X
    Categories: กระวานน้อยแรกรักทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน กระวานน้อยแรกรัก บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 4

ไป๋หมินหมิ่นรู้สึกมือเท้าเย็นเฉียบขึ้นมาในชั่วพริบตา นางเข้าใจหมิงถานดีที่สุด หากปล่อยให้หมิงถานถูกเหลียงจื่อเซวียนช่วยไว้ต่อหน้าธารกำนัล มิสู้ปล่อยให้ญาติของนางจมน้ำตายอยู่ในแม่น้ำเสี่ยนเจียงยังจะดีเสียกว่า!

นางจ้องมองผิวน้ำเขม็ง บังคับให้ตนเองใจเย็นลง จากนั้นก็สั่งการองครักษ์และสาวใช้ที่เพิ่งตามมาว่า “พวกเจ้าไปขวางคนที่มุงดูเอาไว้ อย่าให้ผู้ใดเข้ามาใกล้เด็ดขาด! เจ้าสองคนลงไปแยกตัวเหลียงซื่อจื่อออกมา แล้วเจ้าทั้งสองว่ายน้ำเป็นหรือไม่ พวกเจ้าก็ลงไปด้วย เอาตัวอาถานขึ้นมา! ด้านนี้เกรงว่าคงจะประวิงเวลาได้ไม่นานเท่าไร ลวี่เอ้อ เจ้ารีบกลับไปเดี๋ยวนี้ ไปพาองครักษ์มาขวางคนเอาไว้เยอะๆ!”

“เจ้าค่ะ!”

เนื่องจากยังไม่เข้าช่วงวสันตฤดู น้ำในแม่น้ำจึงเย็นเฉียบเสียดกระดูก กอปรกับสายลมเย็นยะเยือกเหนือผิวน้ำที่ลอยปะทะเข้ามา เหลียงจื่อเซวียนลงน้ำไปได้เพียงประเดี๋ยวเดียวก็พบว่าการช่วยคนจากน้ำไม่ได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่เขาจินตนาการไว้ อย่าว่าแต่ช่วยขึ้นมาเลย แม้แต่หมิงถานอยู่ตรงที่ใดเขาก็มองไม่เห็นด้วยซ้ำ

ไม่เพียงแค่เหลียงจื่อเซวียนที่มองไม่เห็น องครักษ์กับสาวใช้ที่ไป๋หมินหมิ่นสั่งลงน้ำก็เป็นเช่นเดียวกัน หลังงมน้ำอยู่ครู่ใหญ่ก็ไม่เห็นเงาร่างของหมิงถานเลยสักนิดเดียว

ท่าน้ำบริเวณนี้น้ำไม่ถือว่าลึกมาก ตามหลักแล้วไม่มีทางทำให้คนจมน้ำตายอย่างไม่เห็นร่องรอยภายในช่วงเวลาสั้นๆ ได้ แต่พวกเขาก็มั่นใจยิ่งว่ามองไม่เห็นเงาเสื้อผ้าของหมิงถานแม้แต่เศษเสี้ยวเดียวจริงๆ

ใช้เวลาไปราวครึ่งชั่วยาม ผู้คนที่มุงล้อมดูก็ถูกกันเอาไว้นอกท่าน้ำ รู้เพียงแค่ว่ามีคนตกน้ำ แต่สาเหตุใดนั้นไม่แน่ชัด

มีพวกบุรุษที่ไม่ทำการทำงานบางคนเห็นว่ามีการเกณฑ์คนมาขวางทางมากมายใหญ่โตเช่นนี้ คาดเดากันว่าคงจะเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ จึงตั้งท่าโวยวายจะลงน้ำให้ได้ ไม่แน่หากมีวาสนาอาจจะได้คู่ครองแสนประเสริฐด้วยก็เป็นได้

ครั้นเห็นว่าใกล้จะขวางเอาไว้ไม่อยู่ ในใจของไป๋หมินหมิ่นก็ทั้งกระวนกระวายทั้งสิ้นหวัง นางเอาแต่โกรธแค้นที่ตนเองเสนอความคิดให้มาเดินเที่ยวที่ถนนริมน้ำหนานอวี้ ถ้าเกิดเรื่องกับหมิงถานเข้า ต่อให้นางไป๋หมินหมิ่นตายหมื่นครั้งก็ลบล้างความผิดไม่หมด!

ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนี้จู่ๆ ก็มีเงาร่างสีเขียวโบกผ้าเช็ดหน้าให้ไป๋หมินหมิ่นอยู่นอกฝูงชนที่องครักษ์กำลังขวางกั้นไว้ “คุณหนูญาติผู้พี่ ไฉนท่านยังอยู่ที่นี่อีกเล่าเจ้าคะ ให้บ่าวตามหาแทบแย่เลย วันนี้คุณหนูของบ่าวลงมือต้มบัวลอยด้วยตนเอง กำลังรอให้ท่านแวะไปชิมที่จวนอยู่นะเจ้าคะ!”

สตรีชุดสีเขียวจงใจเพิ่มเสียงให้ดังก้อง

เสียงนี้ฟังดูใสแจ๋วนุ่มละมุน ทั้งยังคุ้นหูอยู่ไม่น้อย

ไป๋หมินหมิ่นหันหน้ากลับไป พลันผงะอึ้งไปชั่วขณะ

นั่นคือ…ซู่ซิน สาวใช้ข้างกายหมิงถานที่มีความสามารถมากที่สุดมิใช่หรือ

นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน แล้วเมื่อครู่นี้นางว่าอย่างไรนะ คะ…คุณหนูของนาง?

ซู่ซินเดินเข้ามา คารวะให้ไป๋หมินหมิ่นอย่างสงบนิ่งไม่ร้อนรน ต่อมาก็พูดเรื่องที่คุณหนูของตนเชิญนางไปชิมบัวลอยที่จวนอีกรอบหนึ่ง

ครั้นเห็นเหลียงจื่อเซวียนที่ตัวแข็งจนขยับไม่ได้กำลังให้องครักษ์พยุงขึ้นฝั่งจากทางด้านหลังไป๋หมินหมิ่น ซู่ซินก็ยังเอ่ยถามด้วยความตระหนกตกใจนิดๆ “นี่เหลียงซื่อจื่อตกน้ำหรือเจ้าคะ”

ไป๋หมินหมิ่นสับสนงุนงงกับสถานการณ์ในตอนนี้อยู่บ้าง ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยตอบเช่นไรดี

จนกระทั่งนางเหลือบเห็นลวี่เอ้อที่วิ่งตามไล่หลังมา ซ้ำยังหอบหายใจแฮกๆ โบกมือให้นางไม่หยุด ทำปากบอกนางว่า ‘ไม่เป็นไรแล้ว’ ถึงได้พลันเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ราวกับทะลวงเส้นลมปราณให้โล่งได้อย่างไรอย่างนั้น

ไป๋หมินหมิ่นรีบเร่งเอ่ยรับคำ “ใช่ๆ เหลียงซื่อจื่อตกน้ำ ขะ…ข้าผ่านมาเห็นเข้าพอดี เลยให้องครักษ์ลงไปช่วยเขาขึ้นมา”

“เฮ้อ ที่แท้ก็เป็นบุรุษ”

“บุรุษอกสามศอกตกน้ำยังต้องให้คนช่วย น่าขายหน้าจริงๆ!”

“ต้องล้อมแน่นหนาถึงเพียงนี้ด้วยหรือไร”

“แยกย้ายๆ นึกว่าเป็นคุณหนูตระกูลขุนนางเสียอีก!”

คนที่มุงดูโบกมืออย่างเบื่อหน่าย แยกย้ายกระจัดกระจายไปอย่างรวดเร็ว

“…” เหลียงจื่อเซวียนหนาวเหน็บจนร่างกายสั่นเทิ้ม ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยวาจาได้ ทว่าในดวงตากลับเต็มไปด้วยความฉงนงุนงงไม่เข้าใจ

จริงๆ แล้วตอนที่ตกน้ำเมื่อครู่นี้หมิงถานก็รู้สึกไม่ต่างอะไรกับเหลียงจื่อเซวียน นางรับรู้ได้แค่น้ำในแม่น้ำช่างเย็นเฉียบเสียดแทงกระดูกยากจะทานทนไหว นางสำลักน้ำไปสองอึก ตะเกียกตะกายไอค่อกแค่กอยู่ครู่หนึ่งถึงได้รู้ตัวว่าเกิดเรื่องใดขึ้น

นางถูกคนกระแทกตกน้ำ!

ในเรือนกว้างจวนหลังใหญ่ ‘อุบัติเหตุ’ ที่เกิดจากการหมายบีบคั้นให้แต่งงานมีมากมายนับไม่ถ้วน เช่นทำเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนแล้วอยู่ร่วมห้องเดียวกันในยามเปลี่ยนอาภรณ์ ตกน้ำแล้วถูกช่วยชีวิตเอาไว้จนมีการแนบชิดผิวกายกัน สองอย่างนี้พบเจอได้บ่อยมากที่สุด

เผยซื่อได้อบรมสั่งสอนนางตั้งแต่ยังเล็กว่าควรจะป้องกันเหตุไม่คาดฝันเหล่านี้อย่างไร ยามไปหลบร้อนที่เรือนพักตากอากาศก็ยังเชิญอาจารย์หญิงมาสอนนางว่ายน้ำโดยเฉพาะ

เนื่องจากยามปกติไม่เคยต้องใช้ประโยชน์ มิหนำซ้ำแต่ไหนแต่ไรมานางยังมีนิสัยรักสบาย หากนั่งเกี้ยวได้นางจะไม่ยอมให้เท้าแตะพื้นเป็นอันขาด คนที่อยู่บนฝั่งจึงไม่มีใครรู้ว่านางว่ายน้ำเป็น

แต่น่าเสียดายที่สถานการณ์ไม่เป็นใจ หมิงถานยังไม่ทันได้บอกพวกเขา เหลียงจื่อเซวียนก็ถอดชุดตัวนอกกระโดดลงมาเสียก่อน

ด้วยอารามร้อนใจ นางจึงจำต้องดำลงใต้น้ำ อยากจะหนีให้ห่างจากเหลียงจื่อเซวียน แล้วขึ้นฝั่งอีกด้านของท่าน้ำแทน

การตอบสนองอย่างรวดเร็วฉับไวเช่นนี้ถือว่ามีไหวพริบมากแล้ว แต่จนใจที่น้ำในแม่น้ำเย็นเกินไป ปกตินางก็มิใช่คนที่ชอบขยับตัวอันใดอยู่แล้ว หลังจากว่ายอยู่ในน้ำได้เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ความปวดเมื่อยก็แผ่ลามมาจากบริเวณขาและเท้านางอย่างปุบปับฉับพลัน

ความปวดล้านั้นค่อยๆ กัดกินเป็นระลอกๆ ยิ่งผนวกกับความเย็นเฉียบเสียดกระดูกของน้ำในแม่น้ำ นางราวกับถูกเข็มทิ่มแทง ทำให้ตรงหน้านางเหลือเพียงแสงสว่างสีขาว ไม่อาจว่ายน้ำไปข้างหน้าได้อีกต่อไป

ในชั่วพริบตานั้น สมองของหมิงถานพลันปรากฏความคิดต่างๆ ขึ้นมามากมาย

ประเดี๋ยวคิดว่า ให้เหลียงจื่อเซวียนช่วยมิสู้ตายอยู่ที่นี่ยังจะดีเสียกว่า ถือว่าได้รักษาชื่อเสียงความบริสุทธิ์ผุดผ่องเอาไว้ด้วยเช่นกัน ประเดี๋ยวก็คิดว่า ช่างเถิด ขอความช่วยเหลือดีกว่า ตายที่นี่ศพคงจะแช่น้ำบวมอืด เสียดายรูปโฉมอันสะสวยงดงามของข้าที่ยังมิทันได้สะท้านสะเทือนเมืองหลวงแย่ ในขณะที่หมิงถานตัดสินใจจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำขอความช่วยเหลืออย่างไม่ลังเลนั้น จู่ๆ ก็มีสายรัดสีดำเส้นหนึ่งพุ่งตรงลงมาในน้ำอย่างไม่บอกไม่กล่าวแล้วพันรอบเอวของนางอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รวบแน่น ดึงตัวนางขึ้นมาที่ริมฝั่ง ก่อนจะโยนนางไปบนพงต้นหญ้าภูเขาเปล่าเปลี่ยวซึ่งอยู่ห่างออกจากท่าน้ำไปเป็นระยะทางช่วงหนึ่ง

เรี่ยวแรงจากอีกฝั่งของสายรัดนั้นรวดเร็วและฉับไว ไม่มีความทะนุถนอมสาวงามเลยแม้แต่กระผีกริ้น หมิงถานถูกโยนตัวขึ้นฝั่งจนตาลายมึนเบลอ เหลือบเห็นส่วนปลายของสายรัดสีดำที่ถูกดึงออกจากเอวนางได้เพียงครึ่งเดียวอย่างเลือนราง

เมื่อตัดสินจากประสบการณ์ที่ใช้ชีวิตอย่างหรูหราสุขสบายมาสิบกว่าปีของนาง เนื้อผ้าของสายรัดเส้นนั้นหาใช่ของธรรมดาสามัญไม่ ลวดลายบนนั้นก็ประณีตบรรจงสลับซับซ้อน ดูเหมือนจะปักด้วยด้ายไหมทอง เส้นไหมเล็กบางยิ่ง แต่ก็ยังคงเปล่งประกายจางๆ ภายใต้ผืนราตรีมืดสนิท

นางยังไม่ทันหันมองไปตามสายรัดเพื่อจะดูคนที่อยู่ตรงนั้นให้ชัดๆ ก็มีชุดคลุมตัวนอกตัวหนึ่งร่วงหล่นลงมาคลุมทับร่างกายของนาง และบดบังสายตาของนางเอาไว้เสียก่อน

 

“หลังจากนั้นเล่า” ไป๋หมินหมิ่นรีบเร่งเอ่ยถาม

“หลังจากนั้นก็มีคนแบกข้ากลับมา” หมิงถานนอนพิงข้างเตียง ดันน้ำแกงขิงขับไล่ความหนาวออกไป แล้วรับเตาอุ่นมือที่สาวใช้ยื่นมาให้เอาไว้ ย้อนนึกพลางเอ่ยว่า “ระหว่างทางข้าตัวสั่นถามอยู่หลายครั้ง ถามว่าพวกเขาเป็นใคร คิดจะพาข้าไปที่ใด แต่คนผู้นั้นก็ไม่เอ่ยตอบ หลังจากวางข้าไว้ที่ประตูหลังของจวนโหวแล้วก็หายไปพร้อมกับชุดคลุมตัวนอก”

“พวกเขา? ไม่ได้มีแค่คนเดียว?”

“คนที่ยื่นมือช่วยข้ากับคนที่ส่งข้ากลับมามิใช่คนเดียวกันแน่ๆ เนื้อของเสื้อผ้าแตกต่างกันมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ส่งข้ากลับจวนดูเหมือนจะกำลังทำตามคำสั่งมากกว่า เหมือนว่าเป็น…องครักษ์ผู้ติดตาม”

ไป๋หมินหมิ่นทำความเข้าใจอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยังมีคำถามอีกมากมาย “เดี๋ยวก่อนนะ แสดงว่าตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าไม่ได้บอกว่าตนเองเป็นคนของจวนจิ้งอันโหวสักคำ แต่ผู้อื่นกลับพาเจ้ามาส่งกลับจวนได้ถูกต้อง?”

“อืม นี่ก็คือจุดที่ข้ารู้สึกแปลกๆ เช่นกัน” หมิงถานลุกนั่งพิงหมอนอิง “หากจะบอกว่าเขามีจุดประสงค์ไม่บริสุทธิ์ แต่หลังกลับถึงจวนข้าก็ตรวจสอบดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีของติดตัวชิ้นใดหายไปเสียหน่อย”

คนที่มีจุดประสงค์แอบแฝงจะต้องนำของมีค่าติดตัวไปด้วย แต่นี่กลับไม่…

“เช่นนั้นก็แปลกจริงๆ นั่นล่ะ” ไป๋หมินหมิ่นขมวดคิ้วครุ่นคิด พูดพึมพำออกมาหนึ่งประโยค

“เอาล่ะ เลิกพูดเรื่องนี้กันก่อนเถิด” หมิงถานนึกถึงเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าขึ้นมา “ตอนนี้ทางฝั่งเหลียงจื่อเซวียนเป็นอย่างไรบ้าง”

“เขาจะเป็นอย่างไรได้ เจ้าสั่งให้ซู่ซินไปที่นั่น ข้ายังจะยืนทึ่มทื่อไม่ร้องรับได้หรือ แน่นอนต้องเออออว่าเขาตกน้ำ ข้าผ่านมาเจอเลยให้บ่าวรับใช้ลงไปช่วยเขาน่ะสิ เจ้าวางใจเถิด ข้าได้ให้คนพาเขาไปส่งกลับจวนลิ่งกั๋วกงแล้ว”

ได้ยินไป๋หมินหมิ่นกล่าวเช่นนี้ หัวใจที่ลอยค้างเติ่งของหมิงถานก็เบาลงได้ในที่สุด ในเมื่อพูดบอกต่อหน้าธารกำนัลว่าเหลียงจื่อเซวียนตกน้ำ ไม่ว่าหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อ ก็ต้องเป็นเหลียงจื่อเซวียนตกน้ำเท่านั้น

เพราะในฉากหน้านั้นความสัมพันธ์ทางการแต่งงานของทั้งสองตระกูลยังคงเหนียวแน่นยิ่ง หากเกิดเรื่องขึ้นกับฮูหยินซื่อจื่อที่ยังมิได้แต่งเข้าจวนอย่างหมิงถาน ก็ถือว่ามิใช่เรื่องน่าชมน่ายินดีสำหรับจวนลิ่งกั๋วกงเช่นกัน หากไม่อยากแตกหักกับจวนจิ้งอันโหวและพบจุดจบอันเลวร้าย พวกเขาก็มีแต่ต้องยอมรับเรื่องนี้อย่างเงียบๆ เท่านั้น

จะว่าไปแล้วหมิงถานก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำตรงจุดใดสักแห่ง ตอนนั้นมีเสียงโวยวายร้องให้ช่วยจับขโมยจึงได้มีคนพุ่งพรวดไล่ตามกันมา แต่หากเทียบกับการถูกกระแทก นางรู้สึกว่าตนเองเหมือนถูกคนผลักมากกว่าถึงได้ประสบกับชะตากรรมเช่นนี้

พอคิดถึงตรงนี้หมิงถานก็เอ่ยขึ้นว่า “หมินหมิ่น เจ้ากลับไปแล้วช่วยหาคนไปสืบหาตัวสองคนนั้นที่ชนข้าในวันนี้ให้หน่อย”

“เจ้าสงสัยว่าที่ตกน้ำไม่ได้เป็นอุบัติเหตุ?”

“ก็เพราะไม่รู้นี่ล่ะ ข้าถึงได้อยากจะสืบให้กระจ่าง”

ไป๋หมินหมิ่นพยักหน้า ตอบรับอย่างเร็วไว ครั้นเห็นว่าดวงหน้าน้อยๆ ของหมิงถานยังคงไร้สีเลือด นางจึงคลุมผ้าห่มให้หมิงถาน พร้อมหันไปรับน้ำแกงขับไล่ความเย็นมาจากมือของบ่าวรับใช้ “เจ้าอย่าเพิ่งกังวลเรื่องพวกนี้เลย มา ดื่มน้ำขิงก่อนเถิด”

น้ำแกงรสชาติเผ็ดฉุนเกินไป หมิงถานไม่อยากดื่ม

ไป๋หมินหมิ่นเองก็มีนิสัยหัวแข็งเช่นกัน ป้อนน้ำแกงขิงยัดใส่ปากหมิงถานอย่างไม่ยอมแพ้ ทั้งยังพร่ำบ่นว่า “ดื่มเสียๆ ไม่คิดถึงตัวเจ้าเองก็ยังต้องคิดถึงข้าบ้าง ถ้าหากเจ้าไม่ดื่มน้ำแกงขิงนี้ วันหลังเกิดจับไข้ได้ป่วยล้มหมอนนอนเสื่อขึ้นมา นั่นถือเป็นความผิดของข้าเต็มประตูเชียวนะ ท่านพ่อข้านิสัยอย่างไรเจ้าเองก็รู้ดี เจ้าทนเห็นข้าถูกลงโทษให้คุกเข่าในศาลบรรพชนได้หรือ ถ้าหากต้องคุกเข่าจนเจ็บป่วยขึ้นมาเกรงว่าข้าคงทำได้แค่…”

หมิงถานถูกบ่นจนเริ่มปวดศีรษะ จึงรับถ้วยกระเบื้องเคลือบมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด จากนั้นก็หลับตากลืนน้ำแกงลงไปให้หมดในรวดเดียว

ไป๋หมินหมิ่นมีสีหน้าพออกพอใจ ต่อมาพอเห็นว่าธูปนับเวลาไหม้ไปกว่าครึ่งแล้ว นางก็ลุกขึ้นปัดมือเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็พักผ่อนให้เต็มที่ ตอนนี้ดึกมากแล้ว ข้าขอตัวกลับจวนก่อน ซู่ซิน ลวี่เอ้อ ดูแลคุณหนูของพวกเจ้าให้ดีๆ”

ซู่ซินกับลวี่เอ้อขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้นก็ส่งไป๋หมินหมิ่นออกไปจากเรือนจ้าวสุ่ยอย่างเคารพนบนอบ

หลังจากผ่านเรื่องหนักหนาสาหัสในครานี้มา ร่างกายของหมิงถานก็ทนรับไม่ค่อยไหว จำเป็นต้องพักผ่อนอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน นางไม่ได้บำรุงผิวพรรณก่อนเข้านอนอย่างยุ่งยากพิถีพิถันเหมือนเช่นทุกที เพียงแค่ทาน้ำหวานดอกไม้บนใบหน้าเล็กน้อย แช่มือทั้งสองข้างในน้ำนมแพะสดใหม่ครู่หนึ่งเท่านั้น

 

กลางดึกฝนตกโปรยปรายบางเบา เมฆหนามืดครึ้มบดบังดวงจันทร์กลมเกลี้ยง หมิงถานห่มผ้าห่มนอนหลับสนิทไปแล้ว ทั่วทั้งจวนจิ้งอันโหวเองก็ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัดและแสงโคมไฟสลัวในคืนที่สายพิรุณพร่างพรม

ณ คุกศาลต้าหลี่* คุกใต้ดินที่อยู่ไล่ลงตามขั้นบันไดไปทั้งลึกกว้างและมืดสลัว ในทุกๆ สิบก้าวจะจุดตะเกียงน้ำมันไว้หนึ่งดวง กระนั้นก็ยังไม่อาจกลบความอึมครึมน่าสะพรึงกลัวลงได้

ตุลาการศาลต้าหลี่เดินนำอยู่ด้านหน้า เขาโค้งกายทำความเคารพแล้วเอ่ยนำว่า “ท่านอ๋อง คุณชายรองสกุลซู เชิญทางนี้ขอรับ”

ซูจิ่งหรานเป็นผู้สูงศักดิ์ที่มีชีวิตสูงส่งมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาในคุกแห่งนี้ ความกดดันและกลิ่นเหม็นเน่าจากรอบด้านทำให้เขารู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวยิ่ง

เขามองเจียงซวี่แวบหนึ่ง ดูท่าชีวิตที่คมดาบต้องอาบย้อมโลหิตยามยกทัพออกรบคงจะเลวร้ายกว่านี้เป็นร้อยเท่าแน่ เพราะในสภาพบรรยากาศเช่นนี้เจียงซวี่ก็ยังสามารถเดินเอามือไพล่หลังด้วยสีหน้าสงบนิ่งได้ ซูจิ่งหรานถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็รีบเอามือปิดจมูกแล้วเดินตามไป

ในห้องไต่สวน เครื่องมือทรมานที่แขวนอยู่บนผนังสาดประกายวาววับเย็นเยียบ คนที่รอถูกสอบสวนได้ถูกผู้คุมจับตัวมัดไว้บนแท่นทรมานเรียบร้อยแล้ว ดูท่าทางคงจะยังไม่ได้เริ่มทรมาน เพราะถึงแม้คนผู้นี้จะอยู่ในสภาพสกปรกมอมแมม แต่เมื่อดูให้ดีๆ แล้วกลับไม่มีบาดแผลแม้แต่เศษเสี้ยว

ตุลาการศาลต้าหลี่เลื่อนเก้าอี้พนักกลมเข้ามาให้เจียงซวี่ แล้วเชิญเขานั่งอย่างนอบน้อม

เจียงซวี่เองก็มิได้ยกที่นั่งให้ตุลาการศาลต้าหลี่แต่อย่างใด เขาเลิกชายชุดแล้วนั่งลงไปทันที ปลายนิ้วเคาะพนักวางแขนเบาๆ จ้องมองไปที่แท่นทรมานโดยไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ทั้งสิ้น

“ทะ…ท่านอ๋อง” เมื่อคนที่อยู่บนแท่นทรมานเห็นผู้มาเยือนชัดเจน ความรู้สึกหวาดผวาก็เอ่อท้นในหัวใจทันที “เหตุใด…เหตุใดท่านอ๋องถึงจับข้ามาที่นี่ขอรับ ข้าถูกใส่ความขอรับ!”

“ใส่ความ?” เจียงซวี่จ้องเขาแน่วนิ่ง “เจ้ารออีกสักพัก ประเดี๋ยวเฉิงเอินโหวก็ต้องเข้าคุกมาเหมือนกัน ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยไปร้องขอความยุติธรรมกับเขาก็แล้วกัน”

เฉิงเอินโหว?!

เลือดของคนที่อยู่บนแท่นทรมานจับตัวแข็งในชั่วพริบตา

จริงๆ แล้วตั้งแต่ตอนที่เขาถูกจับกุมระหว่างทางกลับจวนอย่างไม่มีสาเหตุ ซ้ำยังไม่มีผู้ใดอธิบายให้เขาฟังว่าเหตุใดถึงถูกจับ เขาก็มีลางสังหรณ์รางๆ อยู่แล้ว แต่เขาไม่อยากและไม่กล้าคิดไปในทางนั้น เพราะว่าหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับเฉิงเอินโหวจริงๆ ล่ะก็ นั่นคงจะเป็นหายนะสำหรับเขาแน่นอน

“ถึงแม้ข้าจะมีการไปมาหาสู่กับเฉิงเอินโหว ตะ…แต่…”

“จางจี๋ ข้าติ้งเป่ยอ๋องเห็นว่าเจ้าเป็นคนฉลาด ตอนนี้เจ้าถึงยังอยู่ครบทุกประการ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเล่นลิ้นกับข้า”

เจียงซวี่ลุกขึ้น เดินเข้าไปใกล้ๆ ด้วยฝีเท้าเชื่องช้า เอียงศีรษะจ้องมองเขา

คงเป็นเพราะอยู่ในคุกใต้ดิน กระไอดุดันจางๆ จากการยกทัพเข่นฆ่าสังหารบนร่างของเจียงซวี่จึงแผ่กำจายออกมา แฝงด้วยความน่าเกรงขามอันหนักอึ้งยิ่ง สุ้มเสียงไม่ดัง แต่กลับชวนให้คนหนาวสะท้านได้อย่างไม่มีสาเหตุ

จางจี๋อ้าปากค้างเล็กน้อย ถูกกดดันจนเสียงหายไปชั่วขณะ

เขารู้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการชำระสะสางบัญชี และรู้จุดประสงค์ที่เจียงซวี่มาที่นี่ด้วยเช่นกัน ความนิ่งเงียบประหนึ่งไร้สิ้นชีวิตแผ่ขยายออกไปตามกลิ่นเหม็นหืนในคุกใต้ดิน

ครู่ใหญ่ผ่านไป จางจี๋ขยับปากอย่างลังเลใจ แต่สุดท้ายก็ยังอยากเรียกร้องต่อรองให้ตนเองอย่างไม่ยอมถอดใจ “จริงอยู่ที่ข้ามีของที่เป็นประโยชน์ต่อท่านอ๋องอยู่ในมือ ถ้าหากท่านอ๋องรับปากเงื่อนไขข้าหนึ่งข้อ ข้าก็จะ…อ๊าก!” เขายังพูดไม่ทันจบก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

ซูจิ่งหรานนิ่งอึ้งไปทันใด จากนั้นถึงค่อยพบว่าเครื่องมือทรมานนักโทษบนผนังที่มีตะขอได้เกี่ยวแทงเข้าไปในช่องท้องของจางจี๋โดยหลีกเลี่ยงจุดสำคัญตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ โลหิตสดๆ ไหลทะลักออกมา ชุดสีขาวของจางจี๋อาบย้อมด้วยสีแดงฉานอย่างรวดเร็ว โลหิตเหนียวข้นหยดแหมะลงบนพื้นสกปรก

“เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาเจรจาเงื่อนไขกับข้าติ้งเป่ยอ๋อง” เจียงซวี่โน้มกาย กระซิบเอ่ยถามที่ข้างหูของจางจี๋อย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก

มือที่จับด้ามอาวุธของเขายังไม่คลายออก ตะขอเกี่ยวติดอยู่กับเนื้อ ทั้งยังแทงเข้าไปข้างในทีละชุ่นๆ* ก่อนจะถูกหมุนวนกลับไปกลับมา

จางจี๋เจ็บปวดจนหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนหน้าผาก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ไม่เคยต้องทนลำบากมาก่อน ไม่ถึงครึ่งเค่อก็ตาเหลือกหมดสติไปแล้ว

เจียงซวี่ยืนนิ่ง ปล่อยให้ผู้คุมใช้น้ำเย็นสาดใส่จางจี๋ให้ตื่นขึ้นมา

ข้างๆ ผนังที่มีเครื่องมือทรมานแขวนอยู่ก็มีเตาไฟที่ถูกจุดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เหล็กนาบเผาไฟจนกลายเป็นสีแดง จางจี๋เพิ่งจะฟื้นได้สติขึ้นมาก็เห็นผู้คุมยกเหล็กนาบเดินรุกคืบเข้ามาทางเขา ไม่รอให้เขาได้ตะโกนร้องโวยวาย เหล็กนาบนั้นก็ประทับลงบนจุดที่บาดเจ็บเมื่อครู่นี้

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดโหยหวนปานใจจะขาดดังขึ้นอีกระลอกหนึ่ง

เครื่องมือทรมานในคุกมีมากมายนับร้อยชนิด แต่จางจี๋เพิ่งจะโดนไปเพียงสองอย่างก็ปัสสาวะราดกางเกงเสียแล้ว กลิ่นเหม็นแผ่กำจายไปรอบด้าน เขานึกเสียใจภายหลังที่ตอนแรกไม่ยอมสารภาพแต่โดยดี จึงตะโกนร้องเสียงแหบแห้งว่า “ท่านอ๋อง! ท่านอ๋องข้ายอมพูดแล้ว! เฉิงเอินโหวยึดครองที่ดินผู้อื่นเพื่อลักลอบเปิดเหมืองเกลือ! หลักฐานอยู่แถวชานเมือง อยู่ในจวนลับที่ข้าสร้างไว้ที่เนินจิ่วหลี่! ฝังไว้ใต้ต้นซิ่ง* ที่ลานหลังจวน!”

 

เชิงอรรถ

* ศาลต้าหลี่ หรือศาลยุติธรรม เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสำนวนและพิพากษาคดีที่มีความซับซ้อนหรือคดีร้ายแรง

* ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบความยาวประมาณ 1 นิ้ว

* ซิ่ง หรือแอปปริคอต เป็นพืชตระกูลเดียวกับต้นเหมย (ต้นบ๊วย) ดอกสีขาว อาจมีสีชมพูหรือสีแดงแซม เกสรสีเหลือง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 มี.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: