X
    Categories: กระวานน้อยแรกรักทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน กระวานน้อยแรกรัก บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 5

ยามจื่อ** ประตูคุกใต้ดินถูกเปิดออก

เมื่อซูจิ่งหรานออกมาจากศาลต้าหลี่ ในที่สุดก็ได้ระบายลมหายใจขุ่นมัวออกมา อาจเป็นเพราะมีฝนตกเบาๆ ก่อนหน้านี้ เขาจึงรู้สึกว่าอากาศของเมืองหลวงในคืนนี้สะอาดสดชื่นมากเป็นพิเศษ

ทว่าพอซูจิ่งหรานย้อนนึกถึงตอนที่อยู่ในคุกใต้ดินเมื่อครู่นี้ ภาพที่เจียงซวี่แทงตะขอที่เป็นเครื่องมือทรมานนักโทษเกี่ยวเข้าไปในท้องของจางจี๋ตาไม่กะพริบ ซ้ำยังแทงเข้าไปข้างในทีละชุ่นๆ หมุนคว้านต่ออีก เขาก็คิดว่าคืนนี้คงจะต้องนอนฝันร้ายติดๆ กันเป็นแน่

แต่จะว่าไปแล้วติ้งเป่ยอ๋องก็โหดเหี้ยมอำมหิตเป็นที่เลื่องลืออยู่แล้ว เมื่อก่อนรองเจ้ากรมอากรทุจริตเสบียงกองทัพจนทำให้เสียโอกาสในการศึก พอเขาที่ตัวโชกเลือดกลับมาจากสนามรบ กลับไม่เข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เฉิงคัง เรื่องแรกที่ทำก็คือไปเด็ดศีรษะของขุนนางคดโกงทันที

ฮูหยินของรองเจ้ากรมอากรรู้ดีว่าหมดโอกาสจะรอดชีวิต เพื่อปกป้องบุตรสาวผู้เลอโฉมทั้งสองให้แคล้วคลาดปลอดภัย จึงให้บุตรสาวฝาแฝดขอลดสถานะเป็นทาส ยินดีรับใช้ปรนนิบัติข้างกายติ้งเป่ยอ๋อง

รูปโฉมงามล่มบ้านล่มเมืองเช่นนั้น โดยทั่วไปหากเป็นบุรุษก็คงจะหวั่นไหวอย่างแน่นอน อีกทั้งการปกป้องสตรีเพียงแค่สองคน สำหรับเขาถือว่าเป็นเรื่องที่แค่กระดิกนิ้วก็ทำได้แล้ว แต่เขากลับไม่ไหวหวั่นสั่นคลอน ยังคงลงโทษยึดทรัพย์สินตามกฎหมาย ประหารตัดศีรษะทั้งตระกูล ไม่เหลือไว้แม้แต่คนเดียว

ดังนั้นซูจิ่งหรานจึงรู้สึกแปลกใจ “ตอนอยู่ที่ริมแม่น้ำก่อนหน้านี้ เหตุใดท่านถึงยื่นมือช่วยเหลือคุณหนูสกุลหมิง ซ้ำยังให้องครักษ์ลับส่งตัวกลับไปที่จวนโหวอีก เวทนาถนอมสาวงามเช่นนี้…ไม่เหมือนเป็นเรื่องที่เจียงฉี่จือจะทำเลย”

เขาหลงคิดว่าเจียงซวี่กลับเมืองหลวงมาคราวนี้นิสัยจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม นึกมีใจสงสารเวทนาผู้อื่นขึ้นมา แต่พอออกมาจากคุกใต้ดิน เขาถึงได้รู้ว่าตนเองคิดมากไปเอง

ซูจิ่งหรานย้อนนึกถึงเรื่องลับที่เผลอไปได้ยินตอนอยู่ที่หอทิงอวี่ จึงยิ้มออกมาอีกครา “หรือว่าท่านเกิดรักแรกพบกับคุณหนูสกุลหมิงผู้นั้นเข้า”

เจียงซวี่หลุบนัยน์ตาลง ขยับริมฝีปากเล็กน้อย เช็ดคราบเลือดบนมืออย่างเนิบช้าพลางเอ่ยตอบอย่างไม่รีบไม่ร้อน “สมกับเป็นคุณชายรองสกุลซูผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวง ช่างอ่อนโยนเอาใจใส่จริงๆ”

 

ในที่สุดเทศกาลซั่งหยวนในรัชศกเฉิงคังปีที่ห้าก็ผ่านพ้นไปอย่างน่าหวาดเสียวท่ามกลางความครึกครื้นรื่นเริง บรรยากาศปีใหม่เองก็ค่อยๆ เลือนจางหายไปพร้อมๆ กับหิมะหนาวเหน็บที่ค่อยๆ หยุดตกลง

ตอนนี้ยังไม่สามารถสืบได้เบาะแสของคนสองคนที่ชนหมิงถานตกน้ำได้ แต่ยังโชคดีที่จวนลิ่งกั๋วกงรู้จักดูสถานการณ์ ยอมรับเรื่องที่เหลียงจื่อเซวียนตกน้ำ อีกทั้งยังให้เหลียงจื่อเซวียนนอนพักอยู่ในจวนไปสองสามวัน ทำให้เรื่องนี้อธิบายได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

เผยซื่อไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง นางรู้สึกเพียงแค่ว่าจวนลิ่งกั๋วกงสะสางปัญหาได้อย่างมีน้ำใจยิ่งนัก เป็นครอบครัวที่มีจิตใจดีงามครอบครัวหนึ่ง ทว่าหมิงถานกลับไม่รับไมตรีไว้สักนิด จวนลิ่งกั๋วกงส่งคนมามอบของกำนัลแสดงความห่วงใยอย่างลับๆ หมิงถานยังไม่แม้แต่ปรายตามองด้วยซ้ำ

 

เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงวสันตฤดู ช่างตัดเสื้อของร้านจิ่นซิ่วก็ถูกเชิญมาวัดตัวเพื่อตัดเสื้อผ้าที่จวนจิ้งอันโหวอีกครั้ง

หมิงถานได้คิดเตรียมการไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วว่าหลังจากถอนหมั้นจะทำตัวโดดเด่นไม่ได้ไปพักใหญ่ๆ ดังนั้นผ้าที่เลือกในคราวนี้จึงเป็นสีเรียบๆ ทั้งหมด มีทั้งสีขาวนวล สีเขียวใบหญ้า และสีฟ้าอ่อน

เผยซื่อคิดว่าหมิงถานอยากลองสิ่งแปลกใหม่จึงมิได้ขัดขวาง เพียงแค่เลือกผ้าสีสันสดใสสองพับให้นางไว้ทำเสื้อตัวนอก ทั้งยังเอนพิงหมอนอิงพลางเอ่ยอย่างเอาใจใส่ว่า “ปกติยามอยู่ในจวนใส่สีเรียบๆ หน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ว่าฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ยังต้องออกไปย่ำขจี* ชมบุปผาอยู่ เด็กสาวใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสหน่อยจะได้ดูมีชีวิตชีวา กระปรี้กระเปร่า ใครเห็นใครก็ชอบ”

“ท่านแม่พูดถูกเจ้าค่ะ” หมิงถานไม่ได้บอกปัดแต่อย่างใด นางขานรับอย่างว่าง่าย ทว่าในใจกลับรู้สึกหงุดหงิดโมโห ทั้งที่เป็นฤดูใบไม้ผลิทั้งทีตนเองกลับไม่สามารถสวมใส่ชุดงดงามพวกนี้ออกไปอวดโฉมข้างนอกได้

ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องการกินการอยู่เหล่านี้เผยซื่อก็ไม่เคยตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน สิ่งใดที่นางหาให้หมิงถาน ก็จะหาให้เสิ่นฮว่าเพิ่มอีกชุดเช่นเดียวกัน

นางปัดฟองอากาศออกแล้วจิบชาหนึ่งอึก ครั้นแล้วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยกำชับกับหญิงชราผู้ดูแลร้านจิ่นซิ่วว่า “ผ้าที่เหลือก็ตัดเพิ่มอีกสักสองสามชุดตามขนาดตัวของคุณหนูสี่ นับเวลาดู คุณหนูสามเองก็คงใกล้กลับมาแล้ว ไม่ได้เจอหน้ามาหลายปี ไม่รู้ว่าบัดนี้รูปร่างเป็นเช่นไรบ้าง อย่างไรก็เตรียมเอาไว้ก่อนดีกว่า หากไม่พอดีตัว รอให้นางกลับมาเมืองหลวงแล้วค่อยตัดชุดที่พอดีตัวให้ใหม่ก็แล้วกัน”

“เจ้าค่ะ”

ถึงแม้หญิงชราผู้ดูแลปากจะเอ่ยขานรับ แต่ในใจกลับขบคิดว่า ชุดพวกนี้ต้องตัดเย็บด้วยระดับความละเอียดประณีตเช่นเดียวกับของคุณหนูสี่ด้วยหรือไม่ เพราะว่านางมักจะแวะเวียนไปมาตามตระกูลใหญ่เป็นประจำ จึงไม่ถึงกับมิอาจสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอันน้อยนิดของฮูหยินท่านโหวที่อยู่ตรงหน้าได้

อันที่จริงไม่เพียงแต่เผยซื่อเท่านั้นที่มีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยามหมิงถานกับเสิ่นฮว่าได้ยินคำว่า ‘คุณหนูสาม’ พวกนางต่างก็นิ่งอึ้งไปในชั่วพริบตาเช่นกัน

แต่ไหนแต่ไรมาจวนจิ้งอันโหวบุรุษเยอะสตรีน้อยอยู่แล้ว พอมาถึงรุ่นหมิงถาน สตรีก็มีจำนวนเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น เมื่อครั้งที่ฮูหยินผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ หลายบ้านยังมิได้แยกบ้านกัน เหล่าลูกพี่ลูกน้องจึงนับเรียงอันดับอาวุโสด้วยกัน

เหนือหมิงถานไปไม่มีพี่สาวร่วมมารดา ญาติผู้พี่ทั้งสองคนจากบ้านรองและบ้านสามก็ออกเรือนไปหมดแล้ว พี่สาวซึ่งเป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาอย่างหมิงฉู่กลับยังอยู่ในวัยรอออกเรือน ทั้งอายุอานามก็ใกล้เคียงกับนาง เพียงแต่หมิงฉู่กับหลิ่วอี๋เหนียงไปอยู่ที่ชายแดนเป็นเพื่อนจิ้งอันโหวบิดาของนาง เป็นเวลาห้าปีแล้วที่ไม่เคยได้กลับมายังเมืองหลวง

ก่อนหน้านี้หมิงถานเอาแต่จำว่าพอบิดาของนางกลับมาเมืองหลวงแล้วก็จะได้หารือเรื่องถอนหมั้นเสียที แต่กลับลืมไปว่าหมิงฉู่กับหลิ่วอี๋เหนียงก็จะกลับมาด้วยเหมือนกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหมิงฉู่ย่ำแย่อย่างถึงที่สุดมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้หมิงฉู่จะกลับมา นี่ไม่เท่ากับว่าตอนถอนหมั้นจะมีคนหัวเราะเยาะนางเพิ่มขึ้นอีกคนหรอกหรือ

ส่วนสิ่งที่เสิ่นฮว่าคิดขึ้นในทันทีคือ คุณหนูสามสกุลหมิงอย่างหมิงฉู่ผู้นี้อายุเท่ากันกับนาง แม้จะเป็นบุตรสาวอนุภรรยา แต่ชาติตระกูลก็สูงส่งซ้ำยังเป็นที่โปรดปราน หากประเมินฐานะดูก็ถือว่าพอๆ กันกับนาง ถือเป็นตัวเลือกคู่ครองที่เหมาะสมโดดเด่น ยามนี้หมิงฉู่กลับมาเมืองหลวง เกรงว่าทั้งสองคนคงจะปะทะกันในเรื่องการหาคู่แต่งงานเป็นแน่

ทันใดนั้นทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็เงียบนิ่งไม่เปล่งวาจา หลุบตาพลางครุ่นคิดตรึกตรอง

 

เมื่อเผยซื่อเห็นว่าใกล้ถึงกำหนดการเดินทางกลับ นอกจากนางให้ร้านจิ่นซิ่วตระเตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์เพิ่มแล้ว นางยังเริ่มสั่งให้บ่าวรับใช้เก็บกวาดจวนโหวด้วยเช่นกัน

ในเรื่องการดูแลจวนนางจัดการได้อย่างเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่ไม่กี่วันทั่วทั้งจวนโหวก็ถูกเก็บกวาดทำความสะอาดอย่างเอี่ยมอ่องราวกับเป็นจวนหลังใหม่ แม้แต่เรือนของหลิ่วอี๋เหนียงก็ยังปรับปรุงซ่อมแซมให้ใหม่ ไม่มีตรงที่ใดให้จับผิดได้แม้แต่นิดเดียว

แม่นมจางเห็นเผยซื่อทุ่มเทตั้งใจเช่นนี้ ยามหวีผมให้เผยซื่อนางจึงอดบ่นกระปอดกระแปดมิได้ “ไยฮูหยินต้องดูแลเรือนของหลิ่วซื่อไปเสียทุกเรื่องเช่นนี้ด้วยเล่าเจ้าคะ สตรีที่เอาออกหน้าออกตามิได้ผู้นั้นยึดท่านโหวไปคนเดียวถึงห้าปี บัดนี้เกรงว่าคงจะหยิ่งผยองยิ่งเป็นแน่แท้”

เผยซื่อพิศมองใบหน้าที่ยังคงเฉิดฉันงามล้ำในคันฉ่อง ไม่ส่งเสียงเอ่ยตอบ

รอบด้านไร้ผู้คน แม่นมจางจึงขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วกระซิบเสียงเบาอีกครั้ง “ว่ากันตามจริงนะเจ้าคะ ในตระกูลใหญ่เช่นนี้การมีทายาทสืบสกุลถือเป็นเรื่องสำคัญ ถึงแม้ฮูหยินจะลำบากในเรื่องนี้ แต่ใช่ว่าสาวใช้หน้าตาสะสวยงดงามในจวนจะทำไม่ได้นี่เจ้าคะ ไม่อย่างนั้น หญิงสาวตระกูลเล็กๆ ในเมืองหลวงก็มีมากมาย ท่านโหวกับหลิ่วซื่อใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี ถ้าได้เห็นคนใหม่ๆ ก็คงจะเบื่อหน่ายนางแล้วล่ะเจ้าค่ะ”

เผยซื่อหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาจับเทียบบนศีรษะ ท่าทางไม่ใส่ใจฟังสักเท่าไรนัก

“ฮูหยิน!” แม่นมจางร้องเรียกขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว

เผยซื่อปรายมองด้วยหางตา เอ่ยเสียงเฉยชาว่า “เจ้าพูดผิดแล้ว”

นางวางปิ่นปักผมลง แววตาแปรเปลี่ยนเป็นล้ำลึกและสุขุม “ความผูกพันระหว่างข้ากับท่านโหวมีเพียงน้อยนิด เมื่อครั้งที่เขาต้องไปรับตำแหน่งต่างเมือง ก็เป็นข้าไม่ยอมไปทนลำบากที่ชายแดนแต่ขออยู่ที่เมืองหลวงแทน ข้าควรจะขอบคุณหลิ่วซื่อถึงจะถูก อยู่ที่ชายแดนมาห้าปี ท่านโหวกลับมิได้รับคนใหม่เลย ยิ่งไปกว่านั้นก็มิได้มีบุตรธิดาเพิ่มขึ้นมา ลดปัญหาให้ข้าไปได้ไม่น้อย หากเป็นอนุภรรยาคนอื่นติดตามเดินทางไป เกรงว่าคงจะไม่มีความสามารถเหมือนอย่างนางเช่นนี้

อีกอย่างข้าคงจะไม่มีวาสนาเรื่องทายาทสืบสกุลแล้ว การเลี้ยงดูเด็กเล็กๆ คนหนึ่งไม่เพียงแต่สิ้นเปลืองแรงกายแรงใจ ซ้ำยังไม่มีบรรดาศักดิ์ให้สืบทอด หากจะต้องทนทรมาทรกรรมเช่นนั้น มิสู้เอาเรี่ยวแรงไปดูแลอาถานเสียยังจะดีกว่า…

หลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าเองก็คงเห็นชัดแล้วว่าอนาคตจวนโหวของพวกเราครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับบุตรสาวที่แต่งออก อีกครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับต้าเกอเอ๋อร์* ตอนที่ข้าแต่งเข้าจวนโหว ต้าเกอเอ๋อร์ก็อายุไม่น้อยแล้ว จึงไม่มีโอกาสบ่มเพาะความสนิทสนมผูกพันฉันแม่ลูก แต่เป็นเพราะอาถาน หลายปีมานี้เขาจึงให้ความเคารพยำเกรงข้าเช่นกัน”

ตรงจุดนี้แม่นมจางเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “ในช่วงหลายปีนี้ที่ต้าเกอเอ๋อร์ไปรับตำแหน่งที่ผางซาน ไม่ว่าจดหมายหรือของกำนัลตามเทศกาลก็ไม่เคยขาดตกบกพร่อง พอรู้ว่าฮูหยินมีโรคประจำตัวอย่างโรคปวดหัวเข่า ก็ยังอุตส่าห์หาตำรับยาจากที่ผางซานมาให้ ถึงแม้จะมิได้เห็นผลอันใดมากมาย แต่ก็รู้ขนบมีน้ำใจยิ่ง”

พอเผยซื่อคิดถึงตรงนี้ริมฝีปากก็ยกยิ้มด้วยความพึงพอใจเช่นเดียวกัน

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางพลันคิดอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “จริงสิ ช่วงนี้อาถานมีอันใดผิดปกติหรือไม่ หลายวันก่อนตอนเข้าวัง นางเอาแต่จ้องหญิงสาวครอบครัวสกุลเหลียงอยู่เป็นนาน ยามอยู่ข้างนอกนางรู้กฎระเบียบดียิ่ง ถ้าหากไม่มีเรื่องอันใด คงไม่มีทางลืมตัวเช่นนี้ แล้วก็ที่ตกน้ำเมื่อคืนเทศกาลซั่งหยวนนั่นอีก… ภายหลังสกุลเหลียงส่งของกำนัลแสดงความห่วงใยมาให้ นางก็กลับเฉยชา ดูเหมือนไม่ได้ชื่นชอบสักเท่าไร”

แม่นมจางเอ่ยตอบว่า “คุณหนูสี่อายุยังน้อย ฮูหยินคนก่อนให้นางหมั้นหมายกับสกุลเหลียงตั้งแต่ยังเล็ก ปกติทั้งสองสกุลไปมาหาสู่กันน้อยครั้ง จะสนใจใคร่รู้ก็มิใช่เรื่องแปลกหรอกเจ้าค่ะ ส่วนการที่สกุลเหลียงมอบของกำนัลเพื่อแสดงความห่วงใย ได้เป็นที่ชื่นชอบของบ้านสามีในอนาคต ในใจของคุณหนูสี่ต้องปลาบปลื้มยินดีแน่นอนเจ้าค่ะ แต่ว่าเด็กสาวอายุน้อยนั้นหน้าบาง ไม่กล้าแสดงออกมาก็เท่านั้นเอง”

ทว่าเผยซื่อยังคงรู้สึกผิดปกติอยู่ดี แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอันใดมาก

 

หากเทียบกับจวนจิ้งอันโหวที่กำลังรอคอยผู้เป็นนายของตระกูลเดินทางกลับเมืองหลวง เรื่องที่เหล่าชนชั้นสูงในเมืองหลวงให้ความสนใจในระยะนี้กลับเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่มีลางบอกเหตุมาก่อน…

เฉิงเอินโหวกู้จิ้นจงยึดครองที่ดินผู้อื่น ลักลอบเปิดเหมืองเกลือ ความผิดมากมายหลายกระทง ตอนนี้ถูกริบบรรดาศักดิ์ยึดทรัพย์สิน ถูกตัดสินให้เนรเทศไปยังดินแดนห่างไกลพันลี้* อวี้กุ้ยเฟยผู้เป็นที่โปรดปรานเสมอมาก็ได้รับผลกระทบจากคดีนี้ด้วยเช่นเดียวกันจนต้องถูกขับไล่เข้าตำหนักเย็น เคราะห์ดีที่ความผิดไม่พัวพันไปถึงคนในครอบครัว ดังนั้นนอกจากคนที่เกี่ยวข้องแล้ว คนอื่นๆ เพียงแค่ถูกลดฐานะเป็นสามัญชน บุรุษไม่สามารถเข้าร่วมการสอบขุนนางได้

ยามทุกคนพูดคุยถึงเรื่องนี้ก็อดสะท้อนใจมิได้

“ลดฐานะเป็นสามัญชนห้ามเข้าร่วมการสอบขุนนาง สกุลกู้ไม่มีหวังกลับมารุ่งเรืองดังเดิมได้ภายในสามรุ่นแน่นอน” ไป๋หมินหมิ่นถอนหายใจเฮือกใหญ่ “งานเลี้ยงในวังช่วงเทศกาลซั่งหยวนกู้จิ่วโหรวยังใจกล้าถวายบทเพลงอยู่เลย นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วันเอง เหตุใดถึงกะทันหันเช่นนี้เล่า”

โจวจิ้งหว่านบุตรสาวราชบัณฑิตสำนักฮั่นหลิน* ซึ่งเป็นสหายรักกับหมิงถานและไป๋หมินหมิ่นเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่กะทันหันหรอก วันนั้นข้าโดนลมหนาวจนเป็นหวัด ต้องพักผ่อนอยู่ในบ้านเลยมิได้ไปร่วมงานเลี้ยง ภายหลังก็พอจะได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักอยู่บ้าง อันที่จริงสถานการณ์ในตำหนักตอนนั้นก็บอกใบ้ได้หลายเรื่องแล้ว”

หมิงถานเข้าใจจุดสำคัญได้อย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรกแล้ว คำพูดของโจวจิ้งหว่านก็ตรงกับสิ่งที่นางคิดอยู่เช่นกัน

มีเพียงไป๋หมินหมิ่นเท่านั้นที่ฉงนงงงวย “อาถาน เจ้าฟังเข้าใจด้วยหรือ เหตุใดถึงไม่กะทันหัน เหตุใดถึงมีการบอกใบ้เอาไว้แล้วเล่า”

หมิงถานคร้านจะอธิบาย นางดันถั่วเหอเถา** บนโต๊ะไปตรงหน้าไป๋หมินหมิ่น “กินเยอะๆ หน่อย จะได้บำรุงสมอง”

“…”

ไป๋หมินหมิ่นยื่นมือออกไปตีนาง

หมิงถานรีบหลบหลีก ซ้ำยังเอ่ยกระเซ้าด้วยท่าทางเรียบร้อยดูเป็นผู้สูงศักดิ์ “ดูเจ้าเข้าสิ ไม่มีความสงบเสงี่ยมเป็นกุลสตรีอย่างข้ากับจิ้งหว่านเลยสักนิด หากเป็นเช่นนี้จะป่าวประกาศชื่อเสียงของ ‘สามยอดหญิงแห่งเมืองหลวง’ ให้เป็นที่เลื่องลือได้อย่างไร”

“จิ้งหว่านถือว่าแล้วไป แต่เจ้าสงบเสงี่ยมเป็นกุลสตรีตรงไหนกัน ดีแต่เสแสร้งต่อหน้าคนนอกล่ะสิไม่ว่า พูดจาหน้าไม่อาย!” ไป๋หมินหมิ่นเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้

หมิงถานเอ่ย “ดีกว่าเจ้าที่แค่เสแสร้งต่อหน้าคนนอกก็ยังทำไม่ได้แล้วกัน!”

“เอาล่ะ” โจวจิ้งหว่านยกผ้าเช็ดหน้าปิดปากหัวเราะเบาๆ นางเป็นคนบอบบางนุ่มนวลมาแต่ไหนแต่ไร เสียงที่ใช้พูดก็เล็กแผ่ว “เลิกเถียงกันได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะอธิบายให้ฟังเอง”

ทั้งสามคนนั่งดื่มชาอยู่ตรงริมลานส่วนกลางของเรือนจ้าวสุ่ย ข้างนอกข้างในล้วนมีแต่คนของตนเอง จึงไม่มีเรื่องใดที่ไม่สามารถพูดได้

โจวจิ้งหว่านอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน “เรื่องที่เกิดขึ้นคราวนี้ ฉากหน้าบอกว่านายอำเภอในนครหลวงจางจี๋เคยมีความสนิทสนมใกล้ชิดกับเฉิงเอินโหว จึงแอบเก็บหลักฐานกระทำความผิดของสกุลกู้เอาไว้ไม่น้อย แต่เมื่อคิดดูอย่างละเอียดแล้ว หน้าที่การงานของจางจี๋เจริญรุ่งโรจน์ได้เพราะเฉิงเอินโหว แล้วจู่ๆ เหตุใดถึงกล่าวโทษเฉิงเอินโหวเล่า หรือว่ามีขุนนางทุจริตกลับตัวกลับใจเป็นคนดีในชั่วข้ามคืนจริงๆ? นอกจากนั้นแล้ว ที่ผ่านมาข้าหลวงตรวจการก็เคยกราบทูลถอดถอนเฉิงเอินโหว ฝ่าบาทก็มักจะทรงปล่อยผ่านอย่างไม่ใส่พระทัย แต่หนนี้กลับทรงระเบิดโทสะกริ้วโกรธกลางท้องพระโรง รับสั่งให้ตรวจสอบจนถึงที่สุด…”

พอฟังมาถึงตรงนี้ไป๋หมินหมิ่นก็เหมือนจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมาได้บ้าง

โจวจิ้งหว่านกล่าวเพียงแค่นี้แล้วก็หยุดไป จากนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้วเอ่ยต่อไปว่า “ติ้งเป่ยอ๋องออกศึกอยู่ที่ดินแดนทางเหนือเป็นระยะเวลานาน น้อยครั้งยิ่งที่จะกลับมาเมืองหลวง อุปนิสัยของเขาข้าไม่ค่อยรู้สักเท่าไร แต่ต่อให้เขามีคุณงามความชอบสูงส่ง แต่การที่เขาไม่เห็นอวี้กุ้ยเฟยอยู่ในสายตา ฉีกหน้าผู้อื่นชัดเจนกลางงานเลี้ยง ฝ่าบาทกับฮองเฮาก็ควรทรงตำหนิเขาสักเล็กน้อยถึงจะถูก”

“อ๋อ…ข้าเข้าใจแล้ว” ไป๋หมินหมิ่นเรียบเรียงความคิด “ความหมายของเจ้าก็คือฝ่าบาทมีพระดำริจะจัดการกับสกุลกู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นถึงแม้สถานการณ์ตอนนั้นจะย่ำแย่ แต่ฝ่าบาทกับฮองเฮาก็มิได้ตรัสอันใดแทนกู้จิ่วโหรว…หากคิดเช่นนี้แล้วล่ะก็ ติ้งเป่ยอ๋องก็อาจจะล่วงรู้ถึงพระดำริของฝ่าบาทตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถึงได้โอหังวางโตไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาเช่นนั้นสินะ”

“แต่ตามความคิดข้า ติ้งเป่ยอ๋องก็เป็นคนโอหังวางโตเช่นนั้นอยู่แล้ว” พวกคนหยาบกระด้างจะไปเข้าใจอันใด หมิงถานย้อมสีเล็บด้วยท่าทางประณีตบรรจง ไม่เก็บเอามาใส่ใจมากมายนัก

 

เชิงอรรถ

** ยามจื่อ คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 01.00 น.

* ประเพณีย่ำขจี (ท่าชิง) คือการเดินไปตามทุ่งหญ้าป่าเขาเพื่อชมธรรมชาติต้อนรับความเขียวขจีของฤดูใบไม้ผลิ เป็นกิจกรรมในช่วงเทศกาลเช็งเม้ง (ชิงหมิง) ของชาวจีนในสมัยโบราณ

* เกอเอ๋อร์ แปลว่าพี่ชาย ชาวจีนมักใช้ต่อท้ายชื่อเด็กชายเพื่อเรียกในเชิงเอ็นดู

* ลี้ (หลี่) มาตรวัดความยาวของจีน เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร

* สำนักฮั่นหลิน ตั้งขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง เดิมเป็นสถานที่สำหรับเข้าเฝ้าของเหล่าปราชญ์ กวี จิตรกร และผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ที่ถูกฮ่องเต้เรียกตัว ในสมัยราชวงศ์ชิงกลายเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ชำระตำราสำคัญของแผ่นดินและเป็นฝ่ายอาลักษณ์วรรณคดี

** ถั่วเหอเถา หมายถึงถั่ววอลนัท

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 มี.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: