเด็ดเดี่ยวเหนือใคร เมื่อครู่เป็นข้าน้อยพูดสามหาวเอง”

เฉิงเซ่าซางเห็นเขาพูดจาจริงใจ จึงคลี่ยิ้มตอบ “เรื่องเล็กเท่านี้ให้แล้วกันไปเถิด ข้าไม่เก็บมาใส่ใจหรอก ความจริงข้ารู้ความคิดของท่าน ท่านเองก็อยากแบ่งเบาความกังวลให้มารดากับผู้ว่าการเหลียง เช่นนั้นพวกเราก็ไปด้วยกัน”

เหลียงชิวเฟยเห็นทุกสิ่งนี้คาตา รู้สึกแต่ว่าเลือดลมตีกลับ สุดจะทานทนได้ต่อไป เขาจึงกระซิบสั่งการองครักษ์ด้านหลังตนสองประโยค องครักษ์ผู้นั้นมองคนเบื้องหน้าที่มีรูปโฉมและวัยสมกันคู่นั้นเพียงแวบเดียวก็เข้าใจได้แทบจะในเสี้ยวอึดใจ รีบรับคำสั่งจากไปอย่างรวดเร็ว

ฝ่ายหลิงปู้อี๋ยามนี้กำลังจับเข่าสนทนาลับกับเหลียงอู๋จี้ที่ห้องชั้นในอันเงียบเชียบแห่งหนึ่ง

“ใต้เท้าผู้ว่าการตรองดูให้ดี ข้าไม่รีบร้อน”

“ในเมื่อไม่รีบร้อน เหตุใดเจ้าจึงมาบีบคั้นข้า” เหลียงอู๋จี้เอ่ยเสียงเย็น

“ใต้เท้าเหลียง ท่านนึกว่าตอนนี้ผู้ที่ร้อนรุ่มคือรัชทายาทหรือ มิใช่เลย ตอนนี้ผู้ที่ควรร้อนรุ่มที่สุดน่าจะเป็นตัวท่าน รวมถึงตำแหน่งแห่งที่ของสกุลเหลียงทั้งตระกูลในพระทัยฝ่าบาทต่างหาก”

เหลียงอู๋จี้นั่งก้มหน้า ยันฝ่ามือทรงกาย เงียบงันไม่เอ่ยคำ

หลิงปู้อี๋นั่งเป็นสง่าอยู่หน้าโต๊ะ สุ้มเสียงชัดกังวาน “คดีคนตายนี้ดูคล้ายซับซ้อนซ่อนเงื่อน เรือนตำรากับห้องที่ปิดสนิทเอย เสื้อคลุมขนสัตว์กับหีบตำราเอย ยังมีจักจั่นหยกกับดอกกุ้ยม่วงนั่นอีก…เหล่านี้รวมเข้าด้วยกันแล้ว มีข้อสรุปได้เพียงหนึ่งเดียว ก็คือชวีซื่อลอบมีสัมพันธ์กับรัชทายาท สังหารเหลียงซั่งแล้วยังหมายจะพ้นผิด…ซึ่งนี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่คนในมุมมืดปรารถนาจะให้เป็นเช่นกัน”

เหลียงอู๋จี้ปวดศีรษะ “นี่จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า นับแต่ชวีซื่อออกเรือนก็อยู่ที่เหอตงโดยตลอด ไม่เคยย่างเท้าเข้าเมืองหลวงเลย อีกอย่าง…”

“มิผิด ท่านรู้ว่าชวีซื่อไม่มีทางฆ่าเหลียงซั่ง เพราะนางมีวิธีปลีกตัวจากเขาแล้ว ข้าเองก็รู้ว่ารัชทายาทไม่มีทางฆ่าเหลียงซั่ง เพราะรัชทายาทไม่ได้พบชวีซื่อมาสิบปีแล้ว…ทว่าคนนอกไม่รู้นี่” หลิงปู้อี๋แย้ง

เหลียงอู๋จี้ทรุดลงอย่างห่อเหี่ยว

หลิงปู้อี๋กล่าว “คำคนนั้นน่ากลัว รอคำลือแพร่จนรู้กันกว้างขวาง ชื่อเสียงของรัชทายาทป่นปี้ เป้าประสงค์ของคนในมุมมืดก็ลุล่วงแล้ว”

เหลียงอู๋จี้เอ่ยเยาะ “เดิมข้านึกว่าเรื่องนี้เป็นชวีซื่อทำให้รัชทายาทเดือดร้อน ตอนนี้ค่อยรู้ว่าเป็นรัชทายาทต่างหากที่ทำให้สกุลเหลียงพลอยฟ้าพลอยฝน คนในมุมมืดเปลืองแรงทำเรื่องยุ่งยาก มีหรือจะแค่พุ่งเป้าไปที่สตรีอ่อนแอนางเดียว ที่แท้ก็ชี้ปลายกระบี่ไปที่ตำหนักบูรพา! สกุลเหลียงต้องประสบกับเรื่องน่าเศร้าในครอบครัวโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว ตอนนี้จื่อเซิ่ง เจ้ายังจะมาบีบคั้นข้าอีกหรือ”

“สกุลเหลียงมิใช่ไร้ความผิดเสียทั้งหมดกระมัง” หลิงปู้อี๋ท้วงเรียบๆ “หรือว่าเหลียงซั่งมิได้แซ่เหลียง?”

เหลียงอู๋จี้ไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย

หลิงปู้อี๋เอ่ยเสริม “หากเหลียงซั่งประพฤติชอบ เป็นสามีภรรยากับชวีซื่ออย่างดี รักใคร่ให้เกียรติกัน แน่นแฟ้นไร้ช่องว่าง แผนร้ายนี้ก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จได้ ทว่าเขากลับทำตนเยี่ยงเดรัจฉาน! ตั้งแต่เมื่อก่อนก็มีคนไม่น้อยรู้ว่าพวกเขาสามีภรรยาไม่ปรองดอง บัดนี้เรื่องแดงออกมา ยิ่งได้รู้ว่าชวีซื่อทนทุกข์จากการกระทำอันต่ำช้าของเหลียงซั่ง การปรักปรำให้ร้ายนี้ก็ยิ่งหนักแน่น”

เหลียงอู๋จี้โมโห จึงเอ่ยเสียงหนัก “ที่แท้ล้วนเป็นความผิดของสกุลเหลียงสินะ! ใต้เท้าหลิงช่างคารมดีแท้”

“สะใภ้ของสกุลเหลียง บุตรหลานของสกุลเหลียง จวนของสกุลเหลียง เรือนตำรากับศิษย์ในสำนักศึกษาของสกุลเหลียง…หากมิใช่เรื่องของสกุลเหลียง หรือว่ายังเป็นเรื่องของข้า?”

เหลียงอู๋จี้ถูกยั่วโทสะจนแทบหงายหลัง

หลิงปู้อี๋กล่าวต่อ “ใต้เท้าผู้ว่าการมิต้องโกรธข้า เมื่อครู่ข้ายังพูดตกไปหนึ่งประโยค มิเพียงแต่ข้าที่รู้ว่ารัชทายาทไม่มีทางฆ่าเหลียงซั่ง ฝ่าบาทเองก็ทรงรู้ดีว่ารัชทายาทจะไม่ทำแน่ แม้รัชทายาทกระทำการไม่รอบคอบ แต่หากเพราะสกุลเหลียงเป็นเหตุที่ส่งผลให้รัชทายาทตกอยู่ท่ามกลางน้ำครำซึ่งสาดมามืดฟ้ามัวดินนี้ ใต้เท้าผู้ว่าการเห็นว่าฝ่าบาทจะทรงคิดเช่นไรเล่า”

เหลียงอู๋จี้ผวาวูบ โทสะสลายสิ้น ความพรั่นพรึงทะลักล้นขึ้นมาแทนที่ จึงขอความเห็นอย่างจริงใจ “ขอถามจื่อเซิ่ง เช่นนั้นสกุลเหลียงควรคลี่คลายเรื่องนี้อย่างไรดี”

หลิงปู้อี๋กำลังจะเอ่ยตอบ เบื้องนอกก็พลันแว่วเสียงองครักษ์ของเขาขอเข้าพบ ครั้นได้รับอนุญาตเข้ามาแล้ว องครักษ์ก็เอ่ยเสียงเบาหลายประโยคข้างหูผู้เป็นนาย หลิงปู้อี๋ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีนิดๆ

เหลียงอู๋จี้สงสัยใคร่จะรู้อยู่บ้าง เมื่อครู่คุณชายสูงศักดิ์รูปงามที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ยังมีท่วงทีเย็นใจสบายอารมณ์ ยามตอบโต้กับตนเจนจัดช่ำชอง ไม่เผยแววขลาดกลัวสักส่วนเสี้ยว ยามนี้ไม่รู้เกิดเรื่องใดขึ้น จึงทำให้อีกฝ่ายมีท่าทางเยี่ยงนี้ได้

หลิงปู้อี๋มุ่นคิ้ว ก่อนจะพลันคลี่ยิ้มให้เหลียงอู๋จี้ “ผู้ว่าการเหลียง ท่านกับข้าสนทนากันที่นี่ได้เต็มที่ไม่เป็นปัญหา ทว่าเครือญาติสกุลเหลียงยังถกเถียงกันอยู่ด้านนอก ตามความเห็นของผู้เยาว์แล้ว ยังคงควบคุมสักหน่อยจะดีกว่า หาไม่เกิดเล็ดลอดออกไปนอกจวน จะไม่เท่ากับราดน้ำมันบนกองไฟหรือ”

เหลียงอู๋จี้อึ้งงัน ไม่ค่อยเข้าใจว่าญาติของตนทะเลาะกันอยู่ในจวนตนเอง จะมีอันใดเกี่ยวข้องไปถึงรัชทายาทได้ กระนั้นด้วยไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายเพิ่ม เขาจึงตอบรับข้อเสนอแนะของอีกฝ่าย “จื่อเซิ่งกล่าวถูกต้อง ข้าจะส่งคนไปบอกให้พวกเขาอย่าวู่วาม…”

“ผู้ว่าการมิต้องวุ่นวายใจ” หลิงปู้อี๋กล่าว “ยามนี้คนสกุลเหลียงทั้งวิตกว่าเกียรติภูมิของวงศ์ตระกูลจะย่อยยับในคราวเดียว ทั้งวิตกว่าจะพัวพันไปถึงรัชทายาท มีหรือจะเกลี้ยกล่อมได้โดยง่าย ส่งคนธรรมดาไปย่อมเปล่าประโยชน์ มิสู้ท่านส่งคุณชายหยวนเซิ่นไปดีกว่า ข้าเห็นว่าเขาดียิ่ง คุณชายหยวนเป็นคนสกุลเหลียงครึ่งตัว ทั้งยังรอบรู้กว้างขวาง ชื่อเสียงสูงส่ง วาทศิลป์เป็นเลิศ จะต้องสงบอารมณ์เครือญาติสกุลเหลียงได้แน่”

ผู้ว่าการเหลียงอู๋จี้แม้มากประสบการณ์ชีวิต ทว่ายามนี้ก็ยังคงงุนงงอยู่บ้าง “ขอบใจจื่อเซิ่งยิ่งนักที่ห่วงใยสกุลเหลียงเช่นนี้”

หลิงปู้อี๋ตอบอย่างมีมารยาทยิ่งยวด “มิต้องเกรงใจขอรับ”

 

* จื่อกุย คือชื่ออำเภอหนึ่งในมณฑลหูเป่ย เป็นบ้านเกิดของชวีหยวน (กวีรักชาติผู้เป็นที่มาของเทศกาลไหว้ขนมจ้าง) และหวังเจาจวิน (หนึ่งในสี่ยอดหญิงงามของจีนโบราณ) โดยอำเภอ ‘จื่อกุย 秭归’ นี้ออกเสียงใกล้เคียงกับคำว่า ‘จื่อกุ้ย 紫桂’ ที่แปลว่าดอกกุ้ยม่วง

* อักษรหุย 回

* ‘ขุนนางเที่ยงธรรมยากตัดสินเรื่องในครอบครัว’ หมายถึงเรื่องในครอบครัวนั้นสลับซับซ้อน แม้แต่ขุนนางผู้สุจริตเที่ยงธรรมก็ยังยากจะตัดสินชี้ขาดถูกผิดได้

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 มี.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: