X
    Categories: Additional Heritage มรดกลวงรักeverYทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 1

ผู้เขียน : 水千丞 (Shui Qian Cheng)

แปลโดย : : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 附加遗产 (Fu Jia Yi Chan)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การบูลลี่ การมีอคติต่อคนรักร่วมเพศ การกล่าวถึงเลือดและการฆ่าตัวตาย

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 1

 

เมื่อเข้าสู่เดือนสี่ฤดูใบไม้ผลิก็มาเยือนเมืองหลวงอีกครั้ง กลีบดอกไม้โปรยปรายพร้อมแต่งแต้มด้วยสีเขียวขจี ท้องฟ้ายามเช้าตรู่กระจ่างใสเหมือนถูกล้างด้วยน้ำ นับว่าเป็นอากาศดีที่หาได้ยากในรอบปี

อุณหภูมิยามเช้าลดต่ำลงเล็กน้อย ลมหนาวที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างรถทำให้ชายที่เมาหัวราน้ำซึ่งเอนตัวอยู่บนเบาะหลังจามออกมาเพราะความหนาวเย็น

“ถึงแล้วครับ” คนขับกดมิเตอร์ มันส่งเสียงดังติ๊ดๆ แล้วพิมพ์ใบเสร็จออกมา

เวินเสี่ยวฮุยลืมตาที่ระคายเคือง พยายามลุกขึ้นมาจากเบาะหลัง “หืม? ถึงแล้วเหรอ”

“ถึงแล้วครับ” คนขับเหลือบมองทางกระจกมองหลังด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย คนขับกะดึกอดนอนมาทั้งคืน น้อยคนที่จะอารมณ์ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมีผู้โดยสารเป็นไอ้ขี้เมา

ในกระจกมองหลังสะท้อนให้เห็นใบหน้าสวยใส แม้ว่าเปลือกตาจะบวมเป่งเพราะดื่มมากไปและผมเผ้าค่อนข้างยุ่งเหยิง ทว่าก็ยังสามารถมองเห็นเครื่องหน้าที่ละเอียดอ่อน คางเรียวบาง ผิวพรรณดูบอบบางจนดูเหมือนว่าถ้าโดนลมเพียงแค่เบาๆ ก็อาจแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ นับว่าเป็นหนุ่มหน้าสวยคนหนึ่ง

เวินเสี่ยวฮุยสูดหายใจเข้าลึกๆ “เท่าไรครับ”

“สี่สิบหกหยวน”

มือของเวินเสี่ยวฮุยที่กำลังควักเงินชะงักทันที โทนเสียงก็สูงขึ้นด้วย “เท่าไรนะ”

“คุณก็ดูเอาเองสิ”

เวินเสี่ยวฮุยหาว กระแอมกระไอ น้ำเสียงชัดเจนขึ้นสิบสองส่วน “นี่คุณคนขับกำลังหลอกผมใช่ไหม ทางจากซานหลี่ถุน* มาถึงที่พักผม ไม่แน่ว่าผมอาจจะขับเร็วกว่าคุณด้วยซ้ำ ถ้ารถไม่ติดเต็มที่ก็สามสิบห้าหยวน นี่คุณไปอ้อมมาจากไหนเนี่ย”

คนขับมีสีหน้าละอายใจเล็กน้อย “ตรงโรงพยาบาลเฉาหยางรถมันติดน่ะครับ ผมแค่อ้อมนิดหน่อย…”

“โอ้โห นี่คุณอ้อมนิดหน่อยเหรอ อ้อมอีกนิดพวกเราก็ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เซียงซาน** ได้แล้ว เห็นผมดื่มเยอะหน่อยเลยคิดจะโกงผมใช่ไหม ผมจะบอกคุณให้นะ คนอย่างผมพันแก้วก็ไม่ล้ม ต่อให้ล้มก็เปิดเนตรสวรรค์แล้ว” เวินเสี่ยวฮุยควักเงินสามสิบห้าหยวนออกมาแล้วโยนไปที่เบาะหน้า “แค่นี้แหละ”

คนขับหมดความอดทน พูดด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง “แบบนั้นไม่ได้นะ คุณให้ผมแค่นี้จะให้ผมวิ่งเสียเที่ยวเหรอ”

“อ่อ วิ่งเสียเที่ยวไม่ได้สินะ เมื่อคืนผมดื่มมาเต็มท้องเลย ถ้าอย่างนั้นผมถ่ายสินค้าบนรถให้คุณดีไหม” เวินเสี่ยวฮุยทำท่าอาเจียนแห้งๆ

คนขับสบถอยู่ในปาก “ก็ได้ๆ คุณรีบลงไปเถอะ คิดซะว่าผมซวยเองก็แล้วกัน”

เวินเสี่ยวฮุยกลอกตา เปิดประตูลงจากรถไป ก่อนที่คนขับจะปิดหน้าต่างรถแล้วด่าออกมาประโยคหนึ่ง

“ไอ้พวกผิดเพศเฮงซวยเอ๊ย”

เวินเสี่ยวฮุยได้ยินดังนั้นก็หันขวับกลับมา “ปู่มึงสิ มึงแม่งด่าใครวะ…” เขาตวัดขาหมายจะเตะประตู

คนขับเหยียบคันเร่งหนีทันที

เวินเสี่ยวฮุยเหวี่ยงเท้าขึ้นไปในอากาศ ชูนิ้วกลางใส่ทิศทางที่รถแท็กซี่จากไปด้วยความโกรธ จากนั้นก็จามอย่างแรงอีกครั้ง เขาสูดจมูกพลางบ่นพึมพำ

“ไอ้บื้อเอ๊ย…ชิ คงไม่เป็นหวัดหรอกนะ”

เขาวิ่งเหยาะๆ กลับที่พักโดยไม่กล้ารีรออีกต่อไป ถ้าเขาไม่รีบกลับห้องก่อนที่แม่ของเขาจะตื่นล่ะก็ มีหวังตายแน่ๆ

เมื่อเขาเดินมาถึงชั้นล่างของตึกก็เห็นผู้หญิงสวมเสื้อกันลมสีดำคนหนึ่งแต่ไกล เธอผอมสูง บุคลิกสง่างาม อีกทั้งรองเท้าส้นเข็มก็ทำให้น่องเรียวยาวขาวนวลเผยออกมา ผมสีดำยาวพาดบ่าสบายๆ สวมแว่นกันแดดในยามเช้า ริมฝีปากสีแดงบนใบหน้าที่ขาวราวกับหิมะนั้นสวยงามมาก เขาแอบให้คะแนนผู้หญิงคนนี้แปดคะแนนเงียบๆ ในแง่ของรูปลักษณ์ แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทำไมผู้หญิงคนนี้ยิ่งมองก็ยิ่งคุ้นตานะ

“เสี่ยวฮุย” หลังจากผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาใกล้เขาก็ถอดแว่นกันแดดออก เธอเป็นสาวสวยตามคาด คิ้วตาละเอียดอ่อน จมูกค่อนข้างโด่ง คางแหลม แต่ดวงตากลับบวมเป่งเหมือนลูกวอลนัท เห็นได้ชัดว่าผ่านการร้องไห้มา แถมยังร้องไห้อย่างหนักเสียด้วย

หัวใจของเวินเสี่ยวฮุยเต้นตึกตัก อารมณ์สลับซับซ้อนพลุ่งพล่านขึ้นมาทันใด ทั้งขุ่นเคือง รังเกียจ และประหลาดใจ เขาคิดไม่ถึงว่าซุนอิ่งจะเป็นฝ่ายมาหาเขาก่อน

“เรียกชื่อเฉยๆ แบบนี้ ฉันสนิทกับเธอมากหรือไงอาเจ้”

“เสี่ยวฮุย ฉันไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับนายหรอกนะ” ซุนอิ่งก้มหน้าคล้ายกำลังปรับอารมณ์

“เธอมาที่นี่ทำไม มีอะไรก็รีบพูดมา เชื่อไหมแค่ฉันตะโกนแค่ครั้งเดียว แม่ฉันจะต้องถือไม้กวาดจากชั้นบนลงมาตีเธอแน่นอน”

ซุนอิ่งเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำทำให้เธอดูน่าสงสาร “หย่าหย่าไปแล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยตกตะลึง หยุดหายใจไปชั่วขณะ

หย่าหย่า? หย่าหย่าไม่ใช่ชื่อพี่สาวของเขาเหรอ หย่าหย่าไปแล้วคืออะไร

“เสี่ยวฮุย หย่าหย่าไปแล้ว พี่สาวนายจากไปแล้ว เธอฆ่าตัวตาย”

“เธอ…” เวินเสี่ยวฮุยอยากจะพูดว่าเธอเป็นบ้าไปแล้วเหรอ แต่เสียงกลับจุกอยู่ในลำคอ ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกว่าฟ้าดินพลิกกลับสลับเปลี่ยน หายใจลำบากเหมือนกับโลกทั้งใบถูกพลิกคว่ำ วิงเวียนศีรษะจนแทบยืนไม่อยู่

เขามองไปรอบๆ

นี่เป็นเช้าที่เงียบสงบแสนธรรมดา คุณปู่ที่ปล่อยสุนัขออกมา คุณป้าที่ซื้อกับข้าว สาวสวยที่วิ่งจ๊อกกิ้งตอนเช้า เด็กน้อยที่ไปโรงเรียน หญ้าและต้นไม้ทุกต้นในชุมชนเก่าแก่ที่เขาอาศัยมาสิบกว่าปีไม่มีอะไรต่างจากเมื่อวานเลย เขาเองก็เหมือนกับในตอนเช้าส่วนใหญ่ที่แอบย่องกลับห้องหลังจากเที่ยวจนหนำใจทั้งคืน สิ่งเดียวที่ต่างออกไปคือผู้หญิงที่เขาไม่อยากเจอกำลังยืนรอเขาอยู่ที่นี่พร้อมกับข่าวที่เขาไม่อาจรับได้ โลกนี้เป็นอะไรไป ทำไมจู่ๆ มันถึงได้เปลี่ยนไปล่ะ!

พี่สาวของเขาตายแล้วเหรอ จะเป็นไปได้อย่างไร หัวใจของผู้หญิงคนนั้นทั้งโหดเหี้ยมและแข็งกว่าใครทั้งหมด เธอจะฆ่าตัวตายได้อย่างไร

ซุนอิ่งสูดจมูกก่อนหยิบซองจดหมายสีขาวซองหนึ่งออกมาจากกระเป๋า Birkin หนังจระเข้

“นี่คือจดหมายสั่งเสียของหย่าหย่า เธอบอกว่าต้องเอาให้นายให้ได้”

เวินเสี่ยวฮุยสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขาปัดมือของเธอทิ้ง พูดจาสะเปะสะปะ “ประ…ประ…ประสาทเหรอ ผู้หญิงคนนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับครอบครัวพวกเรานานแล้ว เธอจะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน!” แค่ผู้หญิงคนนั้นที่ต้องการเพียงความยิ่งใหญ่แต่ไร้ยางอายมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของเขามันก็มากพอแล้ว ตายแล้วงั้นเหรอ ฆ่าตัวตายงั้นเหรอ ทำไมล่ะ! ทำไมต้องมาบอกเขา เขาไม่อยากรู้เลยสักนิด!

“เสี่ยวฮุย นายฟังฉันนะ นายเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่หย่าหย่าเชื่อใจ เธอทำได้เพียงฝากเรื่องงานศพให้นายจัดการ นี่คือจุดประสงค์ที่ฉันมาหานาย”

“เรื่องงานศพ? เหอะๆ นอกจากมรดกแล้วฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธอ เธอไปให้พ้นเลย รีบไสหัวไปซะ!” เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกว่าหัวใจของเขาแทบจะแบกรับต่อไปไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เขาต้องหาที่ซ่อนตัวโดยเร็วที่สุดเพื่อช่วยตัวเองจากอารมณ์ที่ใกล้จะพังทลาย เขาวิ่งเข้าไปในทางเดินของตึก

ซุนอิ่งเรียก “มีมรดก!”

ฝีเท้าของเวินเสี่ยวฮุยหยุดชะงัก

“แล้วก็มีลูกด้วย!”

ร่างกายของเวินเสี่ยวฮุยแข็งทื่อ ย่างก้าวของเขาว่างเปล่าราวกับเหยียบบนปุยฝ้าย

ลูกเหรอ…เขาได้ยินว่าหย่าหย่ามีลูกกับผู้ชายคนนั้น น่าจะโตแล้ว เขาไม่เคยเห็นเด็กคนนั้นเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย หลายปีมานี้พวกเขาทำเหมือนกับว่าหย่าหย่าไม่มีตัวตนไปโดยปริยาย แน่นอนว่าจะไม่มีการพูดอะไรเกี่ยวกับเธอ นับตั้งแต่พ่อของเขาตายไป เขานึกว่าทั้งชีวิตนี้เขาจะไม่มีวันข้องแวะใดๆ กับหย่าหย่าอีกแล้ว ไม่คาดคิดเลยว่าเมื่อได้ข่าวของเธออีกครั้งในสี่ห้าปีต่อมาจะกลายเป็นข่าวการเสียชีวิตของเธอไปได้

ซุนอิ่งเดินเข้ามาพลางสะอื้นไห้ “เสี่ยวฮุย ในจดหมายสั่งเสียของเธอก็เขียนไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าเธอทิ้งมรดกส่วนหนึ่งของเธอให้นายกับคุณป้า เพียงแต่หวังว่านายจะดูแลลูกของเธอ หลานของนายน่ะ”

เวินเสี่ยวฮุยหันกลับมามองเธออย่างดุร้าย นัยน์ตาแดงก่ำ “ไปให้พ้น”

ซุนอิ่งยัดจดหมายใส่อกของเขา แล้วถอยออกไปสองก้าว เสียงส้นสูงที่กระทบพื้นดังสะท้อนอยู่ในใจของคนทั้งสองที่แตกสลาย เธอปิดปาก น้ำตาไหลพราก หันหลังวิ่งจากไป

เวินเสี่ยวฮุยตัวแข็งทื่อ มองดูจดหมายฉบับนั้นที่ปลิวตกพื้นตาปริบๆ เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับว่าขาทั้งสองข้างถูกทากาวแน่นเอาไว้แล้ว

ผ่านไปเนิ่นนานเขารู้สึกว่าใบหน้าเริ่มเย็น เมื่อสัมผัสก็รู้สึกเปียก ทันใดนั้นเรี่ยวแรงในร่างกายก็ถูกสูบออกไปจนหมด เขาทรุดตัวนั่งลงกับพื้นแล้วหยิบจดหมายขึ้นมาด้วยความสั่นเทา

“เสี่ยวฮุย เธอเป็นอะไรไป” คุณนายหวังที่อยู่ข้างห้องเดินออกมาจากทางเดินพร้อมกับถุงข้าวของ

เวินเสี่ยวฮุยก้มหน้าลงกล่าวเสียงอู้อี้ “ไม่มีอะไรครับ ดื่มมากไปหน่อย อย่าบอกแม่ผมนะ”

“โธ่เอ๊ย เจ้าเด็กคนนี้นี่ ทำร้ายร่างกายตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก แก่แล้วจะเสียใจ…” คุณนายหวังพึมพำพลางเดินผ่านเขาไป

ไหล่ของเวินเสี่ยวฮุยสั่นเทา ทัศนวิสัยพร่ามัว เขาลุกขึ้นจากพื้นแล้วคว้าซองจดหมาย ก่อนเดินโซซัดโซเซขึ้นชั้นบน และพุ่งเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วปานสายลม เขาลืมไปนานแล้วว่าต้องเปิดประตูอย่างเบามือ หลังจากปิดประตูแล้วก็วิ่งกลับไปที่ห้องแล้วคลุมโปง

หย่าหย่าจากไปแล้ว ฆ่าตัวตาย ฆ่าตัวตาย ฆ่าตัวตาย…

เวินเสี่ยวฮุยกัดริมฝีปากแน่น ไม่กล้าส่งเสียง ทว่าตอนนี้น้ำตาก็ทำให้ผ้าปูที่นอนเปียกชุ่มเป็นวงกว้าง

“เสี่ยวฮุย!” เฝิงเยวี่ยหวาผลักประตูเปิด “ไอ้เด็กเหลือขอ ออกไปเที่ยวมาอีกแล้วใช่ไหม!”

ในสมองของเวินเสี่ยวฮุยส่งเสียงดังหึ่งๆ ในใจของเขามีความคิดเดียวเท่านั้น

จะบอกแม่ไม่ได้

“แกจะคลุมโปงทำไม เสียโฉมแล้วเรอะ รองเท้าก็ไม่ถอด รอยเท้าเปื้อนเต็มพื้นหมดแล้ว ลุกขึ้นมาเลียให้สะอาดเดี๋ยวนี้!” เฝิงเยวี่ยหวาเข้ามาหมายจะดึงผ้าห่มออก

“แม่” เวินเสี่ยวฮุยเรียกด้วยเสียงสะอื้น “แม่อย่าสนใจผม ให้ผมอยู่คนเดียวแป๊บหนึ่งได้ไหม”

เฝิงเยวี่ยหวาตกตะลึง ขมวดคิ้วพลางปล่อยมือ “แกเป็นอะไรไป ร้องไห้เหรอ”

ตอนนี้เวินเสี่ยวฮุยไม่ต้องการพูดอะไรทั้งนั้น เพียงต้องการซ่อนตัว เขาหดตัวเข้าไปในผ้าห่มโดยสมบูรณ์

เฝิงเยวี่ยหวาลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอยออกไปและปิดประตูให้เขา

เสียงกลั้นร้องไห้ค่อยๆ ดังออกมาจากในผ้าห่ม

 

เวินเสี่ยวฮุยไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่ตอนไหน เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ภายในห้องเงียบมาก แม่ของเขาออกไปทำงานแล้วและจะไม่กลับมาในช่วงเที่ยง

เขาลุกขึ้นนั่ง สมองว่างเปล่า ใช้เวลาในการตอบสนองเนิ่นนานกว่าจะดึงวิญญาณกลับมาได้

เขาสูดจมูก น้ำตาไหลรินออกมาพอประมาณแล้วและไม่สามารถร้องไห้ได้อีกต่อไป เขาเปิดผ้าห่มและพบซองจดหมายซองนั้นที่เขาขยำจนยับย่น เขาฉีกมันออกอย่างสั่นเทา

จดหมายนั้นมีเพียงหน้าเดียวซึ่งค่อนข้างสั้นสำหรับคำสั่งเสีย

 

‘เสี่ยวฮุย ขอโทษ ฉันจะไปแล้ว

ไม่รู้ว่าฉันยังมีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นพี่สาวของเธอหรือเปล่า แต่ว่าในใจของฉัน เธอเป็นน้องชายที่ฉันรักที่สุดเสมอ

 

เมื่อเวินเสี่ยวฮุยอ่านสองบรรทัดนี้จบดวงตาก็เปียกชื้นขึ้นมาอีกครั้ง เขาปาดน้ำตาแล้วอ่านด้านล่างต่อไป

 

‘เธออย่าได้สืบหาสาเหตุที่ฉันเลือกที่จะจากโลกนี้ไปเลย และไม่ต้องไปถามใครๆ ด้วย รับปากฉัน จะต้องรับปากฉันนะ นี่ก็เพื่อความปลอดภัยของเธอและคุณป้า นับตั้งแต่วันที่ฉันอยู่กับผู้ชายคนนั้นฉันก็คาดเดาจุดจบของตัวเองไว้แล้ว เธอไม่ต้องเสียใจเพราะฉัน นี่เป็นเพราะฉันสมควรได้รับมันเอง

ฉันเป็นห่วงอยู่อย่างเดียวก็คือลูกชายของฉัน เขาเพิ่งจะครบสิบห้าปีและเป็นเด็กที่โดดเด่นมากด้วย ฉันไม่วางใจที่จะฝากเขาให้กับคนอื่น ฉันอยากจะขอร้องให้เธอดูแล ปกป้อง ให้ความรักและความห่วงใยแก่เขาก่อนที่เขาจะโตเป็นผู้ใหญ่ ในมรดกของฉันมีห้องชุดและเงินสามล้านสำหรับเธอกับคุณป้า ฉันรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถตอบแทนพระคุณของคุณลุงกับคุณป้าที่เลี้ยงดูฉันได้ ฉะนั้นก็ถือซะว่ามันเป็นรางวัลที่ให้เธอดูแลลั่วอี้แทนฉันก็แล้วกัน

เสี่ยวฮุย หลายปีมานี้ฉันใช้ชีวิตอยู่กับความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดมาโดยตลอด ในชั่วขณะสุดท้ายฉันอยากจะบอกเธอว่าตอนที่คุณลุงป่วยหนัก ฉันก็กำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาลเหมือนกัน ฉันขยับตัวไม่ได้ด้วยซ้ำและไม่เต็มใจที่จะให้เขาเห็นสภาพน่าอับอายของฉันก่อนที่เขาจะจากไป ฉันก็เลยไม่ได้ไปหา ฉันรู้ว่าเธอเกลียดฉันเพราะเรื่องนี้มาโดยตลอด ฉันไม่ได้ขอให้เธอยกโทษให้ ฉันแค่อยากให้เธอรู้ว่าฉันรู้สึกซาบซึ้งและรู้สึกผิดกับครอบครัวเธอมากแค่ไหน

ขอให้เธอรับปากฉันเรื่องหนึ่ง ดูแลลูกชายของฉัน ในโลกใบนี้เขาโดดเดี่ยวกว่าฉันซะอีก

ลั่วหย่าหย่า ลายมือสุดท้ายก่อนตาย

 

บทที่ 2

 

หลังอ่านจดหมายสั่งเสียจบเวินเสี่ยวฮุยก็เหม่อลอยอยู่นานกว่าจะได้สติกลับมาอีกครั้ง เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วล้มตัวนอนบนเตียงอย่างแรง มองดูเพดานสีขาวดุจหิมะ ใบหน้าของลั่วหย่าหย่าผุดขึ้นมาในสมอง แต่ละฉากในความทรงจำท่วมท้นอยู่ในใจ

ลั่วหย่าหย่าเป็นลูกสาวบุญธรรมของครอบครัวเขา เธอไม่ได้ถูกรับเลี้ยงตั้งแต่เด็ก ตอนที่หย่าหย่าถูกพ่อของเขารับเลี้ยงเธอก็อายุราวๆ สิบสองสิบสามแล้ว พ่อของหย่าหย่ากับพ่อของเขาเป็นสหายร่วมรบที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาและหลับไปตลอดกาลในภูเขาหิมะที่ชายแดนเพื่อปกป้องพ่อของเขา แม่ของหย่าหย่าไม่ต้องการพาลูกสาวที่โตขนาดนี้ไปแต่งงานใหม่ ดังนั้นพ่อของเขาจึงพาหย่าหย่ากลับมาบ้านโดยไม่ลังเล

ในเวลานั้นพ่อกับแม่ของเขาเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน แม่อายุมากกว่าหย่าหย่าเพียงสิบกว่าปี แน่นอนว่าเธอไม่เต็มใจที่จะเป็นแม่เลี้ยงของเด็กสาวที่โตขนาดนี้ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธ ‘ลูกสาวของผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต’ ได้ ตอนนั้นแม่เป็นพนักงานฝ่ายบัญชีในโรงงานทอผ้า หลังจากพ่อย้ายงานก็ได้รับมอบหมายให้มาเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในโรงงานทอผ้าเช่นกัน ฐานะทางการเงินของครอบครัวสุดแสนจะธรรมดา เมื่อมีคนกินข้าวและไปโรงเรียนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนก็ถือว่าเป็นภาระหนักอึ้งสำหรับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นหย่าหย่าหน้าตาสะสวย และไม่ใช่แค่สวยแบบธรรมดาๆ แต่เป็นหน้าตาชนิดที่ถ้าใครได้เห็นเป็นต้องตกตะลึงจนยากจะลืมเลือนตั้งแต่แรกพบ เมื่อมีคนนอกแบบนี้เข้ามาอยู่ในบ้านก็เกิดช่องว่างขึ้นในใจแม่ของเขา เดิมทีเธอมีนิสัยดื้อรั้นฉุนเฉียวอยู่แล้ว อีกทั้งไม่ใช่คนใจกว้างนัก ทนไปทนมาในที่สุดก็ระเบิดอารมณ์ขณะกำลังตั้งท้องเขา

แม่ของเขาอารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรงขณะตั้งครรภ์ และมักจะทะเลาะกับพ่อเรื่องหย่าหย่าอยู่บ่อยๆ พ่อจะนิ่งเงียบเสียส่วนใหญ่ แต่เมื่อถูกบีบคั้นก็พูดว่าจะทำผิดต่อสหายร่วมรบไม่ได้ เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ต้องเลี้ยงหย่าหย่าจนเติบใหญ่

หย่าหย่าเข้าใจโลกมาก หรือเรียกว่าเจ้าเล่ห์ตามคำบอกเล่าจากแม่ของเขา หลังจากเขาเกิดมาก็เริ่มที่จะมาดูแลเขา ดังนั้นหย่าหย่าจึงแทบจะเป็นคนเลี้ยงเขาตั้งแต่เล็กจนโต ด้วยหัวใจอันเยาว์วัยก็ทำให้เขาสนิทกับพี่สาวมากกว่าพ่อแม่เสียอีก เขายังจำเรียงความที่ตัวเองเขียนเมื่อตอนยังเป็นเด็กได้…คนที่ฉันรักที่สุดในโลก เขาเขียนเกี่ยวกับพี่สาว

ต่อมาหลังจากที่หย่าหย่าจบมัธยมปลายแล้วก็ออกมาทำงาน ตอนนั้นซุนอิ่งเป็นเจ้าของร้านเสริมสวยที่หย่าหย่าทำงานพาร์ตไทม์อยู่และเป็นภรรยาน้อยของเศรษฐีคนหนึ่ง พวกเขาต่างรู้สึกว่าเป็นซุนอิ่งที่ทำให้หย่าหย่าเสียคน ในความทรงจำของเขาหย่าหย่าเคยหายตัวไปช่วงหนึ่ง แต่เพราะตอนนั้นเขาอายุน้อยเกินไปจึงจำไม่ค่อยได้ ตามคำบอกเล่าของแม่ หย่าหย่าไปกับชายผู้มีอำนาจที่แต่งงานแล้วคนหนึ่ง อีกทั้งยังมีลูกด้วยกัน ตอนนั้นเธออายุแค่สิบแปดสิบเก้าเห็นจะได้ ซึ่งพอๆ กับเขาในตอนนี้

การกระทำของหย่าหย่าทำให้พ่อโมโหจนกระอักเลือด นี่ไม่ใช่การเปรียบเปรย แต่เขากระอักเลือดจริงๆ พ่อของเขาได้รับบาดเจ็บในสนามรบ ร่างกายตึงเครียดและทรุดลงอย่างต่อเนื่องตามวัยที่มากขึ้น ส่วนหย่าหย่าก็เริ่มกลับบ้านน้อยลงตั้งแต่ตอนนั้น และความสัมพันธ์กับครอบครัวของเขาก็ยิ่งห่างเหินขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ดีเขาไม่เคยบอกพ่อกับแม่ หรือบางทีพ่อกับแม่อาจจะรู้อยู่แล้วแต่ไม่เคยพูด ตอนนั้นเขายังคงติดต่อกับหย่าหย่าตลอดเวลา เขาในวัยเด็กไม่เข้าใจความชั่วความดีของผู้ใหญ่ รู้เพียงว่าพี่สาวก็คือพี่สาวซึ่งเธอดีกับเขาตั้งแต่เล็กจนโต พอพี่สาวทำงานมีเงิน บางครั้งก็จะไปหาเขาที่โรงเรียน ซื้อนั่นซื้อนี่ให้เขา พาเขาไปกินไปเที่ยว สำหรับเขาแล้วนอกจากพี่สาวไม่กลับบ้านก็แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย

หลังผ่านไปอีกหลายปีเขาก็เติบโตขึ้นจริงๆ และค่อยๆ เข้าใจอะไรมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ได้รับอิทธิพลจากพ่อกับแม่มาด้วยจึงเริ่มมีมุมมองที่ต่างออกไปจากเดิมเกี่ยวกับหย่าหย่า ส่วนเหตุผลที่ทำให้เขาตัดขาดความสัมพันธ์กับหย่าหย่าจริงๆ ก็คือการเสียชีวิตของพ่อเขา

มันเป็นเรื่องเมื่อสี่ปีก่อน พ่อของเขาป่วยหนักอยู่บนเตียงและต้องการจะพบหน้าหย่าหย่าอีกสักครั้ง เขาไม่รู้ว่าหย่าหย่าอาศัยอยู่ที่ไหน เขาโทรศัพท์ไปนับครั้งไม่ถ้วน ขอร้องให้หย่าหย่ากลับมา ทว่าท้ายที่สุดเธอก็ไม่กลับมา แม่ของเขากล่าวหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเป็นหย่าหย่าที่ทำให้พ่อโกรธจนล้มป่วย เมื่อก่อนเขาไม่กล้าเห็นด้วย แต่เพราะเรื่องนี้เขาจึงไม่สามารถเห็นเธอเป็นพี่สาวได้อีกต่อไป เขาเกลียดความเห็นแก่ตัว ความใจจืดใจดำ และความโหดร้ายของเธอ จึงได้แต่ถือว่าครอบครัวของเขาไม่เคยมีคนดังกล่าวอยู่ในครอบครัวมาก่อน

ชีวิตคนเรายาวนานขนาดนั้น เขานึกว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะได้เจอกันอีกครั้ง แต่ไม่คาดคิดว่าเมื่อได้รับข่าวของหย่าหย่าอีกครั้งจะเป็นครั้งที่สวรรค์และมนุษย์พรากจากกันตลอดกาล เมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้า ความคับข้องใจทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็เจือจางจนแทบจะมองไม่เห็น ในทางตรงกันข้ามความใจดีที่เธอเคยปฏิบัติต่อตัวเองกลับแจ่มชัดขึ้นในใจ

มีเบอร์โทรศัพท์ของทนายด้านล่างสุดของจดหมายสั่งเสีย เวินเสี่ยวฮุยอ่านมันอยู่หลายรอบจนแทบจะจำได้อยู่แล้ว เขาควรโทรไปหาเบอร์นี้หรือเปล่า เขาจะต้องช่วยหย่าหย่าเลี้ยงดูเด็กคนนี้จริงเหรอ สิบห้าปี…ก็ไม่ได้อ่อนกว่าเขาเท่าไรนี่นา เด็กโตขนาดนี้เขาจะเลี้ยงดูได้อย่างไร ขนาดตัวเองยังแทบจะเอาตัวไม่รอดเลย

เขาควรบอกเรื่องนี้กับแม่ของเขาหรือเปล่า แม่ไม่ชอบหย่าหย่ามาตลอด ถึงอย่างนั้นเขาก็เข้าใจแม่ แม้ว่าแม่จะปากร้ายทว่าไม่ใช่คนใจร้ายอะไร แต่ถ้าได้ข่าวการเสียชีวิตของหย่าหย่า แม่จะต้องโกรธจัดแน่ๆ แถมไม่มีวันที่จะรับลูกของหย่าหย่ามาเลี้ยงเป็นอันขาด หรือบางทีแม่อาจจะเห็นแก่ห้องชุดห้องนั้นกับเงินสามล้านแล้วเปลี่ยนใจก็ได้

เวินเสี่ยวฮุยครุ่นคิดจนปวดหัวก็ยังไม่ได้ข้อสรุป ท้ายที่สุดเขาตัดสินใจอย่างเฉียบขาดก่อนที่ตัวเองจะต้องมานึกเสียใจทีหลัง เขาหยิบมือถือออกมาติดต่อหาทนาย ไม่ว่าจะอย่างไรหย่าหย่าก็ฝากฝังกับเขาเอาไว้ เขาจะไม่ไปเจอหน้าเด็กคนนั้นสักครั้งก็คงไม่ได้

ในไม่ช้าอีกฝ่ายก็รับสาย “สวัสดีครับ เฉาไห่ครับ”

“เอ่อ…ทนายเฉา สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าใครครับ”

“ผมคือ…เวินเสี่ยวฮุย”

“คุณเวิน? ผมกำลังรอสายจากคุณอยู่เลย”

“อ่อ” ปกติเวินเสี่ยวฮุยวาจาเชือดเฉือน สามารถด่าคนห้านาทีโดยไม่ซ้ำคำ แต่ในตอนนี้กลับตื่นเต้นจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

เฉาไห่ลดเสียงลง “คุณเวินครับ ถ้าคุณไม่ยุ่งล่ะก็ บ่ายพรุ่งนี้พวกเรามาเจอกันหน่อยดีไหมครับ มีหลายเรื่องที่พวกเราต้องคุยกันต่อหน้า แน่นอนว่าลั่วอี้ก็มาด้วย”

“ได้ครับ”

“งั้นก็ตกลงตามนี้ อีกเดี๋ยวผมจะส่งเวลากับที่อยู่ให้คุณ”

“งานศพของเธอเรียบร้อยแล้วหรือยังครับ” เวินเสี่ยวฮุยโพล่งออกมา

ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง “เรื่องนี้…พวกเราไว้คุยกันต่อหน้าเถอะครับ”

“…ก็ได้ครับ”

เวินเสี่ยวฮุยลุกขึ้นมาอาบน้ำ จากนั้นประคบตาด้วยก้อนน้ำแข็งอยู่พักใหญ่ เมื่อมองดวงตาที่ยังคงแดงก่ำและแววตาที่อิดโรยในกระจก เขาก็ไม่อยากออกจากห้องเลยจริงๆ แต่ว่าเขายังคงต้องไปทำงาน

หลังเรียนจบมัธยมปลายเขาสอบไม่ติดมหาวิทยาลัยดีๆ แล้วก็ไม่อยากเรียนหนังสืออยู่แล้วเนื่องจากสนใจด้านการแต่งหน้าทำผมตั้งแต่เด็ก ศึกษาไปศึกษามาก็เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้าง แอ็กเคานต์เวยป๋อ* ด้านการแต่งหน้าที่เขาสร้างขึ้นมีแฟนคลับติดตามอยู่ถึงหกหมื่นกว่าคน และด้วยเหตุนี้เขาจึงมีโอกาสได้รับเงินพิเศษ อีกทั้งยังไปเข้าตาหุ้นส่วนของจวี้ซิงสไตลิ่งสตูดิโอซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในวงการอีกด้วย ซึ่งตอนนี้เขาก็กำลังฝึกงานอยู่ที่จวี้ซิง

แม้เงินเดือนของเด็กฝึกงานจะอยู่ที่หนึ่งพันห้าร้อยหยวนเท่านั้น แต่ว่านี่เป็นสถานที่ที่คนจำนวนมากไม่มีปัญญาเข้ามาแม้จะทุ่มเงินก็ตาม ตราบใดที่ได้ฝึกงานที่จวี้ซิงปีครึ่ง ต่อไปก็จะสามารถหางานที่ดีได้ทุกที่ สิ่งที่สามารถเรียนรู้และผู้คนที่ได้คลุกคลีที่นั่นล้วนไม่ธรรมดา การเข้าสู่วงการแฟชั่นและวงการบันเทิงในอนาคตก็จะง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ

เขามาถึงสตูดิโอด้วยความเร่งรีบ ทันทีที่เข้าไปเสียงแผดตะโกนของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น

“นี่ นาย มาสายสิบห้านาทีนะ”

เวินเสี่ยวฮุยพูดเสียงเบา “รถติด”

“คนอื่นขับรถจะบอกว่าตัวเองรถติดก็ได้ แต่นายนั่งรถไฟใต้ดินจะไปติดบ้าอะไร ชนกับไส้เดือนเหรอ” ผู้ชายที่ทำผมไฮไลต์สีเบจเดินเข้ามา รูปร่างของเขาไม่สูง สวมกางเกงหนังทรงสกินนี่ เข้ากับร่างเล็กที่บางเหมือนไม้กระดานหวาย เขาผอมจนใบหน้าตอบ คิ้วตาจมูกนับว่าไม่เลว น่าเสียดายที่ต่อให้แต่งหน้าหนากว่านี้ก็ปกปิดสีหน้าร้ายๆ ของเขาไว้ไม่อยู่

คนคนนี้คือ Luca ซึ่งเวินเสี่ยวฮุยแอบตั้งชื่อให้ว่าเป็นคนเลวอันดับหนึ่งในสตูดิโอ เป็นเด็กฝึกงานเหมือนกับเขา เพียงแต่ทำงานมาก่อนเขาครึ่งปี และเอาแต่หาเรื่องตลอดเวลาตั้งแต่เขาเข้ามาทำงานวันแรก ถ้าเป็นเวินเสี่ยวฮุยในเวลาปกติก็คงไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายเหน็บแนมหรอก แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะสนใจกับการยั่วยุแบบนี้จริงๆ จึงวางกระเป๋าแล้วเดินเข้าไปข้างใน

“เอ๋?” Luca เดินเข้ามา เชิดคางของเขาขึ้น “เป็นอะไรไป ตาแดงยังกับกระต่าย โดนเทเหรอ หรือว่าอกหักแล้วก็เลยอ่อนไหว?”

“ดื่มมาน่ะ” เวินเสี่ยวฮุยปัดมือของเขา “เลิกวุ่นวายกับฉันสักที”

“ชิ” Luca จ้องเขา “เสวี่ยหลีมาแล้ว รอนายอยู่น่ะ”

เวินเสี่ยวฮุยสูดหายใจเฮือกใหญ่ ฝืนทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า จากนั้นปั้นยิ้มเดินเข้าไปแล้วเรียกด้วยความอ่อนหวาน

“พี่เสวี่ยหลี”

ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเล่นมือถืออยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมา เธอดูเหมือนอายุแค่ยี่สิบเจ็ดเท่านั้น หน้าตาสวยเย้ายวน ตั้งแต่ทรงผม การแต่งหน้า ไปจนถึงเครื่องประดับและเสื้อผ้า ไม่มีส่วนไหนที่ไม่ประณีตหรูหราเลย ทั่วทั้งตัวของเธอคนนี้ดูเหมือนกำลังเปล่งประกาย

เสวี่ยหลียู่ปาก “Adi ทำไมถึงนานขนาดนี้”

“เมื่อคืนเพื่อนฉลองวันเกิดก็เลยดื่มมากไปหน่อยน่ะครับ” เวินเสี่ยวฮุยนั่งลงพร้อมรอยยิ้มสดใส ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังเกินจริงจนคนทั้งสตูดิโอได้ยิน “ว้าว Cartier คอลเล็กชั่นสปริงรุ่นลิมิเต็ดอีดิชั่นที่เพิ่งออกใหม่เหรอ” เขาคว้าข้อมือบอบบางของเสวี่ยหลีขึ้นมา นิ้วสัมผัสสร้อยข้อมือเพชรอันวิจิตรงดงามเส้นนั้นแผ่วเบา เมื่อเหลือบเห็นว่าลูกค้าหลายคนที่กำลังทำผมอยู่ในสตูดิโอต่างมองมาทางนี้ เขาก็รู้ว่าภารกิจของเขาในวันนี้บรรลุผลแล้ว

หลังจากเสวี่ยหลีรู้สึกได้ถึงแววตาอิจฉาริษยาเหล่านั้นแล้วก็หัวเราะอย่างมีความสุข

“สวยใช่ไหมล่ะ ตอนนั้นฉันไปช็อปปิ้งในร้าน แค่เห็นแวบแรกก็ชอบเลย ทั้งประเทศมีเส้นนี้แค่เส้นเดียวนะ”

“ทั้งประเทศมีแค่เส้นเดียวเหรอ! สวยปังมาก โดยเฉพาะเวลาที่อยู่บนข้อมือคนสวยๆ อย่างพี่เสวี่ยหลี สวยกว่าอยู่ในตู้โชว์หมื่นเท่าเลย!”

เสวี่ยหลีหยิกแก้มของเขา “เสี่ยวฮุยปากหวานจริงๆ” เธอเปิดกระเป๋าแล้วหยิบกล่องของขวัญออกมาจากข้างใน “อ้ะ ของฝากที่ฉันซื้อมาฝากเธอจากญี่ปุ่น แล้วอย่ามาหาว่าพี่สาวไม่รักเธอล่ะ”

เวินเสี่ยวฮุยเปิดกล่องของขวัญออก ข้างในมีกระเป๋าสตางค์ Prada นอนแน่นิ่งอยู่ เขาขอบคุณด้วยความตกใจและดีใจเป็นเวลานาน ทำเอาเสวี่ยหลีหัวเราะไม่หยุด

เสวี่ยหลีดูเวลา “งั้นฉันไปก่อนนะ”

ดวงตากลมโตของเวินเสี่ยวฮุยเป็นประกาย “พี่เสวี่ยหลี พี่ตั้งใจเอาของฝากมาให้ผมเหรอ ทำยังไงดี ซาบซึ้งจะตายอยู่แล้ว”

“ทางผ่านระหว่างไปสถานีนี่นา ถึงยังไงช่วงนี้ก็ว่างๆ ด้วย จริงสิ ฉันมีงานวันเสาร์ วันนั้นทำตัวให้ว่างเพื่อฉันหน่อยนะ”

“ไม่มีปัญหา ธุระของพี่เสวี่ยหลีสำคัญที่สุดสำหรับผมอยู่แล้ว” เขาเดินไปส่งเสวี่ยหลีที่หน้าประตู

ก่อนที่เสวี่ยหลีจะออกไปข้างนอก จู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ “Adrian นายก็อย่าเอาแต่ดื่มเหล้าไม่หลับไม่นอนสิ วันนี้สีหน้าดูแย่มากเลย หน้านี่ซีดเชียว…อา ไม่ใช่ว่านายเจอรองพื้นอะไรดีๆ หรอกนะ ดูเป็นธรรมชาติมากเลย”

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะพลางเอ่ย “เปล่าสักหน่อย วันนี้ผมไม่ได้แต่งหน้า”

เสวี่ยหลีส่งเสียงหึออกมา “อายุน้อยนี่ดีจริงๆ ผิวนุ่มจนน้ำแทบจะหยดออกมาได้”

“ผิวของพี่เสวี่ยหลีต่างหากที่นุ่มจนน้ำแทบจะหยดออกมาได้ ยังจะว่าคนอื่นอีก”

เสวี่ยหลีหัวเราะพรืด “เอาล่ะ ฉันไปแล้ว ไม่ต้องส่งหรอก”

“พี่เสวี่ยหลี” เวินเสี่ยวฮุยเรียกเธอไว้

“หืม?”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มพร้อมกับพูดอย่างจริงใจ “อันที่จริงวันนี้ผมดวงซวยมากๆ เรื่องดีเรื่องเดียวก็คือการได้เจอพี่ ขอบคุณมากครับ”

เสวี่ยหลียิ้มบางๆ กะพริบตา ก่อนโบกมือแล้วจากไป

หลังจากส่งคนแล้วเวินเสี่ยวฮุยพิงอยู่ตรงประตู เขาถอนหายใจหนักๆ อีกรอบ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมาค้างหรือร้องไห้นานเกินไป ตอนนี้เขารู้สึกว่าศีรษะแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนจะหมดสติไปได้ทุกเมื่อ

เมื่อเดินกลับเข้ามาในสตูดิโอ Luca ที่กำลังทำผมให้คุณนายคนหนึ่งก็จงใจพูดเสียงดัง “ใช่แล้ว ก็เสวี่ยหลีคนที่เป็นพิธีกรรายการบันเทิงช่องสองนั่นไง จะต้องมีเสี่ยเลี้ยงแน่ๆ สร้อยข้อมือเส้นนั้นคือรายได้ทั้งปีของนางเลยนะ”

กองเพลิงก่อตัวขึ้นในใจของเวินเสี่ยวฮุย เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “Luca เอ๊ย นายมาเป็นสไตลิสต์นี่ไม่สมกับความสามารถของนายเลยนะ ทำไมไม่ไปเป็นหน่วยสืบราชการลับล่ะ คุณนายจาง คุณต้องระวังเวลาพูดกับ Luca หน่อยนะครับ Luca มีแค่ความสามารถในการนินทาคนอื่นแบบหน่วยสืบราชการลับเท่านั้น แต่ไม่มีความสามารถในการเก็บความลับอย่างพวกหน่วยสืบราชการลับหรอกนะครับ”

Luca ขึ้นเสียง “เวินเสี่ยวฮุยนายหมายความว่ายังไงฮะ!”

“จางสยงนายหมายความว่าอะไร!” เวินเสี่ยวฮุยจิ้มที่หน้าผากของเขาด้วยเพลิงโทสะแห่งความชั่วร้าย “ปากของนายวันๆ เอาแต่โกหก นายมีสิทธิ์อะไรมานินทาลูกค้าของฉัน”

“นายมันไอ้…”

“เสียงดังอะไรกัน!” เสียงตะโกนดังมาจากในออฟฟิศ ชายที่มีผ้าปิดตาอยู่บนศีรษะพุ่งตัวออกมาจากข้างใน “ยังมีลูกค้าอยู่ที่นี่ ดูสภาพของพวกนายสองคนสิ ไม่อยากทำงานกันแล้วหรือไง!”

คนที่ด่าเป็นชายวัยสามสิบต้นๆ ตาสองชั้นแบบยุโรปที่กว้างเป็นพิเศษดูไม่ค่อยเข้ากับรูปหน้าแบบเอเชียของเขาสักเท่าไร แต่ก็นับว่าเป็นคนหน้าตาดี

เวินเสี่ยวฮุยพูดเสียงเบาทันที “Raven ขอโทษทีครับ ผมผิดไปแล้ว” Raven เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของสตูดิโอจวี้ซิง เป็นสไตลิสต์และช่างแต่งหน้าที่มีชื่อเสียงในวงการ อีกทั้งยังมีทรัพยากรอย่างดาราแถวหน้าอยู่ในมือไม่น้อย แม้จะเคยได้ยินมาว่ามีนิสัยขี้กังวลและชีวิตส่วนตัวยุ่งเหยิงเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าเวินเสี่ยวฮุยก็ชื่นชมเขามาก ไม่ใช่เพราะเหตุอื่นใดแต่เพราะความแข็งแกร่งและความสามารถของเขา

Luca ลดมาดใหญ่โตลงมาในทันที “Raven ขอโทษที”

Raven มองค้อนเขาก่อนจะยิ้มพลางเดินเข้าไป “พี่จาง ขอโทษด้วยนะครับ เด็กใหม่ไม่รู้เรื่อง วันนี้ให้ผมรับผิดชอบดีไหมครับ”

คุณนายจางพยักหน้าอย่างสง่างาม

* ซานหลี่ถุน ตั้งอยู่ในเขตเฉาหยาง กรุงปักกิ่ง เป็นย่านที่เต็มไปด้วยบริษัท สำนักงาน และห้างร้านที่มีชื่อเสียงมากมาย อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมตัวของนักเที่ยวในยามค่ำคืน

** เซียงซาน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงฤดูใบไม้ร่วง โดยผู้คนมักจะนิยมขึ้นไปชมใบไม้เปลี่ยนสีหรือใบไม้แดงกันที่นี่ ซึ่งสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่เกือบสุดเขตของกรุงปักกิ่ง

* เวยป๋อ เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่างหนึ่งของจีน คล้ายกับ Facebook

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 10 มี.. 66

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: