X
    Categories: กระวานน้อยแรกรักทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน กระวานน้อยแรกรัก บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 8

เผยซื่อตบแผ่นหลังของหมิงถานเบาๆ เอ่ยปลอบขวัญว่า “ท่านโหว ท่านสงบโทสะก่อนเถิดเจ้าค่ะ!”

ต่อจากนั้นหมิงถานก็เล่าเรื่องที่ตนเองตกน้ำในคืนเทศกาลซั่งหยวนให้หมิงถิงหย่วนฟังตามความเป็นจริง

เมื่อได้ยินว่าวันนั้นหมิงถานมิได้มีการสัมผัสใกล้ชิดทางผิวหนังกับเหลียงซื่อจื่อ อีกทั้งคนนอกก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคนที่ตกน้ำคือหมิงถาน เขาถึงพอจะบรรเทาโทสะลงไปได้เล็กน้อย

หมิงถิงหย่วนเอ่ยว่า “จวนลิ่งกั๋วกงเสียสติไปแล้วหรือไร ถึงได้วางแผนต่ำช้าเช่นนี้ได้!”

นี่ก็เป็นจุดที่เผยซื่อรู้สึกแปลกพิกลเช่นเดียวกัน “ว่ากันตามหลักเหตุผล ทั้งสองจวนก็มีสัญญาหมั้นหมายกันตั้งแต่แรกแล้ว พอท่านโหวกลับเมืองหลวงก็จะได้เริ่มเตรียมงานแท้ๆ การวางแผนสร้างเรื่องตกน้ำเพื่อลงไปช่วยนี่นับว่าหาเรื่องเกินความจำเป็นจริงๆ” นางชะงักไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “นอกเสียจากจวนลิ่งกั๋วกงคิดว่าหลังจากท่านโหวกลับมาเมืองหลวงแล้ว การแต่งงานคราวนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น”

เปลี่ยนแปลง…เปลี่ยนแปลงอันใด เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ไป๋ซื่อได้หาคู่หมั้นหมายให้หมิงถานตั้งแต่ยังเล็กๆ สัญญาแต่งงานนี้ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็รู้กันทั่ว บุตรชายของฮูหยินลิ่งกั๋วกงใกล้จะตายเลยอยากล่อลวงลูกสะใภ้แต่งเข้าจวนไปไว้ทุกข์เพื่อช่วยตระกูลพวกเขาสะสมซุ้มประตูสรรเสริญของกุลสตรีรักษาพรหมจารีหรือไร ถ้าใกล้ตายแล้วยังกล้าลงน้ำในฤดูหนาวเช่นนั้นก็รีบๆ ตายอยู่ใต้น้ำไปเสียจะได้สิ้นเรื่อง!

คำพูดเหล่านี้ของหมิงถิงหย่วนมาถึงริมฝีปากแล้ว ทันใดนั้นก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้… หลายปีมานี้เขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง อาจจะมีเรื่องมากมายที่เขายังรู้สถานการณ์ไม่รอบด้าน หรือว่าจวนลิ่งกั๋วกงไปเกี่ยวข้องกับเรื่องร้ายแรงอันใดที่มิอาจรับมือได้ เลยจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากการแต่งงานนี้จับเขาหมิงถิงหย่วนมัดลงเรือลำเดียวกัน

คนเป็นขุนนางไม่ว่าเรื่องใดก็สามารถโยงไปเกี่ยวกับราชสำนักได้ พอเห็นว่าหมิงถิงหย่วนมีสีหน้าหนักอึ้ง ไม่รู้ว่าคิดเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหน หมิงถานก็รีบพูดขึ้นอย่างสะอึกสะอื้นว่า “จะ…จริงๆ แล้วลูกรู้เจ้าค่ะว่าเหตุใดสกุลเหลียงถึงได้ทำเช่นนี้…”

นางเล่าเรื่องที่ได้ยินมาจากในห้องหนังสือของจวนชางกั๋วกงออกมาทั้งหมดอย่างละเอียดยิบ

“ลักลอบได้เสียกับญาติผู้น้องของตนเอง ซ้ำยังให้กำเนิดบุตรชายอายุสองขวบแล้ว?” ฟังจบ ความแตกตื่นตกใจในใจของหมิงถิงหย่วนกับเผยซื่อก็แทบจะไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

หมิงถิงหย่วนเอ่ยว่า “เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้เหตุใดเจ้าถึงไม่รีบบอกตั้งแต่แรก!”

หมิงถานร้องไห้พลางหลุบตาเอ่ย “ลูกคิดว่าการหมั้นหมายครั้งนี้มารดาบังเกิดเกล้าอุตส่าห์กำหนดให้ นอกจากนั้นยังได้ยินว่าสกุลเหลียงของพวกเขาพอจะมีรากฐานในกรมปกครองอยู่พอสมควร ลูกไม่เข้าใจเรื่องในราชสำนัก จึงกลัวว่าหากล้มเลิกการหมั้นหมายนี้แล้วจะส่งผลกระทบต่อการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งโยกย้ายท่านพ่อกลับมาเมืองหลวง…”

“สกุลเหลียงของพวกเขาเป็นใครมาจากไหน! จะมากระทบการโยกย้ายเลื่อนตำแหน่งของบิดาได้!” หมิงถิงหย่วนระเบิดโทสะดุจอสนีบาต แม้แต่คำว่า ‘บิดา’ ก็หลุดโพล่งออกมาจากปาก

“ท่านพ่ออย่าได้โมโหจนเสียสุขภาพเลยเจ้าค่ะ”

ดูสิ ป่านนี้แล้วยังเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะโมโหจนเสียสุขภาพอยู่อีก บุตรสาวของเขาสะโอดสะอง รู้วิชา เข้าใจขนบมารยาท อ่อนโยนสง่างาม ทั้งยังรู้จักเห็นแก่ภาพรวม ยึดถือความกตัญญูเป็นที่ตั้ง แทบจะเรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของกุลสตรีตระกูลมีชื่อเสียงอย่างหาตัวจับยาก ไหนเลยจะยอมให้เจ้าเด็กโง่เง่าไร้คุณธรรมของสกุลเหลียงมาย่ำยีได้เยี่ยงนี้!

“อาถานไม่ต้องกลัว เรื่องนี้พ่อจะจัดการให้เอง” เพลิงโทสะในใจของหมิงถิงหย่วนลุกโชนถึงขีดสุด ไม่ทนรอแม้แต่เพียงชั่วครู่ พอพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อพุ่งปรี่ออกไปจากประตูทันที

“ท่านโหว! ท่านโหว!”

เผยซื่อเรียกเขาไว้ไม่ทัน นางรีบปลอบใจหมิงถานด้วยสุ้มเสียงนุ่มละมุนว่า “อาถาน เรื่องนี้ท่านโหวจะต้องจัดการให้แน่นอน แต่หุนหันพลันแล่นเช่นนี้ก็คงไม่ดี เจ้าไม่ต้องกังวลไป ให้ซู่ซินกับลวี่เอ้อปรนนิบัติเจ้ากลับไปพักผ่อนก่อน ข้าจะไปพูดกับท่านโหวสักประเดี๋ยว”

หมิงถานเองก็คิดเช่นนี้ หยาดน้ำตาบนใบหน้านางยังไม่ทันแห้งก็พยักหน้าพลางเอ่ย “ท่านแม่ ท่านต้องโน้มน้าวท่านพ่อให้ได้นะเจ้าคะ”

เผยซื่อมิได้พูดอันใดมาก เพียงรีบเร่งไล่ตามออกไปโดยเร็ว

ซู่ซินกับลวี่เอ้อฟังเสียงร้องไห้เสียงตวาดอยู่นอกเรือนมาพักใหญ่ ในใจจึงอดเป็นห่วงเป็นใยมิได้ พอได้รับคำสั่งจากเผยซื่อก็รีบเร่งวิ่งเข้าไปในห้องทันที

“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ!”

“คุณหนูไม่…” ซู่ซินยังไม่ทันพูดจบก็หยุดชะงักอยู่กับที่ในทันใด

ภายในห้องเงียบสงัด

อาหารจานเลิศเต็มโต๊ะกว่าครึ่งยังไม่ถูกแตะต้อง

คุณหนูของนางนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ใช้มือพัดดวงตาไปพลางรินน้ำชาให้ตนเองอย่างเนิบช้าไปพลาง

“…ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ” ซู่ซินพูดครึ่งประโยคหลังจบอย่างไม่รู้ตัว

หมิงถานเอ่ยตอบ “ไม่เป็นไรมากหรอก แค่ผ้าเช็ดหน้าที่เจ้าจุ่มน้ำกระเทียมกลิ่นแสบฉุนไปสักหน่อย”

เมื่อหมิงถานแสดงละครฉากใหญ่นี้จบ สิ่งที่ทำได้ต่อจากนี้ก็คืออยู่เฉยๆ รอคอยข่าวดี

อีกด้านหนึ่ง หมิงถิงหย่วนรีบเดินปรี่ออกจากประตู เผยซื่อก็ไล่ตามไปอย่างรีบร้อนลนลาน ยกเหตุผลมาพูดเกลี้ยกล่อมเขา โน้มน้าวหมิงถิงหย่วนที่เกือบจะพุ่งพรวดตรงไปยังจวนลิ่งกั๋วกงเอาไว้ได้ในที่สุด

เขานึกถึงจดหมายที่เขียนบอกไว้ว่าสองพี่น้องคู่นั้นถูกพาตัวกลับมาเมืองหลวงแล้ว สามารถไปสอบสวนต่อหน้าได้ทุกเมื่อ เผยซื่อจึงสั่งให้คนตระเตรียมรถม้า คิดจะแวะไปที่จวนชางกั๋วกงกับหมิงถิงหย่วนสักครา

การไปเยือนจวนชางกั๋วกงในครั้งนี้ ประการแรกแน่นอนว่าต้องการไปเจอสองพี่น้องคู่นั้น ทำความเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดด้วยตนเอง ประการที่สองชางกั๋วกงไป๋จิ้งหยวนเป็นลุงแท้ๆ ของหมิงถาน การแต่งงานนี้ไป๋ซื่อน้องสาวของเขาเป็นผู้กำหนดไว้เมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหากได้หารือเรื่องการถอนหมั้นกับเขาก่อน ก็ยิ่งแสดงออกถึงมิตรภาพระหว่างทั้งสองจวนได้มากขึ้น

 

เรื่องที่จวนจิ้งอันโหววางแผนจะถอนหมั้น จวนลิ่งกั๋วกงยังคงไม่รู้เรื่องราวแม้แต่น้อย แต่พอได้ข่าวว่าจิ้งอันโหวเดินทางกลับถึงเมืองหลวงแล้ว หลี่ซื่อฮูหยินของลิ่งกั๋วกงย่อมรู้ดีว่าความลับไม่มีในโลก ถ้าหากอยากจะรักษาการแต่งงานครั้งนี้เอาไว้ เรื่องในจวนตนเองก็จะถ่วงเวลาเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป

นางสั่งให้บ่าวรับใช้จัดเก็บสัมภาระตระเตรียมรถม้าตั้งแต่เช้าตรู่อย่างไม่บอกไม่กล่าวล่วงหน้า เตรียมตัวจะส่งคนออกไปจากเมืองหลวง

“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จูเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าป้าไม่สงสารเจ้า ป้ากับญาติผู้พี่เจ้าก็คิดหาวิธีมากมาย เพียงแต่…” หลี่ซื่อมองสตรีที่เดินร้องไห้เข้ามาในห้องของตนและยามนี้ตัวอ่อนเปลี้ยทรุดนั่งลงกับพื้นไปแล้ว เอ่ยด้วยความสงสารเวทนา “เจ้าพาหมิ่นเกอเอ๋อร์ไปอยู่ที่ลี่โจวสักระยะหนึ่งก่อน รอให้คุณหนูสกุลหมิงแต่งเข้าจวนมาแล้ว สองสามีภรรยาเริ่มมีความรักความผูกพันกัน แล้วค่อยบอกเรื่องของเจ้ากับหมิ่นเกอเอ๋อร์ให้นางรู้ เดี๋ยวก็มีโอกาสให้ปรึกษาหารือกันเองนั่นล่ะ”

“รอจนเริ่มมีความรักใคร่ผูกพัน ทางคุณหนูสกุลหมิงผู้นั้นจะยอมให้รับอนุภรรยาหรือเจ้าคะ” สตรีที่ถูกเรียกว่า ‘จูเอ๋อร์’ น้ำตาไหลอาบแก้มไม่ยอมหยุด “เมื่อมีภรรยาคนงามอยู่ในอ้อมกอด พอถึงยามนั้นญาติผู้พี่มีหรือจะจำจูเอ๋อร์ได้!”

“จะเป็นไปได้อย่างไร!” เหลียงจื่อเซวียนรีบลุกพรวดขึ้นมา

หลี่ซื่อตวัดสายตามองเขาปราดหนึ่ง บอกเป็นนัยให้เขาหุบปาก ต่อมาก็หันไปหาจูเอ๋อร์ เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “หมิ่นเกอเอ๋อร์เป็นบุตรชายคนโตของญาติผู้พี่เจ้า แล้วเจ้าก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดหมิ่นเกอเอ๋อร์ เขาจะจำเจ้าไม่ได้ได้อย่างไร ที่ต้องจัดการเช่นนี้ ทั้งหมดก็เพื่ออนาคตของญาติผู้พี่เจ้า อนาคตของญาติผู้พี่เจ้าก็คืออนาคตของหมิ่นเกอเอ๋อร์ หลักเหตุผลง่ายๆ เช่นนี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ”

พอฟังถึงตรงนี้จูเอ๋อร์ก็หยุดร้องไห้ มองไปทางหลี่ซื่อด้วยแววตาวาววับหยาดน้ำตา

“เอาล่ะ ป้าได้จัดเตรียมที่พักที่ลี่โจวเอาไว้ให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว เจ้าก็พำนักอย่างสบายใจเถิด พอถึงตอนนั้น ญาติผู้พี่ของเจ้าจะรับพวกเจ้าสองแม่ลูกกลับเมืองหลวงอย่างมีหน้ามีตาเอง”

จูเอ๋อร์ยังคิดจะเรียกร้องอันใดบางอย่างอีก ทว่าหลี่ซื่อกลับหลุบตาทั้งสองข้างลง ยกถ้วยชาขึ้นมา แสดงออกชัดเจนว่าการสนทนาสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ ไม่ยินดีจะเจรจาอันใดอีก

บ่าวรับใช้ซึ่งยืนรออยู่อีกด้านเห็นดังนั้นก็เดินเข้าไปจับตัวจูเอ๋อร์ไว้ หนึ่งคนกดหนึ่งข้าง จากนั้นก็กึ่งดึงกึ่งลากพาตัวนางออกไป

“ญาติผู้พี่! ญาติผู้พี่!…” จูเอ๋อร์มองไปทางเหลียงจื่อเซวียนด้วยความอาลัยอาวรณ์ ซ้ำยังตะโกนเรียกเขาไม่หยุด

เหลียงจื่อเซวียนทนดูไม่ไหว ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองก็รักใคร่ลึกซึ้งร่วมเรียงเคียงหมอนด้วยกันมานาน พอจูเอ๋อร์ออกไปจากเรือนแล้ว เขาก็อดพูดขอความเมตตามิได้ “ท่านแม่ เรื่องนี้ไม่มีหนทางให้ไกล่เกลี่ยเลยหรือ ญาติผู้น้องนาง…”

“ก็เพราะผลกรรมที่เจ้าก่อนั่นล่ะ!” หลี่ซื่อวางถ้วยชาลงอย่างรุนแรง ตะคอกด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “เจ้าเองก็ไสหัวกลับไปเรียกสติตนเองกลับมาเสีย อย่ามาเกะกะขวางหูขวางตาข้า!”

อยู่ข้างนอกเหลียงจื่อเซวียนเป็นคุณชายสูงศักดิ์งามสง่า แต่ยามอยู่ในจวนเขากลับไม่กล้าโต้แย้งมารดาแม้แต่ครึ่งคำ เพียงตวาดเขาสักหน่อยเขาก็ตกใจกลัวจนรีบคารวะลวกๆ แล้วผลุนผลันออกไปทันที

หลี่ซื่อจ้องมองแผ่นหลังของเหลียงจื่อเซวียน จากนั้นก็หลับตาลง ปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นที่สุด

ในบรรดาฮูหยินทั้งหลาย นางได้ชื่อว่าเป็นคนที่ทำอะไรเด็ดขาดเฉียบคมยิ่ง

ก่อนจะเริ่มงานเลี้ยงที่วังหลวงในวันนั้น นางกำลังครุ่นคิดอยู่พอดีว่าจะแต่งอาถานแห่งสกุลหมิงกลับจวนอย่างราบรื่นอย่างไรดี ตอนออกจากวังนางเห็นไกลๆ ว่าหมิงถานไม่ได้ขึ้นรถม้าของจวนสกุลโหว แต่เดินทางกลับออกไปพร้อมกับไป๋หมินหมิ่น ในใจจึงผุดแผนการขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

นางสั่งให้คนแอบตามไปห่างๆ จากนั้นก็กลับจวนไปอธิบายให้เหลียงจื่อเซวียนฟังว่าการแต่งงานครั้งนี้มีความสำคัญเพียงไร แล้วฐานะของพวกเขาในตอนนี้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพียงใด

จากนั้นบ่าวรับใช้ก็มารายงานว่าพอหมิงถานกับไป๋หมินหมิ่นออกไปจากหอทิงอวี่ ก็ได้ไปที่ถนนริมน้ำหนานอวี้ นางจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็วฉับไว วางแผนละครฉากช่วยคนตกน้ำออกมา

หากเรื่องนี้สำเร็จอย่างที่นางวางแผนไว้ก็จะยินดีเปรมปรีดิ์กันทั้งสองฝ่าย ทั้งไม่ทำให้เสียการแต่งงาน และยังสามารถใช้สิ่งนี้เป็นหมากให้พวกจูเอ๋อร์สองแม่ลูกอยู่ที่นี่ต่อไปได้ แต่ไหนเลยจะรู้ว่าบุตรชายของนางผู้นี้มือไม่พายยังเอาเท้าราน้ำ ทำตามแผนการไม่สำเร็จราบรื่นก็แล้วไป ซ้ำยังต้องแบกหน้ารับว่าเป็นคนตกน้ำอีก

แผนการไม่สำเร็จ มิหนำซ้ำจิ้งอันโหวยังกลับมารวดเร็วเช่นนี้ นางยังจะทำอันใดได้อีกเล่า ก็มีแต่ต้องใช้แผนสำรองนี้ ทำให้พวกจูเอ๋อร์สองแม่ลูกหายไปเท่านั้น!

นางอึดอัดคับใจจนกระทั่งถึงเวลาอาหารกลางวัน บ่าวรับใช้ก็มารายงานว่า “ฮูหยิน คุณหนูญาติผู้น้องกับคุณชายน้อยออกจากเมืองหลวงไปแล้วเจ้าค่ะ”

ก้อนหินที่ลอยค้างเติ่งอยู่ในใจของหลี่ซื่อจึงวางลงได้ในที่สุด นางโบกมืออย่างเหนื่อยเพลียเล็กน้อย เป็นคำสั่งให้บ่าวรับใช้ออกไป คิดจะอยู่เงียบๆ สักพัก

 

ระยะทางจากเมืองหลวงถึงลี่โจวจะว่าไกลก็ไม่ไกล จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ หากลงแส้ม้าเร็วเพียงสองวันก็เดินทางถึง ส่วนรถม้าอาจจะช้ากว่าสักหน่อย ต้องใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน

นั่งรถม้าโคลงเคลงเมื่อยล้ามาตลอดเส้นทาง ยามนี้ได้ห่างออกจากความเจริญมั่งคั่งคึกคักของเมืองหลวงแล้ว ตั้งแต่รถม้าเดินทางออกจากเขตเมืองหลวง พวกบ่าวรับใช้ก็เริ่มเกียจคร้านจะปรนนิบัติรับใช้อย่างเห็นได้ชัด ความไม่พอใจในใจของจูเอ๋อร์ก็ยิ่งทวีมากขึ้น

“แม่นาง วันนี้ก็พักแรมที่นี่เถิด ทางข้างหน้าไปลำบาก หากยังเดินทางไปต่อ คงยากจะหาโรงเตี๊ยมได้ทันก่อนฟ้ามืด”

จูเอ๋อร์เลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น มองสำรวจอยู่แวบหนึ่ง ก่อนขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ที่นี่ซอมซ่อถึงเพียงนี้ จะให้พักค้างแรมได้อย่างไร”

เหน็ดเหนื่อยกันมาตลอดทั้งวัน พวกบ่าวรับใช้ไม่มีแก่ใจจะรับมือกับคุณหนูญาติผู้น้องที่ถึงแม้จะให้กำเนิดบุตรแต่ก็ถูกกำหนดให้แต่งเข้าจวนไม่ได้ผู้นี้อีกต่อไป จึงตอบกลับไปด้วยท่าทางรำคาญใจว่า “หากท่านไม่พักก็เดินทางไปเองแล้วกัน”

“เจ้า!”

บ่าวรับใช้บิดขี้เกียจเล็กน้อย แล้วเดินเข้าโรงเตี๊ยมไปโดยไม่สนใจนางโดยสิ้นเชิง แม่นมเองก็เดินลงมาจากรถม้าอีกคนหนึ่ง อุ้มเด็กน้อยที่กำลังหลับสนิทเดินเข้าไปเช่นกัน

จูเอ๋อร์จนปัญญา จึงจำต้องลงมาจากรถม้า

นางตามเข้าโรงเตี๊ยมไป คิดอยากจะเดินเข้าไปดูบุตรของตน แต่แม่นมกลับเบี่ยงหลบไปอีกด้านไม่ยอมให้นางดู “แม่นาง ฮูหยินกำชับนักกำชับหนาว่าให้ข้าดูแลคุณชายน้อยให้ดีๆ ไม่ต้องให้ท่านลำบากหรอกเจ้าค่ะ ท่านก็รีบพักผ่อนเสีย”

จูเอ๋อร์เอ่ยว่า “หมิ่นเกอเอ๋อร์เป็นลูกของข้า เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร!”

แม่นมอุ้มเด็กน้อยเข้าไปพักผ่อนในห้องเหมือนกับบ่าวรับใช้ก่อนหน้านี้ ไม่ได้สนใจไยดีนางอีก

จูเอ๋อร์รับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างได้รางๆ หัวใจทั้งดวงของนางเย็นเยียบไปในชั่วพริบตา

นางนั่งกระแทกลงไปราวกับกำลังระบายโทสะ นิ่งเหม่ออยู่หน้าโต๊ะพักใหญ่ อาหารใกล้จะเย็นชืดหมดแล้ว นางถึงเพิ่งจะหยิบตะเกียบขึ้นมา

แต่จู่ๆ ก็มีเสียงเตือนของบุรุษแปลกหน้าดังขึ้นมาจากโต๊ะด้านหลัง “อาหารนั่นถูกวางยา อย่ากิน”

จูเอ๋อร์ตัวแข็งทื่อไปโดยพลัน จะหันหน้าไปตามคำสั่งจากจิตใต้สำนึก

คนผู้นั้นพูดขึ้นอีกครั้ง “อย่าหันมา มีคนจับตาดูอยู่”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘วางยา’ แล้วก็ ‘มีคนจับตาดูอยู่’ จูเอ๋อร์ก็แตกตื่นลนลานในทันใด หัวสมองนางก็สับสนยุ่งเหยิง ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อถ้อยคำที่คนข้างหลังพูดหรือไม่

ประจวบเหมาะกับยามนี้นางเหลือบเห็นแมวจรจัดตัวหนึ่งกำลังเดินหาอาหารอยู่ใต้โต๊ะ นางจึงฉวยจังหวะแสร้งทำเป็นคีบตะเกียบไม่มั่น ทำอาหารตกลงไป

แมวจรจัดตัวนั้นส่งเสียงร้องอยู่สองสามที ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆ อย่างเกียจคร้าน มันเลียอาหารอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ต่อจากนั้นก็เคี้ยวอาหารที่อยู่บนพื้นลงไป ค่อยๆ ละเลียดกิน แต่ว่าผ่านไปพักใหญ่แมวจรจัดก็ยังไม่มีอาการผิดปกติอันใด

“เจ้าหลอกข้า?” เสียงของจูเอ๋อร์สั่นน้อยๆ แต่ก็ไม่มั่นใจสักเท่าไร

คนผู้นั้นเอ่ยอธิบายว่า “ยาสลายเส้นเอ็นแค่ทำให้คนหมดเรี่ยวแรง ไม่มีทางหนีเท่านั้น ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิตแต่อย่างใด”

จูเอ๋อร์ตั้งสติพลางจ้องมองแมวจรจัดตัวนั้นอยู่ครู่หนึ่ง มันซุกตัวอยู่ที่เดิม ส่ายหางเบาๆ ไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวมากนัก แต่นิสัยของแมวก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว นี่พิสูจน์อันใดไม่ได้สักนิด

เดี๋ยวก่อน… จู่ๆ นางก็หวาดระแวงขึ้นมา “เจ้าว่าอย่างไรนะ เหตุใดข้าต้องหนีด้วย”

“พอกลับไปถึงลี่โจวแม่นางก็จะต้องแต่งเป็นภรรยาใหม่ของพ่อบ้านเรือนพักตากอากาศ แม่นางไม่อยากหนีอย่างนั้นหรือ หรือแม่นางคิดจริงๆ ว่าตนเองจะรอถึงวันที่ได้กลับเมืองหลวงอย่างสมศักดิ์ศรีได้?”

ครั้นจูเอ๋อร์ได้ยินก็ราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางศีรษะ

จริงอยู่ที่ท่าทีของคนรอบกายหลังเดินทางออกจากเมืองหลวงทำให้นางมีลางสังหรณ์ไม่ดี แต่ว่าแต่งไปเป็นภรรยาใหม่ของพ่อบ้าน… มะ…ไม่ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน! อีกอย่างข้าก็ยังมีหมิ่นเกอเอ๋อร์ หมิ่นเกอเอ๋อร์เป็นบุตรชายคนโตของญาติผู้พี่ ท่านป้ากับญาติผู้พี่ไม่มีทางทำเช่นนี้กับข้าแน่นอน!

คนที่อยู่ข้างหลังกล่าวต่อไปว่า “ฮูหยินลิ่งกั๋วกงมีเรือนพักตากอากาศซึ่งเป็นสินเดิมอยู่หลังหนึ่งที่ชานเมืองทางฟากตะวันตกของลี่โจว พ่อบ้านเรือนพักตากอากาศอายุเกินสี่สิบปีแล้ว หลายปีก่อนภรรยาแต่งของเขาป่วยตายไป จนบัดนี้ก็ยังมิได้แต่งภรรยาใหม่อีก มีเพียงอนุภรรยาสี่บุตรชายห้า ช่วงนี้ในจวนของพ่อบ้านกำลังตระเตรียมงานแต่งงาน พอแม่นางไปถึงจะได้กราบไหว้ฟ้าดินได้ทันที

ส่วนคุณชายน้อยนั้น…สายเลือดย่อมแน่นแฟ้นมิอาจตัดขาด ภายหลังหากมีโอกาสพวกเขาจะต้องรับกลับเข้าตระกูลแน่นอน มีแต่แม่นางเท่านั้นที่จะไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกันอีก แม่นางเดินทางไปคราวนี้ แม่ลูกจะต้องพลัดพรากจากกัน ชั่วชีวิตนี้คงจะไม่ได้พบเจอกันอีก”

วาจานี้ฟังดูเสียสติไร้สาระเป็นที่สุด แต่ลางสังหรณ์บอกจูเอ๋อร์ว่านี่เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องจริงทั้งหมด

เสียงถ้วยชาร่วงหล่นจากโต๊ะดังขึ้นจากด้านหลังได้เหมาะเจาะ คนผู้นั้นเอ่ยด้วยเสียงต่ำลึกว่า “แม่นาง ถ้าหากอยากกลับเมืองหลวงไปช่วงชิงอนาคตให้ตนเอง ข้าสามารถช่วยเจ้าได้”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 มี.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: